สูตรลับจับรัก
เรื่องรักของคุณพ่อลูกติดมาดเซอรกับครูสาวสุดเปิ่น ผู้ถูกความรักผลักไสให้หลงทางมาเจอกันในวันบอบช้ำ สองหนุ่มสาวต่างวัยกับกาวใจลูกสาวตัวเล็กและชีวิตที่พลิกผัน
Tags: สูตรลับจับรัก ทักษ์ปิ่น คุณพ่อนักเล่านิทาน รักดราม่า
ตอน: บทที่ 6/1 หนีรักไปพักร้อน
วิริยาเหลียวซ้ายแลขวาแล้วปลีกตัวจากกลุ่มคนหน้าห้องประชุมมาตามลำพัง ลูกครึ่งสาวอาหรับลุกลี้ลุกลนจนคนลอบมองอยู่นานหลบวูบแอบฟังใกล้ๆ
“เป็นไงถึงไหนแล้ว” หล่อนป้องปากกรอกเสียงเบาไปยังปลายทาง
“ตอนนี้อยู่เขาโพธิ์ หาอะไรกินแล้วเดินทางต่อ”
ปลายสายตอบกลับก่อนจะเงียบเสียงไป
“ไปยังไง รถทัวร์เหรอ”
“ก็คงประมาณนั้นแหละ”
“ไม่กลัวรึไง ทำไมไม่นั่งเครื่องไป เงินก็มี”
“ก็ฉันไม่อยากเสียเงินเยอะ เก็บเอาไว้ใช้ดีกว่า ขอบใจที่ให้โทรศัพท์มานะ นี่เบอร์ใหม่เมมไว้ด้วยละ”
“ดี... ฉันจะได้ติดต่อตลอด” วิริยาป้องปากกระซิบ “แล้วรักษาเนื้อรักษาตัวดีๆ นะ มีอะไรก็โทรมา เงินไม่พอขาดเหลือให้บอก จะได้โอนให้”
“รู้แล้วน่า ขอบใจมากนะ”
พอปลายสายวางไป วิริยาก็ถอนหายใจหนักหน่วงเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าสะพายแล้วหันจะเดินกลับไปห้องประชุมแต่กลับชนเข้ากับแผงอกล่ำภายใต้ชุดสูทสุดเนี๊ยบสีดำสนิทอย่างจัง
“โอ๊ะ! ขอโทษค่ะ” หล่อนก้มหน้าก้มตาขอโทษ “ขอโทษจริงๆ ค่ะ”
พอเงยหน้าขึ้นมาสบตา หล่อนก็ต้องตกใจแทบช็อค เพราะคนที่ยืนก้มมองหล่อนด้วยสีหน้าสมใจก็คือสิรภพ หญิงสาวถอยหลังจนชนผนังทันทีด้วยความตกใจ
“พะ... พี่ภพ! มาได้ยังไงคะ”
“มาประชุมที่กระทรวงเสร็จก็แวะมานี่แหละ” ชายหนุ่มกระซิบ “พี่คิดไม่ผิดจริงๆ ที่มาตามข่าวปิ่นที่นี่”
สิรภพยื่นหน้ามาใกล้ รอยยิ้มมุมปากดูเจ้าเล่ห์แสนกลแต่มีเสน่ห์จนวิริยาหน้าร้อนวูบวาบต้องหลบสายตา
“ถอยไป... จะมายืนใกล้ทำไมนักหนา”
“สงสัยความคิดถึงดึงดูดละมั้ง” สิรภพพูดจบหัวเราะขัน “คิดถึงจนอยากบีบคอเธอเดี๋ยวนี้เลย”
“พูดเล่นใช่ไหมคะ” วิริยากระเถิบหนีจนชิดมุมผนังหน้าลิฟท์ “จะมาบีบคอแตทำไม”
“เธอเป็นใจให้ปิ่นหนี”
สิรภพจ้องตาวาว พอวิริยาหลบตา ชายหนุ่มก็เชยคางหล่อนให้มองตอบ
“ใช่ไหม”
“เปล่านะ แตไม่ได้!”
หญิงสาวถึงกับสะดุ้งเมื่อประตูลิฟท์เปิดออก ดีที่ไม่มีคนด้านในออกมาเห็นท่าทางหมิ่นเหม่ของหล่อนและชายหนุ่มร่างสูงตรงหน้า แต่วิริยาก็ต้องสะดุ้งเป็นคำรบสองเมื่อสิรภพผลักหล่อนเข้าไปด้านในแล้วกดปิดประตูลิฟท์ทันที
“ทีนี้จะบอกได้รึยังว่าปิ่นไปไหน” สิรภพพูดข้างหูเสียงแผ่วคล้ายเป่าลม
วิริยาขนลุกเกรียวยืนตัวลีบอยู่ซอกในสุด หล่อนได้แต่ส่ายหน้าตัวสั่นอย่างเห็นได้ชัด
“ทำไมไม่ตอบล่ะ เมื่อกี้ยังพูดโทรศัพท์เป็นนกแก้วนกขุนทองอยู่เลย”
“แตไม่รู้ ไม่รู้อะไรทั้งนั้น”
หล่อนยืนกรานขืนใจจ้องเขม็งตอบคนที่คิดว่าตัวเองเป็นต่อ แล้วหล่อนก็เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่เคยชินเป็นนิสัยของคู่หมั้นเพื่อน มันไม่ต่างจากเดิมสมัยเรียนสักเท่าไหร่
คนหลายใจ หว่านเสน่ห์ไปทั่ว
อยู่ๆ วิริยาก็รู้สึกเหมือนหัวใจเต้นโครมคราม เมื่อสิรภพยกมือกั้นไว้ไม่ให้ฉากหนี พอประตูลิฟท์เปิดสิรภพก็ผงะออกยืนพิงผนัง วิริยาละล้าละลังอยากร้องให้คนช่วยแต่คนรอลิฟท์กลับรีรอไม่กล้าเข้าเมื่อเห็นตาเขียวปัดของชายหนุ่มข้างกายหล่อน
พอประตูปิด สิรภพก็เสียงอ่อนเสียงหวานอีก
“แต...ช่วยพี่หน่อยเถอะนะ พี่ทำผิดกับปิ่นมาก”
“ก็พี่ภพทำตัวเอง” หล่อนทำใจดีสู้เสือ “ถ้าพี่ไม่เจ้าชู้หลายใจ ปิ่นคงไม่เตลิด คุณลุงก็ไม่ให้เข้าบ้านไม่รู้คิดอะไรจะผลักไสลูกสาวออกไปที่ไหนกัน ไม่ห่วงลูกห่วงเต้า”
