ร้อยรักพรางตะวัน
If no obstacle is found.
Do you know …What true love is?

เรื่องของนักแสดงสาวชื่อดังจอมเหวี่ยงวีนกับวิศวกรหนุ่ม ทั้งสองเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย แต่ความสนิทสนมทำให้ความสัมพันธ์ก้าวข้ามขีดคำว่า 'เพื่อน' ไปไม่ได้

ถ้าไม่มีอุปสรรคขัดขวางความรักระหว่างเพื่อนที่จำกัดไว้อาจจะไม่คืบหน้า และหากปล่อยเวลาผ่านไปอาจต้องเสียความรักนั้นไปให้ใครคนอื่น

เอาใจช่วยเพื่อนสนิทสองคนให้ค้นพบรักแท้ของกันและกันและก้าวผ่านอุปสรรคทั้งปวงเพื่อ ‘ความรัก’ ด้วยกันค่ะ

Tags: ร้อยรักพรางตะวัน, อรณี, ภาณุ, รักดราม่า, โรแมนติก, เพื่อนสนิท, แอบรัก

ตอน: บทที่ 2 จะผิดไหมหากหัวใจต้องการไออุ่น



รถตู้สีดำสนิทติดฟิล์มทึบแล่นเข้ามาจอดยังลานจอดรถชั้นสี่ของคอนโดมิเนียมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา อรณีก้าวลงมาด้วยสภาพอิดโรย เพราะเพิ่งตื่นตอนที่โดนปลุกหลังหลับลึกมาตลอดทาง

แสงสุรีย์ชะโงกหน้ามาเรียกไว้ระหว่างที่หญิงสาวกำลังก้าวเข้าลิฟท์ตัวที่ใกล้ที่สุด

“พรุ่งนี้เช้าหกโมงครึ่งเจ้มารับนะ คืนนี้ก็อย่าดึกนัก”

“โอเค... ไม่ต้องห่วง กลับดี ๆ นะเจ้”

“จำไว้ว่าห้ามสาย” แสงสุรีย์ย้ำหนัก “กว่าจะได้เรื่องนี้มา เจ้สู้กับผู้จัดการยายนางเอกเบอร์สองมาเลือดตาแทบกระเด็น”

“รู้แล้วค่ะ” อรณีตอบรับทันทีก่อนจะโบกมือก้าวเข้าลิฟท์ไป

เรื่องงานเป็นสิ่งที่หล่อนรับผิดชอบดีเสมอ ไม่เคยเสื่อมเสียเลยแม้สักครั้งนอกจากกิตติศัพท์ความวีนที่ใครต่อใครต่างพากันเกรงกลัว หมั่นไส้ แต่หล่อนก็หาได้สนใจ...

แสงสุรีย์ครุ่นคิดหนักกับเหตุการณ์เมื่อครู่ใหญ่ที่แอบได้ยินทีมงานที่รู้จักมักคุ้นกับชัชพลกำลังนินทาเรื่องอรณี มีคนเห็นผู้กำกับหนุ่มเดินตามหล่อนลงมาจากแคมป์ปิ้งคาร์ ทำให้ข่าวซุบซิบของทั้งสอเริ่มขยายเป็นวงกว้าง

หวังว่าคงไม่มีอะไรมากไปกว่านี้อีก...

ลำพังแค่ชายหนุ่มที่อยู่คอนโดเดียวกันกับอรณีก็ว่าอันตรายแล้ว ยังจะมามีเรื่องผู้กำกับหวังเคลมนักแสดงของตัวเองอีก
เห็นทีจะต้องหาทางกันให้ออกห่างจากผู้ชายคนนั้นซะแล้ว

แสงสุรีย์ถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้ม ดวงตาเรียวรีภายใต้แว่นกรอบหนามองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย



เพราะขนมเค้กวนิลาอัลมอนด์ก้อนโต จากสวีทคลับร้านโปรดของเจ้าของวันเกิดเป็นเหตุ ทำให้ผิดเวลานัดไปมาก อรณีมองนาฬิกาข้อมือแล้วถอนหายใจ ไขกุญแจหน้าห้องพักเข้ามาแล้วถอดรองเท้าวางไว้ข้างรองเท้าคู่โต แสดงให้เห็นว่าคนในห้องยังอยู่

แต่เขาทำอะไรอยู่ ทำไมถึงเงียบนัก

หล่อนชะเง้อมองผ่านประตูกระจกฝ้าบานเลื่อนที่เปิดแง้มไว้ เห็นแผ่นหลังคุ้นเคยอยู่ริมระเบียง พอจะเปิดประตูเข้าไปก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงคุย

“ผมบอกแล้วไงครับ ว่าติดธุระยุ่งอยู่ ไม่ว่างไปเจอหรอกครับ”

