A castle wall *กำแพงรัก*
ถ้าความรักคือเรื่องของคนสองคน ต้องมนต์ คงไม่นับรวมอยู่ในนั้นเป็นแน่ เพราะการแอบรักคนที่ไม่มีวันเป็นไปได้อย่าง ปัถย์ มันก็เหมือนยืนบนพื้นดินแล้วแหงนคอมองคนบนหอคอย อย่างไรอย่างนั้น...แต่ก็ไม่รู้ทำไม เสียงข้างในจิตใจก็ร่ำร้องถึงเค้าอยู่ร่ำไปสิน่า..
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 5 : แม่มดน้อย - - -(45%)ครบ



ฉันตัดสินใจเดินออกไปยังพื้นที่โล่งใกล้กับม้าหินอ่อนที่ตั้งอยู่ใกล้ใกล้กับสระว่ายน้ำ เหลียวซ้ายแลขวา ตรวจตราบรรยากาศรอบข้างว่าไม่มีผู้ใดในรัศมีระยะใกล้แบบนี้ เมื่อมั่นใจเต็มที่ฉันจึงเอ่ยกับเพื่อนสาวทันที



“คุณปัถย์เค้าจูบฉัน”



“ห๊า!!!!! นี่แกเพ้อเจ้อถึงขั้นแต่งเรื่องมาเลยเหรอแป๋ม” ฉันส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ ถึงฉันจะดูเพ้อเจ้อ เด๋อด๋า แต่ก็ไม่ถึงขั้นปัญญานิ่มมานั่งกุเรื่องพวกนี้ได้นะ



“จริงจริง...ฉัน ซี เรียส เค้าจูบฉันรอบนึง แล้วก็เมื่อเช้า เค้าก็หอมแก้มฉัน”



“เฮ้ย...เป็นไปได้ไงว่ะ คุณปัถย์เนี่ยนะ ตายแล้วแกไอ่แป๋ม เสร็จแน่ แกเอ๊ยยยย” มันถามฉันอย่างสงสัยในประโยคแรก แล้วจึงทิ้งน้ำเสียงที่เจือความเวทนาอาดูรไว้ในประโยคท้าย



“เสร็จอะไรของแก” ฉันก็ยังสงสัยไม่เลิก ไม่รู้จริงจริงนี่หว่า



“ฉันว่าเค้ารู้ว่าแกชอบเค้า แล้วตอนนี้เค้าน่าจะกำลังให้ท่าแกอยู่” ป๊าดดดดดด....จะรู้ได้ไง ยังไม่ได้บอกไรเลยนะ มีการให้ท่าด้วย อยากจะเถียงมันออกไปว่าไม่ต้องให้แล้วแค่นี้ฉันก็รับมือไม่ไหวแล้ว



“ทำไงดีล่ะแก...ฉันอายอ่ะ เค้าต้องว่าว่าฉันไม่เจียมสังขารแน่แน่ โอ๊ยยยย เครียดแล้วนะเว่ย” ฉันยกตบหน้าผากตัวเองเบาเบา พร้อมทั้งขยุ้มหัวตัวเองจนยุ่งเหยิง อะไรกันเนี่ย ฉันกะว่าจะแอบรักอย่างเงียบๆ มองดูความเป็นไปในชีวิตของเขาจนวันที่เขาตกลงปลงใจแต่งงานกับใครสักคน(ฉันคิดไกลเกินไปไหม)



“ก็แกอ่ะ...ซื่อบื้อ!”
มาอีกแล้วประโยคบั่นทอน



“เออ...เออ ฉันมันซื่อบื้อ ติ๊งต๊อง บ๊องตื้น พอใจม่ะ!”
ฉันก็เริ่มมีอารมณ์ขึ้นมาตงิดตงิดล่ะนะนังเพื่อนบ้า



“อ่ะอ่ะ...ก็แกน่ะเล่นไปจ้องเค้าซะตาถลนออกนอกเบ้าเงี้ย มองเค้าอ้าปากค้างตอนโชว์ซิกแพคเงี้ย...เค้าอายุตั้งเท่าไร มองแกแปบเดียว เห็นไปถึงลิ้นไก่แกแล้ว!” โหหหหหหห..... ฉันครางในลำคอ หมดแล้วชีวิตวัยสาวที่แอบรักชายหนุ่ม



“แล้วเค้ามาวุ่นวายกับฉันทำไมอ่ะ”
ในเมื่อรู้กันถึงขนาดนี้ล่ะ ด่านต่อไปที่ฉันต้องหาเหตุผลให้ได้!!! ก็คือทำไมคุณปัถย์ทำกับฉันเช่นนั้น!!!



