สัตตะลังกา
พลอยชีวันเคยใช้ชีวิตเป็นนักข่าวธรรมดาๆ จนกระทั่งได้พบกับพี่น้องกะเหรี่ยงเกอที่เดินทางออกมาจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเฉลิมรัฐ หล่อนจึงได้รู้ว่าชีวิตหล่อนจะไม่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป โดยเฉพาะหลังจากได้พบกับเขา ป่าไม้หนุ่มเจ้าของฉายา "ปากหมา หน้าหื่น ปืนโหด โคตรเหี้ยม"

หากนวนิยายเรื่องนี้สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ใดก็ตามหันมารักและต้องการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้สัตว์ป่าของไทยเอาไว้ ผู้เขียนขอมอบผลและคุณงามความดีให้กับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าทุกท่าน รวมถึงอุทิศแด่ คุณสืบ นาคะเสถียร วีรบุรุษป่าไม้ไทยอีกด้วย
Tags: ป่าไม้,ลี้ลับ,โรแมนติก,ผจญภัย

ตอน: บทที่ ๑๑

บทที่ ๑๑

ครั้งนี้พลอยชีวันเตรียมตัวเป็นอย่างดีในการผจญภัยในป่า หล่อนติดสอยห้อยตามดารยาเข้าเมืองเพื่อเตรียมอุปกรณ์เดินป่าทั้งเสื้อกันฝน รองเท้าบูทไว้ลุยโคลน เสื้อแขนยาว และอื่นๆ อีกหลายอย่างซึ่งเพื่อนร่วมบ้านที่มีความเชี่ยวชาญด้านการเดินป่ามากกว่าแนะนำว่าเหมาะสม หล่อนมั่นใจมากว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาดในการเดินทางครั้งนี้ ทุกอย่างต้องเป็นไปอย่างราบรื่น

โดยเฉพาะเช้านี้ที่ท้องฟ้าแจ่มใส แสงแดดอ่อนๆ ส่องลงมาเป็นลำแสงในยามเช้าชวนให้อารมณ์สดชื่นแจ่มใส นับว่าเป็นนิมิตหมายอันดี หญิงสาวสะพายกระเป๋าเดินป่าใบใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม หิ้วรองเท้าบูทตรงมายังโรงอาหารและได้พบกับสมหมายที่กระโดดลงมาจากรถกระบะจังหวะเดียวกันกับที่หล่อนเดินมาถึง

“มาครับ ผมเอากระเป๋าไปเก็บให้ โอ้โห มีรองเท้าบูทเสียด้วย”

“คราวนี้จะไม่ยอมแพ้แล้วค่ะ ไปไหนไปกัน เละก็เละ” หญิงสาวฉีกยิ้มกว้าง

“แล้วถุงกันทากไปไหนเสียล่ะครับ”

“คะ?”

“ถุงกันทาก แบบนี้น่ะครับ” สมหมายชี้ถุงผ้าดิบสีขาวค่อนไปทางน้ำตาลเหลืองความยาวจรดหัวเข่า ที่ตนเองสวมใส่ทับถุงเท้าเอาไว้อีกชั้นก่อนจะสวมรองเท้า

“เอ... น่าจะอยู่ในกระเป๋ามั้งคะ” หล่อนครุ่นคิด ไม่แน่ใจว่าในบรรดาข้าวของจำนวนมหาศาลที่ดารยาช่วยเตรียมนั้นมีถุงกันทากที่ว่านี้หรือไม่ “...จำเป็นต้องใส่เลยหรือเปล่าคะ”

“ยังไม่ต้องก็ได้ครับ วันนี้นี้น่าจะยังไม่ได้เดินป่า”
หญิงสาวพยักหน้ารับ ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “วันนี้อากาศดีจังเลยนะคะ”

“ฟังวิทยุแจ้งมาเมื่อเช้าบอกว่าวันนี้จะไม่มีฝนครับ โชคดีของเรา แต่ก็นั่นล่ะครับ ในป่าอะไรก็เกิดขึ้นได้”
สมหมายแจ้งข่าวแล้วเดินเอากระเป๋า รองเท้า ของพลอยชีวันไปเก็บที่รถ ขณะเดียวกันหางตาก็มองเห็นสินธุ์เดินแบกกระเป๋าตรงมายังโรงอาหารเช่นกัน

“ไอ้กานต์มันหายไปไหนน่ะพี่หมาย ไม่เห็นกลับมาพร้อมทีมลาดตระเวนเลย วันนี้มันต้องไปโรงเรียนกับทางทีมมูลนิธิไม่ใช่หรือ”

“เห็นไอ้พวกที่ไปมาด้วยกันบอกว่าผู้ช่วยฯ กานต์นอนในหมู่บ้านน่ะครับ น่าจะไปเจอทีมจากมูลนิธิที่โรงเรียนเลย”

“แล้วไปนอนบ้านใคร”

“เอ... อันนี้ผมก็ไม่ทราบนะครับ” ยังไม่ทันขาดคำดี ทีมงานนักวิจัยซึ่งมุ่งเน้นการศึกษาวิจัยเพื่อการอนุรักษ์สัตว์ป่า ภายใต้สังกัดของมูลนิธิงานอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสัตว์ป่าจากต่างประเทศซึ่งมีสำนักงานอยู่ในประเทศไทย ก็เดินตรงมายังโรงอาหาร เป็นชายหนุ่มทั้งสิ้นหกคน ประกอบด้วยชายต่างชาติสองคน และชายไทยอีกสามคน ซึ่งล้วนเป็นคนคุ้นเคยกับสินธุ์นทีเป็นอย่างดีเนื่องจากเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องจากคณะเดียวกัน

