The D.O.L.L.S โศกนาฏกรรมปีศาจตุ๊กตามหาเวท
"นักขายความฝันผู้เลือดร้อน & นักโทษประหารผู้เริงร่า & หัวขโมยผู้เย็นชา"
ต่างถิ่น ต่างความคิด ต่างอาชีพ ต่างนิสัย ต่างจุดมุ่งหมาย ต่างเผ่าพันธุ์
กลับต้องมาอยู่ด้วยกันเพราะเหตุบางอย่าง... The D.O.L.L.S

ตุ๊กตาปีศาจมีลักษณะรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ

ถ้าอย่างนั้น...จะรู้ได้อย่างไร?
...เป็นปีศาจ...หาใช่มนุษย์ไม่...

ระวังไว้ให้ดี...ทุกอย่างอาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา...

...ที่ใครบางคนสร้างขึ้นเท่านั้น...

สงครามระหว่างผู้มีพลังเวทกับมนุษย์ธรรมดา
ใครจะอยู่รอดเป็นผู้กำชัยชนะ!?


- ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านจากใจจริง -
แผนที่นครเซ็นทรัม http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/map122e1.jpg
Tags: ตุ๊กตา,ปีศาจ,คำสาป,เวทมนตร์,สงคราม,แฟนตาซี,ผู้ใช้เวท,มนุษย์,โศกนาฏกรรม,mystery

ตอน: Episode 28 : || หนทางหลบหลีก ||



EPISODE 28

หนทางหลบหลีก



รุ่งสางยามเช้าของวันถัดมา รถเคอาร์ขับเคลื่อนเข้าใกล้เมืองควอเรลมากพอสมควร เอเวนตัดสินใจหยุดพักรถทันทีที่เข้าเขตปกครองดูแลของควอเรลซึ่งล้อมรอบเมืองอยู่ด้านนอก ห่างออกไปอีกนิดก็จะถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง และเขาไม่บ้าพอที่จะฝ่าด่านเข้าไปโดยไม่มีการเตรียมการกันก่อน ถึงแม้ว่าควอเรลจะไม่อยู่ในรายชื่อเมืองเข้าร่วมสงครามต่อต้านผู้ใช้เวทก็จริง แต่ก็มีเมืองที่เข้าร่วมสงครามอย่างลับๆ อยู่ด้วย และการตั้งด่านตรวจคนเข้าเมืองของควอเรลก็เป็นสิ่งยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าควอเรลเองก็เป็นหนึ่งในเมืองเหล่านั้นด้วยเช่นกัน

“ควอเรลเป็นเมืองเล็กๆ ก็จริง แต่มีความเป็นไปได้สูงว่าการตรวจคนเข้าเมืองจะเหมือนกับแคว้นยูรา เนื่องจากแคว้นเมเบิร์กซึ่งเป็นแคว้นใหญ่ทางทิศใต้นั้นอยู่ห่างออกไปไม่ไกล และทั้งสองก็มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมานาน ในเมื่อเมเบิร์กเข้าร่วมสงคราม ควอเรลก็ต้องเข้าร่วมด้วย และก็คงได้รับความช่วยเหลือในเรื่องของกำลังพล รวมทั้งพวกเครื่องมือเทคโนโลยีต่างๆ จากเมเบิร์ก”

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองอีกสองคนหลังจากกล่าวจบ มิเวลกำลังนั่งเงียบๆ พร้อมกับขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างใช้ความคิด แต่อีกคนกลับนั่งจ้องเขาตาแป๋วพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าไร้เดียงสา เพราะเอาแต่ทำท่าทางเหมือนเด็กๆ อยู่ตลอดเวลาจึงทำให้บางทีเขาก็สงสัยว่าเจ้าตัวแคปซูลมันอายุเท่าไหร่กันแน่

“ถ้าการตรวจคนเข้าเมืองของควอเรลเหมือนที่ยูราจริงล่ะก็ เรื่องค่าซีคงมีปัญหาแน่ เพราะกำไลทองคงช่วยอะไรมากไม่ได้ และถึงจะใช้เลือดของเจ้าบ้าวอลได้ แต่ถึงยังไงเราก็ไม่มีหลอดบรรจุของเหลวอยู่ดี” มิเวลเอ่ยเสียงเครียด เธอกำลังคิดหาทางเอาหลอดบรรจุอะไรนั่นมาให้ได้ แต่ปัญหาคงหนักกว่าเดิมถ้าหากเมืองควอเรลมีวิธีการตรวจค่าซีที่ต่างจากยูรา เพราะพวกเธอไม่มีทางเตรียมรับมือได้เลย

