ฝากรักไว้ในสายหมอก (เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อมE-Book)
มวยเกล้าผมวาง บนกล๋างกระหม่อม

แล้วเหน็บโอบล้อม ด้วยดอกเกี้ยวเกล้า
แดงเฮย...งามแต๊ บ่แลโศกเศร้า

สดใสเริงเลา ใคร่เฝ้าอยู่ใกล้
ผ่อจนเหลียวหลัง เป๋นดีใคร่ได้

โอบล้อมหัวใจ๋ ดวงนี้
แต่เก๊าเจ้าหวง สมแล้วว่าอี้

บ่ดีเด็ดเล่น เนอนายฯ.....



...........................................................................


เพราะความรัก ความผูกพันช่วงหนึ่งในวัยเยาว์

ที่เคยเติมเต็มหัวใจอันอ้างว้างของเขาให้อบอุ่นขึ้นมาได้

ความรู้สึกเหล่านั้นฝังแน่นอยู่ในใจตลอดมา

จนกระทั่งถึงวันนี้ที่เขากลับมาตามหาความรัก

ความผูกพันที่ได้ฝากไว้กับใครบางคน.



ฝากรักไว้ในสายหมอก

เป็นนิยายเรื่องแรกที่ได้รับการตีพิมพ์กับสนพ.กรียมายด์

ตอนนี้หมดสัญญาแล้วจึงเอามาทำเองค่ะ

ติดตามกันได้ในรูปแบบอีบุ๊คนะคะ




Tags: เกี้ยวเกล้า ไตรศูรย์ เชียงใหม่ ล้านนา โรงแรม ความรัก ความผูกพัน วัยเยาว์ สายหมอก

ตอน: ตอนที่ 9



หลังกินข้าวกลางวันเสร็จ คนงานกำลังพักผ่อนกันอยู่ ไตรศูรย์เดินตามร่างบางที่เดินไปยังบ้านเก่าแก่นั่นติดๆ แดดยามบ่ายแผดแสงกล้าจนเปลวแดดระยับไหว แต่คนที่เขาพยายามเดินเคียงคู่กลับไม่สะทกสะท้าน ใบหน้าเนียนขาวเริ่มออกสีแดงระเรื่อด้วยความร้อนระอุจากแสงแดดที่แผดเผา เหงื่อเม็ดเล็กเริ่มผุดพรายตรงปลายจมูกและหน้าผาก เกี้ยวเกล้าเดินตรงไปยังเศษไม้ที่ยังกองระเกะระกะอยู่ใต้ถุนบ้าน

“คุณจะทำอะไรน่ะ” ชายหนุ่มร้องถาม เมื่อเห็นเธอก้มเก็บเศษไม้

“เก็บไม้ไง”

“แดดร้อนหัวแทบแตกอย่างนี้เนี่ยนะ”

“ก็ฉันอยากทำนี่” เสียงใสนั้นเถียงเหมือนคนเอาแต่ใจ เขาจึงได้แต่อ่อนใจ

“งั้นก็...อ่ะ” หมวกปีกกว้างที่พึ่งถอดออกจากหัวเขา ถูกวางแหม่ะลงบนหัวเธอแทน

“เอ่อ ขอบคุณ” หญิงสาวกล่าวขอบคุณด้วยความเก้อเขินเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเก็บเศษไม้ไปกองตรงลานบ้าน โดยมีไตรศูรย์ทำตามและลอบมองเธออยู่เป็นระยะ

“ให้คนงานเขาทำเถอะคุณ” จนอดรนทนไม่ไหวขึ้นมาอีกครั้ง

“คุณขี้เกียจก็ไม่ต้องทำสิ” เธอย้อน

“ผมน่ะไม่ได้ขี้เกียจหรอก คุณนั่นแหล่ะเดี๋ยวเป็นลมแดดไปจะว่ายังไง” เขาพูดโดยที่มือและสายตาไม่ละจากกองเศษไม้ตรงหน้า