หล่อนพรั่งพรูด้วยความโกรธเคืองแทน สิรภพยิ้มมุมปากพึงใจ แล้วบอกหล่อนแม่นมั่น
“งั้นเรายิ่งต้องช่วยให้พี่ปรับความเข้าใจกับปิ่นเร็วๆสิ หรือว่า”
“หรือว่าอะไร” วิริยาสวนคำเสียงขุ่น
“หรือว่าแตชอบที่พี่กับปิ่นผิดใจกัน” สิรภพยิ้มมุมปาก ดวงตาเป็นประกายวิบวับ “พี่รู้ว่าแตยังไม่ลืมพี่”
วิริยาตาวาวมองสบดวงตาชายหนุ่มไม่มีหวาดหวั่น มือข้างหนึ่งเกาะแขนชายหนุ่มที่กักหล่อนเอาไว้แล้วจิกเล็บยาวลงไปบนเนื้อแน่นจนสิรภพนิ่วหน้าไม่พอยังกระทุ้งเข่าเข้าที่ใจกลางลำตัวสิรภพจนจุกงอก่องอขิง
“เธอ! จะบ้าหรือไง!” สิรภพเสียงสั่น ชี้หน้าหญิงสาวทั้งหน้าเขียวหน้าเหลือง
วิริยาหัวเราะเยาะเสียงดังแล้วตอกย้ำชัดถ้อยชัดคำ
“อย่ามาหว่านเสน่ห์พร่ำเพรื่อแถวนี้เข้าใจไหมพี่ภพ แตไม่หลงคารมพี่ภพเหมือนผู้หญิงพวกนั้นหรอกเข้าใจไว้ด้วย ถ้าขืนทำตัวเลวๆ แบบนี้กับเพื่อนแฟนอีกระวังตัวให้ดีเถอะ”
วิริยาคลายมือจนเห็นรอยเล็บจิกขึ้นสีแดงช้ำทันตา แล้วหล่อนวาดมือลงไปที่จุดกึ่งกลางลำตัวรวดเร็วแล้วคว้าลมขี้นมาทำท่าบีบแน่นๆ จนสิรภพถอยหลังกรูดเพราะยังไม่หายเจ็บดี
“จะทำอะไร! ยายนี่ฤทธิ์เยอะนัก คิดว่าพี่พิศวาสเธอมากรึไง” สิรภพเสียงแข็งตะคอกใส่
“ไม่รู้สิ ขนาดปากบอกไม่สนใจยังทำเจ้าชูประตูดินใส่แตเลย นิสัย” หล่อนทิ้งท้ายเสียงเขียว
พอดีกับที่ประตูลิฟท์เปิดออก วิริยายิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะชูกำปั้นใส่หน้าชายหนุ่มและผลักออกห่างประตูก่อนจะทิ้งประโยคสุดท้ายไว้ให้
“จะบอกให้รู้ไว้นะว่าเสน่ห์ของพี่ภพใช้ไม่ได้กับแตหรอกนะจะบอกให้ เสียดายลิฟท์ไม่น่ารีบเปิดเลยไม่งั้นแตจะทำให้สูญพันธ์ ดีมะ” หล่อนยิ้มเยาะ
“ยายบ้า! บ้าทั้งคู่เลยพวกเธอสองคน” สิรภพตะคอกมือยังเกาะผนังลิฟท์จุกไม่หาย
ชี้หน้าหญิงสาวที่ออกมายืนหน้าลิฟท์แล้วมองเขาด้วยความสมเพช หล่อนเท้าสะเอวทำหน้าขบขันแล้วตอบในขณะที่ลิฟท์กำลังจะปิด
“ไม่บ้าจะเป็นเพื่อนกันได้ไงล่ะ” หล่อนลากเสียงยาว “เสียใจด้วยนะที่พี่ภพจะไม่มีวันหายายปิ่นเจอ”
พูดจบหล่อนก็เดินตัวปลิวออกไปนอกบริษัท เดินตัดผ่านตึกเข้าลานจอดรถกลางแจ้งแล้วรีบขับรถออกไปโดยเร็วทิ้งสิรภพวิ่งตามมาทันแค่เห็นท้ายรถไวๆ
ยังไม่ทันออกจากห้องน้ำ ปิ่นมณีก็หลบวูบเข้ามาด้านในเมื่อเห็นชายสองคนที่ไล่ต้อนหล่อนเมื่อตอนกลางวันเดินผ่านไปด้วยท่าทางร้อนรนเหมือนกำลังมองหา หล่อนถึงกับเหงื่อซึมหน้าซีด
“มีญานวิเศษรึไง ตามมาได้ยังไงเนี่ย”
หล่อนหันรีหันขวางแล้วหลบวูบเข้าในห้องน้ำห้องในสุดทันทีที่หนึ่งในสองเดินตรงมาทางที่ยืนอยู่ พอปิดล็อคประตูได้ก็ยืนชิดในสุดตัวสั่นงันงกเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหนักค่อยๆ เดินเข้ามาและเปิดประตูทีละห้องจนใกล้เข้ามาเรื่อย
จะทำยังไง!
เหงื่อเริ่มตก มือเริ่มเย็นจนต้องหาทางหนีทีไล่ หญิงสาวพับฝาชักโครกแล้วลงนั่งกอดเข่ายกเท้าขึ้นเหนือพื้น แต่เสียงจับลูกบิดประตูพยายามคลายล็อกหลายครั้งทำให้หายใจไม่ทั่วท้อง
“ห้องนี้สินะ หนีไปไหนไม่พ้นหรอก ออกมาซะดีๆ ไม่อย่างนั้นจะพังเข้าไปแล้วจะหาว่าไม่เตือนนะคนสวย“
เสียงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน สำนวนพูดติดทองแดงของชายด้านนอก ทำให้หล่อนมือสั่นรีบเอาเท้ายันประตูไว้สุดแรงเพราะกลัวคนขู่จะพังเข้ามาจริงๆ
“จะออกมาดีๆ หรือจะให้พี่เข้าไปลากถึงที่จ๊ะ”
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วยค่ะ ใครก็ได้ช่วยด้วย โรคจิตเข้าห้องน้ำผู้หญิง”
เสียงเล็กกรีดร้องโวยวายที่ดังด้านนอกทำให้ปิ่นมณีทะลึ่งพรวดลุกยืน ตาโตเบิกกว้างเมื่อจำได้ว่าเสียงนั้นคือ
น้ำหอม!
