The D.O.L.L.S โศกนาฏกรรมปีศาจตุ๊กตามหาเวท
"นักขายความฝันผู้เลือดร้อน & นักโทษประหารผู้เริงร่า & หัวขโมยผู้เย็นชา"
ต่างถิ่น ต่างความคิด ต่างอาชีพ ต่างนิสัย ต่างจุดมุ่งหมาย ต่างเผ่าพันธุ์
กลับต้องมาอยู่ด้วยกันเพราะเหตุบางอย่าง... The D.O.L.L.S
ตุ๊กตาปีศาจมีลักษณะรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ
ถ้าอย่างนั้น...จะรู้ได้อย่างไร?
...เป็นปีศาจ...หาใช่มนุษย์ไม่...
ระวังไว้ให้ดี...ทุกอย่างอาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา...
...ที่ใครบางคนสร้างขึ้นเท่านั้น...
สงครามระหว่างผู้มีพลังเวทกับมนุษย์ธรรมดา
ใครจะอยู่รอดเป็นผู้กำชัยชนะ!?
- ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านจากใจจริง -
แผนที่นครเซ็นทรัม http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/map122e1.jpg
ต่างถิ่น ต่างความคิด ต่างอาชีพ ต่างนิสัย ต่างจุดมุ่งหมาย ต่างเผ่าพันธุ์
กลับต้องมาอยู่ด้วยกันเพราะเหตุบางอย่าง... The D.O.L.L.S
ตุ๊กตาปีศาจมีลักษณะรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ
ถ้าอย่างนั้น...จะรู้ได้อย่างไร?
...เป็นปีศาจ...หาใช่มนุษย์ไม่...
ระวังไว้ให้ดี...ทุกอย่างอาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา...
...ที่ใครบางคนสร้างขึ้นเท่านั้น...
สงครามระหว่างผู้มีพลังเวทกับมนุษย์ธรรมดา
ใครจะอยู่รอดเป็นผู้กำชัยชนะ!?
- ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านจากใจจริง -
แผนที่นครเซ็นทรัม http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/map122e1.jpg
Tags: ตุ๊กตา,ปีศาจ,คำสาป,เวทมนตร์,สงคราม,แฟนตาซี,ผู้ใช้เวท,มนุษย์,โศกนาฏกรรม,mystery
ตอน: Episode 30 : || ผู้นำแห่งทิศใต้ ||
EPISODE 30
ผู้นำแห่งทิศใต้
คณะเดินทางของพวกมิเวลสามารถผ่านด่านตรวจมาได้อย่างราบรื่นอีกครั้ง ทั้งนี้ต้องยกความดีให้กับเจ้าสัตว์เวทตัวน้อย แต่ข่าวดีนี้กลับไม่ได้ทำให้บรรยากาศตึงเครียดภายในห้องบังคับลดน้อยลงอย่างที่ควรจะเป็น สายตาเย็นชามองผ่านกระจกไปยังกลุ่มทหารประมาณห้าสิบคนนอนสลบเรียงรายกันตามพื้นดิน มือขวาที่กำลังแตะกระจกอยู่ค่อยๆ กำหมัดเข้าหากันแน่นพลางครุ่นคิดถึงหนทางแก้ไขปัญหาอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่กระนั้นสีหน้าของเด็กหนุ่มก็ยังคงราบสนิทไม่เปลี่ยนแปลง
เชื้อเพลิงที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดในห้องเสบียงทำให้เดินทางต่อไปได้อีกแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เอเวนถอนหายใจออกมาด้วยความหนักใจ ไม่ว่าจะคิดหาทางออกยังไง เขาก็ไม่เจอทางอื่นเลยนอกจากใช้พลังเวทขับเคลื่อนรถเคอาร์คันนี้แทน แต่ท่ามกลางด่านตรวจจำนวนมากที่รายล้อมอยู่โดยรอบนั้น เขาจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการใช้เวทมนตร์ เพราะฉะนั้นวิธีนี้ถือว่าอันตรายมากเลยทีเดียว
“มีอะไรงั้นเหรอ ทำไมถึงไม่ออกรถซะทีล่ะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นใกล้ๆ โดยไม่รู้ตัว เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือก รีบหันขวับไปมองคนพูดอย่างรวดเร็ว ใบหน้าใสซื่อจ้องมองเขาอย่างงงๆ นัยน์ตาสีอำพันฉายร่องรอยของความตกให้เห็นเพียงวูบเดียวเท่านั้น ก่อนจะกลับมาเป็นแววตานิ่งๆ ดังเดิม สายตาเฉยเมยเบือนกลับไปยังเส้นทางข้างหน้า พลางครุ่นคิดในใจอย่างสงสัย เจ้าตัวแคปซูลเดินเข้ามายืนข้างๆ เขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด
“ไม่มีอะไร” เสียงเย็นตอบกลับไปอย่างไม่สนใจ
“อ้อเหรอ...” เจ้าตัวยุ่งยิ้มกรุ่มกริ่มพร้อมกับใช้สายตารู้ทันมองอีกฝ่าย
“มีอะไร”
“เจ้าต้องมีปัญหาอะไรอยู่แน่ๆ ข้าเห็นเจ้าทำท่าเหมือนผีดิบมาตั้งแต่เริ่มเข้าเขตปกครองของเมเบิร์กแล้ว” เสียงสดใสเริ่มต้นสาธยายทฤษฎีของตัวเอง เหล่สายตามองคนข้างตัวพร้อมกับลอบอมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “แล้วเจ้าก็เข้าไปในห้องเสบียงตั้งไม่รู้กี่ครั้ง แถมตอนนี้ก็ไม่ยอมออกรถเดินทางต่อ ...มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับเชื้อเพลิงหรือเปล่า”
เอเวนไม่ยอมตอบ เขายังคงยืนนิ่ง มองไปข้างหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง วอลยักไหล่น้อยๆ อย่างไม่สนใจ ถ้าเอเวนไม่อยากปรึกษาหารืออะไรเขาก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน ปกติถ้าเป็นปัญหาเรื่องการเดินทาง เอเวนคงต้องเอาเรื่องนี้ไปบอกมิเวลแน่นอน แต่ในเมื่อเขาไม่ยอมบอก ก็แสดงว่าเอเวนตั้งใจจะปิดเรื่องนี้เป็นความลับสินะ
“เพกัส...” เสียงเบาพึมพำกับตัวเองเมื่อนึกถึงเมืองไซโรนาส เพราะฉะนั้นเรื่องเชื้อเพลิงนี่ก็คงจะทำให้มิเวลเองก็นึกถึงเพกัสด้วยเช่นกัน
แต่ในขณะนั้นเองที่ทั้งสองยืนนิ่งเงียบไม่มีใครพูดอะไร เอเวนก็สัมผัสความรู้สึกอะไรบางอย่างได้ เด็กหนุ่มเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
มีผู้บุกรุกเขตอาคม!
