ปิ่นใจกะรัตพลอย (ชุด ลูกไม้ลายหงส์)
แม้จะต้องปะทะลมฝนรุนแรงขนาดไหน เธอก็ยังนับเป็นหงส์เหินที่งามสง่า แต่ใครจะคิดว่าสักวันนึง...ลมปากคนจะหักปีกหงส์ได้จริงๆ...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: Chapter 4 : ซ่อนหา
'ชั่ววินาทีที่หัวใจเต้นโครมคราม ขณะที่ริมฝีปากไร้ถ้อยคำจะเอื้อยเอ่ยนั้น คุณอาจพบว่าตัวเองขาดสิ้นจากการควบคุมไปเสียทุกสิ่ง ประหนึ่งว่าคุณไม่ได้เป็นเจ้าของร่างกายนี้อีกแล้ว ทว่าแท้ที่จริง สิ่งที่คุณหมดซึ่งความเป็นเจ้าของไม่ใช่ร่างกายนั้นหรอก หากแต่เป็นหัวใจที่เต้นผิดจังหวะเพราะคนตรงหน้าคุณต่างหาก...'
ทันใดนั้นเอง...
“คุณนี่จริงๆ เลยนะ ฉันบอกแล้วว่าให้ถือขึ้นมาด้วย ถือขึ้นมาด้วย ดูซิเนี่ยดึกๆ ดื่นๆ ต้องลงมาหาเนี่ย”
ด้วยอารามตกใจเสียงที่ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ร่างหนาด้านบนจึงเกิดเผลอปล่อยให้คนใต้ร่างหลุดหละหลวมจากพันธนาการ พร้อมกับที่คนใต้ร่างก็เกิดออกแรงพยศขึ้นมาอีกครั้ง คิดยกมือไม้ขึ้นทุบตีแผ่นอกแกร่งตรงหน้าอย่างสุดแรง เมื่อคนหนึ่งคิดจะทะยานขึ้น อีกคนคิดจะกดคนใต้ร่างลงแต่แรงทั้งสองไม่สมดุลกัน ร่างทั้งสองร่างจึงกลิ้งหลุนๆ ลงมาจากโซฟาจนแผ่นหลังหนากระแทกพื้นแข็งๆ เสียงดังปั๊ก ทว่านั่นก็ยังไม่เท่ากับริมฝีปากแสนนุ่มนั้น ที่โน้มลงมาประกบกับริมฝีปากได้รูปของคนร่างสูง ซึ่งแปรสถานะลงมาอยู่ด้านล่างอย่างพอดิบพอดี
ดวงตากลมโตเบิกโพลงด้วยความตกตะลึง ลมหายใจที่เคยผ่านเข้าออกได้สะดวกถึงกับขาดหายไปชั่วขณะ ใบหน้าสวยหวานเผือดสีลง ก่อนจะค่อยๆ ร้อนระอุจนคล้ายซับสีชาดไปทั่วทั้งหน้า พอสติสัมปชัญญะหวนคืนสู่ร่าง มือไม้จึงเริ่มออกแรงเพื่อดึงตัวเองออกจากคนฉวยโอกาสใต้ร่างทันที ทว่าเขากลับว่องไวยิ่งกว่า ชิงยกมือหนึ่งที่พันธนาการเอวคอดของเธออยู่นั้น ขึ้นมากดท้ายทอยเธอไว้ไม่ให้ผละออกจากริมฝีปากร้อนของเขาไปไหนได้ง่ายๆ ในสภาวะล่อแหลมแบบนี้ สมองที่เคยใช้งานได้ดีของเธอกลับขาวโพลนเสียยิ่งกว่ากระดาษเปล่า เธอจึงคิดอ่านอะไรได้ไม่มากไปกว่า...
“อ๊า!!...” ฟันขาวคมๆ ของหญิงสาวผู้เคยอ่อนโยนอ่อนหวาน ง้างขึ้นกัดริมฝีปากล่างของคนฉวยโอกาสจนแทบจมเขี้ยวราวกับราชสีห์ขย้ำเหยื่อ ทำเอาความปรารถนาร้อนแรงที่พุ่งขึ้นมาเมื่อครู่ทลายหายไปในชั่วพริบตา ไม่เหลืออารมณ์ส่วนไหนจะโน้มเธอลงมาแนบริมฝีปากกับเขาได้อีกแล้ว
ในชั่ววินาทีที่ความเจ็บแปลบแล่นขึ้นถึงสมองนั้น เขายังต้องตั้งสติลดมือที่รั้งท้ายทอยเธอลงมาปิดปากเธอเอาไว้ ขณะเดียวกันก็ต้องหลับตากลั้นใจกลืนเสียงร้องของตัวเองลงคอไปด้วย เพราะเกรงว่าจะทำให้คนหูไวตาไวอย่างสองสามีภรรยานั่นรู้เข้าว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ดึกๆ ดื่นๆ ลำพังแค่เสียงหลังกระแทกพื้นนั่นก็สุ่มเสี่ยงมากพออยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะภรรยาร่างเล็กของเพื่อนเขาคนนั้นบ่นกระปอดกระแปดอย่างฉุนเฉียวอยู่ก่อนล่ะก็ เจ้าหล่อนจะต้องได้ยินเสียงแปลกปลอมและเดินสำรวจทั่วบ้านจนกว่าจะเจออะไรที่แอบซ่อนอยู่แน่ เขาไม่อยากจะคิดเลยว่า ถ้าคนอื่นเห็นเขากับเธอในสภาพนี้แล้วจะเข้าใจเหตุการณ์ไปในรูปแบบไหน...ซึ่งก็จริงอยู่ ว่ามันคิดได้ไม่กี่รูปแบบนักหรอก...
“อื้ออ!!” ยิ่งห้ามเท่าไหร่ก็เหมือนยิ่งยุ ยังไม่ทันที่เขาจะได้เตรียมทางหนีทีไล่ คนเหนือร่างก็เริ่มส่งเสียงขึ้นมาอีกมาครั้ง ร่างบางทั้งร่างดิ้นขลุกขลักเสียอย่างกับหนีของร้อนก็ไม่ปาน เดือดร้อนเขาต้องออกแรงปิดปากให้แน่นกว่าเดิม ใช้แรงกว่าครึ่งกอดรัดพันธนาการเธอเอาไว้ ดิ้นเสียขนาดนี้ไม่รู้ว่ากลัวหรือรังเกียจกันแน่ ที่เขาทำทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่เพื่อรักษาชื่อเสียงเธอไว้หรือไง แม้คนที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนี้จะเป็นน้ำผึ้งพระจันทร์ที่เฝ้าสนับสนุนให้เขาจีบเธออยู่ทุกวัน แต่ว่ากันตามจริงเธอก็ถือมีเจ้าของจับจองแล้ว หากมีใครรู้เขาว่าเธอนอนทับเขาอยู่ตอนกลางค่ำกลางคืนอย่างนี้ คนเสียหายและจะอึดอัดใจเสียเองก็คือเธอต่างหาก ไม่ใช่เขาเสียหน่อย
“ชู่ววววว!” ฟรานยกนิ้วมือข้างนึงจรดริมฝีปากเป็นสัญญาณเตือนให้คนใต้ร่างอยู่ในความสงบเสียที ที่อยู่ใกล้แค่ไม่กี่ก้าวนี้เป็นเพื่อนสนิทเธอเองแท้ๆ ไม่รู้หรือยังไงว่ายัยแม่มดเพื่อนตัวเองจมูกมดแค่ไหน
ในขณะเดียวกันนั้น ฟรานก็พยายามเงี่ยหูฟังว่าสองสามีภรรยานั่นกำลังทำอะไร และกำลังจะเดินไปทางไหน เขาจะได้คิดหาทางรอดถูก
“ก็ให้คนเอาขึ้นไปให้ก็ได้ ไม่เห็นต้องลงมาเอาเองเลย” หยางหลงบ่นอุบอิบกับภรรยา เพราะไม่เห็นว่าการลืมผ้าอ้อมลูกที่ซื้อมาใหม่ไว้ข้างล่างมันจะเป็นเรื่องใหญ่ตรงไหน อย่างดีก็ใช้เด็กในบ้านลงมาเอา ไม่เห็นต้องยกกันลงมาทั้งครัวเรือนแบบนี้เลย
“ก็คุณเป็นคนซื้อ เป็นคนเก็บ คุณก็ต้องลงมาเอา หรือจะเถียง” น้ำผึ้งพระจันทร์ขึ้นเสียงพลางยกมือเท้าสะเอวอย่างเอาเรื่อง
“ไม่เถียงจ้ะ ไม่เถียง” คนเป็นสามีดีเด่นแห่งปีฉีกยิ้มกว้างจนถึงใบหู ตามกลวิธีรับมือภรรยาแสนเอาแต่ใจอย่างที่เคยทำทุกที ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบถุงผ้าอ้อมที่วางอยู่บนโต๊ะในห้องครัว พร้อมกับเอื้อมมือไปโอบเอวภรรยาเตรียมเดินกลับขึ้นไปข้างบน แต่ทันใดนั้นเองภรรยาร่างเล็กของเขาก็หยุดฝีเท้ากะทันหัน คล้ายกับเพิ่งนึกเรื่องคอขาดบาดตายได้เอาตอนนี้
“ฉันซื้อขนมมาให้น้ำพลอยนี่นา ลืมบอกไปซะสนิทเลย โทรขึ้นไปบอกหน่อยดีกว่า” ว่าแล้วมือเล็กก็ล่วงกระเป๋าชุดนอนหยิบโทรศัพท์เครื่องบางออกมาเตรียมกดโทรออกหาเพื่อนรัก
“ดึกแล้วน่า ค่อยบอกพรุ่งนี้ก็ได้มั้ง” หยางหลงออกความเห็นเมื่อเห็นภรรยารีบร้อนจะส่งขนมให้เพื่อนให้ได้ ตามความเห็นเขา จะให้ตอนไหนมันก็เหมือนกันทั้งนั้น อีกอย่างนี่มันเวลาไหนกันแล้วใครจะยังกินของคาวของหวานกันอยู่อีก คนประเภทนั้นก็มีแค่คนนาฬิกาชีวิตแปรปรวนอย่างภรรยาเขาเท่านั้นแหละ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ น้ำพลอยนอนดึกจะตาย” น้ำผึ้งพระจันทร์ตอบอย่างสบายๆ พลางฟังเสียงสัญญาณในมือถือไปเรื่อย เธอเกิดขี้เกียจจะเดินไปหาเพื่อนที่ห้องแล้ว ลำพังแค่ลากคนบางคนลงมาเอาของก็เหนื่อยจะแย่ เอาเป็นว่าถ้าเพื่อนไม่รับก็ถือเสียว่าหลับแล้วก็แล้วกัน
“ปิดมือถือ!!! ปิดมือถือ!!!!” ฟรานรีบร้อนบอกคนเหนือร่างแบบไม่ออกเสียงอย่างลนลาน ซึ่งก็ถือว่าโชคดีที่เธอดูจะเข้าใจสถานการณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว รีบล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาปิดเครื่องทันที ทว่าระหว่างที่ลดมือลงเตรียมเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋าตามเดิมนั้น มือบางๆ ก็เกิดไปกระแทกโต๊ะกระจกตัวใหญ่หน้าโซฟาเสียเต็มแรง ทำเอาเจ้าตัวถึงกับทำหน้าเหยเกพลางยกมือขึ้นสะบัดเร่าๆ ด้วยความเจ็บ หากในวินาทีที่กำลังจะตะโกนร้องระบายความเจ็บนั้น มือหนาของคนใต้ร่างก็ยกขึ้นตะปบริมฝีปากบางเข้าทันที
ในเสี้ยววินาทีเดียวกันนั้นเอง สายตาว่องไวดุจจอมพยัคฆ์ก็หันขวับไปในทิศทางที่คิดว่าเป็นต้นตอของเสียง ทว่ามีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้นที่รอต้อนรับอยู่ คิ้วหนาได้รูปทรงดาบเริ่มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เพราะเริ่มรู้สึกได้ด้วยสัญชาตญาณว่ากำลังมีสิ่งแปลกปลอมซ่อนอยู่ในบ้าน บ้านที่มีลูกชาย แล้วก็ยัยแม่มดของเขาอยู่...นั่นสิ ยัยแม่มดล่ะ...
ยังไม่ทันที่เขาจะได้หันมาบอกให้ภรรยาร่างเล็กรีบวิ่งขึ้นอยู่ข้างบน เจ้าหล่อนก็เปิดลิ้นชักตู้ไม้ใกล้ตัวแล้วหยิบปืนที่ซ่อนอยู่ออกมาเสียแล้ว และระหว่างที่กำลังจะเอื้อมมือไปแย่งปืนจากมือเล็กๆ นั้นมา ร่างเล็กก็ก้าวไปข้างหน้าเตรียมทะยานใส่เหยื่อตรงหน้าแล้ว มือหนาจึงเอื้อมไปคว้าเอวคอดของภรรยากลับมาแล้วแย่งปืนในมือเธอมาจับไว้เสียเอง ทว่าทันใดนั้น หางตาเขาก็เหลือบไปเห็นเงาข้อเท้าสองคู่บนผนังกระจกอีกด้านหนึ่ง จากเงาที่ปรากฏอยู่นั้นคงเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากร่างสองร่างกำลังนอนทับกันอยู่บนพื้นหน้าโซฟา และข้อเท้าที่ยาวกว่าในรองเท้าแตะสีน้ำตาลอ่อนซึ่งถูกทับอยู่นั้น ก็ไม่ใช่ของใครอื่นที่ไหน นอกจากไอ้เพื่อนตัวแสบของเขานั่นเอง...
“จะมาจับฉันไว้ทำไมเล่า! ปล่อย!! ฉันจะไปดู!!!” น้ำผึ้งพระจันทร์ทั้งดิ้นทั้งออกแรงแกะอ้อมแขนหนาของสามีให้หลุดจากตัว ทั้งยังแย่งปืนในมือเขากลับมาอย่างอุกอาจ หากก็ยังไม่ลืมจะข่มเสียงตัวเองให้เบาลงด้วย เธออยากจะไปดูให้เห็นกับตาว่าใครกล้าแอบเข้ามาในบ้านนี้ ดูท่าเธอต้องคุยกับหยางหลงเสียแล้วว่าระบบรักษาความปลอดภัยของบ้านชักจะหละหลวมเกินไปแล้ว เกิดอยู่ๆ มีคนขึ้นไปยิงถึงห้องนอนจะทำยังไง คอยดูเถอะ ว่าเธอจะจัดการบอดี้การ์ดที่เข้าเวรวันนี้ยังไง
“ไม่มีอะไรหรอกน่า” หยางหลงดึงภรรยาแสนรั้นให้หันหน้ามาคุยกันดีๆ ทั้งยังไม่ลืมทำเสียงเบาตามน้ำไปด้วย ทว่าคนเคยหัวแข็งยังไงก็ยังคงหัวแข็งอยู่อย่างนั้น ไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูดยังพอว่า ยังทำท่าจะเข้าไปเจาะกะโหลกเจ้าโจรใจกล้าที่มันบังอาจมาทำลับๆ ล่อๆ ถึงรังแม่มดอีกด้วย ซึ่งมันก็ไม่มีอะไรหนักหนาหรอกถ้ามันเป็นโจรจริงอย่างว่า แต่นี่เธอกำลังคิดจะฆ่าเพื่อนเขากลางบ้านต่างหาก!