เด็กน้อยส่งเสียงร้องไม่หยุดจนปิ่นมณีทนไม่ไหวพุ่งตัวออกมาจากห้องน้ำชนเข้ากับคนหน้าห้องเต็มแรงจนเซถอยหลังกรูดชนประตูห้องน้ำอีกด้านล้มหงายบนโถชักโครก
ปิ่นมณีหันรีหันขวางหาอาวุธแต่ไม่มีจึงเตะเข้าที่ลำตัวชายในห้องน้ำจนตัวงออีกรอบ จะวิ่งออกไปหาเด็กน้อยที่ยืนตัวสั่นอยู่ก็เห็นชายอีกคนวิ่งเข้ามาด้านหลังแล้วเอามืออุดปากอุ้มน้ำหอมจนตัวปลิวต่อหน้าต่อตา
“ปล่อยนะ!”
ปิ่นมณีพุ่งเข้าเกือบถึงตัวแต่ชายร่างสูงผมหยิกตรงหน้ายกมีดคัตเตอร์เปิดคมวาววับชี้มา
“หยุดอยู่ตรงนั้น! อยากตายทั้งคู่หรือไง”
ชายคนแรกลุกขึ้นได้ เดินเข้ามาประกบหลังปิ่นมณี แล้วมองหล่อนสลับกับคู่หูที่กำลังอุ้มเด็กน้อยด้วยท่าทางทุลักทุเล แล้วรวบสองแขนหล่อนแน่นผูกด้วยเชือกเส้นใหญ่ไพล่หลังแล้วลากดึงให้ตามออกไป
“ไปเดี๋ยวนี้นางครูคนสวย อย่าให้ต้องใช้กำลัง”
“ฉันไปก็ได้ แต่แกต้องปล่อยน้ำหอมก่อน!” ปิ่นมณีระล่ำระลัก “ปล่อยเด็กเดี๋ยวนี้นะ แกจะหายใจไม่ออกแล้ว”
เมื่อเห็นดวงตากลมใสตระหนกเต็มไปด้วยน้ำตา ทั้งโดนอุ้มรัดแน่นจนตัวปลิว ทั้งโดนอุดปาก จนหล่อนกลัวเด็กน้อยจะหายใจไม่ออก
“ปล่อยก็โง่สิ แกสองคนต้องไปด้วยกันนั่นแหละ”
“ไม่นะ!” ปิ่นมณีตวาด “ปล่อยเดี๋ยวนี้ ฉันจะไปกับพวกแก เด็กไม่เกี่ยว”
หล่อนก้าวรวดเร็วจะเข้าถึงตัวน้ำหอมแต่ถูกกระชากไว้จากชายหน้าเหี้ยมคนแรกจนถลาเข้าชนประตู พอตั้งตัวได้ก็ตั้งท่าจะยกขาเตะด้วยความโกรธแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเจอมีดปลายแหลมจ่อเข้าที่คอ
“คิดว่าไม่รู้สินะ ว่าสวยๆ แบบนี้ทำเจ้านายหยอดน้ำข้าวต้มมาแล้ว อย่าหวังว่าพี่จะหลงเชื่อเลยน้อง”
“เชื่อเถอะ ฉันไม่สู้หรอก” หล่อนกำสองมือที่ถูกมัดเข้าด้วยกันแน่นพยายามกระตุกเชือกที่มัดปมปล่อยชายอยู่ใกล้มือ แล้วหันหาชายหน้าเหี้ยมให้มองทางเด็กน้อย “แกกำลังแย่แล้วนะ”
“แค่อุดปากไม่ตายหรอกน่า อย่ามาสำออย!”
พอเผลอ ปิ่นมณีที่คลายเชือกออกจากข้อมือได้ข้างเดียวก็ฟันศอกเข้าใส่ปลายคางชายหน้าเหี้ยมเต็มแรง มีดกระเด็นตกลงพื้นเสียงดังจนน้ำหอมถึงกับตะลึงตาค้าง หล่อนรีบเข้าซ้ำด้วยปลายเท้าอัดเข้าไปเต็มท้องจนชายคนแรกเซหัวไปกระแทกขอบประตูล้มแน่นิ่ง แล้ววิ่งเข้าชาร์ตชายหน้าเสี้ยมผิวคล้ำที่ยืนละล้าละลังอีกคน แต่ยังไม่ทันได้เข้าถึงตัวร่างเล็กก็ตกลงไปกองกับพื้น พร้อมชายหน้าเสี้ยมทรุดลงสลบเหมือด
“น้ำหอม!”