ร่างสูงรีบวิ่งออกจากห้องทันที ตรงไปยังห้องรวมและใช้มือขวากระชากประตูเปิดออกอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาสีแดงหันขวับมามองเขาอย่างสงสัยพร้อมกับวางแก้วในมือลงบนโต๊ะ ร่างเล็กของเจ้าเฟรเนร่าที่กำลังนอนหมอบอยู่แทบเท้าของมิเวลเองก็เงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยเช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้น” มิเวลเอ่ยถามอย่างฉงน อยู่ๆ เอเวนก็เปิดประตูผลัวะเข้ามาจนเธอตกใจหมด แถมยังตีหน้าเคร่งเครียดเหมือนมีเรื่องอะไรร้ายแรงอย่างนั้นแหละ
“ผู้บุกรุก...” เสียงเครียดกล่าว ยืนนิ่งอยู่ตรงประตู เหลือบสายตาไปยังควินัวแวบหนึ่ง ก่อนจะเบือนกลับมาที่มิเวล
“ตอนนี้เนี่ยนะ แล้วด่านตรวจกับพวกเครื่องมือบ้าๆ ของเมเบิร์กล่ะ” เด็กสาวถามกลับไปด้วยความตื่นตระหนก ร่างเล็กรีบลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้แล้วรีบเดินเข้าไปหาเอเวนทันที เขามองสบสายตาเธอนิ่งด้วยสีหน้าเรียบๆ แต่ในแววตานั้นกลับฉายประกายความเครียดเอาไว้อยู่ไม่น้อย
“ข้าไม่รู้” คนถูกถามตอบไปตามความจริง เรื่องผู้บุกรุกนั้นตัดมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีพลังเวทมนตร์ออกไปก่อนได้เลย เพราะพวกนั้นไม่มีทางทำลายเขตอาคมได้แน่ เขากำลังคิดอยู่ว่าบางทีอาจจะเป็นตุ๊กตาปีศาจ หรือไม่ก็ผู้ใช้เวทคนอื่นที่กำลังเดินทางผ่านเส้นทางเดียวกันนี้
แต่ยังไม่ทันคิดอะไรอีก เสียงระเบิดดังลั่นพร้อมกับแรงสั่นสะเทือนของผืนดินอย่างรุนแรงก็ทำให้ทั้งคู่สะดุ้งเฮือก เอเวนรีบวิ่งกลับไปยังห้องบังคับทันที ส่วนมิเวลเลื่อนหน้าต่างเปิดออกพร้อมกับชะโงกหน้าออกไปด้านนอกเพื่อดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น เบื้องหน้าคือป่าขนาดย่อมที่ถูกปกคลุมด้วยควันสีดำสนิท เด็กสาวเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงเมื่อเห็นอะไรบางอย่างปะปนอยู่กับกลุ่มควัน ร่างเล็กหมุนตัวกลับ ดวงตาสีแดงกวาดสายตามองหาควินัวอย่างร้อนรน แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อเธอไม่เห็นมันอยู่ในห้องนี้แล้ว
ประตูถูกเปิดออกสุดแรงพร้อมกับร่างสูงเดินตรงเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เห็นเจ้าตัวยุ่งกำลังชะโงกหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง วอลรีบหมุนตัวหันมามองเขาทันทีเมื่อยินเสียงเปิดประตู
“นั่นมัน...ตัวอะไรน่ะ” น้ำเสียงไม่มั่นใจเอ่ยถามพร้อมกับยกมือชี้ออกไปทางนอกหน้าต่าง คนถูกถามขมวดคิ้วอย่างสงสัย เดินตรงเข้าไปดูว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร แล้วดวงตาสีอำพันก็ต้องตะลึงมองอะไรบางอย่างข้างนอกนั่น ในหัวเกิดคำถามขึ้นมากมายอย่างไม่เข้าใจ
“ริริว...” เสียงเบาเอ่ยพึมพำเอ่ยชื่อของสัตว์เวทชนิดหนึ่งซึ่งสามารถพบเจอได้ง่ายที่สุด มีรูปร่างคล้ายม้าแต่ต่างกันตรงจำนวนของหาง ริริวมีสิบหางและมีขนสีดำสนิทเป็นมันเงา มักอยู่รวมกันเป็นฝูงและอาศัยอยู่ตามป่าเขา แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงนั้นไม่ใช่สัตว์เวทในเขตการปกครองของเมเบิร์ก แต่เป็นจำนวนของมันต่างหาก
ริริวนับพันตัวกำลังล่องลอยอยู่กลางอากาศ ถึงแม้ว่าสัตว์เวทชนิดนี้จะชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง แต่ฝูงของมันมีจำนวนอย่างมากก็แค่ร้อยกว่าตัวเท่านั้น และสิ่งที่แปลกมากกว่านั้นก็คือ ริริวไม่มีความสามารถของเวทธาตุลม จึงเป็นไปไม่ได้ที่ริริวหลายพันตัวนี้จะสามารถลอยอยู่กลางอากาศอย่างในตอนนี้ได้ เพราะฉะนั้น หรือว่า...
“พวกเจ้าเป็นผู้ใช้เวทใช่มั้ย” เสียงเย็นของใครบางคนดังขึ้น เอเวนเบิกตากว้างด้วยความตกใจ หันขวับไปมองที่มาของเสียงอย่างร้อนรน ปรากฏร่างในชุดคลุมจำนวนหนึ่งขึ้นภายในห้อง ก่อนจะมีอีกสองร่างปรากฏตัวตามมาในเวลาไล่เลี่ยกัน
ทันใดนั้นเองความรู้สึกเจ็บปวดเหมือนอวัยวะภายในกำลังฉีกขาดออกจากกันก็ทำให้เขาต้องทรุดตัวลง ใบหน้าที่เคยนิ่งเฉยเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ทั้งร่างเกร็งชาไปหมดจนขยับเขยื้อนไม่ได้ ในหัวคิดอะไรไม่ออกนอกจากเกิดคำถามอย่างไม่เข้าใจ พลังแปลกประหลาดนี่ต้องไม่ใช่พลังเวทมนตร์อย่างแน่นอน แต่มันอะไรพลังอะไรกันล่ะ
ผ่านไปไม่นานนักความรู้สึกเจ็บก็ค่อยๆ หายไปในที่สุด ร่างสูงนั่งหายใจหอบ เหลือบสายตาอ่อนแรงขึ้นมอง ‘ผู้บุกรุก’ อย่างไม่ไว้ใจ แล้วยิ้มเย็นอย่างสมเพชตัวเอง นี่เขาสะเพร่ามากไปสินะ ถึงปล่อยให้พวกมันฝ่าเขตอาคมของเขาเข้ามาได้ถึงนี่
ในห้องนี้มีอยู่เก้าคน ส่วนข้างนอกนั้นสามสิบ ไม่สิ น่าจะมากกว่านี้...
