The D.O.L.L.S โศกนาฏกรรมปีศาจตุ๊กตามหาเวท
"นักขายความฝันผู้เลือดร้อน & นักโทษประหารผู้เริงร่า & หัวขโมยผู้เย็นชา"
ต่างถิ่น ต่างความคิด ต่างอาชีพ ต่างนิสัย ต่างจุดมุ่งหมาย ต่างเผ่าพันธุ์
กลับต้องมาอยู่ด้วยกันเพราะเหตุบางอย่าง... The D.O.L.L.S
ตุ๊กตาปีศาจมีลักษณะรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ
ถ้าอย่างนั้น...จะรู้ได้อย่างไร?
...เป็นปีศาจ...หาใช่มนุษย์ไม่...
ระวังไว้ให้ดี...ทุกอย่างอาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา...
...ที่ใครบางคนสร้างขึ้นเท่านั้น...
สงครามระหว่างผู้มีพลังเวทกับมนุษย์ธรรมดา
ใครจะอยู่รอดเป็นผู้กำชัยชนะ!?
- ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านจากใจจริง -
แผนที่นครเซ็นทรัม http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/map122e1.jpg
ต่างถิ่น ต่างความคิด ต่างอาชีพ ต่างนิสัย ต่างจุดมุ่งหมาย ต่างเผ่าพันธุ์
กลับต้องมาอยู่ด้วยกันเพราะเหตุบางอย่าง... The D.O.L.L.S
ตุ๊กตาปีศาจมีลักษณะรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ
ถ้าอย่างนั้น...จะรู้ได้อย่างไร?
...เป็นปีศาจ...หาใช่มนุษย์ไม่...
ระวังไว้ให้ดี...ทุกอย่างอาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา...
...ที่ใครบางคนสร้างขึ้นเท่านั้น...
สงครามระหว่างผู้มีพลังเวทกับมนุษย์ธรรมดา
ใครจะอยู่รอดเป็นผู้กำชัยชนะ!?
- ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านจากใจจริง -
แผนที่นครเซ็นทรัม http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/map122e1.jpg
Tags: ตุ๊กตา,ปีศาจ,คำสาป,เวทมนตร์,สงคราม,แฟนตาซี,ผู้ใช้เวท,มนุษย์,โศกนาฏกรรม,mystery
ตอน: Episode 27 : || หัวใจสับสน ||
EPISODE 27
หัวใจสับสน
“ผ่านมาสามวันแล้วนะเอเวน เจ้าไม่คิดจะไปปลอบใจมิเวลหน่อยเหรอ” เสียงหึ่งๆ ของแมลงชอบกวนประสาทกำลังรบกวนการขับเคอาร์ของเขา แม้ว่าเด็กหนุ่มจะยังคงรักษาสีหน้าเรียบสนิทได้เป็นอย่างดี แต่เขากลับไม่แน่ใจสักเท่าไหร่ว่าจะทนต่อไปได้อีกนานแค่ไหน
วอลเบ้ปากอย่างขัดใจเมื่อไม่ได้รับปฏิกิริยาอะไรตอบกลับมา ให้ตายสิ นี่จะทำใจดำไปถึงไหนกันเชียว ทั้งๆ ที่สามวันก่อนยังเห็นกอดกันตัวกลมอยู่เลย แต่คนชอบเก๊กก็คือคนชอบเก๊กล่ะนะ สงสัยคงจะเขินแหงๆ แหม ก็เขาดันเป็นพยานร่วมเหตุการณ์แบบเห็นจะๆ เลยนี่นา
“ข้าไม่ล้อก็ได้ อย่างน้อยไปลากออกมาจากห้องก็ยังดี มิเวลขังตัวเองอยู่ในห้องมาตั้งสามวันแล้วนา” เด็กหนุ่มพูดโน้มน้าวอีกฝ่ายต่อ แต่ดูเหมือนว่าจิตใจของคนใจแข็งนั้นจะทำด้วยหินจริงๆ ไม่ว่าจะพูดยังไง สีหน้าราบเรียบของเอเวนก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่นิดเดียว
“ทำไมเจ้าไม่ทำเอง” น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยถามในที่สุด คนถูกถามชะงักไปน้อยๆ ก่อนจะหัวเราะแห้งๆ จะว่าไป เรื่องนั้นเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่มีอะไรบางอย่างออกคำสั่งให้เขาอย่าไปพบหน้ามิเวลตอนนี้เท่านั้น
วอลไม่อยากรบเร้าเซ้าซี้ต่อ เด็กหนุ่มยิ้มแยกเขี้ยวใส่คนหัวดื้อก่อนจะเดินออกจากห้องบังคับแล้วตรงไปยังห้องรวม ในใจคิดถึงเรื่องที่ควินัวบอกกับเขาเมื่อสามวันก่อน
‘ผู้บุกรุกโจมตีมิเวล ก่อนจะหนีไปโดยใช้เพกัสเป็นที่กำบังรับพลังโจมตีของมิเวลแทน’
เพราะสาเหตุนั้นมิเวลถึงได้กลายเป็นแบบนี้สินะ รถเคอาร์เดินทางต่อมุ่งสู่ทิศใต้ตามปกติท่ามกลางสภาพอากาศเย็นสบายสงบสุข แต่บรรยากาศภายในกลับกลายเป็นตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เมื่อสามวันก่อนหลังจากที่เกิดเรื่องขึ้น มิเวลก็ถึงกับกลายเป็นคนละคนไป เอเวนเองก็นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ถึงแม้ว่ารายนั้นจะไม่พูดอยู่แล้วก็เถอะ เขาฟังเรื่องคร่าวๆ จากควินัวแล้วนำไปเล่าต่อให้เอเวน ซึ่งรับฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคย แต่เขารู้ว่าในใจของเอเวนนั้นไม่ได้นิ่งสงบเหมือนอย่างที่เห็นภายนอกหรอก วอลรู้ดีว่ามิเวลกำลังช็อกจากการฆ่าเพกัสด้วยพลังของเธอเอง ส่วนเอเวนก็คงไม่รู้ว่าจะช่วยปลอบใจมิเวลอย่างไร เพราะถึงพูดอะไรออกไปก็คงไม่ได้ช่วยอะไรมากมายอยู่ดี
“เฮ้อ...” เสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายให้กับบรรยากาศหดหู่รอบๆ ตัว เขาไม่ได้เห็นหน้ามิเวลมาสามวันแล้ว และไม่รู้ว่าเพราะอะไรพอเข้าใกล้ห้องของมิเวลทีไร เท้าสองข้างเป็นอันต้องหันหลังกลับทันควัน อะไรบางอย่างกำลังสั่งให้เขาหนี แต่ว่าหนีจากอะไรกันล่ะ แล้วทำไมเขาต้องหนีด้วย เด็กหนุ่มเดินเลี้ยวเข้าห้องรวมก่อนจะได้ยินเสียงเรียกของเอเวนดังมาจากทางด้านหลัง
“กำลังจะเข้าสู่เขตเมืองควอเรลแล้ว เมืองนี้มีการตรวจพลังเวทก่อนเข้าเมือง” เสียงเรียบเอ่ยบอก
วอลทำหน้างงๆ อยู่พักหนึ่งเพราะเขาไม่เข้าใจว่าเอเวนจะเดินมาบอกเขาทำไม เขาเป็นมนุษย์ธรรมดา จะเข้าเมืองไหนออกเมืองใดนั้นไม่มีผลอะไรกับเขาอยู่แล้ว แต่แล้วความคิดหนึ่งก็ปิ๊งขึ้นมาในหัว วิธีที่จะบีบให้เอเวนยอมไปเจอมิเวลเสียที ปรากฏรอยยิ้มทะเล้นพร้อมกับหันไปมองเพื่อนร่วมทางด้วยสายตาเจ้าเล่ห์อย่างคนช่างแกล้ง
“เจ้าไปไม่ยอมไปเจอมิเวลเพราะเขินล่ะสิ” เป็นไปตามคาดเมื่อคนถูกจี้ใจดำเข้าอย่างจังชะงักไปน้อยๆ รอยยิ้มของคนขี้แกล้งกว้างขึ้นอีกพร้อมด้วยเสียงหัวเราะหึๆ คนหัวดื้ออย่างเอเวนมันต้องเจอไม้นี้ “ก็ดันไปกอดเขาซะแน่นขนาดนั้นนี่นา”
“ไร้สาระ” เสียงเย็นชาบอกปัดแล้วหมุนตัวหันหลังกลับ แต่ไม่ทันไรคนพูดมากก็พูดขึ้นอีก
“ข้าไม่ไปบอกให้หรอกนะ เจ้าต้องไปบอกด้วยตัวเองแล้วเจ้าก็บังคับข้าไม่ได้ด้วย” เสียงใสพูดรัวๆ ก่อนจะทิ้งช่วงไว้นิด แล้วรีบเสริมขึ้นอีกเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจะเอ่ยปากแย้ง “อ้อ หรือว่าเจ้ากลัวมิเวลจะอาละวาดที่เจ้าเป็นพวกชอบฉวยโอกาส”
คนฟังถึงกับพูดอะไรไม่ออกเลยทีเดียว เด็กหนุ่มยืนนิ่งไม่ขยับ แม้ว่าสีหน้าจะยังคงนิ่งสนิทเป็นปกติ แต่ในหัวกลับคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ เขาไม่ได้ฉวยโอกาส ร่างกายมันขยับไปเองต่างหาก แล้วก็ไม่ได้กลัวเรื่องไร้สาระพรรค์นั้น และมิเวลเองก็คงไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เจ้าตัวแคปซูลนี่มันคิดอะไรของมัน ที่เขาไม่อยากเจอมิเวลเพราะเขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป แต่อีกใจหนึ่งเขาก็อยากเจอ อยากเห็นหน้า อยากรู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง มีแต่ความสับสนอยู่ในหัวจนเขาแทบจะบ้า เขาต้องเก็บความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ข้างในโดยพยายามไม่แสดงสีหน้าหรืออารมณ์ใดๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำเป็นประจำอยู่แล้วก็จริง แต่ครั้งนี้มันกลับยากเหลือเกิน
