The D.O.L.L.S โศกนาฏกรรมปีศาจตุ๊กตามหาเวท
"นักขายความฝันผู้เลือดร้อน & นักโทษประหารผู้เริงร่า & หัวขโมยผู้เย็นชา"
ต่างถิ่น ต่างความคิด ต่างอาชีพ ต่างนิสัย ต่างจุดมุ่งหมาย ต่างเผ่าพันธุ์
กลับต้องมาอยู่ด้วยกันเพราะเหตุบางอย่าง... The D.O.L.L.S

ตุ๊กตาปีศาจมีลักษณะรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ

ถ้าอย่างนั้น...จะรู้ได้อย่างไร?
...เป็นปีศาจ...หาใช่มนุษย์ไม่...

ระวังไว้ให้ดี...ทุกอย่างอาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา...

...ที่ใครบางคนสร้างขึ้นเท่านั้น...

สงครามระหว่างผู้มีพลังเวทกับมนุษย์ธรรมดา
ใครจะอยู่รอดเป็นผู้กำชัยชนะ!?


- ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านจากใจจริง -
แผนที่นครเซ็นทรัม http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/map122e1.jpg
Tags: ตุ๊กตา,ปีศาจ,คำสาป,เวทมนตร์,สงคราม,แฟนตาซี,ผู้ใช้เวท,มนุษย์,โศกนาฏกรรม,mystery

ตอน: Episode 23 : || ความจริงหรือภาพลวงตา ||



EPISODE 23

ความจริงหรือภาพลวงตา



“พักกันอีกแล้วเหรอ” มิเวลหันไปถามเอเวน เธอเริ่มรู้สึกร้อนใจเพราะเรื่องแผนที่ต้องคำสาปทำให้เธอกังวล จำได้ว่าไม่มีหุบเขาและทะเลสาปอยู่ใกล้ๆ ฟรอซเซล แต่ทำไมแผนที่ถึงแสดงให้เห็นว่ามีสถานที่แบบนั้นอยู่ เพราะฉะนั้นเธอจึงต้องรีบไปพิสูจน์ด้วยตาของตัวเอง

“ถ้าเจ้าไม่อยากพัก ขับเองก็แล้วกัน” เสียงเรียบกล่าว พร้อมกับลุกจากที่นั่งคนขับ เหลือบสายตามองร่างเล็กหน้าประตูก่อนจะผายมือออกเป็นเชิงบอกให้มิเวลมาขับแทน

เด็กสาวกลืนน้ำลายลงคอ ร่างเล็กยืนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น สายตามองไปยังที่นั่งคนขับด้วยท่าทีลังเล ถึงเคยคิดอยากจะหัดขับเคอาร์ แต่พอจะได้ขับจริงๆ เธอก็ชักรู้สึกกลัวขึ้นมา

“กลัวเหรอไง” คำถามจี้ใจดำจากเด็กหนุ่มร่างสูง

“ใครบอกว่าข้ากลัวกัน” เสียงแข็งตอบอย่างมั่นใจ แล้วรีบเดินไปนั่งแหมะตรงที่นั่งคนขับ เอเวนลอบอมยิ้มกับตัวเองอย่างขำขัน เขารู้ว่าเมื่อครู่อีกฝ่ายพูดปากไม่ตรงกับใจ

มิเวลตั้งสมาธิกับการขับเคอาร์ครั้งแรกในชีวิตของตนเอง คิดภาพของเอเวนตอนขับเคอาร์ในหัวแล้วทำตามไปทีละอย่าง เธอเคยเห็นเอเวนกดปุ่มอะไรไม่รู้ด้านหน้าก่อนแล้วค่อยๆ เลื่อนเศษเหล็กข้างๆ นี่ขึ้นช้าๆ จากนั้น...