เอเวนกวาดสายตาไปรอบๆ พร้อมกับนับจำนวนของศัตรูดูคร่าวๆ เหลือบสายตาไปมองนอกหน้าต่างซึ่งมีอีกหลายสิบคนยืนล้อมรอบอยู่ ทั้งหมดใส่ชุดคลุมสีน้ำตาลปกปิดใบหน้าเอาไว้เหมือนกัน มองดูปราดเดียวก็รู้ว่าน่าสงสัย
“พวกข้าสัมผัสไอเวทของพวกเจ้าไม่ได้แต่กลับมีเขตอาคมกางเอาไว้ บอกมาไอ้หนู แกเป็นพวกเดียวกับพวกมันหรือเปล่า” เสียงแข็งดังมาจากร่างในชุดคลุม หนึ่งในกลุ่มคนที่ยืนรวมอยู่ใกล้หน้าด่างด้านตรงข้าม เด็กหนุ่มเหลือบสายตาไปยังร่างนั้นพักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจถอดกำไลทองที่ข้อมือขวาของตัวเองออก
“ข้ามีความจำเป็นในการปกปิดไอเวท”
เมื่อกำไลทองถูกถอดออก เหล่าผู้บุกรุกก็สามารถสัมผัสไอเวทจากร่างสูงตรงหน้าได้ หลายคนเกิดอาการหวาดวิตกทันทีเมื่อไอเวทนั่นมีพลังมหาศาลและสยองขวัญมากกว่าพวกเขารวมกันเสียอีก แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังคงท่าทีเรียบเฉยเอาไว้ได้
“แล้วแกล่ะ” เจ้าของเสียงแข็งก่อนหน้านี้ขยับตัวเข้าไปใกล้วอลซึ่งยืนอยู่อีกด้าน ใบหน้าแตกตื่นรีบหันไปขอความช่วยเหลือจากเอเวนทางสายตาพร้อมด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ ทันที แต่แล้วเสียงเย็นชาของมิเวลก็ดังขึ้นช่วยชีวิตเขาเอาไว้
“พวกเจ้ามีจุดประสงค์อะไรถึงได้บุกรุกยานพาหนะของพวกข้า” ร่างเล็กปรากฏตัวขึ้นที่ประตูพร้อมด้วยดาบแห่งไฟในมือ สายตาไม่เป็นมิตรไล่มองผู้บุกรุกแต่ละคนอย่างไม่ไว้ใจ เหล่าคนในชุดคลุมหันไปทางมิเวล แต่วอลกลับรู้สึกว่าเจ้าพวกนั้นกำลังสนใจดาบในมือของเด็กสาวมากกว่า
“นั่นมันดาบแห่งไฟสินะ พวกข้าต้องขออภัยที่กระทำการอันไม่สมควร แค่เกรงว่าพวกเจ้าจะเป็นศัตรูกับเราหรือเปล่าเท่านั้นเอง และในโอกาสนี้ข้าขอเชิญพวกเจ้ามาเข้าร่วมกองทัพกับเรา” คำเชิญชวนให้เข้าร่วมกองทัพทำให้มิเวลขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างงุนงง
“กองทัพอะไร”
“กองทัพของผู้ใช้เวทอย่างไรเล่า เรากำลังตอบโต้เจ้าพวกมนุษย์ต่ำต้อยนั่นเป็นการเอาคืนในสิ่งเลวร้ายที่มันทำกับพวกเราเอาไว้” เสียงต่ำลอดไรฟันเอ่ยตอบอย่างเคียดแค้น มิเวลหันไปมองเจ้าของเสียงซึ่งยืนอยู่ใกล้เอเวนด้วยความตกใจ
กองทัพผู้ใช้เวท! อยู่ในเขตปกครองของเมเบิร์กแบบนี้ก็แสดงว่ากำลังจะเกิดสงครามระหว่างผู้ใช้เวทกับแคว้นเมเบิร์กน่ะสิ
“ทำไม...”
“จริงสิ พวกข้าคงต้องขอยืนยันไอเวทของเจ้าเสียก่อน” เสียงแข็งกล่าวขึ้นอีกครั้ง เรียกอาการแตกตื่นของวอลให้กลับมาอีกหน เด็กหนุ่มยิ้มเครียดพลางภาวในใจนาขอให้เจ้าพวกนี้มันลืมเขาไปด้วยเถิด ยืนนิ่งตัวแข็งมองมิเวลถอดกำไลทองที่ข้อมือซ้ายออก กลุ่มผู้บุกรุกทั้งหมดพยักหน้าให้กันน้อยๆ เป็นเชิงว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้วหันไปพูดกับมิเวลต่อ วอลลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่แล้วเสียงหนึ่งก็ตะโกนมาจากข้างหลังดังข้ามหัวเขาไป ซึ่งมันให้เขาต้องรู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งแผ่นหลัง
“เจ้าหมอนี่ด้วยท่าน!”
เหล่าผู้ใช้เวทในชุดคลุมหันขวับไปทางต้นเสียงทันควัน คนตกเป็นเป้าสายตายืนตัวเกร็ง นิ่งค้างพลางกลอกตาไปมา ใบหน้าซีดขาวยังคงรอยยิ้มสดใสเอาไว้อยู่ แต่ในใจนั้นแทบอยากจะร้องไห้ ทำอะไรไม่ได้นอกจากนึกคาดโทษไอ้คนในชุดคลุมที่อยู่ข้างหลังตัวเองไม่หยุด
“เอ่อ...คือ” เสียงของมิเวลเรียกความสนใจจากผู้ถูกเรียกว่า ‘ท่าน’ ให้หันไปมอง
“ข้าชื่อดีเฟน ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ไว้ใจพวกเรา แต่เราเป็นพวกเดียวกัน เพราะฉะนั้นก็ควรจะมาร่วมมือกันไว้” ร่างหนึ่งในชุดคลุมเอ่ยบอกพร้อมกับถอดหมวกที่ปิดบังหน้าตาออก เผยให้เห็นใบหน้ายิ้มทะเล้นของชายคนหนึ่ง ซึ่งน่าจะมีอายุไม่เกินสามสิบปี บริเวณเหนือคิ้วซ้ายของเขามีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ นัยน์ตาสีครามมองสบสายตากลับมาอย่างคนมั่นใจในตัวเอง ชั่วแวบหนึ่งเธอรู้สึกว่านัยน์ตาสีครามคู่สวยนั้นช่างน่าหลงใหลเหลือเกิน
“พวกข้าเป็นเพียงนักเดินทางและกำลังรีบ ช่วยเปิดทางให้ด้วย” เสียงเย็นชาของเอเวนเรียกนัยน์ตาสีครามให้เบือนไปมองพร้อมด้วยรอยยิ้มเย็นแสดงความเป็นมิตร
“น่าเสียดาย”
“ท่านดีเฟนคะ! เจ้าหมอนี่มันไม่ใช่พวกเรา!” เสียงตะโกนโหวกเหวกดังมาจากหนึ่งในร่างชุดคลุมสองคนซึ่งยืนอยู่ข้างๆ วอล เรียกสายตาทุกคู่ให้ตวัดไปมองโดยทันที ผู้ตกเป็นเป้าสายตารอบสองกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ ยืนตัวเกร็งพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ รู้สึกได้ถึงจิตสังหารที่แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง
“หมายความว่ายังไงกัน” เสียงเครียดหันกลับไปถามมิเวล สีหน้ายิ้มแย้มเปลี่ยนเป็นคุกรุ่นอย่างรวดเร็ว
“คือ...”
“คนทรยศ!” สิ้นคำขาดของดีเฟน ร่างในชุดคลุมอีกแปดคนต่างก็กระโจนเข้าหาเธอและเอเวนทันที เด็กสาวกัดฟันกรอดอย่างหงุดหงิดที่ต้องมาเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันแบบนี้ รีบตวัดดาบแห่งไฟรับการโจมตีด้วยพลังเวทจากคนใดคนหนึ่งในหมู่ศัตรู
แต่หลังจากใช้ดาบตวัดไปมาไม่กี่ที อยู่ๆ ความรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงก็กัดกินไปทั่วทั้งร่างจนทำให้เธอต้องทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้น ความเจ็บปวดทำให้เธอแทบลืมตาไม่ขึ้น เด็กสาวนอนดิ้นพล่านอยู่กลางพื้นด้วยความทรมานเหมือนอวัยวะภายในทั้งหมดกำลังจะระเบิดออก นัยน์ตาสีแดงปรือขึ้นน้อยๆ และเห็นว่าเอเวนเองก็มีอาการเช่นเดียวกันกับเธอ ความเจ็บปวดนี่มันอะไรกัน เหมือนร่างกายกำลังถูกฉีกขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ปัง!
