ปิ่นใจกะรัตพลอย (ชุด ลูกไม้ลายหงส์)
แม้จะต้องปะทะลมฝนรุนแรงขนาดไหน เธอก็ยังนับเป็นหงส์เหินที่งามสง่า แต่ใครจะคิดว่าสักวันนึง...ลมปากคนจะหักปีกหงส์ได้จริงๆ...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: Chapter 3 : เลยเถิด

"...เรื่องบางเรื่องอยู่หมิ่นเหม่ระหว่างคำว่า “บังเอิญ” กับ “โชคชะตา” และเมื่อใดที่คุณเกิดความรู้สึกว่าตัวเองควรแยกมันให้ขาดสิ้นจากกัน เมื่อนั้นคุณอาจกำลังเข้าใกล้อย่างหลังเข้าไปทุกที..."




นัยน์ตาสีเขม่าควันก้มลงมองชุดเดรสสั้นกุดสีดำสนิทบนพื้นห้องน้ำราวกับเห็นวันชะตาขาดของตัวเองก็ไม่ปาน ตัวเขาเองแม้จะทำบาปมาไม่น้อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยทำกุศลสักหน่อย ทำไมต้องทำบุญไถ่บาปด้วยวิธีนี้ด้วยก็ไม่รู้ ทว่าทั้งที่ในหัวร้องตะโกนด่าทอสวรรค์อย่างสุดเสียงถึงเพียงนั้น มือเจ้ากรรมก็ยังรีบเร่งหยิบเจ้าชุดกระโปรงสั้นแค่คืบนั้นขึ้นมาใส่ หากใครจะนึกว่าแค่ขาข้างเดียวของเขาก็แทบจะยัดเข้าไปในกระโปรงไม่หมดแล้ว จะให้ยัดตัวทั้งตัวลงในนั้นได้ยังไง!




แคว่กกก!



เสียงฉีกขาดที่ดังขึ้นทำลายความเงียบงันในห้องน้ำ ทำเอาคนร้อนรนหน้าซีดเผือดจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงขึ้นกว่าเดิม ทว่าพอนึกได้ว่าตัวเองไม่เหลือเวลาให้เสียทิ้งอย่างไร้ค่าแม้แต่วินาทีเดียวแล้ว ร่างสูงใหญ่ก็กลั้นใจก้าวขาลงไปเบียดกับต้นขาอีกข้าง บิดซ้ายบิดขวาอย่างสุดความสามารถจนช่วงเอวของชุดกระโปรงแสนสั้นนั้นเลื่อนขึ้นมาโอบรอบเอวสอบได้ในที่สุด แม้เนื้อผ้าลื่นๆ ของชุดเดรสแขนกุดจวนเจียนจะขาดวิ่นนี้เอาแต่จะร่นขึ้นมาหาอะไรที่มันไม่ควรจะเปิดเผยอยู่เรื่อยก็เถอะ



ฟรานก้มลงมองตะเข็บเสื้อข้างลำตัวที่ยื้อฉุดกันไปมาอย่างสุดแรงด้วยด้ายเส้นบางๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองกระจกเบื้องหน้าเพื่อเรียกความมั่นใจครั้งสุดท้าย ทว่าสภาพตัวเองในกระจกที่สะท้อนกลับมาก็ทำเอาเขาแทบจะเขาทรุดลงตรงนั้นเสียให้ได้ ทั้งที่ตอนเห็นพวกผู้หญิงใส่ชุดวาบหวิวพวกนี้มันออกจะดูยั่วใจดีแท้ๆ พอไม้แขวนเปลี่ยนมาเป็นเขาทำไมมันถึงได้ดูทุเรศทุรังชวนให้คนรู้สึกอยากอาเจียนขนาดนี้



ทว่ายังไม่ทันจะได้ปลดปล่อยความคลื่นเหียน สมองอันว่องไวก็เตือนให้เขารู้ว่าตัวเองเหลือเวลาอยู่ไม่กี่วินาทีแล้ว คนร่างสูงจึงสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเป็นครั้งสุดท้ายแล้วรีบเปิดประตูออกไปชะโงกหน้าดูต้นทางอย่างระแวดระวัง เมื่อเห็นว่าในห้องแต่งตัวเหลือเพียงหญิงสาวเพียงสามคนกำลังจัดแจงของให้เข้าที่ ชายหนุ่มในคราบหญิงสาวผู้บึกบึนก็รีบถลาเข้าไปหาวิกผมยาวดัดลอนสยายจนถึงกลางหลังบนโต๊ะข้างราวแขวนเสื้อมาใส่ จากนั้นก็รีบนั่งลงบนเก้าอี้หน้ากระจกอย่างแนบเนียน ขณะที่มือไม้ก็ทำทีเอื้อมไปจัดข้าวของบนโต๊ะบ้าง ราวกับตัวเองนั่งทำงานอยู่ในห้องนี้มาได้หลายชั่วโมงแล้ว



เพียงไม่ถึงชั่วอึดใจ หญิงสาวร่างบางในเสื้อโค้ทสีดำสนิทก็ก้าวฉับๆ เข้ามาในห้องแต่งตัว ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาสีม่วงเข้มตัวหนึ่งอย่างแรง จนคนร่างเล็กที่เดินตามหลังมาอีกคนอดสะดุ้งเพราะเสียงยุบตัวของโซฟาตามไปด้วยไม่ได้ และด้วยฤทธิ์ของความเดือดดาลนั้นเอง ดวงหน้าสวยหวานทั้งสองจึงยังไม่ทันได้สังเกตเห็นหญิงสาวร่างบึกบึนซึ่งอยู่ตรงกับระดับสายตาพอดี ชั่วขณะนั้น จิตใจที่เคยสุขุมเยือกเย็นเต้นระส่ำเสียอย่างกับจะหลุดออกมาจากปากเสียให้ได้ เท้าทั้งสองข้างค่อยๆ ยันพื้นเพื่อให้เก้าอี้ที่นั่งอยู่นั้นหมุนไปทางตรงข้ามอย่างช้าๆ จะได้หลบหลีกจากสายตาคมกริบชวนหัวใจวายคู่นั้นเสียที



ทันใดนั้นเอง บรรดาช่างแต่งหน้าทำผมสี่ห้าคนก็รีบกรูเข้าไปห้อมล้อมหญิงสาวอารมณ์ร้อนทั้งสอง จนไม่ต่างจากกำแพงมนุษย์สูงตระหง่านบังต้นหญ้าเล็กๆ สองต้นจนมิด คนมีชนักติดหลังจึงนับว่ารอดจากพ้นจากคราวเคราะห์หวุดหวิด ทว่าถึงอย่างนั้นก็ยังไม่นับว่าหายใจได้ทั่วท้องนัก เพราะจนวินาทีนี้เขาก็ยังไม่เห็นเป้าหมายของตัวเองเลยแม้แต่เงา



กริก...กริก...กริก...



เสียงร้องเท้าส้นสูงที่ค่อยๆ เยื้องยาตรเข้ามาในห้องแต่งตัวอย่างไม่รีบร้อน หากแต่สามารถเรียกความสนใจจากความวุ่นวายโกลาหลในห้องให้หันไปมองได้เป็นตาเดียว ทำเอาฟรานแทบจะอยากจะลุกขึ้นไปกระชากคอบางๆ ของเจ้าหล่อนให้ลงมานั่งลงหน้ากระจกเสียเดี๋ยวนั้น เขาอยากจะรู้นักว่าหล่อนเป็นพิธีกรภาษาอะไรถึงไม่รู้ว่าเวลาพักโฆษณาเพียงชั่วพริบนั้นตัวเองต้องกุลีกุจอทำอะไรบ้าง ถึงได้เอาแต่เยื้องยุรยาตรเสียจนไม่กลัวว่าเต่าจะกัดส้นรองเท้าจนพรุน



พิธีกรสาวค่อยๆ เบือนหน้าไปมองหญิงสาวที่แทบจะถูกกองทัพช่างแต่งหน้ากลืนกินด้วยความสะใจแล้วเหยียดยิ้มออกมาอย่างร้ายกาจ พลางทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้หน้ากระจกอันเป็นที่ของตัวเองตามความเคยชิน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองตัวเองในกระจกเล็กน้อย พลางใช้มือจัดผมเผ้าของตัวเองให้เข้าที่เบาๆ จากนั้นก็เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมาพรมนิ้วพิมพ์ข้อความหาใครบางคนอย่างรวดเร็ว แล้วปล่อยให้หน้าที่เติมหน้าแต่งผมเป็นของช่างคู่ใจข้างกาย โดยไม่ทันได้สังเกตว่าที่อยู่ข้างกายนั้นเป็นช่างคู่ใจคนเดิม หรือหมาป่าหนุ่มที่กำลังกางกรงเล็บเตรียมตะปบเนื้อเธอกันแน่!