อรณีเงี่ยหูฟังแต่ไม่แสดงตัว สีหน้าครุ่นคิดเมื่อได้ยินคำพูดฝ่ายเดียวแต่ไม่ได้ยินเสียงปลายสาย

“โธ่... ผมไม่อยากไป ทำไมต้องทำอะไรให้มันยุ่งยากด้วย”

ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างแรง เดินกลับไปกลับมาคุยโทรศัพท์ด้วยความหงุดหงิด

“ผมหาของผมเองได้ ไม่ต้องให้แม่หรือใครต้องมาเป็นห่วงหรอก”

ไม่ได้ตั้งใจแอบฟัง แค่อยากรู้มากกว่าแต่น้ำเสียงของชายหนุ่มบ่งบอกว่าเหนื่อยหน่าย

“อลิซ... อะไรเนี่ย ผมไม่อยากไปเจอเขาหรอก ถึงจะสวยแค่ไหนผมก็ไม่ไปเจอ เข้าใจไหมครับแม่”

อรณีฟังจบพอปะติดปะต่อได้ถึงกับหน้าง้ำ มือเรียวเปิดประตูบานเลื่อนเสียงดังทันทีจนภาณุถึงกับสะดุ้ง

“แค่นี้ก่อนนะครับ ผมยุ่งอยู่ ไว้ค่อยคุยกัน” กดวางสายทันทีก่อนจะหันมายิ้มให้ “ทำไมมาเงียบจัง ณุไม่ได้ยินเสียงประตูเลย”

แทนที่จะตรงมาที่หล่อน ชายหนุ่มเดินไปเปิดตู้เย็น หยิบน้ำส้มคั้นสดแก้วใหญ่มา อรณีรับมาถือไว้แต่ยังหน้าบึ้งตึง

“วันนี้เป็นไงบ้าง เหนื่อยมากไหม” ชายหนุ่มค้อมตัวเยี่ยมหน้ามาใกล้ “ไม่พูดไม่จาแบบนี้แสดงว่าเหนื่อย”

ไม่ต้องมาทำพูดดี ใจดีแบบนี้แสดงว่าต้องมีอะไร...

อรณีครุ่นคิดแล้วยิ่งโมโห หล่อนเดินผ่านชายหนุ่มไปหน้าตาเฉย จนรู้สึกถึงแรงดึงนั่นละ จึงหันมา

“มีอะไร” ถามเสียงขุ่น

“คุยกันก่อน”

“ก็เห็นณุเครียด ๆ อรก็ไม่รู้จะพูดอะไร”

โพล่งออกมาแต่ครู่เดียวก็นิ่ง เมื่อชายหนุ่มแกล้งยืนขวางไว้ไม่ให้เดินต่อ

“อะไรอีก ยืนขวางอย่างนี้ แล้วจะเข้าได้ไง”

อรณีเงยหน้ามอง เห็นหน้าคมขำยิ้มมุมปากล้อเลียน ปากกระจับได้รูปก็ยิ่งเม้มแน่น ชายหนุ่มถึงกับหัวเราะก่อนแบมือทวง

“ไหน... ของขวัญวันเกิด”

“ไม่มี”

หล่อนค้อนขวับเบี่ยงตัวจะเดินผ่าน แต่ไม่ทันเพราะโดนกั้นไว้ด้วยลำแขนแข็งแรง

“แล้วในมือนั่นล่ะ” เขากระซิบ “ใช่ของโปรดณุรึเปล่า”

“เอาไป” หล่อนยื่นให้ “นึกว่าไม่อยากได้แล้ว”

ภาณุยิ้มกว้างรับมาถือไว้ ก่อนจะก้มลงหอมแก้มใสอย่างรวดเร็ว

“ฮึ๊ย... ไอ้บ้านี่ เดี๋ยวเถอะ”

อรณีหน้าแดงก่ำ ถูแก้มข้างที่ถูกหอมไปมาอย่างขัดใจ ใบหน้าเนียนใสขึ้นเลือดฝาดทันที

“ขอบคุณนะ สำหรับของขวัญ” ภาณุบอกแล้วโอบเอวหล่อนก้มลงกระซิบข้างหู “ทั้งสองอย่างเลย”

“อะไร ทั้งสองอย่าง ก็แค่เค้กก้อนเดียว”

“ก็นี่ไง... ของขวัญอีกอย่าง ณุชอบมากเลยล่ะ”

ชายหนุ่มเอานิ้วจิ้มแก้มตัวเองแล้วพองแก้มเป็นเชิงล้อเลียนแค่นี้ก็ทำให้หล่อนยิ้มออก

“ใครเขาเรียกว่าของขวัญ” หล่อนค้อน “แล้วจะปล่อยได้รึยัง”