“ไอ้กานต์มันรออยู่ในหมู่บ้านอยู่แล้ว พี่โจ๋ไปถึงก็โทรศัพท์หามันก็แล้วกันนะ รอบนี้ผมไปด้วยไม่ได้ มีธุระต้องทำ คงไม่ได้เจอกันอีกหลายวัน”

“เข้าป่าหรือ”

“ครับ พานักข่าวไปหาข่าวหน่อย” เขามองข้ามไหล่ไปหาพลอยชีวันที่ช่วยแม่บ้านจัดโต๊ะอาหารสำหรับแปดที่นั่งในเช้าวันนี้ “สวยขนาดนี้จะเดินป่าไหวเหรอวะ”

“ไหวไม่ไหวก็ต้องลองดูล่ะพี่” ชายหนุ่มส่ายหน้าเบาๆ “ผมไม่อยู่มีอะไรติดต่อไอ้ป๊อบแทนนะ หัวหน้าไปประชุมที่สำนักฯ ”

“ได้ ขอบใจมากนะน้ำ เดินทางปลอดภัย ถ้ายังไงก็ไว้นัดเจอกันที่กรุงเทพฯ นะ แล้วปีนี้ไปงานรับรุ่นหรือเปล่าเนี่ย”

คนถูกถามทำหน้าบอกบุญไม่รับ “ไม่แน่ใจเหมือนกัน ไปทีไรเพื่อนก็ถามถึงแต่สะใภ้รุ่น ไม่รู้มันจะอะไรนักหนา”

“ก็สามตัวท็อปของรุ่นมันเหลือแต่เอ็งคนเดียวที่ยังโสดนี่หว่า” จามรหัวเราะ ตัวท็อปคือพวกเรียนดี กิจกรรมเด่น ปฏิบัติหน้าที่ตำแหน่งหลักๆ ในสโมสรนิสิตคณะฯ ในช่วงเรียนปีสี่ที่ต้องดูแลหน้าที่ในการฝึกฝนให้เกิดความรักสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้กับน้องปีหนึ่ง เป็นพระเพณีที่ปฏิบัติกันมาอย่างยาวนาน อันได้แก่ ประธานสภาซีเนียร์ ประธานเชียร์ ปกครองชาย ซึ่งมีหน้าที่ต้องไปยืนแต่งกายคล้ายผู้นำเผ่าอินเดียนแดงบนเวทีในวันรับน้องที่รู้จักกันในชื่ออินเดียนเดย์อินเดียนไนท์ (Indian day & Indian night)

“ตำแหน่งปกครองชายมันฮอตด้วยนะโว้ย เอ็งอย่าลืมสิ”

อดีตปกครองชายหัวเราะหึๆ ตำแหน่งนี้ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย เพื่อนในรุ่นพร้อมใจกันเลือกเขาโดยไม่มีใครโต้เถียงถึงความไม่เหมาะสม ด้วยหน้าตาอันดุดัน เสียงดัง และผลการเรียนดี ใครๆ ก็แซวว่าเขามัน born to be ปกครองชาย ที่คณะอื่นเรียกว่าเฮดว้ากนั่นละ

“เอาเป็นว่าถ้าได้สะใภ้รุ่นผมจะไปแล้วกัน”

“สาธุ” จามรยกมือไหว้ท่วมหัว “กลับออกมาจากป่าคราวนี้ลูกช้างขอให้น้องชายคนนี้มันเจอเนื้อคู่เสียที เจ้าประคุณ”

“เลอะเทอะใหญ่แล้วพี่โจ๋ ผมจะไปหามาจากไหน ในป่านี่ก็มีแต่ไอ้ป๊อบ ผมไม่เอาด้วยหรอก”

“มันมีแล้วกันน่า เชื่อข้า”

หนุ่มรุ่นน้องส่ายหน้าพลางหัวเราะ “ไปพี่ กินข้าวกันเถอะ จะได้ออกเดินทาง”

เมื่อมื้อเช้าผ่านพ้นไปแล้ว สินธุ์นทียืนมองรถกระบะของทีมนักวิจัยวิ่งออกไปจากที่พักมุ่งตรงเข้าหมู่บ้าน เขาจึงหันมาสำรวจความเรียบร้อยของทีมของตนเอง ครั้นแล้วจึงพยักหน้าเรียกให้พลอยชีวันขึ้นรถ และออกเดินทาง ดูเหมือนทุกอย่างจะเรียบร้อยไปหมด แต่อย่างที่ว่ากัน ทะเลที่เงียบสงบใช่ว่าจะไม่มีคลื่นใต้น้ำซ่อนอยู่ และคลื่นใต้น้ำนี่เองที่เมื่อก่อตัวขึ้นมาจะสร้างความเสียหายได้อย่างมากมาย นับเป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าภัยที่มองเห็นอยู่ตรงหน้าเสียอีก