ทักษ์โยนท่อนไม้ทิ้งห่างตัวแล้ววิ่งเข้าช้อนอุ้มลูกน้อยกระชับในอ้อมกอด ปิ่นมณีถลาเข้าช่วยประคองอีกคน หล่อนมือซีดสั่นจนคุมอารมณ์ไม่อยู่
“แกจะเป็นอะไรรึเปล่า พาไปหาหมอดีไหมคุณ”
ทักษ์พยักหน้า ไม่พูดพร่ำทำเพลง พาน้ำหอมตัวปลิวไปที่รถ มีปิ่นมณีตามมาติดๆ สวนกับแม่ค้าร้านอาหารที่เห็นเหตุการณ์ตอนปิ่นมณีโดนจี้แล้วรีบไปแจ้งรปภ. มาทันรวบตัวสองหนุ่มหน้าเหี้ยมส่งให้ตำรวจทันท่วงที
“แกจะเป็นอะไรไหมคะ”
ปิ่นมณีลูบหน้ากลมแก้มอูมของเด็กน้อยด้วยความเป็นห่วง หล่อนอาสานั่งเบาะหลังแล้วให้น้ำหอมนอนเหยียดยาวเอาหัวเกยตัก ทักษ์เหลือบมองผ่านกระจกมองหลังเห็นหน้าตาหล่อนซีดเซียวแล้วเขาก็ได้แต่ถอนหายใจ
“แกไม่เป็นมานานแล้ว จนกระทั่งวันนั้น” ทักษ์หยุดคำพูดไว้ในฐานที่เข้าใจ
ปิ่นมณีหน้าซีด นึกรู้ว่าเพราะหล่อนทำให้เด็กน้อยมีอาการเหมือนคนเป็นโรคแพนิกกลับมา ไม่รู้เหตุผลกลใดจึงทำให้น้ำหอมเป็นแบบนี้ แต่มันคือความรับผิดชอบ
“เพราะฉัน เพราะฉันทำให้น้ำหอมไม่สบาย เราพาแกไปหาหมอกันนะคะ”
“เรา” ทักษ์ขึ้นเสียงสูง เหลือบมองหล่อนจากกระจกอีกรอบ
“ใช่ค่ะ เรา” ปิ่นมณีย้ำหนักแน่นจ้องตอบตาไม่กะพริบ
หล่อนตั้งใจอยากรู้อาการของเด็กน้อยอย่างกระตือรือร้น แต่ทักษ์ส่ายหน้าแล้วปฏิเสธ
“ถ้าคุณรีบ ผมส่งคุณต่อรถหรือเครื่องไปลงหาดใหญ่ก่อนได้นะครับ คุณไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับเรา”
“ฉันไม่ได้รีบนะคะ มีเวลาอีกตั้งนานกว่าโรงเรียนจะเปิดเทอม” หล่อนอ้อมแอ้มแล้วหลบตา “เราควรไปด้วยกันค่ะ ฉันจะได้ช่วยคุณดูแลน้ำหอมเพราะแกยังไม่สบายอยู่”
ทักษ์ยิ้มออก รู้สึกอุ่นในใจขึ้นมาทันใด หญิงสาวร่างเล็กแต่หมัดหนักออกอาการเหมือนแม่นกที่คอยปกป้องระวังลูกน้อยอย่างไรอย่างนั้น จนเขาได้แต่ถอนใจพูดไม่ออก
“งั้นถ้าคุณไม่รีบ เสร็จจากพาน้ำหอมหาหมอแล้ว ผมอยากพาคุณไปที่แห่งหนึ่งสักสองสามวัน” เขาหยั่งเชิง “คุณไว้ใจผมไหม”
“ที่ไหนคะ” หล่อนขมวดคิ้ว แต่น้ำเสียงกระตือรือร้น
“เกาะพิทักษ์” เขาตอบ
“เกาะพิทักษ์” หล่อนทวนคำสีหน้างุนงง “อยู่ที่ไหนคะ ฉันไม่เคยได้ยิน คุณจะไปทำอะไรที่นั่นหรือคะ”
“อยู่ชุมพร ผมเคยอยู่ที่นั่นช่วงหนึ่ง” เขาตอบแล้วเหลือบมองหล่อนยิ้มๆ “ผมอยากให้คุณได้เห็น ถ้าคุณไม่รีบ”
“ฉันอยากไปค่ะ” ปิ่นมณีตอบแทบไม่คิด
ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าถ้าไปสงขลาแล้วจะเจออะไร รู้ว่าแม่ไปอาศัยป้าอยู่แล้วบวชชีพราหมณ์ที่วัดแถวบ้าน แต่ไม่เคยกลับไปตั้งสิบกว่าปีแล้ว
หล่อนเพียงแค่อยากหาที่หลบภัย และคิดว่าพ่อจะไม่มีวันตามหาหล่อนเพราะพ่อคงไม่คิดว่าจะมาหาแม่และครอบครัวดั้งเดิมของแม่ที่พ่อเคยรังเกียจนักหนา
“คุณแน่ใจเหรอครูปิ่น” ทักษ์ย้ำอีกรอบ
“ทำไมคุณถึงชอบคิดแทนฉันเรื่อย” ปิ่นมณีถอนใจ “ดีซะอีก ถ้าเกิดพวกนั้นตามไปถึงบ้านแม่ฉันแล้วไม่เจอจะได้รู้ว่าฉันไปอยู่ที่อื่นไม่ได้ไปที่นั่น”
“คุณหนีแฟนอย่างกับหนีเจ้าหนี้” ทักษ์พูดกลั้วหัวเราะ
ปิ่นมณีค้อนตากลับ เขาพูดไม่ผิดสักนิด หล่อนเกลียดคนโลเลที่มีอิทธิพลในใจพ่อมากกว่าหล่อนที่เป็นลูกแท้ๆ ของพ่อเสียอีก ถ้ากลับไปคราวนี้กลัวว่าหล่อนอาจจะขยับตัวหรือบิดพลิ้วไม่แต่งงานกับสิรภพได้ยากเต็มที
หล่อนรู้นิสัยพ่อดี...
