สูตรลับจับรัก
เรื่องรักของคุณพ่อลูกติดมาดเซอรกับครูสาวสุดเปิ่น ผู้ถูกความรักผลักไสให้หลงทางมาเจอกันในวันบอบช้ำ สองหนุ่มสาวต่างวัยกับกาวใจลูกสาวตัวเล็กและชีวิตที่พลิกผัน
Tags: สูตรลับจับรัก ทักษ์ปิ่น คุณพ่อนักเล่านิทาน รักดราม่า
ตอน: บทที่ 6/2 หนีรักไปพักร้อน
ถนนมุ่งหน้าสู่ภาคใต้บ่ายวันธรรมดา รถราไม่ติดขัด แต่ฝนพรำลงมาเป็นระยะทำให้ทักษ์เพิ่มความระมัดระวังจนล่าช้าเป็นพิเศษ จนปิ่นมณีได้แต่วิตก
“คุณจะพาแกไปโรงพยาบาลไหนคะ” หล่อนถาม สายตาไม่ละจากดวงหน้ากลมของเด็กน้อย
“แถวนี้ไม่มีโรงพยาบาลเลย มีแต่โรงพยาบาลตำบลก็ต้องเข้าไปไกล ๆ ทั้งนั้น” ทักษ์สีหน้ากังวลไม่แพ้กัน “ผมว่าจะพาแกไปโรงพยาบาลชุมพร เพราะถ้าย้อนกลับไปบางสะพานก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมงแล้วจะยิ่งค่ำลงเรื่อย ๆ”
“แต่แกควรถึงมือหมอเร็วที่สุดนะคะ”
“แกเคยเป็นแบบนี้ตอนเด็ก ๆ สักพักแกจะดีขึ้นเอง”
“แล้วถ้าเกิดเป็นมากกว่าที่คิดละคะ” หล่อนแย้งเสียงเครือ สีหน้ากังวลปิดไม่มิด “ฉันไม่อยากให้แกเป็นอะไรเพราะฉันเป็นต้นเหตุ”
ปิ่นมณีพรูลมหายใจหนักหน่วง เป็นห่วงน้ำหอมที่ยังหลับใหล ทักษ์เหลือบมองผ่านกระจกหลังแล้วเหยียบคันเร่งเพิ่มอีกนิดเพื่อทำเวลา แต่เด็กน้อยรู้สึกตัวลืมตาขึ้นมองพ่อและครูสลับไปมา สีหน้าซีดเผือดในทีแรกเริ่มมีสีเลือดฝาดแทนที่
“น้ำหอมไม่ไปหาหมอ”
“น้ำหอม!” ปิ่นมณีอุทาน มองสบตาทักษ์ผ่านกระจกมองหลังโดยอัตโนมัติ
ชายหนุ่มตบไฟเลี้ยวเข้าจอดข้างทางให้สัญญาณฉุกเฉิน รอจนรถบรรทุกคันใหญ่แล่นผ่านไปก็รีบลงรถอ้อมมาเปิดประตูฝั่งที่ปิ่นมณีนั่ง ค้อมตัวผ่านหน้าหล่อนไปลูบหัวลูกสาวด้วยความห่วงใย
“เป็นไงบ้างลูก ดีขึ้นไหม พ่อว่าเราไปหาหมอกันนะคะ”
“น้ำหอมหายแล้วไม่ไปโรงพยาบาล ” เด็กน้อยเสียงแผ่ว ส่ายหน้ารัวสะบัดตัวไม่ให้พ่อกอด พยายามพาร่างป้อมลุกขึ้นนั่งเอนหลังกับเบาะสีหน้าซีดเผือดลงอีก “น้ำหอมกลัวแล้วก็หิวข้าวด้วยค่ะ”
“แต่น้ำหอมจ๊ะ... ครูว่า”
ปิ่นมณีไม่ทันท้วง ทักษ์ก็ขยิบตา สีหน้าเหมือนตำหนิ หล่อนได้แต่มองสองพ่อลูกสลับไปมา ไม่เข้าใจ
“ได้สิลูก” ทักษ์ปลอบ “เดี๋ยวเราหาข้าวกินกันก่อนแล้วค่อยคิดกันใหม่นะคะ”
“กินข้าวแล้วก็ไม่ไปโรงพยาบาลนะคะ” เด็กน้อยโผกอดคอพ่อแน่น “น้ำหอมกลัวเข็มฉีดยา”