========================================================

ก้อนดินสีดำร่วงหล่นลงบนใบหน้า และร่างกายของชายวัยกลางคนที่นอนหลับตาอย่างสงบอยู่ก้นหลุมลึก พร้อมเสียงสวดอ้อนวอนให้วิญญาณบรรพบุรุษมารับชายผู้นี้ไปอยู่ในภพภูมิที่ดีด้วยกัน ตามพิธีการฝังศพส่งดวงวิญญาณตามความเชื่อของชาวเกอ รอบปากหลุมรายล้อมด้วยญาตสนิทที่ต่างร่ำไห้ด้วยความโศกเศร้าเสียใจพร้อมๆ กับการตักดินโยนก้อนดินด้วยมือเปล่าลงไปในหลุม เมื่อเสียงสวดจบลง บรรดาญาติผู้เสียชีวิตก็ถอยฉากออกมาให้ชายหนุ่มร่างกำยำทำหน้าที่ตักดินถมร่างไร้ลมหายใจนั้นแทน

“ตั้งแต่หน้าฝนมาเยือน มาปอจาตายเป็นคนที่หกแล้วนะพะปอ” ครั้นพิธีเสร็จสิ้นลง เสียงชายผู้หนึ่งในกลุ่มผู้คนที่มาร่วมพิธีศพก็ดังขึ้นราวกับกำลังตั้งข้อสงสัยอะไรบางอย่าง “ข้าว่ามันไม่ปกติ”

“เกิดแก่เจ็บตายมันเป็นเรื่องปกตินั่นล่ะ” อาจาเอ่ยเสียงเรียบ

“แล้วที่ต้นสาละลังกาใกล้ตายนั่นมันปกติหรือเปล่า”

‘นั่นน่ะสิ ใช่ๆ’ เสียงผู้คนดังระงมขึ้นในทันที

“ทั้งที่ฝนมาเยือนแล้ว แต่ต้นกลับไม่แตกใบเลย ซ้ำร้าย... ใบยังร่วงมากขึ้นทุกวัน บอกตามตรงนะ... ข้าใจคอไม่ดีเอาเสียเลย”

ไม่มีใครทราบเรื่องนี้... ไม่มีใครทราบเรื่องคำสาปมาก่อน มีเพียงผู้นำหมู่บ้านที่ถูกบอกเล่าโดยผู้นำจิตวิญญาณซึ่งทราบเรื่องนี้โดยวิธีการบอกเล่าจากรุ่นสู่รุ่นเท่านั้น

“ทำใจให้สบายเถอะ มันไม่มีอะไรหรอก” จบคำ ผู้เฒ่าก็เดินหันหลังให้กลุ่มฝูงชน โดยมีเสียงพูดคุยเซ็งแซ่งดังตามหลังมาด้วย

ครั้นไม่ได้รับคำตอบจากผู้นำจิตวิญญาณ ชาวบ้านจึงหันมาไล่เบี้ยกับ ‘พะตือ’ หรือ ผู้นำหมู่บ้านแทน

“พะตือวาสะท่านในฐานะคนใกล้ชิดกับพะปอ ได้โปรดบอกพวกเรามาเถิดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เป็นเพราะโรคภัยอย่างครั้งที่แล้วหรือเปล่า โรคอะไรนะ อหิวาตกโรคใช่ไหม”

“ไม่ใช่...” วาสะถอนหายใจ “ไม่สังเกตหรือ แต่ละคนตายด้วยสายเหตุที่แตกต่างกัน อย่างมาปอจาก็ตายเพราะออกไปหาของป่า”

“เรามีทักษะการเดินป่าติดตัวมาตั้งแต่เกิดกันทุกคน มาปอจาก็เช่นกัน จู่ๆ เขาจะตายเพราะถูกกระทิงเหยีบบนั่นไม่ใช่วิสัยของพรานระวังไพรอย่างเขา”

“มันคืออุบัติเหตุ” วาสะพยายามอธิบายอย่างใจเย็น “พวกเจ้าจะมาถามเอาอะไรจากข้า ข้าสื่อสารกับต้นสาละลังกาไม่ได้ พะปออาจาโน่นที่สามารถติดต่อกับบรรพบุรุษของเราได้ ในเมื่ออาจาบอกว่าไม่มีอะไร พวกเจ้าก็สบายใจเถิด”

“แต่พวกข้าไม่สบายใจ”

“บอกข้ามาว่ามีวิธีใดบ้างที่ข้าพอจะทำให้เจ้าสบายใจได้”
เจ้าของเสียงเงียบไปราวกำลังครุ่นคิด จนกระทั่งมีชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เดินแหวกฝูงชนออกมาประกาศเจตนารมณ์อย่างแนวแน่พร้อมสบตาวาสะอย่างไม่ยอมหลบตาไปก่อน

“บอกความจริงมาว่าเกิดอะไรขึ้นกับหมู่บ้านของเรากันแน่ มิเช่นนั้นข้าคงอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้”

“ถ้าเช่นนั้นข้าก็คงไม่มีสิทธิ์ห้าม...” ผู้นำหมู่บ้านตอบกลับเสียงเรียบ จ้องตากลับด้วยสายตาที่แน่วแน่ไม่แพ้กัน

“แต่ก่อนจะออกไป อย่าลืมแวะมาบอกข้าที่บ้านด้วยว่าเจ้าจะไม่อยู่ที่นี่แล้ว ครั้งต่อไปหากทางหัวหน้าเขตฯ เขามาถามถึงจำนวนคนในหมู่บ้านเรา ข้าจะได้ให้คำตอบเขาถูก”