รถเคอาร์พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเหมือนมีแรงดีดตัว ก่อนจะกระตุกรุนแรงแล้วหยุดนิ่งอยู่กับที่เพราะเครื่องดับสนิท หัวใจของผู้เป็นคนขับเต้นโครมครามด้วยความตกใจ มือกำเศษเหล็กด้านข้างไว้แน่น นัยน์ตาสีแดงเพลิงเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนกค่อยๆ เหลือบไปมองคนข้างๆ เด็กหนุ่มเกือบจะล้มหัวฟาดพื้นไปแล้วหากมือของเขาไม่ได้ยึดเก้าอี้เอาไว้พอดี สายตาตำหนิจ้องมายังเธอโดยไม่ปิดบัง มิเวลรีบยืดตัวขึ้น หลบสายตา หันกลับไปมองทางข้างหน้าพร้อมกับหัวเราะแห้งๆ พยายามคิดปฏิเสธในใจไปพร้อมกันว่าเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ไม่ใช่ความผิดของเธอ เจ้าเศษเหล็กนี่มันต้องมีอะไรผิดปกติต่างหาก

“ขอลองอีกที เมื่อกี้ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้นแหละ” ร่างสูงขมวดคิ้วเข้าหากัน มองคนทำเก่งอย่างรู้ทัน เมื่อกี้นี้มิเวลไม่ได้ล้อเล่นแน่ๆ

เครื่องยนต์ติดเป็นครั้งที่สอง แต่ก็ดับอีกหนแทบจะทันทีเพราะความไม่ได้เรื่องของคนขับ เด็กสาวกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ รู้สึกได้ถึงไอเย็นเฉียบจากคนข้างกาย แม้จะหน้าแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่คนไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ก็ยังคงดื้อดึงติดเครื่องอีกครั้ง

เวลาผ่านไปเกือบครึ่งวันการขับเคอาร์ก็ยังคงไปไม่ถึงไหน เพราะมิเวลทำเครื่องดับอยู่ตลอด ระยะทางตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงตอนนี้รวมกันแล้วได้ประมาณแค่ห้าเมตรกว่า แม้กระทั่งได้ฟังคำอธิบายจากเอเวนก็ยังคงไม่เป็นผล จนในที่สุดเขาก็ต้องเป็นคนขับเองเพราะเครื่องติดๆ ดับๆ เป็นการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงไปโดยใช่เหตุ

“ให้ข้าลองขับด้วยสิ” วอลเสนอตัวอย่างตื่นเต้นหลังจากเข้ามายืนดูเอเวนขับเคอาร์ด้วยอีกคนอยู่พักหนึ่ง เนื่องจากเป็นเวลาเย็น อากาศจึงไม่ร้อนทำให้เขาออกมาเดินเตาะแตะอยู่นอกแคปซูลได้

“เชิญเลย” มิเวลตอบอย่างยินดี คิดอย่างมั่นใจว่าเจ้าบ้าวอลไม่มีทางขับได้แน่นอน ส่วนเอเวนหันมาค้อนเธอทางสายตา ก่อนจะลุกให้อย่างไม่เต็มใจ คนนึกหมั่นไส้เจ้าคนขี้เก๊กจึงแอบหันไปเบ้ปากพร้อมกับยิ้มกวนๆ ใส่อีกฝ่าย เธอรู้ดีว่าเจ้าบ้าเอเวนไม่ชอบวอล เพราะฉะนั้นต้องแกล้งซะให้เข็ด

แต่แล้วคนที่น่าหมั่นไส้ที่สุดกลับกลายเป็นหนุ่มหน้าหวานพร้อมรอยยิ้มทะเล้นไปเสียนี่

เด็กสาวอ้าปากค้างเมื่อวอลขับเคอาร์ได้ลื่นไหลนุ่มนวล แถมเครื่องไม่ดับอีกต่างหาก เจ้าตัวยุ่งหันมาส่งยิ้มกวนๆ ให้ทีหนึ่งหลังจากเดาออกว่าแรงกระชากอยู่เรื่อยๆ ตั้งแต่ตอนกลางวันคงมาจากการที่มิเวลหัดขับรถเคอาร์แหงๆ

“เจ้าใจร้อนเกินไป ต้องค่อยๆ ผ่อนแรงมือขวาตอนเลื่อนไอ้นี่ไปด้านหน้า” เสียงสดใสชี้แจงพร้อมกับแสดงให้ดูเป็นตัวอย่าง

“เรื่องนั้นข้ารู้แล้ว” เด็กสาวพูดอย่างหงุดหงิด เอเวนก็บอกเธอแบบนี้เหมือนกัน แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็ทำไม่ได้สักที

ผู้ทำหน้าที่เป็นสารถีตั้งแต่ต้นเดินหายออกไปจากห้องบังคับ ในเมื่อมีคนขับเคอาร์ได้อีกคนเขาจึงละทิ้งหน้าที่สารถีชั่วคราว เดินกลับไปยังห้องของตัวเอง แต่ยังไม่ทันจะได้เปิดประตูห้อง ความรู้สึกบางอย่างก็แวบเข้ามา มือขวาค้างอยู่ในท่าจับลูกบิดประตู

เขตอาคม...!