“ไม่รู้ว่ะแก....แกลองถามเค้าสิ ถ้าให้ฉันเดาก็มีอยู่สองอย่าง คือ เค้าชอบแก กับ เค้าอยากเลี้ยงแกไว้เป็นของเล่นแกเหงา”

โอ้โหหห...นี่คุณปัถย์คิดกับฉันแบบนี้เหรอเนี่ย แสดงว่าฉันก็สวยไม่เบานะ(เหมือนไม่เกี่ยว) ฉันยังมีอารมณ์แอบกระหยิ่มยิ้มย่อง ทั้งที่หน้าสิ่วหน้าขวานและไม่ปลอดภัยต่อพรหมจรรย์วัยสาวของตัวเอง



“แกว่าฉันควรถามเหรอ”



“จากที่แกเล่ามา ถ้าแกไม่ถาม ไม่เกินอาทิตย์ ฉันว่าแกโดนปล้ำชัวร์! เพราะเค้าก็จะตอดแกไปเรื่อยๆ จนแกระทวยในอ้อมอกเค้า และยอมเป็นของเค้าอย่างเต็มใจเพราะงั้นฉันคิดว่าถามไปเลย ให้มันรู้ว่าหมู่ หรือ จ่า!!!!”
คำตอบของขิงยังคงความเป็นลูกทุ่งและแรงแซงโค้งเช่นเคย นี่คุณปัถย์จะหื่นกามขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย แล้วเกิดเค้ามีอารมณ์จับฉันกดส่วนใดส่วนนึงในบ้านจะทำไงล่ะ...โอ๊ยฉันจะเป็นลม



“เออๆ แค่นี้ก่อนล่ะกัน ฉันกลับไปทำงานล่ะ”
ฉันตัดสินใจตัดสายจากเพื่อนสาวสิงห์รถบรรทุก(ฉันตั้งฉายาให้สมกับความลูกทุ่งของมัน) ในใจฉันย้อนคิดถึงคำพูดของเพื่อนสาวเมื่อสักครู่ และ เหตุการณ์อกสั่นขวัญระทึกระหว่างฉันกับคุณปัถย์ แล้วยังมีภาพของแม่สาวไฟแรงสูงคนนั้นที่จูบสะท้านเมืองกับคุณปัถย์อีก ทำไมอะไรอะไรมันเริ่มจะยุงเหยิงขึ้นไปทุกที ทุกทีแล้วล่ะ โอ้เอย.....หัวใจดวงน้อยน้อยของฉัน




ฉันตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะถามคุณปัถย์ให้รู้ดำรู้แดงไปเลย อย่างน้อยเค้าก็ไม่ควรมาล้อเล่นกับความรักของฉันแบบนี้ วันนี้ฉันจึงลีลาอ่านบทความภาษาอังกฤษบนโต๊ะทำงานตัวน้อยของตัวเองไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะได้อยู่พบหน้าคุณปัถย์หลังจากที่เค้ากลับมาจากที่ทำงาน เสียงเคาะประตูดังขึ้น ฉันจึงละสายตาจากบทความมองไปยังประตูบานใหญ่ แต่ผู้ที่เข้ามาหาใช่คนที่ฉันคิดไว้ไม่...คุณปราชญ์เดินเข้ามาถามเรื่องเวลากลับบ้านของฉัน ท่านคงเห็นว่ามืดค่ำเช่นนี้แล้ว ทำไมฉันจึงไม่รีบเก็บกระเป๋า เมื่อฉันบอกเหตุผลออกไป ท่านเลยเอ่ยชวนให้ร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน เพราะวันนี้ท่านมีแขกพิเศษจะมาร่วมโต๊ะอาหาร อยากให้ฉันรู้จักไว้ ฉันพยักหน้ารับคำเชิญชวนของท่านอย่างว่าง่าย ไม่เกินครึ่งชั่วโมงพี่แม่บ้านก็มาเชิญฉันไปยังห้องอาหาร ทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องอาหารขนาดใหญ่ ฉันก็พบแขกพิเศษของคุณปราชญ์ 3 คน นั่งเรียงกันทางด้านขวามือของคุณปราชญ์ผู้ซึ่งนักหัวโต๊ะอาหาร คนแรกเป็นชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกับคุณปราชญ์ที่กำลังสนทนากับชายหนุ่มที่นั่งถัดไป ซึ่งฉันใช้สายตามองคร่าวๆคิดว่าอายุไม่น่าจะไกลจากฉันเท่าไร แต่คนสุดท้ายนี่สิ!!!! ฉันเพ่งสายตามองอีกครั้ง นี่มันแม่สาวไฟแรงสูง กางเกงสั้นกุดนี่!!! หล่อนมาทำอะไรที่นี่เนี่ย?