เสียงปืนดังเรียกสติของเธอให้กลับคืนมา เด็กสาวรู้สึกว่าความเจ็บปวดทั้งหมดกำลังค่อยๆ ทุเลาลง ร่างเล็กพยามยามใช้เรี่ยวแรงอันน้อยนิดพยุงตัวลุกขึ้น แต่กลับทำได้เพียงแค่เงยหน้าขึ้นจากพื้นเท่านั้น นัยน์ตาสีแดงกวาดมองไปรอบๆ ห้อง เห็นเอเวนนอนราบอยู่อีกด้าน และในตอนนั้นเอง เธอก็ได้ยินเสียงของดีเฟน
“แก...ทำอะไร” สายตาโกรธเคืองมองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ ร่างตรงหน้ายืนนิ่งอยู่ที่เดิม ใบหน้ายิ้มๆ จ้องตอบกลับมาโดยไม่พูดอะไร ในมือซ้ายถือปืนสีเงินกระบอกหนึ่ง
เอเวนและมิเวลพยุงตัวลุกขึ้นยืนอีกครั้งเมื่อความเจ็บปวดทั้งหมดหายไปแล้ว ดีเฟนหรี่ตาลงเล็กน้อย มองสำรวจเจ้าของปืนสีเงินพลางครุ่นคิดอย่างสงสัย ไม่ผิดแน่ความรู้สึกแบบนี้ เมื่อกี้นี้เจ้านั่นมัน... แต่ทำไม...
นัยน์ตาสีครามเพ่งเล็งไปยังร่างเล็กของมิเวลโดยพลันพร้อมกับหัวเราะลั่นอย่างถูกใจ เด็กสาวรีบขยับตัวเมื่อสัมผัสจิตสังหารที่พุ่งตรงมายังเธอได้ แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นร่างในชุดคลุมสามคนปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้า มือขวารีบใช้ดาบแห่งไฟรับเวทสายลมก่อรวมกันจนเกิดเป็นพายุของศัตรูเอาไว้ พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเพราะมีใครบางคนกำลังร่ายเวทออกคำสั่งมัน นัยน์ตาสีแดงเหลือบไปมองเอเวน เด็กหนุ่มกำลังเผชิญหน้าอยู่กับร่างในชุดคลุมอีกห้าคน ทันทีที่เขาขยับตัว ทั้งห้าคนก็เคลื่อนกายตามอย่างรวดเร็ว
“พกของดีมาด้วยคงจัดการยากหน่อย” ดีเฟนพูดขึ้น เหมือนตั้งใจพูดลอยๆ ไม่ได้เจาะจงว่าพูดกับใคร ก่อนใบหน้ายิ้มเหี้ยมจะหันไปทางวอล “และน่าแปลกใจว่าทำไมคนธรรมดาอย่างแกถึงครอบครองเฟรเนร่าได้”
มิเวลรู้สึกเย็นวาบ พร้อมกับใช้ดาบดันระเบิดทรายของศัตรูออกไปสุดแรง อะไรกัน เจ้านั่นรู้ได้ยังไง นัยน์ตาสีเพลิงหันขวับไปมองดีเฟนซึ่งกำลังหัวเราะหึๆ ในลำคออย่างชอบใจ
“แต่น่าเศร้าที่ทั้งพลังและลูกเล่นของแกมันอ่อนหัด!” สิ้นคำตะโกนก้องของดีเฟน นัยน์ตาสีครามก็ตวัดมายังเธอ เด็กสาวสะดุ้งเฮือกพร้อมด้วยอาการหวาดวิตกที่ค่อยๆ กัดกินร่างยามสบนัยน์ตาคู่สวยตรงหน้า แล้วทันใดนั้นเอง ความเจ็บปวดก่อนหน้านี้ก็จู่โจมเข้ามาโดยฉับพลัน ความเจ็บปวดเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังฉีกร่างของเธอออกจากกัน ร่างเล็กทรุดตัวลงอย่างไร้เรี่ยวแรง
แต่แล้วอยู่ๆ ความเจ็บปวดเหล่านั้นก็หายวับไป แต่ก็ยังคงเหลือความอ่อนแรงทิ้งเอาไว้อยู่ ตามมาด้วยเสียงร้องลั่นของดีเฟนที่ทำให้เธอต้องปรือตาขึ้นมองอย่างสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ดีเฟนกำลังดิ้นพล่านอยู่กลางพื้นท่ามกลางความหวั่นวิตกของเหล่าคนในชุดคลุม เธอเห็นควินัวค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นให้เห็นข้างๆ คนในชุดคลุมคนหนึ่ง เด็กสาวเผลอยิ้มออกมาด้วยความดีใจ นี่เป็นพลังของควินัวสินะ
ไม่ใช่...
นั่นไม่ใช่ควินัว
มิเวลพยุงตัวลุกขึ้นยืน มองร่างน้อยๆ ของเจ้าเฟรเนร่าอย่างระแวดระวัง มันมีขนสีขาวเหมือนกับควินัว แต่ความรู้สึกของเธอบอกว่าเฟรเนร่าตัวนั้นไม่ใช่ควินัว นัยน์ตาสีแดงตวัดไปมองวอลซึ่งยืนอยู่อีกด้าน เด็กหนุ่มยังคงยืนยิ้มๆ ตามแบบฉบับของเขาเช่นเดิม พอเห็นว่าเธอหันไปมอง เขาก็ส่งยิ้มกว้างมาให้เหมือนทุกที
“แก...” เสียงอ่อนแรงของดีเฟนเรียกความสนใจจากเธอให้หันกลับไปมองเขา
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น พวกเจ้าทำอะไร ทำไมท่านดีเฟนถึง...” ร่างหนึ่งในชุดคลุมตะโกนถามออกมา มิเวลเองก็กำลังสงสัยอยู่เช่นกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น สายตาไม่เข้าใจหันไปมองเอเวนซึ่งยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ใบหน้าเรียบสนิทหันมามองเธอพักหนึ่ง ก่อนจะเบือนสายตากลับไปยังดีเฟน
“พลังจิตไงล่ะ” เสียงเรียบกล่าว ซึ่งเรียกความสนใจจากทุกคนในห้องให้หันไปมองเขา เอเวนมองกลุ่มคนในชุดคลุมด้วยสายตาเมินเฉยอย่างไม่สนใจ แล้วนิ่งเงียบไม่พูดอะไรอีกต่อจากนั้น
“พลังจิต...” มิเวลพึมพำกับตัวเอง เบือนสายตามองไปยังเฟรเนร่าที่ไม่ใช่ควินัว
เข้าใจแล้ว เจ้าเฟรเนร่าตัวนั้นคงเป็นของดีเฟนสินะ
ดีเฟนพยุงตัวลุกขึ้นยืน ความรู้สึกเจ็บปวดหายไปหมดแล้ว รอยยิ้มเหี้ยมส่งไปให้เจ้าของใบหน้าหวานที่กำลังยิ้มแย้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“พวกเจ้ามัวยืนบื้ออะไร จัดการคนทรยศซะ” เสียงแข็งกร้าวออกคำสั่ง ร่างในชุดคลุมทั้งแปดขยับตัวน้อยๆ ก่อนจะพุ่งเข้าใส่มิเวลและเอเวนพร้อมกัน “ส่วนข้าคงต้องขอเล่นให้สนุกกับเจ้านี่”
ดีเฟนยิ้มชั่วร้ายอย่างพึงพอใจ เขาไม่เคยเจอคู่ต่อสู้ที่น่าถูกใจขนาดนี้มาก่อน ร่างสูงค่อยๆ ขยับกายเข้าไปใกล้อีกฝ่ายซึ่งยังคงยืนยิ้มจางๆ อยู่อย่างนั้น
‘ระวังหน่อยนะดีเฟน...’ เสียงของเบย์ เฟรเนร่าของเขาดังขึ้นในหัว ร่างสูงยิ้มเย็นพลางขมุบขมิบปากถามกลับไปเสียงเบา
“ระวังอะไร”
‘เจ้าหนูผมเงินนั่น’
++++++++++++++++++++++++++++++++
โปรดติดตามตอนต่อไป!!