ร่างสูงวิ่งกลับไปยังห้องบังคับทันที ได้ยินเสียงมิเวลตะโกนโวยวายอะไรสักอย่างใส่เจ้าตัวแคปซูลดังออกมา เด็กหนุ่มเปิดประตูผลัวะเข้าไปพร้อมร้องตะโกนลั่น

“ตุ๊กตาปีศาจ!”

เคอาร์หยุดกะทันหันหลังจากวอลใช้มือดึงคันบังคับเบรกแบบฉับพลันเพราะความตกใจ เด็กสาวหันมามอง บรรยากาศเครียดตึงขึ้นทันควัน

“ในป่าน่ะเหรอ มีกี่ตัว” เสียงเครียดเอ่ยถาม คงต้องพักเรื่องหัดขับเคอาร์ไว้ก่อนแล้ว แต่เธอก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความฉงนเมื่อเห็นเอเวนส่ายหน้าน้อยๆ

“...มันอยู่ในเขตอาคม”

มิเวลและวอลหันไปมองหน้ากันเองทันที เธอคิดว่าวอลคงไม่ค่อยเข้าใจเพราะเธอเห็นความสงสัยแฝงชัดอยู่ในดวงตาสีเงินสว่างคู่นั้น แต่ตอนนี้ไม่มีเวลามาอธิบายให้เจ้าคนไม่รู้เรื่องรู้ราวฟัง เด็กสาวขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างครุ่นคิด ตุ๊กตาปีศาจบุกทะลวงเข้ามาในเขตอาคมได้อย่างนั้นหรือ เป็นไปได้ยังไงกัน

“ทำลายเขตอาคมเข้ามาได้งั้นเหรอ” น้ำเสียงร้อนรนหันไปถามเจ้าของเวทเขตอาคม แล้วเธอก็ต้องแปลกใจที่เห็นเอเวนส่ายหน้าอีกครั้ง

“ข้าไม่รู้สึกเลยว่าเขตอาคมถูกทำลาย”

หมายความว่ายังไงกัน

เกิดคำถามขึ้นในใจของมิเวลทันที สายตาไม่เข้าใจมองตรงไปยังร่างสูงตรงหน้า ตุ๊กตาปีศาจอยู่ในเขตอาคม แสดงว่ามันก็ต้องอยู่ในรถเคอาร์นี่งั้นสิ ในเมื่อเขตอาคมยังไม่ถูกทำลาย แล้วมันเข้ามาได้อย่างไร

วอลลุกขึ้นยืน มองไปคนโน้นทีคนนี้ที เขาไม่กล้าถามอะไรเพราะกลัวว่าจะเป็นการรบกวน ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงพยายามทำความเข้าใจเอาเองในหัว เรื่องเวทมนตร์เขตอาคมอะไรนั่นเขาไม่ค่อยเข้าใจ แต่พอจะตีความได้จากสีหน้าของเพื่อนทั้งสองว่ามีศัตรูอยู่ใกล้ๆ นี้

ความเงียบสงัดทำให้มิเวลได้ยินแม้กระทั่งเสียงหัวใจตัวเองเต้น ก้มมองพื้นพลางคิดหาคำตอบอย่างบ้าคลั่งในหัวว่าตุ๊กตาปีศาจขึ้นมาอยู่บนเคอาร์ได้อย่างไร

“...เด็กมนุษย์นั่น...” เสียงพึมพำดังมาจากเอเวน เรียกให้เธอเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าเคร่งเครียดของอีกฝ่าย

“...เจ้าจะบอกอะไรกันแน่” เสียงสั่นน้อยๆ เอ่ยถาม พร้อมกับคิดปฏิเสธคำตอบที่ค่อยๆ ผุดขึ้นมาในหัวทีละนิดหลังจากได้ยินคำพูดที่เหมือนเป็นคำบอกใบ้ของเอเวน

“ถ้ามันแค้นเรื่อง...”