“มิเวลกำลังป่วยหนักเลยล่ะ ตอนที่ข้าเข้าไปหาเมื่อเช้า” เสียงของวอลทำให้คนที่กำลังจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองรู้สึกตัว เด็กหนุ่มหันขวับไปมองเจ้าของรอยยิ้มทะเล้นอย่างตกใจ แต่ก็ยังคงรักษาสีหน้าเรียบๆ ของตนเอาไว้ได้ เห็นเจ้าตัวแคปซูลส่ายหน้าไปมาน้อยๆ ถอนหายใจพร้อมกับตีหน้าเศร้า
เอเวนพยายามคงสีหน้าและท่าทีเอาไว้ให้เป็นปกติที่สุด แต่ในใจกลับคิดเตลิดไปไกล มิเวลเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าป่วยหนักก็ต้องไปสถานพยาบาล แต่กว่าจะเข้าเมืองควอเรลได้ก็คงต้องเจอเรื่องวุ่นเกี่ยวกับเรื่องการตรวจเข้าเมืองก่อน นี่เขาปล่อยเธอเอาไว้ได้ยังไงกัน คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากันน้อยๆ ก่อนร่างสูงจะหันหลังกลับเดินออกจากห้องรวมมา ในหัวคิดอะไรไม่ออกนอกจากเป็นห่วงคนที่กำลังนอนซมอยู่
ส่วนคนเจ้าเล่ห์ที่เคยทำหน้าเศร้านั้นกลับมายิ้มทะเล้นตามเดิม ยกมือโบกลาร่างสูงหยอยๆ จากทางข้างหลัง พร้อมกับต้องกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ให้หลุดขำพรวดออกมาอย่างสุดความสามารถ
เอเวนเคาะประตูห้องสองทีก่อนจะเปิดเข้าไปโดยไม่ขอเสียงอนุญาตจากเจ้าของห้อง เขาใจร้อนเกินกว่าจะรอคนข้างใน แถมมิเวลอาจจะอาการหนักและกำลังนอนพักไม่ได้สติอยู่ก็ได้ แล้วถ้าเธอเป็นอะไรมาก เขาจะไม่ให้อภัยตัวเองเด็ดขาด
“เอเวน?” เสียงเอ่ยทักจากผู้เป็นเจ้าของห้อง เอเวนยืนนิ่งค้างอยู่หน้าประตูอย่างคนทำอะไรไม่ถูก เพราะภาพที่เขาคาดว่าจะได้เห็นก็คือภาพของมิเวลกำลังนอนพักอยู่บนเตียง แต่คนที่ควรจะป่วยหนักกลับกำลังนั่งอยู่บนพื้นและดูท่าทางสบายดี ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร
“...เจ้าตัวแคปซูลบอกว่าเจ้าไม่สบาย” เสียงเรียบรีบบอกสาเหตุของการมาปรากฏตัวทันที แต่ทำไมมันถึงฟังดูเหมือนการแก้ตัวเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ทำไมเขาถึงต้องแก้ตัวด้วยล่ะ เขาไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย นึกถึงสีหน้ายิ้มทะเล้นนั่นแล้ว เขาก็แทบอยากจะไปฆ่าเจ้าตัวแคปซูลนั่นซะเดี๋ยวนี้ เจ้าบ้านั่นต้องจงใจหลอกเขาแน่ๆ
“วอลน่ะเหรอ ข้าไม่เจอเขามาสามวันแล้ว...” เสียงของมิเวลเบาลงทันควันเมื่อพูดถึงเวลาเมื่อสามวันก่อน เอเวนพักเรื่องถูกหลอกเอาไว้ก่อน เด็กหนุ่มเดินเข้าไปนั่งข้างๆ มิเวลพร้อมกับเหลือบสายตามองคนข้างกายอย่างเป็นห่วง สีหน้าของมิเวลดูดีขึ้นกว่าเมื่อสามวันที่แล้ว ตอนนั้นมิเวลดูราวกับเป็นเพียงแค่แก้วใสๆ ใกล้จะแตก แต่ถึงยังไง เขาก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี ถึงแม้ว่าสีหน้าจะดีขึ้นก็จริง แต่มิเวลในตอนนี้ก็ยังดูเปราะบางจนแทบจะพังทลายลงต่อหน้าต่อตาเขา ซึ่งเขาไม่มีวันยอมให้มันเกิดขึ้นโดยเด็ดขาด
“อีกสองสามชั่วโมงคงถึงควอเรล ตอนนี้ข้าพักเคอาร์เอาไว้ก่อนเพราะดึกแล้ว” เอเวนบอกเสียงเรียบ คนฟังพยักหน้ารับน้อยๆ เธอลืมไปสนิทเลยว่ากำลังอยู่ในระหว่างการเดินทางไปยังนครสาบสูญ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เธอไม่อยากคิดอะไรอีก เธอไม่อยากรับรู้อะไรอีกต่อไป เด็กสาวก้มมองสองมือของตัวเองด้วยความรู้สึกเจ็บปวด ใบหน้าของเพกัสฉายชัดขึ้นมาในความทรงจำทันควัน เหตุการณ์นั้นตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเธอไม่เลือนราง ไม่ว่าจะเวลาใดเธอก็ยังคงมีภาพนั้นติดแน่นอยู่ในใจ เธอไม่อยากกลายเป็นคนอ่อนแอ แต่ในเวลานี้ เธอไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอย่างไรต่อไปดี
เอเวนมองสีหน้าเหมือนใกล้จะแตกสลายของมิเวลด้วยความรู้สึกอึดอัด เขาไม่อยากเห็นเธอทำหน้าแบบนี้ เด็กหนุ่มนึกย้อนไปถึงเรื่องที่เจ้าตัวแคปซูลบอกกับเขา ตอนแรกเขายังไม่อยากบอกมิเวลเพราะไม่ต้องการเอาเรื่องเหตุการณ์ในตอนนั้นขึ้นมาพูดถึง เขาตั้งใจจะรอให้มิเวลทำใจได้ก่อนแล้วค่อยบอก แต่บางทีเขาอาจจะคิดผิดด็ได้ เพราะเขารู้สึกว่าตอนนี้มิเวลก็ยังคงนึกถึงเรื่องนั้นอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นถ้าเขาบอกเธอทุกอย่างมันอาจจะทำให้มิเวลรู้สึกดีขึ้นก็ได้
“เจ้าไม่ได้เป็นคนฆ่าเด็กมนุษย์นั่น”
มิเวลหันขวับไปมองคนข้างกายทันทีที่ได้ยินดังนั้น เขาหมายความว่ายังไงกัน เพกัสตายเพราะพลังของเธอไม่ใช่หรือไง เอเวนเหลือบสายตามามองเธอแวบหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อเสียงเนิบ
“ควินัวบอกว่าตุ๊กตาปีศาจทุกตัวตายไปแล้วตั้งแต่แรกแล้วก่อนที่จะกลายมาเป็นตุ๊กตาปีศาจ พวกมันเป็นแค่หุ่นเชิดไร้ชีวิตเพราะไม่มีวิญญาณอีกต่อไป เพราะฉะนั้นเจ้าไม่ใช่คนฆ่าเด็กมนุษย์นั่น”
“เจ้าไม่ได้รู้เรื่องนี้มาก่อนหรอกเหรอ” เด็กสาวเอ่ยถามต่อทันที เธอจำไม่ได้ว่าเขาเคยบอกเรื่องนี้กับเธอมาก่อน คนถูกถามส่ายหน้าน้อยๆ เป็นการปฏิเสธ เขาเองก็เพิ่งรู้เรื่องนี้จากควินัวเช่นกัน และยังรู้สึกแปลกใจเลยว่าทำไมควินัวถึงรู้ แต่เขารู้สึกเป็นห่วงมิเวลมากกว่าจึงไม่ได้ถามอะไร และถึงถามไปเจ้าตัวแคปซูลนั่นก็คงจะไม่ยอมบอกคำตอบอยู่ดี
นัยน์ตาสีแดงเบือนสายตากลับมายังมือทั้งสองข้างของตัวเอง ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ใช่คนฆ่าเพกัส แต่เธอก็ยังรู้สึกแย่อยู่ดีที่ช่วยอะไรเขาไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ชีวิตของเพกัสต้องจบลงเพราะเธอไม่ได้ช่วยเขาทั้งๆ ที่เธอให้คำมั่นกับตัวเองแล้วว่าจะช่วยเขาให้ได้
“เจ้าควรจะระบายมันออกมา” เสียงเครียดเอ่ยบอก เธอไม่ได้หันไปมองเจ้าของเสียงนั้น เด็กสาวแค่นหัวเราะออกมาอย่างสมเพชตัวเองพลางกำหมัดแน่น ระบายแล้วยังไง ถึงจะระบายความเจ็บปวดออกไป ความจริงก็คือความจริงอยู่ดี
“เจ้าก็พูดง่ายสิ” น้ำเสียงหงุดหงิดสวนกลับ เธอรู้ว่าตัวเองกำลังทำตัวเหมือนเด็กเล็กๆ แต่นี่คือสิ่งที่เธอรู้สึกในตอนนี้ เอเวนไม่เข้าใจความรู้สึกของเธอ เขาตั้งใจจะฆ่าเพกัสทิ้งเสียด้วยซ้ำ ถึงไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น สุดท้ายแล้วเอเวนก็คิดจะกำจัดเพกัสอยู่ดี
“เจ้าเก็บความรู้สึกเอาไว้ก็ไม่ได้ช่วยอะไร ระบายมันออกมา เจ้าจะได้รู้สึกดีขึ้น”
“แล้วเจ้าทำได้หรือไง” มิเวลสวนกลับไปอีกครั้ง สีหน้าย่ำแย่จวนเจียนจะร้องไห้เต็มที เอเวนนิ่งเงียบไปทันทีเมื่อได้ยินเธอสวนกลับไปแบบนั้น คงกำลังเข้าใจผิดว่าเธอโกรธเขา แต่จริงๆ แล้วเธอไม่ได้โกรธเอเวน เธอโกรธตัวเองมากกว่า แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเธอก็ยังไม่มีอารมณ์อยากจะไขความเข้าใจผิดในตอนนี้
คำพูดของมิเวลจี้ใจดำเขาเข้าอย่างจัง เด็กหนุ่มไม่พูดอะไรอีก เห็นได้ชัดเลยว่าเขาพูดอะไรออกไปก็มีแต่จะทำให้ทุกอย่างมันแย่ลงกว่าเดิม
“ส่งมือมา” เสียงเรียบกล่าวพร้อมกับหันไปเผชิญหน้ากับคนข้างกาย มิเวลเลิกคิ้วสูงขึ้นเป็นเชิงสงสัยว่าเขาตั้งใจจะทำอะไร ก่อนจะยอมยื่นมือซ้ายให้อีกฝ่าย เอเวนยิ้มจางๆ แล้วเบือนสายตาลงต่ำมองไปยังฝ่ามือของมิเวลพร้อมกับจับมือเธอเอาไว้โดยใช้มืออีกข้างวางทับบนฝ่ามือของเธออีกที เด็กสาวสงสัยว่าเขากำลังทำอะไรจึงตวัดสายตาไปที่ฝ่ามือของตัวเองบ้าง และแล้วนัยน์ตาสีแดงก็ต้องเบิกกว้างขึ้นน้อยๆ ด้วยความรู้สึกประทับใจ
“นี่มัน...”