EPISODE 30
ผู้นำแห่งทิศใต้
คณะเดินทางของพวกมิเวลสามารถผ่านด่านตรวจมาได้อย่างราบรื่นอีกครั้ง ทั้งนี้ต้องยกความดีให้กับเจ้าสัตว์เวทตัวน้อย แต่ข่าวดีนี้กลับไม่ได้ทำให้บรรยากาศตึงเครียดภายในห้องบังคับลดน้อยลงอย่างที่ควรจะเป็น สายตาเย็นชามองผ่านกระจกไปยังกลุ่มทหารประมาณห้าสิบคนนอนสลบเรียงรายกันตามพื้นดิน มือขวาที่กำลังแตะกระจกอยู่ค่อยๆ กำหมัดเข้าหากันแน่นพลางครุ่นคิดถึงหนทางแก้ไขปัญหาอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่กระนั้นสีหน้าของเด็กหนุ่มก็ยังคงราบสนิทไม่เปลี่ยนแปลง
เชื้อเพลิงที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดในห้องเสบียงทำให้เดินทางต่อไปได้อีกแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เอเวนถอนหายใจออกมาด้วยความหนักใจ ไม่ว่าจะคิดหาทางออกยังไง เขาก็ไม่เจอทางอื่นเลยนอกจากใช้พลังเวทขับเคลื่อนรถเคอาร์คันนี้แทน แต่ท่ามกลางด่านตรวจจำนวนมากที่รายล้อมอยู่โดยรอบนั้น เขาจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการใช้เวทมนตร์ เพราะฉะนั้นวิธีนี้ถือว่าอันตรายมากเลยทีเดียว
“มีอะไรงั้นเหรอ ทำไมถึงไม่ออกรถซะทีล่ะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นใกล้ๆ โดยไม่รู้ตัว เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือก รีบหันขวับไปมองคนพูดอย่างรวดเร็ว ใบหน้าใสซื่อจ้องมองเขาอย่างงงๆ นัยน์ตาสีอำพันฉายร่องรอยของความตกให้เห็นเพียงวูบเดียวเท่านั้น ก่อนจะกลับมาเป็นแววตานิ่งๆ ดังเดิม สายตาเฉยเมยเบือนกลับไปยังเส้นทางข้างหน้า พลางครุ่นคิดในใจอย่างสงสัย เจ้าตัวแคปซูลเดินเข้ามายืนข้างๆ เขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด
“ไม่มีอะไร” เสียงเย็นตอบกลับไปอย่างไม่สนใจ
“อ้อเหรอ...” เจ้าตัวยุ่งยิ้มกรุ่มกริ่มพร้อมกับใช้สายตารู้ทันมองอีกฝ่าย
“มีอะไร”
“เจ้าต้องมีปัญหาอะไรอยู่แน่ๆ ข้าเห็นเจ้าทำท่าเหมือนผีดิบมาตั้งแต่เริ่มเข้าเขตปกครองของเมเบิร์กแล้ว” เสียงสดใสเริ่มต้นสาธยายทฤษฎีของตัวเอง เหล่สายตามองคนข้างตัวพร้อมกับลอบอมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “แล้วเจ้าก็เข้าไปในห้องเสบียงตั้งไม่รู้กี่ครั้ง แถมตอนนี้ก็ไม่ยอมออกรถเดินทางต่อ ...มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับเชื้อเพลิงหรือเปล่า”
เอเวนไม่ยอมตอบ เขายังคงยืนนิ่ง มองไปข้างหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง วอลยักไหล่น้อยๆ อย่างไม่สนใจ ถ้าเอเวนไม่อยากปรึกษาหารืออะไรเขาก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน ปกติถ้าเป็นปัญหาเรื่องการเดินทาง เอเวนคงต้องเอาเรื่องนี้ไปบอกมิเวลแน่นอน แต่ในเมื่อเขาไม่ยอมบอก ก็แสดงว่าเอเวนตั้งใจจะปิดเรื่องนี้เป็นความลับสินะ
“เพกัส...” เสียงเบาพึมพำกับตัวเองเมื่อนึกถึงเมืองไซโรนาส เพราะฉะนั้นเรื่องเชื้อเพลิงนี่ก็คงจะทำให้มิเวลเองก็นึกถึงเพกัสด้วยเช่นกัน
แต่ในขณะนั้นเองที่ทั้งสองยืนนิ่งเงียบไม่มีใครพูดอะไร เอเวนก็สัมผัสความรู้สึกอะไรบางอย่างได้ เด็กหนุ่มเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
มีผู้บุกรุกเขตอาคม!