“มีอีกวิธีหนึ่งคือไม่ต้องแวะที่เมืองนี้” เสียงเรียบกล่าวเสนอ เขาไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่จะต้องเข้าไปในควอเรลนอกจากเรื่องหาซื้อเสบียงและเชื้อเพลิงเพิ่มเติม แต่กว่าจะเจอเมืองอีกครั้ง พวกเขาก็ต้องอ้อมแคว้นเมเบิร์กซึ่งคงกินเวลาหลายวัน และหลังจากนั้นถึงจะเจอเมืองเล็กๆ ที่ชื่อว่าซาเทีย

“แล้วเรื่องเสบียง...” เด็กสาวย้อนถาม

“เรื่องนั้นแหละที่เป็นปัญหา” นอกจากเสบียงแล้วก็ยังมีเชื้อเพลิงอีกด้วย จริงๆ แล้วเขาห่วงเรื่องเชื้อเพลิงมากกว่าเสบียงเสียอีก ที่มิเวลซื้อมาจากเมืองไซโรนาสนั้นไม่พอสำหรับสามวันด้วยซ้ำ แต่เด็กหนุ่มไม่พูดอะไรออกไปเพราะเขาไม่อยากยกเรื่องใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับไซโรนาสขึ้นมาพูดถึง

ห้องรวมตกอยู่ภายใต้ความเงียบสงัดเมื่อไม่มีใครพูดอะไร มิเวลใช้มือขวาลูบกำไลทองที่ข้อมือซ้ายไปมาเบาๆ อย่างเหม่อลอย สองสามวันมานี้นั้นเธอเอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้อง คิดเรื่องของเพกัสจนทำให้เธอปิดตัวเองไม่อยากพูดคุยกับใคร แต่แล้วคำพูดของสองคนนี้ก็ทำให้เธอได้คิดและพาตัวเองออกมาจากความเศร้าโศก ซึ่งคำพูดแปลกๆ ของเจ้าบ้าทั้งสองนั่นก็ดันมาทำให้เธอรู้สึกปวดหัวจนไม่อยากจะนึกถึงมันอีกเนี่ยสิ แต่ก็ต้องขอบคุณทั้งคู่ที่ทำให้เธอรู้ว่าจะมัวแต่มาทำตัวเศร้าอยู่แบบนั้นไม่ได้ ยังมีเรื่องอีกมากมายรวมทั้งเรื่องของเพกัสที่เธอต้องจัดการ เด็กสาวจำใบหน้าเจ้าเล่ห์ของจิเซลได้อย่างแม่นยำ และแน่ใจว่าจิเซลต้องมีความเกี่ยวข้องกับเหล่าตุ๊กตาปีศาจทั้งหลายที่กำลังออกอาละวาดอยู่ในตอนนี้อย่างแน่นอน

“ถ้า...” เสียงของวอลปลุกให้มิเวลตื่นขึ้นจากภวังค์ นัยน์ตาสีแดงตวัดสายตาไปมองยังมนุษย์ธรรมดาเพียงคนเดียวภายในห้อง “ถ้าให้ควินัวใช้พลังจิตควบคุมพวกทหาร...”

“เจ้าเฟรเนร่าไม่มีทางควบคุมทหารหลายพันคนได้แน่” เอเวนแย้งขึ้นทันที

“แต่เจ้าบอกว่าควอเรลเป็นเมืองเล็กนี่ เพราะฉะนั้นก็ไม่น่าจะมีทหารมากขนาดนั้น”

“รวมกับทหารจากแคว้นเมเบิร์กแล้วอาจจะมีถึงหมื่นคนด้วยซ้ำ” เอเวนถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย เจ้าตัวแคปซูลนี่ไม่ได้ฟังที่เขาอธิบายเลยหรือไง