ทักษ์พยักหน้าลูบหัวลูกสาวสุดรัก น้ำหอมยิ้มออกคลายอาการวิตกกังวลทันที ปิ่นมณีถอนหายใจได้แต่มอง หล่อนอาจจะไม่เข้าใจความรู้สึกของพ่อ แต่ก็เป็นห่วงน้ำหอมไม่แพ้กันในฐานะครู
“คุณไม่พาแกไปหาหมอแน่เหรอคะ” หล่อนไม่วายถามอีกรอบ
ทักษ์หันมาทำตาดุใส่ ปิ่นมณีจึงหยุดถาม
แล้วหล่อนก็ถึงกับตัวแข็งทื่อเพราะเพิ่งรู้สึกถึงกลิ่นอาฟเตอร์เชฟหอมเย็นจากกลิ่นกายชายหนุ่มเตะจมูก หัวใจเต้นแรงจนรู้สึกทนไม่ไหวต้องหาทางขยับขยายพาตัวออกไปให้พ้นจากคนพ่อเสียก่อนที่ใจหล่อนจะเต้นแรงประท้วงออกมานอกอก
“คุณหนวดออกไปก่อนได้ไหมคะ”
“หืม” ทักษ์เหลียวมอง
“คือฉันเมื่อย” หล่อนเสียงแผ่ว “ขอลงไปยืดเส้นยืดสายหน่อยนะคะ”
เบาะหลังไม่ได้กว้างนัก ทั้งร่างบึกบึนทำให้ปิ่นมณีตัวลีบแทบจะติดเบาะ พอทักษ์หันมาก็กลายเป็นว่าดวงหน้าเข้มครึ้มไรหนวดของเขาลอยมาอยู่ตรงหน้าหล่อนแทบจะชิดติดกัน
ทักษ์เองก็สะดุ้งรีบถอยหลัง หัวชนเข้ากับขอบประตูเสียงดัง จนต้องออกมายืนกุมท้ายทอยอยู่ด้านนอก ท่าทางเงอะงะเหมือนยังมึนทำให้ปิ่นมณีกลั้นยิ้มไม่อยู่ ก้าวตามลงมายืนข้าง ๆ
“เจ็บมากไหมคะ เสียงดังยังกับอะไร” หล่อนกลั้นหัวเราะ แต่ยังถามต่อ “ขอฉันดูหน่อยสิคะ ป่านนี้ปูดเป็นลูกมะนาวแล้วมั้ง”
“ไม่หรอกน่า ผมหัวแข็ง” ทักษ์รวนรู้สึกเสียฟอร์มเล็ก ๆ แล้วย่อตัวเข้าไปอุ้มน้ำหอมที่อ้าแขนรอรับ “ไปนั่งหน้ากับพ่อดีกว่านะคะ”
“แล้วครูปิ่นละคะ” เด็กน้อยท้วง
“ไม่ต้องห่วงครูหรอกค่ะน้ำหอม ครูนั่งหลังน่าจะสบายกว่าต้องนั่งเกร็งอยู่ข้างหน้า”
ปิ่นมณีก้าวถอยหลังให้พ่อลูก แล้วเปิดประตูข้างคนขับให้ ทักษ์ปรายตามองหล่อนชั่วครู่ก่อนจะวางน้ำหอมลงนั่งคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย
“นั่งหน้าแล้วอึดอัดนัก งั้นคุณก็นั่งหลังไปก็แล้วกันนะครูปิ่น ผมเป็นห่วงลูกอยากให้แกนั่งใกล้ ๆ”
“ไม่มีปัญหาค่ะ แค่คุณให้อาศัยมาก็บุญแค่ไหนแล้ว” หล่อนตอบยิ้มแย้มไม่ได้รู้ตัวว่าโดนประชดเข้าให้ “แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกหิวเหมือนกับน้ำหอมเลย แวะหาอะไรกินแถวปั๊มดีไหมคะ”
“โอเค จัดให้ตามนั้น”
“มื้อนี้ฉันจ่ายนะ” หล่อนต่อรอง “ให้ฉันช่วยค่าอาหารก็ยังดี”
“ไม่ต้อง แค่ค่าอาหารไม่กี่บาท ผมมีตังค์จ่ายหรอกน่า”
คำตอบห้วน ๆ ของชายหนุ่ม ทำให้ปิ่นมณีขมวดคิ้วมุ่นงุนงง แค่เรื่องอาหารทำไมต้องทำเสียงเขียว นึกแล้วก็ขุ่นใจแต่พอสบสายตาคนขับที่มองมาแล้วหล่อนก็ได้แต่หน้ามุ่ย
จะอารมณ์ติสไปไหน...