ร่างสูงรีบวิ่งออกจากห้องทันที ตรงไปยังห้องรวมและใช้มือขวากระชากประตูเปิดออกอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาสีแดงหันขวับมามองเขาอย่างสงสัยพร้อมกับวางแก้วในมือลงบนโต๊ะ ร่างเล็กของเจ้าเฟรเนร่าที่กำลังนอนหมอบอยู่แทบเท้าของมิเวลเองก็เงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยเช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้น” มิเวลเอ่ยถามอย่างฉงน อยู่ๆ เอเวนก็เปิดประตูผลัวะเข้ามาจนเธอตกใจหมด แถมยังตีหน้าเคร่งเครียดเหมือนมีเรื่องอะไรร้ายแรงอย่างนั้นแหละ
“ผู้บุกรุก...” เสียงเครียดกล่าว ยืนนิ่งอยู่ตรงประตู เหลือบสายตาไปยังควินัวแวบหนึ่ง ก่อนจะเบือนกลับมาที่มิเวล
“ตอนนี้เนี่ยนะ แล้วด่านตรวจกับพวกเครื่องมือบ้าๆ ของเมเบิร์กล่ะ” เด็กสาวถามกลับไปด้วยความตื่นตระหนก ร่างเล็กรีบลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้แล้วรีบเดินเข้าไปหาเอเวนทันที เขามองสบสายตาเธอนิ่งด้วยสีหน้าเรียบๆ แต่ในแววตานั้นกลับฉายประกายความเครียดเอาไว้อยู่ไม่น้อย
“ข้าไม่รู้” คนถูกถามตอบไปตามความจริง เรื่องผู้บุกรุกนั้นตัดมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีพลังเวทมนตร์ออกไปก่อนได้เลย เพราะพวกนั้นไม่มีทางทำลายเขตอาคมได้แน่ เขากำลังคิดอยู่ว่าบางทีอาจจะเป็นตุ๊กตาปีศาจ หรือไม่ก็ผู้ใช้เวทคนอื่นที่กำลังเดินทางผ่านเส้นทางเดียวกันนี้
แต่ยังไม่ทันคิดอะไรอีก เสียงระเบิดดังลั่นพร้อมกับแรงสั่นสะเทือนของผืนดินอย่างรุนแรงก็ทำให้ทั้งคู่สะดุ้งเฮือก เอเวนรีบวิ่งกลับไปยังห้องบังคับทันที ส่วนมิเวลเลื่อนหน้าต่างเปิดออกพร้อมกับชะโงกหน้าออกไปด้านนอกเพื่อดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น เบื้องหน้าคือป่าขนาดย่อมที่ถูกปกคลุมด้วยควันสีดำสนิท เด็กสาวเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงเมื่อเห็นอะไรบางอย่างปะปนอยู่กับกลุ่มควัน ร่างเล็กหมุนตัวกลับ ดวงตาสีแดงกวาดสายตามองหาควินัวอย่างร้อนรน แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อเธอไม่เห็นมันอยู่ในห้องนี้แล้ว
ประตูถูกเปิดออกสุดแรงพร้อมกับร่างสูงเดินตรงเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เห็นเจ้าตัวยุ่งกำลังชะโงกหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง วอลรีบหมุนตัวหันมามองเขาทันทีเมื่อยินเสียงเปิดประตู
“นั่นมัน...ตัวอะไรน่ะ” น้ำเสียงไม่มั่นใจเอ่ยถามพร้อมกับยกมือชี้ออกไปทางนอกหน้าต่าง คนถูกถามขมวดคิ้วอย่างสงสัย เดินตรงเข้าไปดูว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร แล้วดวงตาสีอำพันก็ต้องตะลึงมองอะไรบางอย่างข้างนอกนั่น ในหัวเกิดคำถามขึ้นมากมายอย่างไม่เข้าใจ
“ริริว...” เสียงเบาเอ่ยพึมพำเอ่ยชื่อของสัตว์เวทชนิดหนึ่งซึ่งสามารถพบเจอได้ง่ายที่สุด มีรูปร่างคล้ายม้าแต่ต่างกันตรงจำนวนของหาง ริริวมีสิบหางและมีขนสีดำสนิทเป็นมันเงา มักอยู่รวมกันเป็นฝูงและอาศัยอยู่ตามป่าเขา แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงนั้นไม่ใช่สัตว์เวทในเขตการปกครองของเมเบิร์ก แต่เป็นจำนวนของมันต่างหาก
ริริวนับพันตัวกำลังล่องลอยอยู่กลางอากาศ ถึงแม้ว่าสัตว์เวทชนิดนี้จะชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง แต่ฝูงของมันมีจำนวนอย่างมากก็แค่ร้อยกว่าตัวเท่านั้น และสิ่งที่แปลกมากกว่านั้นก็คือ ริริวไม่มีความสามารถของเวทธาตุลม จึงเป็นไปไม่ได้ที่ริริวหลายพันตัวนี้จะสามารถลอยอยู่กลางอากาศอย่างในตอนนี้ได้ เพราะฉะนั้น หรือว่า...
“พวกเจ้าเป็นผู้ใช้เวทใช่มั้ย” เสียงเย็นของใครบางคนดังขึ้น เอเวนเบิกตากว้างด้วยความตกใจ หันขวับไปมองที่มาของเสียงอย่างร้อนรน ปรากฏร่างในชุดคลุมจำนวนหนึ่งขึ้นภายในห้อง ก่อนจะมีอีกสองร่างปรากฏตัวตามมาในเวลาไล่เลี่ยกัน
ทันใดนั้นเองความรู้สึกเจ็บปวดเหมือนอวัยวะภายในกำลังฉีกขาดออกจากกันก็ทำให้เขาต้องทรุดตัวลง ใบหน้าที่เคยนิ่งเฉยเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ทั้งร่างเกร็งชาไปหมดจนขยับเขยื้อนไม่ได้ ในหัวคิดอะไรไม่ออกนอกจากเกิดคำถามอย่างไม่เข้าใจ พลังแปลกประหลาดนี่ต้องไม่ใช่พลังเวทมนตร์อย่างแน่นอน แต่มันอะไรพลังอะไรกันล่ะ
ผ่านไปไม่นานนักความรู้สึกเจ็บก็ค่อยๆ หายไปในที่สุด ร่างสูงนั่งหายใจหอบ เหลือบสายตาอ่อนแรงขึ้นมอง ‘ผู้บุกรุก’ อย่างไม่ไว้ใจ แล้วยิ้มเย็นอย่างสมเพชตัวเอง นี่เขาสะเพร่ามากไปสินะ ถึงปล่อยให้พวกมันฝ่าเขตอาคมของเขาเข้ามาได้ถึงนี่
ในห้องนี้มีอยู่เก้าคน ส่วนข้างนอกนั้นสามสิบ ไม่สิ น่าจะมากกว่านี้...
เอเวนกวาดสายตาไปรอบๆ พร้อมกับนับจำนวนของศัตรูดูคร่าวๆ เหลือบสายตาไปมองนอกหน้าต่างซึ่งมีอีกหลายสิบคนยืนล้อมรอบอยู่ ทั้งหมดใส่ชุดคลุมสีน้ำตาลปกปิดใบหน้าเอาไว้เหมือนกัน มองดูปราดเดียวก็รู้ว่าน่าสงสัย
“พวกข้าสัมผัสไอเวทของพวกเจ้าไม่ได้แต่กลับมีเขตอาคมกางเอาไว้ บอกมาไอ้หนู แกเป็นพวกเดียวกับพวกมันหรือเปล่า” เสียงแข็งดังมาจากร่างในชุดคลุม หนึ่งในกลุ่มคนที่ยืนรวมอยู่ใกล้หน้าด่างด้านตรงข้าม เด็กหนุ่มเหลือบสายตาไปยังร่างนั้นพักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจถอดกำไลทองที่ข้อมือขวาของตัวเองออก
“ข้ามีความจำเป็นในการปกปิดไอเวท”
เมื่อกำไลทองถูกถอดออก เหล่าผู้บุกรุกก็สามารถสัมผัสไอเวทจากร่างสูงตรงหน้าได้ หลายคนเกิดอาการหวาดวิตกทันทีเมื่อไอเวทนั่นมีพลังมหาศาลและสยองขวัญมากกว่าพวกเขารวมกันเสียอีก แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังคงท่าทีเรียบเฉยเอาไว้ได้
“แล้วแกล่ะ” เจ้าของเสียงแข็งก่อนหน้านี้ขยับตัวเข้าไปใกล้วอลซึ่งยืนอยู่อีกด้าน ใบหน้าแตกตื่นรีบหันไปขอความช่วยเหลือจากเอเวนทางสายตาพร้อมด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ ทันที แต่แล้วเสียงเย็นชาของมิเวลก็ดังขึ้นช่วยชีวิตเขาเอาไว้
“พวกเจ้ามีจุดประสงค์อะไรถึงได้บุกรุกยานพาหนะของพวกข้า” ร่างเล็กปรากฏตัวขึ้นที่ประตูพร้อมด้วยดาบแห่งไฟในมือ สายตาไม่เป็นมิตรไล่มองผู้บุกรุกแต่ละคนอย่างไม่ไว้ใจ เหล่าคนในชุดคลุมหันไปทางมิเวล แต่วอลกลับรู้สึกว่าเจ้าพวกนั้นกำลังสนใจดาบในมือของเด็กสาวมากกว่า
“นั่นมันดาบแห่งไฟสินะ พวกข้าต้องขออภัยที่กระทำการอันไม่สมควร แค่เกรงว่าพวกเจ้าจะเป็นศัตรูกับเราหรือเปล่าเท่านั้นเอง และในโอกาสนี้ข้าขอเชิญพวกเจ้ามาเข้าร่วมกองทัพกับเรา” คำเชิญชวนให้เข้าร่วมกองทัพทำให้มิเวลขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างงุนงง
“กองทัพอะไร”
“กองทัพของผู้ใช้เวทอย่างไรเล่า เรากำลังตอบโต้เจ้าพวกมนุษย์ต่ำต้อยนั่นเป็นการเอาคืนในสิ่งเลวร้ายที่มันทำกับพวกเราเอาไว้” เสียงต่ำลอดไรฟันเอ่ยตอบอย่างเคียดแค้น มิเวลหันไปมองเจ้าของเสียงซึ่งยืนอยู่ใกล้เอเวนด้วยความตกใจ
กองทัพผู้ใช้เวท! อยู่ในเขตปกครองของเมเบิร์กแบบนี้ก็แสดงว่ากำลังจะเกิดสงครามระหว่างผู้ใช้เวทกับแคว้นเมเบิร์กน่ะสิ
“ทำไม...”