“บอกว่าไม่มีอะไรไง ผมอยู่ทั้งคนน่า คุณขึ้นไปข้างบนก่อนเถอะ” หยางหลงดึงภรรยากลับมาก่อนจะเริ่มต่อรองอีกครั้งอย่างใจเย็น
“คุณไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอกน่าฉันไม่กลัว” น้ำผึ้งพระจันทร์ดึงแขนตัวเองกลับมาอย่างรวดเร็ว แล้วตั้งท่าจะกระโจนเข้าไปหาโซฟาที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงห้าก้าวอีกครั้ง โดยหารู้ไม่ว่าทั้งบ้านนี้คนที่น่ากลัวที่สุดก็มีแค่เธอนี่แหละ มาเฟียหนุ่มยังหลงคิดว่าตอนนี้เธอเป็นแม่คนแล้วจะใจเย็นลงกว่าเมื่อก่อน ที่ไหนได้... ไอ้เพื่อนสมควรตายนั่นก็เหมือนกัน คิดพิเรนทร์อะไรพาเหยื่อมากินถึงที่นี่ คิดไปคิดมาเขาก็ชักอยากให้น้ำผึ้งพระจันทร์พลั้งมือยิงมันตายขึ้นมาตงิดๆ เสียแล้ว
ยังไม่ทันที่ร่างเล็กจะได้ก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว มือหนาก็เอื้อมมารวบเอวภรรยาไว้อีกครั้ง ทว่าคราวนี้ไม่ใช่แค่ดึงกลับมาเท่านั้น แต่ยังใช้ลำแขนหนาทั้งสองข้างกอดรัดไว้ไม่ให้เธอเดินหนีไปไหนได้อีก
“คุณเป็นอะไรของคุณห้ะ ปกติเห็นระแวงยิ่งกว่าฉันซะอีก หรือว่า...” น้ำผึ้งพระจันทร์เริ่มโวยวายอย่างฉุนเฉียว ก่อนจะหรี่ตามองสามีร่างสูงตรงหน้าราวกับกำลังไล่จับพิรุธในแววตาดำสนิทดุจรัตติกาลคู่นั้น
“หรือว่าอะไร...”
“คุณซ่อนใครไว้...” เสียงเย็นเยียบของราชินีมังกรทำเอาใบหน้าของผู้เป็นราชาผุดเหงื่อเย็นๆ ขึ้นสามเม็ดในวินาทีเดียว เขาต้องทำบุญด้วยอะไรหนอ ถึงจะทำให้ภรรยาสุดรักของเขาหัวช้าลงกว่านี้สักหน่อย ซ้ำร้าย ‘ใคร’ ที่เธอหมายถึง กับ ‘ใคร’ ที่นอนอยู่ตรงนั้นจริงๆ มันคือความหมายเดียวกันเสียที่ไหน เขายืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองด้วยการยอมให้เธอเดินไปดูไม่ได้ เช่นเดียวกับที่ออกรับแทนเพื่อนว่าตัวเองเป็นคนซ่อนผู้หญิงไว้ไม่ได้เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นวิญญาณเขาได้ถูกกระชากออกมาเซ่นไหว้ปืนในมือเล็กๆ นั้นแน่
“ซ่อนอะไรล่ะไม่มี!!” มาเฟียหนุ่มปฏิเสธเสียงแข็ง
“ไม่มีแล้วทำไมจะไปดูไม่ได้!” น้ำผึ้งพระจันทร์ไล่ต้อนคนร้อนพิรุธอย่างฉุนขาด
“ก็มันไม่มีอะไรจะไปดูอะไรล่ะ!” หยางหลงโต้กลับทันควัน ขั้นตอนแรกเขาต้องสะกดจิตตัวเองให้เชื่ออย่างสนิทใจก่อนว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด ถึงจะทำให้อีกฝ่ายเชื่อได้ ซึ่งหากพูดกันตามจริงแล้วเขาไม่ได้ทำผิดอะไรจริงๆ มีอะไรต้องกลัวกัน แต่ด้วยมัวแต่พะวงว่าคำพูดตัวเองจะไม่น่าเชื่อถือพอ จึงลืมนึกไปเสียสนิทว่าตัวเองพูดเสียงดังแค่ไหน
“ขึ้นเสียงกับฉันเหรอ!! ซ่อนเด็กไว้ในบ้านใช่มั้ย! ฉันถามว่าใช่มั้ย!!!” น้ำผึ้งพระจันทร์โวยลั่นพลางทุ่มกำปั้นเล็กๆ ทว่าทรงพลังลงกลางแผ่นอกแกร่งจนเสียงดังปั่ก ก่อนจะรัวทั้งหมัดทั้งศอกใส่สามีร่างสูงตรงหน้าอย่างไม่ยั้งมือ เมื่อก่อนเขากล้าเสียงดังกับเธอเสียที่ไหนกัน แต่เพื่อจะซ่อนคน เขาถึงกับกล้าเชิดหน้าขึ้นเสียงกับเธอขนาดนี้ ถ้าที่อยู่ตรงนั้นมันไม่ใช่ผู้หญิงแล้วมันยังจะเป็นอะไรไปได้
“เด็กที่ไหนล่ะ มันไม่มี!!!” หยางหลงร้องลั่นพลางปัดป้องหมัดหนักๆ เป็นพัลวัน ในใจถึงกับเกิดความคิดเห็นแก่ตัวขึ้นมาแวบหนึ่ง อยากจะลากคนตัวเล็กไปดูให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลย ถ้าเกิดว่าพลั้งมือยิงขึ้นมาจริงๆ ก็ให้มันตายกันไปให้หมดนั่นแหละ เขาจะได้พ้นมลทิน พ้นหมัด พ้นศอกสักที
หากฉับพลันทันใดนั้นเอง...
“แงงงงงงงงงงงง...” เสียงร้องไห้ลั่นของทารกตัวน้อยที่ลอยลงมาจากข้างบน ทำเอาคนเป็นแม่ชาวาบไปทั่วทั้งร่าง ทั้งกำปั้น ทั้งปืนหลุดร่วงจากมืออย่างไร้เรี่ยวแรง มีเพียงสองขาเท่านั้นที่ยังตอบรับสัญชาตญาณรีบวิ่งขึ้นไปหาลูกรักที่อยู่ข้างบนเพียงคนเดียว มาเฟียหนุ่มผู้เป็นพ่อซึ่งรู้ดีกว่าใคร ว่าไม่มีใครอาจหาญบุกรุกคฤหาสน์มังกรมุกทั้งนั้น จึงก้มลงไปหยิบถุงผ้าอ้อมที่ร่วงตกพื้น พลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ให้กับความซวยของตัวเอง บางทีสวรรค์อาจจะอยากทวงความยุติธรรมให้ฟราน ที่เมื่อก่อนเขาเคยเอาเปรียบมันไว้มาก วันนี้เลยต้องมารับเคราะห์แทนมันแบบนี้
“ใครจะมาซ่อนคนดึกๆ ดื่นๆ...เนอะะ...” หยางหลงแสร้งพูดคนเดียวเสียงดังลั่น แต่ก็ยังไม่วายทิ้งท้ายราวกำลังถามใครสักคนอยู่ ทำเอาคนหลบๆ ซ่อนๆ ถึงกับกัดฟันกรอดที่ถูกเหน็บเข้าให้ แต่ขณะที่ในใจก็ยังอดขบคุณมันไม่ได้ ทั้งยังต้องขอบคุณหลานรักของเขาด้วยที่ร้องได้ถูกจังหวะพอดิบพอดี
เมื่อเสียงฝีเท้าสม่ำเสมอของคนเป็นมาเฟียห่างออกไป อ้อมแขนหนาที่เคยโอบรัดคนเหนือร่างเอาไว้ก็คลายออกทันที ร่างบางจึงใช้มือยันหน้าอกแกร่งอย่างสุดแรงเพื่อให้ตัวเองลุกขึ้นยืนได้ ผลจึงไม่ต่างจากการซัดฝ่ามือเข้าลิ้นปี่เท่าใดนัก
“ทำบ้าอะไรของนายห้ะ!!” ทันทีที่ลุกขึ้นยืนได้ เพียงน้ำพลอยก็ตวาดลั่นพลางชี้หน้าคนฉวยโอกาสอย่างเดือดดาล
“เออ เอาเข้าไป ไม่ร้องให้มันดังกว่านี้ล่ะ เขาจะได้รู้กันทั้งบ้านว่าคุณหนูเพียงน้ำพลอยผู้เรียบร้อยดุจชีผู้ทรงศีล กลางค่ำกลางคืนไม่หลับไม่นอน ลงมาจับผมกดกลางห้องนั่งเล่น” ฟรานพูดอย่างลอยหน้าลอยตา ก่อนจะหันมากระตุกยิ้มที่มุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ให้หญิงสาวผู้เดือดพล่านตรงหน้า
“ใครกดใครไม่ทราบ!!!” เพียงน้ำพลอยสวนกลับอย่างเหลืออด ก่อนจะนึกได้ว่า ไม่ว่าผลลัพธ์ของประเด็นนี้จะออกมาในทิศทางไหน มันก็น่าอายพอกัน ฟันคมๆ ที่เพิ่งผ่านสมรภูมิเลือดมาจึงได้แต่กัดริมฝีปากล่างของตัวเองเอาไว้ไม่ให้พูดอะไรชวนขายหน้าได้อีก ทว่าทั้งที่เธอหยุดแล้วแท้ๆ เขากลับก้าวเข้ามาหาเธอด้วยท่าทีสบายๆ หากเพียงชั่วพริบตา ร่างสูงร้อยแปดสิบห้าเซนก็เข้ามาประชิดตรงหน้าเสียจนเธอรู้สึกได้ถึงไอลมหายใจร้อนๆ จากเขา ใบหน้าหล่อเหลาดุจหยกสลักค่อยๆ โน้มลงมากระซิบที่หูเธอด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา แต่กลับทำให้เธอแทบเธอดิ้นตายด้วยความโกรธ
“ถ้าคุณถือสาเรื่องนี้นักล่ะก็ ผมกดคุณเองก็ได้”
“ไอ้บ้าา!!!” ร่างบางออกแรงที่มีทั้งหมดผลักคนหน้าไม่อายออกไปให้พ้นตัว ก่อนจะหันหลังเดินกระทืบเท้าบันดาลโทสะจากไป โดยไม่คิดจะหันมาสนใจเสียงหัวเราะร่าที่ลอยตามหลังมาเป็นเงา หากพอเดินพ้นห้องครัวไปได้ไม่ถึงก้าวดี สมองที่เริ่มกลับมาใช้การได้ก็สั่งให้สองขาหยุดชะงัก ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปเอาขนมที่น้ำผึ้งพระจันทร์ซื้อมาให้แล้ววิ่งกลับขึ้นห้องไปอย่างรวดเร็ว ทำเอาคนยืนมองอยู่ด้านหลังถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะดังขึ้นกว่าเดิมเป็นสิบเท่า คนอะไรโกรธจนหน้าดำหน้าแดงแล้วยังไม่ลืมเรื่องกินอีก เห็นแบบนี้จะให้เขากลั้นขำไว้ได้ยังไงกัน ตอนนี้เขาไม่ได้ทับใครอยู่ และไม่ได้ถูกใครทับอีกแล้ว ใครอยากจะลงมาถามไถ่อะไรก็เชิญเถอะ เขาคนนี้จะอยู่เป็นเพื่อนคุยด้วยทั้งคืนเลย
แสงแดดอ่อนๆ ของดวงตะวันที่เริ่มทอแสงวันใหม่ กับเมฆที่จับตัวทอเป็นผืนบางๆ ให้ความรู้สึกชวนฝันและไม่อาจจับต้องไปในเวลาเดียว ลอยอิสระอยู่บนผืนฟ้ากว้างสีอ่อน ชวนให้คนมองรู้สึกปลอดโปร่งเสียจนอยากจะวิ่งไปให้สุดขอบฟ้าแล้วสูดเอาอากาศดีๆ เข้าร่างให้เต็มปอด ทว่าความปรารถนาทั้งหมดที่ว่านั้น คงไม่ใช่สำหรับเพียงน้ำพลอยผู้ที่กำลังใช้ความพยายามทั้งหมดในการลืมตามองตัวเองหน้ากระจกแน่
อาการที่เธอเป็นอยู่ตอนนี้ จะเรียกว่าอาการง่วงเหงาหาวนอน นอนไม่หลับ นอนไม่พอ หรือจะอะไรก็ได้ทั้งนั้นที่หมายถึงการไม่อยากพรากจากเตียงนอนในตอนนี้ เธอจำได้ว่าเมื่อตี่สี่กว่าๆ เธอยังคงคิดเรื่องไร้สาระอยู่บนเตียงอยู่เลย แต่หากถามว่ามันเป็นเรื่องประเภทไหนล่ะก็ เธอก็ไม่อาจนิยามมันได้อย่างเป็นกิจลักษณะนักหรอก เอาเป็นว่ามันเป็นเรื่องของความสงสัยใคร่รู้ ว่าเธอเข้าใจรสนิยมของผู้ชายคนนั้นผิดไป เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานตอนกลางวันเธอล้วนเข้าใจมันผิดทั้งหมด แท้ที่จริงแล้วเขาเป็นผู้ชายทั้งแท่ง หรือว่าเขากำลังหลอกใช้เธอเป็นเครื่องมือเพื่อตบตาทุกคนว่าตัวเองมาดแมนเสียเต็มประดากันแน่
และอีกข้อที่สงสัยไม่แพ้กันก็คือ เธอกลายเป็นยัยแก่ว่างงานไปแล้วหรือไงกัน ถึงได้มีเวลาไปสอดรู้เรื่องชาวบ้านเอาขนาดนี้
ร่างบางฝืนใจวักน้ำเย็นๆ ขึ้นล้างหน้า แล้วเข้าไปอาบน้ำทำกิจธุระส่วนตัวจนเสร็จสรรพเรียบร้อย ก่อนจะเตรียมตัวลงไปข้างล่างช่วยเพื่อนรักทำอาหารเช้า ภาษิตว่าอยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย อย่างไรเสียเธอก็นับว่ามาอาศัยบ้านเขาอยู่ เพราะฉะนั้นก็ควรจะทำตัวให้เป็นประโยชน์เสียบ้าง
ร่างบางระหงในเสื้อยืดสีขาวทับด้วยคาร์ดิแกนสีครีม กับกระโปรงยาวเกือบถึงข้อสีครีมอ่อนก้าวลงบันไดไปยังห้องครัวชั้นล่างอย่างไม่รีบร้อนนัก กระโปรงที่พริ้วไหวตามแรงเดินนั้น ช่างชวนให้คนรู้สึกคล้ายกับเห็นผีเสื้อตัวน้อยที่เกาะอยู่บนดอกเดซี่ขาวบนลายกระโปรง กำลังจะบินว่อนออกมารายล้อมเจ้าตัวยังไงยังงั้น ปอยผมเล็กๆ สองข้างถูกรวบขึ้นมัดกลางศีรษะ แล้วปล่อยให้ผมยาวสลวยดัดปลายเล็กน้อยทิ้งตัวลงไปจนถึงกลางหลังอย่างเป็นธรรมชาติ
ทว่ายังไม่ทันได้เข้าไปถึงห้องครัว หางตาคมก็เหลือบไปเห็นความผิดปกติบริเวณด้านข้างคฤหาสน์ผ่านกำแพงกระจกเข้าพอดี ดวงตากลมโตดุจไข่มุกดำเบิกกว้างขึ้นอย่างแทบไม่เชื่อสายตาว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกลางวันแสกๆ ได้ ชายร่างหนาสองคนกำลังยื้อแย่งสายยางที่ใช้ฉีดล้างรถกันอย่างเอาเป็นเอาตาย น้ำจากสายยางสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณจนพื้นซีเมนต์แทบจะกลายเป็นทะเลสาบได้อยู่แล้ว ขณะที่รถปอร์เช่สีดำสนิท ซึ่งเธอจำได้ว่าเป็นของน้ำผึ้งพระจันทร์ที่ควรจะเปียกทั้งคันกลับมีเพียงหยดน้ำไม่หยดเท่านั้น และระหว่างที่เผลออ้าปากหวอด้วยความตกตะลึงนั้นเอง สายน้ำไม่รู้ทิศทางก็ฉวัดเฉวียนสาดเข้าใส่กระจกอย่างเต็มแรง ทำเอาเธอเผลอปิดปากตัวเองลงทันทีเพราะกลัวว่าจะเผลอกลืนน้ำจากด้านนอกเข้าไปจริงๆ และชั่วพริบตานั้น ร่างหนาทั้งสองร่างก็ถลาลงหาแอ่งน้ำบนพื้น ทั้งก็ยังไม่วายกกกอดอีกฝ่ายเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
สัมผัสที่แสดงออกนั้นทั้งรุนแรงและดุดัน หากก็แนบชิดสนิทสนมไปในเวลาเดียวกัน ทำเอาเธอเผลอกลืนน้ำลายตามไปเสียหลายอึกโดยไม่รู้ตัว
หนึ่งในนั้นเธอจำชื่อได้ไม่ถนัดนัก จำได้แต่ว่าเป็นลูกน้องคนหนึ่งของเหวินหยางหลง ส่วนอีกคนนั้นเธอจำเขาได้ขึ้นใจ...