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันแค่อยากมีส่วนร่วมบ้าง อ๊ะ โอ๊ย! ว้าย! ว้าย! ” เสียงร้องด้วยความตกใจและเจ็บปวดทำให้เขาละมือจากงานตรงหน้ารีบวิ่งมาหาเธอโดยอัตโนมัติ ทันเห็นหมวกปีกกว้างกระเด็นออกจากหัวเธอไป ในขณะที่มือของเกี้ยวเกล้าปัดป้องพัลวัลทั้งที่หลับตาปี๋ ชายหนุ่มเขม้นตามองก็เห็นแมลงตัวเล็กๆ ฝูงหนึ่งแตกฮือ เขาถอดเสื้อเชิ้ตตัวนอกออกโบกสะบัดไล่แมลงกลุ่มนั้นให้แตกกระเจิดกระเจิง ก่อนคว้ามือเธอวิ่งออกมาจากตรงนั้นทันที!

“คุณเป็นยังไงบ้าง” ชายหนุ่มถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงเมื่อหยุดวิ่ง และพ้นจากรัศมีอันตรายของแมลงตัวเล็กแต่พิษสงร้ายกาจนั่นแล้ว

“มือฉัน มันเจ็บๆ คันๆ เหมือนมีเข็มหลายเล่มทิ่มแทงยังไงไม่รู้” เสียงนั้นทั้งสั่นและหอบด้วยความกลัวผสมกับความเหนื่อย

“คุณคงไปโดนรังแตนเข้าน่ะ มันเลยต่อยเอา ไหนดูซิ” ไตรศูรย์พูดพลางดึงมือข้างนั้นขึ้นมาพิจารณา ร่องรอยเหล็กไนปรากฏให้เห็นเป็นจุดสีแดงๆ และเริ่มนูนขึ้น ตั้งแต่มือลามไปถึงแขน ก่อนมองใบหน้าที่ตื่นตระหนก ดวงตามีน้ำตาคลอเอ่อด้วยความเจ็บก็ให้นึกสงสารจับใจ

“เดี๋ยวผมไปหายามาทาให้ก่อนนะ” เขาลุกขึ้นเดินจ้ำอ้าวไปยังบ้านน้ามาลี สักครู่จึงกลับมาพร้อมยาในมือ

“ตายแล้วนังหนูเกี้ยวโดนต่อยตั้งหลายแม่ เป็นสิบๆ เลยมั้งนั่นน่ะ เจ็บมากไหม ดูสิเริ่มบวมแล้ว” น้ามาลีที่วิ่งตามมาดูพร้อมกับน้าปันร้องเมื่อเห็นมือและแขนของหญิงสาวเริ่มบวมผิดรูปชัดเจนขึ้น

“ผมว่า ผมพาคุณกลับบ้านก่อนดีกว่า เผื่อจะได้ไปหาหมอ” เขาเปรยขณะใส่ยาหม่องกลิ่นฉุนให้เธอ

“แค่แตนเอง ไม่ใช่ตัวต่อซักหน่อย” เจ้าตัวท้วงไม่เต็มเสียงนัก

“แต่คุณถูกต่อยเยอะนะ แล้วก็เริ่มบวมแล้วด้วย”

“ไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวก็หาย” เธอยังดื้อดึง ทั้งที่ความเจ็บปวดผสมอาการคันยังไม่คลาย ซ้ำยังรู้สึกถึงความหนา หนัก และชาบริเวณที่ถูกต่อยแล้วในตอนนี้ ไตรศูรย์ถอนหายใจพลางส่ายหน้าให้กับความดื้อรั้นของคนตรงหน้า ก่อนเอ่ยขึ้นเสียงเข้ม

“ถ้าเป็นคนอื่นก็คงไม่เป็นไรหรอก แต่คุณแพ้พิษแมลงพวกนี้อาจทำให้เป็นไข้แล้วก็ช็อคขึ้นมาอีกก็ได้” คำพูดของเขาทำให้น้ามาลีมองหน้าสองหนุ่มสาวสลับกันไปมาเลิกลั่ก ส่วนเกี้ยวเกล้าเองก็อ้าปากค้างมองใบหน้าคมเข้มอย่างไม่เชื่อสายตา ชายหนุ่มจึงได้รู้สึกตัว