“จริงสิ พวกข้าคงต้องขอยืนยันไอเวทของเจ้าเสียก่อน” เสียงแข็งกล่าวขึ้นอีกครั้ง เรียกอาการแตกตื่นของวอลให้กลับมาอีกหน เด็กหนุ่มยิ้มเครียดพลางภาวในใจนาขอให้เจ้าพวกนี้มันลืมเขาไปด้วยเถิด ยืนนิ่งตัวแข็งมองมิเวลถอดกำไลทองที่ข้อมือซ้ายออก กลุ่มผู้บุกรุกทั้งหมดพยักหน้าให้กันน้อยๆ เป็นเชิงว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้วหันไปพูดกับมิเวลต่อ วอลลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่แล้วเสียงหนึ่งก็ตะโกนมาจากข้างหลังดังข้ามหัวเขาไป ซึ่งมันให้เขาต้องรู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งแผ่นหลัง
“เจ้าหมอนี่ด้วยท่าน!”
เหล่าผู้ใช้เวทในชุดคลุมหันขวับไปทางต้นเสียงทันควัน คนตกเป็นเป้าสายตายืนตัวเกร็ง นิ่งค้างพลางกลอกตาไปมา ใบหน้าซีดขาวยังคงรอยยิ้มสดใสเอาไว้อยู่ แต่ในใจนั้นแทบอยากจะร้องไห้ ทำอะไรไม่ได้นอกจากนึกคาดโทษไอ้คนในชุดคลุมที่อยู่ข้างหลังตัวเองไม่หยุด
“เอ่อ...คือ” เสียงของมิเวลเรียกความสนใจจากผู้ถูกเรียกว่า ‘ท่าน’ ให้หันไปมอง
“ข้าชื่อดีเฟน ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ไว้ใจพวกเรา แต่เราเป็นพวกเดียวกัน เพราะฉะนั้นก็ควรจะมาร่วมมือกันไว้” ร่างหนึ่งในชุดคลุมเอ่ยบอกพร้อมกับถอดหมวกที่ปิดบังหน้าตาออก เผยให้เห็นใบหน้ายิ้มทะเล้นของชายคนหนึ่ง ซึ่งน่าจะมีอายุไม่เกินสามสิบปี บริเวณเหนือคิ้วซ้ายของเขามีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ นัยน์ตาสีครามมองสบสายตากลับมาอย่างคนมั่นใจในตัวเอง ชั่วแวบหนึ่งเธอรู้สึกว่านัยน์ตาสีครามคู่สวยนั้นช่างน่าหลงใหลเหลือเกิน
“พวกข้าเป็นเพียงนักเดินทางและกำลังรีบ ช่วยเปิดทางให้ด้วย” เสียงเย็นชาของเอเวนเรียกนัยน์ตาสีครามให้เบือนไปมองพร้อมด้วยรอยยิ้มเย็นแสดงความเป็นมิตร
“น่าเสียดาย”
“ท่านดีเฟนคะ! เจ้าหมอนี่มันไม่ใช่พวกเรา!” เสียงตะโกนโหวกเหวกดังมาจากหนึ่งในร่างชุดคลุมสองคนซึ่งยืนอยู่ข้างๆ วอล เรียกสายตาทุกคู่ให้ตวัดไปมองโดยทันที ผู้ตกเป็นเป้าสายตารอบสองกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ ยืนตัวเกร็งพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ รู้สึกได้ถึงจิตสังหารที่แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง
“หมายความว่ายังไงกัน” เสียงเครียดหันกลับไปถามมิเวล สีหน้ายิ้มแย้มเปลี่ยนเป็นคุกรุ่นอย่างรวดเร็ว
“คือ...”
“คนทรยศ!” สิ้นคำขาดของดีเฟน ร่างในชุดคลุมอีกแปดคนต่างก็กระโจนเข้าหาเธอและเอเวนทันที เด็กสาวกัดฟันกรอดอย่างหงุดหงิดที่ต้องมาเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันแบบนี้ รีบตวัดดาบแห่งไฟรับการโจมตีด้วยพลังเวทจากคนใดคนหนึ่งในหมู่ศัตรู
แต่หลังจากใช้ดาบตวัดไปมาไม่กี่ที อยู่ๆ ความรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงก็กัดกินไปทั่วทั้งร่างจนทำให้เธอต้องทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้น ความเจ็บปวดทำให้เธอแทบลืมตาไม่ขึ้น เด็กสาวนอนดิ้นพล่านอยู่กลางพื้นด้วยความทรมานเหมือนอวัยวะภายในทั้งหมดกำลังจะระเบิดออก นัยน์ตาสีแดงปรือขึ้นน้อยๆ และเห็นว่าเอเวนเองก็มีอาการเช่นเดียวกันกับเธอ ความเจ็บปวดนี่มันอะไรกัน เหมือนร่างกายกำลังถูกฉีกขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ปัง!
เสียงปืนดังเรียกสติของเธอให้กลับคืนมา เด็กสาวรู้สึกว่าความเจ็บปวดทั้งหมดกำลังค่อยๆ ทุเลาลง ร่างเล็กพยามยามใช้เรี่ยวแรงอันน้อยนิดพยุงตัวลุกขึ้น แต่กลับทำได้เพียงแค่เงยหน้าขึ้นจากพื้นเท่านั้น นัยน์ตาสีแดงกวาดมองไปรอบๆ ห้อง เห็นเอเวนนอนราบอยู่อีกด้าน และในตอนนั้นเอง เธอก็ได้ยินเสียงของดีเฟน
“แก...ทำอะไร” สายตาโกรธเคืองมองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ ร่างตรงหน้ายืนนิ่งอยู่ที่เดิม ใบหน้ายิ้มๆ จ้องตอบกลับมาโดยไม่พูดอะไร ในมือซ้ายถือปืนสีเงินกระบอกหนึ่ง
เอเวนและมิเวลพยุงตัวลุกขึ้นยืนอีกครั้งเมื่อความเจ็บปวดทั้งหมดหายไปแล้ว ดีเฟนหรี่ตาลงเล็กน้อย มองสำรวจเจ้าของปืนสีเงินพลางครุ่นคิดอย่างสงสัย ไม่ผิดแน่ความรู้สึกแบบนี้ เมื่อกี้นี้เจ้านั่นมัน... แต่ทำไม...