“นี่มันผ่านไปแค่ไม่กี่วันเองนะ”

“ความแค้นทำให้หน้ามืดตามัว แค่วันเดียวก็สามารถทำเรื่องโง่ๆ ได้แล้ว”

ร่างเล็กค่อยๆ เดินถอยห่างพร้อมกับส่ายหน้าไปมา ปฏิเสธเด็ดขาดว่าไม่มีทางเป็นตามที่เอเวนพูดได้ ภาพของเด็กชายกำลังยิ้มร่าเริงปรากฏขึ้นชัดเจนในหัว เพกัสอายุไม่ถึงสิบขวบด้วยซ้ำ เด็กอายุแค่นั้นจะมีความคิดต้องการล้างแค้นได้อย่างไรกัน เขาเป็นแค่เด็กน้อยน่ารักคนหนึ่งเท่านั้น

เอเวนยืนมองสีหน้าเจ็บปวดของมิเวลด้วยสายตานิ่งๆ ปกปิดความรู้สึกสับสนในใจไม่ให้แสดงออกไปทางสีหน้า เขายังคงไม่เข้าใจความรู้สึกเห็นใจหรือเจ็บปวดแทนมนุษย์ธรรมดาของเด็กสาวเลยแม้แต่นิดเดียว ทำไม เพราะอะไรกันผู้ใช้เวทอย่างมิเวลถึงมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจพวกมัน เขาไม่เข้าใจ และไม่มีวันเข้าใจ

“...เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ” วอลถามขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ ทำลายความเงียบ ถึงตรงนี้เขาเดาอะไรต่อไม่ออกแล้ว แต่ก็ไม่มีใครยอมตอบคำถามนั้นของเขา นัยน์ตาสีเงินมองเพื่อนอีกสองคนสลับกันไปมา ทั้งคู่เหมือนตกอยู่ในภวังค์ของตนเอง แต่ก่อนที่เขาจะได้ถามซ้ำอีกครั้ง เสียงระเบิดจากอีกด้านของเคอาร์ก็ดังขึ้น จากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมอีกครั้ง

“อ่า...ไม่ถามแล้วก็ได้” เด็กหนุ่มกระแอมเสียงเล็กน้อยก่อนจะพึมพำเสียงอุบอิบ แล้วจมอยู่ในภวังค์ของตัวเองด้วยอีกคน

เอเวนเดินไปที่ประตู เหลือบสายตามองมิเวลแวบหนึ่งแล้วเดินออกไป ร่างเล็กยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ในใจปฏิเสธว่าเมื่อกี้ไม่มีเสียงอะไรทั้งนั้น รวมทั้งปฏิเสธความกลัวที่กำลังก่อรวมตัวขึ้นในหัวใจ เด็กสาวคิดย้ำกับตัวเองว่าเพกัสยังคงนอนหลับสนิทอยู่ในห้องของเธอ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น เธอแค่หูฝาดไปเอง

“มิเวล...” เสียงเรียกเบาๆ จากวอลทำให้เด็กสาวหลุดจากห้วงความคิดของตัวเอง พอหันไปมองก็เห็นเขากำลังจ้องเธอด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“เป็นอะไรล่ะ ทำหน้าแบบนั้นไม่สมกับเป็นเจ้าเลยนะ” เสียงราบเรียบเอ่ยพร้อมกับปรับสีหน้าให้เป็นปกติ นึกถึงสีหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลาของเจ้าบ้าวอลแล้ว ใบหน้าเคร่งเครียดแบบนั้นไม่สมกับเป็นเขาจริงๆ นั่นแหละ นี่เธอแสดงความอ่อนแอออกมาจนถึงกับทำให้เจ้าบ้านี่ต้องทำหน้าแบบนี้เลยงั้นเหรอ

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ ปกติเจ้าต้องวิ่งไปแย่งเอเวนจัดการศัตรูแล้วนี่”

“ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ ข้าแค่รู้สึกเหนื่อยๆ น่ะ” เด็กสาวบอกปัดพร้อมกับหลบสายตาอีกฝ่ายด้วยการเบือนหน้าหนี

วอลยืนมองมิเวลอยู่พักหนึ่ง ถอนหายใจน้อยๆ ให้กับการโกหกไม่เก่งของอีกฝ่าย แล้วเรียบเรียงข้อมูลในหัวมาวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว... ศัตรูบนรถเคอาร์ คนเปลี่ยนแขนเป็นอาวุธ ตุ๊กตาปีศาจ เด็กมนุษย์ ผ่านไปไม่กี่วัน แค้น...

