The D.O.L.L.S โศกนาฏกรรมปีศาจตุ๊กตามหาเวท
"นักขายความฝันผู้เลือดร้อน & นักโทษประหารผู้เริงร่า & หัวขโมยผู้เย็นชา"
ต่างถิ่น ต่างความคิด ต่างอาชีพ ต่างนิสัย ต่างจุดมุ่งหมาย ต่างเผ่าพันธุ์
กลับต้องมาอยู่ด้วยกันเพราะเหตุบางอย่าง... The D.O.L.L.S

ตุ๊กตาปีศาจมีลักษณะรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ

ถ้าอย่างนั้น...จะรู้ได้อย่างไร?
...เป็นปีศาจ...หาใช่มนุษย์ไม่...

ระวังไว้ให้ดี...ทุกอย่างอาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา...

...ที่ใครบางคนสร้างขึ้นเท่านั้น...

สงครามระหว่างผู้มีพลังเวทกับมนุษย์ธรรมดา
ใครจะอยู่รอดเป็นผู้กำชัยชนะ!?


- ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านจากใจจริง -
แผนที่นครเซ็นทรัม http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/map122e1.jpg
Tags: ตุ๊กตา,ปีศาจ,คำสาป,เวทมนตร์,สงคราม,แฟนตาซี,ผู้ใช้เวท,มนุษย์,โศกนาฏกรรม,mystery

ตอน: Episode 24 : || ตามรอย ||



EPISODE 24

ตามรอย​



หลังจากวอลเดินออกไป เธอก็คิดทบทวนคำพูดของเขา ทุกอย่างจริงตามที่วอลบอก เธอไม่สามารถหวนกลับไปในอดีตได้ เพราะฉะนั้นเธอจะมานิ่งเฉยอยู่กับความรู้สึกแย่ๆ แบบนี้ไม่ได้ เธออยากช่วยเพกัส และสิ่งที่พอจะทำได้ในตอนนี้ก็คือ...

เด็กสาววิ่งออกจากห้องบังคับ ตั้งใจจะไปที่ห้องของตัวเองแต่ก็ต้องหยุดชะงักเหมือนเจอเอเวนเดินสวนออกมา ใบหน้าเย็นชาเหลือบสายตามามอง ความกลัวก่อรวมตัวขึ้นในหัวใจอีกครั้ง เขากำจัดเพกัสแล้วหรือยัง เขาทำยังไงกับเด็กคนนั้น แต่ริมฝีปากแห้งปากกลับไม่กล้าเอ่ยถามออกไป เธอกลัวว่าคำตอบของคนตรงหน้าจะเป็นตามที่เธอกลัว มิเวลเห็นดวงตาสีอำพันจ้องเธอด้วยสายตาเป็นห่วงแวบหนึ่ง เด็กสาวรีบสะบัดหน้าไล่ความกังวลทั้งหมดออกไป ถ้ามัวแต่ยืนนิ่งเงียบแบบนี้ เธอก็ไม่ได้คำตอบเสียงทีน่ะสิ

“เด็กคนนั้น...เจ้า...กำจัดเขาแล้วเหรอ”

เอเวนยืนนิ่งไม่ตอบอะไร ยิ่งเพิ่มความกังวลในจิตใจของมิเวลมากขึ้นอีก เธอรู้สึกว่าเอเวนกำลังมองสำรวจเธอ เหมือนตั้งใจจะหาอะไรบางอย่าง เด็กสาวนึกสงสัยว่าเขากำลังหาอะไรอยู่ แต่แล้วอยู่ๆ เสียงราบเรียบก็เอ่ยตอบ

“ให้เวลาสามวัน” ใบหน้างามขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างงุนงงให้กับคำตอบที่ไม่น่าจะใช่คำตอบ หมายความว่ายังไงกันที่ว่าให้เวลาสามวัน

“เจ้ายังไม่ได้ฆ่าเขา?”

