The D.O.L.L.S โศกนาฏกรรมปีศาจตุ๊กตามหาเวท
"นักขายความฝันผู้เลือดร้อน & นักโทษประหารผู้เริงร่า & หัวขโมยผู้เย็นชา"
ต่างถิ่น ต่างความคิด ต่างอาชีพ ต่างนิสัย ต่างจุดมุ่งหมาย ต่างเผ่าพันธุ์
กลับต้องมาอยู่ด้วยกันเพราะเหตุบางอย่าง... The D.O.L.L.S
ตุ๊กตาปีศาจมีลักษณะรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ
ถ้าอย่างนั้น...จะรู้ได้อย่างไร?
...เป็นปีศาจ...หาใช่มนุษย์ไม่...
ระวังไว้ให้ดี...ทุกอย่างอาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา...
...ที่ใครบางคนสร้างขึ้นเท่านั้น...
สงครามระหว่างผู้มีพลังเวทกับมนุษย์ธรรมดา
ใครจะอยู่รอดเป็นผู้กำชัยชนะ!?
- ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านจากใจจริง -
แผนที่นครเซ็นทรัม http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/map122e1.jpg
ต่างถิ่น ต่างความคิด ต่างอาชีพ ต่างนิสัย ต่างจุดมุ่งหมาย ต่างเผ่าพันธุ์
กลับต้องมาอยู่ด้วยกันเพราะเหตุบางอย่าง... The D.O.L.L.S
ตุ๊กตาปีศาจมีลักษณะรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ
ถ้าอย่างนั้น...จะรู้ได้อย่างไร?
...เป็นปีศาจ...หาใช่มนุษย์ไม่...
ระวังไว้ให้ดี...ทุกอย่างอาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา...
...ที่ใครบางคนสร้างขึ้นเท่านั้น...
สงครามระหว่างผู้มีพลังเวทกับมนุษย์ธรรมดา
ใครจะอยู่รอดเป็นผู้กำชัยชนะ!?
- ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านจากใจจริง -
แผนที่นครเซ็นทรัม http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/map122e1.jpg
Tags: ตุ๊กตา,ปีศาจ,คำสาป,เวทมนตร์,สงคราม,แฟนตาซี,ผู้ใช้เวท,มนุษย์,โศกนาฏกรรม,mystery
ตอน: Episode 29 : || ด่านตรวจ และ ข่าวร้าย ||
EPISODE 29
ด่านตรวจ และ ข่าวร้าย
“หยุดรถเดี๋ยวนี้” เสียงห้าวของทหารนายหนึ่งตะโกนบอก พร้อมกับยกมือขึ้นเป็นสัญลักษณ์เชิงห้ามว่าไม่สามารถผ่านจุดนี้ต่อไปได้หากไม่ได้รับการตรวจยืนยันตัวตนให้เรียบร้อยก่อน
ชายวัยประมาณสี่สิบกว่าถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายให้กับอาชีพการงานอันไม่น่ารื่มรมย์ของตัวเอง เขาไม่ได้อยากมาเป็นทหาร แต่อาชีพประจำตระกูลตั้งแต่รุ่นปู่ทวดเป็นต้นมาทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่น สายตาเซ็งๆ มองผ่านหน้าต่างของรถเคอาร์ที่กำลังชะลอความเร็วเข้าไปด้านใน พลางนึกสงสัยในใจว่าข้างบนนี้มีคนอยู่เท่าไหร่กันแน่ ดูจากขนาดใหญ่โตนี่แล้วคงจุคนได้สักสิบกว่าคนเลยล่ะมั้ง
เมื่อรถเคอาร์จอดนิ่งสนิทเรียบร้อยประตูก็ค่อยๆ เปิดอ้าออก เผยให้เห็นร่างหนึ่งยืนต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอยู่ด้านใน นัยน์ตาสีเข้มมองสำรวจร่างนั้นตามหน้าที่ว่ามีสิ่งผิดปกติอะไรมั้ย ดูๆ แล้วเด็กหนุ่มตรงหน้าน่าจะมีอายุไม่เกินสิบห้าหรืออาจจะเด็กกว่านั้น และดูเด็กกว่าลูกชายของเขาเสียอีก คิ้วสองข้างขมวดน้อยๆ ขณะมองรอยยิ้มกว้างนั่น เขารู้สึกสงสัยอะไรบางอย่างเกี่ยวกับสีผิวของเด็กหนุ่มผู้นี้ มันขาวซีดราวกับหิมะจนน่ากลัว เขาไม่เคยเห็นใครมีผิวขาวซีดแบบไม่มีสีเลือดขนาดนี้มาก่อน แล้วยิ่งสีตากับสีผมยังเป็นสีเงินสว่างด้วยอีก มองดูเผินๆ แล้วเหมือนกระดาษไม่มีผิด
แต่แล้วทั้งความคิดเรื่องอาชีพน่าเบื่อของตัวเองและข้อสงสัยเกี่ยวกับนักเดินทางหนุ่มน้อยก็ต้องหายไปอย่างฉับพลัน เมื่ออยู่ๆ ก็มีอะไรบางอย่างปรากฏตัวขึ้นข้างๆ เด็กหนุ่ม เขาเพ่งสายตามองร่างเล็กๆ นั่นชัดๆ ก่อนจะเบิกตากว้างขึ้นด้วยความตกใจ อาชีพน่าเบื่อเปลี่ยนเป็นอันตรายไปในทันทีหลังจากแน่ใจว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้าอยู่กับสัตว์เวทและเจ้านายของมัน เด็กหนุ่มผู้นี้ต้องเป็นผู้ใช้เวทอย่างแน่นอน ร่างสูงรีบก้าวถอยหลังพร้อมกับหันไปออกคำสั่งเสียงเข้มให้เหล่าลูกน้องทั้งหลายเตรียมพร้อมด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เขาไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอผู้ใช้เวทพร้อมทั้งสัตว์เวทตัวเป็นๆ หลังจากทำงานมาหลายสิบปี
“ยิง!” คำสั่งประกาศก้อง พร้อมกับที่ทหารหลายสิบนายเหนี่ยวไกปืนในมือโดยพร้อมเพรียงกัน
ม่านพลังปรากฏขึ้นเป็นกำบังป้องลูกกระสุนจำนวนมากเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย เหล่าคนธรรมดาทั้งหลายมองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึงในความเป็นรองอย่างเห็นได้ชัดของพวกเขา
“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่าอย่าก่อเรื่อง” เสียงเย็นชากล่าวขึ้นด้วยความไม่พอใจ พร้อมด้วยร่างสูงที่ก้าวผ่านประตูเข้ามาในห้องรวมอย่างรวดเร็ว ใบหน้าขมวดคิ้วน้อยๆ หันไปจ้องอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง เขาอุตส่าห์อธิบายแล้วเชียวว่ากำไลทองมันไม่มีผลกับเครื่องต้านพลังเวท ดังนั้นเขาจึงใช้เวทได้ลำบาก แต่แทนที่คนก่อเรื่องจะรู้สึกผิดนั้นกลับยังคงยิ้มกว้างเริงร่าเหมือนปกติ ไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งสิ้น
“ข้ายังไม่ทันได้ทำอะไรเลย เพราะฉะนั้นข้าไม่ได้ก่อเรื่องนะ” เสียงใสเอ่ยแก้ตัวน้ำขุ่นๆ อย่างมั่นใจในความไร้มลทินของตัวเอง เอเวนถอนหายใจอย่างหงุดหงิดให้กับคำแก้ตัวไร้สาระนั่น เพราะเจ้าตัวแคปซูลนี่มัวแต่ยืนบื้ออยู่นั่นแหละ ถึงได้เกิด ‘เรื่อง’ ขึ้น
“จะเอาอย่างไรดีครับท่าน” นายทหารคนหนึ่งเอ่ยถามหัวหน้าหน่วยเสียงเครียด สายตาหวาดระแวงมองตรงไปยังร่างบอบบางที่ดูไม่เหมือนผู้ร้ายเลยแม้แต่นิดเดียวตรงหน้า ก่อนจะเบือนสายตาไปยังอีกคนที่น่าจะมีอายุไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก แต่พอสบเข้ากับสายตาเย็นชาของอีกฝ่ายแล้วเขาก็ต้องกลืนน้ำลายเหนียวลงคออย่างยากลำบาก เพราะอยู่ๆ ร่างกายก็แข็งทื่อไปหมดพร้อมด้วยความรู้สึกเสียววาบไปทั่วทั้งตัว
จิตสังหาร! สายตาหวาดกลัวมองคนตรงหน้าอย่างเก็บความรู้สึกเอาไว้ไม่อยู่ คนคนนี้มันปีศาจชัดๆ อายุน้อยกว่าเขาร่วมสิบปีแต่กลับมีจิตสังหารถึงขนาดนี้ ผู้ใช้เวทมันเป็นพวกปีศาจ และพวกเขากำลังจะตายเพราะถูกพวกมันฆ่าอย่างเลือดเย็น
เพราะนายทหารทุกคนมัวแต่ไปเพ่งสายตาแวดระวังใส่เด็กหนุ่มผู้มาใหม่จึงไม่ทันสังเกตเห็นการหายตัวไปของสัตว์เวท กว่าจะรู้ตัวอีกที เจ้าสัตว์เวทตัวน้อยที่ว่าก็ปรากฏตัวขึ้นข้างกายของผู้ครองตำแหน่งหัวหน้าหน่วยเรียบร้อยแล้ว นัยน์ตาสีเข้มเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจ รีบตะโกนออกคำสั่งให้จัดการร่างน้อยๆ นี่ทันที