ชั่ววินาทีนั้นเอง นัยน์ตาสีเขม่าควันก็สบเข้ากับลิปสติกแบบน้ำสีแดงดุจโลหิตเข้าพอดี มือหนาจึงรีบเอื้อมไปหยิบมันมาไว้ในมือแล้วปาดป้ายมันลงบนทิชชู่เช็ดหน้า ก่อนจะใช้มันซับใบหน้าโรยแรงของหญิงสาวตรงหน้าอย่างพิถีพิถัน จากนั้นก็เอื้อมไปหยิบวัตถุรูปร่างคล้ายกรวยเล็กๆ สีดำวาววับบนโต๊ะมาเปิดออก แล้วเทมันออกมาใส่ทิชชู่แผ่นเดิมทั้งที่ไม่รู้ว่าด้วยซ้ำมันคืออะไร หากใครจะคิดว่าวันนี้จะเป็นวันของเขาอย่างแท้จริง ของเหลวที่ไหลออกมาจากกรวยพลาสติกเล็กๆ นั้นเป็นสีดำสนิท ทั้งยังมันปลาบเสียอย่างกับน้ำมันเครื่อง ช่างแต่งหน้ากำมะลอผู้รวยโชคจึงค่อยๆ บรรจงซับน้ำมันเครื่องลงบนใบหน้าสวยสดด้วยโลหิตของพิธีกรสาวอย่างตั้งอกตั้งใจ



“อีกสามสิบวินาทีเริ่มถ่ายนะครับ” สิ้นเสียงแหบห้าวของทีมงานหนุ่มที่ชะโงกหน้าเข้ามาบอกในห้องแต่งตัว คนสวมบทบาทเป็นช่างแต่งหน้าก็แทบหลุดเสียงหัวเราะออกมาลั่นห้องให้กับผลงานชิ้นโบแดงของตัวเอง ทว่ายังไม่ทันจะได้ปล่อยให้ความขบขันได้เล็ดรอดออกมา ช่างแต่งหน้าสาวผู้บึกบึนก็คิดขึ้นมาได้ว่าคนข้างกายกำลังจะเงยหน้าขึ้นมองสภาพของตัวเองหน้ากระจกในไม่ช้านี้แล้ว ฟรานจึงรีบคว้าทิชชู่สองสามแผ่นอันเป็นหลักฐานเดียวบนโต๊ะแล้วลุกจากเก้าอี้ไปทันที



เมื่อรู้สึกว่าจวนจะได้เวลาปฏิบัติหน้าที่แล้วพิธีกรสาวจึงวางโทรศัพท์ในมือลงบนโต๊ะ แล้วลุกขึ้นยืนเตรียมเดินเข้าไปยังพื้นที่ถ่ายทำหน้ากล้องด้วยความเคยชิน โดยไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าคนที่นั่งข้างกายเมื่อครู่อันตรธานหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ และในวินาทีที่ดวงตาคมกริบช้อนขึ้นมองเงาตัวเองในกระจกนั้นเอง...



“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!!!!!!!!!”



เสียงกรีดร้องเล็กแหลมแสนโหยหวนเรียกให้คนทั้งห้องหันมามองพิธีกรสาวหน้ากระจกเป็นตาเดียวอีกครั้ง ก่อนจะพร้อมใจหลับหูหลับตาทำหน้าเหยเกพลางยกมือขึ้นอุดหูไปตามๆ กัน เพราะสุดจะทนกับระดับเสียงที่ดังเกินกว่ามนุษย์เดินดินจะรับได้ หากพอได้หันไปมองตามทิศทางสายตาของคนต้นเสียงแล้ว ก็ต้องยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตกใจแทบไม่ทัน เพราะไม่คิดว่าจะมีใครเล่นพิเรนทร์กลางกองถ่ายอย่างนี้



ขณะเดียวกันนั้น ดวงตาคมกริบแดงก่ำราวกับดูดซับสีลิปสติกบนหน้าเข้าไปก็กราดมองสิ่งมีชีวิตในห้องรายตัวอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่หญิงสาวร่างบางในเสื้อโค้ทสีดำสนิท ผู้กำลังกลั้นเสียงหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย



“หึๆๆๆๆๆ” เพียงน้ำพลอยก้มหน้าพร้อมกับยกมือขึ้นปิดปากกั้นเสียงหัวเราะสุดชีวิต



“นี่พี่แกล้งครีมเหรอ!” พิธีกรสาวตะคอกถามอีกฝ่ายสุดเสียง พลางยกมือชี้หน้าอย่างเดือดดาล



“ตาบอดรึไง ก็เห็นอยู่ว่าฉันนั่งอยู่นี่ จะเอาร่างไหนไปแกล้งเธอ” เพียงน้ำพลอยพูดไปกลั้นหัวเราะไปอย่างสุดความสามารถ



“ก็...พี่จ้างคนมาแกล้งครีม!” พิธีกรสาวชะงักค้างไปชั่ววินาทีก่อนจะโต้กลับสุดเสียง



“ประสาทหรือไงห้ะ!” สิ้นเสียงกล่าวหาของอีกฝ่าย คนร่างบางก็ชักจะเดือดขึ้นมาบ้างเหมือนกัน ยัยอสรพิษนี่คิดจะให้เธอเป็นคนบงการให้ได้เลยหรือไง ถึงได้ขยันยัดเยียดข้อหาให้เธอเหลือเกิน ก็เห็นอยู่ว่าเธอนั่งห่างหล่อนเป็นโยชน์ ทั้งยังมีกำแพงมนุษย์ห้อมล้อมอยู่แน่นหนาขนาดนี้ จะให้เธอสละกายละเอียดส่วนไหนไปแกล้งหล่อนกัน



“เอาล่ะๆ ครีมไปล้างหน้าล้างตาก่อนไป เดี๋ยวพี่จัดการต่อเอง” หญิงสาวอายุประมาณสามสิบปลายๆ รูปร่างสมส่วนเอ่ยตัดบทขึ้นด้วยน้ำเสียงคล้ายตัดรำคาญ ขณะเดียวกันก็พยายามรีบเค้นสมองหาวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ดีที่สุดออกมาให้ได้ รายการที่เธอเป็นหนึ่งในทีมโปรดิวเซอร์นี้เป็นรายการสด คงไม่มีเวลาให้ใครมานั่งลบหน้าแต่งหน้าใหม่ได้ทั้งวันแน่ และที่นี่ก็เป็นต่างบ้านต่างเมืองจะให้เธอไปหาพิธีกรรายการดีๆ ที่ไหนมาแทนกัน



“พี่หยกครับ ได้เวลาแล้วครับ” เสียงทีมงานจากบริเวณหน้ากล้องชะโงกหน้าเข้ามาเร่งคนด้านในอีกครั้ง คนเป็นโปรดิวเซอร์รายการจึงไม่เหลือทางเลือกอื่นอีก นอกจากตัดสินใจให้เด็ดขาดว่าจะถ่ายทำต่อไปยังไง ซึ่งทางเดียวที่คิดได้ในวินาทีนี้ก็คือลากใครสักคนขึ้นไปนั่งหน้ากล้องซะ



“เชิญค่ะคุณน้ำพลอย คุณน้ำปรุง” โปรดิวเซอร์สาวหลับตาลงครั้งหนึ่งเพื่อระงับความร้อนใจเอาไว้ ก่อนจะผายมือเชิญแขกรับเชิญสาวทั้งสองให้เดินไปยังพื้นที่ถ่ายทำอีกครั้งอย่างสุภาพ



เพียงน้ำพลอยค้อมศีรษะตอบโปรดิวเซอร์สาวเบาๆ ก่อนจะหันมาเหยียดยิ้มที่มุมปากให้หญิงสาวหน้าเปรอะด้วยความสะใจ แล้วเดินตามคนเชื้อเชิญไปโดยไม่คิดจะหันไปสนใจหน้าเปื้อนเลือดเปรอะน้ำมันเครื่องที่กรีดร้องพลางกระทืบเท้าเร่าๆ ด้วยความเจ็บแค้นแม้แต่หางตา



“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!”