ภาณุรู้ตัวรีบปล่อยมือออกจากเอวคอดกิ่ว อรณีถึงกับหน้าซับสีเลือดขึ้นมาอย่างขัดเขิน จะเดินหนีเข้าห้องนอนแต่โดนเรียกไว้อีก

“กินข้าวก่อนสิ ณุทำไว้ให้ตั้งแต่เย็นแล้ว”

อรณีลังเล เมื่อครู่ความรู้สึกขัดเขินทำให้หล่อนทำตัวไม่ถูก ทุกครั้งที่ภาณุทำแบบนั้น ไม่รู้เขารู้ตัวหรือไม่ว่าทำให้หัวใจของหล่อนเต้นรัวจนแทบจะออกมาฟ้องนอกร่าง

ภาณุโปรยยิ้มอบอุ่นก่อนจะวางกล่องขนมเค้กบนโต๊ะ เปิดฝาครอบอาหารที่ทำไว้เตรียม เป็นของโปรดของหล่อนทั้งนั้น อรณีถึงกับตาโตถูกใจ

“รู้ใจจริง ๆ เลย รู้ไหมว่าอรหิวจะตาย เจ้ซื้อสลัดกับน้ำส้มให้กินทุกวัน จนหน้าจะเป็นบรอกโคลี่ ผักกาดแก้ว ผักกาดหอม มะเขือเทศอยู่แล้ว”

หล่อนได้ทีบ่น เพราะรู้ว่าถึงยังไงภาณุก็ไม่เอาไปเล่าให้แสงสุรีย์ฟังแน่ ร่างบอบบางกุลีกุจอลงนั่งหัวโต๊ะรอรับบริการจากชายหนุ่มอย่างเต็มใจราวกับเป็นเด็กเล็กก็ไม่ปาน

“รอเดี๋ยวนะ อุ่นก่อน”

ภาณุเห็นท่าทางออดอ้อนตาใสของคนตรงหน้า ก็ได้แต่ยีผมลอนยาวสยายของหล่อนเบา ๆ แล้วหันไปให้ความสนใจไมโครเวฟ เพราะเสียงเตือนดัง

จานข้าวผัดหมูโปะไข่ดาวยางมะตูมหอมกรุ่นถูกวางลงตรงหน้า อรณีก้มสูดความหอมอย่างมีความสุข

“ชอบที่สุด รักที่สุดเลย จะหาข้าวผัดที่ไหนอร่อยได้เหมือนข้าวผัดฝีมือณุไม่มีอีกแล้ว”

หล่อนยิ้มอ้อน ดวงตากลมใสฉายแวววิบวับถูกใจ

“กินเลยนะ” หยิบช้อนกับส้อมมาตั้งท่า จิ้มกลางไข่ดาวอย่างเคยชิน “ไข่ก็กำลังดีเลยนะณุ”

ภาณุพยักหน้าแล้วนั่งลงตรงข้ามมองหล่อนเอร็ดอร่อยกับจานข้าวผัดแล้วได้แต่ถอนใจ

เขารู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างกำลังเต้นแรงอยู่ในหน้าอกด้านซ้ายของตัวเอง และกลัวว่าสักวันจะเผลอไผลแสดงออกมาให้สังเกตเห็น

อยากจะห้ามใจ แต่ทำไมไม่เคยสำเร็จสักครั้ง...



แสงสุรีย์เปิดประตูห้องเข้ามาอย่างเงียบเชียบ เกือบหกโมงเช้าแล้ว หล่อนต้องมาก่อนเวลาเพราะตั้งใจจะมาคุยเรื่องที่ค้างคาให้เรียบร้อย หลังจากคิดมาตลอดคืน แต่ภาพที่เห็นทำให้ผู้จัดการสาวยิ่งหนักใจกว่าเดิม

ภาพอรณีนั่งหลับชันเข่าอยู่บนโซฟาตัวยาวซบไหล่ชายหนุ่มที่นั่งหัวพิงหลับไปด้วยกัน เป็นภาพชินตาจนหล่อนอดไม่ได้ที่จะแอบค่อนขอด

เป็นแบบนี้ตลอด...

ก็รู้อยู่ว่าความใกล้ชิดมันอันตราย แล้วจะให้ไว้ใจได้อย่างไร

ผู้จัดการจอมเฮี๊ยบเข้าไปสะกิดโดยไม่ให้อรณีรู้ตัว ภาณุงัวเงียขยี้ตามองเห็นแสงสุรีย์ยืนกอดอกจ้องเขม็งก็รู้ตัว หยิบหมอนอิงมาซ้อนกันแล้วให้คนหลับซบแทนที่ไหล่ของเขา

“สวัสดีครับ... เจ้แสงมาแต่เช้าเลยนะครับ”

ภาณุลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจยิ้มเหยเกส่งมาท่าทางอิดโรย แสงสุรีย์ขยับแว่นหนาก่อนจะเอ่ยทักทายด้วยคำพูดประโยคแรกของวันที่ฟังแล้วคงไม่ค่อยเข้าหูสักเท่าไหร่

