The D.O.L.L.S โศกนาฏกรรมปีศาจตุ๊กตามหาเวท
"นักขายความฝันผู้เลือดร้อน & นักโทษประหารผู้เริงร่า & หัวขโมยผู้เย็นชา"
ต่างถิ่น ต่างความคิด ต่างอาชีพ ต่างนิสัย ต่างจุดมุ่งหมาย ต่างเผ่าพันธุ์
กลับต้องมาอยู่ด้วยกันเพราะเหตุบางอย่าง... The D.O.L.L.S

ตุ๊กตาปีศาจมีลักษณะรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ

ถ้าอย่างนั้น...จะรู้ได้อย่างไร?
...เป็นปีศาจ...หาใช่มนุษย์ไม่...

ระวังไว้ให้ดี...ทุกอย่างอาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา...

...ที่ใครบางคนสร้างขึ้นเท่านั้น...

สงครามระหว่างผู้มีพลังเวทกับมนุษย์ธรรมดา
ใครจะอยู่รอดเป็นผู้กำชัยชนะ!?


- ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านจากใจจริง -
แผนที่นครเซ็นทรัม http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/map122e1.jpg
Tags: ตุ๊กตา,ปีศาจ,คำสาป,เวทมนตร์,สงคราม,แฟนตาซี,ผู้ใช้เวท,มนุษย์,โศกนาฏกรรม,mystery

ตอน: Episode 31 : || ผู้ใช้พลังจิต VS ผู้ใช้พลังจิต ||



EPISODE 31

ผู้ใช้พลังจิต VS ผู้ใช้พลังจิต



‘นี่อะไร’


น้ำเสียงระแวงเอ่ยถามอย่างเคลือบแคลงใจ นัยน์ตาสีครามมองร่างน้อยเบื้องหน้าอย่างสงสัย ก่อนจะเหลือบสายตาไปยังอีกร่างซึ่งกำลังยืนสงบนิ่งห่างออกไปประมาณสามเมตร อีกฝ่ายเป็นเด็กหนุ่มอายุไล่เลี่ยกันกับเขา ผิวสีเข้ม เส้นผมสีดำสนิทและมีนัยน์ตาสีน้ำทะเล สวมชุดลำลองเหมือนนักเดินทางธรรมดาทั่วไป แบกกล่องไม้ขนาดใหญ่อยู่บนหลัง ใบหน้าเรียบสนิทนั้นไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น


‘สัตว์เวทหายากชนิดหนึ่ง เฟรเนร่า’ คนถูกถามเอ่ยตอบพร้อมร้อยยิ้มเย็น นัยน์ตาสีน้ำทะเลฉายประกายกร้าวอยู่ชั่วแวบหนึ่งขณะมองสบสายตาด้วย แต่เพียงชั่วเสี้ยววินาทีนั้นมันทำให้เขารู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก


‘แล้วเจ้าเอามาให้ข้าทำไม’


‘ท่านเป็นผู้นำกลุ่มของผู้ใช้เวทแห่งทิศใต้ ท่านควรจะมีสัตว์เวทชนิดนี้เอาไว้ในความครอบครอง ข้ารับประกันว่ามันจะทำให้ท่านมีพลังมหาศาลอย่างแน่นอน’


คนฟังถึงกับทำตาโตอย่างสนใจ มีพลังมหาศาลงั้นรึ คุณสมบัติข้อนี้ทำให้เขารู้สึกอยากได้เจ้าสัตว์เวทตัวจ้อยนั่นเสียแล้ว เขาเคยได้ยินว่าสัตว์เวทแต่ละชนิดมีพลังพิเศษกันคนละแบบ และผู้ครอบครองก็สามารถใช้พลังนั้นได้ด้วยเช่นกัน


‘เจ้ามีข้อแลกเปลี่ยนอะไรถึงนำของแบบนี้มาให้ข้า’


เด็กหนุ่มตรงหน้าขยับมุมปากขึ้นยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยเสียงเย็นยะเยือกพร้อมกับยื่นอะไรบางอย่างส่งให้เขาอีกชิ้นหนึ่ง


‘ไม่มี เราแค่มีอุดมการณ์อย่างเดียวกันเท่านั้น’




++++++++++



ดีเฟนถุยน้ำลายลงพื้นอย่างไม่ใส่ใจกับคำเตือนของเบย์ เจ้ามนุษย์อ่อนแอนี่มันมีอะไรน่ากลัวตรงไหน ร่างกายก็ดูบอบบางปวกเปียก แถมยังเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีพลังเวทอีกต่างหาก


“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าใช้วิธีอะไรถึงได้เฟรเนร่ามาไว้ในความครอบครอง แต่ถ้าหากคิดว่าจะเอาชนะข้าได้ เจ้าก็คงคิดผิดแล้ว” เสียงเหี้ยมกล่าวคำขู่พร้อมกับแสยะยิ้ม


คนถูกขู่ยังคงยืนยิ้มให้อย่างเป็นมิตร เผชิญหน้ากับอีกฝ่ายโดยไม่แม้แต่จะขยับตัวหนี มองผ่านๆ แล้วเหมือนกำลังมองสบตาด้วยอย่างไม่เกรงกลัว แต่ความจริงแล้วนัยน์ตาสีเงินนั้นกลับมองผ่านร่างสูงของดีเฟนไปยังมิเวลกับเอเวนที่กำลังต่อสู้กับกลุ่มผู้ใช้เวทอีกแปดคน เพ่งสายตามองแปดคนนั้นใช้พลังเวทหลากหลายโจมตีใส่ทั้งสอง


ตูม!