ดูท่าเมื่อคืนเธอคงจะคิดมากเกินไปแล้ว ข้อสันนิษฐานทั้งหมดทั้งมวลนั้นล้วนไร้สาระสิ้นดี...
เมื่อคืนนี้เขาก็แค่โมโหที่เธอไปรู้ความลับของเขาเข้า...ก็เลยคิดจะใช้เธอเป็นเครื่องมือปกปิดความลับของตัวเองเสียเลย...
เรื่องง่ายๆ แค่นี้ เธอกลับนอนคิดมันเสียทั้งคืน...ช่างสมองทึบจนไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว!
เสื้อเชิ้ตสีขาวเปียกโชกจนแนบเนื้อไปทุกส่วนสัด แผงอกแกร่งกับลอนกล้ามเนื้อหน้าท้องลูกระนาดนั้น ช่างชวนให้คนหายใจติดขัดได้เจียนตายเสียจริงๆ เพียงน้ำพลอยอดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่า เสื้อเชิ้ตที่ปกปิดอะไรไม่ได้แบบนั้นก็นับว่าไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง และในเมื่อมันออกจะไร้ประโยชน์ปานนั้น ทำไมไม่กระชากมันทิ้งไปเสียเลย จะได้จบเรื่องจบราว...
ในวินาทีที่รู้เท่าทันความคิดตัวเองนั้น ดวงหน้าขาวละเอียดก็ร้อนระอุขึ้นมาเสียจนเธอไม่กล้ายกมือขึ้นมาจับหน้าตัวเอง ได้แต่รีบพัดระบายความร้อนออกไปเท่านั้น เพียงน้ำพลอยกลั้นใจหลับตา แล้วรีบเดินไปยังทิศทางเดิมที่ตั้งใจไว้อย่างรวดเร็ว จะได้ไปให้พ้นจากภาพชวนให้จิตคิดอกุศลตรงหน้านี้เสียที
สวรรค์...เธอกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่...
ร่างบางระหงเดินหลับตาไปเรื่อยโดยลืมไปเสียสนิทว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านเธอเอง ข้าวของหรือคนมาจากทิศทางไหนเธอไม่มีทางจะคุ้นเคยมันทั้งสิ้น ทว่าคิดได้ในวินาทีนั้นก็สายไปแล้ว เพราะเธอดันพุ่งเข้าไปชนคนหรือวัตถุอะไรสักอย่างโครมเสียจนเซถอยหลังมา ในตอนนั้นถึงเพิ่งได้ลืมตาขึ้นมองว่า คนที่ร้องเสียงหลงตรงหน้าเธอไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นน้ำผึ้งพระจันทร์นั่นเอง
“อะไรของแกเนี่ย!! ยังไม่ตื่นดีรึไง!!” น้ำผึ้งพระจันทร์ว่าพลางคลำหน้าผากป้อยๆ
“โทษทีๆ ฉันไม่ทันมองน่ะ” เพียงน้ำพลอยแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ พลางหัวเราะเบาๆ แก้เก้อ
“จะหาว่าฉันเตี้ยรึไงห้ะ!!” คนถูกจี้ปมโวยเสียงลั่นจนเพียงน้ำพลอยเริ่มคิดไม่ออกว่าตัวเองควรจะแก้ตัวยังไงอีกดี จะให้เธอบอกว่าตัวเองหนีคนเล่นหนังฉากสิบแปดบวกมาจากทางโน้น มัวแต่คิดเรื่องสกปรกอยู่ในหัวเลยไม่ทันได้มองใครก็คงไม่ได้
“ฉันคิดเรื่องงานเพลินน่ะ นึกว่าอยู่บ้านก็เลยเดินไปเพลินไม่ทันมองทาง”
“ถือว่าเชื่อก็แล้วกัน” น้ำผึ้งพระจันทร์เอ่ยคล้ายจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม แล้วหันหลังเดินกลับไปในครัวต่อ เพียงน้ำพลอยจึงรีบเดินไปกอดคอเพื่อนรักอย่างเอาใจทันที
“นี่ คนบ้านแกหายไปไหนกันหมด ทำไมเหลืออยู่แค่ไม่กี่คน” เพียงน้ำพลอยเอ่ยถามพลางเอื้อมมือไปจับทัพพีคนซุปในหม้อช่วยเพื่อนรัก เพราะเริ่มสังเกตเห็นว่าคนรับใช้ในบ้านมีอยู่แค่สองสามคน ส่วนบอดี้การ์ดชุดดำที่เคยตามติดเป็นเงาก็มีอยู่สองคนที่ประตูเท่านั้น
“ก็เป็นอย่างนี้ทุกวันนั่นแหละแกเพิ่งสังเกตหรือไง คุณหยางหลงเขาไม่ชอบให้ใครมายุ่งเวลาส่วนตัว ส่วนฉันก็ไม่ชอบอะไรที่มันวุ่นวาย พวกเด็กในบ้านก็เลยว่างงานช่วงที่ฉันอยู่บ้าน อันที่จริง...ก็ไม่ถึงกับว่างหรอก งานบ้านทั่วไปก็ยังต้องทำเหมือนเดิม แต่จะเข้ามาทำตอนช่วงที่ฉันกับคุณหยางหลงออกไปทำงานกับตอนกลางคืน แต่พวกงานครัวฉันจะทำเอง นานวันเข้าคุณหยางหลงก็เริ่มเสียนิสัย ถ้าฉันไม่ทำอะไรก็ไม่กิน ฉันเลยต้องรับหน้าที่ประจำทุกมื้อ” น้ำผึ้งพระจันทร์ตอบราวกับเล่านิทานยาวเช้า สิ้นเสียงอธิบายเสียยาวเหยียดแล้ว เพียงน้ำพลอยยังแอบได้ยินเพื่อนรักฮัมเพลงเบาๆ อย่างอารมณ์ดีด้วย ทำเอาเธอไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างน้ำผึ้งพระจันทร์จะมีความสุขกับการดูแลใครได้ขนาดนี้ ตอนเพื่อนแต่งมาอยู่ที่นี่ เธอยังคิดว่าเพื่อนถูกเหวินหยางหลงเอาใจเสียจนไม่ต้องทำอะไรแล้วเสียอีก แต่ดูท่าแล้วคงจะเป็นที่เจ้าตัวทำด้วยความเต็มใจเองนั่นแหละ
“แต่ตอนนี้มีเสี่ยวเวยหลงแล้ว ก็คงได้ออกไปทำงานนอกบ้านน้อยลง ถ้าให้เด็กในบ้านรอทำความสะอาดตอนฉันออกไปข้างนอก บ้านได้ฝุ่นหนาเป็นนิ้วพอดี” น้ำผึ้งพระจันทร์เอ่ยต่อพลางอมยิ้มอย่างมีความสุข ขณะเดียวกันก็จับมีดหั่นแครอทไปอย่างคล่องแคล่วราวกับกำลังทบทวนความฝันอันแสนสุขให้ตัวเองฟังอีกรอบเท่านั้น
“ทำงานนอกบ้านน้อยลง?” เพียงน้ำพลอยทวนถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก ไม่รู้เป็นเพราะเหวินหยางหลงเกิดเป็นห่วงเพื่อนเธอเกินเหตุขึ้นมา หรือเป็นเพราะอะไรกันแน่ ถึงทำให้คนบ้างานอย่างน้ำผึ้งพระจันทร์พูดคำว่าทำงานน้อยลงออกมาได้
“ก็ฉันอยากเลี้ยงลูกเองนี่ งานอะไรที่เหนือบ่ากว่าแรงก็โอนไปให้คุณหยางหลงทำแทนแล้วกัน ยังไงบ้านนี้ก็กระเป๋าฉันกระเป๋าเดียวอยู่แล้ว เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา แต่จากที่คุยกันแล้วเขาก็อยากอยู่กับลูกด้วย เห็นว่าเขาก็จะพับโครงการคาสิโนอะไรของเขาเก็บไว้ก่อนเหมือนกัน ฉันก็เลยคิดว่าจะลองโอนไปให้เขาช่วยดูไปก่อน แต่ถ้าเขาลำบากใจจริงๆ ก็ยุบๆ ไปสามสี่สาขาหน่อยก็ได้ ฉันกับเขาก็ใช่ว่าจะมีความจำเป็นจะต้องใช้เงินอะไรมากมาย เท่าที่มีอยู่ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร” สวรรค์...เธอคงไม่ได้หูฝาดไปหรอกนะ น้ำผึ้งพระจันทร์เพิ่งพูดคำว่าเหนือบ่ากว่าแรงออกมา ซ้ำยังบอกว่าตัวเองจะยุบร้านเพชรร้านพลอยทิ้งง่ายๆ เสียอย่างกับบอกว่าวันนี้จะไม่กินข้าวแล้ว การแต่งงานมันทำให้คนๆ หนึ่งเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้ เธอยังไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเลยจริงๆ
“แล้วนี่คุณหยางหลงเขาไปไหนซะล่ะ ไม่มากินข้าวเช้าด้วยกันเหรอ”
“โน่น...พาคุณชายไปดูพระอาทิตย์ขึ้นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างโน่น ป่านนี้ยังไม่กลับมาเลย ไม่รู้จะอยู่รอดูพระอาทิตย์ตกด้วยหรือยังไง” น้ำผึ้งพระจันทร์บ่นกลั้วเสียงหัวเราะ ก่อนจะโยนแครอทกับบล็อคโคลี่ลงกะทะผัดอย่างชำนาญ เพียงน้ำพลอยจึงได้แต่ช่วยเพื่อนทำอาหารต่อไปเงียบๆ ทว่าจู่ๆ ความคิดที่สูญหายไปได้ไม่ถึงสิบนาทีก็หวนคืนสู่สมองเธออีกครั้ง
แล้วอย่างนี้เหวินหยางหลงจะรู้หรือเปล่าว่าเพื่อนเขามีรสนิยมไม่เหมือนผู้ชายทั่วไป...
หวังว่าจะมีแค่นายนั่นหรอกนะที่มีรสนิยมแบบนั้น เหวินหยางหลงคงจะไม่...ไม่มีทาง!!! น้ำผึ้งพระจันทร์ก็เพิ่งจะเล่าให้ฟังจบเมื่อกี้นี้เองว่าเขาทั้งรักทั้งเอาใจใส่เพื่อนเธอกับลูกแค่ไหน จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง ทว่าเรื่องรักลูกกับเรื่องรสนิยมทางเพศมันก็คนละเรื่องกันนี่นา... สวรรค์! เธอใส่ความคนเกินไปแล้ว ยังไม่รู้เรื่องอะไรแน่ชัดเลยด้วยซ้ำ จะมาพาลกล่าวหาว่าเขาเป็นเหมือนนายนั่นได้ยังไงกัน
ทันใดนั้นเอง...
ตึก!!!! ปั๊ก!!!!!
เสียงของหนักๆ กระแทกเข้ากับอะไรสักอย่างเรียกให้หญิงสาวสองคนในห้องครัวหันไปมองเป็นตาเดียว หากแต่หลังจากเสียงนั้น กลับมีเพียงความเงียบเท่านั้นที่บอกเล่าเรื่องราว คนสัญชาตญาณว่องไวจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ก่อนจะคว้ามีดบนโต๊ะแล้วเดินตรงไปยังประตูห้องครัว พร้อมกันนั้นก็เอื้อมมือไปดึงเพื่อนสาวผู้เปราะบางให้มาหลบด้านหลัง ท่าทาวราวกับแม่หมาป่ากำลังปกป้องลูกรักยังไงยังงั้น
“ใคร...”