พอจะรู้คร่าวๆ แล้วว่าเด็กที่ชื่อเพกัสคงกลายเป็นศัตรูและมิเวลพยายามปฏิเสธความจริงนั้น

“ไม่ไปเจอหน้าจะดีเหรอ” เสียงเรียบเอ่ยถาม ในใจคิดภาพตุ๊กตาปีศาจที่เคยเจอก่อนหน้านี้ เขาพอเดาออกว่าตุ๊กตาพวกนั้นคงไม่มีความทรงจำอะไรหลงเหลือ แสดงว่าถ้าเด็กที่ชื่อเพกัสนั่นกลายเป็นศัตรูขึ้นมาจริงๆ บางทีอาจจะจำมิเวลไม่ได้เลยก็ได้

“เจอใครล่ะ”

“เด็กคนนั้นไง ถึงเขาจะกลายเป็นศัตรูไปแล้ว แต่เจ้าอยากให้จากกันแบบนี้งั้นเหรอ”

คนถูกถามเงียบไป เด็กสาวกัดริมฝีปากของตัวเองพร้อมกับที่ความรู้สึกปวดแปลบเริ่มกัดกินไปทั่วทั้งร่าง ภาพเด็กชายยิ้มสดใสยังคงติดตรึงอยู่ในหัว แม้จะได้เจอพูดคุยกันแค่แป๊บเดียว แต่เธอก็คิดว่าเขาเป็นเด็กดีน่ารักคนหนึ่ง เหมือนเป็นน้องชายตัวน้อยๆ ของเธอ แต่ตอนนี้พอเด็กคนนั้นไม่ใช่เพกัสอีกต่อไปแล้ว กลายเป็นปีศาจตุ๊กตาที่ขายวิญญาณเพื่อการแก้แค้น ทุกอย่างเป็นเพราะเธอช่วยเขาเอาไว้ไม่ได้ เป็นเพราะเธอ เพกัสถึงต้องกลายเป็นลูกแกะหลงทางอยู่ในวังวนของการล้างแค้น

สีหน้าของมิเวลยิ่งเจ็บปวดขึ้นเรื่อยๆ ทำให้คนเคยยิ้มแย้มตลอดเวลามีสีหน้าเจ็บปวดตามไปด้วย แต่แล้วอยู่ ใบหน้าปวดร้าวของวอลก็กลับมามีรอยยิ้มบางๆ เมื่อเด็กหนุ่มลบความรู้สึกของตัวเองทั้งหมดทิ้งไปได้ในเวลาอันรวดเร็วอย่างคนถนัดควบคุมอารมณ์ของตัวเอง

“ถ้าอย่างนั้นก็รออยู่ในห้องนี้เถอะ ข้าจะไปช่วยเอเวนเอง” น้ำเสียงอ่อนโยนบอก เดินไปยังประตูก่อนจะหันกลับมายิ้มจางๆ “ทุกอย่างไม่ได้เป็นเพราะเจ้าหรอกนะ เพกัสเลือกทางเดินชีวิตของเขาเอง เจ้าคงกำลังเจ็บเรื่องที่ช่วยเขาไม่ได้ แต่โลกนี้ไม่มีใครสามารถทำทุกอย่างได้หรอก ถ้าในอดีตเจ้าช่วยเขาไม่ได้ เจ้าก็ลองคิดหาวิธีช่วยเขาในปัจจุบันนี้สิ สิ่งที่ผ่านมาเป็นแค่อดีตไม่มีวันหวนคืน แต่อนาคตต่างหากที่กำลังรอเจ้าอยู่”