กว่าอาหารมื้อกลางวันจะตกถึงท้องก็ปาเข้าไปเกือบสามโมงเย็น สามชีวิตบนรถเก๋งสี่ประตูกลางเก่ากลางใหม่ต่างเงียบสนิท น้ำหอมหลับผล็อยคอพับคออ่อน ในขณะที่ปิ่นมณีหลับไม่ลงมองนอกหน้าต่างสลับกับคนขับ
ทักษ์หยิบแผ่นซีดีหน้าแผงคอนโซลรถใส่เครื่องเล่น หรี่เสียงให้เปิดคลอเป็นเพื่อนคลายเหงา ปิ่นมณีฟังแล้วถึงกับหลุดขำจนทักษ์เหลือบมอง
“ขำอะไร”
ยังจะห้วนได้อีก ปิ่นมณีหุบยิ้มแล้วทำหน้านิ่งปฏิเสธ
“ฉันนึกว่าคุณจะเปิดเพลงฟัง”
“แล้วฟังอันนี้มันเป็นยังไง” ทักษ์ถามเสียงขุ่น “ก็สนุกดี”
“เข้าใจแล้วค่ะ” หล่อนลากเสียงยาวประโยคต่อมา “คุณพ่อนักเล่านิทาน”
“ก็ผมต้องหาวัตถุดิบมาเล่าให้น้ำหอมฟัง”
“ก็ใครได้ว่าอะไรละคะ นิทานอีสปของคุณก็สนุกดีไง”
“คุณหัวเราะ” ทักษ์เสียงขุ่น ขัดหูน้ำเสียงล้อเลียนของหล่อน
“ก็คุณน่ารัก”
ปิ่นมณีถึงกับเก้อเมื่อรู้ตัวว่าเผลอหลุดปาก ดวงหน้านวลเหยเกเบือนหน้าออกนอกหน้าต่างทันทีที่สบสายตาชายหนุ่ม มันช่างวิบวับ กวนใจ แล้วก็ทำให้หล่อนละสายตาได้ยาก
ความขุ่นเคืองหายไปทันทีที่เหลือบมองหญิงสาวผ่านกระจกมองหลังแล้วทักษ์ก็ได้แต่ยิ้มขบขัน ปิ่นมณีเงยหน้าสบตาพอดี สองหนุ่มสาวต่างเก้อ จนทักษ์ต้องชวนคุยคลายความอึดอัด
“คุณเคยไปสงขลาไหม”
“เคยตอนเด็กค่ะ นานมากแล้ว” หล่อนตอบพลางครุ่นคิด สีหน้าวิตกทันที “ยังคิดไม่ตกเลยว่าถ้าไปถึงแล้วจะเป็นยังไง ฉันไม่คุ้นเคยกับครอบครัวฝั่งแม่ พ่อก็ไม่ชอบเหมือนกัน”
ทักษ์ฟังแล้วถึงกับขมวดคิ้ว ความสงสัยทำให้ละลาบละล้วงถามอย่างที่ไม่เคยเป็น
“แล้วคุณมาแบบนี้พ่อไม่ว่าเหรอ”
“เพราะรู้ไงคะ “ หล่อนตอบเสียงแผ่ว “ถึงได้มาที่นี่ ถ้าลำพังไปที่อื่นพ่อคงโร่มาตาม แต่นี่พอรู้ว่าฉันลงใต้แค่นั้น พ่อก็เลยให้ภพจัดการแทน”
“แล้วคุณไม่คิดว่าเขาจะตามคุณเจอ” ทักษ์หยั่งเชิง
“จริง ๆ ฉันไม่ควรต้องหนีด้วยซ้ำ” หล่อนตอบฉุน ๆ “ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดเลย คุณก็เห็น เขาต่างหากที่นอกใจฉัน การหมั้นก็ควรเป็นโมฆะ”
“แต่พ่อคุณไม่ยอมสินะ” เขาต่อให้ “ผมเดาว่าคุณไม่ได้อย่างใจเขาเท่าไหร่”
“ก็ฉันไม่ได้เก่งเหมือนพี่” ปิ่นมณีตอบรับ ดวงหน้านวลเศร้าหมองลงทันที “พ่อรักพี่มาก แต่พี่...”