“ข้าให้เวลาเจ้าไปพูดคุยกับเด็กมนุษย์นั่นสามวัน แต่ตอนนี้มันไม่มีสติเหลือแล้ว เพราะฉะนั้นก็ให้ตัวแคปซูลใช้พลังจิตเอาก็แล้วกัน” เสียงเย็นอธิบายเมื่อเห็นว่ามิเวลไม่เข้าใจ ใจจริงแล้วเขาอยากรีบกำจัดเด็กนั่นทิ้งก่อนที่มันจะสร้างปัญหา แต่พอนึกถึงมิเวลแล้วเขาก็ต้องเปลี่ยนใจ

สีหน้าของเด็กสาวดีขึ้นทันควันเมื่อได้ยินดังนั้น นัยน์ตาสีแดงเพลิงมองไปยังบานประตูห้องของเธอด้านหลังเอเวนก่อนจะเหลือบสายตากลับมามองใบหน้านิ่งๆ ของเขา เธอไม่รู้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกแบบไหน ซาบซึ้ง ดีใจ หรืออาจจะทั้งสองอย่าง

“...ขอบใจ” เด็กสาวมองสบสายตาของคนตรงหน้าพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ให้เขา ก่อนจะละสายตาไปที่ประตูอีกครั้งแล้วรีบเดินผ่านร่างสูงไป

เอเวนยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ สีหน้าราบเรียบไม่ประกฏความรู้สึกอะไร แต่ภายในจิตใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกสับสน อะไรบางอย่างกำลังตีกันอยู่ในร่างของเขา ภาพของมิเวลยิ้มน้อยๆ ด้วยสีหน้าที่เหมือนใกล้จะร้องไห้นั้นอัดแน่นอยู่ในหัว เขาไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ ถึงเกิดความรู้สึกอยากจะเข้าไปปลอบเจ้าของใบหน้างดงามแต่เศร้าสร้อยนั่นและไม่อยากเห็นมิเวลทำสีหน้าแบบนั้นอีก นี่เขาเป็นอะไรไป ไม่สิ เขากำลังทำอะไรอยู่

เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมด้วยร่างหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน วอลเงยหน้าขึ้นมองร่างเล็กตรงประตูที่กำลังยืนนิ่ง สายตาเจ็บปวดมองตรงไปยังมุมหนึ่งของห้องซึ่งมีกลุ่มก้อนตาข่ายไฟฟ้าอยู่ เด็กหนุ่มลุกขึ้นจากกองเศษไม้ที่เกิดจากการต่อสู้เมื่อครู่ เขารวบรวมเศษไม้ทั้งหมดมากองไว้ ตั้งใจว่าจะเอามาซ่อมผนังให้มิเวล แต่พอเห็นเจ้าของห้องวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าเจ็บปวด ความคิดทั้งหมดก็หายวับไปในทันที แวบหนึ่งเขาไม่รู้ว่าจะพูดหรือทำสีหน้ายังไง เขารู้แค่ว่าไม่อยากเห็นมิเวลทำหน้าแบบนั้นอีก แต่ไม่นานเด็กหนุ่มก็รีบปรับสีหน้าให้ยิ้มแย้มตามปกติได้อย่างรวดเร็ว

“เอเวนให้เวลาข้าสามวัน” เสียงสั่นเครือเอ่ยบอก เด็กสาวพยายามกลั้นอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดไม่ให้แสดงออกมามากไปกว่านี้

ภาพตรงหน้าคือเวทตาข่ายไฟฟ้าของเอเวน เธอมองเห็นร่างน้อยๆ ของเพกัสถูกตรึงด้วยรากไม้อยู่ข้างใน ใบหน้าเย็นชาของอีกฝ่ายทำให้เธอรู้สึกเย็นวาบในหัวใจ เพกัสที่เคยยิ้มแย้มคนนั้นหายไปแล้ว เด็กน้อยตรงหน้าเธอไม่ใช่เพกัสอีกต่อไป ถึงแม้ว่าร่างในที่คุมขึงจะไม่ปริปากพูดอะไร แต่เธอก็รู้สึกได้จากสายตาเย็นยะเยือกเหมือนกำลังมองสำรวจเหยื่อและแววตาเย็นชาของเขา เพกัสหายไปแล้ว น้องชายที่น่ารักของเธอหายไปแล้ว