เอเวนผายมือข้างที่ปิดทับฝ่ามือของเธออยู่ขึ้น เผยให้เห็นก้อนน้ำแข็งที่แกะสลักเป็นรูปดอกไม้แสนงดงาม ดอกไม้น้ำแข็งลอยตัวขึ้นช้าๆ จนถึงระดับสายตาของทั้งคู่ มิเวลมองตามโดยไม่ละสายตา เธอพูดอะไรไม่ออก ดอกไม้น้ำแข็งก้อนนี้... มันสวยจริงๆ เป็นดอกไม้ที่สวยที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นมาเลย
เด็กสาวละสายตาไปยังคนตรงหน้า เขาบีบมือเธอแน่นขึ้นอีกนิดเพื่อเป็นการให้กำลังใจแล้วค่อยปล่อยมือของเธอให้เป็นอิสระ เอเวนกำลังมองเธอด้วยใบหน้าเรียบสนิท แต่ในแววตาคู่นั้นมีความรู้สึกบางอย่างแฝงอยู่ คงเป็นความรู้สึกเป็นห่วงเพราะเธออ่านได้จากสายตาของอีกฝ่าย มิเวลค่อยๆ เผยรอยยิ้มน้อยๆ ก่อนจะตวัดสายตากลับมายังดอกไม้น้ำแข็งอีกครั้ง
“ขอบคุณนะ ดอกไม้นี่สวยมากเลย” เธอไม่รู้ว่าความรู้สึกแปลกๆ ที่กำลังก่อตัวขึ้นทีละนิดอยู่ภายในใจนั้นเรียกว่าอะไร รู้เพียงแค่ว่ามันกำลังเพิ่มมากขึ้นจนเธอไม่สามารถหยุดได้ และเสี้ยวหนึ่งของความรู้สึกทั้งหมดของเธอก็ไม่อยากที่จะหยุดมันด้วยเช่นกัน
“ข้าทำให้เจ้าอีกเมื่อไหร่ก็ได้...” เสียงเรียบกล่าวพร้อมกับขยับตัวกลับไปนั่งข้างๆ ตามเดิม เขาเว้นจังหวะพักหนึ่งก่อนจะเบือนหน้าหันกลับมามองเธอด้วยสายตาจริงจัง “...เพราะเจ้าไม่ได้อยู่คนเดียว”
+++++++++++++++
“...เอาล่ะ...เยี่ยมยอด!” เสียงใสตะโกนลั่นด้วยความดีใจพร้อมกับยกของในมือขึ้นมาโบกๆ เขาใช้เวลานานโขเลยทีเดียวไปกับการทำไอ้นี่ ตอนนี้ต้องขอลิ้มรสหน่อยเถอะ
“ว่าแล้ว” เสียงหนึ่งดังขัดจังหวะขึ้นทำให้คนกำลังจะเขมือบของกินเข้าปากต้องหยุดชะงัก นัยน์ตาสีเงินเบือนไปยังร่างหนึ่งที่ประตูก่อนจะส่งยิ้มแหยๆ ให้อีกฝ่าย
“คือ...”
“ข้ากำลังสงสัยอยู่ว่าทำไมน้ำตาลมันถึงหายไป ที่แท้เจ้าก็แอบมาขโมยกินนี่เอง” เอเวนเดินเข้าไปคว้าน้ำตาลก้อนจำนวนมากวางเรียงต่อกันโดยมีอะไรบางอย่างเสียบอยู่ตรงกลางมา พร้อมกับใช้สายตาตำหนิมองหัวขโมยอย่างหงุดหงิดก่อนจะเบือนสายตากลับมายังของในมือ ดูๆ แล้วไอ้ที่เสียบอยู่นี่น่าจะเป็นกิ่งไม้ล่ะมั้ง คนทั่วไปเขาใช้น้ำตาลเพื่อการปรุงรส แต่เจ้าตัวแคปซูลนี่กลับเล่นกินเปล่าๆ เลย เด็กหนุ่มขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างไม่เข้าใจว่าเจ้าบ้านั่นกินของแบบนี้เข้าไปได้ยังไงกัน
“มิเวลเป็นยังไงบ้าง” เสียงสดใสรีบเปลี่ยนหัวเรื่องทันที แต่แล้วก็ต้องหุบยิ้มลงเมื่อคนตรงหน้าส่งสายตาคาดโทษมาให้ แล้วกัน แทนที่จะรอดตัว กลับกลายเป็นการฆ่าตัวตายไปซะงั้น
“เจ้าหลอกข้า”
“แต่ก็ดีใช่มั้ยล่ะ เห็นเข้าไปตั้งนาน” วอลรีบแย้งทันควัน แม้ว่าสีหน้าของเอเวนจะยังคงเรียบสนิทดีอยู่ก็จริง แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดี เขาไม่รู้ว่าสองคนนั้นคุยอะไรกัน อาจจะทะเลาะกันก็ได้ ใบหน้ายิ้มแย้มเริ่มปรากฏความไม่มั่นใจ
“...น่าจะให้ควินัวเข้าไปสังเกตการณ์” คนพูดมากรีบใช้สองมือปิดปากตัวเองหมับ มองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าแตกตื่น เอเวนจ้องเขาด้วยสายตาโกรธเคือง สีหน้าเรียบๆ นั่นเริ่มเคร่งเครียดขึ้นมาทันที ซวยของจริงเลยทีนี้ ดันโพล่งออกมาทำไมล่ะเนี่ย
‘ข้าไม่ใช่สายลับนะท่านวอล’ เสียงของควินัวเอ่ยพูดกับเขาในใจ เด็กหนุ่มส่ายหน้าไปมาแรงๆ เพื่อไล่เสียงควินัวออกไป แล้วหัวเราะแห้งๆ ด้วยรอยยิ้มแหยๆ ขณะมองใบหน้าหงุดหงิดของเอเวน
เอเวนถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เขาไม่ได้อยากมาพูดคุยไร้สาระกับคนไร้สาระ เด็กหนุ่มหันหลังกลับอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะได้ยินเสียงเจ้าตัวแคปซูลเอ่ยถามไล่หลังมา
“มิเวลเป็นยังไงบ้าง”
เขาหันกลับไปมองคนถามด้วยสายตารำคาญ เห็นรอยยิ้มกว้างยังคงประดับอยู่บนใบหน้ากวนประสาทนั่น ถ้าอยากรู้ทำไมถึงไม่เยี่ยมเองเล่า จะมาถามเขาทำไม เห็นรอยยิ้มทะเล้นนั่นแล้วเขาก็ชักจะหงุดหงิดมากกว่าเดิม เพราะขี้เกียจตอบ เอเวนจึงเดินหนีออกจากห้องมาโดยไม่สนใจเสียงที่ตะโกนถามไล่หลังมาอีกครั้ง แต่เดินมาได้แค่ไม่กี่ก้าวเขาก็ต้องหยุดชะงัก สายตามองบุคคลตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ
“...ข้าหิว...ก็เลย...” เสียงพึมพำอธิบายถึงสาเหตุของการออกมาจากห้อง เด็กสาวรู้สึกทำตัวไม่ถูกเมื่อต้องมาเผชิญกับเอเวนอีกครั้งหลังจากเพิ่งแยกกันเมื่อครู่นี้ ไม่สิ ไม่น่าเกี่ยวกับเรื่องเพิ่งเจอกันอะไรนั่น มิเวลรู้สึกฉุนตงิดๆ เมื่อคิดถึงสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ เป็นเพราะว่าเอเวนมาพูดจาแปลกๆ ด้วยก่อน เธอจึงทำตัวไม่ถูกอย่างนี้ไงเล่า ให้ตายสิ เธอควรจะคิดเรื่องของเพกัสแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับมีเรื่องของเจ้าบ้าเอเวนนี่อยู่เต็มหัวไปหมด
เอเวนไม่พูดอะไรนอกจากขยับเปิดทางให้มิเวลเพราะตอนนี้เขากำลังยืนขวางทางอยู่ เด็กหนุ่มมองร่างเล็กเดินผ่านไปด้วยสายนิ่งๆ ก่อนจะลอบอมยิ้มน้อยๆ ให้กับตัวเอง แล้วค่อยเดินกลับไปยังห้องรวม
วอลเกือบจะเผลอร้องเหวอดังลั่นด้วยความตกใจเมื่อหันหลังกลับไปแล้วเห็นคนที่ไม่คิดว่าจะเจอยืนเงียบกริบอยู่ตรงประตู สายตาขุ่นเคืองน้อยๆ มองตรงมาอย่างไม่พอใจในท่าทางตกใจเกินเหตุของเขา เด็กหนุ่มรีบหัวเราะแห้งๆ พร้อมกับยิ้มร่าเป็นการกลบเกลื่อนทันที นี่มันวันอะไรของเขากันล่ะเนี่ย เมื่อกี้เพิ่งจะหนีจากเอเวนมาได้ ตอนนี้ก็ดันมาเจอมิเวลเข้าซะงั้น
“ข้ามันน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือไง” น้ำเสียงฉุนเล็กน้อยเอ่ยประชด ก่อนจะเดินตรงเข้าไปยังกองอาหารกระป๋องของตัวเอง