“เอ่อ...ช่างเหอะ เอางี้...ยังไงผมก็ต้องพาคุณกลับบ้านก่อนล่ะ เดี๋ยวน้าปันช่วยขับรถคุณเกี้ยวไปส่งให้ทีนะครับ ขากลับมาพร้อมผม” ท้ายประโยคเขาหันไปสั่งน้าปัน ก่อนจะพยักหน้าให้เกี้ยวเกล้าซึ่งเธอก็ยอมเดินตามไปแต่โดยดี

หญิงสาวรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง ก็เห็นว่าตัวเองเดินอยู่ใต้ถุนบ้านยายที่คุ้นเคย เสาไม้สักต้นใหญ่แต่ละต้นที่เธอเคยโอบกอดมันตอนเล่นไล่จับ ยังยืนต้นอยู่ตรงนั้นด้วยสีสันสดใสเหมือนเดิม เกี้ยวเกล้าใจพองโต มันเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเก่าแก่หลังนี้ หรือว่า...เธอรีบวิ่งไปทางบันได

นั่นไงล่ะ...โอ่งน้ำดินเผาใบเก่าใบนั้น ดอกแก้วพุ่มเก่ากำลังออกดอกขาวสะพรั่งส่งกลิ่นหอมกรุ่น แล้วนั่น...ดอกเกี้ยวเกล้าต้นสูงถึงเอวก็ออกดอกสีแดงเป็นพวงยาวระย้าเต็มต้น แล้วยายล่ะ...ยายอยู่ไหนกัน พลันหูแว่วได้ยินเสียงที่คุ้นเคย.....

มวยเกล้าผมวาง บนกล๋างกระหม่อม แล้วเหน็บโอบล้อม ด้วยดอกเกี้ยวเกล้า

แดงเฮย...งามแต๊ บ่แลโศกเศร้า สดใสเริงเลา ใคร่เฝ้าอยู่ใกล้............

เสียงฮ่ำค่าวที่คุ้นหู

“ยายจ๋ายาย เกี้ยวอยู่นี่” เกี้ยวเกล้าตะโกนเรียก เมื่อเห็นร่างที่คุ้นตานั่งผิงแดดอุ่นอยู่กลางลานบ้านหญิงชรารูปร่างผอม สูง ผมสีดอกเลาเกล้าสูงทัดด้วยช่อดอกเอื้องคำสีเหลือง ใบหน้าเหี่ยวย่นตามวัย ใส่เสื้อแขนกระบอกสีทึมและผ้าซิ่นทอมือลวดลายแปลกตา มือผอมเกร็งชะงักจากการเตรียมหมากพลู หันมองมาทางหลานสาว รอยยิ้มใจดีผุดพรายบนริมฝีปาก

“เด็ดดอกเกี้ยวเกล้ามาสิลูก ยายจะเหน็บผมให้” ยายร้องบอกเหมือนทุกครั้ง

“จ้ะยาย” เกี้ยวเกล้ารับคำด้วยความดีใจ ก่อนเอื้อมมือไปเด็ดดอกไม้สีแดงที่เป็นพวงยาวระย้า แต่...กลับรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างเสียดแทงที่มือ

“โอ๊ย! ยายจ๋า” เกี้ยวเกล้ามองไปทางยายเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่กลับเห็นเด็กผู้ชายตัวสูงผิวสีเข้มคนหนึ่งแทน

“น้องเกี้ยว” เขารีบสาวเท้าเข้ามาหาเธอด้วยความเป็นห่วง แต่เธอกลับพยายามมองหายายที่อยู่ด้านหลังเขา ยายไม่ได้เข้ามาหาเธอแต่ยังนั่งยิ้มให้เธออยู่อย่างนั้น เกี้ยวเกล้าผลักเด็กชายคนนั้นให้พ้นทางแล้วรีบวิ่งไปหายาย แต่เหมือนยายอยู่ห่างไกลออกไป ยิ่งเธอพยายามวิ่งเข้าไปหาภาพของยายในสายตาก็ยิ่งห่างและลางเลือนลงทุกที จนกระทั่งลับหายไปกับตา