“...มิเวล!” เสียงตะโกนลั่นพร้อมด้วยแรงเขย่าที่มือขวาเรียกสติของเธอให้หลุดออกจากภวังค์ ดวงตาสีแดงเพลิงกะพริบขึ้นลงอยู่สองสามทีก่อนจะเหลือบไปมองยังคนข้างกาย เธอเห็นความเป็นห่วงฉายชัดอยู่บนใบหน้าเป็นกังวลของอีกฝ่าย แต่แล้วอยู่ๆ คนร่าเริงก็กลับมามีสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนเคย ทำเอาเด็กสาวแทบปรับอารมณ์ตามเขาไม่ทัน

“...เจ้าบ้า”

“เยี่ยม! ได้สติแล้ว” วอลยิ้มร่าพร้อมกับบีบแก้มข้างหนึ่งของเธอเบาๆ แต่ตอนนี้เธอยังคงรู้สึกโหวงๆ จึงไม่ทันโต้ตอบหรือมีปฏิกิริยาอะไรกลับไป มิเวลเบือนสายตาลงต่ำ เห็นมือซ้ายของคนตรงหน้ากำมือขวาของเธอแน่น วอลก้มมองตามว่าเธอกำลังมองอะไรอยู่ ก่อนจะรีบปล่อยมือออกทันทีเหมือนคนเพิ่งรู้สึกตัว เด็กหนุ่มคลายรอยยิ้มออกทันควัน แต่เพียงครู่เดียวเขาก็กลับมายิ้มแย้มเหมือนเดิมอีกครั้ง

มิเวลถอนหายใจให้กับคนชอบฉวยโอกาส แต่พอเงยหน้าขึ้น เด็กสาวก็เหลือบสายตามองผ่านคนตรงหน้าไปยังเวทตาข่ายไฟฟ้าด้านหลัง

“เพกัส...” เสียงเบาพึมพำขณะมองร่างน้อยที่อยู่ข้างในตาข่ายไฟฟ้า จริงสิ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามานั่งเสียใจ เธอต้องคิดหาวิธีช่วยเพกัสให้ได้

“เจ้าบอกว่าเอเวนให้เวลาสามวัน” วอลเอ่ยย้ำสิ่งที่เธอพูดก่อนหน้านี้ มิเวลตวัดสายตากลับมายังคนขี้เล่น รอยยิ้มทะเล้นยังคงประดับอยู่บนใบหน้าหวาน เห็นเขาขยิบตาให้ทีหนึ่งก่อนจะเดินผ่านเธอไป “มีเวลาตั้งสามวันจริงมั้ย ท่านเอเวนไม่ใจร้ายอย่างที่คิด”

มิเวลขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างขัดใจพร้อมกับหันไปมองคนใช้คำพูดผิดกำลังเดินไปที่ประตู มีเวลาตั้งสามวันอะไรกัน มีเวลาแค่สามวันต่างหาก เวลาแค่นี้เธอจะไปคิดหาวิธีอะไรได้

“เจ้าควรจะบอกว่ามีเวลาแค่สามวันมากกว่า” เสียงเย็นพูดแก้ สองมือกำแน่นขึ้นโดยอัตโนมัติ เธอค่อนข้างมั่นใจว่าน้ำเสียงของเธอแฝงความรู้สึกขุ่นเคืองเอาไว้ และคนฟังก็คงสัมผัสความรู้สึกนั้นได้เช่นกัน เด็กสาวมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา เขาชะงักไปเพราะคำพูดของเธอ วอลคงไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไรเพราะมันไม่ใช่เรื่องของเขา และก็คงไม่สนใจด้วยเพราะใบหน้ากวนประสาทนั่นก็ยังคงยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เหมือนเดิม คนตรงหน้ายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยๆ เอียงหน้าด้านข้างหันมาน้อยๆ พร้อมกับเหลือบสายตามายังเธอ