เสียงกรีดร้องชวนแสบแก้วหูที่ดังไล่หลังมาทำให้เพียงน้ำพลอยอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ว่าใครกันที่ช่างเล่นพิเรนทร์ขนาดนี้ ในเมื่อในห้องนี้ก็มีเพียงแค่คนในกองถ่ายทั้งนั้น จะว่าไปก็มีเพียงแค่เธอกับทิพย์น้ำปรุงเท่านั้นที่นับว่าเป็นคนนอก ซึ่งก็ไม่มีทางจะแยกวิญญาณไปทำเรื่องพรรค์นั้นได้อยู่แล้ว แต่ก็เอาเถอะ...ไม่ว่าคนที่เข้ามาสานต่อเจตนาแค้นให้เธอจะเป็นใคร เธอก็ขอให้เขาหลบหนีไปได้ให้ตลอดรอดฝั่งก็แล้วกัน แต่ถ้าถึงคราวไม่รอดขึ้นมา ขอเพียงเขาสารภาพว่าตัวเองเป็นคนทำ เธอนี่แหละจะตอบแทนเขาด้วยกันออกหน้าช่วยเอง



สุดท้ายแล้ว หนึ่งในทีมโปรดิวเซอร์หรือที่คนในกองถ่ายเรียกกันว่า ‘พี่หยก’ ก็เป็นคนสัมภาษณ์เธอกับทิพย์น้ำปรุงแทนแม่พิธีกรสาวปากกล้าอย่างไม่มีทางเลือก และแน่นอนว่าเธอออกจะมีมารยาทกว่าไม่น้อย เรื่องราวที่เคยตกลงกันไว้ว่าจะสัมภาษณ์ออกอากาศก็เป็นไปตามแผน การถ่ายทำรายการในวันนี้จึงผ่านพ้นไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ทว่ากว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยดีเวลาก็ล่วงเลยไปจนบ่ายสองกว่าแล้ว ที่เคยคิดว่าเอาไว้ว่าจะไปหาอะไรกินรองท้องก่อนจะไปเจออธิษฐ์ตามนัดนั้นก็เห็นจะไม่ทันแล้ว เธอจึงตัดสินใจว่าจะรอไปทานมื้อเย็นกับเขาเสียทีเดียว แล้วค่อยกลับไปทานมื้อดึกที่คฤหาสน์มังกรมุกแทน



“ถ้าไม่ติดว่าฉันต้องไปคุยงานแทนคุณพ่อนะ ฉันสวดแกยับแน่” ทิพย์น้ำปรุงกวาดโทรศัพท์มือถือกับแบตสำรองลงกระเป๋าอย่างรีบร้อนพลางกล่าวคาดโทษเพื่อนสาวไปในเวลาเดียวกัน โทษฐานที่บังอาจปิดบังเรื่องใหญ่ขนาดนี้กับเธอ ถ้าแม่พิธีกรปากเปราะนั่นไม่เอ่ยขึ้นมา เธออยากจะรู้นักว่าเพื่อนตัวดีของเธอคิดจะบอกเรื่องผู้ชายคนใหม่ที่คบหาดูใจกันอยู่นี้เมื่อไหร่



“แกรีบไปเถอะน่า เดี๋ยวคุณพ่อแกเขาจะสวดแกจนหน้ายับ ก่อนที่แกจะได้มีโอกาสมาสวดฉัน” เพียงน้ำพลอยค่อนขอดเพื่อนสาวพลางทำท่าก้มลงมองปลายนิ้วมือตัวเอง ราวกับกำลังตกอยู่ในบทสนทนาที่น่าเบื่อเสียเต็มประดา



“รอให้ฉันบอกยัยเจ้ก่อนเถอะ รับรอง แกได้รับศึกสองด้านแน่” ทิพย์น้ำปรุงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอาฆาตมาดร้ายเต็มเปี่ยม โดยหารู้ไม่ว่าเพื่อนสาวคนสนิทที่เธอขนานนามว่า ‘เจ้’ นั้น นอกจากจะรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ยังได้พบปะพูดคุยกับชายปริศนาของเพียงน้ำพลอยเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย เพียงน้ำพลอยจึงได้แต่กลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงไปดับความแห้งผากของลำคอ เมื่อคิดได้ว่าพรุ่งนี้เธอกับน้ำผึ้งพระจันทร์จะต้องหูชาสักขนาดไหน ถ้าเพื่อนขี้น้อยใจของเธอรู้เข้าว่าตัวเองรู้เรื่องนี้เป็นคนสุดท้าย



เพียงน้ำพลอยได้ยืนโบกมือลาเพื่อนผู้มีธุรกิจรัดตัวพร้อมกับฉีกยิ้มฝืดเฝื่อนส่งให้ตามหลัง เมื่อเห็นว่าเท้าทั้งสองข้างของเพื่อนก้าวพ้นขอบประตูห้องแต่งตัวแล้ว ลำคอบางที่ฝืนตั้งตระหง่านอย่างสง่างามมาหลายชั่วโมงก็ตกพับลงด้วยความเหนื่อยอ่อนทันที ท่าทางไม่ต่างจากลูกเป็ดตัวน้อยๆ ที่คอหักทั้งที่ยืนอยู่เลยสักนิด เปลือกตาบางค่อยๆ หลับพริ้มลงเพื่อให้หัวสมองอันหนักอึ้งได้หยุดคิดอะไรสักชั่วครู่ หากยังไม่ทันที่ความคิดอันระเกะระกะจะได้หยุดวิ่งพล่าน เสียงกึกกักตึงตังจากที่ไหนสักที่ก็ทำให้ดวงตากลมโตดุจไข่มุกดำเบิกโพลงขึ้นด้วยความตื่นตระหนกทันที



สายตาคมกริบกวาดมองหาต้นตอของเสียงอย่างระแวดระวัง ก่อนจะหยุดลงที่ห้องน้ำซึ่งอยู่ห่างไปจากจุดที่เธอยืนอยู่ไม่ถึงหกเก้า ร่างระหงบนรองเท้าส้นสูงค่อยๆ ย่องเข้าไปหาจุดเกิดเหตุด้วยใจที่ยังกล้าๆ กลัวๆ หากสัญชาตญาณระวังภัยก็ยังสั่งให้เธอก้าวเข้าไปตรวจสอบเหตุการณ์ตรงหน้าให้รู้แล้วรู้รอดกันไป ทว่ายิ่งก้าวเข้าไปใกล้เท่าไหร่เสียงเอะอะตึงตังข้างในนั้นก็ยิ่งดูจะรุนแรงขึ้นเท่านั้น



“ได้โปรดเถอะครับ ปล่อยผมไปเถอะ” เสียงสั่นเครือของชายหนุ่มด้านในทำเอาเพียงน้ำพลอยตาโตด้วยความตกใจ แต่หากจะวิ่งไปตามใครมาช่วยเธอก็ยังไม่รู้เรื่องราวแน่ชัด เท้าทั้งสองข้างจึงค่อยๆ ขยับพาร่างทั้งร่างเข้าไปใกล้ประตูห้องน้ำอีกนิด เพื่อให้เจ้าตัวได้ยื่นหูทิพย์เข้าไปใกล้ๆ