ปิ่นมณียั้งคำพูดไว้แล้วเงียบไป ทำให้ทักษ์ฉงนหนักเข้าไปอีก ดวงตาคมหรี่มองสำรวจดวงหน้าเรียวเล็กแต่ตาเศร้าในกระจกมองหลังด้วยความเป็นห่วง
หล่อนยังเด็กอยู่แท้ ๆ อย่างน้อยก็เด็กกว่าเขานับสิบปี แต่ทำตัวเข้มแข็งเหมือนผู้ใหญ่ที่แบกโลกไว้ทั้งใบทั้งที่ในใจอ่อนไหวจนเขาสัมผัสได้…
กว่าจะมาถึงท่าเรืออ่าวท้องครก ชุมพร ก็เป็นสี่โมงกว่าเข้าไปแล้ว ทันทีที่จอดรถในที่ฝากติดท่าเรือ ทักษ์ก็ก้าวลงมาเปิดท้ายกระโปรงรถเอาของใช้ ปิ่นมณีและน้ำหอมตามลงมาติด ๆ สองสาวต่างวัยสีหน้าตื่นเต้นที่รู้ว่าคืนนี้จะได้พักโฮมสเตย์บนเกาะ แต่ก็กังวลไม่ต่างกันเมื่อมองออกไปเห็นเมฆตั้งเค้าทะมึนมาแต่ไกล และเสียงทักทายจากด้านหลังทำให้ปิ่นมณีถึงกับสะดุ้ง
“ไม่มานานแล้วนะบ่าว”
“ครับ” ทักษ์ยิ้มกว้างผละเดินไปจับไม้จับมือชายชราท่าทางใจดี “สบายดีนะครับลุง”
“สบายดี แต่คืนนี้ท่าทางไม่ค่อยดี”
“ทำไมครับ” ทักษ์เลิกคิ้วเมื่อเห็นแววตากังวลของชายชรา
“ฟ้าฝนเปลี่ยนไปมาแหละ บ่าวเอ๊ย นี่ก็หาปลาไม่ค่อยได้กันเลย ขนาดหน้าหมึกแท้ ๆ เศรษฐกิจก็ไม่ดี ไม่รู้จะทำพรันพรือแล้วนิ ถ้าไม่ได้เงินจากโฮมสเตย์มีหวังอดกัน”
ทักษ์ฟังแล้วก็ได้แต่วิตก เขาเคยมาอยู่ชุมพรพักหนึ่งหลังจากพ่อกับแม่ตายเพราะต้องมาจัดการเรื่องที่ดินที่เป็นสวนปาล์มของพ่อ และมาเกาะพิทักษ์ครั้งแรกเพราะปู่เป็นคนพื้นเพที่นี่ ทำให้ได้เจอกับริสาในงานวิ่งแหวกทะเลจากฝั่งไปเกาะและรู้ว่าหล่อนเป็นนิสิตใหม่มหาวิทยาลัยเดียวกัน จนไปมาหาสู่นำมาซึ่งความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา
ที่นี่จึงเป็นทั้งสถานที่แห่งความรักและความหลังของเขากับแม่ของน้ำหอม...
น้ำหอมบิดขี้เกียจก้าวขาป้อม ๆ ลงมาตามด้วยปิ่นมณีที่สำรวจตรวจตราของในรถล็อคประตูเรียบร้อยแล้วพากันเดินกระหนุงกระหนิงไปที่ทักษ์ เด็กน้อยจูงมือครูสาวปากก็เจื้อยแจ้ว
“ครูปิ่นเคยมาที่นี่ไหมคะ”
“ไม่เคยเลยจ้ะ” ปิ่นมณีส่ายหน้า ถามกลับ “แล้วน้ำหอมล่ะ”
เด็กน้อยเอานิ้วแตะปากครุ่นคิด แล้วตอบเสียงใส
“น้ำหอมเคยมาตอนเด็ก ๆ ค่ะ”
“แสดงว่าตอนนี้โตแล้วสินะ” ปิ่นมณีหยอกเย้าแล้วมาหยุดยืนที่สองหนุ่มต่างวัย
ทักษ์หันมาเห็นพอดีก็กวักมือเรียก น้ำหอมวิ่งตื๋อเข้ากอดเอวพ่อ ส่วนชายชรามองหญิงสาวแปลกหน้าด้วยความสนใจ ก่อนจะหันไปถาม