“...มีเวลาตั้งสามวัน ค่อยๆ ช่วยกันคิดหาทางแก้กันเถอะ คิดแง่ร้ายไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก” วอลยังคงพูดประโยคเดิม เขาส่งรอยยิ้มน้อยๆ มาให้ก่อนจะหันหน้ากลับไป เด็กสาวรู้สึกว่ามือสองข้างค่อยๆ คลายออกพร้อมๆ กับแรงกดดันก่อนหน้านี้ ดวงตาสีแดงมองอีกฝ่ายเดินออกจากห้องไปด้วยสายตาที่อ่อนลง

‘เจ้าไม่ควรมองโลกในแง่ร้าย’ บางทีเจ้าบ้าวอลอาจจะต้องการจะบอกเธอแบบนี้ แต่ทำไมถึงต้องพูดคลุมเครือด้วยก็ไม่รู้ ตั้งใจจะทดสอบไหวพริบของเธอหรือไงกัน ไม่ว่าจะเป็นเอเวนหรือเจ้าบ้าวอลต่างก็ชอบทำให้เธอต้องมานั่งคิดโน่นคิดนี่ มิเวลสูดหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับสะบัดหน้าเบาๆ สองสามทีเป็นการไล่ความคิดไร้สาระออกไป เด็กสาวหันกลับไปมองร่างเล็กในเวทตาข่ายไฟฟ้าอีกครั้ง เพกัสยังคงนั่งนิ่งอยู่ในนั้นไม่ขยับเขยื้อน สายตาแข็งกร้าวจ้องเขม็งตรงมาพร้อมด้วยรังสีอำมหิตที่แผ่กระจายไปทั่วทั้งห้อง

มิเวลมองร่างนั้นด้วยสายตาเจ็บปวดเมื่อคิดถึงคำถามที่ไร้คำตอบ เธอจะต้องทำอย่างไรถึงจะสามารถช่วยเขาให้กลับมาเป็นน้องชายที่น่ารักคนเดิม



++++++++++++++++++++++++++++​



ภายในห้องสี่เหลี่ยมอีกด้านหนึ่งของรถเคอาร์ เด็กหนุ่มในเสื้อคลุมยาวกำลังยืนหันหลังให้ประตู ข้างๆ ร่างสูงปรากฏรอยแยกกลางอากาศเป็นทางยาว ดวงตาสีเงินสว่างจ้องคนตรงหน้าจัดการยัดข้าวของเข้าไปในรอยแยกนั้นด้วยความรู้สึกทึ่ง

“ข้าก็ว่าทำไมเจ้าถึงไม่มีของอะไรเลยทั้งๆ ที่เป็นนักเดินทาง” เด็กหนุ่มพูดพลางนึกไปถึงเพื่อนร่วมทางอีกคน เขาเห็นมิเวลแบกเป้ใบโตไปไหนมาไหนด้วยทุกครั้ง แม้จะสงสัยอยู่ว่าคนตัวเล็กแบกเป้ใบเบ้อเริ่มขนาดนั้นได้อย่างไรก็ตามที แต่เอเวนกลับไม่มีของอะไรเลยสักอย่างเดียว ขนาดดาบเขายังไม่รู้เลยเลยด้วยซ้ำว่าเอเวนเอาไปเก็บไว้ที่ไหน

ที่แท้ก็ใช้เป้ล่องหนอยู่นี่เอง

“มีอะไร” เสียงเย็นชาเอ่ยถามก่อนจะหันไปมองแขกไม่ได้รับเชิญที่ประตู คนถูกถามกำลังยืนยิ้มแป้นอารมณ์ดีโดยเอาหลังพิงกำแพง วอลยักไหล่น้อยๆ อย่างไม่สนใจสายตาไม่เป็นมิตรของเอเวน ดวงตาสีเงินปรากฏความขบขันอย่างเห็นได้ชัด