“ไม่ทำอะไรหรอกน่า ถอดกางเกงออกมาเร็วๆ สิ!” สิ้นเสียงเสียงทุ้มนุ่มของชายหนุ่มอีกคน เพียงน้ำพลอยก็รู้สึกคล้ายกับตัวเองเข่าอ่อนลงเสียดื้อๆ สมองขาวโพลนทว่าใบหน้ากลับแดงซ่านราวกับซับสีชาด ที่วางแผนไว้ว่าจะไปตามใครสักคนมาช่วยคนข้างใน ตอนนี้เธอชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าหากไปตามใครมาจริงๆ เธอจะกลายเป็นคนมีน้ำใจหรือคนไม่รู้กาลเทศะกันแน่



“ผมไม่ชอบทางนี้จริงๆ ครับพี่ ปล่อยผมไปเถอะ” ชายหนุ่มอีกคนอ้อนวอนเสียงอ่อน



แม้ทั้งสองคนด้านในจะตอบโต้กันด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ หากคนฟังอยู่ด้านนอกอย่างเพียงน้ำพลอยกลับจับน้ำเสียงได้อย่างชัดเจนว่าใครกำลังใช้อำนาจข่มขู่ใครอยู่



“เออ! รู้แล้ว! บอกให้ถอดก็ถอดสิวะ!”



“ผมมีลูกมีเมียแล้วนะครับ อย่าครับ! ยะ...อย่า!” น้ำเสียงคนอ่อนแออ้อนวอนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือสุดขีด ทำเอาคนเงี่ยหูฟังอยู่ด้านนอกจินตนาการไปถึงไหนต่อไหน กระทั่งมือไม้ก็ยังเผลอยกขึ้นปิดปากด้วยความลุ้นระทึก ชั่วเสี้ยววินาทีนั้นเอง เสียงยื้อแย่งฉุดกระชากก็เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเสียงอ้อนวอนเสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดนั้นก็ไม่เคยได้เงียบลงเกินสามวินาที เพียงน้ำพลอยจึงชั่งใจอยู่ชั่วขณะว่าตนควรวิ่งไปหาใครสักคนมาช่วยชายหนุ่มผู้ถูกกระทำดีหรือไม่ แต่หากมันเป็นเรื่องที่เธอทึกทักเอาเองว่าเขาไม่เต็มใจเล่า ไม่เท่ากับว่าเธอเป็นพวกขัดขวางบุพเพทำลายความสุขของคนอื่นหรือไงกัน!



ไม่ถึงอึดใจ เสียงจากสังเวียนรบสังเวียนรักในห้องน้ำก็เงียบลง เหลือเพียงแค่เสียงสูดปากด้วยความเจ็บปวดที่ยังดังขึ้นเป็นระยะๆ เท่านั้น คนเงี่ยหูฟังอยู่ด้านนอกจึงเริ่มร้อนรนด้วยรู้สึกว่าเหตุการณ์มันออกจะดูเงียบสงบชอบกล ก่อนจะเริ่มคิดได้ว่าคู่รักนิยมความรุนแรงด้านในอาจจะกำลังออกมาในไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้ก็ได้ ดวงหน้าสวยหวานจึงเริ่มหันซ้ายหันขวาหาที่ซ่อนอย่างลนลาน ก่อนจะวิ่งไปหลบในซอกๆ หนึ่งใกล้กับประตูห้องที่ใช้ถ่ายทำรายการ ซึ่งอยู่เยื้องกับห้องน้ำอันเป็นจุดเกิดเหตุพอดี



ไม่ถึงเสี้ยววินาทีดี ร่างบางระหงที่เพิ่งยัดตัวเองเข้าไปในซอกเล็กๆ ได้สำเร็จก็ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องน้ำออกมาพอดิบพอดี หัวใจระส่ำพยายามท่องนะโมสามจบอยู่ในใจเพื่อข่มความอยากรู้อยากเห็นอันไม่ค่อยปรากฏขึ้นมาบ่อยนักไว้ให้ลึกที่สุด แต่ท้ายที่สุดแล้วตาที่หลับปี๋อยู่นั้นก็เบิกโพลงขึ้นมา ก่อนจะชะโงกหน้าออกไปมองชายหนุ่มเจ้าของบทเพลงรักอันเร่าร้อนเมื่อครู่อย่างอดใจไม่อยู่ ทว่าทันทีที่เธอเห็นแผ่นหลังปริศนานั้น เลือดลมที่เคยหมุนเวียนในร่างก็คล้ายกับชะงักงันไปชั่วขณะ จนเธอรู้สึกเหมือนลมจะจับเอาเสียดื้อๆ



สวรรค์! ‘นายนกหงส์หยก’ นิยมป่าไม้เดียวกันหรอกเหรอ!!



ที่ผ่านมา ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคู่หูคู่ซี้ออกล่าผูู้หญิงกับสามีเพื่อนเธอหรือไง แล้วทำไม...



ร่างสูงโปร่งในเสื้อยืดสีขาวทับด้วยแจ็กเกตสีดำซึ่งกำลังจะเอื้อมไปจับลูกบิดประตูห้อง รับรู้ด้วยสัญชาตญาณว่าตนกำลังถูกจ้องมองจากที่ไหนสักที่จึงหันขวับกลับมาอย่างระแวดระวัง ทว่าสิ่งที่รอต้อนรับสายตาเขาอยู่กลับมีเพียงแค่ความว่างเปล่าเท่านั้น ชายหนุ่มจึงรีบเปิดประตูออกจากห้องไป ก่อนที่ใครจะได้ทันสังเกตว่า คนที่แต่งกายด้วยแจ็กเกตดำซึ่งดูจะไม่พอคลุมไหล่กว้างๆ กับกางเกงยีนส์ที่สั้นเต่อขึ้นมาจนแทบจะกลายเป็นกางเกงสามส่วนนี้ เป็นคนนอกที่บังเอิญจับพลัดจับผลูเข้ามาเป็นคนในเมื่อชั่วโมงที่แล้ว



และยังไม่ทันที่คนตื่นตระหนกจะทำใจกับสิ่งที่ตนเพิ่งรับรู้ได้ ชายหนุ่มซึ่งน่าจะเป็นเจ้าของน้ำเสียงอ้อนวอนก่อนหน้านี้ก็ค่อยๆ ก้าวออกมาจากห้องน้ำด้วยท่าทางเหนียมอาย มือไม้ทั้งสองข้างพยายามปกปิดส่วนต่างๆ ของร่างกายที่โผล่พ้นร่มผ้าออกมาอย่างเก้ๆ กังๆ มือหนึ่งปิดส่วนล่าง ลำแขนหนาที่ปราศจากแขนเสื้อบดบังก็จะดูจะวาบหวิวชอบกล จึงยกมืออีกข้างขึ้นไปปิดเพื่อไม่ให้ส่วนไหนมิดชิดไปกว่ากัน ทว่าพอยกมือข้างหนึ่งขึ้นชายกระโปรงก็ยิ่งร่นขึ้นไปอีกเกือบคืบ ไหนจะตะเข็บเสื้อข้างลำตัวที่ใกล้จะหมดเรี่ยวแรงฉุดยื้อกันไว้นั่นอีก สภาพชวนเวทนาและชวนอุจาดตาในเวลาเดียวกันทำเอาเพียงน้ำพลอยไม่รู้ว่าตัวเองควรปิดตาแล้ววิ่งหนีไป หรือควรไปเสื้อคลุมสักตัวมาให้ชายหนุ่มตรงหน้านี้กันแน่ สุดท้ายจึงได้แต่ยกมือหนึ่งขึ้นบังสายตาแล้วเดินมาคว้ากระเป๋าถือบนโต๊ะหน้ากระจก ก่อนจะรีบเดินหนีออกจากห้องไป



เย็นวันนั้นอธิษฐ์มารับเธอไปทานข้าวตามนัด หากแต่การใช้เวลากับเขาในวันนี้กลับทำเธออดรู้สึกผิดกับเขาอยู่ในใจไม่ได้ เพราะสมองน้อยๆ ของเธอมันดันเอาแต่คิดเรื่องบัดสีบัดเถลิงที่ได้รับรู้มาในห้องแต่งตัวอยู่ตลอดเวลา จนแทบไม่ได้ใส่ใจเลยว่าเขาพูดอะไรกับเธอบ้าง เธอรู้ดีว่าไม่ว่าจะด้วยหลักการใดก็ตามแต่ เธอไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของหมอนั่นและเธอก็ไม่เคยคิดจะทำด้วย แต่ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกันเธอถึงหยุดคิดมันไม่ได้สักที ซ้ำร้ายความคิดอันเลื่อนเปื้อนของเธอยังจินตนาการต่อไปถึงว่าเหวินหยางหลงจะรู้ถึงรสนิยมของเพื่อนรักบ้างหรือเปล่า



หรือว่าก่อนแต่งงานกับน้ำผึ้งพระจันทร์ พวกเขาสองคน...