“คุณไม่คิดว่าพ่อจะเป็นห่วงบ้างรึไง แปลก”
“ฉันไม่ใช่ลูกรักของพ่อ” หล่อนช้อนตามองเขา ตาคลอระริกเหมือนจะร้องไห้ “ฉันอิจฉาน้ำหอมนะ ที่มีพ่อที่รักและห่วงใยแกมากขนาดนี้โดยไม่มีแม่เลยด้วยซ้ำ”
ทักษ์เหลือบตามองก่อนจะหลบสายตาหันกลับไปจดจ่อถนนหนทางต่อ เห็นหล่อนมองเมินออกไปนอกถนนแต่มือยังคงลูบหน้าลูกสาวของเขาแผ่วเบา เขาได้แต่อมยิ้มเล็กน้อย แต่พอหล่อนหันมาเขาก็ทำหน้านิ่งเหมือนเดิม
“ฉันเห็นนะคะ คุณแอบหัวเราะฉัน” ปิ่นมณีค้อนกลับ จ้องชายหนุ่มผ่านกระจกมองหลังไม่วางตา
ทักษ์แก้เก้อด้วยคำพูด
“ผมแค่คิดว่าจะตอบคนที่เกาะว่ายังไงถ้าเห็นเราไปด้วยกันสามคน”
“ก็ทำไมต้องตอบด้วยล่ะ หรือว่า”
ปิ่นมณีหยุดคำพูดไว้แค่นั้น นึกรู้ความหมายในทันที
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ
ตอนหน้าขอลงช้าเดี๋ยวจะเอาอีกเรื่องมาลงสลับกันนะคะ
เพราะว่าสต็อกเรื่องหมดแล้ว ขอเวลาเขียนแป๊บนึงค่ะ ^^
“เป็นไงถึงไหนแล้ว” หล่อนป้องปากกรอกเสียงเบาไปยังปลายทาง
“ตอนนี้อยู่เขาโพธิ์ หาอะไรกินแล้วเดินทางต่อ”
ปลายสายตอบกลับก่อนจะเงียบเสียงไป
“ไปยังไง รถทัวร์เหรอ”
“ก็คงประมาณนั้นแหละ”
“ไม่กลัวรึไง ทำไมไม่นั่งเครื่องไป เงินก็มี”
“ก็ฉันไม่อยากเสียเงินเยอะ เก็บเอาไว้ใช้ดีกว่า ขอบใจที่ให้โทรศัพท์มานะ นี่เบอร์ใหม่เมมไว้ด้วยละ”
“ดี... ฉันจะได้ติดต่อตลอด” วิริยาป้องปากกระซิบ “แล้วรักษาเนื้อรักษาตัวดีๆ นะ มีอะไรก็โทรมา เงินไม่พอขาดเหลือให้บอก จะได้โอนให้”
“รู้แล้วน่า ขอบใจมากนะ”
พอปลายสายวางไป วิริยาก็ถอนหายใจหนักหน่วงเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าสะพายแล้วหันจะเดินกลับไปห้องประชุมแต่กลับชนเข้ากับแผงอกล่ำภายใต้ชุดสูทสุดเนี๊ยบสีดำสนิทอย่างจัง
“โอ๊ะ! ขอโทษค่ะ” หล่อนก้มหน้าก้มตาขอโทษ “ขอโทษจริงๆ ค่ะ”
พอเงยหน้าขึ้นมาสบตา หล่อนก็ต้องตกใจแทบช็อค เพราะคนที่ยืนก้มมองหล่อนด้วยสีหน้าสมใจก็คือสิรภพ หญิงสาวถอยหลังจนชนผนังทันทีด้วยความตกใจ
“พะ... พี่ภพ! มาได้ยังไงคะ”
“มาประชุมที่กระทรวงเสร็จก็แวะมานี่แหละ” ชายหนุ่มกระซิบ “พี่คิดไม่ผิดจริงๆ ที่มาตามข่าวปิ่นที่นี่”
สิรภพยื่นหน้ามาใกล้ รอยยิ้มมุมปากดูเจ้าเล่ห์แสนกลแต่มีเสน่ห์จนวิริยาหน้าร้อนวูบวาบต้องหลบสายตา
“ถอยไป... จะมายืนใกล้ทำไมนักหนา”
“สงสัยความคิดถึงดึงดูดละมั้ง” สิรภพพูดจบหัวเราะขัน “คิดถึงจนอยากบีบคอเธอเดี๋ยวนี้เลย”
“พูดเล่นใช่ไหมคะ” วิริยากระเถิบหนีจนชิดมุมผนังหน้าลิฟท์ “จะมาบีบคอแตทำไม”
“เธอเป็นใจให้ปิ่นหนี”
สิรภพจ้องตาวาว พอวิริยาหลบตา ชายหนุ่มก็เชยคางหล่อนให้มองตอบ
“ใช่ไหม”
“เปล่านะ แตไม่ได้!”
หญิงสาวถึงกับสะดุ้งเมื่อประตูลิฟท์เปิดออก ดีที่ไม่มีคนด้านในออกมาเห็นท่าทางหมิ่นเหม่ของหล่อนและชายหนุ่มร่างสูงตรงหน้า แต่วิริยาก็ต้องสะดุ้งเป็นคำรบสองเมื่อสิรภพผลักหล่อนเข้าไปด้านในแล้วกดปิดประตูลิฟท์ทันที
“ทีนี้จะบอกได้รึยังว่าปิ่นไปไหน” สิรภพพูดข้างหูเสียงแผ่วคล้ายเป่าลม
วิริยาขนลุกเกรียวยืนตัวลีบอยู่ซอกในสุด หล่อนได้แต่ส่ายหน้าตัวสั่นอย่างเห็นได้ชัด
“ทำไมไม่ตอบล่ะ เมื่อกี้ยังพูดโทรศัพท์เป็นนกแก้วนกขุนทองอยู่เลย”
“แตไม่รู้ ไม่รู้อะไรทั้งนั้น”
หล่อนยืนกรานขืนใจจ้องเขม็งตอบคนที่คิดว่าตัวเองเป็นต่อ แล้วหล่อนก็เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่เคยชินเป็นนิสัยของคู่หมั้นเพื่อน มันไม่ต่างจากเดิมสมัยเรียนสักเท่าไหร่
คนหลายใจ หว่านเสน่ห์ไปทั่ว
อยู่ๆ วิริยาก็รู้สึกเหมือนหัวใจเต้นโครมคราม เมื่อสิรภพยกมือกั้นไว้ไม่ให้ฉากหนี พอประตูลิฟท์เปิดสิรภพก็ผงะออกยืนพิงผนัง วิริยาละล้าละลังอยากร้องให้คนช่วยแต่คนรอลิฟท์กลับรีรอไม่กล้าเข้าเมื่อเห็นตาเขียวปัดของชายหนุ่มข้างกายหล่อน
พอประตูปิด สิรภพก็เสียงอ่อนเสียงหวานอีก
“แต...ช่วยพี่หน่อยเถอะนะ พี่ทำผิดกับปิ่นมาก”
“ก็พี่ภพทำตัวเอง” หล่อนทำใจดีสู้เสือ “ถ้าพี่ไม่เจ้าชู้หลายใจ ปิ่นคงไม่เตลิด คุณลุงก็ไม่ให้เข้าบ้านไม่รู้คิดอะไรจะผลักไสลูกสาวออกไปที่ไหนกัน ไม่ห่วงลูกห่วงเต้า”