“เขาเรียกว่าตกใจต่างหาก ข้าไม่คิดว่าจะเจอเจ้าออกมาเดินเล่น” เสียงใสรีบบอกปฏิเสธ แต่กลับเป็นการหาเรื่องใส่ตัวไปเสียฉิบ เพราะคนได้ยินดังนั้นถึงกลับหันมามองเขาตาขวาง
“เจ้าคิดว่าตอนนี้ข้าอยากเดินเล่นนักเหรอไง” มิเวลย้อนถามเสียงแข็ง สีหน้าหงุดหงิดไม่พอใจ แต่อะไรบางอย่างทำให้วอลไม่คิดแบบนั้น เขารู้ว่ามิเวลกำลังทำเป็นหงุดหงิดเพื่อปกปิดความเศร้าหมองเอาไว้ข้างในต่างหาก เขาเห็นความเจ็บปวดในแววตาคู่นั้น ถึงแม้ว่าเด็กสาวจะพยายามปกปิดมันอยู่ก็ตาม แต่เขาก็ยังสัมผัสความรู้สึกนั้นได้ดี มันหดหู่จนทำให้เขารู้สึกเจ็บแปลบในใจตามไปด้วย
สายตานิ่งๆ มองมิเวลหยิบอาหารกระป๋องขึ้นมาเทออกใส่ชาม ไม่ปรากฏอารมณ์หรือความรู้สึกใดๆ บนใบหน้าเรียบสนิทนั้น เด็กหนุ่มยืนนิ่งค้างอยู่ที่เดิมโดยไม่กะพริบตาหรือขยับเขยื้อนใดๆ ทั้งสิ้น เขากำลังจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง มิเวลกำลังทุกข์ทรมาน เขารับรู้ความรู้สึกนั้นได้อย่างชัดเจนและมันทำให้เขาเกลียดตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่างเดียว แม้แต้จะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดนั้น เขาก็ยังทำไม่ได้
‘ท่านวอล’ เสียงเรียกจากควินัวทำให้วอลตื่นขึ้นจากภวังค์ เขารู้สึกเจ็บๆ ตรงมือทั้งสองข้างจึงยกขึ้นมือมาดูอย่างสงสัย เห็นเลือดไหลซึมออกมาจากบาดแผลบนฝ่ามือซึ่งเกิดจากการจิกเล็บเข้าไปในเนื้อโดยไม่รู้ตัว
“จริงสิ เรื่องการตรวจเข้าเมือง” มิเวลหันไปพูดกับวอล เด็กหนุ่มสะดุ้งน้อยๆ พร้อมกับรีบเอามือทั้งสองข้างหลบไปข้างหลังทันควัน สีหน้าเรียบสนิทเปลี่ยนเป็นยิ้มร่าตามปกติโดยฉับพลันทำให้เด็กสาวไม่นึกเอะใจหรือสงสัยอะไร
“เรื่องการตรวจเข้าเมืองมีอะไรเหรอ”
“ข้ายังไม่ได้คุยกับเอเวน แต่อาจจะค่อนข้างคล้ายกันกับที่แคว้นยูรา เพราะฉะนั้นพวกข้าคงต้องขอแรงเจ้าอีก” เสียงเครียดเอ่ยบอกอย่างไม่มั่นใจ เธอไม่รู้ว่ามันจะเหมือนกับที่ยูราแน่หรือเปล่าเพราะว่าเมืองควอเรลนั้นไม่ใช่เมืองใหญ่โตอะไร ดังนั้นไม่น่าจะมีพวกเครื่องมืออุปกรณ์ต้านพลังเวทมนตร์มากมายนัก
“ได้สิ ไม่มีปัญหา” คนถูกขอให้ช่วยยิ้มแฉ่งพร้อมกับยกนิ้วโป้งชูขึ้นอย่างมั่นใจ มิเวลเห็นท่าทางขี้เล่นของวอลแล้วก็เริ่มรู้สึกผ่อนคลายความเครียดต่างๆ ลงบ้างเล็กน้อย เด็กสาวหันกลับมาจัดการอาหารกระป๋องตรงหน้าต่อโดยการหยิบกระป๋องเปล่าทิ้งใส่ถังขยะ สูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามไม่นึกถึงเรื่องของเพกัส นึกถึงเด็กคนนั้นทีไรน้ำตาลมันพาลจะไหลออกมาอีกให้ได้
“เอเวนรู้แล้วล่ะว่าข้าแอบขโมยน้ำตาล แต่ข้าหยิบเอาไปตุนเพิ่มเอาไว้แล้วก่อนหน้านี้” เสียงกระซิบเบาๆ ดังขึ้นข้างลำตัวทำให้มิเวลสะดุ้งน้อยๆ นัยน์ตาสีแดงเหลือบมองคนที่แอบมายืนข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ด้วยสายตาขุ่นเคือง อย่างน้อยก็น่าจะส่งเสียงเรียกกันบ้างเพราะมันทำให้เธอตกใจ แล้วยังจะมาทำเสียงกระซิบอะไรนั่นอีก แต่สุดท้ายแล้วมิเวลก็ต้องยอมรับว่าเธอผิดเองที่เหม่อลอยจนไม่ทันสังเกตเห็นว่าเจ้าบ้าวอลเดินมายืนข้างๆ
“แล้วมาบอกข้าทำไมล่ะ” เด็กสาวถามกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ เหมือนไม่ค่อยสนใจสิ่งที่วอลบอกมากนัก ก่อนจะหันไปคว้าอาหารกระป๋องของตัวเองมาเพิ่มอีก พอหันกลับมาก็เห็นสีหน้าทึ่งน้อยๆ ของวอลขณะมองอาหารกระป๋องในมือเธอ มิเวลรู้ทันทีว่าเจ้าบ้านี่คงไม่คิดว่าเธอจะกินเยอะขนาดนี้แน่ๆ ร่างเล็กไม่สนใจปฏิกิริยาของวอลแล้วรีบจัดการเทอาหารกระป๋องลงชามอย่างรวดเร็ว ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากเจ้าบ้าข้างกาย แต่ไม่นานเสียงหัวเราะก็ค่อยๆ เลือนหายไป
วอลยืนมองเด็กสาวหันไปคว้าอาหารกระป๋องมาเทใส่ชามเพิ่มอีกหนึ่งด้วยใบหน้ายิ้มน้อยๆ มิเวลใช้ช้อนคนอาหารในชามอยู่พักหนึ่งแล้วถึงค่อยหันไปหยิบเครื่องปรุงรสมาใส่ แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเจ้าบ้าวอลยังไม่ตอบคำถามของเธอเลย และเธอก็คงกลายเป็นบ้าไปด้วยเช่นกันที่อยากรู้ว่าเขามาบอกทำไม ทั้งที่เธอก็รู้คำตอบอยู่แก่ใจ เจ้าบ้านี่คงจะไม่มีเรื่องอะไรคุยก็เลยยกเรื่องน้ำตาลขึ้นมาพูดลอยๆ แน่ๆ
“...เรื่องเมื่อกี้...” ราวกับว่าวอลอ่านใจเธอออก มิเวลแทบสำลักหลังจากตักอาหารในชามเข้าปากคำแรก จะว่าไปเธอก็ไม่ค่อยรู้เรื่องขอบเขตของพลังจิตของวอลสักเท่าไหร่ ถ้าเจ้าบ้านี่จะอ่านใจคนออกขึ้นมาก็มีทางเป็นไปได้เหมือนกัน และเธอก็คงขอเผ่นไปให้ไกลเขาโดยทันทีหลังจากยืนยันแน่ชัดแล้วว่าเจ้าบ้าวอลมีพลังความสามารถแบบนั้น
“ข้าบอกเจ้า...” เสียงเบาของวอลกล่าวต่อ แต่ประโยคถัดมาของอีกฝ่ายกลับทำให้เธอต้องหยุดชะงักทั้งการกระทำและความคิดทุกอย่างลง “...เพราะข้าเชื่อใจเจ้า”
ร่างเล็กค่อยๆ เหลือบสายตาไปยังคนข้างกายทีละนิด มือขวาจับช้อนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น เห็นใบหน้ายิ้มน้อยๆ ของวอลกำลังมองเธอด้วยสายตาอันแสนคุ้นเคยเหลือเกิน สายตาอบอุ่นที่เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ภาพของวอลซ้อนทับกับภาพในความทรงจำ ใช่แล้ว เธอเคยเห็นสายตาแบบนั้นมาก่อน มันเป็นสายตาของควินัวที่ให้ความรู้สึกอ่อนโยนขณะมองตรงมายังเธอ
“ข้าเชื่อใจเจ้า...” วอลกล่าวย้ำอีกครั้งพร้อมกับหลุบสายตาลงต่ำ รอยยิ้มจางๆ ยังคงประดับอยู่บนใบหน้าอ่อนโยน ก่อนจะกล่าวต่อด้วยเสียงที่แผ่วเบาลงกว่าเดิมราวกับกำลังพึมพำอยู่กับตัวเอง “และ...ข้าอยากให้เจ้าเชื่อใจข้า”
++++++++++++++++++++
โปรดติดตามตอนต่อไป!!