‘ทีจอ’ นิ่งขึงไป ก่อนวินาทีต่อมาดวงตาสีดำจะลุกโชนไปด้วยเพลิงโทสะ

“ข้าขอยืนยันอีกครั้งว่าหมู่บ้านเรายังอยู่ในภาวะปกติดี หากการจากไปของพี่น้องของเราทำให้พวกเจ้าไม่สบายใจก็ขอให้ระมัดระวังตัวเวลาไปไหนมาไหน หากมีอาการไม่สบายก็ให้รีบไปหาพะเซนอมี หากเป็นหนักมากข้าจะพาเข้าไปหาหมอในเมือง... แล้วถ้าหากใครไม่สบายใจที่จะอยู่ที่หมู่บ้านนี้ ข้าก็คงห้ามไม่ได้”

จบคำวาสะก็เดินหนีไปทันที ครั้นแล้วทีจอจึงก้าวขึ้นมายืนแทนที่ หันหน้าไปหาสมาชิกในหมู่บ้านที่มีไม่เกินยี่สิบครัวเรือนดี

“ดูจากท่าทางของทั้งพะปอและพะตือวาสะทุกคนก็น่าจะคิดเหมือนข้า... คือ พวกเขามีอะไรปิดบังพวกเราอยู่” สีหน้าชาวบ้านเริ่มมีความวิตกกังวล ความไม่สบายใจ และบางคนก็ดูคล้อยตามอย่างเห็นได้ชัดจากการพยักหน้า “มันอาจจะมีอาเพสบางอย่างที่เกิดขึ้นกับหมู่บ้านเราก็เป็นได้”

“ถ้าเช่นนั้นเราควรทำอย่างไร ย้ายออกไปจากที่นี่รึ แต่เราอยู่กันมาสองร้อยกว่าปีแล้วนะ” เสียงหนึ่งท้วงขึ้น กึ่งจะเห็นด้วยแต่ก็ยังมีความลังเลต่ออนาคตอยู่ในทีหากต้องย้ายไปอยู่ที่ใหม่ “เราก็เพียงแค่ย้ายออกจากที่แห่งนี้แล้วไปตั้งรกรากกันที่ใหม่ ในเมืองคงมีที่ถมเถสำหรับเรา แผ่นดินตรงนี้อาจจะถูกสาป เราจะทยอยตายทีละคนๆ จนท้ายที่สุดก็กลายเป็นหมู่บ้านร้างไปเลยก็ได้”

“แต่... ในเมื่อ พะตือวาสะบอกว่าไม่มีอะไร เราน่าจะเชื่อเขา เขาไม่เคยโกหกเรา” คราวนี้เสียงผู้คนพึมพำดังขึ้นไม่แพ้กัน ซึ่งนั่นทำให้ทีจอรู้สึกเสียหน้าอย่างมาก “ได้... ข้าจะทำให้ทุกคนเห็นว่าวาสะกำลังมีความลับเกี่ยวกับหมู่บ้านปกปิดอะไรเราอยู่บ้าง ถึงตอนนั้นพวกเจ้าจะให้ข้าเดินนำออกจากหมู่บ้าน ข้าก็ไม่ขัดข้องอะไร!”

คณะเดินทางใช้เวลาบนรถแปดชั่วโมงไม่ขาดไม่เกิน เนื่องจากสภาพถนนที่ไม่เอื้ออำนวยเพราะฝนตกหนักติดต่อกันมาหลายวัน ส่งผลให้ถนนดินเละ มีน้ำขังเป็นหลุมเป็นบ่อเห็นเป็นระยะ แต่สุดท้ายก็มาถึงยังหน่วยพิทักษ์ป่ารากก่อซึ่งเป็นจุดสุดท้ายที่รถจะเข้าถึงได้ เพื่อจะจอดรถทิ้งไว้ก่อนจะเดินเท้าเข้าป่าต่อไปอีกหลายชั่วโมง

“คืนนี้นอนที่นี่ก่อนนะ พรุ่งนี้เช้าค่อยออกเดินทางกันใหม่” ป่าไม้หนุ่มเอี้ยวตัวหันมาบอกทั้งเพื่อนร่วมงาน โดยประโยคสุดท้ายหันไปเอ่ยกับพลอยชีวันที่ยืนอยู่ต่อจากเขาและสมหมาย “นั่งรถมาทั้งวัน คุณคงเหนื่อยแย่ ไปอาบน้ำเถอะ”

“อาบตรงไหนคะ” หญิงสาวมองไปรอบๆ ตัว ตรงหน้ามีอาคารชั้นเดียวหนึ่งหลัง ไกลลิบๆ มีบ้านพักอีกสามสี่หลัง มองเห็นสะพานไม้ข้ามธารน้ำเล็กๆ เป็นอาคารไม้เปิดโล่งหลังคาสังกะสีอีกหนึ่งหลัง ซึ่งมองแล้วไม่น่าจะมีบ้านพักสำหรับผู้มาเยือนเหมือนบ้านพักนักท่องเที่ยวตามอุทยาน

“นี่แหละ” ชายหนุ่มตอบ ยกมือขึ้นเท้าสะเอวพร้อมพยักพเยิดไปยังอาคารตรงหน้า “ที่ทำการหน่วยพิทักษ์ป่า มีทั้งที่นอนและห้องน้ำให้”

“เดี๋ยวค่ะ... นอนยังไงคะ”