เด็กหนุ่มยิ้มอ่อนโยนให้อีกครั้งแล้วเดินออกจากห้องมา ทิ้งให้มิเวลจมอยู่กับคำพูดทิ้งท้ายของเขา เท้าทั้งสองข้างเริ่มออกวิ่งทันทีที่ได้ยินเสียงตึงตังดังแว่วๆ อยู่ไม่ไกล เอเวนคงกำลังเล่นดาบอยู่ใกล้ๆ นี้ ปล่อยให้เอเวนตวัดดาบเล่นอยู่คนเดียวได้ยังไงกัน ตอนนี้มิเวลกำลังอยู่ในอารมณ์ไม่ปกติเพราะฉะนั้นเขาต้องไปช่วยสิ

แต่หลังจากวิ่งมาได้ไม่นานเท้าทั้งสองก็ลดความเร็วลงพร้อมกับเปลี่ยนเป็นหยุดยืนนิ่ง สายตาเหม่อลอยเหลือบมองต่ำไปยังพื้น หัวเราะเบาๆ ในลำคอก่อนใบหน้ายิ้มๆ จะพึมพำกับตัวเอง

“ที่ผ่านมาเป็นแค่อดีตงั้นเหรอ ฟังดูเหมือนบอกว่าอย่าจมอยู่กับอดีตเลย” เด็กหนุ่มหัวเราะเบาๆ แต่แค่ชั่ววูบเดียวเสียงหัวเราะก็เลือนหายไป เหลือเพียงแต่รอยยิ้มจางๆ “...คนพูด...ทำได้จริงตามที่พูดเท่าไหร่กันเชียว...”



++++++++++++++++++



เสียงประตูห้องปิดดังขึ้น

“ตามข้ามาทำไม” เอเวนถามเสียงแข็ง สายตารำคาญมองไปยังตัวไร้ประโยชน์ใกล้ประตูห้อง ไม่เข้าใจว่าเจ้านั่นจะปิดประตูห้องทำไม ร่างบอบบางปวกเปียกยืนโบกไม้โบกมือพร้อมกับส่งรอยยิ้มกว้างมาทางเขา ถ้าไม่ติดเรื่องข้อตกลงระหว่างเขากับมิเวลแล้ว เขานึกอยากจะคว้าดาบมาฟันเจ้าตัวแคปซูลนี่ให้หายไปจากสายตาเสียเดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ

“มาช่วยไง” เสียงใสตอบพร้อมด้วยรอยยิ้มทะเล้น

เอเวนถอนหายใจ เจ้าตัวแคปซูลนั่นคิดจริงๆ หรือว่าจะช่วยเขาได้ แต่รอยยิ้มเริงร่าบนใบหน้าทะเล้นก็เป็นเครื่องยืนยันชัดเจนพอสมควรว่าเจ้าบ้านี่คิดแบบนั้นจริงๆ เด็กหนุ่มตวัดสายตากลับไปมองยังศัตรูเช่นเดิม เขากำลังยืนอยู่ในห้องของมิเวล เผชิญหน้าอยู่กับเด็กชายตัวปัญหานั่น ในใจคิดอย่างหงุดหงิดว่าทุกอย่างไม่ผิดแปลกไปจากที่เขาเคยคาดการณ์เอาไว้เลยถ้าเอาไอ้เด็กมนุษย์นี่มาด้วย

ใบหน้าเรียบเฉยของเพกัสจ้องเขาด้วยสายตานิ่งๆ มองผ่านๆ เหมือนเด็กชายก็ยังคงเป็นเพกัสคนเดิม แต่แขนข้างหนึ่งของเขาไม่เป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป แขนขวาเปลี่ยนเป็นดาบยาวซึ่งใช้สู้กับเอเวนเมื่อครู่ เด็กหนุ่มนึกถึงการโจมตีแบบสะเปะสะปะก่อนที่เจ้าตัวแคปซูลจะเข้ามา บางทีอาจจะเป็นเพราะเพกัสเพิ่งจะกลายเป็นตุ๊กตาปีศาจได้ไม่นาน ทำให้เขายังคงมีความเป็นมนุษย์เหลืออยู่

ในขณะที่เอเวนกำลังคิดหนักว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี เด็กหนุ่มอีกคนก็มองสำรวจมือดาบของเพกัสอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองดาบของเอเวนซึ่งวางราบอยู่บนพื้นห่างไกลผู้เป็นเจ้าของพอสมควร ดวงตาสีเงินหันกลับไปมองมือดาบของเพกัสอีกรอบแล้วสรุปความในหัวอย่างรวดเร็ว