แต่กระสุนปืนมีหรือจะสู้พลังจิตที่เล่นงานทางจิตใจโดยตรงได้ ยังไม่ทันจะได้จับปืนให้อยู่ในท่าเตรียมพร้อม ทหารหลายสิบนายก็พากันล้มลงไปกองกับพื้น หมดสติไปอย่างน่าอนาถ ไม่เว้นแม้แต่ผู้มีตำแหน่งสุงสุดในบริเวณนี้
มิเวลยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ภายในห้องบังคับ ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อทุกอย่างผ่านไปด้วยดี นัยน์ตาสีแดงเหลือบมองกำไลทองบนข้อมือซ้ายของตัวพลางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เธอกำลังกลัวอยู่ว่าถ้าเอเวนใช้พลังเวทไปแล้ว เครื่องตรวจสอบพลังเวทจะมีปฏิกิริยาเนื่องจากไอเวทจากพลังของเขาหรือเปล่า แต่ดูเหมือนว่ากำไลทองนี่จะมีคุณสมบัติมากกว่าที่คิดเอาไว้ แล้วมันก็กลายเป็นที่มาของคำถามในใจเธอว่า เอเวนได้กำไลทองนี่มาจากไหน เขาเคยบอกเอาไว้ว่าได้มาจากองค์กรปริศนา แล้วก็ไม่เคยขยายความเพิ่มเติมอะไรอีกเลย
ควินัวโค้งคำนับให้กับผู้เป็นเจ้านายน้อยๆ หลังจากได้รับนิ้วโป้งเยี่ยมยอดพร้อมด้วยร้อยยิ้มกว้างจากเด็กหนุ่มเป็นการชมเชย
“เจ๋งมากควินัว” เสียงสดใสกล่าวอย่างดีใจก่อนจะหันไปยิ้มแฉ่งให้กับคนไม่ชอบยิ้ม ยืดตัวขึ้นน้อยๆ ด้วยความภาคภูมิใจพร้อมกับมองร่างสูงด้วยสายตาคาดหวังเหมือนกำลังรอคำชมจากเขา เอเวนถอนหายใจอย่างเซ็งๆ ในใจคิดอย่างรำคาญว่าเจ้าตัวแคปซูลนี่เหมือนหมามากกว่าเฟรเนร่าเสียอีก เด็กหนุ่มไม่พูดอะไรนอกจากหันหลังกลับ เดินออกจากห้องไปอย่างไม่สนใจ
รถเคอาร์มุ่งหน้าเดินทางต่อไปเรื่อยๆ และสามารถผ่านด่านตรวจอีกสี่ด่านมาได้โดยไม่มีปัญหาอะไร แต่กลับต้องมาเจอปัญหาใหญ่เรื่องเชื้อเพลิง ซึ่งผู้รับหน้าที่เป็นสารถีอย่างเขากำลังคิดหนักว่าจะทำอย่างไรดี ถ้าจะหาซื้อเชื้อเพลิงก็ต้องเข้าเมือง และเมืองที่ใกล้ที่สุดในตอนนี้ก็คงหนีไม่พ้นแคว้นเมเบิร์ก เด็กหนุ่มกำหมัดแน่น โกรธตัวเองที่ตัดสินใจพลาดไป เขาน่าจะหยุดแวะที่ควอเรลโดยให้เจ้าตัวแคปซูลนั่นใช้พลังจิตแก้ปัญหาเรื่องการตรวจคนเข้าเมือง บ้าชะมัด เป็นเพราะว่าในตอนนั้นเขาไม่ทันนึกเรื่องนี้แท้ๆ
เสียงกุกกักนอกห้องบังคับทำให้เอเวนคลายหมัดที่กำแน่นออกพร้อมกับเพ่งความสนใจไปยังเส้นทางด้านหน้าตามเดิม เพราะแสงแดดยามบ่ายทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีเยี่ยมจึงทำให้มองเห็นทางได้อย่างชัดเจน
เสียงเปิดประตูดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงรองเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เอเวนหลับตาลงชั่วครู่ นึกถึงจังหวะการเดินของใครบางคน ฝีเท้าหนักแน่นที่ไม่เหมาะอย่างยิ่งในการทำงานเป็นสายลับ
“เหลืออีกครึ่งทาง ประมาณสองวัน” เสียงเรียบกล่าวบอกโดยไม่ได้หันไปมอง คิดว่าอีกฝ่ายอาจจะมาที่นี่เพราะอยากรู้ว่าอีกนานเท่าไหร่ถึงจะหลุดพ้นเขตปกครองของเมเบิร์ก ใบหน้างามมีแววบึ้งตึงอยู่น้อยๆ เนื่องจากเอเวนรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของเธอโดยไม่แม้แต่จะหันมาสบตาเลยด้วยซ้ำ
มิเวลไม่พูดอะไรนอกจากนั่งลงข้างๆ เด็กหนุ่ม ถอนหายใจเบาๆ เป็นการระบายอารมณ์ เธอไม่รู้จะทำอะไรจึงเดินเล่นไปเรื่อยเปื่อย จะไปคุยไร้สาระกับเจ้าบ้าวอลก็เป็นอันต้องยกเลิกไป เพราะพอเปิดประตูห้องเจ้านั่นแล้วก็เจอเขานั่งหลับท่าเดิมอยู่ในแคปซูล ซึ่งเธอยังคงงุนงงอยู่เหมือนเดิมว่าวอลหลับท่าแบบนั้นเข้าไปได้ยังไง แต่มิเวลก็ต้องรู้สึกโล่งใจลึกๆ ที่เขากำลังหลับ เป็นเพราะคำพูดแปลกๆ ของเจ้าบ้าวอลเมื่อวันก่อน เธอจึงไม่รู้ว่าจะทำหน้ายังไงดีเวลาเจอเขา เพราะไม่อยากปลุกคนกำลังหลับอุตุเด็กสาวจึงเดินออกมาเงียบๆ แล้วก็นึกสงสัยขึ้นมาว่าเมื่อไหร่จะจบไอ้ด่านตรวจบ้าๆ พวกนี้ซะทีจึงตั้งใจจะมาถามผู้รอบรู้
แต่ยังไม่ทันถามอะไรเลยสักคำ เอเวนกลับเดาออกหมด นัยน์ตาสีแดงชำเลืองมองคนข้างกายอย่างขุ่นเคืองเล็กๆ นี่เป็นเพราะว่าเธออ่านออกง่ายหรือเพราะเอเวนมันแปลกพิลึกกันแน่นะ
ทั้งสองนั่งเงียบไม่พูดคุยอะไรกันตลอดเกือบหนึ่งชั่วโมง คนหนึ่งไม่รู้จะคุยอะไรเพราะเดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนพูดอะไรมากมายอยู่แล้ว ส่วนอีกคนรู้สึกไม่พอใจนิดๆ ที่ถูกอ่านความคิดออกจึงปิดปากเงียบสนิท แต่แล้วเสียงร้องขอยอมแพ้ก็ดังมาจากคนตัวเล็กเพราะทนบรรยากาศกดดันอีกต่อไปไม่ไหว เรียกสายตางุนงงน้อยๆ จากอีกคนเพราะเขาไม่รู้เรื่องเรื่องการแข่งขัน ‘ใบ้กิน’ ของอีกฝ่าย ร่างเล็กลุกขึ้นยืนพร้อมกับหันขวับไปจ้องหน้าร่างสูงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ใบหน้าเรียบสนิทจ้องตอบด้วยท่าทางเฉยเมยเหมือนทุกที แต่แล้วคนตัวเล็กก็ต้องเบือนหน้าหนีเมื่ออยู่ๆ เธอก็รู้สึกแปลกๆ ยามสบเข้ากับนัยน์ตาสีอำพันคู่สวยนั่น เหมือนไม่รู้ว่าจะพูดหรือจะทำหน้ายังไงดี ทั้งสับสนแล้วก็อึดอัดในเวลาเดียวกัน ซึ่งเธอก็อธิบายไม่ถูกว่าความรู้สึกแบบนี้นั้นมันเรียกว่าอะไร ให้ตายสิ ทั้งเจ้าบ้าวอลและก็เอเวนนี่มันมีไฟฟ้าสถิตหรือยังไงกันนะ ช่วงนี้ถึงเข้าหน้าด้วยไม่ติดสักคน
ถ้าชนเผ่ามายามีความสามารถพิเศษเรื่องการได้ยิน เธอก็คงจะได้ยินเสียงหัวใจที่กำลังเต้นรุนแรงของเอเวน เด็กหนุ่มรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังเกิดขึ้นกับเขา และเขาก็ควบคุมมันไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะยังสามารถรักษาสีหน้าและท่าทางภายนอกให้เป็นปกติได้ แต่ภายในกลับปั่นป่วนจนเขาแทบทนไม่ไหวอีกต่อไป
แต่แล้วบรรยากาศอันแสนจะอึดอัดนี้ก็ต้องหายวับไปเมื่อรถเคอาร์เผชิญหน้าเข้ากับด่านตรวจด่านที่สิบสอง เสียงตะโกนโหวกเหวกบอกให้หยุดดังลอยมาแต่ไกล คนตั้งสติได้ก่อนรีบบังคับเคอาร์ให้หยุดตามคำสั่งของพวกทหาร นัยน์ตาสีอำพันตวัดไปยังคนข้างกายพร้อมด้วยเสียงเรียบกล่าวออกคำสั่ง
“เรียกเจ้าตัวแคปซูลให้มาทำงานได้แล้ว” คนถูกสั่งหันขวับมาค้อนให้น้อยๆ อย่างไม่พอใจก่อนจะเดินออกไปจากห้อง เอเวนหันกลับไปมองกลุ่มทหารเบื้องหน้าด้วยสายตาเคร่งเครียด เชื้อเพลิงที่เหลืออยู่ตอนนี้มีใช้สำหรับเดินทางต่ออีกแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ถ้าเชื้อเพลิงหมด เขาก็คงต้องใช้เวทมนตร์ ซึ่งเป็นปัญหาหนักท่ามกลางด่านตรวจพวกนี้
จากนี้ไปเขาจะทำอย่างไรดี?