ร้อยไม่เชื่อพันไม่เชื่อ! เธอไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะดูผู้ชายอย่างเหวินหยางหลงผิด หรือต่อให้เธอดูผิดจริง คนหูไวตาไวอย่างน้ำผึ้งพระจันทร์ก็จะดูผิดด้วยหรือไง



ไม่มีทาง!!



“ถึงแล้วค่ะ” เสียงทุ้มทรงเสน่ห์ของอธิษฐ์เอ่ยเรียกแฟนสาวผู้กำลังตกอยู่ในภวังค์ให้ตื่นขึ้นมาสนใจเขาเสียที



“คิดอะไรอยู่คะ คิ้วจะผูกกันเป็นโบแล้ว” อธิษฐ์เอ่ยพลางเอื้อมมือไปสัมผัสระหว่างคิ้วของแฟนสาวเบาๆ อย่างอ่อนโยน ความจริงเขาก็พอจะรู้สึกได้ตั้งแต่เจอกันวันนี้แล้วว่า แฟนสาวร่างบางของเขามีเรื่องอะไรอยู่ในใจ แต่ด้วยคิดว่าเธอคงกังวลเรื่องงานอีกเหมือนเคยจึงไม่ได้คิดจะซักไซ้อะไรให้มากความนัก



“ปะ เปล่าค่ะ ขับรถดีๆ นะคะ ฝันดีค่ะ” เพียงน้ำพลอยรีบชะล้างสีหน้าครุ่นคิดของตัวเองออก แล้วบอกลาแฟนหนุ่มพร้อมกับรอยยิ้มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ก่อนจะเปิดประตูรถลงไปอย่างเป็นธรรมชาติ ความจริงแล้วก็ใช่ว่าเธออยากจะมีความลับอะไรกับเขา เพียงแต่เธอคิดว่ามันคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่หากให้เขารู้ว่าเธอเอาเวลาที่อยู่กับเขามาคิดเรื่องพรรค์นี้ ซ้ำยังเป็นเรื่องของคนอื่นที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับเขาหรือเธอเลยสักนิด



เพียงน้ำพลอยโบกมือลาแฟนหนุ่มจนเขาขับรถออกไปจากหน้าประตูคฤหาสน์มังกรมุกพอสมควร จึงค่อยเดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับความคิดเลยเถิดที่ยังไม่หายออกไปจากสมองดี ทว่าทันใดนั้นเอง หน้าผากของเธอก็ชนเข้ากับวัตถุแข็งๆ เต็มแรงจนเกิดเสียงดังปั่ก ทำเอาร่างทั้งร่างเซถอยหลังไปหลายก้าว มือบางได้แต่ยกขึ้นคลำหน้าผากป้อยๆ ก่อนจะค่อยๆ ช้อนสายตาขึ้นมาวัตถุตรงหน้าด้วยสายตาเอาเรื่อง หากยังไม่ทันที่คำสบถจะได้หลุดลอยออกไป ดวงตากลมโตก็สบเข้ากับนัยน์ตาสีเขม่าควันของวัตถุที่ว่านั้นเสียก่อน



“ขอโทษสักคำมั้ย” เสียงทุ้มที่ฟังดูเรียบนิ่งทว่าแฝงความยียวนไว้อย่างเคยเอ่ยทักขึ้น ทำเอาเพียงน้ำพลอยชักฉุนคำพูดไร้ยางอายของเขาเสียจนลืมความกระอักกระอ่วนใจในตอนแรกเริ่มไปจนหมด ตัวเองเป็นคนมายืนขวางทางเข้าเองแท้ๆ กลับยัดเยียดคำขอโทษที่ควรจะหลุดออกมาจากปากของตัวเองให้คนอื่นหน้าด้านๆ



“คุณเป็นคนมาขวางทางฉัน คุณหรือเปล่าที่ต้องขอโทษฉันน่ะ!”



“คุณชีครับ ผมยืนอยู่ตรงนี้มาชาติเศษแล้ว คุณนั่นแหละเดินมาชนผม” ฟรานโต้กลับด้วยน้ำเสียงหาเรื่อง ทว่าจนแล้วจนรอดมันก็ยังฟังดูยียวนเหมือนเคย



“แล้วมายืนเป็นยักษ์ปักหลั่นอะไรตรงนี้ไม่ทราบ” เพียงน้ำพลอยเถียงกลับอย่างเผ็ดร้อน ทั้งที่ในใจกลับอดคล้อยตามสิ่งที่เขาพูดขึ้นมาไม่ได้ เมื่อกี้เธอกำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่ บางทีอาจจะไม่เห็นเขายืนอยู่จริงๆ ก็ได้



“ขอโทษด้วยแล้วกันที่มองไม่เห็นคุณในระดับสายตา เลยไม่รู้ว่าจู่ๆ จะมีกระดานไวท์บอร์ดเดินมาชน” ฟรานพูดพลางยกฝ่ามือขึ้นตรงระดับสายตา พร้อมกับตีสีหน้ารู้สึกผิดสุดฤทธิ์ ก่อนจะกระตุกยิ้มที่มุมปากแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้านราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยไม่คิดหันกลับมาสนใจคู่กรณีที่ใกล้จะพ่นไฟใส่แผ่นหลังกว้างที่ค่อยๆ ห่างออกไปของเขาได้อยู่แล้ว



เขาคิดว่าเธอสมองทึบจนไม่รู้ว่าเขากำลังด่าว่าเธอเตี้ยหรือไงกัน!



เธอภาคภูมิใจกับความสูงร้อยเจ็ดสิบเซ็นของตัวเองมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยคิดว่ามันมากหรือน้อยเกินไปเลยสักครั้ง จนกระทั่งที่เขาบอกว่าตัวเองมองไม่เห็นเธอเมื่อกี้นี้ ใช่...หากเทียบกับยักษ์ที่สูงร้อยแปดสิบห้าอย่างเขาเธอก็คงนับว่าเตี้ยกว่า แต่หากเธอจัดอยู่ในหมวดหมู่คนเตี้ยจริง น้ำผึ้งพระจันทร์จะไม่จัดอยู่หมวดคนแคระเลยหรือไง



ว่าแต่ว่าเขากำลังพูดถึงกระดานไวท์บอร์ดอะไรของเขากัน



กระดานไวท์บอร์ด...กระดานไวท์บอร์ดงั้นเหรอ...



หลังจากเค้นสมองขบคิดอยู่หลายวินาที ดวงตากลมโตก็เบิกโพลงขึ้นด้วยความเดือดดาลสุดขีดเมื่อคิดได้ว่าความหมายของสิ่งที่เขาพูดมันร้ายกาจแค่ไหน ไหนจะสายตาดูแคลนที่เขามองเธอเมื่อกี้นี้อีก ใช่...เขาต้องเป็นพวกไม้ป่าเดียวกันอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะคงไม่มีผู้ชายที่ไหนปากร้ายได้ขนาดนี้แน่! เพียงน้ำพลอยกัดฟันกรอดกลั้นเสียงกรีดร้องไว้ในอก ก่อนจะยกมือขึ้นปิดผลผลิตที่แม่ให้มาอย่างเจ็บใจ ทว่าก็ยังไม่วายลอบก้มลงมองมันเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าสิ่งที่คนปากร้ายพูดนั้นเป็นแค่คำกล่าวหา ไม่ได้ใกล้เคียงกับความจริงเลยแม้แต่น้อย



เธออยากจะรู้นักว่าเขาใช้สมองส่วนไหนกันถึงคิดคำพรรค์นี้ออกมาได้



ถึงเธอส่วนนั้นของเธอจะขาวจริง...แต่มันไม่ได้แบนสักหน่อย!!!