“...” เมื่อไร้วี่แววสุรเสียงใดๆ ดังขึ้น นายหญิงผู้เฉียบขาดจึงเอ่ยถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกยิ่งกว่าเดิม
“ฉันถามว่าใคร...”
“เอ่อ... เจ้าจันทร์ ฉันเองแหละ เมื่อกี้ฉันเผลอเตะโต๊ะน่ะ” เพียงน้ำพลอยยอมรับอย่างไม่เต็มเสียงนัก พลางฉีกยิ้มแก้เก้อ
“เอ้า!! แล้วเมื่อกี้แกจะหันตามฉันทำไมเล่า!” น้ำผึ้งพระจันทร์ถามกลับ
“ก็แกหัน ฉันก็เลยหันตามแก” เพียงน้ำพลอยตอบกลับอย่างสมเหตุสมผลที่สุด น้ำผึ้งพระจันทร์จึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา ก่อนจะหันกลับมาทำอาหารที่ค้างไว้ต่อ
แน่นอน...เธอโกหกเพื่อนคำโตเสียแล้ว...
แต่ใครบางคนควรจะต้องขอบคุณเธอให้มาก ที่มีแค่เธอเท่านั้นที่สังเกตเห็นหยดน้ำบนพื้นตรงประตูนั่น หากเปลี่ยนเป็นน้ำผึ้งพระจันทร์เป็นคนเห็นล่ะก็ เกรงว่าความลับจะไม่ใช่ความลับ และก็คงไม่มีใครเป็นเครื่องมือให้เขาได้อีกต่อไปแล้ว...
ในขณะเดียวกัน...
ตึก!!!! ปั๊ก!!!!!
ระหว่างร่างสูงโปร่งเปียกโชกกำลังจะก้าวเข้าไปในครัวนั้นเอง ลำแขนหนาไม่รู้ที่มาก็พุ่งเข้ามาล็อกคอเขาจากด้านหลัง ก่อนจะโยนเข้าใส่กำแพงจนแผ่นหลังกระแทกปูนแข็งดังปั๊ก แล้วใช้ท่อนแขนกดลำคอเขาไว้อย่างแน่นหนา ขณะที่อีกมือหนึ่งก็ยกขึ้นปิดปากเขาไว้ ไม่ให้ส่งเสียงเอะอะจนหญิงสาวสองคนในครัวรู้ว่าที่ตรงนี้มีการตั้งโต๊ะสอบสวนกันตั้งแต่ยังไม่ตั้งโต๊ะอาหารเช้า
“ไอ้บ้าเอ๊ยย! จะฆ่ากันรึไงวะ!” ฟรานโวยขึ้นพร้อมกับปัดป้องมือไม้ของเพื่อนให้พ้นจากตัว ก่อนจะจัดเสื้อผ้าที่เปียกโชกจนไม่นับเป็นเสื้อผ้าให้เข้าที่ อันที่จริงสภาพที่เขาเป็นอยู่ในตอนนี้มันก็หลุดรุ่ยพออยู่แล้ว ไอ้เพื่อนบ้านี่ยังมาล็อกคอเขาอย่างกับเขาเป็นนักโทษอีก เขาไปทำผิดอะไรที่ตรงไหนกัน
“ฉันน่ะยังไม่ฆ่าแกหรอก แต่เมียฉันน่ะไม่แน่ แกรู้มั้ยเมื่อคืนนี้ถ้าฉันช้าไปแค่ก้าวเดียว แกกับผู้หญิงคนนั้นได้โดนเจาะกะโหลกพรุนไปแล้ว” หยางหลงชักอดหมั่นไส้เพื่อนรักขึ้นมาไม่ได้ ทำเป็นขวัญหนีดีฝ่อ เขาไม่เชื่อหรอกว่ามันไม่รู้จริงๆ ว่าเขาคือที่คนเข้ามาล็อกคอมันตั้งแต่แรก ไม่อย่างนั้นคงได้ลงไปฟัดกันกับพื้นไปแล้ว ไม่ปล่อยให้เขาจับล็อกกดเข้ากับกำแพงแบบนี้หรอก
“เหรอ” ฟรานถามกลับยิ้มๆ อย่างอารมณ์ดีขึ้นมาทันที พลางยกมือขึ้นจัดแจงเสื้อผ้าให้เพื่อนรักตรงหน้าด้วยท่าทางประจบเอาใจ
“ยังจะมาเหรออีก และก็ดีเท่าไหร่แล้วที่ไอ้กระสุนนั่นมันไม่ลั่นใส่กบาลฉันแทน แกรู้มั้ยเมื่อคืนฉันต้องเจอกับอะไรบ้าง เพราะแกคนเดียว ทำให้เมียฉันคิดว่าฉันซุกเด็กไว้ในบ้าน นี่ไอ้ฟราน บ้านฉันไม่ใช่โรงแรมน่ะเว้ย คิดจะพาใครมาก็มา คิดจะพามาทำอะไรก็ทำ” หยางหลงพล่ามยาวเหยียดอย่างเดือดดาล ทั้งที่จริงก็ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าตัวเองกำลังโกรธใครอยู่กันแน่ ระหว่างเพื่อนจอมแสบไม่รู้กาลเทศะ หรือตัวเองที่เดือดพล่านถึงขนาดนี้ ก็ยังต้องตะคอกมันด้วยเสียงอันเบาหวิวเพราะกลัวว่าภรรยาผู้หูไวตาไวของเขาจะมาได้ยินเข้า
“แล้วไปทำยังไงเขาถึงเย็นลงได้” ฟรานถามพลางกอดอกอมยิ้มอย่างกรุ่มกริ้ม
“ก็...ก็ทำยังไงมันก็เรื่องของฉัน ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย บอกมาผู้หญิงที่ไหน” คนเป็นมาเฟียเกือบคล้อยตามลูกไม้ตื้นๆ ของเพื่อนจอมเจ้าเล่ห์จนยอมบอกเรื่องส่วนตัวในมุ้งให้มันรู้เสียแล้ว ทั้งที่คนที่ต้องอธิบายให้แจ่มแจ้งก็คือมันต่างหากไม่ใช่เขาสักหน่อย
“ซักเป็นเมียฉันไปได้” เมื่อถูกจับได้ไล่ทัน คนร่างสูงจึงได้แต่ก้มหน้ายกมือขึ้นนวดท้ายทอยตัวเองพลางบ่นกระปอดกระแปดด้วยน้ำเสียงรำคาญใจไปเรื่อย ซึ่งสิ่งที่เขาบ่นมันก็ใช่ว่าจะห่างไกลความจริงนัก เพื่อนเขาคนนี้นับวันชักจะทำตัวเป็นเมียรักเขาเข้าไปทุกที ไปไหนมาไหนก็ต้องคอยรายงาน จับใครกดตอนกลางคืนยังต้องมาอธิบายกับมันอีก เขาไม่พร้อมจะมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับมันกว่านี้หรอกนะ
“ถามว่าผู้หญิงที่ไหน” หยางหลงไม่สนใจเสียงบ่นของจำเลย แต่ยังถามย้ำต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ฟรานรู้ดีว่ายังไงเสียตัวเองก็ปิดตาเหยี่ยวตามังกรของเพื่อนตรงหน้าไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นจึงไม่ได้ยอมรับอย่างเป็นทางการนัก หากก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร ปล่อยให้มันคาดเดาไปตามใจชอบ ยังไงเสียในห้องนั้นก็มีผู้หญิงอยู่แค่สองคน หนึ่งในนั้นคือน้ำผึ้งพระจันทร์ซึ่งไม่มีทางเป็นได้อยู่แล้ว
“ยะ...อย่าบอกนะว่า...” เมื่อคนตรงหน้ายังไม่มีวี่แววว่าจะเปิดปากออกมาแม้แต่ครึ่งคำ หยางหลงจึงได้แต่สังเกตตาม แนวสายตาที่ลอบทอดยาวเข้าไปในห้องครัวเพียงชั่วเสี้ยววินาที หากความกระจ่างที่เขาได้มานั้น ก็ทำให้เขาต้องอ้าปากค้างตาเบิกโพลงไปในทันที เพราะไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่กัดกันตอนกลางวัน ตกกลางคืนจะมา... แต่ก็นั่นแหละ...ไม่ใช่ฝ่ายหญิงเขามีใครในใจอยู่แล้วหรือไง หรือว่าไอ้คนจอมวางแผนนี่มันไปบังคับฝืนใจอะไรเขา เรื่องมันถึงได้มาลงเอยอีหรอบนี้
“มันเป็นอุบัติเหตุ” ฟรานอธิบายด้วยน้ำเสียงเนือยๆ เพราะรู้ดีว่าเพื่อนไม่มีทางเชื่อในสิ่งที่ตัวเองพูดง่ายๆ แน่ แต่เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้วจะไม่พูดก็เห็นจะไม่ได้
“อะไรอุบัติเหตุ อยู่ด้วยกันคืออุบัติเหตุ หรือที่ทำไปแล้วคืออุบัติเหตุ” หยางหลงซักต่ออย่างไม่เว้นช่วงหายใจ
“ฉันจะไปทำอะไรล่ะ ไม่ได้ทำเว้ย!” ฟรานปฏิเสธเสียงแข็ง
“แกนี่นะไม่ได้ทำ? คนอย่างแกนี่นะไม่ทำ?”
“ไม่เชื่อฉันรึไงวะ ก็บอกว่าไม่ได้ทำ” แม้จะรู้ดีอยู่ว่าเพื่อนไม่มีทางเชื่อตัวเองง่ายๆ แต่ก็ไม่เคยคิดว่าคำพูดของตัวเองมันจะไม่มีน้ำหนักได้ขนาดนี้ คนพวกนี้เห็นเขาเป็นคนยังไงกันแน่ ยังไงเสียก็เขายังนับตัวเองเป็นสุภาพบุรุษอยู่ หากว่าผู้หญิงไม่ยินยอมพร้อมใจ เขาไม่มีทางแตะเธอแม้แต่ปลายเล็บแน่ แต่สำหรับเรื่องเมื่อคืนนั้นจะถือเอามาคิดรวมกันไม่ได้ เพราะเขาก็แค่อยากแกล้งคนที่สงสัยในความเป็นลูกผู้ชายของเขาเท่านั้น ไม่ได้คิดจะทำ...เอาเป็นว่า ไม่ว่าจะคิดหรือไม่คิด ก็ไม่ทำแน่ๆ ก็แล้วกัน...
“งั้นจะซ่อนทำไม ยังไงซะเขาก็เป็นเพื่อนกัน ถ้าแกบริสุทธิ์ใจซะอย่าง ไม่เห็นมีอะไรต้องปิดเลยนี่หว่า” พูดมาจนถึงตรงนี้ หยางหลงก็ยังไม่เข้าใจว่า ถ้าสิ่งที่ฟรานพูดเป็นเรื่องจริง มันมีอะไรน่าปิดบังตรงไหนกัน คนที่คอยหลบคอยซ่อนเมื่อคืนนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นน้ำผึ้งพระจันทร์ซึ่งรักใคร่สนิทสนมกับเพียงน้ำพลอยยิ่งกว่าเขากับฟรานเสียอีก
“ก็มันดูไม่ดี ยังไงเขาก็มีแฟนแล้ว ฉันไม่อยากให้เขาอึดอัด” ฟรานอธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ โดยไม่ทันรู้ตัวว่าสิ่งที่ตัวเองพูดออกมานั้น ไม่ได้ใกล้เคียงกับความเป็นตัวเองในอดีตเลยแม้แต่น้อย
“นี่แกห่วงคนอื่นขนาดนี้เลยเหรอ” หยางหลงถามกลับอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“ก็...ฉันเป็นผู้ชาย เขาเป็นคนเสียหาย เขาเป็นผู้หญิง” ฟรานอธิบายต่อด้วยน้ำเสียงประหนึ่งนักปราชญ์อธิบายปรัชญาให้ผู้โง่เขลาฟัง
“อ๋ออออ เดี๋ยวนี้แกมีสามัญสำนึกขนาดนี้เลยเหรอ” ยิ่งฟังหยางหลงก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองคุยกับคนอื่นที่ไม่ใช่ฟรานมากขึ้นทุกที แค่คืนๆ เดียวคนๆ หนึ่งจะเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ
“แกจะเอาอะไรจากฉันกันแน่วะ จะถามหรือจะด่า เอาสักอย่าง ฉันจะได้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสักที แม่ไม่ให้เสื้อผ้าเปียกนานๆ เว้ย เดี๋ยวปอดบวม” ฟรานสวนกลับอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะลงท้ายประโยคด้วยด้วยคำพูดของเด็กชั้นประถมสาม แล้วเตรียมหันหลังเดินจากไปจริงๆ อย่างปากว่า หากติดตรงที่เพื่อนจอมมาเฟียของเขาดึงแขนรั้งตัวไว้เสียก่อน
“ฉันเตือนแกไว้อย่างนะ ถ้าแกไม่ได้คิดอะไรกับเขาจริงๆ ก็ปล่อยเขาไป เรื่องเขามีแฟนแล้วก็อีกเรื่อง แต่อีกเรื่องที่สำคัญก็คือเขากำลังถูกคนมากมายจับตามอง เกิดโดนขุดขึ้นมา แกก็รู้ว่ามันไม่ดีกับเขา และโดยเฉพาะกับแกด้วย...” สิ้นเสียงเพื่อนรัก ฟรานก็ได้แต่เลียริมริมฝีปากแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างที่ทำจนติดนิสัยตอนที่ต้องเจอเหตุการณ์น่าหนักใจ
สิ่งที่หยางหลงพูดออกมานั้น ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดมาก่อนหรือหลงลืมมันไป เพียงแต่เขาคิดว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เขายังคงควบคุมไหว ยังไม่ถึงขั้นต้องผลักไสใครหรือตั้งกฎเกณฑ์เด็ดขาดถึงเพียงนั้น ทว่าสิ่งที่เพื่อนเตือนก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เขาควรระวังไว้หน่อยจะดีกว่า...
เพราะคนอย่างเขา...ไม่ใช่คนที่อยู่ในสว่างได้นักหรอก...