มิเวลค่อยๆ แง้มเปิดประตูห้องของวอลพร้อมกับเพ่งสายตาไปยังร่างหนึ่งในแคปซูล เป็นไปตามคาดเมื่อเจ้าบ้าวอลยังคงนั่งซบหน้ากับเข่าทั้งสองอยู่ไม่ขยับเขยื้อน ร่างเล็กยืนนิ่งอยู่หน้าประตูอย่างไม่เข้าใจตัวเอง นี่มันอะไรกัน เธอแค่จะไปปลุกเจ้าบ้าเท่านั้นเองนะ แต่พอคิดว่าจะได้เจอหน้าเขาแล้ว ขาสองข้างมันก็รู้สึกชาขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ เด็กสาวสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ ก้าวเท้าทีละข้างเข้าไปในห้องอย่างเงียบเชียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ เธอตั้งใจจะแอบดูว่าคนขี้เซาตรงหน้าหลับจริงหรือเปล่า เพราะที่ผ่านมานั้นเจ้าตัวยุ่งเงยหน้าขึ้นมาทำตาแป๋วก่อนจะถูกปลุกทุกครั้ง เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่แน่ใจว่าเขาหลับจริงหรือแกล้งหลับกันแน่ ถ้าหลับอยู่จริงๆ ก็ไม่น่าจะรู้ตัวก่อนสิ
แต่แล้วความพยายามก็เป็นอันไร้ผลเมื่อเดินมาได้สามก้าว ร่างในแคปซูลเงยหน้าขึ้นมามองสบตาด้วยรอยยิ้มสดใสเช่นเคย มิเวลสบถในใจอย่างเคืองๆ เธออยู่ห่างจากแคปซูลตั้งเกือบสามเมตรแต่วอลก็ยังคงรู้ตัว ระยะทางในการเดินเข้าไปปลุกก่อนเจ้าบ้าจะตื่นมันชักจะลดน้อยลงทุกทีแล้วสิ เจ้าบ้านี่หลับแน่หรือเปล่าเนี่ย
“มีงาน” เสียงเย็นชาบอกจุดประสงค์พร้อมกับใช้มือกวักเรียกอีกฝ่ายให้ออกมา
วอลหันไปกดปุ่มเปิดกระจกแคปซูลออก แต่ทันทีที่กดน้ำหนักลงเท้าทั้งสองข้างร่างของเด็กหนุ่มก็ทรุดฮวบลงเหมือนคนไม่มีแรง ทำให้มิเวลต้องรีบวิ่งเข้ามาดูอาการของเขาด้วยความเป็นห่วง แม้ว่าใบหน้าจะขาวซีดหนักจนเธอรู้สึกกลัวแทน แต่วอลก็ยังคงยิ้มสดใสร่าเริงอยู่เหมือนเคยพร้อมด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ อย่างอารมณ์ดี
“ถึงเวลาต้องแสดงฝีมืออันยอดเยี่ยมอีกแล้วเหรอ”
“คนใช้พลังน่ะควินัวไม่ใช่รึไง” นัยน์ตาสีแดงเหลือบมองรอยยิ้มกว้างของอีกฝ่ายอย่างขัดใจ เสียงหัวเราะแปร่งๆ เหมือนต้องเค้นแรงทั้งหมดอย่างยากลำบากนั่นก็เป็นเครื่องยืนยันความอ่อนเพลียของเขาได้พอสมควรแล้ว แต่ดันมาเก๊กทำเป็นเก่งอยู่ได้
แล้วทันใดนั้นเอง ร่างของวอลก็สั่นไหวน้อยๆ ก่อนจะตามมาด้วยการไออย่างรุนแรง เด็กหนุ่มใช้มือซ้ายปิดปากตัวเองแน่น การโก่งตัวไอโขลกๆ ของเขาทำให้เธอรู้สึกกลัว มือขวารีบยกขึ้นลูบแผ่นหลังที่สั่นกระตุกตามแรงไอ สายตากังวลรีบมองไปรอบห้องมืดมัวเพื่อหาแก้วน้ำหรือขวดน้ำ ไม่ทันคิดว่าในห้องสี่เหลี่ยมว่างโล่งมีแต่แคปซูลแบบนี้คงจะมีของแบบนั้นอยู่หรอก
“นี่เป็นอาการแพ้แดดของเจ้าหรือเปล่า” น้ำเสียงเป็นห่วงเอ่ยถามคนข้างตัวเมื่อเห็นว่าอาการของเขาเริ่มดีขึ้น แล้วก็ได้รับคำตอบเพียงแค่รอยยิ้มน้อยๆ ตามแบบฉบับของเขา ซึ่งมันยิ่งทำให้เธอรู้สึกฉุนมากขึ้นไปอีก ยังจะทำเป็นเก่งอยู่นั่นแหละ ทำไมเจ้าบ้านี่ถึงเป็นแบบนี้นะ ให้ตายสิ ถามอะไรไปไม่เคยตอบเลยสักครั้งเดียว
ร่างเล็กลุกพรวดขึ้นอย่างอารมณ์เสีย เหลือบสายตาหงุดหงิดมองเจ้าตัวยุ่งที่ยังคงนั่งแผละอยู่กับพื้น
เด็กหนุ่มนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน จริงๆ แล้วเขาก็อยากลุกตามมิเวลเหมือนกัน แต่เกรงว่าอาจจะต้องล้มลงมาอีกรอบเพราะอาการมึนหัวรุนแรงอย่างรุนแรงกำลังกัดกินร่างของเขาอยู่
วอลเงยหน้าขึ้นมองใบหน้ามุ่ยของเด็กสาวพร้อมกับส่งยิ้มกว้างไปให้ แต่มิเวลกลับจ้องกลับมาด้วยสายตาดุๆ ตามเคย ซึ่งทำให้รอยยิ้มแฉ่งต้องเจื่อนลงอย่างช่วยไม่ได้
“ควินัวล่ะ” เสียงแข็งเอ่ยถามอย่างอารมณ์ไม่ดี พยายามข่มความรู้สึกเป็นห่วงที่เอ่อล้นออกมาจนเธอแทบกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ รู้สึกหวาดกลัวว่าอีกฝ่ายจะเป็นอะไรไป
คนถูกถามยิ้มรับพร้อมกับหลับตาลง ก่อนที่ร่างหนึ่งจะค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นข้างๆ กาย นัยน์ตาสีแดงมีแววอ่อนลงขณะมองเจ้าเฟรเนร่าตัวน้อย ขนสีขาวบริสุทธิ์ซึ่งให้ความรู้สึกอบอุ่น สายตาอ่อนโยนมองควินัวที่กำลังโค้งคำนับให้วอลน้อยๆ อย่างเอ็นดู
“ถึงด่านตรวจด่านต่อไปแล้ว” เสียงเรียบกล่าวพร้อมกับเบือนสายตากลับไปยังผู้เป็นเจ้าของสัตว์เวทตัวน้อย ปรากฏรอยยิ้มทะเล้นบนใบหน้าของเขา พร้อมด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ อย่างชอบใจ
“พวกเจ้าใช้งานควินัวซะอ่วมเลย ต้องเลี้ยงข้าวมันด้วยนะ” เสียงสดใสพูดล้อเล่นตามเคย รู้แก่ใจดีว่าเด็กสาวเองก็รู้เรื่องที่ควินัวกินพลังวิญญาณของต้นไม้ แต่คำพูดล้อเล่นนั้นกลับทำให้คนฟังรีบตวัดสายตากลับไปยังควินัวอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง เธอไม่เคยมีโอกาสได้คลุกคลีกับพวกสัตว์เวทและไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับพวกมันมากนัก ดังนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าเฟรเนร่ามีอาการเหนื่อยหรือเจ็บป่วยอะไรบ้างหรือเปล่า แถมเฟรเนร่ายังเป็นสัตว์เวทที่ไม่พูดอีกต่างหาก การสื่อสารถามไถ่อาการจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
“ข้าอยากคุยกับเจ้าได้จัง” มิเวลพูดพึมพำออกมาเบาๆ ขณะมองร่างน้อยๆ ของควินัวด้วยสายตาเหม่อลอย ไม่มีเสียงตอบรับจากทั้งควินัวและผู้เป็นเจ้านายของมัน
มิเวลหันกลับไปมองเจ้าตัวยุ่งอีกครั้ง ใบหน้ายิ้มๆ ของวอลยังคงรอยยิ้มน้อยๆ เอาไว้อยู่เช่นเดิม เธอไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แถมถามอะไรไป เจ้าบ้านี่ก็ไม่เคยตอบตรงคำถามเลยสักครั้ง
“ไปกันได้แล้ว” เสียงเรียบกล่าวพร้อมกับหมุนตัวเดินกลับไปที่ประตู แต่แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นแค่ควินัวที่เดินตามมา เด็กสาวหันกลับไปมองอีกคนที่ควรจะเดินตามออกมาด้วยกันอย่างสงสัย
“สู้ๆ” วอลตะโกนไล่หลังเสียงใสพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้าง ชูกำปั้นขึ้นด้วยท่าทางมั่นใจสุดขีด
“เจ้าไม่ตามมา?”