“ยายจ๋า ยายอย่าหนีเกี้ยวไปเลยนะจ๊ะ ยายอยู่กับเกี้ยวนะจ๊ะยาย” เกี้ยวเกล้าร่ำร้องด้วยน้ำตา ก่อนจะทรุดกายร่ำไห้ ด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง

“น้องเกี้ยว...” เสียงเรียกนั้นทำให้เกี้ยวเกล้าสะดุ้งตื่นจากความฝันในทันใด เราฝันไปนี่เอง เธอบอกกับตัวเอง แต่กลับรู้สึกถึงน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม

หญิงสาวยกมือเช็ดน้ำตาตัวเองในความมืดสลัว เหงื่อซึมไปทั้งตัวคงเป็นเพราะฤทธิ์ยาแก้ไข้ที่กินก่อนนอนนั่นกระมัง ความบวมที่แขนลดลงบ้างแล้ว โชคดีที่คนตัวสูงนั่นพาเธอแวะไปหาหมอก่อนกลับบ้าน เลยได้ฉีดยาแก้อาการบางอย่าง และได้ยามากินอีกหลายขนานทำให้อาการต่างๆ ที่เป็นบรรเทาลง คงเหลือแต่อาการไข้ที่ยังรุมๆ อยู่ไม่สร่าง

ในความฝันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงส่วนหนึ่ง ตอนที่เธอยังเด็กเคยถูกแตนต่อยที่ต้นดอกเกี้ยวเกล้าตีนบันได และนั่นเป็นครั้งแรกที่รู้ว่าเธอแพ้พิษของแมลงชนิดนี้ ทั้งเป็นไข้ อาเจียนจนเกือบช็อคทำให้วิ่งวุ่นกันทั้งบ้าน ตอนนั้นเธอเองเอาแต่ร้องไห้งอแงและกอดยายไว้ตลอด ไม่ยอมแม้แต่จะให้พ่อ แม่อุ้ม หรือ...แม้แต่เจ้าของเสียงที่เรียก ‘น้องเกี้ยว’ นั่นด้วย

เธอคิดว่าคงเป็นเพราะตัวเองคิดถึงยายและบรรยากาศในตอนนั้นมากไปหน่อย ไม่ก็คงเป็นเพราะพิษไข้นั่นแหล่ะ เลยทำให้เก็บเอามาฝันอย่างนี้ ตอนนั้นเธอเป็นไข้อยู่หลายวันอาจเป็นเพราะเธอยังเด็กภูมิต้านทานน้อย แต่ตอนนี้เธอก็ได้แต่หวังว่าพรุ่งนี้ไข้จะหายหรือค่อยยังชั่วขึ้นบ้าง เพราะงานแต่งของรุ่นพี่ที่เธอปฏิเสธไม่ได้ยังรออยู่นั่นเอง

“ยัยเกี้ยว จะไปพร้อมพี่กับพี่ทศหรือเปล่า” กอแก้วที่แต่งตัวเสร็จพร้อมออกงาน หันมาถามน้องสาว

“เกี้ยวจะไปพร้อมเจน ยังไม่ได้ทำผมแต่งหน้าเลย เดี๋ยวจะไปร้านเจนมันเนี่ย พี่แก้วไปก่อนเหอะจ้ะ”

“หน้าตายังดูเซียวๆ อยู่นะลูก ไหวหรือเปล่า ไข้ยังไม่หายดีไม่ไปก็ได้มั้ง” พ่อวิกรณ์อดไม่ได้ที่จะทักด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นหน้าลูกสาวคนเล็ก

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะพ่อ โน่นแน่ะ! เสียงรถเจนมาแล้ว เกี้ยวไปก่อนนะจ๊ะ”

ภายในรีสอร์ทบ้านเคียงธารวันนี้ถูกประดับประดาไปด้วยดอกไม้ที่เน้นสีขาวกับชมพู ตั้งแต่ทางเข้าจนถึงสนามหญ้าหน้าอาคารหลังใหญ่สองชั้น และภายในห้องโถงของอาคารนี้ด้วย นอกจากดอกไม้แล้วยังมีปฏิมากรรมที่แกะสลักจากน้ำแข็งเป็นรูปต่างๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นสัญลักษณ์ของความรักวางอยู่ตรงจุดสำคัญๆ ทั้งตรงสนามและในห้องโถง