#จริงๆ ไรท์เป็นน้ำพลอยไรท์ก็คิดนะ 555 ทุกคนคิดว่ายังไงกันบ้าง อย่าลืมเม้นท์มาคุยกันน้าา^^ ไรท์รออ่านเม้นท์ของทุกคนอยู่จ้าาา
#ทำไมเรื่องของอีเฮียฟรานถึงถูกขุดคุ้ยไม่ได้ อย่าลืมมาติดตามกันต่อในตอนต่อไปน้าา
#ในที่สุดไรท์ก็สอบเสร็จปิดเทอมแล้ว คงได้อัพบ่อยขึ้นแล้ว อย่าเพิ่งโกรธกันเลยน้าา ไรท์กลับมาหาทุกคนแล้วจ้าา^^
#อย่าลืมเม้นท์+จิ้มโหวตเป็นกำลังใจให้กันด้วยน้าา
ทันใดนั้นเอง...
“คุณนี่จริงๆ เลยนะ ฉันบอกแล้วว่าให้ถือขึ้นมาด้วย ถือขึ้นมาด้วย ดูซิเนี่ยดึกๆ ดื่นๆ ต้องลงมาหาเนี่ย”
ด้วยอารามตกใจเสียงที่ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ร่างหนาด้านบนจึงเกิดเผลอปล่อยให้คนใต้ร่างหลุดหละหลวมจากพันธนาการ พร้อมกับที่คนใต้ร่างก็เกิดออกแรงพยศขึ้นมาอีกครั้ง คิดยกมือไม้ขึ้นทุบตีแผ่นอกแกร่งตรงหน้าอย่างสุดแรง เมื่อคนหนึ่งคิดจะทะยานขึ้น อีกคนคิดจะกดคนใต้ร่างลงแต่แรงทั้งสองไม่สมดุลกัน ร่างทั้งสองร่างจึงกลิ้งหลุนๆ ลงมาจากโซฟาจนแผ่นหลังหนากระแทกพื้นแข็งๆ เสียงดังปั๊ก ทว่านั่นก็ยังไม่เท่ากับริมฝีปากแสนนุ่มนั้น ที่โน้มลงมาประกบกับริมฝีปากได้รูปของคนร่างสูง ซึ่งแปรสถานะลงมาอยู่ด้านล่างอย่างพอดิบพอดี
ดวงตากลมโตเบิกโพลงด้วยความตกตะลึง ลมหายใจที่เคยผ่านเข้าออกได้สะดวกถึงกับขาดหายไปชั่วขณะ ใบหน้าสวยหวานเผือดสีลง ก่อนจะค่อยๆ ร้อนระอุจนคล้ายซับสีชาดไปทั่วทั้งหน้า พอสติสัมปชัญญะหวนคืนสู่ร่าง มือไม้จึงเริ่มออกแรงเพื่อดึงตัวเองออกจากคนฉวยโอกาสใต้ร่างทันที ทว่าเขากลับว่องไวยิ่งกว่า ชิงยกมือหนึ่งที่พันธนาการเอวคอดของเธออยู่นั้น ขึ้นมากดท้ายทอยเธอไว้ไม่ให้ผละออกจากริมฝีปากร้อนของเขาไปไหนได้ง่ายๆ ในสภาวะล่อแหลมแบบนี้ สมองที่เคยใช้งานได้ดีของเธอกลับขาวโพลนเสียยิ่งกว่ากระดาษเปล่า เธอจึงคิดอ่านอะไรได้ไม่มากไปกว่า...
“อ๊า!!...” ฟันขาวคมๆ ของหญิงสาวผู้เคยอ่อนโยนอ่อนหวาน ง้างขึ้นกัดริมฝีปากล่างของคนฉวยโอกาสจนแทบจมเขี้ยวราวกับราชสีห์ขย้ำเหยื่อ ทำเอาความปรารถนาร้อนแรงที่พุ่งขึ้นมาเมื่อครู่ทลายหายไปในชั่วพริบตา ไม่เหลืออารมณ์ส่วนไหนจะโน้มเธอลงมาแนบริมฝีปากกับเขาได้อีกแล้ว
ในชั่ววินาทีที่ความเจ็บแปลบแล่นขึ้นถึงสมองนั้น เขายังต้องตั้งสติลดมือที่รั้งท้ายทอยเธอลงมาปิดปากเธอเอาไว้ ขณะเดียวกันก็ต้องหลับตากลั้นใจกลืนเสียงร้องของตัวเองลงคอไปด้วย เพราะเกรงว่าจะทำให้คนหูไวตาไวอย่างสองสามีภรรยานั่นรู้เข้าว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ดึกๆ ดื่นๆ ลำพังแค่เสียงหลังกระแทกพื้นนั่นก็สุ่มเสี่ยงมากพออยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะภรรยาร่างเล็กของเพื่อนเขาคนนั้นบ่นกระปอดกระแปดอย่างฉุนเฉียวอยู่ก่อนล่ะก็ เจ้าหล่อนจะต้องได้ยินเสียงแปลกปลอมและเดินสำรวจทั่วบ้านจนกว่าจะเจออะไรที่แอบซ่อนอยู่แน่ เขาไม่อยากจะคิดเลยว่า ถ้าคนอื่นเห็นเขากับเธอในสภาพนี้แล้วจะเข้าใจเหตุการณ์ไปในรูปแบบไหน...ซึ่งก็จริงอยู่ ว่ามันคิดได้ไม่กี่รูปแบบนักหรอก...
“อื้ออ!!” ยิ่งห้ามเท่าไหร่ก็เหมือนยิ่งยุ ยังไม่ทันที่เขาจะได้เตรียมทางหนีทีไล่ คนเหนือร่างก็เริ่มส่งเสียงขึ้นมาอีกมาครั้ง ร่างบางทั้งร่างดิ้นขลุกขลักเสียอย่างกับหนีของร้อนก็ไม่ปาน เดือดร้อนเขาต้องออกแรงปิดปากให้แน่นกว่าเดิม ใช้แรงกว่าครึ่งกอดรัดพันธนาการเธอเอาไว้ ดิ้นเสียขนาดนี้ไม่รู้ว่ากลัวหรือรังเกียจกันแน่ ที่เขาทำทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่เพื่อรักษาชื่อเสียงเธอไว้หรือไง แม้คนที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนี้จะเป็นน้ำผึ้งพระจันทร์ที่เฝ้าสนับสนุนให้เขาจีบเธออยู่ทุกวัน แต่ว่ากันตามจริงเธอก็ถือมีเจ้าของจับจองแล้ว หากมีใครรู้เขาว่าเธอนอนทับเขาอยู่ตอนกลางค่ำกลางคืนอย่างนี้ คนเสียหายและจะอึดอัดใจเสียเองก็คือเธอต่างหาก ไม่ใช่เขาเสียหน่อย
“ชู่ววววว!” ฟรานยกนิ้วมือข้างนึงจรดริมฝีปากเป็นสัญญาณเตือนให้คนใต้ร่างอยู่ในความสงบเสียที ที่อยู่ใกล้แค่ไม่กี่ก้าวนี้เป็นเพื่อนสนิทเธอเองแท้ๆ ไม่รู้หรือยังไงว่ายัยแม่มดเพื่อนตัวเองจมูกมดแค่ไหน
ในขณะเดียวกันนั้น ฟรานก็พยายามเงี่ยหูฟังว่าสองสามีภรรยานั่นกำลังทำอะไร และกำลังจะเดินไปทางไหน เขาจะได้คิดหาทางรอดถูก
“ก็ให้คนเอาขึ้นไปให้ก็ได้ ไม่เห็นต้องลงมาเอาเองเลย” หยางหลงบ่นอุบอิบกับภรรยา เพราะไม่เห็นว่าการลืมผ้าอ้อมลูกที่ซื้อมาใหม่ไว้ข้างล่างมันจะเป็นเรื่องใหญ่ตรงไหน อย่างดีก็ใช้เด็กในบ้านลงมาเอา ไม่เห็นต้องยกกันลงมาทั้งครัวเรือนแบบนี้เลย
“ก็คุณเป็นคนซื้อ เป็นคนเก็บ คุณก็ต้องลงมาเอา หรือจะเถียง” น้ำผึ้งพระจันทร์ขึ้นเสียงพลางยกมือเท้าสะเอวอย่างเอาเรื่อง
“ไม่เถียงจ้ะ ไม่เถียง” คนเป็นสามีดีเด่นแห่งปีฉีกยิ้มกว้างจนถึงใบหู ตามกลวิธีรับมือภรรยาแสนเอาแต่ใจอย่างที่เคยทำทุกที ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบถุงผ้าอ้อมที่วางอยู่บนโต๊ะในห้องครัว พร้อมกับเอื้อมมือไปโอบเอวภรรยาเตรียมเดินกลับขึ้นไปข้างบน แต่ทันใดนั้นเองภรรยาร่างเล็กของเขาก็หยุดฝีเท้ากะทันหัน คล้ายกับเพิ่งนึกเรื่องคอขาดบาดตายได้เอาตอนนี้
“ฉันซื้อขนมมาให้น้ำพลอยนี่นา ลืมบอกไปซะสนิทเลย โทรขึ้นไปบอกหน่อยดีกว่า” ว่าแล้วมือเล็กก็ล่วงกระเป๋าชุดนอนหยิบโทรศัพท์เครื่องบางออกมาเตรียมกดโทรออกหาเพื่อนรัก
“ดึกแล้วน่า ค่อยบอกพรุ่งนี้ก็ได้มั้ง” หยางหลงออกความเห็นเมื่อเห็นภรรยารีบร้อนจะส่งขนมให้เพื่อนให้ได้ ตามความเห็นเขา จะให้ตอนไหนมันก็เหมือนกันทั้งนั้น อีกอย่างนี่มันเวลาไหนกันแล้วใครจะยังกินของคาวของหวานกันอยู่อีก คนประเภทนั้นก็มีแค่คนนาฬิกาชีวิตแปรปรวนอย่างภรรยาเขาเท่านั้นแหละ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ น้ำพลอยนอนดึกจะตาย” น้ำผึ้งพระจันทร์ตอบอย่างสบายๆ พลางฟังเสียงสัญญาณในมือถือไปเรื่อย เธอเกิดขี้เกียจจะเดินไปหาเพื่อนที่ห้องแล้ว ลำพังแค่ลากคนบางคนลงมาเอาของก็เหนื่อยจะแย่ เอาเป็นว่าถ้าเพื่อนไม่รับก็ถือเสียว่าหลับแล้วก็แล้วกัน
“ปิดมือถือ!!! ปิดมือถือ!!!!” ฟรานรีบร้อนบอกคนเหนือร่างแบบไม่ออกเสียงอย่างลนลาน ซึ่งก็ถือว่าโชคดีที่เธอดูจะเข้าใจสถานการณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว รีบล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาปิดเครื่องทันที ทว่าระหว่างที่ลดมือลงเตรียมเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋าตามเดิมนั้น มือบางๆ ก็เกิดไปกระแทกโต๊ะกระจกตัวใหญ่หน้าโซฟาเสียเต็มแรง ทำเอาเจ้าตัวถึงกับทำหน้าเหยเกพลางยกมือขึ้นสะบัดเร่าๆ ด้วยความเจ็บ หากในวินาทีที่กำลังจะตะโกนร้องระบายความเจ็บนั้น มือหนาของคนใต้ร่างก็ยกขึ้นตะปบริมฝีปากบางเข้าทันที
ในเสี้ยววินาทีเดียวกันนั้นเอง สายตาว่องไวดุจจอมพยัคฆ์ก็หันขวับไปในทิศทางที่คิดว่าเป็นต้นตอของเสียง ทว่ามีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้นที่รอต้อนรับอยู่ คิ้วหนาได้รูปทรงดาบเริ่มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เพราะเริ่มรู้สึกได้ด้วยสัญชาตญาณว่ากำลังมีสิ่งแปลกปลอมซ่อนอยู่ในบ้าน บ้านที่มีลูกชาย แล้วก็ยัยแม่มดของเขาอยู่...นั่นสิ ยัยแม่มดล่ะ...
ยังไม่ทันที่เขาจะได้หันมาบอกให้ภรรยาร่างเล็กรีบวิ่งขึ้นอยู่ข้างบน เจ้าหล่อนก็เปิดลิ้นชักตู้ไม้ใกล้ตัวแล้วหยิบปืนที่ซ่อนอยู่ออกมาเสียแล้ว และระหว่างที่กำลังจะเอื้อมมือไปแย่งปืนจากมือเล็กๆ นั้นมา ร่างเล็กก็ก้าวไปข้างหน้าเตรียมทะยานใส่เหยื่อตรงหน้าแล้ว มือหนาจึงเอื้อมไปคว้าเอวคอดของภรรยากลับมาแล้วแย่งปืนในมือเธอมาจับไว้เสียเอง ทว่าทันใดนั้น หางตาเขาก็เหลือบไปเห็นเงาข้อเท้าสองคู่บนผนังกระจกอีกด้านหนึ่ง จากเงาที่ปรากฏอยู่นั้นคงเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากร่างสองร่างกำลังนอนทับกันอยู่บนพื้นหน้าโซฟา และข้อเท้าที่ยาวกว่าในรองเท้าแตะสีน้ำตาลอ่อนซึ่งถูกทับอยู่นั้น ก็ไม่ใช่ของใครอื่นที่ไหน นอกจากไอ้เพื่อนตัวแสบของเขานั่นเอง...
“จะมาจับฉันไว้ทำไมเล่า! ปล่อย!! ฉันจะไปดู!!!” น้ำผึ้งพระจันทร์ทั้งดิ้นทั้งออกแรงแกะอ้อมแขนหนาของสามีให้หลุดจากตัว ทั้งยังแย่งปืนในมือเขากลับมาอย่างอุกอาจ หากก็ยังไม่ลืมจะข่มเสียงตัวเองให้เบาลงด้วย เธออยากจะไปดูให้เห็นกับตาว่าใครกล้าแอบเข้ามาในบ้านนี้ ดูท่าเธอต้องคุยกับหยางหลงเสียแล้วว่าระบบรักษาความปลอดภัยของบ้านชักจะหละหลวมเกินไปแล้ว เกิดอยู่ๆ มีคนขึ้นไปยิงถึงห้องนอนจะทำยังไง คอยดูเถอะ ว่าเธอจะจัดการบอดี้การ์ดที่เข้าเวรวันนี้ยังไง
“ไม่มีอะไรหรอกน่า” หยางหลงดึงภรรยาแสนรั้นให้หันหน้ามาคุยกันดีๆ ทั้งยังไม่ลืมทำเสียงเบาตามน้ำไปด้วย ทว่าคนเคยหัวแข็งยังไงก็ยังคงหัวแข็งอยู่อย่างนั้น ไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูดยังพอว่า ยังทำท่าจะเข้าไปเจาะกะโหลกเจ้าโจรใจกล้าที่มันบังอาจมาทำลับๆ ล่อๆ ถึงรังแม่มดอีกด้วย ซึ่งมันก็ไม่มีอะไรหนักหนาหรอกถ้ามันเป็นโจรจริงอย่างว่า แต่นี่เธอกำลังคิดจะฆ่าเพื่อนเขากลางบ้านต่างหาก!