“ข้าอยากนอนต่ออีกหน่อยน่ะ” เสียงใสตอบพร้อมกับยักไหล่น้อยๆ “ไม่เป็นไรหรอกน่า ควินัวเป็นคนใช้พลังนี่ ไม่ใช่ข้าสักหน่อย”
มิเวลยืนมองอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งอย่างชั่งใจ วอลเองก็มีความสามารถใช้พลังจิตได้ และถ้าเจ้าตัวบอกว่าไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง เธอก็คงจะเชื่อเขาได้...ล่ะมั้ง
‘และ...ข้าอยากให้เจ้าเชื่อใจข้า’
เสียงหนึ่งในความทรงจำดังก้องขึ้น ราวกับว่าคำพูดของเขาได้ตราตรึงอยู่ในจิตใจของเธอจนเอาไม่ออกไปเสียแล้ว ความรู้สึกแปลกๆ กำลังก่อตัวขึ้นทำให้เธอต้องรีบเดินหนีออกจากห้องมา ซึ่งเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเดินหนีออกมาทำไม เธอไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ทำไมถึงต้องหลบหน้าเจ้านั่นด้วย แต่หลังจากก้าวเท้าเร็วๆ มาได้แค่ไม่กี่ก้าว ร่างเล็กก็หยุดยืนนิ่งอยู่ตรงระเบียงทางเดิน นัยน์ตาสีแดงหลุบต่ำอย่างเหม่อลอย
เชื่อใจงั้นเหรอ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะไม่เชื่อใจใคร และเจ้าบ้าวอลก็เป็นคนที่ทำให้เธอต้องพังทลายความตั้งใจนั่นอยู่หลายครั้งหลายคราเหลือเกิน
++++++++++++++++++++++++
เสียงเคาะประตูดังขึ้น เรียกความสนใจจากดูวัลให้ตวัดสายตาเคร่งเครียดไปยังบานประตูทางด้านขวา มือสองข้างเท้าอยู่กับขอบโต๊ะซึ่งมีกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่ แล้วเสียงเข้มก็กล่าวอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามาข้างในได้ ร่างของทหารหนุ่มนายหนึ่งก้าวผ่านประตูเข้ามา โค้งคำนับเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อผู้ดำรงสูงสุดของรัฐบาล
“ขออนุญาตครับท่าน”
“ว่ามา” เสียงเนิบกล่าว พร้อมกับละสายตามายังแผ่นกระดาษเบื้องหน้าอีกครั้ง เขากำลังดูแผนที่ของเมืองเธอเบซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ การศึกษาหาเส้นทางหนีภายในเมืองต่างๆ นั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก เพราะแต่ละเมืองต่างก็มีแผนที่ปลอมอยู่เต็มไปหมด เขาไม่มีทางรู้แน่ชัดได้เลยว่าของจริงอยู่ที่ไหน ดังนั้นจึงต้องไล่ดูไปเรื่อยๆ ทีละแผนที่ และเป็นเรื่องยุ่งยากเสียเวลาจนเขาเกือบยอมแพ้ไปแล้วหลายครั้ง แต่ก็ทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะว่าเส้นทางหนีทีไล่ของเมืองต่างๆ นั้นจำเป็นต่อการรับมือการบุกทำลายของตุ๊กตาปีศาจ รวมทั้งการประกาศสงครามกับผู้ใช้เวท เขาต้องหาทางหนีเอาไว้ให้ชาวบ้านชาวเมืองยามถูกโจมตี
“การรบกันที่เมืองฟรองเรย์สิ้นสุดลงแล้วครับ”
ดูวัลเงยหน้าขึ้นจากแผนที่บนโต๊ะพร้อมกับตวัดสายตาไปยังทหารหนุ่มอย่างสนใจ เขาเลิกคิ้วสูงขึ้นเพื่อเป็นการบอกให้อีกฝ่ายกล่าวต่อ
“หลังจากทางเราส่งทหารไปช่วยเหลือฟรองเรย์สู้กับตุ๊กตาปีศาจ สถานการณ์จึงดีขึ้นชั่วระยะหนึ่ง แต่...” เสียงรายงานขาดห้วงไปทำให้ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัย มองนายทหารหนุ่มผู้กำลังมีสีหน้ากล้ำกลืนอะไรบางอย่างด้วยความฉงน
“มีอะไร” เสียงเข้มถาม
“คือ...มีผู้รอดชีวิตหนีตายกลับมาแจ้งข่าวว่าตุ๊กตาพวกนั้นมันฆ่าไม่ตายครับท่าน ไม่ว่าทางเราจะส่งทหารไปมากขนาดไหนก็ไม่เป็นผล และพวกเขาก็ลองใช้ทุกวิถีทางแล้วด้วยครับ” ทหารหนุ่มตอบเสียงเครียด
ข่าวร้ายทำให้ดูวัลต้องยกมือขึ้นนวดขมับช้าๆ การรบสิ้นสุดลงด้วยความพินาศของกองทัพรัฐบาล ไม่ต้องถามถึงสภาพของเมืองฟรองเรย์เขาก็รู้ว่าคงย่อยยับไม่แพ้กัน ผู้คนต้องล้มตายไปเป็นจำนวนมาก ทั้งพวกชาวบ้านและทหาร และที่แย่กว่านั้นก็คือ ความหายนะยังไม่จบแค่นี้เพราะหนทางในการกำจัดศัตรูนั้นช่างริบหรี่เหลือเกิน บางทีอาจจะถึงเวลาแล้วก็ได้ที่เขาต้องยอมยุติสงครามกับผู้ใช้เวทลงชั่วคราว แล้วหันมาจัดการเรื่องตุ๊กตาปีศาจก่อน เพราะตอนนี้การยืมพลังของพวกผู้ใช้เวทนั้นเป็นสิ่งจำเป็นขึ้นมาแล้ว
“พักสงครามกับผู้ใช้เวทเอาไว้ก่อน” เสียงเข้มออกคำสั่ง แต่แทนที่เขาจะได้ยินคำตอบรับเช่นเคย คนถูกสั่งกลับมีท่าทีลังเลเหมือนไม่อยากจะทำตามสักเท่าไหร่ ดูวัลขมวดคิ้วอย่างขัดใจ ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะมีทหารชั้นผู้น้อยกล้าขัดคำสั่งเขาอยู่ด้วย
นายทหารหนุ่มแสดงสีหน้าตกใจเมื่อเห็นใบหน้าดุดันของผู้บังคับบัญชา รู้ตัวทันทีว่าเขาทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจขึ้นมาเสียแล้ว น้ำเสียงตะกุกตะกักรีบชี้แจงเหตุผลของการกระทำอันไม่เหมาะสมของตัวเองทันควัน
“มีทหารกลุ่มหนึ่งหนีรอดกลับมาได้ครับท่าน แต่ถูกฆ่าตายระหว่างทาง เหลือผู้รอดชีวิตเพียงแค่คนเดียวนำข่าวเรื่องการรบที่ฟรองเรย์กลับมาแจ้งให้ทราบ”
“ถูกฆ่าตาย? ฝีมือใคร?” ดูวัลถามย้ำ เขากำลังนึกถึงตุ๊กตาปีศาจที่ตามมาฆ่าพวกทหาร แต่แล้วคำตอบจากคนอ่อนวัยกว่ากลับทำให้เขาต้องลบความคิดนั้นทิ้งไปโดยพลัน นัยน์ตาสีเข้มเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ
“กลุ่มของพวกผู้ใช้เวทครับท่าน พวกมันรวมตัวกันประกาศสงครามอย่างเป็นทางการกับพวกเรา”
+++++++++++++++++++++++++
โปรดติดตามตอนต่อไป!!