“แค่สงสัยว่าเจ้ากำลังจะไปไหน” เด็กหนุ่มตอบพร้อมกับพเยิดหน้าไปทางรอยแยกกลางอากาศ

“ข้าไม่มีความจำเป็นต้องบอกเจ้า” เสียงเย็นโต้กลับแทบจะในทันที ร่างสูงหมุนตัวกลับมาหยิบซองใส่กระดาษซึ่งเป็นของชิ้นสุดท้ายใส่เข้าไปในมิติกาลเวลา แต่คนพูดมากก็ยังคงไม่หยุดแค่นั้น เขาได้ยินเสียงร่าเริงของอีกฝ่ายดังขึ้นอีก

“ถ้าเจ้ากำลังจะหนี เจ้าก็คงต้องขโมยแผนที่ซึ่งก็คือข้าไปด้วย ข้าก็เลยมายืนนิ่งๆ ให้เจ้าขโมย”

เอเวนไม่พูดอะไรนอกจากหันกลับไปเผชิญหน้าพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้คนพูดไม่หยุด ใบหน้ายิ้มๆ จ้องกลับมาอย่างไม่เกรงกลัว เขามองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกรำคาญเต็มที แต่ก็ต้องอดทนเก็บความรู้สึกทั้งหมดรวมทั้งความเกลียดชังที่มีต่อมนุษย์ธรรมดาไม่ให้ระเบิดออก บางทีเขาก็นึกอยากจะใช้เวทมนตร์ทำให้อีกฝ่ายค่อยๆ หายไปจากโลกนี้โดยที่มิเวลไม่มีทางรู้

“ถ้าเจ้ามายุ่งกับข้าอีก เจ้าจะหายไปจากโลกนี้แน่” เสียงต่ำพูดช้าๆ เน้นน้ำหนักเสียงลงชัดทุกคำ เขาเป็นคนพูดแล้วไม่คืนคำ เพราะฉะนั้นเขาหมายความตามที่พูดออกไป แต่เด็กหนุ่มก็ต้องหงุดหงิดมากกว่าเดิมเมื่อคนถูกขู่ยังคงยิ้มทะเล้น มองสบตานิ่งอย่างไม่รู้สึกรู้สา

“ข้าเฉียดตายมาหลายรอบแล้ว บางทีมันก็ตื่นเต้นดี” วอลหัวเราะเบาๆ ในลำคอ แต่แล้วเสียงหัวเราะก็ต้องหายวับเมื่อเห็นแววคุกรุ่นในดวงตาสีอำพันตรงหน้า สงสัยคงจะยั่วโมโหเอเวนมากเกินไปหน่อยแล้ว ถ้าอีกฝ่ายคิดจะฆ่าเขาขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็เขาจะเอาอะไรไปสู้ได้ นอกจากตัวกับปืนพลังจิตสองกระบอกซึ่งไม่น่าจะช่วยอะไรได้เพราะเอเวนคงร่ายเวทฆ่าเขาได้ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที กว่าจะวิ่งหาปืน หยิบ เล็ง เหนี่ยวไก ซึ่งก็จะคงกินเวลามากกว่าหนึ่งวินาทีแน่นอน แต่อยู่ๆ ความคิดหนึ่งก็แวบขึ้นมาในหัว เจ้าตัวยุ่งลอบอมยิ้มอย่างนึกสนุกเมื่อคิดหาเรื่องเสี่ยงตายเพิ่ม

“ถ้าเจ้าฆ่าข้า แผนที่จะหายไปด้วยหรือเปล่า” คำถามเรียบๆ เรียกให้คนที่กำลังจะหันหลังกลับหยุดชะงัก นั่นไง มีมีปฏิกิริยาแบบนี้แสดงว่าเป็นสัญญาณอันดี ใบหน้าหวานปรากฏรอยยิ้มทะเล้นชอบใจอย่างสนุกเมื่อเจอเรื่องเอามาเป็นข้อต่อรองยืดชีวิตให้กับตัวเองได้