“ตามมา ยกกระเป๋ามาเองด้วย” อธิบายไปก็เสียเวลาเปล่า เขาเดินขึ้นบันไดเตี้ยๆ ห้าขั้น มาถึงหน้าประตูอาคารทำการหน่วยพิทักษ์ป่าที่เมื่อเดินเข้าไปก็เป็นอาคารโล่งกว้าง โต๊ะถูกเลื่อนไปติดกับผนังฝั่งหนึ่ง มีห้องนอนด้านขวามือหนึ่งห้องสำหรับนอนเฝ้าเวรยามวิทยุ ติดกันเป็นห้องน้ำ

“คุณนอนห้องนี้นะ เมียหัวหน้าหน่วยฯ เขาเปลี่ยนผ้าปูกับปลอกหมอน ซักผ้าห่มให้แล้วด้วย”

“แล้วคุณกับพี่ๆ คนอื่นละคะ”

“ผมกับพี่หมายนอนข้างนอกนี่แหละ ส่วนคนอื่นคงไปผูกเปลนอนใต้ต้นไม้ใกล้ๆ” จบคำเขาก็วางกระเป๋าสะพายหลังลงหยิบถุงใส่เปลสนามขึ้นมาและเริ่มผูกเปลเข้ากับเสายังมุมห้อง เช่นเดียวกับสมหมาย หญิงสาวพยักหน้ารับ เดินเข้าห้องนอนที่มีแค่เตียงตั้งอยู่กลางห้อง มองไปรอบๆ ถอนหายใจ และค่อยๆ วางกระเป๋าลง

“อีกครึ่งชั่วโมงกินข้าวนะ ผมกับพี่หมายจะเดินนำไปก่อน คุณเห็นสะพานไม้ใช่ไหม เดินข้ามสะพานไปก็จะเจอโรงอาหาร”

“ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันตามไป” หล่อนตะโกนตอบ กัดริมฝีปากด้วยความกลัวเนื่องจากเป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ต้องอยู่กลางสถานที่ที่รายล้อมไปด้วยป่าซึ่งห่างไกลจากในเมื่อกว่าสิบสี่ชั่วโมงในการขับรถ ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปจากที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเสียอีก อยู่ที่บ้านพักในเขตฯ ยังมีบ้านชายหนุ่มขนาบซ้ายขวาพอให้อุ่นใจ แต่นี่เป็นอาคารโดดๆ ตั้งอยู่เดี่ยวๆ ซ้ายขวามองไปทางไหนก็มีแต่ป่า หล่อนเริ่มกลัว... หวาดหวั่นใจ

เสียงฝีเท้าของสองหนุ่มเดินห่างออกไปจากหน้าห้องเรื่อยๆ จนรอบกายมีเพียงความเงียบสงัด พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า พลอยชีวันหยิบผ้าขนหนู เสื้อผ้า อุปกรณ์ในการอาบน้ำ ชะโงกหน้าออกมาไม่มีใครอยู่ในอาคารแล้ว หล่อนชักอยากจะร้องไห้ จึงรีบวิ่งฉิวเข้าห้องน้ำไป หวังจะจัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อนความมืดจะมาเยือน
==================================================

รองเท้าบูธหนังสีดำหุ้มข้อย่ำลงบนพื้นหญ้าที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำฝนที่ตกค้างมาตั้งแต่เมื่อคืน จึงมีทั้งรอยน้ำและรอยโคลนเปรอะเปื้อนเต็มไปหมด จวนจะถึงสะพานข้ามลำธารแล้ว แต่จู่ๆ ร่างสูงใหญ่ของป่าไม้หนุ่มก็ชะงัก หันกลับไปมองอาคารทำการหน่วยพิทักษป่า

“มีอะไรหรือครับผู้ช่วยฯ”

ดวงตายังคงจ้องไปยังอาคารไม่วางตา คล้ายกำลังครุ่นคิด ก่อนจะหันกลับมาหาสมหมาย “พี่หมายเดินนำไปก่อนเลยนะ ผมขอกลับไปดูคุณเพลินก่อน ไม่เคยอยู่ตามลำพังในป่า เขาคงกลัว”

“อ๋อ... ได้ครับ”
สองหนุ่มต่างวัยจึงแยกย้ายกันไปคนละทาง เมื่อมาถึงอาคารเขาก็นั่งรออยู่ตรงชานอาคารติดกับบันไดทางขึ้น ชายหนุ่มได้ยินเสียงตักน้ำอาบ จึงไม่อยากเข้าไปนั่งรอข้างใน เผื่อในกรณีที่อาจจะเกิดภาพที่น่าจะกระอักกระอวนใจเกิดขึ้น ไม่นานนักหลังจากเสียงน้ำเงียบไป เสียงเปิดประตูห้องน้ำก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงปิดประตูห้องนอน

เขานั่งรอกระทั่งฟ้ามืด อันเป็นเรื่องปกติที่ในป่าที่จะมืดเร็วกว่าพื้นที่ข้างนอก หล่อนก็เดินออกมา โดยที่เส้นผมยังไม่หมาดดีด้วยซ้ำ สังเกตุได้จากที่มีน้ำยังหยดแหมะๆ

“อ้าว คุณน้ำ”

“ไม่เช็ดผมหน่อยเหรอ หัวยังเปียกอยู่เลย” เสื้อยืดพิมพ์ลายการ์ตูนสีเทาเริ่มเปียกน้ำที่หยดจากผมเป็นดวงๆ โดยเฉพาะบริเวณไหล่ “ฉันรีบนี่คะ กลัวจะมืดก่อน”