“เพิ่งมาหรือยังไม่ได้กลับห้องคุณ”

“กำลังจะกลับเดี๋ยวนี้ครับ เมื่อคืนเป็นวันเกิดผม อรก็เลยซื้อเค้กมาฉลอง ขอโทษครับเจ้”

ภาณุเสียงอ่อยจนผู้จัดการสาวอยากจะสงสารแต่หล่อนคงทำไม่ได้

“เมื่อคืนอรบอกแล้ว สาละวนหาเค้กวันเกิดมาฝากคุณแทบแย่” แสงสุรีย์เหลือบมองไปที่โซฟาแล้วกระซิบ “คุณกลับห้องไปก่อนก็แล้วกัน อย่าหาว่าไล่เลยนะ อรมีนัดงานแต่เช้า”

“อ่า... ไม่เป็นไรครับ งั้นผมกลับห้องก่อน”

ภาณุเดินคอตกออกไปจากห้อง แสงสุรีย์มองตามจนลับสายตาก่อนจะหันกลับมามองคนหนุนหมอนอิงสบายอารมณ์ไม่รู้ร้อนรู้หนาวแล้วได้แต่ส่ายหน้า



ห้องของภาณุอยู่ถัดลงมาเพียงหนึ่งชั้น ภายในสีโทนเทาครีมจัดวางเป็นระเบียบตามแบบห้องชุดทั่วไป ไม่มีการดัดแปลงเสริมแต่งเลิศหรูเหมือนห้องของหญิงสาวชั้นบน

ชายหนุ่มถอดรองเท้าวางบนชั้นก่อนจะเดินเข้าห้องนอนเปลี่ยนใส่กางเกงเนื้อนิ่มตัวยาวกับเสื้อกล้ามตัวบาง ร่างสูงเพรียวสมส่วนทิ้งตัวลงบนเตียงหลังใหญ่ กดเปิดวิทยุเครื่องเล็กบนหัวนอนหรี่เสียงเบาสุดให้คลอเป็นเพื่อนคลายเหงา

ในความผูกพันนั้นเจ็บปวด
แค่คิดถึงกันยิ่งทรมาน...
สักวันเธออาจจะรู้ใจ
เธออาจจะเข้าใจ ในสิ่งที่ฉันเป็นอยู่...
สักวันเธอขาดคนรักไป
เธออาจจะได้รู้และเข้าใจ... เป็นอย่างดี...

เพลงเก่าแว่วหวานหน่วงความรู้สึก เนื้อความสื่อนัยจิตใจจนทนไม่ไหวต้องเอื้อมไปปิด ห้องทั้งห้องอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ชายหนุ่มคว้าหมอนอีกใบมากอดหมายจะให้หลับแต่ก็หลับไม่ลง

เสียงกริ่งหน้าประตูห้องดังขึ้น ภาณุผุดลุกขึ้นนั่งอย่างอ่อนล้า เข้าใจว่าคงเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้วุ่นวายใจ แต่ทันทีที่เปิดประตูผู้จัดการสาวแว่นก็ก้าวเข้ามาภายในห้องโดยที่เจ้าของยังไม่ได้เชื้อเชิญ

“เจ้มีอะไรรึเปล่าครับ”

แสงสุรีย์หันกลับมาสายตาปะทะเข้ากับแผงอกกำยำที่โผล่ผ่านเสื้อกล้ามสีเทาพอดี ร่างเพรียวบางของผู้จัดการสาวดูเล็กลงไปถนัดใจเมื่อเทียบกับคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกัน หล่อนขยับแว่นเล็กน้อยดูประหม่า

“คือเจ้ เอ่อ... คือ... พี่”

“มานั่งก่อนครับ”

ภาณุรู้ทันทีว่าต้องมีเรื่องอีกตามเคย แต่เห็นแสงสุรีย์อึกอักก็เลยดึงมือหล่อนมานั่งยังโซฟา ก่อนที่เขาจะทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม หล่อนยังคงนั่งนิ่งสีหน้าลำบากใจ

“เจ้มีเรื่องอะไรรึเปล่า ถึงต้องมาหาผมที่นี่”

“เจ้อยากจะมาคุยกับคุณเรื่องสถานะของอรณีในตอนนี้ เผื่อว่าคุณอาจจะยังไม่รู้”

หล่อนขยับแว่นแล้วกระแอม ท่าทางเหมือนไม่สบายใจมาก

“เรื่องเก่า ๆ ของอรหรือครับ” ภาณุรู้สึกอึดอัดลุกขึ้น “เดี๋ยวผมเอาน้ำให้ สักครู่นะครับ”

แสงสุรีย์มองตามอิริยาบถของชายหนุ่มร่างสูงใหญ่แล้วได้แต่ถอนใจ ภาณุจัดว่าหน้าตาดี หน้าที่การงานดี แถมยังใจดี ดูอบอุ่นจนไม่แปลกที่แม้แต่หล่อนยังเผลอไผลออกอาการขัดเขินอยู่บ่อย ๆ แต่เพราะปูมหลังที่ไม่มีที่มา ฐานะครอบครัวเป็นอย่างไรไม่เคยมีใครรู้

หล่อนควรตัดไฟเสียแต่ต้นลมคงดีกว่า...