เอเวนหยุดยืนนิ่งพลางคิดหาคำตอบ เขาไม่ได้มีความรู้เรื่องแผนที่ต้องคำสาปมากมาย เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าถ้าหากร่างสังเวยตายไป แผนที่จะเป็นอย่างไร เด็กหนุ่มเหลือบมองผู้เป็นร่างสังเวยอย่างฉงน อยู่ๆ เจ้านี่จะยกเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม แต่พอเห็นรอยยิ้มทะเล้นของอีกฝ่ายแล้ว เขาก็เข้าใจ

“ลองดูมั้ยล่ะ ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกัน” คำตอบไร้เยื่อใยของเอเวนทำให้รอยยิ้มกว้างต้องเจื่อนลงทันควัน เด็กหนุ่มหัวเราะแห้งๆ พร้อมกับยกมือปัดๆ เป็นการปฏิเสธอย่างรวดเร็ว แล้วกัน อุตส่าห์คิดว่าจะช่วยยืดชีวิต ดันกลายเป็นการฆ่าตัวตายไปซะอย่างนั้น

“ข้าไม่กวนแล้ว แต่อย่างน้อยก็บอกกันหน่อยว่าจะไปไหน มิเวลจะได้ไม่เป็นห่วง” วอลงัดไม้ตายออกมาใช้ แล้วเขาก็ต้องกลั้นหัวเราะไม่ให้หลุดขำพรืดออกมาเมื่อเห็นเอเวนเดินกลับไปที่รอยแยกกลางอากาศนั่นอีกครั้งแล้วหยุดชะงักน้อยๆ เมื่อได้ยินชื่อมิเวล

“เสบียง” เสียงเย็นชาตอบสั้นๆ แต่ครอบคลุมทุกอย่าง ก่อนร่างสูงจะใช้เวทหายตัวหายวับไปจากจุดที่เคยยืนอยู่ ทิ้งให้คนช่างแกล้งยืนขำกลิ้งให้กับอาการเขินแต่ไม่แสดงออกของเพื่อนร่วมทาง

รถเคอาร์ถูกจอดทิ้งให้อยู่กลางป่าระหว่างสองเมืองซึ่งก็คือไซโรนาสกับควอเรล ผู้รับหน้าที่เป็นสารถีมาตลอดตั้งแต่เริ่มออกเดินทางตัดสินใจเด็ดขาดว่าไม่ควรเดินทางต่อในตอนนี้ ในเมื่อพวกเขากำลังกอดตัวปัญหาอยู่ การเดินทางต่อไปโดยมีลูกระเบิดเวลาไปด้วยนั้นถือว่าอันตรายมากเลยทีเดียว

เอเวนกระโดดลงจากรถเคอาร์ด้วยท่าทางสง่างาม ร่างสูงค่อยๆ เดินห่างออกมาเรื่อยๆ ในใจคิดกังวลถึงเรื่องเขตอาคม แม้ว่าเขาจะกางเขตอาคมคลุมเคอาร์เอาไว้ถึงสองชั้นก็จริง แต่เขาก็อดเป็นห่วงไม่ได้ และจะให้เพิ่มเป็นสามชั้นก็คงทำไม่ได้ เพราะการกางเขตอาคมมากกว่าสองชั้นขึ้นไป ผู้ใช้เวทจะต้องอยู่ในรัศมีใกล้ๆ เขตอาคมด้วย ไม่เช่นนั้นเวทเขตอาคมจะคลายออกทันที ซึ่งเขาไม่แน่ใจว่าตัวเองเองจะสามารถอยู่ใกล้ๆ เคอาร์ได้นานเท่าไหร่ ในเมื่อการตามรอยนั้นขึ้นอยู่กับเป้าหมาย

นัยน์ตาสีอำพันหรี่ลงเล็กน้อยพร้อมกับกำหมัดแน่น เด็กหนุ่มมั่นใจว่าคนที่สามารถบุกทะลวงเขตอาคมของเขาเข้าไปได้โดยไม่ทำให้เขารู้สึกตัวนั้นต้องเป็นหนึ่งในพวกมันอย่างแน่นอน