ทันทีที่ได้สติ ดวงตากลมโตก็กวาดมองหาคนปากร้ายอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อหวังจะขว้างอะไรสักอย่างปากคน เผื่อความเจ็บปวดจะทำให้เขายั้งปากตัวเองได้บ้างจะได้ไม่มาพูดจารุ่มร่ามกับเธออีก หรือถ้าแม้มันจะไม่มีประโยชน์ในด้านนั้น อย่างน้อยเธอก็ได้บันดาลโทสะในใจสักหน่อย ไม่อย่างนั้นเธอคงถูกเขาปั่นประสาทจนฆ่าคนตายเขาสักวันแน่ แต่จำเลยก็ช่างรู้จังหวะอย่างกับได้ยินความเดือดดาลในใจของโจทก์ยังไงยังงั้น ยิ่งเธอสอดสายตาส่องหาสักเท่าไหร่ ก็ยังไม่คนสูงตระหง่านเป็นตึกแปดชั้นเลยแม้แต่เงา



เพียงน้ำพลอยจึงได้แต่กัดฟันกระทืบเท้าเร่าๆ เข้าไปในบ้านด้วยความเจ็บใจ ดูเอาเถอะขนาดเธอจะกรีดร้องระบายอารมณ์โกรธแค้น เธอยังทำได้แค่ปล่อยให้ความเดือดดาลเล็ดรอดไรฟันออกมาเบาๆ เท่านั้น เพราะกลัวว่าเสียงตัวเองจะไปรบกวนชีวิตอันสงบสุขของครอบครัวมาเฟียเข้า เธออยากจะรู้นักว่าเหวินหยางหลงไปขุดเอาเพื่อนพรรค์มาจากที่ไหนกัน ถึงได้แตกต่างกับตัวเองอย่างกับสวรรค์กับเหวนรกขนาดนี้ จริงสิ...เธอไม่ควรด่วนสรุปเรื่องราวทุกอย่างเร็วขนาดนั้น



บางทีพวกเขาอาจไม่ได้เป็นเพื่อนกันมาแต่แรกก็ได้...





หลังจากอาบน้ำจัดการธุระส่วนตัวของตัวเองจนเสร็จเรียบร้อย เพียงน้ำพลอยก็รีบส่งตัวเองเข้านอนทันที เพราะดูจะมีแค่การพักผ่อนเท่านั้นที่ทำให้เธอลืมเรื่องวุ่นๆ ในวันนี้ได้ ทว่าล้มตัวนอนลงบนเตียงเป็นชั่วโมงแล้วเธอก็ยังข่มใจให้หลับตามตาไม่ได้สักที ดวงตากลมโตที่ซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกตาบางกลิ้งกลอกไปมาด้วยความว้าวุ่นใจ ร่างบางในชุดนอนกระโปรงแขนยาวสีขาวจึงได้แต่พลิกตัวกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่าตัวเองควรปล่อยให้ใจอยู่เหนือสมอง ออกคำสั่งเด็ดขาดให้ตัวเองลุกจากเตียงลงไปชั้นล่างในเวลาดึกดื่นเที่ยงคืนอย่างนี้ดีหรือเปล่า



แต่มันจะยังมีวิธีไหนระงับความหิวได้ดีกว่าการกินอีกกัน...



ในที่สุดร่างบางระหงก็วางเหตุผลอันสมควรไว้บนหมอนห่มผ้าให้มันเสร็จสรรพ แล้วเตรียมตัวพาตัวเองลงไปตามหาหัวใจที่ลอยละล่องลงไปอยู่ที่ตู้เย็นตั้งนานแล้ว เธอค่อยๆ บิดลูกบิดประตูอย่างเบามือ ก่อนจะเตรียมก้าวออกไปอย่างมั่นคง ทว่ายังไม่ทันจะได้ก้าวออกไปไหน สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าก็ทำให้เธอเกือบจะเผลอระบายความเบื่อหน่ายผ่านลมหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอย่างลืมตัว มันก็จริงอยู่ที่ดึกดื่นป่านนี้คงไม่มีใครออกมาเดินเผ่นพ่านแล้ว แต่เปิดไฟเอาไว้สักดวงมันจะกินค่าไฟสักเท่าไหร่กัน เรื่องคิดเล็กคิดน้อยนี่ไม่มีทางเป็นความคิดของคนเป็นประมุขมาเฟียคนนั้นแน่ และคงไม่มีทางเป็นใครอื่นไปได้นอกจากยัยแม่มดน้ำผึ้งพิษจอมขี้งก แต่ก็นับว่าโชคยังดีที่อุปสรรคมาให้เห็นตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง เธอจะได้รู้ว่าตัวเองควรเอาเครื่องนำทางติดตัวไปด้วย ร่างบางจึงวกกลับเข้าไปในห้องเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วค่อยๆ ย่องลงไปยังห้องครัวด้านล่างด้วยฝีเท้าที่เบายิ่งกว่าแมวเก้าตัวเก้าชีวิตรวมกันทันที



เธอค่อนข้างแน่ใจว่าตู้เย็นของน้ำผึ้งพระจันทร์ไม่มีทางว่างเปล่าไร้ของอร่อยติดตู้เย็น เพราะฉะนั้นยังไงเสียคืนนี้เธอก็ไม่มีทางอดตายแน่ เอาไว้พรุ่งนี้เธอค่อยไปสารภาพบาปกับเจ้าของบ้านก็แล้วกันว่าเธอลงมาหาอะไรกินตอนดึก ถ้าอะไรหายไปจากตู้เย็นก็ไม่ต้องสืบหาความเอากับคุณนโปเลียนเจ้าแมวดำขนฟูจอมเอาแต่ใจให้เสียเวลา เมื่อเท้าบางๆ ทั้งสองข้างก้าวลงจากบันไดขั้นสุดท้ายของคฤหาสน์ ริมฝีปากบางได้รูปก็เผลอหยักยิ้มขึ้นอย่างลิงโลดเมื่อคิดได้ว่าสิ่งที่ตนปรารถนาอยู่ห่างจากตัวไม่ถึงสิบก้าวแล้ว ไวเท่าความคิดสองเท้าก็สาวเข้าไปหาตู้เย็นที่แสงไฟในโทรศัพท์สาดไปหาอย่างมุ่งมั่น



ทว่าชั่ววินาทีนั้นเอง...



แชะ!