มาอัพแล้วววววว ตอนนี้เป็นสีชมพู <3
อีกไม่กี่ตอนจะจบภาคแรกแล้ววววว ขอบคุณชาวเดอะดอลส์ทุกท่านที่เป็นกำลังใจให้น้า
EPISODE 27
หัวใจสับสน
“ผ่านมาสามวันแล้วนะเอเวน เจ้าไม่คิดจะไปปลอบใจมิเวลหน่อยเหรอ” เสียงหึ่งๆ ของแมลงชอบกวนประสาทกำลังรบกวนการขับเคอาร์ของเขา แม้ว่าเด็กหนุ่มจะยังคงรักษาสีหน้าเรียบสนิทได้เป็นอย่างดี แต่เขากลับไม่แน่ใจสักเท่าไหร่ว่าจะทนต่อไปได้อีกนานแค่ไหน
วอลเบ้ปากอย่างขัดใจเมื่อไม่ได้รับปฏิกิริยาอะไรตอบกลับมา ให้ตายสิ นี่จะทำใจดำไปถึงไหนกันเชียว ทั้งๆ ที่สามวันก่อนยังเห็นกอดกันตัวกลมอยู่เลย แต่คนชอบเก๊กก็คือคนชอบเก๊กล่ะนะ สงสัยคงจะเขินแหงๆ แหม ก็เขาดันเป็นพยานร่วมเหตุการณ์แบบเห็นจะๆ เลยนี่นา
“ข้าไม่ล้อก็ได้ อย่างน้อยไปลากออกมาจากห้องก็ยังดี มิเวลขังตัวเองอยู่ในห้องมาตั้งสามวันแล้วนา” เด็กหนุ่มพูดโน้มน้าวอีกฝ่ายต่อ แต่ดูเหมือนว่าจิตใจของคนใจแข็งนั้นจะทำด้วยหินจริงๆ ไม่ว่าจะพูดยังไง สีหน้าราบเรียบของเอเวนก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่นิดเดียว
“ทำไมเจ้าไม่ทำเอง” น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยถามในที่สุด คนถูกถามชะงักไปน้อยๆ ก่อนจะหัวเราะแห้งๆ จะว่าไป เรื่องนั้นเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่มีอะไรบางอย่างออกคำสั่งให้เขาอย่าไปพบหน้ามิเวลตอนนี้เท่านั้น
วอลไม่อยากรบเร้าเซ้าซี้ต่อ เด็กหนุ่มยิ้มแยกเขี้ยวใส่คนหัวดื้อก่อนจะเดินออกจากห้องบังคับแล้วตรงไปยังห้องรวม ในใจคิดถึงเรื่องที่ควินัวบอกกับเขาเมื่อสามวันก่อน
‘ผู้บุกรุกโจมตีมิเวล ก่อนจะหนีไปโดยใช้เพกัสเป็นที่กำบังรับพลังโจมตีของมิเวลแทน’
เพราะสาเหตุนั้นมิเวลถึงได้กลายเป็นแบบนี้สินะ รถเคอาร์เดินทางต่อมุ่งสู่ทิศใต้ตามปกติท่ามกลางสภาพอากาศเย็นสบายสงบสุข แต่บรรยากาศภายในกลับกลายเป็นตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เมื่อสามวันก่อนหลังจากที่เกิดเรื่องขึ้น มิเวลก็ถึงกับกลายเป็นคนละคนไป เอเวนเองก็นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ถึงแม้ว่ารายนั้นจะไม่พูดอยู่แล้วก็เถอะ เขาฟังเรื่องคร่าวๆ จากควินัวแล้วนำไปเล่าต่อให้เอเวน ซึ่งรับฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคย แต่เขารู้ว่าในใจของเอเวนนั้นไม่ได้นิ่งสงบเหมือนอย่างที่เห็นภายนอกหรอก วอลรู้ดีว่ามิเวลกำลังช็อกจากการฆ่าเพกัสด้วยพลังของเธอเอง ส่วนเอเวนก็คงไม่รู้ว่าจะช่วยปลอบใจมิเวลอย่างไร เพราะถึงพูดอะไรออกไปก็คงไม่ได้ช่วยอะไรมากมายอยู่ดี
“เฮ้อ...” เสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายให้กับบรรยากาศหดหู่รอบๆ ตัว เขาไม่ได้เห็นหน้ามิเวลมาสามวันแล้ว และไม่รู้ว่าเพราะอะไรพอเข้าใกล้ห้องของมิเวลทีไร เท้าสองข้างเป็นอันต้องหันหลังกลับทันควัน อะไรบางอย่างกำลังสั่งให้เขาหนี แต่ว่าหนีจากอะไรกันล่ะ แล้วทำไมเขาต้องหนีด้วย เด็กหนุ่มเดินเลี้ยวเข้าห้องรวมก่อนจะได้ยินเสียงเรียกของเอเวนดังมาจากทางด้านหลัง
“กำลังจะเข้าสู่เขตเมืองควอเรลแล้ว เมืองนี้มีการตรวจพลังเวทก่อนเข้าเมือง” เสียงเรียบเอ่ยบอก
วอลทำหน้างงๆ อยู่พักหนึ่งเพราะเขาไม่เข้าใจว่าเอเวนจะเดินมาบอกเขาทำไม เขาเป็นมนุษย์ธรรมดา จะเข้าเมืองไหนออกเมืองใดนั้นไม่มีผลอะไรกับเขาอยู่แล้ว แต่แล้วความคิดหนึ่งก็ปิ๊งขึ้นมาในหัว วิธีที่จะบีบให้เอเวนยอมไปเจอมิเวลเสียที ปรากฏรอยยิ้มทะเล้นพร้อมกับหันไปมองเพื่อนร่วมทางด้วยสายตาเจ้าเล่ห์อย่างคนช่างแกล้ง
“เจ้าไปไม่ยอมไปเจอมิเวลเพราะเขินล่ะสิ” เป็นไปตามคาดเมื่อคนถูกจี้ใจดำเข้าอย่างจังชะงักไปน้อยๆ รอยยิ้มของคนขี้แกล้งกว้างขึ้นอีกพร้อมด้วยเสียงหัวเราะหึๆ คนหัวดื้ออย่างเอเวนมันต้องเจอไม้นี้ “ก็ดันไปกอดเขาซะแน่นขนาดนั้นนี่นา”
“ไร้สาระ” เสียงเย็นชาบอกปัดแล้วหมุนตัวหันหลังกลับ แต่ไม่ทันไรคนพูดมากก็พูดขึ้นอีก
“ข้าไม่ไปบอกให้หรอกนะ เจ้าต้องไปบอกด้วยตัวเองแล้วเจ้าก็บังคับข้าไม่ได้ด้วย” เสียงใสพูดรัวๆ ก่อนจะทิ้งช่วงไว้นิด แล้วรีบเสริมขึ้นอีกเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจะเอ่ยปากแย้ง “อ้อ หรือว่าเจ้ากลัวมิเวลจะอาละวาดที่เจ้าเป็นพวกชอบฉวยโอกาส”
คนฟังถึงกับพูดอะไรไม่ออกเลยทีเดียว เด็กหนุ่มยืนนิ่งไม่ขยับ แม้ว่าสีหน้าจะยังคงนิ่งสนิทเป็นปกติ แต่ในหัวกลับคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ เขาไม่ได้ฉวยโอกาส ร่างกายมันขยับไปเองต่างหาก แล้วก็ไม่ได้กลัวเรื่องไร้สาระพรรค์นั้น และมิเวลเองก็คงไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เจ้าตัวแคปซูลนี่มันคิดอะไรของมัน ที่เขาไม่อยากเจอมิเวลเพราะเขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป แต่อีกใจหนึ่งเขาก็อยากเจอ อยากเห็นหน้า อยากรู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง มีแต่ความสับสนอยู่ในหัวจนเขาแทบจะบ้า เขาต้องเก็บความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ข้างในโดยพยายามไม่แสดงสีหน้าหรืออารมณ์ใดๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำเป็นประจำอยู่แล้วก็จริง แต่ครั้งนี้มันกลับยากเหลือเกิน
“มิเวลกำลังป่วยหนักเลยล่ะ ตอนที่ข้าเข้าไปหาเมื่อเช้า” เสียงของวอลทำให้คนที่กำลังจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองรู้สึกตัว เด็กหนุ่มหันขวับไปมองเจ้าของรอยยิ้มทะเล้นอย่างตกใจ แต่ก็ยังคงรักษาสีหน้าเรียบๆ ของตนเอาไว้ได้ เห็นเจ้าตัวแคปซูลส่ายหน้าไปมาน้อยๆ ถอนหายใจพร้อมกับตีหน้าเศร้า
เอเวนพยายามคงสีหน้าและท่าทีเอาไว้ให้เป็นปกติที่สุด แต่ในใจกลับคิดเตลิดไปไกล มิเวลเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าป่วยหนักก็ต้องไปสถานพยาบาล แต่กว่าจะเข้าเมืองควอเรลได้ก็คงต้องเจอเรื่องวุ่นเกี่ยวกับเรื่องการตรวจเข้าเมืองก่อน นี่เขาปล่อยเธอเอาไว้ได้ยังไงกัน คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากันน้อยๆ ก่อนร่างสูงจะหันหลังกลับเดินออกจากห้องรวมมา ในหัวคิดอะไรไม่ออกนอกจากเป็นห่วงคนที่กำลังนอนซมอยู่