อีกประมาณ 5 ตอนก็จะจบซีซั่นแรกแล้วววว ขอบคุณทุกกำลังใจนะฮับบบบ
EPISODE 29
ด่านตรวจ และ ข่าวร้าย
“หยุดรถเดี๋ยวนี้” เสียงห้าวของทหารนายหนึ่งตะโกนบอก พร้อมกับยกมือขึ้นเป็นสัญลักษณ์เชิงห้ามว่าไม่สามารถผ่านจุดนี้ต่อไปได้หากไม่ได้รับการตรวจยืนยันตัวตนให้เรียบร้อยก่อน
ชายวัยประมาณสี่สิบกว่าถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายให้กับอาชีพการงานอันไม่น่ารื่มรมย์ของตัวเอง เขาไม่ได้อยากมาเป็นทหาร แต่อาชีพประจำตระกูลตั้งแต่รุ่นปู่ทวดเป็นต้นมาทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่น สายตาเซ็งๆ มองผ่านหน้าต่างของรถเคอาร์ที่กำลังชะลอความเร็วเข้าไปด้านใน พลางนึกสงสัยในใจว่าข้างบนนี้มีคนอยู่เท่าไหร่กันแน่ ดูจากขนาดใหญ่โตนี่แล้วคงจุคนได้สักสิบกว่าคนเลยล่ะมั้ง
เมื่อรถเคอาร์จอดนิ่งสนิทเรียบร้อยประตูก็ค่อยๆ เปิดอ้าออก เผยให้เห็นร่างหนึ่งยืนต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอยู่ด้านใน นัยน์ตาสีเข้มมองสำรวจร่างนั้นตามหน้าที่ว่ามีสิ่งผิดปกติอะไรมั้ย ดูๆ แล้วเด็กหนุ่มตรงหน้าน่าจะมีอายุไม่เกินสิบห้าหรืออาจจะเด็กกว่านั้น และดูเด็กกว่าลูกชายของเขาเสียอีก คิ้วสองข้างขมวดน้อยๆ ขณะมองรอยยิ้มกว้างนั่น เขารู้สึกสงสัยอะไรบางอย่างเกี่ยวกับสีผิวของเด็กหนุ่มผู้นี้ มันขาวซีดราวกับหิมะจนน่ากลัว เขาไม่เคยเห็นใครมีผิวขาวซีดแบบไม่มีสีเลือดขนาดนี้มาก่อน แล้วยิ่งสีตากับสีผมยังเป็นสีเงินสว่างด้วยอีก มองดูเผินๆ แล้วเหมือนกระดาษไม่มีผิด
แต่แล้วทั้งความคิดเรื่องอาชีพน่าเบื่อของตัวเองและข้อสงสัยเกี่ยวกับนักเดินทางหนุ่มน้อยก็ต้องหายไปอย่างฉับพลัน เมื่ออยู่ๆ ก็มีอะไรบางอย่างปรากฏตัวขึ้นข้างๆ เด็กหนุ่ม เขาเพ่งสายตามองร่างเล็กๆ นั่นชัดๆ ก่อนจะเบิกตากว้างขึ้นด้วยความตกใจ อาชีพน่าเบื่อเปลี่ยนเป็นอันตรายไปในทันทีหลังจากแน่ใจว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้าอยู่กับสัตว์เวทและเจ้านายของมัน เด็กหนุ่มผู้นี้ต้องเป็นผู้ใช้เวทอย่างแน่นอน ร่างสูงรีบก้าวถอยหลังพร้อมกับหันไปออกคำสั่งเสียงเข้มให้เหล่าลูกน้องทั้งหลายเตรียมพร้อมด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เขาไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอผู้ใช้เวทพร้อมทั้งสัตว์เวทตัวเป็นๆ หลังจากทำงานมาหลายสิบปี
“ยิง!” คำสั่งประกาศก้อง พร้อมกับที่ทหารหลายสิบนายเหนี่ยวไกปืนในมือโดยพร้อมเพรียงกัน
ม่านพลังปรากฏขึ้นเป็นกำบังป้องลูกกระสุนจำนวนมากเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย เหล่าคนธรรมดาทั้งหลายมองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึงในความเป็นรองอย่างเห็นได้ชัดของพวกเขา
“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่าอย่าก่อเรื่อง” เสียงเย็นชากล่าวขึ้นด้วยความไม่พอใจ พร้อมด้วยร่างสูงที่ก้าวผ่านประตูเข้ามาในห้องรวมอย่างรวดเร็ว ใบหน้าขมวดคิ้วน้อยๆ หันไปจ้องอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง เขาอุตส่าห์อธิบายแล้วเชียวว่ากำไลทองมันไม่มีผลกับเครื่องต้านพลังเวท ดังนั้นเขาจึงใช้เวทได้ลำบาก แต่แทนที่คนก่อเรื่องจะรู้สึกผิดนั้นกลับยังคงยิ้มกว้างเริงร่าเหมือนปกติ ไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งสิ้น
“ข้ายังไม่ทันได้ทำอะไรเลย เพราะฉะนั้นข้าไม่ได้ก่อเรื่องนะ” เสียงใสเอ่ยแก้ตัวน้ำขุ่นๆ อย่างมั่นใจในความไร้มลทินของตัวเอง เอเวนถอนหายใจอย่างหงุดหงิดให้กับคำแก้ตัวไร้สาระนั่น เพราะเจ้าตัวแคปซูลนี่มัวแต่ยืนบื้ออยู่นั่นแหละ ถึงได้เกิด ‘เรื่อง’ ขึ้น
“จะเอาอย่างไรดีครับท่าน” นายทหารคนหนึ่งเอ่ยถามหัวหน้าหน่วยเสียงเครียด สายตาหวาดระแวงมองตรงไปยังร่างบอบบางที่ดูไม่เหมือนผู้ร้ายเลยแม้แต่นิดเดียวตรงหน้า ก่อนจะเบือนสายตาไปยังอีกคนที่น่าจะมีอายุไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก แต่พอสบเข้ากับสายตาเย็นชาของอีกฝ่ายแล้วเขาก็ต้องกลืนน้ำลายเหนียวลงคออย่างยากลำบาก เพราะอยู่ๆ ร่างกายก็แข็งทื่อไปหมดพร้อมด้วยความรู้สึกเสียววาบไปทั่วทั้งตัว
จิตสังหาร! สายตาหวาดกลัวมองคนตรงหน้าอย่างเก็บความรู้สึกเอาไว้ไม่อยู่ คนคนนี้มันปีศาจชัดๆ อายุน้อยกว่าเขาร่วมสิบปีแต่กลับมีจิตสังหารถึงขนาดนี้ ผู้ใช้เวทมันเป็นพวกปีศาจ และพวกเขากำลังจะตายเพราะถูกพวกมันฆ่าอย่างเลือดเย็น
เพราะนายทหารทุกคนมัวแต่ไปเพ่งสายตาแวดระวังใส่เด็กหนุ่มผู้มาใหม่จึงไม่ทันสังเกตเห็นการหายตัวไปของสัตว์เวท กว่าจะรู้ตัวอีกที เจ้าสัตว์เวทตัวน้อยที่ว่าก็ปรากฏตัวขึ้นข้างกายของผู้ครองตำแหน่งหัวหน้าหน่วยเรียบร้อยแล้ว นัยน์ตาสีเข้มเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจ รีบตะโกนออกคำสั่งให้จัดการร่างน้อยๆ นี่ทันที
แต่กระสุนปืนมีหรือจะสู้พลังจิตที่เล่นงานทางจิตใจโดยตรงได้ ยังไม่ทันจะได้จับปืนให้อยู่ในท่าเตรียมพร้อม ทหารหลายสิบนายก็พากันล้มลงไปกองกับพื้น หมดสติไปอย่างน่าอนาถ ไม่เว้นแม้แต่ผู้มีตำแหน่งสุงสุดในบริเวณนี้
มิเวลยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ภายในห้องบังคับ ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อทุกอย่างผ่านไปด้วยดี นัยน์ตาสีแดงเหลือบมองกำไลทองบนข้อมือซ้ายของตัวพลางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เธอกำลังกลัวอยู่ว่าถ้าเอเวนใช้พลังเวทไปแล้ว เครื่องตรวจสอบพลังเวทจะมีปฏิกิริยาเนื่องจากไอเวทจากพลังของเขาหรือเปล่า แต่ดูเหมือนว่ากำไลทองนี่จะมีคุณสมบัติมากกว่าที่คิดเอาไว้ แล้วมันก็กลายเป็นที่มาของคำถามในใจเธอว่า เอเวนได้กำไลทองนี่มาจากไหน เขาเคยบอกเอาไว้ว่าได้มาจากองค์กรปริศนา แล้วก็ไม่เคยขยายความเพิ่มเติมอะไรอีกเลย