“มีทางเดียวก็คือไม่ต้องแวะที่เมืองนี้” เด็กสาวกล่าวสรุปหลังจากตัดสินใจได้แล้ว ถ้าการเข้าเมืองมันมีปัญหามากนักก็ไม่ต้องดิ้นรนหาทางเลยจะดีที่สุด

เอเวนไม่พูดแย้งอะไรกับข้อสรุปนั้น สีหน้าเคร่งเครียดพยายามคิดหาทางแก้ไขปัญหาเรื่องเชื้อเพลิง เรื่องเสบียงอาจจะเก็บพวกผลไม้มาแทนได้ แต่เรื่องเชื้อเพลิงนี่สิที่เขาเป็นห่วง ถ้าเปลี่ยนไปเดินทางด้วยรถม้ามิเวลก็จะสงสัยเอาว่าเป็นเพราะอะไร และก็คงต้องพูดถึงไซโรนาสอย่างช่วยไม่ได้ ดังนั้นทางที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือ เขาต้องใช้เวทบาเรียบังคับเคอาร์

เมื่อตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะไม่แวะเข้าไปในควอเรล รถเคอาร์จึงออกเดินทางต่อโดยไปตามเส้นทางในแผนที่ต้องคำสาปเพื่อมุ่งสู่นครสาบสูญ พวกเขาต้องอ้อมแคว้นเมเบิร์กซึ่งจะกลายเป็นปัญหาหนักสำหรับเอเวนและมิเวล เนื่องจากแคว้นเมเบิร์กเป็นแคว้นใหญ่ของทิศใต้และยังเป็นเมืองที่เข้าร่วมสงคราม ดังนั้นจึงมีการตั้งด่านตรวจตามจุดต่างๆ รอบๆ เมือง ซึ่งด่านพวกนั้นอาจจะมีการตรวจค่าซีรวมอยู่ด้วยก็ได้ และแล้วปัญหาเดิมก็วนเวียนกลับมาอีกครั้ง

“พวกเจ้าก็หายตัวสิ” เสียงใสเสนออย่างตื่นเต้น ใบหน้าใสซื่อปรากฏรอยยิ้มกว้างอย่างมั่นใจว่าข้อเสนอของตัวเองนั้นต้องใช้การได้แน่ เขาเคยเห็นมิเวลหายตัวที่เมืองเบอริลทำให้พวกทหารวิ่งไล่กันให้วุ่น ดังนั้นก็น่าจะเอามาใช้ในสถานการณ์หนีทหารแบบนี้ได้

แต่แล้วเสียงเย็นชาจากคนไม่เห็นด้วยก็แย้งกลับมาเช่นเดิม “พวกข้าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเวทธาตุกึ่งบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นลืมเรื่องเวทหายตัวไปได้เลย”

คนเสนอทำหน้าจ๋อยอย่างผิดหวัง ส่วนเด็กสาวเพียงคนเดียวนั้นกำลังครุ่นคิดถึงสิ่งที่เอเวนพูดเมื่อครู่ ก่อนจะเอ่ยถามอีกฝ่ายอย่างสงสัย

“ข้านึกว่าเจ้าใช้เวทธาตุกึ่งบริสุทธิ์ได้ซะอีก” มิเวลจำได้แม่นยำเมื่อตอนที่เอเวนใช้เวทอะไรสักอย่างเกี่ยวกับก้อนหินห้ามเลือดให้เจ้าบ้าวอล แล้วหลังจากนั้นเขาก็ใช้เวทห้ามเลือดอยู่บ่อยครั้ง และเธอค่อนข้างมั่นใจว่าเวทห้ามเลือดนี่คงไม่ใช่เวทธาตุหลักอย่างแน่นอน

“ข้าใช้ได้ แต่เจ้ากำลังลืมเรื่องเครื่องมือตรวจสอบและเครื่องต้านพลังเวทไป กำไลทองมีคุณสมบัติแค่ช่วยปกปิดพลังเวทในเลือดของผู้สวมใส่เท่านั้น ดังนั้นจึงไม่มีผลกับเครื่องต้านพลังเวท ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเวทธาตุกึ่งบริสุทธิ์ที่มีความซับซ้อนมากกว่าเวทธาตุหลัก เพราะเครื่องต้านพลังเวทจะทำให้เจ้าแทบใช้พลังไม่ได้ ระยะทางขนาดนั้นรวมทั้งพวกเครื่องมืออุปกรณ์ที่ทำงานเต็มประสิทธิภาพนั่นด้วยแล้ว ข้าไม่แน่ใจว่าจะใช้เวทหายตัวได้”