“มีอะไรครับเจ้”

“ก็เรื่องเดิม” แสงสุรีย์ตอบอ้อมแอ้ม

ภาณุยื่นแก้วน้ำเย็นส่งให้ หล่อนรับมาจิบก่อนวางพูดเข้าเรื่อง

“เรื่องเก่าของอรไม่ใช่ว่าจะไม่มีผล เจ้เป็นห่วงอยู่ คราวก่อนก็ผู้กำกับร้อยล้านกว่าจะเคลียร์ได้แทบแย่ แต่คราวนี้เจ้ว่าน่ากลัวคุณชัชจะรุกอรหนัก”

หล่อนหยั่งเชิง ดูปฏิกิริยา แต่ภาณุยังเฉย

“เมื่อวานเจ้ไม่ไว้ใจสายตาเขาเลย กลัวว่าถ่ายละครจบคงมีข่าวว่าอรกินผู้กำกับรายล่าสุดอีกแน่”

“ข่าวก็ลงซะน่าเกลียด” เขาย้อนแต่สีหน้าไม่ได้นิ่งแบบคำพูด “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม”

“เจ้เอามาบอกคุณเพราะอยากให้คุณช่วยเตือนอรให้หน่อย” หล่อนตบเข้าประเด็นทันที “แล้วก็ไม่อยากให้คุณใกล้ชิดหรือไปไหนมาไหนกับอรมากจนเกินไปนัก”

“ผมกับอรเราเป็นเพื่อนกัน ไปไหนมาไหนกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา”

“แต่ที่ไม่ธรรมดา เพราะคุณเป็นผู้ชายอรเป็นผู้หญิง” แสงสุรีย์ไม่วายแย้ง

“ถึงไปกับผู้หญิงถ้าคนจะนินทามันก็เป็นเรื่องอยู่ดี” ภาณุย้อน แต่หน้ายิ้ม “เจ้อย่าคิดมากสิครับ”

โกหก!

คนอะไรปากแข็งนัก ก็เห็นอยู่ว่า การกระทำมันฟ้อง

แต่คำพูดที่จริงจังจนหล่อนแอบคิดว่าภาณุอาจจะไม่รู้ใจตัวเอง เพราะฉะนั้นป้องกันได้ก็ต้องรีบเสียแต่เดี๋ยวนี้

“คุณคิดไม่เหมือนคนภายนอกมองนะ นี่คุณสองคนยังอยู่คอนโดเดียวกัน เจอกันบ่อย ๆ บางทีอรว่างก็ไปไหนมาไหนกับคุณ เข้านอกออกในคอนโดด้วยมันดูไม่งาม”

“เจ้จะพูดอะไรครับ” ภาณุแย้ง

“ก็เหมือนกับว่าอรมีผู้ชายอยู่ด้วยที่คอนโด คนคงไม่คิดว่าคุณสองคนเป็นแค่เพื่อนหรอก หรือคุณไม่คิดว่าเป็นการเพิ่มเรื่องให้อรเหรอวันดีคืนดีเจอนักข่าวสาวไส้จะทำยังไง รู้รึเปล่าว่าอรกำลังจะมีงานใหญ่เร็ว ๆ นี้ เห็นว่าร่วมงานกับผู้กำกับละครมือรางวัลระดับนานาชาติเชียวนะ อ้อ... แถมด้วยนักแสดงชายก็ดังระดับเอเชียด้วยสิ เธอกำลังจะก้าวไปอีกขั้นเหนือนักแสดงหญิงทุกคนในเมืองไทยนะ”

“เจ้สมกับเป็นผู้จัดการดาราเลยนะครับ รักษาผลประโยขน์ให้นักแสดง ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องส่วนตัว” เขาค่อนหน้าเครียด

“คุณณุ” แสงสุรีย์เสียงเข้มหน้าตึง “เจ้หวังดีกับคุณสองคนนะ”

“เจ้คิดว่าผมจะเป็นตัวปัญหาของเธองั้นสินะครับ”