ส่วนคนเจ้าเล่ห์ที่เคยทำหน้าเศร้านั้นกลับมายิ้มทะเล้นตามเดิม ยกมือโบกลาร่างสูงหยอยๆ จากทางข้างหลัง พร้อมกับต้องกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ให้หลุดขำพรวดออกมาอย่างสุดความสามารถ
เอเวนเคาะประตูห้องสองทีก่อนจะเปิดเข้าไปโดยไม่ขอเสียงอนุญาตจากเจ้าของห้อง เขาใจร้อนเกินกว่าจะรอคนข้างใน แถมมิเวลอาจจะอาการหนักและกำลังนอนพักไม่ได้สติอยู่ก็ได้ แล้วถ้าเธอเป็นอะไรมาก เขาจะไม่ให้อภัยตัวเองเด็ดขาด
“เอเวน?” เสียงเอ่ยทักจากผู้เป็นเจ้าของห้อง เอเวนยืนนิ่งค้างอยู่หน้าประตูอย่างคนทำอะไรไม่ถูก เพราะภาพที่เขาคาดว่าจะได้เห็นก็คือภาพของมิเวลกำลังนอนพักอยู่บนเตียง แต่คนที่ควรจะป่วยหนักกลับกำลังนั่งอยู่บนพื้นและดูท่าทางสบายดี ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร
“...เจ้าตัวแคปซูลบอกว่าเจ้าไม่สบาย” เสียงเรียบรีบบอกสาเหตุของการมาปรากฏตัวทันที แต่ทำไมมันถึงฟังดูเหมือนการแก้ตัวเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ทำไมเขาถึงต้องแก้ตัวด้วยล่ะ เขาไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย นึกถึงสีหน้ายิ้มทะเล้นนั่นแล้ว เขาก็แทบอยากจะไปฆ่าเจ้าตัวแคปซูลนั่นซะเดี๋ยวนี้ เจ้าบ้านั่นต้องจงใจหลอกเขาแน่ๆ
“วอลน่ะเหรอ ข้าไม่เจอเขามาสามวันแล้ว...” เสียงของมิเวลเบาลงทันควันเมื่อพูดถึงเวลาเมื่อสามวันก่อน เอเวนพักเรื่องถูกหลอกเอาไว้ก่อน เด็กหนุ่มเดินเข้าไปนั่งข้างๆ มิเวลพร้อมกับเหลือบสายตามองคนข้างกายอย่างเป็นห่วง สีหน้าของมิเวลดูดีขึ้นกว่าเมื่อสามวันที่แล้ว ตอนนั้นมิเวลดูราวกับเป็นเพียงแค่แก้วใสๆ ใกล้จะแตก แต่ถึงยังไง เขาก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี ถึงแม้ว่าสีหน้าจะดีขึ้นก็จริง แต่มิเวลในตอนนี้ก็ยังดูเปราะบางจนแทบจะพังทลายลงต่อหน้าต่อตาเขา ซึ่งเขาไม่มีวันยอมให้มันเกิดขึ้นโดยเด็ดขาด
“อีกสองสามชั่วโมงคงถึงควอเรล ตอนนี้ข้าพักเคอาร์เอาไว้ก่อนเพราะดึกแล้ว” เอเวนบอกเสียงเรียบ คนฟังพยักหน้ารับน้อยๆ เธอลืมไปสนิทเลยว่ากำลังอยู่ในระหว่างการเดินทางไปยังนครสาบสูญ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เธอไม่อยากคิดอะไรอีก เธอไม่อยากรับรู้อะไรอีกต่อไป เด็กสาวก้มมองสองมือของตัวเองด้วยความรู้สึกเจ็บปวด ใบหน้าของเพกัสฉายชัดขึ้นมาในความทรงจำทันควัน เหตุการณ์นั้นตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเธอไม่เลือนราง ไม่ว่าจะเวลาใดเธอก็ยังคงมีภาพนั้นติดแน่นอยู่ในใจ เธอไม่อยากกลายเป็นคนอ่อนแอ แต่ในเวลานี้ เธอไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอย่างไรต่อไปดี
เอเวนมองสีหน้าเหมือนใกล้จะแตกสลายของมิเวลด้วยความรู้สึกอึดอัด เขาไม่อยากเห็นเธอทำหน้าแบบนี้ เด็กหนุ่มนึกย้อนไปถึงเรื่องที่เจ้าตัวแคปซูลบอกกับเขา ตอนแรกเขายังไม่อยากบอกมิเวลเพราะไม่ต้องการเอาเรื่องเหตุการณ์ในตอนนั้นขึ้นมาพูดถึง เขาตั้งใจจะรอให้มิเวลทำใจได้ก่อนแล้วค่อยบอก แต่บางทีเขาอาจจะคิดผิดด็ได้ เพราะเขารู้สึกว่าตอนนี้มิเวลก็ยังคงนึกถึงเรื่องนั้นอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นถ้าเขาบอกเธอทุกอย่างมันอาจจะทำให้มิเวลรู้สึกดีขึ้นก็ได้
“เจ้าไม่ได้เป็นคนฆ่าเด็กมนุษย์นั่น”
มิเวลหันขวับไปมองคนข้างกายทันทีที่ได้ยินดังนั้น เขาหมายความว่ายังไงกัน เพกัสตายเพราะพลังของเธอไม่ใช่หรือไง เอเวนเหลือบสายตามามองเธอแวบหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อเสียงเนิบ
“ควินัวบอกว่าตุ๊กตาปีศาจทุกตัวตายไปแล้วตั้งแต่แรกแล้วก่อนที่จะกลายมาเป็นตุ๊กตาปีศาจ พวกมันเป็นแค่หุ่นเชิดไร้ชีวิตเพราะไม่มีวิญญาณอีกต่อไป เพราะฉะนั้นเจ้าไม่ใช่คนฆ่าเด็กมนุษย์นั่น”
“เจ้าไม่ได้รู้เรื่องนี้มาก่อนหรอกเหรอ” เด็กสาวเอ่ยถามต่อทันที เธอจำไม่ได้ว่าเขาเคยบอกเรื่องนี้กับเธอมาก่อน คนถูกถามส่ายหน้าน้อยๆ เป็นการปฏิเสธ เขาเองก็เพิ่งรู้เรื่องนี้จากควินัวเช่นกัน และยังรู้สึกแปลกใจเลยว่าทำไมควินัวถึงรู้ แต่เขารู้สึกเป็นห่วงมิเวลมากกว่าจึงไม่ได้ถามอะไร และถึงถามไปเจ้าตัวแคปซูลนั่นก็คงจะไม่ยอมบอกคำตอบอยู่ดี
นัยน์ตาสีแดงเบือนสายตากลับมายังมือทั้งสองข้างของตัวเอง ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ใช่คนฆ่าเพกัส แต่เธอก็ยังรู้สึกแย่อยู่ดีที่ช่วยอะไรเขาไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ชีวิตของเพกัสต้องจบลงเพราะเธอไม่ได้ช่วยเขาทั้งๆ ที่เธอให้คำมั่นกับตัวเองแล้วว่าจะช่วยเขาให้ได้
“เจ้าควรจะระบายมันออกมา” เสียงเครียดเอ่ยบอก เธอไม่ได้หันไปมองเจ้าของเสียงนั้น เด็กสาวแค่นหัวเราะออกมาอย่างสมเพชตัวเองพลางกำหมัดแน่น ระบายแล้วยังไง ถึงจะระบายความเจ็บปวดออกไป ความจริงก็คือความจริงอยู่ดี
“เจ้าก็พูดง่ายสิ” น้ำเสียงหงุดหงิดสวนกลับ เธอรู้ว่าตัวเองกำลังทำตัวเหมือนเด็กเล็กๆ แต่นี่คือสิ่งที่เธอรู้สึกในตอนนี้ เอเวนไม่เข้าใจความรู้สึกของเธอ เขาตั้งใจจะฆ่าเพกัสทิ้งเสียด้วยซ้ำ ถึงไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น สุดท้ายแล้วเอเวนก็คิดจะกำจัดเพกัสอยู่ดี
“เจ้าเก็บความรู้สึกเอาไว้ก็ไม่ได้ช่วยอะไร ระบายมันออกมา เจ้าจะได้รู้สึกดีขึ้น”
“แล้วเจ้าทำได้หรือไง” มิเวลสวนกลับไปอีกครั้ง สีหน้าย่ำแย่จวนเจียนจะร้องไห้เต็มที เอเวนนิ่งเงียบไปทันทีเมื่อได้ยินเธอสวนกลับไปแบบนั้น คงกำลังเข้าใจผิดว่าเธอโกรธเขา แต่จริงๆ แล้วเธอไม่ได้โกรธเอเวน เธอโกรธตัวเองมากกว่า แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเธอก็ยังไม่มีอารมณ์อยากจะไขความเข้าใจผิดในตอนนี้
คำพูดของมิเวลจี้ใจดำเขาเข้าอย่างจัง เด็กหนุ่มไม่พูดอะไรอีก เห็นได้ชัดเลยว่าเขาพูดอะไรออกไปก็มีแต่จะทำให้ทุกอย่างมันแย่ลงกว่าเดิม
“ส่งมือมา” เสียงเรียบกล่าวพร้อมกับหันไปเผชิญหน้ากับคนข้างกาย มิเวลเลิกคิ้วสูงขึ้นเป็นเชิงสงสัยว่าเขาตั้งใจจะทำอะไร ก่อนจะยอมยื่นมือซ้ายให้อีกฝ่าย เอเวนยิ้มจางๆ แล้วเบือนสายตาลงต่ำมองไปยังฝ่ามือของมิเวลพร้อมกับจับมือเธอเอาไว้โดยใช้มืออีกข้างวางทับบนฝ่ามือของเธออีกที เด็กสาวสงสัยว่าเขากำลังทำอะไรจึงตวัดสายตาไปที่ฝ่ามือของตัวเองบ้าง และแล้วนัยน์ตาสีแดงก็ต้องเบิกกว้างขึ้นน้อยๆ ด้วยความรู้สึกประทับใจ
“นี่มัน...”