คำอธิบายของเอเวนทำให้เธอต้องคิดหนัก อุตส่าห์หนีปัญหาการเข้าเมืองควอเรลมาได้แล้วเชียว แต่ตอนนี้กลับต้องมาเจอปัญหาใหญ่นี่อีก ซึ่งครั้งนี้พวกเธอคงจะขับผ่านไปเฉยๆ แบบที่ควอเรลไม่ได้แล้วด้วย

“ตอนเจ้าออกมาจากเผ่ามายา เจ้าทำยังไง” เสียงเรียบเอ่ยถาม นัยน์ตาสีอำพันตวัดมองไปยังเด็กสาว

“ข้าใช้อีกเส้นทางหนึ่งที่ไม่ได้ผ่านเมือง” มิเวลกล่าวตอบพลางนึกถึงการเดินทางของตัวเองเมื่อสี่เดือนก่อน เธอใช้เส้นทางนั้นก็เพราะว่าต้องการหลีกเลี่ยงการแวะเข้าเมืองให้มากที่สุด เนื่องจากเธอไม่รู้ว่ามีเมืองใดบ้างที่เข้าร่วมสงครามหลังจากนั้น มิเวลค่อยมาแวะเมืองโน้นเมืองนี้ก็หลังจากที่ได้รู้ว่าสามารถซื้อข่าวคราวจากเมืองต่างๆ ได้ ซึ่งทำให้เธอได้รู้ว่ามีเมืองใดเข้าร่วมสงครามบ้าง

คนถามนิ่งเงียบไปอย่างใช้ความคิด เส้นทางที่มิเวลพูดถึงนั้นอยู่ในป่าดงดิบซึ่งอยู่คั่นกลางระหว่างเมืองต่างๆ เสียส่วนใหญ่ ไม่ค่อยมีใครเดินทางในป่าที่ว่านี่กันนักเพราะว่ามันอันตราย ไม่ว่าจะเป็นพวกสัตว์เวทดุร้ายหรือโรคภัยไข้เจ็บจากสภาพอากาศแปรปรวน และไม่เหมาะกับการเดินทางด้วยยานพาหนะเนื่องจากพื้นดินเป็นรากไม้และหญ้ารกรุงรัง อีกทั้งยังอ้อมเมืองต่างๆ ค่อนข้างไกลจนทำให้กินเวลามากถึงมากที่สุด ถ้าหากจะเปลี่ยนเส้นทางในตอนนี้ พวกเขาก็คงต้องเสียเวลาเพิ่มขึ้นอีกเป็นอาทิตย์

วอลนั่งมองเพื่อนทั้งสองอย่างงงๆ คำถามมากมายผุดขึ้นในหัวเต็มไปหมด เขาพอจะเข้าใจว่าเป็นเพราะเครื่องมือประหลาดทำให้มิเวลและเอเวนไม่สามารถใช้พลังเวทได้

“ถ้าให้ควินัวใช้...” แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ น้ำเสียงเคร่งเครียดของมิเวลก็เอ่ยขัดขึ้น

“ทหารจำนวนมากแบบนั้นมันเป็นการฆ่าควินัวชัดๆ”

“ไม่ใช่บังคับทั้งหมดสิ ก็แค่บางคนที่จำเป็นเท่านั้น ทำแบบที่ยูราไง ให้ควินัวสะกดจิตทหารแล้วพวกเจ้าก็ค่อยจัดการเรื่องการสับเปลี่ยนเลือดหลังจากนั้น”

ข้อเสนอของอีกฝ่ายทำให้มิเวลชักจะเอนเอียงไปตามเขา เด็กสาวรีบหันไปถามความเห็นจากเอเวนทางสายตาทันที นัยน์ตาสีอำพันเหลือบมามองสบสายตาเธอด้วยสีหน้านิ่งสนิท