“ไปเช็ดผมก่อนเถอะ ผมนั่งรอตรงนี้แหละ”

“นี่รอฉันเหรอคะ” สีหน้ามีความประหลาดใจอย่างมาก

“อืม คิดว่าน่าจะกลัว คนไม่เคยนอนป่าคงไม่ชินกับความเงียบจนวังเวง”

“ถ้าอย่างนั้นรอตรงนี้แป๊บนึงนะคะ” หล่อนวิ่งผละไปครู่เดียวจริงๆ และกลับมาพร้อมผ้าขนหนู ก่อนจะนั่งลงใกล้ๆ เขา แล้วเริ่มซับน้ำออกจากปลายผมอย่างจริงจัง จนสินธุ์นทีนึกขำ “ไม่ต้องทำแรงขนาดนั้นก็ได้ กลัวหัวจะหลุดเอา ผมไม่รีบหรอก กับข้าวคงยังไม่เสร็จ”

“อ้อ...” ตอบรับเบาๆ “แถวนี้มีสัตว์อะไรโผล่มาให้เจอบ้างไหมคะ”

“ที่ถามนี่เพราะกลัวหรืออยากเห็น”

หล่อนยิ้มแผล่ เหมือนเป็นคำสารภาพว่ากลัวมากกว่าจะอยากเห็น โดยเฉพาะถ้าเป็นสัตว์ดุร้าย ตามความเชื่อและสิ่งที่สื่อนำเสนอออกไปผ่านทางหนังละคร

สินธุ์นทีหัวเราะหึๆ “ปกติมีกวาง เก้ง อะไรพวกนี้ รู้สึกว่าหน่วยนี้จะเคยมีกระทิงลงมาด้วยนะ หมาในก็เคย แต่นานๆ จะหลงมาสักตัว สัตว์มันก็ไม่ค่อยอยากเข้าใกล้คนเท่าไรหรอก อย่าว่าแต่คนกลัวสัตว์เลย สัตว์มันก็กลัวเราเหมือนกัน”

“อ้าว...”

“ละครก็คือละคร ชีวิตจริงของพวกผมสนุกกว่าเยอะ” เขายิ้มมุมปากน้อยๆ

“แล้วงูล่ะคะ... ฉันไม่ค่อยชอบงูเท่าไร”

“งูเป็นสัตว์ที่คาดเดาพฤติกรรมการมาเยือนไม่ค่อยได้ แต่อาศัยประสบการณ์ก็พยายามเลี่ยงที่ๆ จะเจอเอา เพราะถ้าเจอที่มีพิษก็ตายลูกเดียว”

“เคยมีใครโดนมีพิษกัดไหมคะ”

“ไม่นะ อย่างที่บอก ก็พยายามเลี่ยงๆ เอา ตรงไหนที่เคยเจอ คาดว่าจะเจอ ก็ไม่ไปตรงนั้น”

“แล้วถ้าเจอ”

“ยืนนิ่งๆ ค่อยๆ ถอยออกห่างสิ ไม่ไปทำอะไรมันก่อนมันก็ไม่ฉกหรอก ถ้าเจอแน่นะให้นิ่งไว้แล้วเรียกผม” คนฟังขนลุกชันไปทั่วร่างตามประสาผู้หญิงที่ไม่ถูกชะตากับสัตว์เลื้อยคลานทั้งปวง หล่อนยกมือขึ้นลูบไปตามแขนทั้งสองข้างแรงๆ แก้อาการขนลุกชัน แต่สินธุ์นทีกลับตีความว่าหล่อนคงหนาว

“ตกดึกที่นี่จะหนาวนะ หนาวกว่าในเขตอีกสามสี่องศา”

“ใช่ค่ะ น้ำเย็นมากเลย แต่อาบแล้วสดชื่นดี”

“เอ้อ ระหว่างรอคุณ ผมอาบน้ำบ้างดีกว่า” เอ่ยจบก็ลุกขึ้นยืน แล้วเริ่มถอดเสื้อตั้งแต่เท้ายังก้าวไม่พ้นประตูอาคาร ครู่หนึ่งชายหนุ่มเห็นว่าหล่อนรีบสะบัดหน้าหนี มันจึงทำให้เขาเพิ่งสำนึกได้ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ดารยาที่มองว่าเขาเป็นเพียงพี่ชายและเขาก็มองว่าเป็นน้องสาว แต่หล่อนเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาไม่ควรทำตัวง่ายๆ สบายๆ เกินไป ควรให้เกียรติหล่อนเช่นลูกผู้ชายป่าไม้ควรจะทำ

“ขอโทษนะ ลืมไปว่าคุณเป็นผู้หญิง” เขากล่าวติดตลกออกมาจากในอาคาร คาดเดาเอาว่าป่านนี้หล่อนคงค้อนจนคอแทบหัก แล้วความคิดนั้นมันก็ทำให้รอยยิ้มผุดขึ้นยังมุมปากสินธุ์นทีอย่างไม่อาจห้ามได้
ชายหนุ่มใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวไม่ถึงสิบนาที เดินใช้มือขยี้ผมลวกๆ แทนการนั่งเช็ดผมอย่างที่หล่อนกำลังทำ

“ฉันอยากตัดผมบ้างจัง” พึมพำออกมาเบาๆ ด้วยความอิจฉา

“ผมยาวเหมาะกับคุณอยู่แล้ว”

“สวยใช่ไหมล่ะ”

“ถ้าจะทำให้คุณสบายใจ ผมจะบอกว่าใช่ก็แล้วกัน”

“คุณนี่!”