สีหน้าจริงจังของชายหนุ่มทำให้ผู้จัดการสาวนึกสงสาร ลอบถอนใจเแต่ก็จำต้องพูดออกไป

“ถ้าคุณหวังดีกับอรคงเข้าใจความหมาย” หล่อนรีบลุกขึ้นตัดการสนทนา “เจ้ไปก่อนนะ ต้องไปคุยงานกับอรเพิ่มเติมอีกนิดก่อนไป ขอบคุณนะที่รับฟัง”

ไม่มีคำตอบรับหรือปฏิเสธจากภาณุ มีเพียงสายตาเศร้าที่หล่อนทันได้เห็นก่อนประตูจะปิด



“เจ้มาตั้งแต่เมื่อไหร่... สวนกับณุไหม”

อรณีถามหาภาณุทันทีที่แสงสุรีย์ก้าวเข้าประตูมา หญิงสาวแต่งตัวเสร็จสรรพ ดวงหน้านวลสวยแต่งแต้มเครื่องสำอางสีอ่อนมองจ้องขอคำตอบ

“สวนกันหน้าประตู เห็นว่าจะรีบออกต่างจังหวัด เจ้ก็ไม่ได้ถามละเอียดหรอก”

“เมื่อกี้อรโทรหาก็ไม่รับ เมื่อคืนก็ไม่เห็นบอกเลยว่าจะรีบไปต่างจังหวัด หรือว่าจะไปหายายอลิสอะไรนั่นก็ไม่รู้”

อรณีย่นจมูกหมั่นไส้ เดินมายังโต๊ะทานข้าว แสงสุรีย์ไม่ต่อความยาวสาวความยืด ยกจานอาหารพร้อมถ้วยซุปมาวางไว้ให้ตรงหน้า หล่อนเห็นแล้วถึงกับเบ้ปาก

“อีกแล้ว อะไรเนี่ย สลัดผัก ซุปก็...” เอนพิงพนักเก้าอี้ ผลักจานสลัดออกห่าง “ไหนว่ารีบไง เจ้ไปหาอะไรอร่อยๆ กินกลางทางดีกว่า”

“วันนี้ไม่มีงานแล้ว ที่นัดไว้ตกลงเลื่อนไปก่อนเพราะบทไม่เรียบร้อย วันนี้เจ้ให้ฟรีหนึ่งวันจะไปไหนก็บอก ให้ลุงทองขับไปส่ง”
แสงสุรีย์นั่งลงตรงข้าม กอดอกมอง

“เบื่อ” อรณีตอบแค่นั้นแล้วลุกขึ้นจะเดินกลับเข้าห้อง
ผู้จัดการสาวได้แต่โวยวายตามหลัง

“ถ้าไม่กินจะเก็บแล้วนะ ทิ้งไว้จะเสียของ”

“ตามสบายเลยค่ะ”

หล่อนตะโกนบอกแล้วเดินนวยนาดออกมาพร้อมกระเป๋าสะพายยี่ห้อหรู หยิบรองเท้าส้นสูงกำลังจะใส่แล้วกลับชะงักเมื่อแสงสุรีย์ถามซอกแซก

“ไปไหน กับใครเจ้รู้จักรึเปล่า ระวังตัวหน่อยก็ดีนะ กำลังจะหยิบงานใหญ่ อย่าให้ใครเห็นเข้าเราจะเสียชื่อ”

“งานใหญ่อะไรกัน” อรณีปรายตามอง “ก็แค่งานที่ได้เงินปกติ ไม่เห็นต้องตื่นเต้นมากเลยเจ้”

“อย่าพูดเอาแต่ใจแบบนี้สิ” ผู้จัดการสาวแว่นตวัดหางตามอง ทั้งที่มือยังสาละวนเก็บอาหาร “นึกถึงใจคนทำให้บ้าง”

“รู้แล้วค่ะ งั้นอรไปหาคนเลี้ยงข้าวดีกว่า”

“ระวังที่เจ้บอก พวกปาปารัซซี่เดี๋ยวนี้ตาไวยังกับอะไร”

อรณียักไหล่ เหลือบมองผู้จัดการสาวแว่น แล้วโปรยยิ้มหวานยั่ว

“มือชั้นนี้แล้ว สับรางเก่ง ไปนะ”

อรณีพูดจบก็เดินตัวปลิวออกไปนอกห้องทันทีทิ้งให้ผู้จัดการจอมเฮี๊ยบยืนหน้าบึ้ง ครุ่นคิดหนัก ทั้งเป็นห่วงกังวลไปสารพัด



ในขณะเดียวกันตัวต้นเรื่องกลับมานั่งหน้าบึ้งอยู่ที่โรงพยาบาลแทน เพราะไม่รู้จะไปไหน หล่อนเหมือนเคว้งคว้างเวลาไม่มีภาณุอยู่ใกล้ สิมิลันลอบสังเกตอาการเพื่อนรักด้วยความสงสัย อรณีดูแปลกไป ไม่ค่อยร่าเริงเหมือนทุกทีทำให้อดห่วงไม่ได้