“ข้าไม่เห็นด้วยเพราะยังไม่แน่ว่าด่านตรวจพวกนั้นจะเหมือนของยูราหรือเปล่า” เด็กหนุ่มเอ่ยตอบเสียงเรียบ เขากำลังคิดว่าถ้าไม่มีทางออกแล้วจริงๆ บางที... เขาอาจจะต้องใช้ผนึกโลหิตจัดการพวกทหาร แต่นี่เป็นทางเลือกสุดท้ายที่เขาคิดจะทำ เพราะไม่อยากเห็นมิเวลมองเขาด้วยสายตารังเกียจไปตลอดชีวิต ถึงแม้ว่าในตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมมิเวลถึงต้องไปให้ความสำคัญกับมนุษย์ธรรมดาพวกนั้นก็ตาม

“ถ้าพวกเจ้าเป็นห่วงควินัว... งั้นข้าจะเป็นคนใช้พลังจิตเอง” วอลพูดเสนอเป็นตัวแทนอย่างมั่นใจ เรียกสายตางุนงงจากมิเวลให้หันกลับไปมองเขาอย่างสงสัย

“แต่พลังเป็นของควินัว...” เสียงเครียดค่อยๆ เบาลงตรงช่วงท้ายอย่างไม่มั่นใจ แวบหนึ่งในใจนั้นกลัววอลจะเข้าใจผิดว่าเธอไม่สนใจเขาหรือเปล่า แต่เด็กสาวก็ต้องโล่งใจเพราะอีกฝ่ายยังคงยิ้มร่าเริงอยู่เหมือนเดิม แต่แล้วอยู่ๆ เธอก็เริ่มรู้สึกสงสัยในรอยยิ้มนั่นขึ้นมา เธอไม่มีทางรู้ได้เลยว่าวอลกำลังคิดหรือรู้สึกอย่างไรเพราะเขาเอาแต่ยิ้มอยู่ตลอด เธอจำได้ดีว่าขนาดถูกดาบของเอเวนแทง เจ้าบ้าวอลก็ยังยิ้มเลยด้วยซ้ำ

มิเวลส่ายหน้าไปมาสองสามทีเพื่อไล่ความคิดไร้สาระออกไป ถึงจะสงสัยไปเธอก็คงไม่ได้รับคำตอบอยู่ดี เพราะคำตอบจากเจ้าบ้าวอลก็คงเป็นรอยยิ้มทะเล้นเหมือนเคยนั่นแหละ

“ควินัวแบ่งพลังให้ข้าตั้งแต่แรกแล้ว เพราะฉะนั้นอย่างพลังที่ข้าใช้ในเบอริลก็ถือว่าเป็นพลังของข้า” น้ำเสียงหนักแน่นเอ่ยบอกพร้อมกับทำสีหน้าให้จริงจังที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ความไม่สมจริงของมันกลับทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยใจมากกว่า

เอเวนเหลือบมองคนพูดเล็กน้อยก่อนจะหลุบสายตาลงต่ำอย่างครุ่นคิด เขาเคยสงสัยเรื่องพลังจิตของเจ้าตัวแคปซูลเมื่อตอนอยู่ที่ยูราหนหนึ่ง และในตอนนี้เขาก็ยังคงหาคำตอบไม่ได้

“ตกลงตามนั้น” เสียงเรียบกล่าวสรุป นัยน์ตาสีอำพันเหลือบสายตาไปยังคนเสนอตัวว่าจะเป็นคนใช้พลังจิตเองครู่หนึ่ง ก่อนจะตวัดไปยังมิเวล ถ้าปล่อยให้เจ้าตัวแคปซูลใช้พลังจิต มันอาจจะทำให้เขาไขข้อสงสัยที่มีอยู่ออกก็ได้

แต่แล้วเอเวนก็ต้องเผลอปล่อยจิตสังหารอ่อนๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัวเมื่อเบือนสายตากลับไปยังผู้ครอบครองสัตว์เวทอีกครั้ง นัยน์ตาสีเงินคู่นั้นเหลือบมองมายังเขาแวบหนึ่งก่อนจะหันไปมองทางอื่น เพียงแค่ชั่วครู่นั้น แววตาของอีกฝ่ายมีประกายบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าความคิดของเขาถูกคนตรงหน้าอ่านออก สายตาเย็นชามองใบหน้ายิ้มน้อยๆ นั่นอย่างไม่ไว้ใจ เจ้าตัวแคปซูลรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ และมันยิ่งทำให้เขารู้สึกสงสัยในตัวมนุษย์ธรรมดาคนนี้มากขึ้นไปอีก