แม้จะรู้สึกพึงใจที่ยั่วอารมณ์หล่อนได้ แต่บนใบหน้าที่เริ่มมีหนวดเคราขึ้นบางๆ ก็ยังคงไม่แสดงสีหน้าทางอารมณ์ใดๆ ซ้ำยังเสเปลี่ยนเรื่องไปอีกทาง “ผมแห้งหรือยัง จะได้ไปกินข้าวกัน”

“ขอเอาผ้าเช็ดตัวเข้าไปเก็บก่อนนะคะ”

“เอารองเท้าแตะมาไหม ถ้าเอามาก็เอาออกมาด้วยนะ”

“ค่ะ”

หล่อนหายเข้าไปในห้องนอน สินธุ์นทีก็แอบแวะเข้าไปเอาเสื้อแขนยาวพาดไว้บนบ่า เงยหน้าขึ้นมาเจอหล่อนหิ้วรองเท้าแตะหูคีบเอาไว้

“ป่ะ ไปกันเลย” เขาคว้าไฟฉายไว้ในอีกมือหนึ่ง แสงอาทิตย์ภายนอกนั้นหายลับไปแล้ว รอบกายจึงมีแต่ความมืด ก่อนออกมา ชายหนุ่มเปิดไฟหน้าอาคารเอาไว้ และเดินนำลงมาก่อน

แสงจากกระบอกไฟฉายสาดลงบนพื้นโดยมีสินธุ์นทีเดินนำและมีพลอยชีวันเดินมาในระยะประชิด แต่เพราะพื้นที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำ บางบริเวณก็เละเต็มไปด้วยโคลนตม ทำให้การก้าวย่างแต่ละก้าวยากขึ้นเรื่อยๆ

“อย่าเดินเร็วนักซี...” น้ำเสียงนั้นกึ่งดุกึ่งเรียกร้อง

ร่างสูงหมุนตัวกลับมา ลดไฟลงมองที่ท่อนขาซึ่งโผล่มาจากกางเกงขาสั้นเท่าเข่าที่เริ่มโคลนเกาะอยู่บ้างบางส่วน เท้าของหล่อนจมลงไปในโคลน หน้าตาเหยเก “ส่งมือมานี่”

พลอยชีวันไม่มีท่าทีลังเลเลยแม้แต่นิด หล่อนยื่นมือไปเกาะท่อนแขนของเขาเพื่อช่วยพยุงดึงตัวเองขึ้นมาจากโคลน และเดินเคียงข้างเกาะแขนสินธุ์นทีไปเรื่อยๆ กระทั่งถึงโรงอาหาร

“ไปล้างขาล้างเท้าก่อน หลังครัวโน่น”

“แล้วคุณล่ะ” หล่อนก้มมองเท้าอีกฝ่ายที่เละไม่แพ้กัน
“เอาเท้าแกว่งน้ำในลำธารสองสามทีก็พอแล้ว” จบคำเขาก็ผละไป
เมื่อเดินกลับมาโต๊ะอาหารก็ตั้งพร้อมแล้ว มีไข่เจียว ผัดกระเพา และต้มจืดผักกาดดอง สมหมายและพลอยชีวันนั่งคอยอยู่ก่อนแล้ว

“แล้วไอ้เจ้าเขียวกับประวิทย์ล่ะ”

“มันตักข้าวราดไปนั่งกินกันก่อนแล้วครับ”

“เอ้า งั้นกินเลย”
====================================================

ภายหลังมื้อเย็นผ่านไป พลอยชีวันช่วยเหล่าแม่บ้านเจ้าหน้าที่ป่าไม้เก็บสำรับและล้างจานแม้จะมีแรงคัดค้านจากป้าๆ น้าๆ เพียงไรก็ตาม หล่อนเดินกลับออกมาก็พบว่าสินธุ์นทีนั่งสูบบุหรี่อยู่บนแคร่ไม้ไผ่ใต้ร่มไม้ข้างๆ อาคารโรงอาหารซึ่งตอนนี้มีชายหนุ่มนั่งออกันเต็มไปหมดเพื่อชมถ่ายทอดสดมวยสากลที่จัดโดยต่างชาติแต่มีนักมวยไทยเข้าร่วมชิงตำแหน่งในรายการนี้ด้วย

ครั้นเห็นหล่อนเดินมาใกล้ๆ เขาอัดควันบุหรี่เข้าปอดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะโยนลงพื้นและใช้เท้าเหยียบจนสีแดงจากปลายมวนดับไป แล้วพ่นควันไปอีกทาง

“ไม่เข้าไปดูมวยกับเขาหรือคะ”

“ไม่ค่อยชอบกีฬาที่ใช้ความรุนแรง”

“เน้นใช้ปืนมากกว่าล่ะสิ” หล่อนดักคอ

“ไม่ค่อยได้ใช้หรอก” เพราะลั่นไกทีไรได้เรื่องทุกที... “จนกว่าเขาจะยิงมาก่อน ปืนหลวงนี่ใช้ป้องกันตัว ไม่ได้ใช้ระรานใคร”

“แล้วยิงโดนไปกี่คนแล้วคะ ได้ข่าวว่ามีฉายาว่าปืนโหด”

“ไม่ได้จำ... เพราะไม่อยากทำ ไม่ได้อยากเข่นฆ่าใคร” หน้าตาเขาดูตึงเครียดขึ้นมาทันที

“คุณเคยยิ้มบ้างไหม”

“อะไรนะ?”