“อ้าวหนูแป๋ม...มานั่งนี่มาลูกมา”
คุณหญิงพจนีย์เอ่ยขึ้นหลังจากที่ฉันยืนเป็นยักษ์ปักหลั่นตรงประตูทางเข้าห้องอาหาร ฉันจึงเดินอย่างสงบเสงี่ยมเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ตัวถัดไปจากคุณหญิงพจนีย์ โดยที่มีประมุขของบ้านนั่งตรงหัวโต๊ะ และแขกนั่งทางฝั่งตรงข้าม


“อ่ะมาครบแล้ว...เดี๋ยวแนะนำตัวกันพอเป็นพิธีล่ะกันนะ หนูแป๋มนี่คุณดิสรณ์ ส่วนคนที่นั่งตรงข้ามหนูคือคุณ ดิษฎา แล้วก็ ดิสยา แล้วนี่ก็ หนูแป๋ม ผู้ช่วยฉันเอง คนนี้ไงที่สรุปเรื่องเขตการค้าเสรีที่ฉันให้แกลองอ่านน่ะ”
คุณปราชญ์จัดการแนะนำตัวแขกทั้งสามให้กับฉัน ฉันจึงยกมือไหว้บุคคลทั้งสามด้วยความเคารพ ฉันได้ยินเสียงเอ่ยชมของคุณดิสรณ์ชายสูงวัยที่นั่งทางด้านขวามือของคุณปราชญ์มายังฉัน ฉันได้แต่ยิ้มน้อยน้อยแบบกุลสตรี แล้วก็กล่าวถ่อมตัวเล็กน้อยให้ดูน่าเอ็นดู




“ว่าแต่...พ่อเต้อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ” คุณปราชญ์เอ่ยถามชายหนุ่มหน้ามน ใส่แว่นสายตาของสีดำฝั่งตรงข้ามฉัน




“28 ครับ”




“แล้วหนูแป๋มล่ะลูก”




“แป๋ม 23 ค่ะ”




“แล้วหนูตี้ล่ะลูก...ปีนี้อายุเท่าไรแล้ว”
คุณปราชญ์ส่งเสียงถามไปยังสาวไฟแรงสูง เอ๊ะ!!หล่อนชื่อตี้ เหรอนี่ แล้วยังรู้จักมักจี่กับครอบครัวนี่อีกด้วย มิน่าล่ะวันนั้นหล่อนถึงได้มาจูบสะท้านเมืองกับคุณปัถย์ ที่แท้ก็คนกันเองกับบ้านนี้หรอกเหรอ



“ตี้ 30 ค่ะ”

ฉันเห็นหล่อนส่งยิ้มแจกจ่ายไปทั่วโต๊ะอาหารประดุจดังนางงามมิตรภาพก็ไม่ปาน




“อ่ะ...หนูแป๋มเลยเป็นเด็กอายุน้อยสุดของโต๊ะเลย” คุณปราชญ์เอยแซว




“หน้าตาน้องแป๋มก็เด็กครับ”
คุณเต้เอ่ยขึ้นทันที พร้อมกับส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ ฉันเลยส่งยิ้มขอบคุณและแอบหน้าแดงเล็กเล็กที่มีคนมาทักว่าตัวเองหน้าเด็ก ปกติจะได้ยินแต่คำพูดบั่นทอนจากเพื่อนปากเปราะ



“งั้นก็ทานข้าวกันดีกว่า เดี๋ยวกับข้าวจะเย็นเสียหมด”
ประมุขของบ้านเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งผายมือเชื้อเชิญ




“คุณลุงไม่รอ พี่ปัถย์ก่อนเหรอค่ะ”