“อ๊ะ ควินัวบอกข้าว่าจะใช้พลังจิตเอง ไม่มีปัญหาน่ะ” เสียงสดใสพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ เห็นมิเวลพยักหน้าน้อยๆ เป็นการตกลงว่าเอาตามนี้ ส่วนเอเวนกำลังจ้องเขม็งมาทางเขาด้วยสายตาเย็นชา วอลส่งรอยยิ้มกว้างกลับไปให้อย่างไม่สนใจความไม่ไว้ใจที่ฉายชัดอยู่ในแววตาของอีกฝ่าย

เมื่อตกลงกันได้แล้ว คนรับหน้าที่เป็นสารถีก็เดินออกจากห้องรวมนี้เพื่อไปทำหน้าที่ต่อเป็นคนแรก ก่อนจะตามมาด้วยมิเวลที่บอกว่าจะไปตรวจดูเสบียงอีกรอบ ทิ้งให้เด็กหนุ่มผู้ครอบครองสัตว์เวทนั่งอยู่ในห้องคนเดียว

‘วอล...ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลย แล้วท่านก็รู้เรื่องพลังของข้าตั้งแต่แรกดีอยู่แล้ว’ เสียงของควินัวดังขึ้นในใจ เขาสัมผัสความรู้สึกของเจ้าเฟรเนร่าได้ว่ามันกำลังไม่พอใจที่เขาไปเสนอตัวแบบนั้น วอลหัวเราะเบาๆ ในลำคออย่างรู้สึกขบขัน คิดไว้แล้วเชียวว่าควินัวต้องมีปฏิกิริยาแบบนี้แน่ๆ แล้วก็เป็นไปตามคาดจริงๆ ควินัวพูดถูก เขารู้อยู่แล้วว่ามันมีพลังมหาศาล และมากเกินพอที่จะสะกดจิตคนได้ทั้งเมืองเลยด้วยซ้ำ แต่เจ้าเฟรเนร่าตัวน้อยไม่อยากใช้พลัง ซึ่งมีแค่เขากับควินัวเท่านั้นที่รู้ว่าเพราะอะไร

“ถ้าไม่ทำแบบนั้นก็คงตกลงกันไม่ได้ซะทีน่ะสิ” เสียงสดใสพูดพร้อมกับยักไหล่น้อยๆ อย่างไม่ใส่ใจ เมื่อกี้นี่เกือบไปแล้ว เอเวนนี่หูตาเป็นสับปะรดจริงๆ นัยน์ตาสีเงินหันไปมองจานเปล่าตรงมุมโต๊ะอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะแอบเหลือบสายตามองไปยังประตูห้องรวมเพื่อดูว่าไม่มีใครอยู่ มือขวารีบคว้าจานมายัดไว้ในเสื้อคลุม ทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ เขามั่นใจว่าจานนี่ต้องเป็นของเอเวนแน่ๆ และเขาจะใช้มันในการปฏิบัติการแอบขโมยเสบียงของอีกฝ่าย

แต่ก่อนที่เด็กหนุ่มจะลุกออกจากโต๊ะ เสียงเศร้าๆ คล้ายรำพึงกับตัวเองของควินัวก็ดังขึ้นหยุดความคิดทุกอย่างของเขา

‘...วอล ข้าอยากโกรธท่านเหลือเกิน ท่านเป็นคนอ่านยากจนน่าหงุดหงิด แต่ในขณะเดียวกัน ท่านก็เป็นคนที่น่าสงสารมากกว่าใคร’

วอลนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าเหลือเพียงแค่รอยยิ้มจางๆ ก่อนจะค่อยๆ เลือนหายไป นัยน์ตาสีเงินหลุบสายตาลงต่ำอย่างเหม่อลอย พร้อมกับพาตัวเองจมดิ่งลึกลงไปในโลกที่ไม่มีใครของเขา