“บอกว่าไม่มีอะไรไง ผมอยู่ทั้งคนน่า คุณขึ้นไปข้างบนก่อนเถอะ” หยางหลงดึงภรรยากลับมาก่อนจะเริ่มต่อรองอีกครั้งอย่างใจเย็น
“คุณไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอกน่าฉันไม่กลัว” น้ำผึ้งพระจันทร์ดึงแขนตัวเองกลับมาอย่างรวดเร็ว แล้วตั้งท่าจะกระโจนเข้าไปหาโซฟาที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงห้าก้าวอีกครั้ง โดยหารู้ไม่ว่าทั้งบ้านนี้คนที่น่ากลัวที่สุดก็มีแค่เธอนี่แหละ มาเฟียหนุ่มยังหลงคิดว่าตอนนี้เธอเป็นแม่คนแล้วจะใจเย็นลงกว่าเมื่อก่อน ที่ไหนได้... ไอ้เพื่อนสมควรตายนั่นก็เหมือนกัน คิดพิเรนทร์อะไรพาเหยื่อมากินถึงที่นี่ คิดไปคิดมาเขาก็ชักอยากให้น้ำผึ้งพระจันทร์พลั้งมือยิงมันตายขึ้นมาตงิดๆ เสียแล้ว
ยังไม่ทันที่ร่างเล็กจะได้ก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว มือหนาก็เอื้อมมารวบเอวภรรยาไว้อีกครั้ง ทว่าคราวนี้ไม่ใช่แค่ดึงกลับมาเท่านั้น แต่ยังใช้ลำแขนหนาทั้งสองข้างกอดรัดไว้ไม่ให้เธอเดินหนีไปไหนได้อีก
“คุณเป็นอะไรของคุณห้ะ ปกติเห็นระแวงยิ่งกว่าฉันซะอีก หรือว่า...” น้ำผึ้งพระจันทร์เริ่มโวยวายอย่างฉุนเฉียว ก่อนจะหรี่ตามองสามีร่างสูงตรงหน้าราวกับกำลังไล่จับพิรุธในแววตาดำสนิทดุจรัตติกาลคู่นั้น
“หรือว่าอะไร...”
“คุณซ่อนใครไว้...” เสียงเย็นเยียบของราชินีมังกรทำเอาใบหน้าของผู้เป็นราชาผุดเหงื่อเย็นๆ ขึ้นสามเม็ดในวินาทีเดียว เขาต้องทำบุญด้วยอะไรหนอ ถึงจะทำให้ภรรยาสุดรักของเขาหัวช้าลงกว่านี้สักหน่อย ซ้ำร้าย ‘ใคร’ ที่เธอหมายถึง กับ ‘ใคร’ ที่นอนอยู่ตรงนั้นจริงๆ มันคือความหมายเดียวกันเสียที่ไหน เขายืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองด้วยการยอมให้เธอเดินไปดูไม่ได้ เช่นเดียวกับที่ออกรับแทนเพื่อนว่าตัวเองเป็นคนซ่อนผู้หญิงไว้ไม่ได้เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นวิญญาณเขาได้ถูกกระชากออกมาเซ่นไหว้ปืนในมือเล็กๆ นั้นแน่
“ซ่อนอะไรล่ะไม่มี!!” มาเฟียหนุ่มปฏิเสธเสียงแข็ง
“ไม่มีแล้วทำไมจะไปดูไม่ได้!” น้ำผึ้งพระจันทร์ไล่ต้อนคนร้อนพิรุธอย่างฉุนขาด
“ก็มันไม่มีอะไรจะไปดูอะไรล่ะ!” หยางหลงโต้กลับทันควัน ขั้นตอนแรกเขาต้องสะกดจิตตัวเองให้เชื่ออย่างสนิทใจก่อนว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด ถึงจะทำให้อีกฝ่ายเชื่อได้ ซึ่งหากพูดกันตามจริงแล้วเขาไม่ได้ทำผิดอะไรจริงๆ มีอะไรต้องกลัวกัน แต่ด้วยมัวแต่พะวงว่าคำพูดตัวเองจะไม่น่าเชื่อถือพอ จึงลืมนึกไปเสียสนิทว่าตัวเองพูดเสียงดังแค่ไหน
“ขึ้นเสียงกับฉันเหรอ!! ซ่อนเด็กไว้ในบ้านใช่มั้ย! ฉันถามว่าใช่มั้ย!!!” น้ำผึ้งพระจันทร์โวยลั่นพลางทุ่มกำปั้นเล็กๆ ทว่าทรงพลังลงกลางแผ่นอกแกร่งจนเสียงดังปั่ก ก่อนจะรัวทั้งหมัดทั้งศอกใส่สามีร่างสูงตรงหน้าอย่างไม่ยั้งมือ เมื่อก่อนเขากล้าเสียงดังกับเธอเสียที่ไหนกัน แต่เพื่อจะซ่อนคน เขาถึงกับกล้าเชิดหน้าขึ้นเสียงกับเธอขนาดนี้ ถ้าที่อยู่ตรงนั้นมันไม่ใช่ผู้หญิงแล้วมันยังจะเป็นอะไรไปได้
“เด็กที่ไหนล่ะ มันไม่มี!!!” หยางหลงร้องลั่นพลางปัดป้องหมัดหนักๆ เป็นพัลวัน ในใจถึงกับเกิดความคิดเห็นแก่ตัวขึ้นมาแวบหนึ่ง อยากจะลากคนตัวเล็กไปดูให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลย ถ้าเกิดว่าพลั้งมือยิงขึ้นมาจริงๆ ก็ให้มันตายกันไปให้หมดนั่นแหละ เขาจะได้พ้นมลทิน พ้นหมัด พ้นศอกสักที
หากฉับพลันทันใดนั้นเอง...
“แงงงงงงงงงงงง...” เสียงร้องไห้ลั่นของทารกตัวน้อยที่ลอยลงมาจากข้างบน ทำเอาคนเป็นแม่ชาวาบไปทั่วทั้งร่าง ทั้งกำปั้น ทั้งปืนหลุดร่วงจากมืออย่างไร้เรี่ยวแรง มีเพียงสองขาเท่านั้นที่ยังตอบรับสัญชาตญาณรีบวิ่งขึ้นไปหาลูกรักที่อยู่ข้างบนเพียงคนเดียว มาเฟียหนุ่มผู้เป็นพ่อซึ่งรู้ดีกว่าใคร ว่าไม่มีใครอาจหาญบุกรุกคฤหาสน์มังกรมุกทั้งนั้น จึงก้มลงไปหยิบถุงผ้าอ้อมที่ร่วงตกพื้น พลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ให้กับความซวยของตัวเอง บางทีสวรรค์อาจจะอยากทวงความยุติธรรมให้ฟราน ที่เมื่อก่อนเขาเคยเอาเปรียบมันไว้มาก วันนี้เลยต้องมารับเคราะห์แทนมันแบบนี้
“ใครจะมาซ่อนคนดึกๆ ดื่นๆ...เนอะะ...” หยางหลงแสร้งพูดคนเดียวเสียงดังลั่น แต่ก็ยังไม่วายทิ้งท้ายราวกำลังถามใครสักคนอยู่ ทำเอาคนหลบๆ ซ่อนๆ ถึงกับกัดฟันกรอดที่ถูกเหน็บเข้าให้ แต่ขณะที่ในใจก็ยังอดขบคุณมันไม่ได้ ทั้งยังต้องขอบคุณหลานรักของเขาด้วยที่ร้องได้ถูกจังหวะพอดิบพอดี
เมื่อเสียงฝีเท้าสม่ำเสมอของคนเป็นมาเฟียห่างออกไป อ้อมแขนหนาที่เคยโอบรัดคนเหนือร่างเอาไว้ก็คลายออกทันที ร่างบางจึงใช้มือยันหน้าอกแกร่งอย่างสุดแรงเพื่อให้ตัวเองลุกขึ้นยืนได้ ผลจึงไม่ต่างจากการซัดฝ่ามือเข้าลิ้นปี่เท่าใดนัก
“ทำบ้าอะไรของนายห้ะ!!” ทันทีที่ลุกขึ้นยืนได้ เพียงน้ำพลอยก็ตวาดลั่นพลางชี้หน้าคนฉวยโอกาสอย่างเดือดดาล
“เออ เอาเข้าไป ไม่ร้องให้มันดังกว่านี้ล่ะ เขาจะได้รู้กันทั้งบ้านว่าคุณหนูเพียงน้ำพลอยผู้เรียบร้อยดุจชีผู้ทรงศีล กลางค่ำกลางคืนไม่หลับไม่นอน ลงมาจับผมกดกลางห้องนั่งเล่น” ฟรานพูดอย่างลอยหน้าลอยตา ก่อนจะหันมากระตุกยิ้มที่มุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ให้หญิงสาวผู้เดือดพล่านตรงหน้า
“ใครกดใครไม่ทราบ!!!” เพียงน้ำพลอยสวนกลับอย่างเหลืออด ก่อนจะนึกได้ว่า ไม่ว่าผลลัพธ์ของประเด็นนี้จะออกมาในทิศทางไหน มันก็น่าอายพอกัน ฟันคมๆ ที่เพิ่งผ่านสมรภูมิเลือดมาจึงได้แต่กัดริมฝีปากล่างของตัวเองเอาไว้ไม่ให้พูดอะไรชวนขายหน้าได้อีก ทว่าทั้งที่เธอหยุดแล้วแท้ๆ เขากลับก้าวเข้ามาหาเธอด้วยท่าทีสบายๆ หากเพียงชั่วพริบตา ร่างสูงร้อยแปดสิบห้าเซนก็เข้ามาประชิดตรงหน้าเสียจนเธอรู้สึกได้ถึงไอลมหายใจร้อนๆ จากเขา ใบหน้าหล่อเหลาดุจหยกสลักค่อยๆ โน้มลงมากระซิบที่หูเธอด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา แต่กลับทำให้เธอแทบเธอดิ้นตายด้วยความโกรธ
“ถ้าคุณถือสาเรื่องนี้นักล่ะก็ ผมกดคุณเองก็ได้”
“ไอ้บ้าา!!!” ร่างบางออกแรงที่มีทั้งหมดผลักคนหน้าไม่อายออกไปให้พ้นตัว ก่อนจะหันหลังเดินกระทืบเท้าบันดาลโทสะจากไป โดยไม่คิดจะหันมาสนใจเสียงหัวเราะร่าที่ลอยตามหลังมาเป็นเงา หากพอเดินพ้นห้องครัวไปได้ไม่ถึงก้าวดี สมองที่เริ่มกลับมาใช้การได้ก็สั่งให้สองขาหยุดชะงัก ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปเอาขนมที่น้ำผึ้งพระจันทร์ซื้อมาให้แล้ววิ่งกลับขึ้นห้องไปอย่างรวดเร็ว ทำเอาคนยืนมองอยู่ด้านหลังถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะดังขึ้นกว่าเดิมเป็นสิบเท่า คนอะไรโกรธจนหน้าดำหน้าแดงแล้วยังไม่ลืมเรื่องกินอีก เห็นแบบนี้จะให้เขากลั้นขำไว้ได้ยังไงกัน ตอนนี้เขาไม่ได้ทับใครอยู่ และไม่ได้ถูกใครทับอีกแล้ว ใครอยากจะลงมาถามไถ่อะไรก็เชิญเถอะ เขาคนนี้จะอยู่เป็นเพื่อนคุยด้วยทั้งคืนเลย
แสงแดดอ่อนๆ ของดวงตะวันที่เริ่มทอแสงวันใหม่ กับเมฆที่จับตัวทอเป็นผืนบางๆ ให้ความรู้สึกชวนฝันและไม่อาจจับต้องไปในเวลาเดียว ลอยอิสระอยู่บนผืนฟ้ากว้างสีอ่อน ชวนให้คนมองรู้สึกปลอดโปร่งเสียจนอยากจะวิ่งไปให้สุดขอบฟ้าแล้วสูดเอาอากาศดีๆ เข้าร่างให้เต็มปอด ทว่าความปรารถนาทั้งหมดที่ว่านั้น คงไม่ใช่สำหรับเพียงน้ำพลอยผู้ที่กำลังใช้ความพยายามทั้งหมดในการลืมตามองตัวเองหน้ากระจกแน่
อาการที่เธอเป็นอยู่ตอนนี้ จะเรียกว่าอาการง่วงเหงาหาวนอน นอนไม่หลับ นอนไม่พอ หรือจะอะไรก็ได้ทั้งนั้นที่หมายถึงการไม่อยากพรากจากเตียงนอนในตอนนี้ เธอจำได้ว่าเมื่อตี่สี่กว่าๆ เธอยังคงคิดเรื่องไร้สาระอยู่บนเตียงอยู่เลย แต่หากถามว่ามันเป็นเรื่องประเภทไหนล่ะก็ เธอก็ไม่อาจนิยามมันได้อย่างเป็นกิจลักษณะนักหรอก เอาเป็นว่ามันเป็นเรื่องของความสงสัยใคร่รู้ ว่าเธอเข้าใจรสนิยมของผู้ชายคนนั้นผิดไป เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานตอนกลางวันเธอล้วนเข้าใจมันผิดทั้งหมด แท้ที่จริงแล้วเขาเป็นผู้ชายทั้งแท่ง หรือว่าเขากำลังหลอกใช้เธอเป็นเครื่องมือเพื่อตบตาทุกคนว่าตัวเองมาดแมนเสียเต็มประดากันแน่
และอีกข้อที่สงสัยไม่แพ้กันก็คือ เธอกลายเป็นยัยแก่ว่างงานไปแล้วหรือไงกัน ถึงได้มีเวลาไปสอดรู้เรื่องชาวบ้านเอาขนาดนี้
ร่างบางฝืนใจวักน้ำเย็นๆ ขึ้นล้างหน้า แล้วเข้าไปอาบน้ำทำกิจธุระส่วนตัวจนเสร็จสรรพเรียบร้อย ก่อนจะเตรียมตัวลงไปข้างล่างช่วยเพื่อนรักทำอาหารเช้า ภาษิตว่าอยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย อย่างไรเสียเธอก็นับว่ามาอาศัยบ้านเขาอยู่ เพราะฉะนั้นก็ควรจะทำตัวให้เป็นประโยชน์เสียบ้าง
ร่างบางระหงในเสื้อยืดสีขาวทับด้วยคาร์ดิแกนสีครีม กับกระโปรงยาวเกือบถึงข้อสีครีมอ่อนก้าวลงบันไดไปยังห้องครัวชั้นล่างอย่างไม่รีบร้อนนัก กระโปรงที่พริ้วไหวตามแรงเดินนั้น ช่างชวนให้คนรู้สึกคล้ายกับเห็นผีเสื้อตัวน้อยที่เกาะอยู่บนดอกเดซี่ขาวบนลายกระโปรง กำลังจะบินว่อนออกมารายล้อมเจ้าตัวยังไงยังงั้น ปอยผมเล็กๆ สองข้างถูกรวบขึ้นมัดกลางศีรษะ แล้วปล่อยให้ผมยาวสลวยดัดปลายเล็กน้อยทิ้งตัวลงไปจนถึงกลางหลังอย่างเป็นธรรมชาติ
ทว่ายังไม่ทันได้เข้าไปถึงห้องครัว หางตาคมก็เหลือบไปเห็นความผิดปกติบริเวณด้านข้างคฤหาสน์ผ่านกำแพงกระจกเข้าพอดี ดวงตากลมโตดุจไข่มุกดำเบิกกว้างขึ้นอย่างแทบไม่เชื่อสายตาว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกลางวันแสกๆ ได้ ชายร่างหนาสองคนกำลังยื้อแย่งสายยางที่ใช้ฉีดล้างรถกันอย่างเอาเป็นเอาตาย น้ำจากสายยางสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณจนพื้นซีเมนต์แทบจะกลายเป็นทะเลสาบได้อยู่แล้ว ขณะที่รถปอร์เช่สีดำสนิท ซึ่งเธอจำได้ว่าเป็นของน้ำผึ้งพระจันทร์ที่ควรจะเปียกทั้งคันกลับมีเพียงหยดน้ำไม่หยดเท่านั้น และระหว่างที่เผลออ้าปากหวอด้วยความตกตะลึงนั้นเอง สายน้ำไม่รู้ทิศทางก็ฉวัดเฉวียนสาดเข้าใส่กระจกอย่างเต็มแรง ทำเอาเธอเผลอปิดปากตัวเองลงทันทีเพราะกลัวว่าจะเผลอกลืนน้ำจากด้านนอกเข้าไปจริงๆ และชั่วพริบตานั้น ร่างหนาทั้งสองร่างก็ถลาลงหาแอ่งน้ำบนพื้น ทั้งก็ยังไม่วายกกกอดอีกฝ่ายเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
สัมผัสที่แสดงออกนั้นทั้งรุนแรงและดุดัน หากก็แนบชิดสนิทสนมไปในเวลาเดียวกัน ทำเอาเธอเผลอกลืนน้ำลายตามไปเสียหลายอึกโดยไม่รู้ตัว
หนึ่งในนั้นเธอจำชื่อได้ไม่ถนัดนัก จำได้แต่ว่าเป็นลูกน้องคนหนึ่งของเหวินหยางหลง ส่วนอีกคนนั้นเธอจำเขาได้ขึ้นใจ...