เกี้ยวเกล้าอยู่ในชุดแซ็คผ้าซาตินเกาะอกสีครีมนวลตา สั้นเลยเข่าขึ้นมานิดหนึ่ง ตรงเอวมีโบว์ขนาดพอเหมาะคาดไว้อย่างน่ารัก รองเท้าส้นสูงสีน้ำตาลสายไขว้ทำให้ร่างนั้นยิ่งดูระหง ผมยาวปล่อยสยายกลางแผ่นหลังถูกเซ็ทเป็นลอนใหญ่ตรงปลาย เปิดเนินหน้าผากนูนด้วยการรวบหน้าม้าขึ้นติดด้วยกิ๊บรูปดอกไม้ประดับเพชรแวววาว เข้าชุดกับต่างหูยาวระย้า ใบหน้าแต่งแต้มด้วยโทนสีหวานเข้ากับชุดที่สวมใส่

หลายคนอดเหลียวมองไม่ได้ เมื่อหญิงสาวเยื้อย่างเข้ามาในงานพร้อมเจน ที่ใส่สูทสีขาวแต่แอบหวานด้วยเข็มกลัดรูปนกยูงรำแพนประดับพลอยหลากสีตรงปกเสื้อ ผมสีทองถูกเซ็ทให้เข้ารูปทรงตามสมัยนิยม เจ้าภาพเข้ามาต้อนรับเจนกับเกี้ยวเกล้าและนำไปยังโต๊ะด้านใน สาลี่ เกื้อกูลรออยู่ที่โต๊ะแล้ว

“เจ้าบ่าวเป็นคนในเมือง เห็นว่าทำงานพวกโรงแรมนะ” สาลี่แอบเม้าธ์

“พี่พั้นซ์เองก็อยู่สายนี้ไม่ใช่เหรอ ดูสิ...หน้าบานเชียว อิจฉาจัง เจ้าบ่าวก็หล่อเอาเรื่องนะแก” เจนที่เก็บอาการตาร้อนไว้ไม่อยู่จีบปากจีบคอเสริม

“เออ ฉันยังไม่เห็นแก้มกับตึ๋งเลยนะ” เกี้ยวเกล้าเปรยพลางมองหาเพื่อนทั้งสองไปรอบๆ บริเวณงานที่ผู้คนพลุกพล่าน

“ไม่ต้องมองหามันหรอก ฉันมาตั้งแต่เมื่อกี้ยังไม่เห็นหน้าไอ้แก้มเลย ไอ้ตึ๋งนี่เวียนมาหลายครั้งแล้ว เดี๋ยวก็มาอีก” สาลี่ว่า

“ป่านนี้มันคงวุ่นอยู่ข้างนอกโน่นแหล่ะ” เจนพูดก่อนจะหันไปชวนเกื้อกูลที่นั่งตาปรือกึ่มๆ ดริ๊งค์กันต่อ แต่เกี้ยวเกล้าขอตัว คงเพราะอาการไข้ที่ยังไม่หายดีทำให้เธอรู้สึกมึนหัวเมื่ออยู่ในสถานที่ไม่มีอากาศถ่ายเทและผู้คนแออัดจอแจอย่างนี้

“ฉันไปห้องน้ำแป๊บนึงนะ” เกี้ยวเกล้าคว้ากระเป๋าถือแล้วเดินออกมาข้างนอก

หลังออกมาจากห้องน้ำแทนที่จะกลับเข้าไปข้างใน แต่เกี้ยวเกล้ากลับเดินตรงไปยังศาลาริมน้ำแทน ศาลาริมน้ำซึ่งอยู่เลยสนามหญ้าไปพอสมควรจึงค่อนข้างปลอดผู้คน หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนทอดสายตามองสายน้ำที่ไหลเอื่อย