เสียงหญิงสาวผู้ร่วมโต๊ะอาหาร(ฉันไม่คิดว่าจะเป็นคุณพจนีย์แน่) เอ่ยขึ้นหลังจากที่ฉันกำลังคว้าช้อนส้อมของตัวเอง....พอฉันละสายตาจากจานข้าวตวัเองก็พบกับสีหน้าของแม่สาวไฟแรงสูง มองไปยังคุณปราชญ์ แหมมมมม ถามถึงซะด้วย ฉันแอบส่งเสียงจิ๊จ๊ะ หมั่นไส้ในลำคอ(มารร้ายชัดชัด)



“ไม่ต้องรอหรอก...ถ้ารอเราคงไม่ต้องกินพอดีหนูตี้”

คุณปราชญ์เอ่ยขึ้นอย่างติดตลก แม่สาวไฟแรงสูงเลยพยักหน้าตอบรับ แล้วจึงหยิบช้อนส้อมของหล่อนขึ้น ฉันเลยเบี่ยงสายตาหันมาสนใจอุปกรณ์การกินของตัวเองแทน




“อ้าวปัถย์..มาทันเวลาพอดีเลยลูก” ฉันเงยหน้ามองไปยังผู้มาใหม่ที่ยืนหล่ออยู่ตรงประตู เค้าถอดสูทตัวนอกส่งให้แม่บ้านแล้วจึงยกมือไหว้คุณดิสรณ์ จากนั้นก็อ้อมด้านหลังเก้าอี้ของประมุข นั่งลงข้างข้างฉัน....ฉันได้แต่นั่งตัวแข็งทื่อ เหตุการณ์เมื่อเช้าผุดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้




การรับประทานอาหารมื้อเย็นเริ่มขึ้นเมื่อสมาชิกครบ หลายครั้งที่ฉันรู้สึกว่า บุรุษทางด้านซ้ายมือของฉันมักจะเอนมาตักอาหารใกล้กับฉันซะจนคางจะเกยไหล่ ฉันจึงวางช้อนส้อมเพื่อขยับเก้าอี้ให้ออกห่าง มือหนาก็คว้าข้อมือห้ามปรามฉันไว้...แอร๊ยอีตาบ้า ทันทีที่อาหารคาวถูกเก็บ ผลไม้จานใหญ่ก็ถูกลำเลียงมาวางแทนที่ ฉันมองซ้ายขวารอให้ทุกคนมีปฏิกิริยาตอบสนองกับผลไม้จานใหญ่จึงใช้มือซ้ายหยิบส้อมขนาดเล็กเพื่อจัดการนำ แตงโมสีแดงสดใส ดูหวานฉ่ำ ที่ถูกทำให้เป็นลูกกลมๆเข้าปากของตัวเอง ทันใดนั้นเองโสตประสาทของตัวเองก็ได้ยินเสียงกระซิบที่หูด้านซ้ายของฉัน




“แม่มดน้อย...ปากน่าจูบชะมัด”




ฉันหันขวับไปทางต้นเสียงกระซิบ ด้วยสีหน้าตื่นตะลึง ผู้ชายคนนี้ขยันปลุกเร้าอารมณ์ฉันเกินไปแล้วนะ ดูคำพูดเมื่อกี้สิ....ร้ายกาจมาก ยังมีหน้ามายิ้มอีก ฉันตัดสินใจแล้วว่าฉันควรจะเปลี่ยนฉายาจากเทพบุตรสุดหล่อ เป็น ปีศาจหื่น สักที!!





* * * * * * * * * * * * * * *
ครบแล้วค่าาาาาตอนที่ 5
ขอบคุณทุกกำลังใจมากเลยยยย(ตื้นตันนน)
ติดตามให้กำลังใจแป๋ม กับ คุณปัถย์ในตอนต่อไปด้วยนะค่ะ



คุณิณพัณณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ส.ค. 2554, 12:00:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ส.ค. 2554, 12:00:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 2282





<< บทที่ 5 : แม่มดน้อย - - -(55%)   บทที่ 6 : ปีศาจหื่น - - - 50% >>
รอให้เป็นเล่ม 11 ส.ค. 2554, 12:47:39 น.
คุณปัถย์เจ้าเล่ห์มาก


รอให้เป็นเล่ม 11 ส.ค. 2554, 12:48:09 น.
หนูแป๋มจะรอดมั๊ยนี่


sparrow 11 ส.ค. 2554, 13:58:52 น.
อ่านไป อมยิ้มไป กลัวคนหาว่าบ้า


ใจใส 11 ส.ค. 2554, 15:42:26 น.
หยอดทุกวันใจมันก็กร่อนนะจ๊ะ ตาหื่น


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account