ดูท่าเมื่อคืนเธอคงจะคิดมากเกินไปแล้ว ข้อสันนิษฐานทั้งหมดทั้งมวลนั้นล้วนไร้สาระสิ้นดี...
เมื่อคืนนี้เขาก็แค่โมโหที่เธอไปรู้ความลับของเขาเข้า...ก็เลยคิดจะใช้เธอเป็นเครื่องมือปกปิดความลับของตัวเองเสียเลย...
เรื่องง่ายๆ แค่นี้ เธอกลับนอนคิดมันเสียทั้งคืน...ช่างสมองทึบจนไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว!
เสื้อเชิ้ตสีขาวเปียกโชกจนแนบเนื้อไปทุกส่วนสัด แผงอกแกร่งกับลอนกล้ามเนื้อหน้าท้องลูกระนาดนั้น ช่างชวนให้คนหายใจติดขัดได้เจียนตายเสียจริงๆ เพียงน้ำพลอยอดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่า เสื้อเชิ้ตที่ปกปิดอะไรไม่ได้แบบนั้นก็นับว่าไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง และในเมื่อมันออกจะไร้ประโยชน์ปานนั้น ทำไมไม่กระชากมันทิ้งไปเสียเลย จะได้จบเรื่องจบราว...
ในวินาทีที่รู้เท่าทันความคิดตัวเองนั้น ดวงหน้าขาวละเอียดก็ร้อนระอุขึ้นมาเสียจนเธอไม่กล้ายกมือขึ้นมาจับหน้าตัวเอง ได้แต่รีบพัดระบายความร้อนออกไปเท่านั้น เพียงน้ำพลอยกลั้นใจหลับตา แล้วรีบเดินไปยังทิศทางเดิมที่ตั้งใจไว้อย่างรวดเร็ว จะได้ไปให้พ้นจากภาพชวนให้จิตคิดอกุศลตรงหน้านี้เสียที
สวรรค์...เธอกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่...
ร่างบางระหงเดินหลับตาไปเรื่อยโดยลืมไปเสียสนิทว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านเธอเอง ข้าวของหรือคนมาจากทิศทางไหนเธอไม่มีทางจะคุ้นเคยมันทั้งสิ้น ทว่าคิดได้ในวินาทีนั้นก็สายไปแล้ว เพราะเธอดันพุ่งเข้าไปชนคนหรือวัตถุอะไรสักอย่างโครมเสียจนเซถอยหลังมา ในตอนนั้นถึงเพิ่งได้ลืมตาขึ้นมองว่า คนที่ร้องเสียงหลงตรงหน้าเธอไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นน้ำผึ้งพระจันทร์นั่นเอง
“อะไรของแกเนี่ย!! ยังไม่ตื่นดีรึไง!!” น้ำผึ้งพระจันทร์ว่าพลางคลำหน้าผากป้อยๆ
“โทษทีๆ ฉันไม่ทันมองน่ะ” เพียงน้ำพลอยแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ พลางหัวเราะเบาๆ แก้เก้อ
“จะหาว่าฉันเตี้ยรึไงห้ะ!!” คนถูกจี้ปมโวยเสียงลั่นจนเพียงน้ำพลอยเริ่มคิดไม่ออกว่าตัวเองควรจะแก้ตัวยังไงอีกดี จะให้เธอบอกว่าตัวเองหนีคนเล่นหนังฉากสิบแปดบวกมาจากทางโน้น มัวแต่คิดเรื่องสกปรกอยู่ในหัวเลยไม่ทันได้มองใครก็คงไม่ได้
“ฉันคิดเรื่องงานเพลินน่ะ นึกว่าอยู่บ้านก็เลยเดินไปเพลินไม่ทันมองทาง”
“ถือว่าเชื่อก็แล้วกัน” น้ำผึ้งพระจันทร์เอ่ยคล้ายจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม แล้วหันหลังเดินกลับไปในครัวต่อ เพียงน้ำพลอยจึงรีบเดินไปกอดคอเพื่อนรักอย่างเอาใจทันที
“นี่ คนบ้านแกหายไปไหนกันหมด ทำไมเหลืออยู่แค่ไม่กี่คน” เพียงน้ำพลอยเอ่ยถามพลางเอื้อมมือไปจับทัพพีคนซุปในหม้อช่วยเพื่อนรัก เพราะเริ่มสังเกตเห็นว่าคนรับใช้ในบ้านมีอยู่แค่สองสามคน ส่วนบอดี้การ์ดชุดดำที่เคยตามติดเป็นเงาก็มีอยู่สองคนที่ประตูเท่านั้น
“ก็เป็นอย่างนี้ทุกวันนั่นแหละแกเพิ่งสังเกตหรือไง คุณหยางหลงเขาไม่ชอบให้ใครมายุ่งเวลาส่วนตัว ส่วนฉันก็ไม่ชอบอะไรที่มันวุ่นวาย พวกเด็กในบ้านก็เลยว่างงานช่วงที่ฉันอยู่บ้าน อันที่จริง...ก็ไม่ถึงกับว่างหรอก งานบ้านทั่วไปก็ยังต้องทำเหมือนเดิม แต่จะเข้ามาทำตอนช่วงที่ฉันกับคุณหยางหลงออกไปทำงานกับตอนกลางคืน แต่พวกงานครัวฉันจะทำเอง นานวันเข้าคุณหยางหลงก็เริ่มเสียนิสัย ถ้าฉันไม่ทำอะไรก็ไม่กิน ฉันเลยต้องรับหน้าที่ประจำทุกมื้อ” น้ำผึ้งพระจันทร์ตอบราวกับเล่านิทานยาวเช้า สิ้นเสียงอธิบายเสียยาวเหยียดแล้ว เพียงน้ำพลอยยังแอบได้ยินเพื่อนรักฮัมเพลงเบาๆ อย่างอารมณ์ดีด้วย ทำเอาเธอไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างน้ำผึ้งพระจันทร์จะมีความสุขกับการดูแลใครได้ขนาดนี้ ตอนเพื่อนแต่งมาอยู่ที่นี่ เธอยังคิดว่าเพื่อนถูกเหวินหยางหลงเอาใจเสียจนไม่ต้องทำอะไรแล้วเสียอีก แต่ดูท่าแล้วคงจะเป็นที่เจ้าตัวทำด้วยความเต็มใจเองนั่นแหละ
“แต่ตอนนี้มีเสี่ยวเวยหลงแล้ว ก็คงได้ออกไปทำงานนอกบ้านน้อยลง ถ้าให้เด็กในบ้านรอทำความสะอาดตอนฉันออกไปข้างนอก บ้านได้ฝุ่นหนาเป็นนิ้วพอดี” น้ำผึ้งพระจันทร์เอ่ยต่อพลางอมยิ้มอย่างมีความสุข ขณะเดียวกันก็จับมีดหั่นแครอทไปอย่างคล่องแคล่วราวกับกำลังทบทวนความฝันอันแสนสุขให้ตัวเองฟังอีกรอบเท่านั้น
“ทำงานนอกบ้านน้อยลง?” เพียงน้ำพลอยทวนถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก ไม่รู้เป็นเพราะเหวินหยางหลงเกิดเป็นห่วงเพื่อนเธอเกินเหตุขึ้นมา หรือเป็นเพราะอะไรกันแน่ ถึงทำให้คนบ้างานอย่างน้ำผึ้งพระจันทร์พูดคำว่าทำงานน้อยลงออกมาได้
“ก็ฉันอยากเลี้ยงลูกเองนี่ งานอะไรที่เหนือบ่ากว่าแรงก็โอนไปให้คุณหยางหลงทำแทนแล้วกัน ยังไงบ้านนี้ก็กระเป๋าฉันกระเป๋าเดียวอยู่แล้ว เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา แต่จากที่คุยกันแล้วเขาก็อยากอยู่กับลูกด้วย เห็นว่าเขาก็จะพับโครงการคาสิโนอะไรของเขาเก็บไว้ก่อนเหมือนกัน ฉันก็เลยคิดว่าจะลองโอนไปให้เขาช่วยดูไปก่อน แต่ถ้าเขาลำบากใจจริงๆ ก็ยุบๆ ไปสามสี่สาขาหน่อยก็ได้ ฉันกับเขาก็ใช่ว่าจะมีความจำเป็นจะต้องใช้เงินอะไรมากมาย เท่าที่มีอยู่ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร” สวรรค์...เธอคงไม่ได้หูฝาดไปหรอกนะ น้ำผึ้งพระจันทร์เพิ่งพูดคำว่าเหนือบ่ากว่าแรงออกมา ซ้ำยังบอกว่าตัวเองจะยุบร้านเพชรร้านพลอยทิ้งง่ายๆ เสียอย่างกับบอกว่าวันนี้จะไม่กินข้าวแล้ว การแต่งงานมันทำให้คนๆ หนึ่งเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้ เธอยังไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเลยจริงๆ
“แล้วนี่คุณหยางหลงเขาไปไหนซะล่ะ ไม่มากินข้าวเช้าด้วยกันเหรอ”
“โน่น...พาคุณชายไปดูพระอาทิตย์ขึ้นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างโน่น ป่านนี้ยังไม่กลับมาเลย ไม่รู้จะอยู่รอดูพระอาทิตย์ตกด้วยหรือยังไง” น้ำผึ้งพระจันทร์บ่นกลั้วเสียงหัวเราะ ก่อนจะโยนแครอทกับบล็อคโคลี่ลงกะทะผัดอย่างชำนาญ เพียงน้ำพลอยจึงได้แต่ช่วยเพื่อนทำอาหารต่อไปเงียบๆ ทว่าจู่ๆ ความคิดที่สูญหายไปได้ไม่ถึงสิบนาทีก็หวนคืนสู่สมองเธออีกครั้ง
แล้วอย่างนี้เหวินหยางหลงจะรู้หรือเปล่าว่าเพื่อนเขามีรสนิยมไม่เหมือนผู้ชายทั่วไป...
หวังว่าจะมีแค่นายนั่นหรอกนะที่มีรสนิยมแบบนั้น เหวินหยางหลงคงจะไม่...ไม่มีทาง!!! น้ำผึ้งพระจันทร์ก็เพิ่งจะเล่าให้ฟังจบเมื่อกี้นี้เองว่าเขาทั้งรักทั้งเอาใจใส่เพื่อนเธอกับลูกแค่ไหน จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง ทว่าเรื่องรักลูกกับเรื่องรสนิยมทางเพศมันก็คนละเรื่องกันนี่นา... สวรรค์! เธอใส่ความคนเกินไปแล้ว ยังไม่รู้เรื่องอะไรแน่ชัดเลยด้วยซ้ำ จะมาพาลกล่าวหาว่าเขาเป็นเหมือนนายนั่นได้ยังไงกัน
ทันใดนั้นเอง...
ตึก!!!! ปั๊ก!!!!!
เสียงของหนักๆ กระแทกเข้ากับอะไรสักอย่างเรียกให้หญิงสาวสองคนในห้องครัวหันไปมองเป็นตาเดียว หากแต่หลังจากเสียงนั้น กลับมีเพียงความเงียบเท่านั้นที่บอกเล่าเรื่องราว คนสัญชาตญาณว่องไวจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ก่อนจะคว้ามีดบนโต๊ะแล้วเดินตรงไปยังประตูห้องครัว พร้อมกันนั้นก็เอื้อมมือไปดึงเพื่อนสาวผู้เปราะบางให้มาหลบด้านหลัง ท่าทาวราวกับแม่หมาป่ากำลังปกป้องลูกรักยังไงยังงั้น
“ใคร...”
“...” เมื่อไร้วี่แววสุรเสียงใดๆ ดังขึ้น นายหญิงผู้เฉียบขาดจึงเอ่ยถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกยิ่งกว่าเดิม
“ฉันถามว่าใคร...”