ควินัวโค้งคำนับให้กับผู้เป็นเจ้านายน้อยๆ หลังจากได้รับนิ้วโป้งเยี่ยมยอดพร้อมด้วยร้อยยิ้มกว้างจากเด็กหนุ่มเป็นการชมเชย
“เจ๋งมากควินัว” เสียงสดใสกล่าวอย่างดีใจก่อนจะหันไปยิ้มแฉ่งให้กับคนไม่ชอบยิ้ม ยืดตัวขึ้นน้อยๆ ด้วยความภาคภูมิใจพร้อมกับมองร่างสูงด้วยสายตาคาดหวังเหมือนกำลังรอคำชมจากเขา เอเวนถอนหายใจอย่างเซ็งๆ ในใจคิดอย่างรำคาญว่าเจ้าตัวแคปซูลนี่เหมือนหมามากกว่าเฟรเนร่าเสียอีก เด็กหนุ่มไม่พูดอะไรนอกจากหันหลังกลับ เดินออกจากห้องไปอย่างไม่สนใจ
รถเคอาร์มุ่งหน้าเดินทางต่อไปเรื่อยๆ และสามารถผ่านด่านตรวจอีกสี่ด่านมาได้โดยไม่มีปัญหาอะไร แต่กลับต้องมาเจอปัญหาใหญ่เรื่องเชื้อเพลิง ซึ่งผู้รับหน้าที่เป็นสารถีอย่างเขากำลังคิดหนักว่าจะทำอย่างไรดี ถ้าจะหาซื้อเชื้อเพลิงก็ต้องเข้าเมือง และเมืองที่ใกล้ที่สุดในตอนนี้ก็คงหนีไม่พ้นแคว้นเมเบิร์ก เด็กหนุ่มกำหมัดแน่น โกรธตัวเองที่ตัดสินใจพลาดไป เขาน่าจะหยุดแวะที่ควอเรลโดยให้เจ้าตัวแคปซูลนั่นใช้พลังจิตแก้ปัญหาเรื่องการตรวจคนเข้าเมือง บ้าชะมัด เป็นเพราะว่าในตอนนั้นเขาไม่ทันนึกเรื่องนี้แท้ๆ
เสียงกุกกักนอกห้องบังคับทำให้เอเวนคลายหมัดที่กำแน่นออกพร้อมกับเพ่งความสนใจไปยังเส้นทางด้านหน้าตามเดิม เพราะแสงแดดยามบ่ายทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีเยี่ยมจึงทำให้มองเห็นทางได้อย่างชัดเจน
เสียงเปิดประตูดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงรองเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เอเวนหลับตาลงชั่วครู่ นึกถึงจังหวะการเดินของใครบางคน ฝีเท้าหนักแน่นที่ไม่เหมาะอย่างยิ่งในการทำงานเป็นสายลับ
“เหลืออีกครึ่งทาง ประมาณสองวัน” เสียงเรียบกล่าวบอกโดยไม่ได้หันไปมอง คิดว่าอีกฝ่ายอาจจะมาที่นี่เพราะอยากรู้ว่าอีกนานเท่าไหร่ถึงจะหลุดพ้นเขตปกครองของเมเบิร์ก ใบหน้างามมีแววบึ้งตึงอยู่น้อยๆ เนื่องจากเอเวนรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของเธอโดยไม่แม้แต่จะหันมาสบตาเลยด้วยซ้ำ
มิเวลไม่พูดอะไรนอกจากนั่งลงข้างๆ เด็กหนุ่ม ถอนหายใจเบาๆ เป็นการระบายอารมณ์ เธอไม่รู้จะทำอะไรจึงเดินเล่นไปเรื่อยเปื่อย จะไปคุยไร้สาระกับเจ้าบ้าวอลก็เป็นอันต้องยกเลิกไป เพราะพอเปิดประตูห้องเจ้านั่นแล้วก็เจอเขานั่งหลับท่าเดิมอยู่ในแคปซูล ซึ่งเธอยังคงงุนงงอยู่เหมือนเดิมว่าวอลหลับท่าแบบนั้นเข้าไปได้ยังไง แต่มิเวลก็ต้องรู้สึกโล่งใจลึกๆ ที่เขากำลังหลับ เป็นเพราะคำพูดแปลกๆ ของเจ้าบ้าวอลเมื่อวันก่อน เธอจึงไม่รู้ว่าจะทำหน้ายังไงดีเวลาเจอเขา เพราะไม่อยากปลุกคนกำลังหลับอุตุเด็กสาวจึงเดินออกมาเงียบๆ แล้วก็นึกสงสัยขึ้นมาว่าเมื่อไหร่จะจบไอ้ด่านตรวจบ้าๆ พวกนี้ซะทีจึงตั้งใจจะมาถามผู้รอบรู้
แต่ยังไม่ทันถามอะไรเลยสักคำ เอเวนกลับเดาออกหมด นัยน์ตาสีแดงชำเลืองมองคนข้างกายอย่างขุ่นเคืองเล็กๆ นี่เป็นเพราะว่าเธออ่านออกง่ายหรือเพราะเอเวนมันแปลกพิลึกกันแน่นะ
ทั้งสองนั่งเงียบไม่พูดคุยอะไรกันตลอดเกือบหนึ่งชั่วโมง คนหนึ่งไม่รู้จะคุยอะไรเพราะเดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนพูดอะไรมากมายอยู่แล้ว ส่วนอีกคนรู้สึกไม่พอใจนิดๆ ที่ถูกอ่านความคิดออกจึงปิดปากเงียบสนิท แต่แล้วเสียงร้องขอยอมแพ้ก็ดังมาจากคนตัวเล็กเพราะทนบรรยากาศกดดันอีกต่อไปไม่ไหว เรียกสายตางุนงงน้อยๆ จากอีกคนเพราะเขาไม่รู้เรื่องเรื่องการแข่งขัน ‘ใบ้กิน’ ของอีกฝ่าย ร่างเล็กลุกขึ้นยืนพร้อมกับหันขวับไปจ้องหน้าร่างสูงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ใบหน้าเรียบสนิทจ้องตอบด้วยท่าทางเฉยเมยเหมือนทุกที แต่แล้วคนตัวเล็กก็ต้องเบือนหน้าหนีเมื่ออยู่ๆ เธอก็รู้สึกแปลกๆ ยามสบเข้ากับนัยน์ตาสีอำพันคู่สวยนั่น เหมือนไม่รู้ว่าจะพูดหรือจะทำหน้ายังไงดี ทั้งสับสนแล้วก็อึดอัดในเวลาเดียวกัน ซึ่งเธอก็อธิบายไม่ถูกว่าความรู้สึกแบบนี้นั้นมันเรียกว่าอะไร ให้ตายสิ ทั้งเจ้าบ้าวอลและก็เอเวนนี่มันมีไฟฟ้าสถิตหรือยังไงกันนะ ช่วงนี้ถึงเข้าหน้าด้วยไม่ติดสักคน
ถ้าชนเผ่ามายามีความสามารถพิเศษเรื่องการได้ยิน เธอก็คงจะได้ยินเสียงหัวใจที่กำลังเต้นรุนแรงของเอเวน เด็กหนุ่มรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังเกิดขึ้นกับเขา และเขาก็ควบคุมมันไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะยังสามารถรักษาสีหน้าและท่าทางภายนอกให้เป็นปกติได้ แต่ภายในกลับปั่นป่วนจนเขาแทบทนไม่ไหวอีกต่อไป
แต่แล้วบรรยากาศอันแสนจะอึดอัดนี้ก็ต้องหายวับไปเมื่อรถเคอาร์เผชิญหน้าเข้ากับด่านตรวจด่านที่สิบสอง เสียงตะโกนโหวกเหวกบอกให้หยุดดังลอยมาแต่ไกล คนตั้งสติได้ก่อนรีบบังคับเคอาร์ให้หยุดตามคำสั่งของพวกทหาร นัยน์ตาสีอำพันตวัดไปยังคนข้างกายพร้อมด้วยเสียงเรียบกล่าวออกคำสั่ง
“เรียกเจ้าตัวแคปซูลให้มาทำงานได้แล้ว” คนถูกสั่งหันขวับมาค้อนให้น้อยๆ อย่างไม่พอใจก่อนจะเดินออกไปจากห้อง เอเวนหันกลับไปมองกลุ่มทหารเบื้องหน้าด้วยสายตาเคร่งเครียด เชื้อเพลิงที่เหลืออยู่ตอนนี้มีใช้สำหรับเดินทางต่ออีกแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ถ้าเชื้อเพลิงหมด เขาก็คงต้องใช้เวทมนตร์ ซึ่งเป็นปัญหาหนักท่ามกลางด่านตรวจพวกนี้
จากนี้ไปเขาจะทำอย่างไรดี?