หล่อนพรั่งพรูด้วยความโกรธเคืองแทน สิรภพยิ้มมุมปากพึงใจ แล้วบอกหล่อนแม่นมั่น
“งั้นเรายิ่งต้องช่วยให้พี่ปรับความเข้าใจกับปิ่นเร็วๆสิ หรือว่า”
“หรือว่าอะไร” วิริยาสวนคำเสียงขุ่น
“หรือว่าแตชอบที่พี่กับปิ่นผิดใจกัน” สิรภพยิ้มมุมปาก ดวงตาเป็นประกายวิบวับ “พี่รู้ว่าแตยังไม่ลืมพี่”
วิริยาตาวาวมองสบดวงตาชายหนุ่มไม่มีหวาดหวั่น มือข้างหนึ่งเกาะแขนชายหนุ่มที่กักหล่อนเอาไว้แล้วจิกเล็บยาวลงไปบนเนื้อแน่นจนสิรภพนิ่วหน้าไม่พอยังกระทุ้งเข่าเข้าที่ใจกลางลำตัวสิรภพจนจุกงอก่องอขิง
“เธอ! จะบ้าหรือไง!” สิรภพเสียงสั่น ชี้หน้าหญิงสาวทั้งหน้าเขียวหน้าเหลือง
วิริยาหัวเราะเยาะเสียงดังแล้วตอกย้ำชัดถ้อยชัดคำ
“อย่ามาหว่านเสน่ห์พร่ำเพรื่อแถวนี้เข้าใจไหมพี่ภพ แตไม่หลงคารมพี่ภพเหมือนผู้หญิงพวกนั้นหรอกเข้าใจไว้ด้วย ถ้าขืนทำตัวเลวๆ แบบนี้กับเพื่อนแฟนอีกระวังตัวให้ดีเถอะ”
วิริยาคลายมือจนเห็นรอยเล็บจิกขึ้นสีแดงช้ำทันตา แล้วหล่อนวาดมือลงไปที่จุดกึ่งกลางลำตัวรวดเร็วแล้วคว้าลมขี้นมาทำท่าบีบแน่นๆ จนสิรภพถอยหลังกรูดเพราะยังไม่หายเจ็บดี
“จะทำอะไร! ยายนี่ฤทธิ์เยอะนัก คิดว่าพี่พิศวาสเธอมากรึไง” สิรภพเสียงแข็งตะคอกใส่
“ไม่รู้สิ ขนาดปากบอกไม่สนใจยังทำเจ้าชูประตูดินใส่แตเลย นิสัย” หล่อนทิ้งท้ายเสียงเขียว
พอดีกับที่ประตูลิฟท์เปิดออก วิริยายิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะชูกำปั้นใส่หน้าชายหนุ่มและผลักออกห่างประตูก่อนจะทิ้งประโยคสุดท้ายไว้ให้
“จะบอกให้รู้ไว้นะว่าเสน่ห์ของพี่ภพใช้ไม่ได้กับแตหรอกนะจะบอกให้ เสียดายลิฟท์ไม่น่ารีบเปิดเลยไม่งั้นแตจะทำให้สูญพันธ์ ดีมะ” หล่อนยิ้มเยาะ
“ยายบ้า! บ้าทั้งคู่เลยพวกเธอสองคน” สิรภพตะคอกมือยังเกาะผนังลิฟท์จุกไม่หาย
ชี้หน้าหญิงสาวที่ออกมายืนหน้าลิฟท์แล้วมองเขาด้วยความสมเพช หล่อนเท้าสะเอวทำหน้าขบขันแล้วตอบในขณะที่ลิฟท์กำลังจะปิด
“ไม่บ้าจะเป็นเพื่อนกันได้ไงล่ะ” หล่อนลากเสียงยาว “เสียใจด้วยนะที่พี่ภพจะไม่มีวันหายายปิ่นเจอ”
พูดจบหล่อนก็เดินตัวปลิวออกไปนอกบริษัท เดินตัดผ่านตึกเข้าลานจอดรถกลางแจ้งแล้วรีบขับรถออกไปโดยเร็วทิ้งสิรภพวิ่งตามมาทันแค่เห็นท้ายรถไวๆ
ยังไม่ทันออกจากห้องน้ำ ปิ่นมณีก็หลบวูบเข้ามาด้านในเมื่อเห็นชายสองคนที่ไล่ต้อนหล่อนเมื่อตอนกลางวันเดินผ่านไปด้วยท่าทางร้อนรนเหมือนกำลังมองหา หล่อนถึงกับเหงื่อซึมหน้าซีด
“มีญานวิเศษรึไง ตามมาได้ยังไงเนี่ย”
หล่อนหันรีหันขวางแล้วหลบวูบเข้าในห้องน้ำห้องในสุดทันทีที่หนึ่งในสองเดินตรงมาทางที่ยืนอยู่ พอปิดล็อคประตูได้ก็ยืนชิดในสุดตัวสั่นงันงกเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหนักค่อยๆ เดินเข้ามาและเปิดประตูทีละห้องจนใกล้เข้ามาเรื่อย
จะทำยังไง!
เหงื่อเริ่มตก มือเริ่มเย็นจนต้องหาทางหนีทีไล่ หญิงสาวพับฝาชักโครกแล้วลงนั่งกอดเข่ายกเท้าขึ้นเหนือพื้น แต่เสียงจับลูกบิดประตูพยายามคลายล็อกหลายครั้งทำให้หายใจไม่ทั่วท้อง
“ห้องนี้สินะ หนีไปไหนไม่พ้นหรอก ออกมาซะดีๆ ไม่อย่างนั้นจะพังเข้าไปแล้วจะหาว่าไม่เตือนนะคนสวย“
เสียงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน สำนวนพูดติดทองแดงของชายด้านนอก ทำให้หล่อนมือสั่นรีบเอาเท้ายันประตูไว้สุดแรงเพราะกลัวคนขู่จะพังเข้ามาจริงๆ
“จะออกมาดีๆ หรือจะให้พี่เข้าไปลากถึงที่จ๊ะ”
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วยค่ะ ใครก็ได้ช่วยด้วย โรคจิตเข้าห้องน้ำผู้หญิง”
เสียงเล็กกรีดร้องโวยวายที่ดังด้านนอกทำให้ปิ่นมณีทะลึ่งพรวดลุกยืน ตาโตเบิกกว้างเมื่อจำได้ว่าเสียงนั้นคือ
น้ำหอม!
เด็กน้อยส่งเสียงร้องไม่หยุดจนปิ่นมณีทนไม่ไหวพุ่งตัวออกมาจากห้องน้ำชนเข้ากับคนหน้าห้องเต็มแรงจนเซถอยหลังกรูดชนประตูห้องน้ำอีกด้านล้มหงายบนโถชักโครก
ปิ่นมณีหันรีหันขวางหาอาวุธแต่ไม่มีจึงเตะเข้าที่ลำตัวชายในห้องน้ำจนตัวงออีกรอบ จะวิ่งออกไปหาเด็กน้อยที่ยืนตัวสั่นอยู่ก็เห็นชายอีกคนวิ่งเข้ามาด้านหลังแล้วเอามืออุดปากอุ้มน้ำหอมจนตัวปลิวต่อหน้าต่อตา
“ปล่อยนะ!”