“เอ่อ... เจ้าจันทร์ ฉันเองแหละ เมื่อกี้ฉันเผลอเตะโต๊ะน่ะ” เพียงน้ำพลอยยอมรับอย่างไม่เต็มเสียงนัก พลางฉีกยิ้มแก้เก้อ
“เอ้า!! แล้วเมื่อกี้แกจะหันตามฉันทำไมเล่า!” น้ำผึ้งพระจันทร์ถามกลับ
“ก็แกหัน ฉันก็เลยหันตามแก” เพียงน้ำพลอยตอบกลับอย่างสมเหตุสมผลที่สุด น้ำผึ้งพระจันทร์จึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา ก่อนจะหันกลับมาทำอาหารที่ค้างไว้ต่อ
แน่นอน...เธอโกหกเพื่อนคำโตเสียแล้ว...
แต่ใครบางคนควรจะต้องขอบคุณเธอให้มาก ที่มีแค่เธอเท่านั้นที่สังเกตเห็นหยดน้ำบนพื้นตรงประตูนั่น หากเปลี่ยนเป็นน้ำผึ้งพระจันทร์เป็นคนเห็นล่ะก็ เกรงว่าความลับจะไม่ใช่ความลับ และก็คงไม่มีใครเป็นเครื่องมือให้เขาได้อีกต่อไปแล้ว...
ในขณะเดียวกัน...
ตึก!!!! ปั๊ก!!!!!
ระหว่างร่างสูงโปร่งเปียกโชกกำลังจะก้าวเข้าไปในครัวนั้นเอง ลำแขนหนาไม่รู้ที่มาก็พุ่งเข้ามาล็อกคอเขาจากด้านหลัง ก่อนจะโยนเข้าใส่กำแพงจนแผ่นหลังกระแทกปูนแข็งดังปั๊ก แล้วใช้ท่อนแขนกดลำคอเขาไว้อย่างแน่นหนา ขณะที่อีกมือหนึ่งก็ยกขึ้นปิดปากเขาไว้ ไม่ให้ส่งเสียงเอะอะจนหญิงสาวสองคนในครัวรู้ว่าที่ตรงนี้มีการตั้งโต๊ะสอบสวนกันตั้งแต่ยังไม่ตั้งโต๊ะอาหารเช้า
“ไอ้บ้าเอ๊ยย! จะฆ่ากันรึไงวะ!” ฟรานโวยขึ้นพร้อมกับปัดป้องมือไม้ของเพื่อนให้พ้นจากตัว ก่อนจะจัดเสื้อผ้าที่เปียกโชกจนไม่นับเป็นเสื้อผ้าให้เข้าที่ อันที่จริงสภาพที่เขาเป็นอยู่ในตอนนี้มันก็หลุดรุ่ยพออยู่แล้ว ไอ้เพื่อนบ้านี่ยังมาล็อกคอเขาอย่างกับเขาเป็นนักโทษอีก เขาไปทำผิดอะไรที่ตรงไหนกัน
“ฉันน่ะยังไม่ฆ่าแกหรอก แต่เมียฉันน่ะไม่แน่ แกรู้มั้ยเมื่อคืนนี้ถ้าฉันช้าไปแค่ก้าวเดียว แกกับผู้หญิงคนนั้นได้โดนเจาะกะโหลกพรุนไปแล้ว” หยางหลงชักอดหมั่นไส้เพื่อนรักขึ้นมาไม่ได้ ทำเป็นขวัญหนีดีฝ่อ เขาไม่เชื่อหรอกว่ามันไม่รู้จริงๆ ว่าเขาคือที่คนเข้ามาล็อกคอมันตั้งแต่แรก ไม่อย่างนั้นคงได้ลงไปฟัดกันกับพื้นไปแล้ว ไม่ปล่อยให้เขาจับล็อกกดเข้ากับกำแพงแบบนี้หรอก
“เหรอ” ฟรานถามกลับยิ้มๆ อย่างอารมณ์ดีขึ้นมาทันที พลางยกมือขึ้นจัดแจงเสื้อผ้าให้เพื่อนรักตรงหน้าด้วยท่าทางประจบเอาใจ
“ยังจะมาเหรออีก และก็ดีเท่าไหร่แล้วที่ไอ้กระสุนนั่นมันไม่ลั่นใส่กบาลฉันแทน แกรู้มั้ยเมื่อคืนฉันต้องเจอกับอะไรบ้าง เพราะแกคนเดียว ทำให้เมียฉันคิดว่าฉันซุกเด็กไว้ในบ้าน นี่ไอ้ฟราน บ้านฉันไม่ใช่โรงแรมน่ะเว้ย คิดจะพาใครมาก็มา คิดจะพามาทำอะไรก็ทำ” หยางหลงพล่ามยาวเหยียดอย่างเดือดดาล ทั้งที่จริงก็ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าตัวเองกำลังโกรธใครอยู่กันแน่ ระหว่างเพื่อนจอมแสบไม่รู้กาลเทศะ หรือตัวเองที่เดือดพล่านถึงขนาดนี้ ก็ยังต้องตะคอกมันด้วยเสียงอันเบาหวิวเพราะกลัวว่าภรรยาผู้หูไวตาไวของเขาจะมาได้ยินเข้า
“แล้วไปทำยังไงเขาถึงเย็นลงได้” ฟรานถามพลางกอดอกอมยิ้มอย่างกรุ่มกริ้ม
“ก็...ก็ทำยังไงมันก็เรื่องของฉัน ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย บอกมาผู้หญิงที่ไหน” คนเป็นมาเฟียเกือบคล้อยตามลูกไม้ตื้นๆ ของเพื่อนจอมเจ้าเล่ห์จนยอมบอกเรื่องส่วนตัวในมุ้งให้มันรู้เสียแล้ว ทั้งที่คนที่ต้องอธิบายให้แจ่มแจ้งก็คือมันต่างหากไม่ใช่เขาสักหน่อย
“ซักเป็นเมียฉันไปได้” เมื่อถูกจับได้ไล่ทัน คนร่างสูงจึงได้แต่ก้มหน้ายกมือขึ้นนวดท้ายทอยตัวเองพลางบ่นกระปอดกระแปดด้วยน้ำเสียงรำคาญใจไปเรื่อย ซึ่งสิ่งที่เขาบ่นมันก็ใช่ว่าจะห่างไกลความจริงนัก เพื่อนเขาคนนี้นับวันชักจะทำตัวเป็นเมียรักเขาเข้าไปทุกที ไปไหนมาไหนก็ต้องคอยรายงาน จับใครกดตอนกลางคืนยังต้องมาอธิบายกับมันอีก เขาไม่พร้อมจะมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับมันกว่านี้หรอกนะ
“ถามว่าผู้หญิงที่ไหน” หยางหลงไม่สนใจเสียงบ่นของจำเลย แต่ยังถามย้ำต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ฟรานรู้ดีว่ายังไงเสียตัวเองก็ปิดตาเหยี่ยวตามังกรของเพื่อนตรงหน้าไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นจึงไม่ได้ยอมรับอย่างเป็นทางการนัก หากก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร ปล่อยให้มันคาดเดาไปตามใจชอบ ยังไงเสียในห้องนั้นก็มีผู้หญิงอยู่แค่สองคน หนึ่งในนั้นคือน้ำผึ้งพระจันทร์ซึ่งไม่มีทางเป็นได้อยู่แล้ว
“ยะ...อย่าบอกนะว่า...” เมื่อคนตรงหน้ายังไม่มีวี่แววว่าจะเปิดปากออกมาแม้แต่ครึ่งคำ หยางหลงจึงได้แต่สังเกตตาม แนวสายตาที่ลอบทอดยาวเข้าไปในห้องครัวเพียงชั่วเสี้ยววินาที หากความกระจ่างที่เขาได้มานั้น ก็ทำให้เขาต้องอ้าปากค้างตาเบิกโพลงไปในทันที เพราะไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่กัดกันตอนกลางวัน ตกกลางคืนจะมา... แต่ก็นั่นแหละ...ไม่ใช่ฝ่ายหญิงเขามีใครในใจอยู่แล้วหรือไง หรือว่าไอ้คนจอมวางแผนนี่มันไปบังคับฝืนใจอะไรเขา เรื่องมันถึงได้มาลงเอยอีหรอบนี้
“มันเป็นอุบัติเหตุ” ฟรานอธิบายด้วยน้ำเสียงเนือยๆ เพราะรู้ดีว่าเพื่อนไม่มีทางเชื่อในสิ่งที่ตัวเองพูดง่ายๆ แน่ แต่เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้วจะไม่พูดก็เห็นจะไม่ได้
“อะไรอุบัติเหตุ อยู่ด้วยกันคืออุบัติเหตุ หรือที่ทำไปแล้วคืออุบัติเหตุ” หยางหลงซักต่ออย่างไม่เว้นช่วงหายใจ
“ฉันจะไปทำอะไรล่ะ ไม่ได้ทำเว้ย!” ฟรานปฏิเสธเสียงแข็ง
“แกนี่นะไม่ได้ทำ? คนอย่างแกนี่นะไม่ทำ?”
“ไม่เชื่อฉันรึไงวะ ก็บอกว่าไม่ได้ทำ” แม้จะรู้ดีอยู่ว่าเพื่อนไม่มีทางเชื่อตัวเองง่ายๆ แต่ก็ไม่เคยคิดว่าคำพูดของตัวเองมันจะไม่มีน้ำหนักได้ขนาดนี้ คนพวกนี้เห็นเขาเป็นคนยังไงกันแน่ ยังไงเสียก็เขายังนับตัวเองเป็นสุภาพบุรุษอยู่ หากว่าผู้หญิงไม่ยินยอมพร้อมใจ เขาไม่มีทางแตะเธอแม้แต่ปลายเล็บแน่ แต่สำหรับเรื่องเมื่อคืนนั้นจะถือเอามาคิดรวมกันไม่ได้ เพราะเขาก็แค่อยากแกล้งคนที่สงสัยในความเป็นลูกผู้ชายของเขาเท่านั้น ไม่ได้คิดจะทำ...เอาเป็นว่า ไม่ว่าจะคิดหรือไม่คิด ก็ไม่ทำแน่ๆ ก็แล้วกัน...
“งั้นจะซ่อนทำไม ยังไงซะเขาก็เป็นเพื่อนกัน ถ้าแกบริสุทธิ์ใจซะอย่าง ไม่เห็นมีอะไรต้องปิดเลยนี่หว่า” พูดมาจนถึงตรงนี้ หยางหลงก็ยังไม่เข้าใจว่า ถ้าสิ่งที่ฟรานพูดเป็นเรื่องจริง มันมีอะไรน่าปิดบังตรงไหนกัน คนที่คอยหลบคอยซ่อนเมื่อคืนนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นน้ำผึ้งพระจันทร์ซึ่งรักใคร่สนิทสนมกับเพียงน้ำพลอยยิ่งกว่าเขากับฟรานเสียอีก
“ก็มันดูไม่ดี ยังไงเขาก็มีแฟนแล้ว ฉันไม่อยากให้เขาอึดอัด” ฟรานอธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ โดยไม่ทันรู้ตัวว่าสิ่งที่ตัวเองพูดออกมานั้น ไม่ได้ใกล้เคียงกับความเป็นตัวเองในอดีตเลยแม้แต่น้อย
“นี่แกห่วงคนอื่นขนาดนี้เลยเหรอ” หยางหลงถามกลับอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“ก็...ฉันเป็นผู้ชาย เขาเป็นคนเสียหาย เขาเป็นผู้หญิง” ฟรานอธิบายต่อด้วยน้ำเสียงประหนึ่งนักปราชญ์อธิบายปรัชญาให้ผู้โง่เขลาฟัง
“อ๋ออออ เดี๋ยวนี้แกมีสามัญสำนึกขนาดนี้เลยเหรอ” ยิ่งฟังหยางหลงก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองคุยกับคนอื่นที่ไม่ใช่ฟรานมากขึ้นทุกที แค่คืนๆ เดียวคนๆ หนึ่งจะเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ
“แกจะเอาอะไรจากฉันกันแน่วะ จะถามหรือจะด่า เอาสักอย่าง ฉันจะได้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสักที แม่ไม่ให้เสื้อผ้าเปียกนานๆ เว้ย เดี๋ยวปอดบวม” ฟรานสวนกลับอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะลงท้ายประโยคด้วยด้วยคำพูดของเด็กชั้นประถมสาม แล้วเตรียมหันหลังเดินจากไปจริงๆ อย่างปากว่า หากติดตรงที่เพื่อนจอมมาเฟียของเขาดึงแขนรั้งตัวไว้เสียก่อน
“ฉันเตือนแกไว้อย่างนะ ถ้าแกไม่ได้คิดอะไรกับเขาจริงๆ ก็ปล่อยเขาไป เรื่องเขามีแฟนแล้วก็อีกเรื่อง แต่อีกเรื่องที่สำคัญก็คือเขากำลังถูกคนมากมายจับตามอง เกิดโดนขุดขึ้นมา แกก็รู้ว่ามันไม่ดีกับเขา และโดยเฉพาะกับแกด้วย...” สิ้นเสียงเพื่อนรัก ฟรานก็ได้แต่เลียริมริมฝีปากแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างที่ทำจนติดนิสัยตอนที่ต้องเจอเหตุการณ์น่าหนักใจ
สิ่งที่หยางหลงพูดออกมานั้น ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดมาก่อนหรือหลงลืมมันไป เพียงแต่เขาคิดว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เขายังคงควบคุมไหว ยังไม่ถึงขั้นต้องผลักไสใครหรือตั้งกฎเกณฑ์เด็ดขาดถึงเพียงนั้น ทว่าสิ่งที่เพื่อนเตือนก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เขาควรระวังไว้หน่อยจะดีกว่า...
เพราะคนอย่างเขา...ไม่ใช่คนที่อยู่ในสว่างได้นักหรอก...
#จริงๆ ไรท์เป็นน้ำพลอยไรท์ก็คิดนะ 555 ทุกคนคิดว่ายังไงกันบ้าง อย่าลืมเม้นท์มาคุยกันน้าา^^ ไรท์รออ่านเม้นท์ของทุกคนอยู่จ้าาา
#ทำไมเรื่องของอีเฮียฟรานถึงถูกขุดคุ้ยไม่ได้ อย่าลืมมาติดตามกันต่อในตอนต่อไปน้าา
#ในที่สุดไรท์ก็สอบเสร็จปิดเทอมแล้ว คงได้อัพบ่อยขึ้นแล้ว อย่าเพิ่งโกรธกันเลยน้าา ไรท์กลับมาหาทุกคนแล้วจ้าา^^
#อย่าลืมเม้นท์+จิ้มโหวตเป็นกำลังใจให้กันด้วยน้าา
พริมสิตางศุ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 พ.ค. 2560, 03:34:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ก.ค. 2560, 03:27:40 น.
จำนวนการเข้าชม : 951
<< Chapter 3 : เลยเถิด | Chapter 5 : มีดกรีดหิน >> |