มิเวลค่อยๆ แง้มเปิดประตูห้องของวอลพร้อมกับเพ่งสายตาไปยังร่างหนึ่งในแคปซูล เป็นไปตามคาดเมื่อเจ้าบ้าวอลยังคงนั่งซบหน้ากับเข่าทั้งสองอยู่ไม่ขยับเขยื้อน ร่างเล็กยืนนิ่งอยู่หน้าประตูอย่างไม่เข้าใจตัวเอง นี่มันอะไรกัน เธอแค่จะไปปลุกเจ้าบ้าเท่านั้นเองนะ แต่พอคิดว่าจะได้เจอหน้าเขาแล้ว ขาสองข้างมันก็รู้สึกชาขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ เด็กสาวสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ ก้าวเท้าทีละข้างเข้าไปในห้องอย่างเงียบเชียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ เธอตั้งใจจะแอบดูว่าคนขี้เซาตรงหน้าหลับจริงหรือเปล่า เพราะที่ผ่านมานั้นเจ้าตัวยุ่งเงยหน้าขึ้นมาทำตาแป๋วก่อนจะถูกปลุกทุกครั้ง เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่แน่ใจว่าเขาหลับจริงหรือแกล้งหลับกันแน่ ถ้าหลับอยู่จริงๆ ก็ไม่น่าจะรู้ตัวก่อนสิ
แต่แล้วความพยายามก็เป็นอันไร้ผลเมื่อเดินมาได้สามก้าว ร่างในแคปซูลเงยหน้าขึ้นมามองสบตาด้วยรอยยิ้มสดใสเช่นเคย มิเวลสบถในใจอย่างเคืองๆ เธออยู่ห่างจากแคปซูลตั้งเกือบสามเมตรแต่วอลก็ยังคงรู้ตัว ระยะทางในการเดินเข้าไปปลุกก่อนเจ้าบ้าจะตื่นมันชักจะลดน้อยลงทุกทีแล้วสิ เจ้าบ้านี่หลับแน่หรือเปล่าเนี่ย
“มีงาน” เสียงเย็นชาบอกจุดประสงค์พร้อมกับใช้มือกวักเรียกอีกฝ่ายให้ออกมา
วอลหันไปกดปุ่มเปิดกระจกแคปซูลออก แต่ทันทีที่กดน้ำหนักลงเท้าทั้งสองข้างร่างของเด็กหนุ่มก็ทรุดฮวบลงเหมือนคนไม่มีแรง ทำให้มิเวลต้องรีบวิ่งเข้ามาดูอาการของเขาด้วยความเป็นห่วง แม้ว่าใบหน้าจะขาวซีดหนักจนเธอรู้สึกกลัวแทน แต่วอลก็ยังคงยิ้มสดใสร่าเริงอยู่เหมือนเคยพร้อมด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ อย่างอารมณ์ดี
“ถึงเวลาต้องแสดงฝีมืออันยอดเยี่ยมอีกแล้วเหรอ”
“คนใช้พลังน่ะควินัวไม่ใช่รึไง” นัยน์ตาสีแดงเหลือบมองรอยยิ้มกว้างของอีกฝ่ายอย่างขัดใจ เสียงหัวเราะแปร่งๆ เหมือนต้องเค้นแรงทั้งหมดอย่างยากลำบากนั่นก็เป็นเครื่องยืนยันความอ่อนเพลียของเขาได้พอสมควรแล้ว แต่ดันมาเก๊กทำเป็นเก่งอยู่ได้
แล้วทันใดนั้นเอง ร่างของวอลก็สั่นไหวน้อยๆ ก่อนจะตามมาด้วยการไออย่างรุนแรง เด็กหนุ่มใช้มือซ้ายปิดปากตัวเองแน่น การโก่งตัวไอโขลกๆ ของเขาทำให้เธอรู้สึกกลัว มือขวารีบยกขึ้นลูบแผ่นหลังที่สั่นกระตุกตามแรงไอ สายตากังวลรีบมองไปรอบห้องมืดมัวเพื่อหาแก้วน้ำหรือขวดน้ำ ไม่ทันคิดว่าในห้องสี่เหลี่ยมว่างโล่งมีแต่แคปซูลแบบนี้คงจะมีของแบบนั้นอยู่หรอก
“นี่เป็นอาการแพ้แดดของเจ้าหรือเปล่า” น้ำเสียงเป็นห่วงเอ่ยถามคนข้างตัวเมื่อเห็นว่าอาการของเขาเริ่มดีขึ้น แล้วก็ได้รับคำตอบเพียงแค่รอยยิ้มน้อยๆ ตามแบบฉบับของเขา ซึ่งมันยิ่งทำให้เธอรู้สึกฉุนมากขึ้นไปอีก ยังจะทำเป็นเก่งอยู่นั่นแหละ ทำไมเจ้าบ้านี่ถึงเป็นแบบนี้นะ ให้ตายสิ ถามอะไรไปไม่เคยตอบเลยสักครั้งเดียว
ร่างเล็กลุกพรวดขึ้นอย่างอารมณ์เสีย เหลือบสายตาหงุดหงิดมองเจ้าตัวยุ่งที่ยังคงนั่งแผละอยู่กับพื้น
เด็กหนุ่มนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน จริงๆ แล้วเขาก็อยากลุกตามมิเวลเหมือนกัน แต่เกรงว่าอาจจะต้องล้มลงมาอีกรอบเพราะอาการมึนหัวรุนแรงอย่างรุนแรงกำลังกัดกินร่างของเขาอยู่
วอลเงยหน้าขึ้นมองใบหน้ามุ่ยของเด็กสาวพร้อมกับส่งยิ้มกว้างไปให้ แต่มิเวลกลับจ้องกลับมาด้วยสายตาดุๆ ตามเคย ซึ่งทำให้รอยยิ้มแฉ่งต้องเจื่อนลงอย่างช่วยไม่ได้
“ควินัวล่ะ” เสียงแข็งเอ่ยถามอย่างอารมณ์ไม่ดี พยายามข่มความรู้สึกเป็นห่วงที่เอ่อล้นออกมาจนเธอแทบกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ รู้สึกหวาดกลัวว่าอีกฝ่ายจะเป็นอะไรไป
คนถูกถามยิ้มรับพร้อมกับหลับตาลง ก่อนที่ร่างหนึ่งจะค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นข้างๆ กาย นัยน์ตาสีแดงมีแววอ่อนลงขณะมองเจ้าเฟรเนร่าตัวน้อย ขนสีขาวบริสุทธิ์ซึ่งให้ความรู้สึกอบอุ่น สายตาอ่อนโยนมองควินัวที่กำลังโค้งคำนับให้วอลน้อยๆ อย่างเอ็นดู
“ถึงด่านตรวจด่านต่อไปแล้ว” เสียงเรียบกล่าวพร้อมกับเบือนสายตากลับไปยังผู้เป็นเจ้าของสัตว์เวทตัวน้อย ปรากฏรอยยิ้มทะเล้นบนใบหน้าของเขา พร้อมด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ อย่างชอบใจ
“พวกเจ้าใช้งานควินัวซะอ่วมเลย ต้องเลี้ยงข้าวมันด้วยนะ” เสียงสดใสพูดล้อเล่นตามเคย รู้แก่ใจดีว่าเด็กสาวเองก็รู้เรื่องที่ควินัวกินพลังวิญญาณของต้นไม้ แต่คำพูดล้อเล่นนั้นกลับทำให้คนฟังรีบตวัดสายตากลับไปยังควินัวอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง เธอไม่เคยมีโอกาสได้คลุกคลีกับพวกสัตว์เวทและไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับพวกมันมากนัก ดังนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าเฟรเนร่ามีอาการเหนื่อยหรือเจ็บป่วยอะไรบ้างหรือเปล่า แถมเฟรเนร่ายังเป็นสัตว์เวทที่ไม่พูดอีกต่างหาก การสื่อสารถามไถ่อาการจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
“ข้าอยากคุยกับเจ้าได้จัง” มิเวลพูดพึมพำออกมาเบาๆ ขณะมองร่างน้อยๆ ของควินัวด้วยสายตาเหม่อลอย ไม่มีเสียงตอบรับจากทั้งควินัวและผู้เป็นเจ้านายของมัน
มิเวลหันกลับไปมองเจ้าตัวยุ่งอีกครั้ง ใบหน้ายิ้มๆ ของวอลยังคงรอยยิ้มน้อยๆ เอาไว้อยู่เช่นเดิม เธอไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แถมถามอะไรไป เจ้าบ้านี่ก็ไม่เคยตอบตรงคำถามเลยสักครั้ง
“ไปกันได้แล้ว” เสียงเรียบกล่าวพร้อมกับหมุนตัวเดินกลับไปที่ประตู แต่แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นแค่ควินัวที่เดินตามมา เด็กสาวหันกลับไปมองอีกคนที่ควรจะเดินตามออกมาด้วยกันอย่างสงสัย
“สู้ๆ” วอลตะโกนไล่หลังเสียงใสพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้าง ชูกำปั้นขึ้นด้วยท่าทางมั่นใจสุดขีด
“เจ้าไม่ตามมา?”