แสงแฟลชสว่างวาบไปทั่วบริเวณกับเสียงชัตเตอร์ที่ดังขึ้นในวินาทีเดียวกัน ทำให้เพียงน้ำพลอยยืนตัวแข็งทื่อไปทั่วทั้งร่าง ทั้งยังเป็นท่าที่เธอกำลังย่องเข้าไปหาตู้เย็นซึ่งอยู่ห่างไปไม่ถึงก้าวดีอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ เพียงน้ำพลอยจึงหันขวับไปหาต้นตอเสียงหายนะตาขวาง ก่อนจะเห็นว่าร่างสูงตระหง่านอันคุ้นเคยนั้นกำลังย่อตัวลงถ่ายรูปเธอด้วยโทรศัพท์มือถือ ท่าทางราวกับช่างภาพมืออาชีพ นัยน์ตาคมกริบจึงถลึงจ้องคู่อาฆาตราวกับต้องการถลกหนังกระชากเอ็นมันทิ้งทั้งโทรศัพท์ทั้งเจ้าของก็ไม่ปาน ทว่าร่างทั้งร่างของเธอกลับยังทำได้ดีที่สุดก็แค่ยืดตัวตรงแล้วกลับมายืนในท่วงท่าที่คนดีๆ เขายืนกันเท่านั้น



“เป็นชีอยู่ดีๆ ริเป็นแมวขโมยรึไง” คนร่างสูงกดบันทึกรูปอย่างสบายอารมณ์ก่อนจะเงยหน้ามองคนตรงหน้าด้วยท่าทางยียวนกวนประสาทอย่างเคย



“จะเป็นอะไรมันก็เรื่องของฉัน นายนกหงส์หยก!” ฟรานยิ้มรับคำเรียกขานจากอีกฝ่ายอย่างไม่ยี่หระ แม้จะยังไม่รู้ที่มาแน่ชัดว่าทำไมเธอเอาแต่ถึงเรียกเขาแบบนั้น แต่ในเมื่อเขาพอใจจะเรียกขานเธอด้วยถ้อยคำอื่นนอกจากชื่อ เขาก็จะถือเสียว่าเธอมีสิทธิ์นั้นไม่ต่างกัน ตราบใดที่มันไม่หยาบคายจนเกินไปนัก และสรรพนามที่เปลี่ยนไปทุกครั้งเมื่ออารมณ์เดือดนั้นมันไม่แสลงหูสะเทือนใจขั้นรุนแรง เขาก็นึกเสียว่ามันเป็นชื่อเล่นที่เอาไว้ให้เพื่อนเรียกขำๆ ก็แล้วกัน



“เอาโทรศัพท์มานี่” เพียงน้ำพลอยออกคำสั่งเสียงเฉียบพร้อมกับยื่นมือออกไปขอโทรศัพท์จากเขา ทั้งที่ในใจก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าคำตอบที่กำลังจะได้ยินจะเป็นคำตอบประเภทไหน



“ผมไม่ชอบให้ใครโทรมากวนเวลานอน เพราะฉะนั้นอย่าหวังว่าผมจะให้เบอร์คุณง่ายๆ เลย”



“ใครเขาอยากได้เบอร์นายไม่ทราบ! ถ้าไม่อยากส่งโทรศัพท์มาก็ลบรูปฉันทิ้งตอนที่ฉันยังพูดดีๆ อยู่” เขาคิดว่าเธอขอโทรศัพท์เขามาเพื่อโทรเข้าเครื่องตัวเองหรือไงกัน อะไรจะหลงตัวเองได้ปานนั้น



และเพื่อจะรับมือกับหลงตัวเองตรงหน้า เธอจึงทำได้แค่งัดความอดทนเฮือกสุดท้ายออกมาใช้แล้วต่อรองออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก หากคนร่างสูงตรงหน้ากลับเอาแต่กระตุกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์พลางยักไหล่ทั้งสองข้างขึ้นอย่างไม่ยี่หระ ราวกับต้องการประกาศท้ารบกับเธอว่า หากเธอเก่งกล้าสามารถจริงอย่างปากว่าก็ลองดู



มือบางเอื้อมไปฉวยโทรศัพท์ในมือคนเจ้าเล่ห์อย่างว่องไว หากในฝ่ามือหนานั้นกลับเหลือเพียงแค่ความว่างเปล่า เพราะเจ้าของเครื่องเอาแต่โยนกลับไปกลับมาระหว่างสองมืออย่างสนุกสนาน ก่อนจะยกมันขึ้นเหนือศีรษะจนสุดแขน คนที่ความสูงอ่อนด้อยกว่าจึงได้แต่เขย่งไปพลางกระโดดไปพลางเพื่อไขว่คว้าหลักฐานชิ้นเดียวในมือเขากลับมา ทว่าจนแล้วจนรอดเธอก็ยังคว้าได้แต่ลม ส่วนเขาก็ยังเอาแต่ย้ายมันไปไว้ในมือนั้นทีมือนี้ที ทำราวกับกำลังหยอกล้อกับสัตว์เลี้ยงในบ้านยังไงยังงั้น ฟางเส้นสุดท้ายที่บางลงเต็มทีจึงขาดสะบั้นลงในวินาทีนั้นเอง



“ฉันไม่ไหวกับนายแล้วนะ! จะจองล้างจองผลาญกันไปถึงไหน ฉันเคยไปแย่งแฟนนายรึไง!!” สิ้นเสียงตวาดลั่นอย่างลืมตัว ความเงียบก็เข้าปกคลุมทั้งบริเวณไปหลายวินาที ดวงตากลมโตดุจไข่มุกดำกลิ้งกลอกไปมาเพราะไม่รู้ว่าตัวเองควรพูดอะไรออกไปดี ได้แต่เสมองทางอื่นหลบนัยน์ตาสีเขม่าควันนั้นไปเรื่อย ไม่ยอมปล่อยให้สายตาคมดุจกริชดาบได้มีโอกาสสบเข้ากับสายตาของเธอตรงๆ



เธออยากจะฉีกปากตัวเองทิ้งเสียจริงๆ ทั้งที่ปกติก็ควบคุมตัวเองได้ดี ไม่ว่าจะพูดจะคิดอะไรล้วนไม่เคยต้องมาเสียใจทีหลังว่าตัวเองทำเรื่องพรรค์นั้นไปได้ยังไง แต่กับเขาเธอกลับยั้งใจอะไรไม่ได้สักอย่าง ถูกเขาปั่นประสาททีไรเป็นได้ทำเรื่องเหนือความคาดหมายออกมาทุกที และคราวนี้มันออกจะเหนือความคาดหมายและเหนือขอบเขตไปแล้วด้วย เธอกล้าเอาปมของคนอื่นมาล้อเล่นแบบนี้ได้ยังไงกัน



“แย่งแฟน...ผม” ฟรานถามเน้นย้ำทีละคำด้วยความงุนงง ทั้งยังเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าผู้หญิงตรงหน้าเสียสติไปแล้วหรือเปล่า ถ้าเขาจะมีแฟนแฟนเขาก็ต้องเป็นผู้หญิง ส่วนเธอก็ต้องคบหากับผู้ชาย แล้วเธอจะมาแย่งแฟนเขาที่เป็นผู้หญิงไปทำไม



“ฉันขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจะจี้ปมนายหรอกนะ เอาเป็นว่านายลบรูปฉัน ฉันขอโทษนาย แล้วก็จะไม่เอาเรื่องของนายไปบอกใครด้วย ยุติธรรมรึยัง” เพียงน้ำพลอยต่อรองเสียงอ่อน ขณะที่ในใจก็ยังรู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองพูดไปไม่หาย



ทว่าคนที่ถูกเข้าใจว่าโดนจี้ปมกลับไม่มีทีท่าว่าจะพอใจกับข้อเสนอของเธอเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังดูจะไม่พอใจมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก หรือเธอยังพูดอะไรผิดไปอีก หน้าเขาถึงได้เขียวคล้ำอย่างกับจะพุ่งเข้ามาหักคออย่างนั้นแหละ ใช่...เมื่อกี้เธอคงจะวางอำนาจเกินไปหน่อย คำพูดที่หลุดออกไปจึงไม่ต่างเธอกำลังขู่กรรโชกเขาเลยสักนิด



ได้! เธอผิดเธอรับอยู่แล้ว!



“ได้ๆ นายไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้ เอาเป็นว่าฉันขอโทษ ต่อไปจะไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของนายอีก คราวนี้ใช้ได้รึยัง” ในที่สุดเขาก็พอจะจับใจความสิ่งที่เธอพูดได้บ้างแล้ว แม้จะยังไม่รู้ว่าเธอไปเรื่องไร้สาระพรรค์นี้มาจากไหน แต่ฟังจากน้ำเสียงนุ่มหวานที่ถูกปรับให้อ่อนละมุนกว่าเคยเกือบสามเท่าของเธอแล้ว เขาก็เกือบจะหลุดเสียงแค่นหัวเราะออกมาให้กับความพยายามชดเชยความผิดของเธอ เขาไม่ยักรู้ว่าเธอเป็นคนมีความรับผิดชอบและเห็นใจคนอื่นขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วอย่างนี้เขาควรจะทำยังไงกับแม่ชีคนดีที่สุดในสามโลกตรงหน้านี้ดีกันล่ะ...