“แม่ใหม่น้ำหอมเรอะ”
สองหนุ่มสาวสบตากันโดยอัตโนมัติ ทักษ์ตั้งท่าจะตอบแต่น้ำหอมคว้ามือพ่อกับครูสาวคนละข้างแล้วยิ้มแป้นตอบอย่างภาคภูมิใจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
มาลงช้าไปหน่อยค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่า
^___^
“คุณจะพาแกไปโรงพยาบาลไหนคะ” หล่อนถาม สายตาไม่ละจากดวงหน้ากลมของเด็กน้อย
“แถวนี้ไม่มีโรงพยาบาลเลย มีแต่โรงพยาบาลตำบลก็ต้องเข้าไปไกล ๆ ทั้งนั้น” ทักษ์สีหน้ากังวลไม่แพ้กัน “ผมว่าจะพาแกไปโรงพยาบาลชุมพร เพราะถ้าย้อนกลับไปบางสะพานก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมงแล้วจะยิ่งค่ำลงเรื่อย ๆ”
“แต่แกควรถึงมือหมอเร็วที่สุดนะคะ”
“แกเคยเป็นแบบนี้ตอนเด็ก ๆ สักพักแกจะดีขึ้นเอง”
“แล้วถ้าเกิดเป็นมากกว่าที่คิดละคะ” หล่อนแย้งเสียงเครือ สีหน้ากังวลปิดไม่มิด “ฉันไม่อยากให้แกเป็นอะไรเพราะฉันเป็นต้นเหตุ”
ปิ่นมณีพรูลมหายใจหนักหน่วง เป็นห่วงน้ำหอมที่ยังหลับใหล ทักษ์เหลือบมองผ่านกระจกหลังแล้วเหยียบคันเร่งเพิ่มอีกนิดเพื่อทำเวลา แต่เด็กน้อยรู้สึกตัวลืมตาขึ้นมองพ่อและครูสลับไปมา สีหน้าซีดเผือดในทีแรกเริ่มมีสีเลือดฝาดแทนที่
“น้ำหอมไม่ไปหาหมอ”
“น้ำหอม!” ปิ่นมณีอุทาน มองสบตาทักษ์ผ่านกระจกมองหลังโดยอัตโนมัติ
ชายหนุ่มตบไฟเลี้ยวเข้าจอดข้างทางให้สัญญาณฉุกเฉิน รอจนรถบรรทุกคันใหญ่แล่นผ่านไปก็รีบลงรถอ้อมมาเปิดประตูฝั่งที่ปิ่นมณีนั่ง ค้อมตัวผ่านหน้าหล่อนไปลูบหัวลูกสาวด้วยความห่วงใย
“เป็นไงบ้างลูก ดีขึ้นไหม พ่อว่าเราไปหาหมอกันนะคะ”
“น้ำหอมหายแล้วไม่ไปโรงพยาบาล ” เด็กน้อยเสียงแผ่ว ส่ายหน้ารัวสะบัดตัวไม่ให้พ่อกอด พยายามพาร่างป้อมลุกขึ้นนั่งเอนหลังกับเบาะสีหน้าซีดเผือดลงอีก “น้ำหอมกลัวแล้วก็หิวข้าวด้วยค่ะ”
“แต่น้ำหอมจ๊ะ... ครูว่า”
ปิ่นมณีไม่ทันท้วง ทักษ์ก็ขยิบตา สีหน้าเหมือนตำหนิ หล่อนได้แต่มองสองพ่อลูกสลับไปมา ไม่เข้าใจ
“ได้สิลูก” ทักษ์ปลอบ “เดี๋ยวเราหาข้าวกินกันก่อนแล้วค่อยคิดกันใหม่นะคะ”
“กินข้าวแล้วก็ไม่ไปโรงพยาบาลนะคะ” เด็กน้อยโผกอดคอพ่อแน่น “น้ำหอมกลัวเข็มฉีดยา”
ทักษ์พยักหน้าลูบหัวลูกสาวสุดรัก น้ำหอมยิ้มออกคลายอาการวิตกกังวลทันที ปิ่นมณีถอนหายใจได้แต่มอง หล่อนอาจจะไม่เข้าใจความรู้สึกของพ่อ แต่ก็เป็นห่วงน้ำหอมไม่แพ้กันในฐานะครู