เจ้าแพ้เด็กอายุแปดขวบเหรอเนี่ย” คนปากพล่อยโพล่งออกมาแบบไม่คิดอะไร ส่วนคนถูกบอกว่าแพ้เด็กนั้นรีบหันขวับ ใช้สายตาน่ากลัวจ้องอีกฝ่ายราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่คนถูกจ้องกลับหัวเราะร่าเริงอย่างไม่ใส่ใจ รู้สึกสนุกที่เห็นเอเวนทำสีหน้าแบบนั้น

“ไม่ได้แพ้” เสียงเย็นแก้คำสบประมาทของอีกฝ่าย แต่ไม่ทันไรวอลก็หัวเราะออกมาอีกพร้อมกับพเยิดหน้าไปยังมุมหนึ่งของห้อง

“อ้าว แล้วทำไมดาบของเจ้าไปนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นซะนู่นเลยล่ะ”

เอเวนถอนหายใจเหนื่อยหน่าย ขี้เกียจเถียงไร้สาระกับตัวไร้ประโยชน์ เขาแค่ทิ้งดาบเพราะตั้งใจจะใช้เวท แต่เจ้าตัวแคปซูลก็ดันเข้ามาขัดเสียก่อนต่างหาก

เด็กหนุ่มร่ายเวทรากไม้ให้พันตัวของเพกัสเพื่อยึดร่างของเขาให้อยู่กับที่ ก่อนจะใช้เวทตาข่ายไฟฟ้ากักตัวเด็กชายเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง เขาไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าเพกัสตอนนี้ บางทีอาจจะมีเวลาพอให้มิเวลมาพูดคุยอะไรได้บ้าง ถึงยังไงนี่ก็เพิ่งวันแรกเท่านั้น เหลือเวลาอีกสองวันที่เด็กคนนี้จะไม่ใช่เพกัสอีกต่อไป ถ้าโชคดีก็คงสี่วัน แต่เขาคิดว่าคงไม่นานเท่านั้นแน่

“แค่จับตัวไว้เหรอ” วอลเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเอเวนยืนนิ่งไม่ทำอะไรต่อ แต่อีกฝ่ายไม่ตอบ นัยน์ตาสีอำพันเหลือบมามองเขาอย่างหงุดหงิดแวบหนึ่งก่อนจะมองผ่านไปยังประตู คนถูกเมินจึงหรี่ตาลงเล็กน้อย ยิ้มทะเล้น มองร่างสูงด้วยสายตาเจ้าเล่ห์

“เพื่อมิเวลล่ะสิ” นัยน์ตาดุตวัดกลับมาทันที วอลทำเสียงจุ๊ๆ พร้อมกับส่ายหน้าไปมาเบาๆ “เก๊กมากๆ ระวังเหนื่อยนา”

“ไร้สาระ” เสียงต่ำเล็ดลอดไรฟันพร้อมกับหันไปมองทางอื่น เห็นท่าทางโกรธขึงของเอเวนเหมือนคนโดนรู้ทันแล้วเขาก็ต้องกลั้นขำเอาไว้ ไม่ฆ่าเพกัสทิ้งเพื่อมิเวลจริงๆ สินะ เป็นพวกปากไม่ตรงกับใจนี่เอง

เอเวนตั้งใจจะเดินหนีออกจากห้อง หากไม่ได้ยินเสียงเรียกชื่อเขาของเจ้าตัวแคปซูลขัดขึ้นอีก แต่พอหันกลับไปมองก็ต้องเบิกตากว้างมองของในมืออีกฝ่าย เท้าสองข้างรีบปรี่เข้าไป ใช้มือคว้าของคืนกลับมาด้วยความเร็วสูง

“อย่ามาแตะดาบของข้า!” เสียงแข็งตวาดพร้อมกับถลึงตาใส่อย่างโมโห แต่คนถูกตวาดก็ยังยิ้มระรื่นไม่รู้ร้อนรู้หนาว หัวเราะเบาๆ ในลำคอ แล้วพูดตอบเสียงสดใส