“มาเยี่ยมหลานหรือว่าไม่มีที่ไปกันแน่” คุณแม่ลูกสองเปิดประเด็น “นั่งถอนหายใจหลายเฮือกแล้วนะ มีอะไรคับอกคับใจนักหนารึไง... อ้วน”

“บอกแล้วว่าอย่าเรียกชื่ออ้วน” อรณีค้อนขวับ “ให้เรียก อร อร อร เมื่อไหร่จะจำ”

“อ้าว! แบบนี้เรียกว่าพาลนะ”

ร่างอวบบนเตียงหัวเราะขำ อรณีจากที่หงุดหงิดก็พลอยยิ้มตาม

“ฉันเป็นนางเอกดังนะไม่ใช่ยายอ้วนแก้มยุ้ยเหมือนตอนเรียน”

“ก็มันติดปาก”

“มันน่าอายจะตายชื่อนั้น”

อรณีหน้ามุ่ย ลุกมายืนข้างเตียง ตีแขนเพื่อนรักดังเพียะ สิมิลันคว้าแขนหญิงสาวมานั่งเก้าอี้ข้างเตียงแล้วพินิจดวงหน้านวลสวยคม

“ฉันก็พูดเล่นน่ะ โมโหใครมาอีกละวันนี้”

“เปล่านี่” อรณีตอบแล้วทำไม่รู้ไม่ชี้หลบสายตามองออกไปนอกระเบียง

“อารมณ์บ่จอยตลอดศก ระวังไม่สวยนะคุณนางเอกดัง” แม่ลูกอ่อนหรี่ตามอง แกล้งหยอก “เอ... เงียบไปแบบนี้ เพราะณุละสิ”

“อย่าพูดชื่อนี้นะหงุดหงิด” อรณีตาวาวหน้าเชิด “ว่าแต่หลานฉันไปไหนล่ะมิน ยังไม่เห็นหน้าเลย ตกลงคนสองนี่ได้ผู้ชายหรือผู้หญิง”

“ผู้ชายอีกแล้ว สงสัยต้องมีคนสาม”

“ขยันปั๊มนะ พวกเธอสองคน”

สิมิลันกลั้นหัวเราะ สีหน้าอิ่มเอิบทำให้อรณียิ้มออก พักใหญ่ประตูห้องก็เปิด สองสาวหันไปพร้อมกัน อธิปกเดินยิ้มเผล่เข้ามาพร้อมถุงผลไม้ กับขนมถุงใหญ่

“แล้วลูกล่ะโอม”

“อยู่กับไอ้ณุที่คอฟฟีช็อป ฝากมันเลี้ยงก่อน เห็นว่าเบื่อ ๆ ไม่รู้จะไปไหนก็เลยมานั่งเล่นกับหลาน”

“อ้าว! นึกว่าคนนี้เบื่อเดียว” สิมิลันหรี่ตามอง “คนโน้นก็ยังเบื่ออีก สงสัยโรคนี้จะเป็นโรคติดต่อชนิดใหม่รึเปล่าโอม”

“ก็ไม่รู้สินะ” อธิปกแสร้งทำเสียงยาน “สงสัยว่าโรคอกหักรักคุดสายพันธุ์ใหม่มั้ง”

อรณีหูผึ่ง นั่งคอแข็งหน้าเชิด ทำทีไม่สนใจ สิมิลันลอบยิ้มแกล้งหยิกแขนสามีเป็นเชิงปราม แต่อรณีโพล่งถามด้วยความอยากรู้เสียก่อน

“ไหนว่าณุไปดูงานต่างจังหวัด”

สองสามีภรรยามองหน้ากัน ก่อนจะเป็นอธิปกที่ตอบคำถามคาใจ

“ไปที่ไหน เห็นบอกมีอะไรจะปรึกษา ไอ้เรารึก็รีบลงไปหานึกว่ามีเรื่องอะไรคอขาดบาดตาย แต่มาถึงก็ไม่พูดอะไร ทำหน้าเป็นหมาหงอยอยู่ เลยให้เล่นกับอาร์ม เผื่อมันจะอารมณ์ดีขึ้นมาน่ะสิ”

“คนโกหก!” อรณีสบถ “กล้าดียังไงมาหลอกฉัน”

“เฮ้ย!” อธิปกถึงกับสะดุ้งก่อนจะรีบปฏิเสธ “ฉันไม่ได้โกหกนะ”

“ฉันไม่ได้ว่านาย” อรณีลุกยืนกอดอก มองค้อน “อย่าร้อนตัวสิ”

“ไม่ได้ร้อนตัว ก็อยู่ดี ๆ เธอก็ว่าฉันเองว่าโกหก” อธิปกเถียงกลับ

สิมิลันฟังสองคนต่อปากต่อคำ ถึงกับต้องหยิกแขนสามีให้เลิกพูด เพราะรู้ระดับอารมณ์คนฟังว่าใกล้จะตบะแตกเต็มที