ปิ่นมณีพุ่งเข้าเกือบถึงตัวแต่ชายร่างสูงผมหยิกตรงหน้ายกมีดคัตเตอร์เปิดคมวาววับชี้มา
“หยุดอยู่ตรงนั้น! อยากตายทั้งคู่หรือไง”
ชายคนแรกลุกขึ้นได้ เดินเข้ามาประกบหลังปิ่นมณี แล้วมองหล่อนสลับกับคู่หูที่กำลังอุ้มเด็กน้อยด้วยท่าทางทุลักทุเล แล้วรวบสองแขนหล่อนแน่นผูกด้วยเชือกเส้นใหญ่ไพล่หลังแล้วลากดึงให้ตามออกไป
“ไปเดี๋ยวนี้นางครูคนสวย อย่าให้ต้องใช้กำลัง”
“ฉันไปก็ได้ แต่แกต้องปล่อยน้ำหอมก่อน!” ปิ่นมณีระล่ำระลัก “ปล่อยเด็กเดี๋ยวนี้นะ แกจะหายใจไม่ออกแล้ว”
เมื่อเห็นดวงตากลมใสตระหนกเต็มไปด้วยน้ำตา ทั้งโดนอุ้มรัดแน่นจนตัวปลิว ทั้งโดนอุดปาก จนหล่อนกลัวเด็กน้อยจะหายใจไม่ออก
“ปล่อยก็โง่สิ แกสองคนต้องไปด้วยกันนั่นแหละ”
“ไม่นะ!” ปิ่นมณีตวาด “ปล่อยเดี๋ยวนี้ ฉันจะไปกับพวกแก เด็กไม่เกี่ยว”
หล่อนก้าวรวดเร็วจะเข้าถึงตัวน้ำหอมแต่ถูกกระชากไว้จากชายหน้าเหี้ยมคนแรกจนถลาเข้าชนประตู พอตั้งตัวได้ก็ตั้งท่าจะยกขาเตะด้วยความโกรธแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเจอมีดปลายแหลมจ่อเข้าที่คอ
“คิดว่าไม่รู้สินะ ว่าสวยๆ แบบนี้ทำเจ้านายหยอดน้ำข้าวต้มมาแล้ว อย่าหวังว่าพี่จะหลงเชื่อเลยน้อง”
“เชื่อเถอะ ฉันไม่สู้หรอก” หล่อนกำสองมือที่ถูกมัดเข้าด้วยกันแน่นพยายามกระตุกเชือกที่มัดปมปล่อยชายอยู่ใกล้มือ แล้วหันหาชายหน้าเหี้ยมให้มองทางเด็กน้อย “แกกำลังแย่แล้วนะ”
“แค่อุดปากไม่ตายหรอกน่า อย่ามาสำออย!”
พอเผลอ ปิ่นมณีที่คลายเชือกออกจากข้อมือได้ข้างเดียวก็ฟันศอกเข้าใส่ปลายคางชายหน้าเหี้ยมเต็มแรง มีดกระเด็นตกลงพื้นเสียงดังจนน้ำหอมถึงกับตะลึงตาค้าง หล่อนรีบเข้าซ้ำด้วยปลายเท้าอัดเข้าไปเต็มท้องจนชายคนแรกเซหัวไปกระแทกขอบประตูล้มแน่นิ่ง แล้ววิ่งเข้าชาร์ตชายหน้าเสี้ยมผิวคล้ำที่ยืนละล้าละลังอีกคน แต่ยังไม่ทันได้เข้าถึงตัวร่างเล็กก็ตกลงไปกองกับพื้น พร้อมชายหน้าเสี้ยมทรุดลงสลบเหมือด
“น้ำหอม!”
ทักษ์โยนท่อนไม้ทิ้งห่างตัวแล้ววิ่งเข้าช้อนอุ้มลูกน้อยกระชับในอ้อมกอด ปิ่นมณีถลาเข้าช่วยประคองอีกคน หล่อนมือซีดสั่นจนคุมอารมณ์ไม่อยู่
“แกจะเป็นอะไรรึเปล่า พาไปหาหมอดีไหมคุณ”
ทักษ์พยักหน้า ไม่พูดพร่ำทำเพลง พาน้ำหอมตัวปลิวไปที่รถ มีปิ่นมณีตามมาติดๆ สวนกับแม่ค้าร้านอาหารที่เห็นเหตุการณ์ตอนปิ่นมณีโดนจี้แล้วรีบไปแจ้งรปภ. มาทันรวบตัวสองหนุ่มหน้าเหี้ยมส่งให้ตำรวจทันท่วงที
“แกจะเป็นอะไรไหมคะ”
ปิ่นมณีลูบหน้ากลมแก้มอูมของเด็กน้อยด้วยความเป็นห่วง หล่อนอาสานั่งเบาะหลังแล้วให้น้ำหอมนอนเหยียดยาวเอาหัวเกยตัก ทักษ์เหลือบมองผ่านกระจกมองหลังเห็นหน้าตาหล่อนซีดเซียวแล้วเขาก็ได้แต่ถอนหายใจ
“แกไม่เป็นมานานแล้ว จนกระทั่งวันนั้น” ทักษ์หยุดคำพูดไว้ในฐานที่เข้าใจ
ปิ่นมณีหน้าซีด นึกรู้ว่าเพราะหล่อนทำให้เด็กน้อยมีอาการเหมือนคนเป็นโรคแพนิกกลับมา ไม่รู้เหตุผลกลใดจึงทำให้น้ำหอมเป็นแบบนี้ แต่มันคือความรับผิดชอบ
“เพราะฉัน เพราะฉันทำให้น้ำหอมไม่สบาย เราพาแกไปหาหมอกันนะคะ”
“เรา” ทักษ์ขึ้นเสียงสูง เหลือบมองหล่อนจากกระจกอีกรอบ
“ใช่ค่ะ เรา” ปิ่นมณีย้ำหนักแน่นจ้องตอบตาไม่กะพริบ
หล่อนตั้งใจอยากรู้อาการของเด็กน้อยอย่างกระตือรือร้น แต่ทักษ์ส่ายหน้าแล้วปฏิเสธ
“ถ้าคุณรีบ ผมส่งคุณต่อรถหรือเครื่องไปลงหาดใหญ่ก่อนได้นะครับ คุณไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับเรา”
“ฉันไม่ได้รีบนะคะ มีเวลาอีกตั้งนานกว่าโรงเรียนจะเปิดเทอม” หล่อนอ้อมแอ้มแล้วหลบตา “เราควรไปด้วยกันค่ะ ฉันจะได้ช่วยคุณดูแลน้ำหอมเพราะแกยังไม่สบายอยู่”