+++++++++++++++++++++++++++



เวลายามค่ำคืนทำให้รอบๆ แคว้นเมเบิร์กมีการเฝ้ายามมากกว่าตอนกลางวัน รถเคอาร์ถูกทหารกลุ่มหนึ่งโบกเรียกให้จอด เอเวนหยุดรถตามคำสั่งอย่างเชื่อฟังพร้อมกับกดปุ่มเปิดหน้าต่างด้านคนขับออก ทหารนายหนึ่งเดินตรงเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉย เสียงเฉียบขาดออกคำสั่งอย่างคนมีอำนาจเหนือกว่า

“เปิดประตูเดี๋ยวนี้ พวกข้าจะเข้าไปตรวจ” คนพูดพเยิดหน้าไปทางข้างหลัง เป็นเชิงหมายถึงทหารอีกกลุ่มใหญ่ซึ่งกำลังยืนรอฟังคำสั่งอยู่ เอเวนมองคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาเย็นชา ท่าทางอวดเก่งดีแต่ปากแบบนี้ เจ้านี่ต้องเป็นพวกหัวหน้าแน่ๆ

หลังจากเข้าเขตการปกครองของเมเบิร์กมาได้พักหนึ่ง เด็กหนุ่มก็ได้รู้ว่าด่านตรวจของเมเบิร์กนั้นมีอยู่หลายชั้นจนเรียกได้ว่าถี่ยิบเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจได้ถูกแล้วที่ไม่ใช้วิธีการสับเปลี่ยนหลอดเลือดอย่างที่ยูรา เพราะถึงจะผ่านด่านตรวจนี้ไปได้ พวกเขาก็ต้องเผชิญกับด่านตรวจข้างหน้าอีกนับร้อยอยู่ดี

ประตูถูกเปิดออกเผยให้เห็นร่างสูงกำลังยืนสงบนิ่งอยู่ด้านข้างด้วยท่าทางสง่างดงาม เสมือนเป็นเจ้าบ้านผู้เรียบร้อยในความคิดของเหล่าทหาร พวกเขารู้สึกใจชื้นน้อยๆ เมื่อการตรวจตราครั้งนี้คงไม่จำเป็นต้องออกแรงสู้รบใดๆ

ทหารจำนวนหนึ่งก้าวขึ้นใบบนเคอาร์อย่างถือสิทธิ์ ผู้ครอบครองตำแหน่งสูงสุดมองไปรอบๆ ห้องรวมที่ไม่มีอะไรมากนักนอกจากโต๊ะและเก้าอี้อีกห้าตัว เสียงเข้มตะโกนออกคำสั่งให้เหล่าลูกน้องไปตรวจดูห้องถัดไปก่อนจะตวัดสายตาเย็นชาไปยังผู้เป็นเจ้าของรถเคอาร์คันนี้ นัยน์ตาสีเข้มไล่สายตาสำรวจคนตรงหน้าซึ่งกำลังมองเขาด้วยสายตาเย็นชาไม่แพ้กัน เด็กหนุ่มผู้นี้ดูๆ แล้วน่าจะอายุไม่เกินสิบหกสิบเจ็ด สวมชุดคลุมสำหรับเดินทาง มองผ่านๆ แล้วก็เหมือนนักเดินทางธรรมดาคนหนึ่ง แต่จากประสบการณ์อันโชกโชนที่ผ่านมาทำให้เขารู้สึกว่าบรรยากาศรอบๆ ตัวอีกฝ่ายนั้นมีอะไรบางอย่างต่างไปจากนักเดินทางคนอื่นๆ

“เจ้าเดินทางคนเดียวรึ” เสียงเข้มเอ่ยถามอย่างสงสัย คนเพียงคนเดียวไม่น่าจะเดินทางด้วยยานพาหนะใหญ่โตขนาดนี้

“ข้ามีเพื่อนร่วมทางอีกสองคน” คนถูกถามตอบเสียงเรียบ

“แล้วอีกสองคน?” ทหารสูงวัยถามย้ำ

ร่างสูงตรงหน้ากลับยังคงยืนนิ่ง มองสบสายตากลับมาด้วยใบหน้าเรียบสนิทจนทำให้เขาต้องรู้สึกฉุนน้อยๆ ขึ้นมา แต่แล้วคนถูกถามก็เบือนสายตาออกไป ซึ่งทำให้เขาต้องหันกลับไปมองด้านหลังอย่างฉงน นัยน์ตาสีเข้มเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจ ร่างของเหล่าลูกน้องจำนวนหลายสิบของเขากำลังนอนสลบไสลกองกันอยู่หน้าประตู นี่มันเกิดอะไรขึ้น ใบหน้าแตกตื่นหันกลับมายังผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งทันควัน คนตรงหน้ายังคงมองตรงมาด้วยสีหน้าเรียบสนิทเช่นเดิม ในหัวเขาเต็มไปด้วยความสับสน ถ้าอีกฝ่ายเป็นผู้ใช้เวทล่ะก็ ทำไมเครื่องตรวจสอบพลังถึงไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย

แต่อยู่ๆ เขาก็รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาพร้อมกับที่ภาพเบื้องหน้าได้เปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน ขาทั้งสองข้างอ่อนแรงจนรับน้ำหนักไม่ไหวอีกต่อไป ร่างของทหารผู้สูงวัยล้มลงกับพื้น นอนนิ่งหมดสติไปในที่สุด

“ไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้แล้วหรือไง” เสียงหงุดหงิดหันไปถามวอล เขารู้ว่าเจ้าตัวแคปซูลยืนอยู่ด้านนอกตรงระเบียงทางเดิน ไม่ทันไรใบหน้ายิ้มทะเล้นก็โผล่เข้ามาให้เห็น

“แล้วเจ้ามีอะไรเสนอมั้ยล่ะ” เจ้าตัวยุ่งย้อนถามเสียงใสด้วยสีหน้าใสซื่อบริสุทธิ์

“อย่างเช่น ไม่ต้องรอให้ทหารพวกนี้ขึ้นมาบนเคอาร์ แต่เจ้าลงไปจัดการพวกมันเลย” ใบหน้าเย็นชากัดฟันพูดเสียงต่ำพร้อมกับพเยิดหน้าไปด้านนอก ถ้าจะปล่อยให้ทหารขึ้นมานอนสลบอยู่บนนี้ต่อไปล่ะก็ อีกไม่นานก็คงจะเต็มรถเคอาร์จนไปต่อไม่ไหวแน่

“ข้าไม่ขัดข้องอยู่แล้ว แต่ข้าคงจะวิ่งตามรถเคอาร์ของเจ้าไม่ไหวล่ะนะ”

“รอให้เจอด่านตรวจก่อน แล้วเจ้าค่อยลงไป และอย่าก่อเรื่องเด็ดขาด”

“แบบนั้นควินัวก็ยิ่งต้องใช้พลังหนักกว่าตอนที่รอให้ขึ้นมาบนนี้ทีละคนน่ะสิ” วอลรีบแย้งทันควัน สายตางุนงงมองตามร่างสูงเดินผ่านประตูห้องรวมออกมา ถ้าให้ควินัวลงไปข้างล่างนั้น มันจำเป็นต้องใช้พลังสะกดจิตพวกทหารที่อยู่โดยรอบทุกคนทันทีเพื่อไม่ให้เกิดเหตุโกลาหลวุ่นวายตามมาทีหลัง เอเวนหยุดยืนนิ่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมามองด้วยสายตาเย็นชาเหมือนทุกที ชั่วแวบหนึ่งเขารู้สึกเหมือนกับว่านัยน์ตาสีอำพันคู่นั้นฉายประกายกร้าวรุนแรงแล้วหายวับไปอย่างรวดเร็ว

“เจ้าเป็นคนบอกเองว่าไม่มีปัญหาอะไรนี่” เสียงเย็นตอบอย่างไร้เยื่อใย พร้อมกับหันหลังกลับเดินจากไปทันที ทิ้งให้เจ้าตัวยุ่งยืนมองตามด้วยสีหน้าทึ่งน้อยๆ ท่ามกลางร่างไร้สติของเหล่าทหารทั้งหลายที่กองสุมรวมกันอย่างน่าอนาถ ปรากฏรอยยิ้มขำขันขึ้นบนใบหน้าหวานพร้อมด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ



++++++++++++++++++++++



โปรดติดตามตอนต่อไป!!

มาอัพแล้วววว





โฮป
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 พ.ค. 2560, 01:15:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 พ.ค. 2560, 01:15:01 น.

จำนวนการเข้าชม : 745





<< Episode 27 : || หัวใจสับสน ||   Episode 29 : || ด่านตรวจ และ ข่าวร้าย || >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account