“คุณไม่พาแกไปหาหมอแน่เหรอคะ” หล่อนไม่วายถามอีกรอบ
ทักษ์หันมาทำตาดุใส่ ปิ่นมณีจึงหยุดถาม
แล้วหล่อนก็ถึงกับตัวแข็งทื่อเพราะเพิ่งรู้สึกถึงกลิ่นอาฟเตอร์เชฟหอมเย็นจากกลิ่นกายชายหนุ่มเตะจมูก หัวใจเต้นแรงจนรู้สึกทนไม่ไหวต้องหาทางขยับขยายพาตัวออกไปให้พ้นจากคนพ่อเสียก่อนที่ใจหล่อนจะเต้นแรงประท้วงออกมานอกอก
“คุณหนวดออกไปก่อนได้ไหมคะ”
“หืม” ทักษ์เหลียวมอง
“คือฉันเมื่อย” หล่อนเสียงแผ่ว “ขอลงไปยืดเส้นยืดสายหน่อยนะคะ”
เบาะหลังไม่ได้กว้างนัก ทั้งร่างบึกบึนทำให้ปิ่นมณีตัวลีบแทบจะติดเบาะ พอทักษ์หันมาก็กลายเป็นว่าดวงหน้าเข้มครึ้มไรหนวดของเขาลอยมาอยู่ตรงหน้าหล่อนแทบจะชิดติดกัน
ทักษ์เองก็สะดุ้งรีบถอยหลัง หัวชนเข้ากับขอบประตูเสียงดัง จนต้องออกมายืนกุมท้ายทอยอยู่ด้านนอก ท่าทางเงอะงะเหมือนยังมึนทำให้ปิ่นมณีกลั้นยิ้มไม่อยู่ ก้าวตามลงมายืนข้าง ๆ
“เจ็บมากไหมคะ เสียงดังยังกับอะไร” หล่อนกลั้นหัวเราะ แต่ยังถามต่อ “ขอฉันดูหน่อยสิคะ ป่านนี้ปูดเป็นลูกมะนาวแล้วมั้ง”
“ไม่หรอกน่า ผมหัวแข็ง” ทักษ์รวนรู้สึกเสียฟอร์มเล็ก ๆ แล้วย่อตัวเข้าไปอุ้มน้ำหอมที่อ้าแขนรอรับ “ไปนั่งหน้ากับพ่อดีกว่านะคะ”
“แล้วครูปิ่นละคะ” เด็กน้อยท้วง
“ไม่ต้องห่วงครูหรอกค่ะน้ำหอม ครูนั่งหลังน่าจะสบายกว่าต้องนั่งเกร็งอยู่ข้างหน้า”
ปิ่นมณีก้าวถอยหลังให้พ่อลูก แล้วเปิดประตูข้างคนขับให้ ทักษ์ปรายตามองหล่อนชั่วครู่ก่อนจะวางน้ำหอมลงนั่งคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย
“นั่งหน้าแล้วอึดอัดนัก งั้นคุณก็นั่งหลังไปก็แล้วกันนะครูปิ่น ผมเป็นห่วงลูกอยากให้แกนั่งใกล้ ๆ”
“ไม่มีปัญหาค่ะ แค่คุณให้อาศัยมาก็บุญแค่ไหนแล้ว” หล่อนตอบยิ้มแย้มไม่ได้รู้ตัวว่าโดนประชดเข้าให้ “แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกหิวเหมือนกับน้ำหอมเลย แวะหาอะไรกินแถวปั๊มดีไหมคะ”
“โอเค จัดให้ตามนั้น”
“มื้อนี้ฉันจ่ายนะ” หล่อนต่อรอง “ให้ฉันช่วยค่าอาหารก็ยังดี”
“ไม่ต้อง แค่ค่าอาหารไม่กี่บาท ผมมีตังค์จ่ายหรอกน่า”
คำตอบห้วน ๆ ของชายหนุ่ม ทำให้ปิ่นมณีขมวดคิ้วมุ่นงุนงง แค่เรื่องอาหารทำไมต้องทำเสียงเขียว นึกแล้วก็ขุ่นใจแต่พอสบสายตาคนขับที่มองมาแล้วหล่อนก็ได้แต่หน้ามุ่ย
จะอารมณ์ติสไปไหน...