ร่างสูงที่อยู่ห่างออกไปประมาณสองก้าว ยืนจ้องท่าทางสำนึกผิดราวกับเด็กถูกจับได้ว่าทำแจกันแตกอย่างไม่ละสายตา พร้อมกับที่มือทั้งข้างนั้นยกขึ้นเท้าสะเอวอย่างเอาเรื่อง เพียงไม่ถึงชั่วอึดใจ สองเท้าก็ค่อยๆ ย่างสามขุมเข้ามาหาคนร่างบางทีละก้าว ทว่าท่าทางใจเย็นจนเกินพอดีกับสีหน้าเย็นเยียบดุจหมาป่าหนุ่มกำลังจะขย้ำเหยื่อของเขานั้น ทำเอาเพียงน้ำพลอยแทบไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองเขาตรงๆ ได้แต่ถอยหลังหนีการจู่โจมของเขาไปเรื่อยๆ จนในที่สุดสะโพกกลมกลึงก็ชนเข้ากับโต๊ะทำอาหารกลางห้องครัวเข้าจนได้



เมื่อไม่เหลือทางให้หนีอีก หญิงสาวจึงได้แต่คุมร่างทั้งร่างของตัวเองให้หยุดสั่นเทิ้มราวกับคนขี้ขลาดเสียที จะยังไงเสียที่นี่ก็ยังมีน้ำผึ้งพระจันทร์อยู่ จะดีจะร้ายยังไงเขาก็ยังต้องไว้หน้ากันบ้าง ฉะนั้นเขาไม่มีทางกล้าทำอะไรเกินเลยแน่



แต่ทั้งที่รู้อย่างนั้น นัยน์ตาทั้งสองข้างของเธอกลับเอาแต่ลุกลี้ลุกลนจะหลบสายตาคมๆ ของเขาอยู่ร่ำไป ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบสายตาร้อนระอุที่เอาแต่แผ่ออกมาลวกผิวเธอเสียจนรู้สึกร้อนไปทั้งตัวสักที



ชั่ววินาทีนั้นเอง คนร่างสูงก็นั่งยองๆ ลงกับพื้นแล้วใช้ลำแขนหนาของตัวเองโอบรัดปลีน่องขาวละเอียด แล้วยกร่างเบาโหวงของเธอขึ้นพาดบนบ่าแกร่งข้างหนึ่งอย่างง่ายดาย ทำเอาคนยังไม่ทันตั้งตัวตกใจจนแทบหลุดเสียงกรีดร้องออกมาลั่นบ้าน ยังดีที่จิตใต้สำนึกเธอยังพอนึกได้ว่าเมื่อครู่เธอเผลอตวาดเขาเสียงดังแค่ไหน ขืนคราวนี้เธอร้องตะโกนขึ้นอีกแม้แต่คำเดียว คนทั้งคฤหาสน์คงได้แห่กันมาดูเธอถูกผู้ชายคนอื่นอุ้มพาดบ่าเดินไปเดินมาอยู่กลางบ้านแน่



“ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้!!!!” เพียงน้ำพลอยตวาดด้วยเสียงที่เบาลง หากก็ยังไม่วายทุบตีแผ่นหลังหนาด้วยกำปั้นหนักๆ ของตัวเองอย่างเต็มแรง หากยังไม่ทันที่เธอจะได้ออกคำสั่งเขาอีกครั้ง คนร่างสูงก็โยนเธอลงบนโซฟาตัวใหญ่กลางห้องรับแขก ก่อนจะโถมตัวลงมาทับร่างทั้งร่างของเธอเอาไว้ จนทุกส่วนในร่างกายแนบชิดติดกันทุกตารางนิ้ว



“จะบ้ารึไงล่ะ! ปล่อย!!!!!” เพียงน้ำพลอยเริ่มขึ้นเสียงพลางออกแรงทั้งทุบทั้งผลักคนเหนือร่างอย่างตื่นตระหนก ทว่ายิ่งเธอดิ้นรนมากเท่าไหร่พื้นที่ส่วนต่างๆ ที่แนบชิดติดกันก็ยิ่งเบียดเสียดกันแน่นขึ้นกว่าเดิม ซ้ำกำปั้นน้อยๆ ที่ดูจะรังแต่จะสร้างความรำคาญไม่ได้สร้างความเจ็บปวดใดๆ ให้คนเหนือร่างเลยแม้แต่น้อยก็ถูกรวบขึ้นไปอยู่เหนือศีรษะอย่างง่ายดายในเวลาไม่ถึงวินาที



“ฉะ...ฉัน ฉันมีแฟนแล้วนะ” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเสียจนฟังแทบไม่ได้สรรพ ทว่าใบหน้าหล่อเหลาดุจหยกสลักกลับไร้วี่แววว่าจะใส่ใจกับคำพูดของคนใต้ร่างแม้สักครึ่งคำ ยังคงดึงดันจะโน้มหน้าลงไปหาดวงหน้าสวยหวานที่ตื่นกลัวเสียจนซีดเผือด ริมฝีปากและจมูกได้รูปค่อยๆ เคลื่อนที่ลงไปจนได้กลิ่นอายหอมหวานคล้ายสตรอเบอร์รี่เคลือบช็อคโกแลตจางๆ คนร่างสูงที่เดิมตั้งใจจะแกล้งคนเล่นเท่านั้น โทษฐานที่เธอบังอาจสงสัยในความเป็นลูกผู้ชายของเขา ทว่าวินาทีที่ริมฝีปากแดงระเรื่อดุจผลสตรอเบอร์รี่อยู่ห่างจากริมฝีปากเขาไม่ถึงเซ็นนี้ เขาชักเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้วว่าตัวเองต้องการอะไรมากกว่ากัน...



ระหว่างสั่งสอนให้เธอหลาบจำ...กับลิ้มรสความหอมหวานยั่วใจตรงหน้าสักครั้ง...



ซ้ำร้ายยิ่งเขาขยับลงใกล้ดวงหน้าสวยหวานนั้นใกล้เท่าไหร่ ความซีดเผือดที่เดิมเคลือบฉาบอยู่ทั่วทั้งดวงหน้าก็ยิ่ง ถูกซับด้วยสีกุหลาบจนพวงแก้มทั้งสองแดงปลั่งยวนขึ้นเรื่อยๆ ราวกับต้องการทดสอบศีลธรรมจรรยาเขายังไงยังงั้น



“คิดจะแย่งแฟนผม สู้แย่งผมไปแต่แรกไม่ดีกว่ารึไง...” ลำคอร้อนระอุเพราะถูกเผาผลาญด้วยไฟปราถนาเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงแหบพร่า



“ยะ...อย่านะ...” หญิงสาวพยายามเปล่งเสียงออกจากลำคอที่ชักจะแห้งผากขึ้นเรื่อยๆ ออกไปอย่างยากเย็น หากยังไม่ทันจะทันได้เอื้อนเอ่ยจนจบความ ลมหายใจร้อนระอุก็เคลื่อนลงมาเผาผลาญสติที่ใกล้จะหลุดลอยออกจากร่างของเธออีก



ทว่าทันใดนั้นเอง...



#สำหรับความหน้าด้านหน้าทนของอีเฮียฟรานนั้น ไร้หนทางเยียวยาจริงๆ ค่ะ จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป อย่าลืมมาเอาใจช่วยน้ำพลอยกันต่อน้าา

#เม้น+โหวตเป็นกำลังใจให้กันสักนิด ไรท์ก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งแล้วจ้าา



พริมสิตางศุ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 เม.ย. 2560, 04:07:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 เม.ย. 2560, 04:07:28 น.

จำนวนการเข้าชม : 915





<< Chapter 2 : ขุดคุ้ย   Chapter 4 : ซ่อนหา >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account