“แค่จับนิดเดียวเอง ข้าอุตส่าห์ชมว่าเจ้าไม่หวงของแล้วนะ ว่าแต่ดาบเจ้านี่หนักเหมือนกันแฮะ ทั้งมิเวลแล้วก็เจ้าถือดาบหนักๆ ไปแกว่งเล่นกันได้นี่น่าชื่นชมในความอึดจริงๆ” เจ้าตัวยุ่งทุบมือซ้ายลงบนฝ่ามือขวาเบาๆ พร้อมกับยิ้มแป้น

“ไม่หวงของอะไร” เสียงเย็นชาถามกลับทันควัน เขาจำไม่ได้สักนิดว่าเคยให้คนตรงหน้ายืมของอะไรด้วย แต่คนถูกถามกลับไม่ยอมตอบอะไร ยกมือปัดๆ เป็นการบอกว่าไม่ต้องใส่ใจพร้อมกับยิ้มร่าตามแบบฉบับเจ้าตัว

“แค่พูดไปงั้นแหละ”

วอลลอบถอนหายใจเมื่ออีกฝ่ายไม่มีท่าทีสงสัยอะไรอีก ถึงจะบอกปัดไป แต่ในใจกลับรู้สึกเสียววาบ เกือบไปแล้ว ถ้าเอเวนรู้ว่าเขาแอบขโมยเสบียงกินล่ะก็ มีหวังกลายเป็นผีเฝ้าป่าแหง ที่บอกว่าไม่หวงของ จริงๆ น่าจะบอกว่าไม่ยอมตรวจดูของมากกว่า

“ห้ามเจ้าแตะของของข้าโดยเด็ดขาด” เสียงเย็นเฉียบพูดขู่

“โห ตั้งข้อห้ามเลยเหรอ” คนถูกขู่ทำท่าตกใจเกินจริงก่อนจะกลับมายิ้มกว้างเช่นเดิมอย่างไม่สะทกสะท้าน ดวงตาสีอำพันจ้องเขาด้วยสายตาเย็นชา วอลสัมผัสความรู้สึกรังเกียจที่แผ่รังสีออกมาจากคนตรงหน้าได้ชัดเจน เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ชอบเขา ไม่สิ อาจจะถึงขั้นเกลียดเลยด้วยซ้ำ แต่วอลก็ยังคงยืนยิ้ม ยักไหล่น้อยๆ อย่างไม่สนใจ เอเวนเป็นผู้ใช้เวท ส่วนเขาเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา เขาเข้าใจว่าเอเวนเกลียดมนุษย์ เขาเข้าใจดี

เอเวนเริ่มรู้สึกขี้เกียจที่จะต้องมายืนพูดกับคนไร้สาระ ถอนหายใจเบื่อหน่ายซึ่งเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ของวันนี้ ก่อนจะเดินผ่านคนกำลังยิ้มแป้นตรงหน้าไปอย่างไม่สนใจ นัยน์ตาสีเงินสว่างหรี่ลงน้อยๆ มองตามร่างสูงเดินไปที่ประตูห้อง ใบหน้าหวานประดับด้วยรอยยิ้มกว้างพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ให้กับทฤษฎีบางอย่างในหัว แล้วคนพูดมากก็พรวดทฤษฎีของตนออกมาอย่างเริงร่า

“ข้าว่าเจ้าต้องอยู่ในที่ที่มีพวกข้อห้ามเยอะแน่ๆ กดดันมากๆ พอได้โอกาสก็เลยมาลงกับข้าซะเลย”

ร่างสูงชะงักกึกทันทีที่ได้ยิน สายตาแข็งกร้าวเหลือบกลับมามอง ยืนนิ่งค้างอยู่พักหนึ่งโดยไม่พูดอะไรเหมือนคนเถียงไม่ออก ก่อนจะกระชากประตูเปิดแล้วรีบเดินหนีออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว เป็นการยืนยันไปโดยปริยายว่าทฤษฎีของเจ้าตัวยุ่งถูกต้องแน่แท้ เรียกเสียงหัวเราะลั่นจากเด็กหนุ่มเพราะไม่คิดว่าจะถูกจริงๆ



++++++++++++++++++++




โปรดติดตามตอนต่อไป!









โฮป
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 เม.ย. 2560, 00:46:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 เม.ย. 2560, 00:46:32 น.

จำนวนการเข้าชม : 659





<< Episode 22 : || คำอธิษฐาน ||   Episode 24 : || ตามรอย || >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account