แม่น้ำสายเล็กๆ สายนี้ไหลผ่านด้านข้างของรีสอร์ทกั้นกลางระหว่างภูเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า และเบื้องหลังเธอที่เป็นที่ราบกินบริเวณไปถึงอาคารสองชั้นใจกลางของงานวันนี้ เลยจากนั้นไปเป็นเนินซึ่งเป็นที่ตั้งบ้านพักของรีสอร์ทเรียงรายกันอยู่ แม่น้ำสายนี้มีน้ำไหลตลอดปีมากน้อยขึ้นอยู่กับฤดูกาล และจะไหลลงสู่แม่น้ำปิง

แม้ตัวศาลาริมน้ำจะอยู่ห่างออกมาจากใจกลางของงาน แต่ที่นี่ยังถูกประดับตกแต่งด้วยช่อดอกไม้ และผ้าลูกไม้สีขาว-ชมพูอ่อนหวาน นี่คงเป็นฝีมือของเพื่อนรักแก้มใสและตึ๋งสินะ เกี้ยวเกล้ายิ้มเมื่อคิดถึงเพื่อนขึ้นมา

“เกี้ยว” เธอหันหลังกลับไปมองที่มาของเสียงเรียกในทันที

“อ้าว...พีท” พีระอยู่ในชุดสูทสีเทาผูกเนคไทด์สีสุภาพ ส่งรอยยิ้มกระจ่างเจือความยินดีมาให้หญิงสาว

“เจอเจนข้างในบอกว่าเกี้ยวออกมาข้างนอกพีทเลยตามมาดู เกี้ยวกลับมาอยู่บ้านนานหรือยัง” พีระก้าวมายืนเคียงข้างร่างบาง

“เกี้ยวมาได้สักพักใหญ่แล้วล่ะ ไม่เจอกันนานเลยนะพีท” เกี้ยวเกล้าพูดพลางเอียงหน้ามองคนข้างๆ ยิ้มแย้ม เขายังสูงขาว ใบหน้าออกตี๋นิดๆ นั้นมีแววตาเป็นประกาย

“อือ...พอพี่พั้นซ์บอกพีทว่าเกี้ยวกลับมานะ พีทว่าจะไปหาตั้งแต่วันก่อนแล้ว แต่หาเวลาว่างไม่ได้เลย ต้องช่วยพี่พั้นซ์เตรียมงาน พีทคิดถึงเกี้ยวนะ แต่โทร.ยังไงก็ไม่ติด เกี้ยวยังใช้เบอร์ฯ เดิมอยู่หรือเปล่า”

“เอ้อ...เกี้ยวเปลี่ยนนานแล้ว” เธออยากจะบอกนักว่า เปลี่ยนนับตั้งแต่อ๋อมแอ๋มโทร.มา’วีนเรื่องเขาอยู่บ่อยๆ นั่นแหล่ะ

“เสร็จงานพี่พั้นซ์พีทจะกลับเลยหรือเปล่า” หญิงสาวพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย

“พีทกะอย่างนั้นนะ ก่อนกลับพีทแวะไปหาเกี้ยวที่บ้านได้หรือเปล่า” แต่ก่อนที่คนถูกถามจะทันตอบ

“เห็นทีคงไม่ได้มั้งครับ” เสียงทุ้มนั้นก็ดังแทรกมาจากทางด้านหลัง เล่นเอาทั้งคู่หันไปมองพร้อมกันอย่างตกใจ

“คือ ผมหมายความว่า...คุณเกี้ยวคงไม่สะดวกที่จะเจอคุณเท่าไหร่ มีอะไรคุยกันตรงนี้ดีกว่า เพื่อแสดงความบริสุทธ์ใจเพราะผมก็อยู่ตรงนี้” เกี้ยวเกล้ากับพีระอ้าปากค้าง มองร่างสูงของคนตรงหน้าอย่างงงงัน

“ ’โทษที ผมลืมแนะนำตัวไป คือ...ผม ไตรศูรย์ เป็นเอ่อ...คนพิเศษของคุณเกี้ยวน่ะครับ แล้วนี่ใครกันที่รัก” เขาหันมาถามเกี้ยวเกล้า พลางวาดวงแขนแข็งแรงมาโอบไหล่เปล่าเปลือยนั้นอย่างทะนุถนอม