ร่างสูงรีบเร่งฝีเท้าเมื่อร่องรอยของไอเวทที่ปะปนอยู่ในอากาศปรากฏชัดเจนขึ้น เขาคิดว่าตัวเองตัดสินใจถูกแล้วที่ไม่ได้กางเขตอาคมชั้นที่สามเพราะตอนนี้เขาวิ่งห่างออกจากเคอาร์มาไกลพอสมควร และไอเวทของศัตรูก็ยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ เด็กหนุ่มกระโดดหลบกิ่งไม้ตรงหน้าก่อนจะร่ายเวทเร่งความเร็วขึ้นอีก แต่แล้วเท้าสองข้างก็ต้องหยุดชะงักทันควันเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเงาดำๆ บนต้นไม้ต้นหนึ่งอยู่ทางสองนาฬิกา

ร่างหนึ่งกำลังนั่งนิ่งๆ ในท่าห้อยขาทั้งสองอยู่บนกิ่งไม้ ดูจากรูปร่างแล้วน่าจะเป็นเด็กหนุ่มอายุรุ่นคราวเดียวกัน สวมชุดประหลาดคล้ายๆ ขนสัตว์ซึ่งถือว่าแปลกมากสำหรับการเดินทางกลางป่าร้อนชื้นแบบนี้ เส้นผมสีเขียวอ่อนดูกลมกลืนไปกับใบไม้ ดวงตาสีดำสนิทมองสบสายตาโดยไม่มีร่องรอยของความรู้สึกอะไรทั้งนั้น แต่หลังจากที่เอเวนมองสำรวจอีกฝ่ายแล้วเขาก็ต้องขมวดคิ้วน้อยๆ

ไอเวท...คนละคน

เอเวนพยายามจับความรู้สึกของร่องรอยไอเวทอีกครั้ง แต่ก็ต้องสูญเปล่าเพราะไอเวทที่เขาสัมผัสได้ตั้งแต่เคอาร์จนมาถึงเมื่อครู่นี้นั้นอยู่ๆ ก็ตัดขาดไป แถมยังไม่ตรงกับไอเวทของคนตรงหน้าอีกต่างหาก แสดงว่าศัตรูมีจำนวนมากกว่าหนึ่ง แต่ด้วยเหตุผลอะไรก็ตามทำให้ตอนนี้เหลือแค่คนเดียว ศัตรูคงตั้งใจล่อเขาออกมาถึงได้ทิ้งไอเวทเอาไว้ หรือไม่ก็ไม่ได้ใส่ใจกับการถูกตามรอยตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหนเขาไม่สนใจ เพราะทั้งสองข้อทำให้เขาตามรอยพวกมันจนเจอเหมือนกันอยู่ดี

“ข้าแปลกใจที่เจอเจ้า” เสียงเรียบเอ่ยขึ้น ก่อนที่ร่างบนต้นไม้จะหายแวบมาปรากฏตัวตรงหน้าเด็กหนุ่มแล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เช่นเดิม “จิเซลสัญญากับข้าไว้ว่าจะพาตุ๊กตาหัวแดงมาให้”

จิเซล? เอเวนคิดในใจอย่างสงสัยแต่ก็ไม่แสดงสีหน้าหรือท่าทีอะไรออกไป คนตรงหน้ากำลังพูดถึงใครกัน แล้วยังตุ๊กตาหัวแดงอะไรนั่นอีก

“เจ้าไม่ใช่ตุ๊กตาหัวแดง” เสียงเรียบยังคงกล่าวต่อ เด็กหนุ่มไม่ตอบอะไรนอกจากมองอีกฝ่ายนิ่ง ดูจากความสูงแล้ว บางทีคนตรงหน้าอาจจะอายุเท่าๆ กันกับเขาหรือไม่ก็แก่กว่าไม่กี่ปี แต่แล้วอยู่ๆ รอยยิ้มเย็นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของศัตรูพร้อมด้วยริมฝีปากที่กำลังแสยะยิ้มเผยออกกล่าวเป็นประโยค

“แต่ข้าก็ไม่ได้รังเกียจตุ๊กตาหัวน้ำเงินหรอก”