“ความสุขของคุณคืออะไรเหรอคะ ฉันเห็นคุณหน้าเครียดตลอดเวลาเลย”

เขายกมือไปทางเพื่อนร่วมงานที่นั่งเชียร์มวยกันอย่างออกรส “ความปลอดภัยของพวกเขา ความสุข สบายใจของพวกเขา คือความสบายใจของผม เพราะถ้าพวกเขามีความสุข เขาก็จะทำงานได้เต็มที่ เหมือนมีกำลังใจทำงานมาก ผลงานก็ออกกมาดี... งานที่ว่ามันคือการดูแลป่าไม้สัตว์ป่าของไทย เหมือนเราเป็นทหารดูแลป่าแทนคนทั้งชาติอยู่ นั่นล่ะ ความสุของผม”

“โอ้โห พระเอกมากกก”

“คุณนี่ก็กวนประสาทใช่ย่อยเลยนะ”

“ฉันจะถือว่าเป็นคำชมนะ” ยิ้มแป้น ยิ้มทะเล้น ส่งผลให้เขาหัวเราะออกมานิดหนึ่ง “อ๊ะ ก็หัวเราะได้นี่นา”

“อยากเห็นผมยิ้มกว้างกว่านี้มั้ยล่ะ ขยับเข้ามาใกล้ๆ สิ” หล่อนส่ายหน้าโดยไม่ต้องคิด แถมขยับออกไปจนเกือบจะตกจากแคร่ แต่สินธุ์นทีก็ขยับตาม ถึงแม้มันจะไม่ได้ใกล้มาก แต่หล่อนกลับมองเห็นดวงตาสีเข้มเป็นประกายแวววับ ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นอีกอย่างที่ทำให้พลอยชีวันต้องเบือนหน้าไปอีกทางก่อนจะลุกขึ้นยืน

ไม่มีบทสนทนาใดๆ ระหว่างคนทั้งสอง มีเพียงเสียงเชียร์มวยดังลั่นป่าของหนุ่มน้อยบ้างหนุ่มเหลือน้อยบ้าง
ผ่านไปอึดใจใหญ่ๆ หลังจากที่สองหนุ่มสาวทำได้แค่การมองฟ้ามองลมไปเรื่อย เสียงทุ้มจึงเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความอึดอัดขึ้นมาก่อน “ง่วงไหม ถ้าง่วงเดี๋ยวจะเดินไปส่งเข้านอนก่อน”

“ไปนอนคนเดียวเหรอคะ ไม่เอาหรอก น่ากลัว”

“ถ้าอย่างนั้นรออีกนิดนะ มวยจบขอผมคุยกับทีมก่อนว่าพรุ่งนี้จะเอายังไง มานั่งข้างในก่อน น้ำค้างลงอากาศเริ่มหนาวแล้ว”

พลอยชีวันเดินนำเข้ามาก่อน นั่งโต๊ะทานข้าวด้านหลังสุดห่างจากโทรทัศน์ที่มีชายเจ็ดแปดคนยืนบ้างนั่งบ้างห้อมล้อมอยู่ อากาศเย็นอย่างที่สินธุ์นทีบอกไว้จริงๆ นักข่าวสาวเริ่มนั่งกอดอก ขณะที่ชายหนุ่มนั่งอยู่บนโต๊ะอาหารใกล้ๆ จอทีวี นานๆ จะหันมาทางหล่อนสักครั้ง

จนกระทั่งรายการมวยจบลง เขาก็กระโดดลงจากโต๊ะ หยิบเสื้อแขนยาวที่วางอยู่ใกล้ๆ มายื่นให้หญิงสาวแล้วหันหลังกลับไปหาเพื่อนร่วมงานทันทีโดยไม่รอให้หล่อนปฎิเสธ ก่อนจะเริ่มหารือเกี่ยวกับการเดินทางในเช้าวันพรุ่งนี้

แล้วเป็นเพราะอากาศเย็นๆ มันจึงทำให้หล่อนไม่อิดออดที่จะหยิบเสื้อขึ้นมาห่มคลุมกาย กลิ่นบุหรี่อ่อนๆ ติดอยู่บนเสื้อที่ทำจากผ้าฝ้ายเนื้อหนา น่าแปลกที่คราวนี้กลิ่นจากใบยาสูบผสมกลิ่นมิ้นท์กลับทำให้หล่อนรู้สึกผ่อนคลาย... หัวใจเต้นแรงโลดขึ้นเพียงวูบเดียวก่อนจะกลับมาเต้นสม่ำเสมอพร้อมความอุ่นใจที่แผ่กำซาบอาบไล้ไปทั่วอก

พลอยชีวันลอบมองใบหน้าเจ้าของเสื้อแล้วแอบยิ้ม... ยิ้มใต้แสงไฟสลัวที่ได้แต่ภาวนาขออย่าให้เขามองเห็น...



อนัญชนินทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 พ.ย. 2560, 14:35:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 พ.ย. 2560, 14:35:54 น.

จำนวนการเข้าชม : 787





<< บทที่ ๑๐   บทที่ ๑๒ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account