กว่าอาหารมื้อกลางวันจะตกถึงท้องก็ปาเข้าไปเกือบสามโมงเย็น สามชีวิตบนรถเก๋งสี่ประตูกลางเก่ากลางใหม่ต่างเงียบสนิท น้ำหอมหลับผล็อยคอพับคออ่อน ในขณะที่ปิ่นมณีหลับไม่ลงมองนอกหน้าต่างสลับกับคนขับ
ทักษ์หยิบแผ่นซีดีหน้าแผงคอนโซลรถใส่เครื่องเล่น หรี่เสียงให้เปิดคลอเป็นเพื่อนคลายเหงา ปิ่นมณีฟังแล้วถึงกับหลุดขำจนทักษ์เหลือบมอง
“ขำอะไร”
ยังจะห้วนได้อีก ปิ่นมณีหุบยิ้มแล้วทำหน้านิ่งปฏิเสธ
“ฉันนึกว่าคุณจะเปิดเพลงฟัง”
“แล้วฟังอันนี้มันเป็นยังไง” ทักษ์ถามเสียงขุ่น “ก็สนุกดี”
“เข้าใจแล้วค่ะ” หล่อนลากเสียงยาวประโยคต่อมา “คุณพ่อนักเล่านิทาน”
“ก็ผมต้องหาวัตถุดิบมาเล่าให้น้ำหอมฟัง”
“ก็ใครได้ว่าอะไรละคะ นิทานอีสปของคุณก็สนุกดีไง”
“คุณหัวเราะ” ทักษ์เสียงขุ่น ขัดหูน้ำเสียงล้อเลียนของหล่อน
“ก็คุณน่ารัก”
ปิ่นมณีถึงกับเก้อเมื่อรู้ตัวว่าเผลอหลุดปาก ดวงหน้านวลเหยเกเบือนหน้าออกนอกหน้าต่างทันทีที่สบสายตาชายหนุ่ม มันช่างวิบวับ กวนใจ แล้วก็ทำให้หล่อนละสายตาได้ยาก
ความขุ่นเคืองหายไปทันทีที่เหลือบมองหญิงสาวผ่านกระจกมองหลังแล้วทักษ์ก็ได้แต่ยิ้มขบขัน ปิ่นมณีเงยหน้าสบตาพอดี สองหนุ่มสาวต่างเก้อ จนทักษ์ต้องชวนคุยคลายความอึดอัด
“คุณเคยไปสงขลาไหม”
“เคยตอนเด็กค่ะ นานมากแล้ว” หล่อนตอบพลางครุ่นคิด สีหน้าวิตกทันที “ยังคิดไม่ตกเลยว่าถ้าไปถึงแล้วจะเป็นยังไง ฉันไม่คุ้นเคยกับครอบครัวฝั่งแม่ พ่อก็ไม่ชอบเหมือนกัน”
ทักษ์ฟังแล้วถึงกับขมวดคิ้ว ความสงสัยทำให้ละลาบละล้วงถามอย่างที่ไม่เคยเป็น
“แล้วคุณมาแบบนี้พ่อไม่ว่าเหรอ”
“เพราะรู้ไงคะ “ หล่อนตอบเสียงแผ่ว “ถึงได้มาที่นี่ ถ้าลำพังไปที่อื่นพ่อคงโร่มาตาม แต่นี่พอรู้ว่าฉันลงใต้แค่นั้น พ่อก็เลยให้ภพจัดการแทน”
“แล้วคุณไม่คิดว่าเขาจะตามคุณเจอ” ทักษ์หยั่งเชิง
“จริง ๆ ฉันไม่ควรต้องหนีด้วยซ้ำ” หล่อนตอบฉุน ๆ “ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดเลย คุณก็เห็น เขาต่างหากที่นอกใจฉัน การหมั้นก็ควรเป็นโมฆะ”
“แต่พ่อคุณไม่ยอมสินะ” เขาต่อให้ “ผมเดาว่าคุณไม่ได้อย่างใจเขาเท่าไหร่”
“ก็ฉันไม่ได้เก่งเหมือนพี่” ปิ่นมณีตอบรับ ดวงหน้านวลเศร้าหมองลงทันที “พ่อรักพี่มาก แต่พี่...”