ทักษ์ยิ้มออก รู้สึกอุ่นในใจขึ้นมาทันใด หญิงสาวร่างเล็กแต่หมัดหนักออกอาการเหมือนแม่นกที่คอยปกป้องระวังลูกน้อยอย่างไรอย่างนั้น จนเขาได้แต่ถอนใจพูดไม่ออก
“งั้นถ้าคุณไม่รีบ เสร็จจากพาน้ำหอมหาหมอแล้ว ผมอยากพาคุณไปที่แห่งหนึ่งสักสองสามวัน” เขาหยั่งเชิง “คุณไว้ใจผมไหม”
“ที่ไหนคะ” หล่อนขมวดคิ้ว แต่น้ำเสียงกระตือรือร้น
“เกาะพิทักษ์” เขาตอบ
“เกาะพิทักษ์” หล่อนทวนคำสีหน้างุนงง “อยู่ที่ไหนคะ ฉันไม่เคยได้ยิน คุณจะไปทำอะไรที่นั่นหรือคะ”
“อยู่ชุมพร ผมเคยอยู่ที่นั่นช่วงหนึ่ง” เขาตอบแล้วเหลือบมองหล่อนยิ้มๆ “ผมอยากให้คุณได้เห็น ถ้าคุณไม่รีบ”
“ฉันอยากไปค่ะ” ปิ่นมณีตอบแทบไม่คิด
ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าถ้าไปสงขลาแล้วจะเจออะไร รู้ว่าแม่ไปอาศัยป้าอยู่แล้วบวชชีพราหมณ์ที่วัดแถวบ้าน แต่ไม่เคยกลับไปตั้งสิบกว่าปีแล้ว
หล่อนเพียงแค่อยากหาที่หลบภัย และคิดว่าพ่อจะไม่มีวันตามหาหล่อนเพราะพ่อคงไม่คิดว่าจะมาหาแม่และครอบครัวดั้งเดิมของแม่ที่พ่อเคยรังเกียจนักหนา
“คุณแน่ใจเหรอครูปิ่น” ทักษ์ย้ำอีกรอบ
“ทำไมคุณถึงชอบคิดแทนฉันเรื่อย” ปิ่นมณีถอนใจ “ดีซะอีก ถ้าเกิดพวกนั้นตามไปถึงบ้านแม่ฉันแล้วไม่เจอจะได้รู้ว่าฉันไปอยู่ที่อื่นไม่ได้ไปที่นั่น”
“คุณหนีแฟนอย่างกับหนีเจ้าหนี้” ทักษ์พูดกลั้วหัวเราะ
ปิ่นมณีค้อนตากลับ เขาพูดไม่ผิดสักนิด หล่อนเกลียดคนโลเลที่มีอิทธิพลในใจพ่อมากกว่าหล่อนที่เป็นลูกแท้ๆ ของพ่อเสียอีก ถ้ากลับไปคราวนี้กลัวว่าหล่อนอาจจะขยับตัวหรือบิดพลิ้วไม่แต่งงานกับสิรภพได้ยากเต็มที
หล่อนรู้นิสัยพ่อดี...
“คุณไม่คิดว่าพ่อจะเป็นห่วงบ้างรึไง แปลก”
“ฉันไม่ใช่ลูกรักของพ่อ” หล่อนช้อนตามองเขา ตาคลอระริกเหมือนจะร้องไห้ “ฉันอิจฉาน้ำหอมนะ ที่มีพ่อที่รักและห่วงใยแกมากขนาดนี้โดยไม่มีแม่เลยด้วยซ้ำ”
ทักษ์เหลือบตามองก่อนจะหลบสายตาหันกลับไปจดจ่อถนนหนทางต่อ เห็นหล่อนมองเมินออกไปนอกถนนแต่มือยังคงลูบหน้าลูกสาวของเขาแผ่วเบา เขาได้แต่อมยิ้มเล็กน้อย แต่พอหล่อนหันมาเขาก็ทำหน้านิ่งเหมือนเดิม
“ฉันเห็นนะคะ คุณแอบหัวเราะฉัน” ปิ่นมณีค้อนกลับ จ้องชายหนุ่มผ่านกระจกมองหลังไม่วางตา
ทักษ์แก้เก้อด้วยคำพูด
“ผมแค่คิดว่าจะตอบคนที่เกาะว่ายังไงถ้าเห็นเราไปด้วยกันสามคน”
“ก็ทำไมต้องตอบด้วยล่ะ หรือว่า”
ปิ่นมณีหยุดคำพูดไว้แค่นั้น นึกรู้ความหมายในทันที
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ
ตอนหน้าขอลงช้าเดี๋ยวจะเอาอีกเรื่องมาลงสลับกันนะคะ
เพราะว่าสต็อกเรื่องหมดแล้ว ขอเวลาเขียนแป๊บนึงค่ะ ^^
lovereason2
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 เม.ย. 2560, 20:35:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 เม.ย. 2560, 20:35:52 น.
จำนวนการเข้าชม : 1077
<< บทที่ 5 : 100% | บทที่ 6/2 หนีรักไปพักร้อน >> |
แว่นใส 18 เม.ย. 2560, 21:47:59 น.
คุณแม่คนใหม่น้ำหอมไง
คุณแม่คนใหม่น้ำหอมไง
Reddy 19 เม.ย. 2560, 22:52:38 น.
สิรภพแย่มาก
สิรภพแย่มาก
lovereason2 21 เม.ย. 2560, 09:57:01 น.
คุณแว่นใส -- อิอิ น้ำหอมอวยสุดตัวเลยค่ะ
คุณReddy -- ตามประสาคนเจ้าชู้่ค่า
ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่า
คุณแว่นใส -- อิอิ น้ำหอมอวยสุดตัวเลยค่ะ
คุณReddy -- ตามประสาคนเจ้าชู้่ค่า
ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่า