นัยน์ตาสีครามเพ่งเล็งไปยังร่างเล็กของมิเวลโดยพลันพร้อมกับหัวเราะลั่นอย่างถูกใจ เด็กสาวรีบขยับตัวเมื่อสัมผัสจิตสังหารที่พุ่งตรงมายังเธอได้ แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นร่างในชุดคลุมสามคนปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้า มือขวารีบใช้ดาบแห่งไฟรับเวทสายลมก่อรวมกันจนเกิดเป็นพายุของศัตรูเอาไว้ พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเพราะมีใครบางคนกำลังร่ายเวทออกคำสั่งมัน นัยน์ตาสีแดงเหลือบไปมองเอเวน เด็กหนุ่มกำลังเผชิญหน้าอยู่กับร่างในชุดคลุมอีกห้าคน ทันทีที่เขาขยับตัว ทั้งห้าคนก็เคลื่อนกายตามอย่างรวดเร็ว
“พกของดีมาด้วยคงจัดการยากหน่อย” ดีเฟนพูดขึ้น เหมือนตั้งใจพูดลอยๆ ไม่ได้เจาะจงว่าพูดกับใคร ก่อนใบหน้ายิ้มเหี้ยมจะหันไปทางวอล “และน่าแปลกใจว่าทำไมคนธรรมดาอย่างแกถึงครอบครองเฟรเนร่าได้”
มิเวลรู้สึกเย็นวาบ พร้อมกับใช้ดาบดันระเบิดทรายของศัตรูออกไปสุดแรง อะไรกัน เจ้านั่นรู้ได้ยังไง นัยน์ตาสีเพลิงหันขวับไปมองดีเฟนซึ่งกำลังหัวเราะหึๆ ในลำคออย่างชอบใจ
“แต่น่าเศร้าที่ทั้งพลังและลูกเล่นของแกมันอ่อนหัด!” สิ้นคำตะโกนก้องของดีเฟน นัยน์ตาสีครามก็ตวัดมายังเธอ เด็กสาวสะดุ้งเฮือกพร้อมด้วยอาการหวาดวิตกที่ค่อยๆ กัดกินร่างยามสบนัยน์ตาคู่สวยตรงหน้า แล้วทันใดนั้นเอง ความเจ็บปวดก่อนหน้านี้ก็จู่โจมเข้ามาโดยฉับพลัน ความเจ็บปวดเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังฉีกร่างของเธอออกจากกัน ร่างเล็กทรุดตัวลงอย่างไร้เรี่ยวแรง
แต่แล้วอยู่ๆ ความเจ็บปวดเหล่านั้นก็หายวับไป แต่ก็ยังคงเหลือความอ่อนแรงทิ้งเอาไว้อยู่ ตามมาด้วยเสียงร้องลั่นของดีเฟนที่ทำให้เธอต้องปรือตาขึ้นมองอย่างสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ดีเฟนกำลังดิ้นพล่านอยู่กลางพื้นท่ามกลางความหวั่นวิตกของเหล่าคนในชุดคลุม เธอเห็นควินัวค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นให้เห็นข้างๆ คนในชุดคลุมคนหนึ่ง เด็กสาวเผลอยิ้มออกมาด้วยความดีใจ นี่เป็นพลังของควินัวสินะ
ไม่ใช่...
นั่นไม่ใช่ควินัว
มิเวลพยุงตัวลุกขึ้นยืน มองร่างน้อยๆ ของเจ้าเฟรเนร่าอย่างระแวดระวัง มันมีขนสีขาวเหมือนกับควินัว แต่ความรู้สึกของเธอบอกว่าเฟรเนร่าตัวนั้นไม่ใช่ควินัว นัยน์ตาสีแดงตวัดไปมองวอลซึ่งยืนอยู่อีกด้าน เด็กหนุ่มยังคงยืนยิ้มๆ ตามแบบฉบับของเขาเช่นเดิม พอเห็นว่าเธอหันไปมอง เขาก็ส่งยิ้มกว้างมาให้เหมือนทุกที
“แก...” เสียงอ่อนแรงของดีเฟนเรียกความสนใจจากเธอให้หันกลับไปมองเขา
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น พวกเจ้าทำอะไร ทำไมท่านดีเฟนถึง...” ร่างหนึ่งในชุดคลุมตะโกนถามออกมา มิเวลเองก็กำลังสงสัยอยู่เช่นกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น สายตาไม่เข้าใจหันไปมองเอเวนซึ่งยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ใบหน้าเรียบสนิทหันมามองเธอพักหนึ่ง ก่อนจะเบือนสายตากลับไปยังดีเฟน
“พลังจิตไงล่ะ” เสียงเรียบกล่าว ซึ่งเรียกความสนใจจากทุกคนในห้องให้หันไปมองเขา เอเวนมองกลุ่มคนในชุดคลุมด้วยสายตาเมินเฉยอย่างไม่สนใจ แล้วนิ่งเงียบไม่พูดอะไรอีกต่อจากนั้น
“พลังจิต...” มิเวลพึมพำกับตัวเอง เบือนสายตามองไปยังเฟรเนร่าที่ไม่ใช่ควินัว
เข้าใจแล้ว เจ้าเฟรเนร่าตัวนั้นคงเป็นของดีเฟนสินะ
ดีเฟนพยุงตัวลุกขึ้นยืน ความรู้สึกเจ็บปวดหายไปหมดแล้ว รอยยิ้มเหี้ยมส่งไปให้เจ้าของใบหน้าหวานที่กำลังยิ้มแย้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“พวกเจ้ามัวยืนบื้ออะไร จัดการคนทรยศซะ” เสียงแข็งกร้าวออกคำสั่ง ร่างในชุดคลุมทั้งแปดขยับตัวน้อยๆ ก่อนจะพุ่งเข้าใส่มิเวลและเอเวนพร้อมกัน “ส่วนข้าคงต้องขอเล่นให้สนุกกับเจ้านี่”
ดีเฟนยิ้มชั่วร้ายอย่างพึงพอใจ เขาไม่เคยเจอคู่ต่อสู้ที่น่าถูกใจขนาดนี้มาก่อน ร่างสูงค่อยๆ ขยับกายเข้าไปใกล้อีกฝ่ายซึ่งยังคงยืนยิ้มจางๆ อยู่อย่างนั้น
‘ระวังหน่อยนะดีเฟน...’ เสียงของเบย์ เฟรเนร่าของเขาดังขึ้นในหัว ร่างสูงยิ้มเย็นพลางขมุบขมิบปากถามกลับไปเสียงเบา
“ระวังอะไร”
‘เจ้าหนูผมเงินนั่น’
++++++++++++++++++++++++++++++++
โปรดติดตามตอนต่อไป!!
โฮป
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 พ.ค. 2560, 00:00:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 พ.ค. 2560, 00:00:28 น.
จำนวนการเข้าชม : 910
<< Episode 29 : || ด่านตรวจ และ ข่าวร้าย || | Episode 31 : || ผู้ใช้พลังจิต VS ผู้ใช้พลังจิต || >> |