ปิ่นมณียั้งคำพูดไว้แล้วเงียบไป ทำให้ทักษ์ฉงนหนักเข้าไปอีก ดวงตาคมหรี่มองสำรวจดวงหน้าเรียวเล็กแต่ตาเศร้าในกระจกมองหลังด้วยความเป็นห่วง
หล่อนยังเด็กอยู่แท้ ๆ อย่างน้อยก็เด็กกว่าเขานับสิบปี แต่ทำตัวเข้มแข็งเหมือนผู้ใหญ่ที่แบกโลกไว้ทั้งใบทั้งที่ในใจอ่อนไหวจนเขาสัมผัสได้…
กว่าจะมาถึงท่าเรืออ่าวท้องครก ชุมพร ก็เป็นสี่โมงกว่าเข้าไปแล้ว ทันทีที่จอดรถในที่ฝากติดท่าเรือ ทักษ์ก็ก้าวลงมาเปิดท้ายกระโปรงรถเอาของใช้ ปิ่นมณีและน้ำหอมตามลงมาติด ๆ สองสาวต่างวัยสีหน้าตื่นเต้นที่รู้ว่าคืนนี้จะได้พักโฮมสเตย์บนเกาะ แต่ก็กังวลไม่ต่างกันเมื่อมองออกไปเห็นเมฆตั้งเค้าทะมึนมาแต่ไกล และเสียงทักทายจากด้านหลังทำให้ปิ่นมณีถึงกับสะดุ้ง
“ไม่มานานแล้วนะบ่าว”
“ครับ” ทักษ์ยิ้มกว้างผละเดินไปจับไม้จับมือชายชราท่าทางใจดี “สบายดีนะครับลุง”
“สบายดี แต่คืนนี้ท่าทางไม่ค่อยดี”
“ทำไมครับ” ทักษ์เลิกคิ้วเมื่อเห็นแววตากังวลของชายชรา
“ฟ้าฝนเปลี่ยนไปมาแหละ บ่าวเอ๊ย นี่ก็หาปลาไม่ค่อยได้กันเลย ขนาดหน้าหมึกแท้ ๆ เศรษฐกิจก็ไม่ดี ไม่รู้จะทำพรันพรือแล้วนิ ถ้าไม่ได้เงินจากโฮมสเตย์มีหวังอดกัน”
ทักษ์ฟังแล้วก็ได้แต่วิตก เขาเคยมาอยู่ชุมพรพักหนึ่งหลังจากพ่อกับแม่ตายเพราะต้องมาจัดการเรื่องที่ดินที่เป็นสวนปาล์มของพ่อ และมาเกาะพิทักษ์ครั้งแรกเพราะปู่เป็นคนพื้นเพที่นี่ ทำให้ได้เจอกับริสาในงานวิ่งแหวกทะเลจากฝั่งไปเกาะและรู้ว่าหล่อนเป็นนิสิตใหม่มหาวิทยาลัยเดียวกัน จนไปมาหาสู่นำมาซึ่งความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา
ที่นี่จึงเป็นทั้งสถานที่แห่งความรักและความหลังของเขากับแม่ของน้ำหอม...
น้ำหอมบิดขี้เกียจก้าวขาป้อม ๆ ลงมาตามด้วยปิ่นมณีที่สำรวจตรวจตราของในรถล็อคประตูเรียบร้อยแล้วพากันเดินกระหนุงกระหนิงไปที่ทักษ์ เด็กน้อยจูงมือครูสาวปากก็เจื้อยแจ้ว
“ครูปิ่นเคยมาที่นี่ไหมคะ”
“ไม่เคยเลยจ้ะ” ปิ่นมณีส่ายหน้า ถามกลับ “แล้วน้ำหอมล่ะ”
เด็กน้อยเอานิ้วแตะปากครุ่นคิด แล้วตอบเสียงใส
“น้ำหอมเคยมาตอนเด็ก ๆ ค่ะ”
“แสดงว่าตอนนี้โตแล้วสินะ” ปิ่นมณีหยอกเย้าแล้วมาหยุดยืนที่สองหนุ่มต่างวัย
ทักษ์หันมาเห็นพอดีก็กวักมือเรียก น้ำหอมวิ่งตื๋อเข้ากอดเอวพ่อ ส่วนชายชรามองหญิงสาวแปลกหน้าด้วยความสนใจ ก่อนจะหันไปถาม
“แม่ใหม่น้ำหอมเรอะ”
สองหนุ่มสาวสบตากันโดยอัตโนมัติ ทักษ์ตั้งท่าจะตอบแต่น้ำหอมคว้ามือพ่อกับครูสาวคนละข้างแล้วยิ้มแป้นตอบอย่างภาคภูมิใจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
มาลงช้าไปหน่อยค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่า
^___^
lovereason2
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 เม.ย. 2560, 16:23:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 เม.ย. 2560, 16:23:12 น.
จำนวนการเข้าชม : 1139
<< บทที่ 6/1 หนีรักไปพักร้อน | บทที่ 6/3 หนีรักไปพักร้อน >> |
kaelek 26 เม.ย. 2560, 20:44:22 น.
ตอบไปชัดๆดังๆค่ะน้ำหอม!!
ตอบไปชัดๆดังๆค่ะน้ำหอม!!