สิ้นเสียงเย็นเฉียบแฝงไว้ด้วยความขบขันน้อยๆ เอเวนก็ต้องรีบกระโดดหลบรอยแยกบนพื้นดินระหว่างเท้าทั้งสองที่ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน ภาพตรงหน้าทำให้เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างมึนงง อยู่ๆ ก็มีกล่องไม้ขนาดใหญ่โผล่พรวดขึ้นมาจากรอยแยกนั่น นี่มันเวทอะไรกัน

สายตาสงสัยจับจ้องไปยังฝากล่องไม้ที่กำลังเปิดออกอย่างช้าๆ และแล้วก็มีร่างของตุ๊กตาไม้ค่อยๆ คืบคลานออกมาทีละตัวสองตัว เอเวนเบิกตากว้างมองตุ๊กตาเหล่านั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อความรู้สึกที่สัมผัสได้ นี่มันไอเวท! ทำไมตุ๊กตาพวกนั้นถึงมีไอเวทเฉพาะของตัวเองได้

หรือว่า...

เด็กหนุ่มรีบเคลื่อนตัวหลบรากไม้ที่พุ่งเข้ามาโจมตีจากด้านหลัง ก่อนจะกระโดดขึ้นไปยืนบนกิ่งไม้ต้นหนึ่ง ศัตรูเบื้องล่างเองก็กระโดดตามเขาขึ้นมายืนบนกิ่งของต้นไม้ในระนาบเดียวกันด้วยเช่นกัน

“เจ้าเป็นหนึ่งในหยาดน้ำตาของพระผู้เป็นเจ้าสินะ” เสียงเรียบกล่าวสรุปอย่างมั่นใจ สายตาเย็นชามองสบตาอีกฝ่ายนิ่ง ใบหน้าของผู้เรียกตัวเองว่าหยาดน้ำตาของพระผู้เป็นเจ้าปรากฏรอยยิ้มด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย จากสายตานิ่งๆ เปลี่ยนเป็นมองสำรวจอย่างสนใจ

“เยี่ยมยอด แล้วรู้อะไรอีก” น้ำเสียงตื่นเต้นเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาไม่คิดว่าเจ้าหนูหัวน้ำเงินจะรู้เรื่องนี้ด้วย แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจสักเท่าไหร่ว่าคนตรงหน้ารู้มากขนาดไหน ตุ๊กตาหัวน้ำเงินจะเป็นตำแหน่งที่คู่ควรหรือไม่ คำตอบขึ้นอยู่กับความรู้มากของอีกฝ่ายเท่านั้น

“เจ้าเป็นพระผู้สร้าง ผู้ควบคุม หรือพระผู้รักษากันล่ะ” เอเวนเอ่ยถามอย่างลองเชิง ดูจากเวทที่ใช้แล้วคงไม่พ้นผู้ควบคุมแน่ๆ คนถูกถามแสยะยิ้มกว้างอย่างพอใจขึ้นอีกพร้อมกับมองคนตรงหน้าด้วยสายตาชื่นชม

“เจ้ารู้มากจริงเสียด้วย...” น้ำเสียงตื่นเต้นกล่าวเบาๆ นัยน์ตาสีนิลมองเด็กหนุ่มร่างสูงด้วยสายตาเป็นประกาย เกรงว่าตำแหน่งตุ๊กตาหัวน้ำเงินคงต้องเว้นว่างอยู่ต่อไปอีกหน่อยเสียแล้ว

เอเวนไม่สนใจรอยยิ้มชั่วร้ายของอีกฝ่าย แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงเย็นเฉียบแฝงไว้ด้วยความรู้สึกบางอย่าง “...เจ้ารู้จักคารอฟหรือไม่”



+++++++++++++++++++++++++++++++++



โปรดติดตามตอนต่อไป! มาอัพแล้ววว





โฮป
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 เม.ย. 2560, 11:31:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 เม.ย. 2560, 11:31:22 น.

จำนวนการเข้าชม : 652





<< Episode 23 : || ความจริงหรือภาพลวงตา ||   Episode 25 : || ว่าที่ตุ๊กตา || >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account