“คะ คุณ...” คนที่ถูกโอบไหล่กลับพูดไม่ออก ความโกรธแล่นริ้ว ขณะที่พีระมองหน้าเกี้ยวเกล้าเหมือนขอคำอธิบาย

“ฮะ เอ่อ...ผม พีระ เป็น...เอ่อ”

“อ๋อ คงเป็นเพื่อนเก่าของคุณเกี้ยว โอเค.ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” มือใหญ่ข้างหนึ่งของไตรศูรย์ยื่นไปจับมือพีระเขย่าแรงๆ จนอีกฝ่ายสะเทือน

“ครับ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันฮะ เอ่อ...งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ เกี้ยวพีทขอตัวนะ” ขณะที่หันมาทางเกี้ยวเกล้าสายตาของพีระปกปิดความผิดหวังไม่มิด

“เอ่อ...เดี๋ยวพีท ไม่ใช่นะ” เกี้ยวเกล้าพยายามจะอธิบาย แต่พีระก็เดินจากไปแล้ว “นี่คุณทำบ้าอะไรของคุณน่ะ!? ” เมื่อท้วงตามคนที่จากไปไม่ทัน หญิงสาวก็หันมาเล่นงานคนที่ยืนยิ้มกริ่มข้างตัวแทน พลางปัดมือใหญ่ออกจากไหล่อย่างเอาเรื่อง

“ก็...ทำอย่างที่คุณเคยทำกับผมไง”

“อะไรนะ!? นี่คุณแกล้งฉัน แก้แค้นฉันงั้นเหรอ”

“คุณรู้หรือยังล่ะว่าการถูกล้อเล่นเป็นยังไง”

“เลวร้ายที่สุด โอเค.ก็ได้ถ้าคุณต้องการฉันไม่มีวันญาติดีกับคุณแน่!! ” น้ำเสียงกระด้าง แววตาวาววับด้วยความโกรธที่แล่นริ้ว แต่ก็ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายสะเทือนแต่อย่างใด

“ทีคุณยังล้อเล่นกับความรู้สึกของคนอื่นได้เลย พอคนอื่นทำกับคุณบ้างทำไมทนไม่ได้ล่ะ หรือว่า...แคร์ ‘เพื่อนเก่า’ มาก” เขาเน้นคำว่า ‘เพื่อนเก่า’ ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันและประชดประชัน

“อย่ามาก้าวก่ายเรื่องของฉันนะ! ” เธอแหวใส่

“ทำไมผมจะแตะต้องไม่ได้ ถ้ารักกันมากก็ตามไปง้อซะสิ” เขาท้าเหมือนคนพาลในท้ายประโยค

“คะ คุณ...คุณ” ร่างบางเริ่มสั่น หน้าแดงเพราะความโกรธจัด ขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกมึนจนชาวาบไปทั้งตัว สายตามองเห็นคนที่ลอยหน้ายั่วเธออยู่นั้นพร่าเลือนลงทุกขณะ ก่อนที่ความโกรธจะถูกความมึนงงแล่นเข้ามาแทนที่มากขึ้น และ...มากขึ้น แม้เกี้ยวเกล้าจะพยายามสลัดมันออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ในที่สุด...สติก็ดับวูบลง ร่างบางเซถลา ไตรศูรย์รีบถลันเข้าไปประคองไว้ทันก่อนที่เธอจะล้มลงกับพื้นพอดี
“คุณเกี้ยว เป็นอะไรไป คุณ...คุณ”




กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 เม.ย. 2560, 20:16:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 เม.ย. 2560, 20:16:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 875





<< ตอนที่ 8   ตอนที่ 10 >>
แว่นใส 19 เม.ย. 2560, 22:49:24 น.
ยังไม่หายดีก็ออกงิ้วซะละ


กานพลู 24 เม.ย. 2560, 10:52:07 น.
ฟอร์มนางเอก อิ อิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account