เอเวนผายมือข้างที่ปิดทับฝ่ามือของเธออยู่ขึ้น เผยให้เห็นก้อนน้ำแข็งที่แกะสลักเป็นรูปดอกไม้แสนงดงาม ดอกไม้น้ำแข็งลอยตัวขึ้นช้าๆ จนถึงระดับสายตาของทั้งคู่ มิเวลมองตามโดยไม่ละสายตา เธอพูดอะไรไม่ออก ดอกไม้น้ำแข็งก้อนนี้... มันสวยจริงๆ เป็นดอกไม้ที่สวยที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นมาเลย
เด็กสาวละสายตาไปยังคนตรงหน้า เขาบีบมือเธอแน่นขึ้นอีกนิดเพื่อเป็นการให้กำลังใจแล้วค่อยปล่อยมือของเธอให้เป็นอิสระ เอเวนกำลังมองเธอด้วยใบหน้าเรียบสนิท แต่ในแววตาคู่นั้นมีความรู้สึกบางอย่างแฝงอยู่ คงเป็นความรู้สึกเป็นห่วงเพราะเธออ่านได้จากสายตาของอีกฝ่าย มิเวลค่อยๆ เผยรอยยิ้มน้อยๆ ก่อนจะตวัดสายตากลับมายังดอกไม้น้ำแข็งอีกครั้ง
“ขอบคุณนะ ดอกไม้นี่สวยมากเลย” เธอไม่รู้ว่าความรู้สึกแปลกๆ ที่กำลังก่อตัวขึ้นทีละนิดอยู่ภายในใจนั้นเรียกว่าอะไร รู้เพียงแค่ว่ามันกำลังเพิ่มมากขึ้นจนเธอไม่สามารถหยุดได้ และเสี้ยวหนึ่งของความรู้สึกทั้งหมดของเธอก็ไม่อยากที่จะหยุดมันด้วยเช่นกัน
“ข้าทำให้เจ้าอีกเมื่อไหร่ก็ได้...” เสียงเรียบกล่าวพร้อมกับขยับตัวกลับไปนั่งข้างๆ ตามเดิม เขาเว้นจังหวะพักหนึ่งก่อนจะเบือนหน้าหันกลับมามองเธอด้วยสายตาจริงจัง “...เพราะเจ้าไม่ได้อยู่คนเดียว”
+++++++++++++++
“...เอาล่ะ...เยี่ยมยอด!” เสียงใสตะโกนลั่นด้วยความดีใจพร้อมกับยกของในมือขึ้นมาโบกๆ เขาใช้เวลานานโขเลยทีเดียวไปกับการทำไอ้นี่ ตอนนี้ต้องขอลิ้มรสหน่อยเถอะ
“ว่าแล้ว” เสียงหนึ่งดังขัดจังหวะขึ้นทำให้คนกำลังจะเขมือบของกินเข้าปากต้องหยุดชะงัก นัยน์ตาสีเงินเบือนไปยังร่างหนึ่งที่ประตูก่อนจะส่งยิ้มแหยๆ ให้อีกฝ่าย
“คือ...”
“ข้ากำลังสงสัยอยู่ว่าทำไมน้ำตาลมันถึงหายไป ที่แท้เจ้าก็แอบมาขโมยกินนี่เอง” เอเวนเดินเข้าไปคว้าน้ำตาลก้อนจำนวนมากวางเรียงต่อกันโดยมีอะไรบางอย่างเสียบอยู่ตรงกลางมา พร้อมกับใช้สายตาตำหนิมองหัวขโมยอย่างหงุดหงิดก่อนจะเบือนสายตากลับมายังของในมือ ดูๆ แล้วไอ้ที่เสียบอยู่นี่น่าจะเป็นกิ่งไม้ล่ะมั้ง คนทั่วไปเขาใช้น้ำตาลเพื่อการปรุงรส แต่เจ้าตัวแคปซูลนี่กลับเล่นกินเปล่าๆ เลย เด็กหนุ่มขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างไม่เข้าใจว่าเจ้าบ้านั่นกินของแบบนี้เข้าไปได้ยังไงกัน
“มิเวลเป็นยังไงบ้าง” เสียงสดใสรีบเปลี่ยนหัวเรื่องทันที แต่แล้วก็ต้องหุบยิ้มลงเมื่อคนตรงหน้าส่งสายตาคาดโทษมาให้ แล้วกัน แทนที่จะรอดตัว กลับกลายเป็นการฆ่าตัวตายไปซะงั้น
“เจ้าหลอกข้า”
“แต่ก็ดีใช่มั้ยล่ะ เห็นเข้าไปตั้งนาน” วอลรีบแย้งทันควัน แม้ว่าสีหน้าของเอเวนจะยังคงเรียบสนิทดีอยู่ก็จริง แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดี เขาไม่รู้ว่าสองคนนั้นคุยอะไรกัน อาจจะทะเลาะกันก็ได้ ใบหน้ายิ้มแย้มเริ่มปรากฏความไม่มั่นใจ
“...น่าจะให้ควินัวเข้าไปสังเกตการณ์” คนพูดมากรีบใช้สองมือปิดปากตัวเองหมับ มองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าแตกตื่น เอเวนจ้องเขาด้วยสายตาโกรธเคือง สีหน้าเรียบๆ นั่นเริ่มเคร่งเครียดขึ้นมาทันที ซวยของจริงเลยทีนี้ ดันโพล่งออกมาทำไมล่ะเนี่ย
‘ข้าไม่ใช่สายลับนะท่านวอล’ เสียงของควินัวเอ่ยพูดกับเขาในใจ เด็กหนุ่มส่ายหน้าไปมาแรงๆ เพื่อไล่เสียงควินัวออกไป แล้วหัวเราะแห้งๆ ด้วยรอยยิ้มแหยๆ ขณะมองใบหน้าหงุดหงิดของเอเวน
เอเวนถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เขาไม่ได้อยากมาพูดคุยไร้สาระกับคนไร้สาระ เด็กหนุ่มหันหลังกลับอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะได้ยินเสียงเจ้าตัวแคปซูลเอ่ยถามไล่หลังมา
“มิเวลเป็นยังไงบ้าง”
เขาหันกลับไปมองคนถามด้วยสายตารำคาญ เห็นรอยยิ้มกว้างยังคงประดับอยู่บนใบหน้ากวนประสาทนั่น ถ้าอยากรู้ทำไมถึงไม่เยี่ยมเองเล่า จะมาถามเขาทำไม เห็นรอยยิ้มทะเล้นนั่นแล้วเขาก็ชักจะหงุดหงิดมากกว่าเดิม เพราะขี้เกียจตอบ เอเวนจึงเดินหนีออกจากห้องมาโดยไม่สนใจเสียงที่ตะโกนถามไล่หลังมาอีกครั้ง แต่เดินมาได้แค่ไม่กี่ก้าวเขาก็ต้องหยุดชะงัก สายตามองบุคคลตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ
“...ข้าหิว...ก็เลย...” เสียงพึมพำอธิบายถึงสาเหตุของการออกมาจากห้อง เด็กสาวรู้สึกทำตัวไม่ถูกเมื่อต้องมาเผชิญกับเอเวนอีกครั้งหลังจากเพิ่งแยกกันเมื่อครู่นี้ ไม่สิ ไม่น่าเกี่ยวกับเรื่องเพิ่งเจอกันอะไรนั่น มิเวลรู้สึกฉุนตงิดๆ เมื่อคิดถึงสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ เป็นเพราะว่าเอเวนมาพูดจาแปลกๆ ด้วยก่อน เธอจึงทำตัวไม่ถูกอย่างนี้ไงเล่า ให้ตายสิ เธอควรจะคิดเรื่องของเพกัสแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับมีเรื่องของเจ้าบ้าเอเวนนี่อยู่เต็มหัวไปหมด
เอเวนไม่พูดอะไรนอกจากขยับเปิดทางให้มิเวลเพราะตอนนี้เขากำลังยืนขวางทางอยู่ เด็กหนุ่มมองร่างเล็กเดินผ่านไปด้วยสายนิ่งๆ ก่อนจะลอบอมยิ้มน้อยๆ ให้กับตัวเอง แล้วค่อยเดินกลับไปยังห้องรวม
วอลเกือบจะเผลอร้องเหวอดังลั่นด้วยความตกใจเมื่อหันหลังกลับไปแล้วเห็นคนที่ไม่คิดว่าจะเจอยืนเงียบกริบอยู่ตรงประตู สายตาขุ่นเคืองน้อยๆ มองตรงมาอย่างไม่พอใจในท่าทางตกใจเกินเหตุของเขา เด็กหนุ่มรีบหัวเราะแห้งๆ พร้อมกับยิ้มร่าเป็นการกลบเกลื่อนทันที นี่มันวันอะไรของเขากันล่ะเนี่ย เมื่อกี้เพิ่งจะหนีจากเอเวนมาได้ ตอนนี้ก็ดันมาเจอมิเวลเข้าซะงั้น
“ข้ามันน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือไง” น้ำเสียงฉุนเล็กน้อยเอ่ยประชด ก่อนจะเดินตรงเข้าไปยังกองอาหารกระป๋องของตัวเอง
“เขาเรียกว่าตกใจต่างหาก ข้าไม่คิดว่าจะเจอเจ้าออกมาเดินเล่น” เสียงใสรีบบอกปฏิเสธ แต่กลับเป็นการหาเรื่องใส่ตัวไปเสียฉิบ เพราะคนได้ยินดังนั้นถึงกลับหันมามองเขาตาขวาง