“ข้าอยากนอนต่ออีกหน่อยน่ะ” เสียงใสตอบพร้อมกับยักไหล่น้อยๆ “ไม่เป็นไรหรอกน่า ควินัวเป็นคนใช้พลังนี่ ไม่ใช่ข้าสักหน่อย”
มิเวลยืนมองอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งอย่างชั่งใจ วอลเองก็มีความสามารถใช้พลังจิตได้ และถ้าเจ้าตัวบอกว่าไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง เธอก็คงจะเชื่อเขาได้...ล่ะมั้ง
‘และ...ข้าอยากให้เจ้าเชื่อใจข้า’
เสียงหนึ่งในความทรงจำดังก้องขึ้น ราวกับว่าคำพูดของเขาได้ตราตรึงอยู่ในจิตใจของเธอจนเอาไม่ออกไปเสียแล้ว ความรู้สึกแปลกๆ กำลังก่อตัวขึ้นทำให้เธอต้องรีบเดินหนีออกจากห้องมา ซึ่งเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเดินหนีออกมาทำไม เธอไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ทำไมถึงต้องหลบหน้าเจ้านั่นด้วย แต่หลังจากก้าวเท้าเร็วๆ มาได้แค่ไม่กี่ก้าว ร่างเล็กก็หยุดยืนนิ่งอยู่ตรงระเบียงทางเดิน นัยน์ตาสีแดงหลุบต่ำอย่างเหม่อลอย
เชื่อใจงั้นเหรอ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะไม่เชื่อใจใคร และเจ้าบ้าวอลก็เป็นคนที่ทำให้เธอต้องพังทลายความตั้งใจนั่นอยู่หลายครั้งหลายคราเหลือเกิน
++++++++++++++++++++++++
เสียงเคาะประตูดังขึ้น เรียกความสนใจจากดูวัลให้ตวัดสายตาเคร่งเครียดไปยังบานประตูทางด้านขวา มือสองข้างเท้าอยู่กับขอบโต๊ะซึ่งมีกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่ แล้วเสียงเข้มก็กล่าวอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามาข้างในได้ ร่างของทหารหนุ่มนายหนึ่งก้าวผ่านประตูเข้ามา โค้งคำนับเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อผู้ดำรงสูงสุดของรัฐบาล
“ขออนุญาตครับท่าน”
“ว่ามา” เสียงเนิบกล่าว พร้อมกับละสายตามายังแผ่นกระดาษเบื้องหน้าอีกครั้ง เขากำลังดูแผนที่ของเมืองเธอเบซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ การศึกษาหาเส้นทางหนีภายในเมืองต่างๆ นั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก เพราะแต่ละเมืองต่างก็มีแผนที่ปลอมอยู่เต็มไปหมด เขาไม่มีทางรู้แน่ชัดได้เลยว่าของจริงอยู่ที่ไหน ดังนั้นจึงต้องไล่ดูไปเรื่อยๆ ทีละแผนที่ และเป็นเรื่องยุ่งยากเสียเวลาจนเขาเกือบยอมแพ้ไปแล้วหลายครั้ง แต่ก็ทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะว่าเส้นทางหนีทีไล่ของเมืองต่างๆ นั้นจำเป็นต่อการรับมือการบุกทำลายของตุ๊กตาปีศาจ รวมทั้งการประกาศสงครามกับผู้ใช้เวท เขาต้องหาทางหนีเอาไว้ให้ชาวบ้านชาวเมืองยามถูกโจมตี
“การรบกันที่เมืองฟรองเรย์สิ้นสุดลงแล้วครับ”
ดูวัลเงยหน้าขึ้นจากแผนที่บนโต๊ะพร้อมกับตวัดสายตาไปยังทหารหนุ่มอย่างสนใจ เขาเลิกคิ้วสูงขึ้นเพื่อเป็นการบอกให้อีกฝ่ายกล่าวต่อ
“หลังจากทางเราส่งทหารไปช่วยเหลือฟรองเรย์สู้กับตุ๊กตาปีศาจ สถานการณ์จึงดีขึ้นชั่วระยะหนึ่ง แต่...” เสียงรายงานขาดห้วงไปทำให้ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัย มองนายทหารหนุ่มผู้กำลังมีสีหน้ากล้ำกลืนอะไรบางอย่างด้วยความฉงน
“มีอะไร” เสียงเข้มถาม
“คือ...มีผู้รอดชีวิตหนีตายกลับมาแจ้งข่าวว่าตุ๊กตาพวกนั้นมันฆ่าไม่ตายครับท่าน ไม่ว่าทางเราจะส่งทหารไปมากขนาดไหนก็ไม่เป็นผล และพวกเขาก็ลองใช้ทุกวิถีทางแล้วด้วยครับ” ทหารหนุ่มตอบเสียงเครียด
ข่าวร้ายทำให้ดูวัลต้องยกมือขึ้นนวดขมับช้าๆ การรบสิ้นสุดลงด้วยความพินาศของกองทัพรัฐบาล ไม่ต้องถามถึงสภาพของเมืองฟรองเรย์เขาก็รู้ว่าคงย่อยยับไม่แพ้กัน ผู้คนต้องล้มตายไปเป็นจำนวนมาก ทั้งพวกชาวบ้านและทหาร และที่แย่กว่านั้นก็คือ ความหายนะยังไม่จบแค่นี้เพราะหนทางในการกำจัดศัตรูนั้นช่างริบหรี่เหลือเกิน บางทีอาจจะถึงเวลาแล้วก็ได้ที่เขาต้องยอมยุติสงครามกับผู้ใช้เวทลงชั่วคราว แล้วหันมาจัดการเรื่องตุ๊กตาปีศาจก่อน เพราะตอนนี้การยืมพลังของพวกผู้ใช้เวทนั้นเป็นสิ่งจำเป็นขึ้นมาแล้ว
“พักสงครามกับผู้ใช้เวทเอาไว้ก่อน” เสียงเข้มออกคำสั่ง แต่แทนที่เขาจะได้ยินคำตอบรับเช่นเคย คนถูกสั่งกลับมีท่าทีลังเลเหมือนไม่อยากจะทำตามสักเท่าไหร่ ดูวัลขมวดคิ้วอย่างขัดใจ ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะมีทหารชั้นผู้น้อยกล้าขัดคำสั่งเขาอยู่ด้วย
นายทหารหนุ่มแสดงสีหน้าตกใจเมื่อเห็นใบหน้าดุดันของผู้บังคับบัญชา รู้ตัวทันทีว่าเขาทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจขึ้นมาเสียแล้ว น้ำเสียงตะกุกตะกักรีบชี้แจงเหตุผลของการกระทำอันไม่เหมาะสมของตัวเองทันควัน
“มีทหารกลุ่มหนึ่งหนีรอดกลับมาได้ครับท่าน แต่ถูกฆ่าตายระหว่างทาง เหลือผู้รอดชีวิตเพียงแค่คนเดียวนำข่าวเรื่องการรบที่ฟรองเรย์กลับมาแจ้งให้ทราบ”
“ถูกฆ่าตาย? ฝีมือใคร?” ดูวัลถามย้ำ เขากำลังนึกถึงตุ๊กตาปีศาจที่ตามมาฆ่าพวกทหาร แต่แล้วคำตอบจากคนอ่อนวัยกว่ากลับทำให้เขาต้องลบความคิดนั้นทิ้งไปโดยพลัน นัยน์ตาสีเข้มเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ
“กลุ่มของพวกผู้ใช้เวทครับท่าน พวกมันรวมตัวกันประกาศสงครามอย่างเป็นทางการกับพวกเรา”
+++++++++++++++++++++++++
โปรดติดตามตอนต่อไป!!
อีกประมาณ 5 ตอนก็จะจบซีซั่นแรกแล้วววว ขอบคุณทุกกำลังใจนะฮับบบบ
โฮป
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 พ.ค. 2560, 01:34:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 พ.ค. 2560, 01:34:28 น.
จำนวนการเข้าชม : 716
<< Episode 28 : || หนทางหลบหลีก || | Episode 30 : || ผู้นำแห่งทิศใต้ || >> |