“โอ๊ย! เจ็บนะ แค่ฝากลูกไว้กับไอ้ณุแค่นี้ต้องหยิกกันดัวย”

สิมิลันได้แต่ปรามสามีปากมากทางสายตาแล้วพยักเพยิดให้หันไปมองอรณีที่ยืนมองออกไปทางประตูห้องแล้วผลุนผลันออกไป

“อ้าว... ไปเลย โกรธฉันหรือไง ยายอ้วน” ภาณุเรียกไว้แต่ไม่ทันเมื่อเสียงประตูปิดดังโครมใหญ่

“ทำไมพูดอะไรไม่ดูตาม้าตาเรือเลยล่ะโอมก็…”

“ขอโทษ ๆ ก็ไอ้ณุมันอยู่กับลูกจริง ๆ แล้วจะให้โอมบอกว่าอยู่กับใครล่ะมิน”

อธิปกยักไหล่ สิมิลันถึงกับตีเพียะเข้าให้ที่แขนอย่างแรง ทำเอาคนตัวสูงร้องโอดโอย หล่อนค้อนขวับก่อนจะถอนหายใจหนักหน่วง

“เมื่อไหร่สองคนนี้จะพัฒนากันซะทีนะโอม อายุก็สามสิบเข้าไปแล้ว เรานำไปตั้งสองแล้วนะ”

“เรื่องของคนสองคนพูดยาก ไอ้ณุมันเป็นพวกปากหนัก รักแต่ไม่แสดงออก ส่วนยายอ้วนก็สวยเลือกได้ ไม่รู้เมื่อไหร่จะรู้ใจกันสักที”

“พอดีแก่” สิมิลันเสริม “ทำไงจะช่วยสองคนนี้ดี”

“ก็ไม่ยากนะ เราก็ยุส่งมันไปหาคนใหม่กันทั้งคู่ เจอคนไม่ถูกใจเดี๋ยวก็หันกลับมาหากันเอง”

อธิปกถอนหายใจเมื่อนึกถึงเพื่อนสนิทมหาวิทยาลัยทั้งสองที่ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋คู่ แต่ผ่านมาสิบปีก็ยังไม่มีอะไรในกอไผ่ ต่างคนต่างสงวนท่าทีทั้งที่การกระทำมันฟ้อง

“บางทีทั้งสองคนอาจจะเป็นได้แค่เพื่อนกันเท่านั้นละมั้ง”

สิมิลันเอ่ยลอยๆ กอดเอวสามีแน่น สองสามีภรรยาถอนใจแทบพร้อมกัน อธิปกเอ่ยสีหน้าหนักใจ

“ผู้หญิงกับผู้ชายเป็นเพื่อนสนิทกันไม่ได้หรอกมิน เหมือนอย่างเราไง มันต้องมีสักคน ไม่ใครก็ใครล่ะที่จะต้องหวั่นไหวและอยากก้าวข้ามคำว่าเพื่อนสนิทบ้าง”

“แล้วถ้าต่างคนต่างไม่ยอมรับล่ะ”

ไม่วายที่สิมิลันจะแย้ง อยากเอาใจช่วยแต่บางครั้งก็คิดว่าไม่ควรก้าวก่าย แต่ก็ยังอดใจไม่ให้อยากรู้ไม่ได้อยู่ดี

“ก็คงต้องแยกย้ายกันไปตามทางไม่ต้องมาให้เจอะให้เจอกันตลอดชีวิต หรือก็จนกว่าใครสักคนจะแต่งงานกับใครคนอื่นถึงจะจบเลิฟสตอรี่ของเพื่อนสนิทได้อย่างถาวรกระมัง”

อธิปกถอนหายใจอีกรอบ ส่วนสิมิลันได้แต่ส่ายหน้า พูดไม่ออกเพราะที่สามีพูดทั้งหมดคือเรื่องจริง รักของเพื่อนสนิทช่างก้าวข้ามกำแพงยากนัก แต่หล่อนกับอธิปกก็เคยทำได้มาแล้ว

แล้วทำไมอรณีกับภาณุจะทำไม่ได้…



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ
เรื่องนี้มีทำเป็นอีบุ๊คแล้วค่ะ
ขอฝากนิยายรักเพื่อนสนิทเรื่องนี้ด้วยนะคะ ^^

https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=57488

ขอบคุณมากๆ ค่า



lovereason2
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 พ.ค. 2560, 09:52:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 พ.ค. 2560, 09:52:41 น.

จำนวนการเข้าชม : 1078





<< บทที่ 1/2 ความสวยงามคือสิ่งสำคัญ   บทที่ 3 ระยะห่างระหว่างเรา >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account