“เจ้าคิดว่าตอนนี้ข้าอยากเดินเล่นนักเหรอไง” มิเวลย้อนถามเสียงแข็ง สีหน้าหงุดหงิดไม่พอใจ แต่อะไรบางอย่างทำให้วอลไม่คิดแบบนั้น เขารู้ว่ามิเวลกำลังทำเป็นหงุดหงิดเพื่อปกปิดความเศร้าหมองเอาไว้ข้างในต่างหาก เขาเห็นความเจ็บปวดในแววตาคู่นั้น ถึงแม้ว่าเด็กสาวจะพยายามปกปิดมันอยู่ก็ตาม แต่เขาก็ยังสัมผัสความรู้สึกนั้นได้ดี มันหดหู่จนทำให้เขารู้สึกเจ็บแปลบในใจตามไปด้วย
สายตานิ่งๆ มองมิเวลหยิบอาหารกระป๋องขึ้นมาเทออกใส่ชาม ไม่ปรากฏอารมณ์หรือความรู้สึกใดๆ บนใบหน้าเรียบสนิทนั้น เด็กหนุ่มยืนนิ่งค้างอยู่ที่เดิมโดยไม่กะพริบตาหรือขยับเขยื้อนใดๆ ทั้งสิ้น เขากำลังจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง มิเวลกำลังทุกข์ทรมาน เขารับรู้ความรู้สึกนั้นได้อย่างชัดเจนและมันทำให้เขาเกลียดตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่างเดียว แม้แต้จะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดนั้น เขาก็ยังทำไม่ได้
‘ท่านวอล’ เสียงเรียกจากควินัวทำให้วอลตื่นขึ้นจากภวังค์ เขารู้สึกเจ็บๆ ตรงมือทั้งสองข้างจึงยกขึ้นมือมาดูอย่างสงสัย เห็นเลือดไหลซึมออกมาจากบาดแผลบนฝ่ามือซึ่งเกิดจากการจิกเล็บเข้าไปในเนื้อโดยไม่รู้ตัว
“จริงสิ เรื่องการตรวจเข้าเมือง” มิเวลหันไปพูดกับวอล เด็กหนุ่มสะดุ้งน้อยๆ พร้อมกับรีบเอามือทั้งสองข้างหลบไปข้างหลังทันควัน สีหน้าเรียบสนิทเปลี่ยนเป็นยิ้มร่าตามปกติโดยฉับพลันทำให้เด็กสาวไม่นึกเอะใจหรือสงสัยอะไร
“เรื่องการตรวจเข้าเมืองมีอะไรเหรอ”
“ข้ายังไม่ได้คุยกับเอเวน แต่อาจจะค่อนข้างคล้ายกันกับที่แคว้นยูรา เพราะฉะนั้นพวกข้าคงต้องขอแรงเจ้าอีก” เสียงเครียดเอ่ยบอกอย่างไม่มั่นใจ เธอไม่รู้ว่ามันจะเหมือนกับที่ยูราแน่หรือเปล่าเพราะว่าเมืองควอเรลนั้นไม่ใช่เมืองใหญ่โตอะไร ดังนั้นไม่น่าจะมีพวกเครื่องมืออุปกรณ์ต้านพลังเวทมนตร์มากมายนัก
“ได้สิ ไม่มีปัญหา” คนถูกขอให้ช่วยยิ้มแฉ่งพร้อมกับยกนิ้วโป้งชูขึ้นอย่างมั่นใจ มิเวลเห็นท่าทางขี้เล่นของวอลแล้วก็เริ่มรู้สึกผ่อนคลายความเครียดต่างๆ ลงบ้างเล็กน้อย เด็กสาวหันกลับมาจัดการอาหารกระป๋องตรงหน้าต่อโดยการหยิบกระป๋องเปล่าทิ้งใส่ถังขยะ สูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามไม่นึกถึงเรื่องของเพกัส นึกถึงเด็กคนนั้นทีไรน้ำตาลมันพาลจะไหลออกมาอีกให้ได้
“เอเวนรู้แล้วล่ะว่าข้าแอบขโมยน้ำตาล แต่ข้าหยิบเอาไปตุนเพิ่มเอาไว้แล้วก่อนหน้านี้” เสียงกระซิบเบาๆ ดังขึ้นข้างลำตัวทำให้มิเวลสะดุ้งน้อยๆ นัยน์ตาสีแดงเหลือบมองคนที่แอบมายืนข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ด้วยสายตาขุ่นเคือง อย่างน้อยก็น่าจะส่งเสียงเรียกกันบ้างเพราะมันทำให้เธอตกใจ แล้วยังจะมาทำเสียงกระซิบอะไรนั่นอีก แต่สุดท้ายแล้วมิเวลก็ต้องยอมรับว่าเธอผิดเองที่เหม่อลอยจนไม่ทันสังเกตเห็นว่าเจ้าบ้าวอลเดินมายืนข้างๆ
“แล้วมาบอกข้าทำไมล่ะ” เด็กสาวถามกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ เหมือนไม่ค่อยสนใจสิ่งที่วอลบอกมากนัก ก่อนจะหันไปคว้าอาหารกระป๋องของตัวเองมาเพิ่มอีก พอหันกลับมาก็เห็นสีหน้าทึ่งน้อยๆ ของวอลขณะมองอาหารกระป๋องในมือเธอ มิเวลรู้ทันทีว่าเจ้าบ้านี่คงไม่คิดว่าเธอจะกินเยอะขนาดนี้แน่ๆ ร่างเล็กไม่สนใจปฏิกิริยาของวอลแล้วรีบจัดการเทอาหารกระป๋องลงชามอย่างรวดเร็ว ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากเจ้าบ้าข้างกาย แต่ไม่นานเสียงหัวเราะก็ค่อยๆ เลือนหายไป
วอลยืนมองเด็กสาวหันไปคว้าอาหารกระป๋องมาเทใส่ชามเพิ่มอีกหนึ่งด้วยใบหน้ายิ้มน้อยๆ มิเวลใช้ช้อนคนอาหารในชามอยู่พักหนึ่งแล้วถึงค่อยหันไปหยิบเครื่องปรุงรสมาใส่ แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเจ้าบ้าวอลยังไม่ตอบคำถามของเธอเลย และเธอก็คงกลายเป็นบ้าไปด้วยเช่นกันที่อยากรู้ว่าเขามาบอกทำไม ทั้งที่เธอก็รู้คำตอบอยู่แก่ใจ เจ้าบ้านี่คงจะไม่มีเรื่องอะไรคุยก็เลยยกเรื่องน้ำตาลขึ้นมาพูดลอยๆ แน่ๆ
“...เรื่องเมื่อกี้...” ราวกับว่าวอลอ่านใจเธอออก มิเวลแทบสำลักหลังจากตักอาหารในชามเข้าปากคำแรก จะว่าไปเธอก็ไม่ค่อยรู้เรื่องขอบเขตของพลังจิตของวอลสักเท่าไหร่ ถ้าเจ้าบ้านี่จะอ่านใจคนออกขึ้นมาก็มีทางเป็นไปได้เหมือนกัน และเธอก็คงขอเผ่นไปให้ไกลเขาโดยทันทีหลังจากยืนยันแน่ชัดแล้วว่าเจ้าบ้าวอลมีพลังความสามารถแบบนั้น
“ข้าบอกเจ้า...” เสียงเบาของวอลกล่าวต่อ แต่ประโยคถัดมาของอีกฝ่ายกลับทำให้เธอต้องหยุดชะงักทั้งการกระทำและความคิดทุกอย่างลง “...เพราะข้าเชื่อใจเจ้า”
ร่างเล็กค่อยๆ เหลือบสายตาไปยังคนข้างกายทีละนิด มือขวาจับช้อนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น เห็นใบหน้ายิ้มน้อยๆ ของวอลกำลังมองเธอด้วยสายตาอันแสนคุ้นเคยเหลือเกิน สายตาอบอุ่นที่เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ภาพของวอลซ้อนทับกับภาพในความทรงจำ ใช่แล้ว เธอเคยเห็นสายตาแบบนั้นมาก่อน มันเป็นสายตาของควินัวที่ให้ความรู้สึกอ่อนโยนขณะมองตรงมายังเธอ
“ข้าเชื่อใจเจ้า...” วอลกล่าวย้ำอีกครั้งพร้อมกับหลุบสายตาลงต่ำ รอยยิ้มจางๆ ยังคงประดับอยู่บนใบหน้าอ่อนโยน ก่อนจะกล่าวต่อด้วยเสียงที่แผ่วเบาลงกว่าเดิมราวกับกำลังพึมพำอยู่กับตัวเอง “และ...ข้าอยากให้เจ้าเชื่อใจข้า”
++++++++++++++++++++
โปรดติดตามตอนต่อไป!!
มาอัพแล้วววววว ตอนนี้เป็นสีชมพู <3
อีกไม่กี่ตอนจะจบภาคแรกแล้ววววว ขอบคุณชาวเดอะดอลส์ทุกท่านที่เป็นกำลังใจให้น้า
โฮป
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 พ.ค. 2560, 01:23:57 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 พ.ค. 2560, 01:23:57 น.
จำนวนการเข้าชม : 848
<< Episode 26 : || ของขวัญสุดพิเศษ || | Episode 28 : || หนทางหลบหลีก || >> |