อยู่ๆ อากาศข้างหูซ้ายของวอลก็ระเบิดออกดังลั่นจนทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้ง เขารีบขยับตัวถอยไปด้านหลังทันที รอยยิ้มบนใบหน้าหวานคลายออกทันควันก่อนจะกลับมายิ้มแย้มตามเดิมเมื่อตั้งสติได้ วอลตวัดสายตากลับไปยังดีเฟนซึ่งกำลังแสยะยิ้มอย่างพอใจ


“แกกำลังจะใช้พลังช่วยเพื่อนใช่มั้ยล่ะ ไม่ยอมให้ทำแบบนั้นหรอก” กล่าวจบก็ใช้พลังจิตเพ่งไปยังอวัยวะภายในของคู่ต่อสู้ แล้วสั่งให้มันบิดตัวอย่างรุนแรง ดีเฟนยิ้มเหี้ยมด้วยความสะใจพอคิดว่ากำลังจะได้ยินเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของไอ้คนที่มันเอาแต่ยิ้มกวนประสาทอยู่ได้ แต่แล้วเขาก็ต้องหุบยิ้มลงเมื่ออีกฝ่ายยังคงยืนเฉยไม่แสดงอาการเจ็บปวดอะไร


อะไรกัน ทำไม เพราะอะไรถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกหวาดหวั่นในรอยยิ้มกวนประสาทนั่น เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังเหงื่อออกเพราะความกดดันที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน ร่างสูงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าขาทั้งสองข้างของตัวเองกำลังก้าวถอยไปด้านหลังทีละนิด แต่แล้วทันใดนั้นเอง ความเจ็บปวดรุนแรงเหมือนก่อนหน้านี้ก็ได้โถมกระหน่ำเข้าหาจนทำให้เขาต้องล้มลงไปนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น


‘ท่านวอล...’ เสียงของควินัวดังขึ้นในใจ วอลรู้ว่ามันกำลังร้องเตือนเขา เตือนว่าอย่าทำอะไรไปมากกว่านี้ เด็กหนุ่มยิ้มรับคำเตือนด้วยความหวังดีนั้น ก่อนจะออกคำสั่งโดยการเพ่งกระแสจิตให้ไตข้างหนึ่งของดีเฟนเกิดรอยฉีกขาดเป็นทางยาว เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังไปทั่วทั้งห้องทันที


ดีเฟนใช้มือสองข้างกุมท้องของตัวเอง ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด เหลือกตาขึ้นมองศัตรูอย่างโกรธแค้น แล้วเพ่งกระแสจิตใส่อีกฝ่ายให้พบกับความเจ็บปวดแบบเดียวกัน แต่แล้วเขาก็รู้สึกถึงพลังบางอย่างต้านไว้แล้วผลักเขาออกมาอย่างแรง ร่างสูงบิดตัวไปมาพร้อมกับแหกปากร้องลั่น รู้สึกทรมานเหมือนน้ำในร่างกายได้กลายเป็นลาวา แผดเผาอวัยวะภายในของเขา


ควินัวยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดิน มองผ่านประตูห้องบังคับเข้าไปยังความชุลมุนวุ่นวายด้านใน มิเวลกำลังรับมือผู้ใช้เวทสามคนด้วยดาบแห่งไฟ ดูจากพลังเวทมนตร์ที่ใช้แล้ว มีทั้งพลังสลายพื้นดินและแผ่นดินไหว ดาบแห่งลม สองในสามคงเป็นธาตุดิน และอีกคนก็คงเป็นธาตุลม ส่วนเอเวนนั้นเอาแต่ตั้งรับด้วยม่านพลังและเวทกักขังตาข่ายไฟฟ้า ซึ่งคู่ต่อสู้ทั้งห้าถูกจัดการลงได้อย่างง่ายดาย หลังจากนั้นเด็กหนุ่มจึงหันมาช่วยมิเวล และจัดการอีกสามคนกักขังเอาไว้ในเวทตาข่ายไฟฟ้าด้วยเช่นกัน


นัยน์ตาสีฟ้าใสทั้งสามของเจ้าเฟรเนร่าเบือนสายตาไปมองเจ้านายของมันซึ่งยืนอยู่อีกด้านหนึ่งของห้อง เบื้องหน้าวอลคือร่างของดีเฟนที่กำลังดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด ควินัวรู้ดีว่าวอลเก่งกาจในการอ่านสีหน้าและท่าทางของคนอื่นแค่ไหน ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงสามารถอ่านออกว่าศัตรูกำลังจะใช้พลังเมื่อไหร่ได้อย่างไม่ยากเย็น และในเมื่อใช้พลังจิตโจมตีอีกฝ่ายได้ เขาก็สามารถใช้มันป้องกันได้ด้วยเช่นกัน


ในเวลาเดียวกันที่บริเวณด้านนอกรถเคอาร์ เหล่ากองทัพผู้ใช้เวทต่างก็รู้สึกกระวนกระวายที่พวกของตัวเองยังไม่ออกมาเสียที หลังจากใช้พลังทำลายด่านตรวจต่างๆ ไปแล้ว พวกเขาก็มาเจอกับเขตอาคมที่มีพลังรุนแรงมาก จนถึงกับต้องใช้คนหลายร้อยในการทำลายมันทิ้ง แต่น่าแปลกเมื่อสิ่งที่พวกเขาเจอกลับเป็นรถเคอาร์ซึ่งเป็นยานพาหนะของพวกมนุษย์ เพราะฉะนั้นท่านดีเฟนจึงออกคำสั่งให้ตรวจค้นเคอาร์คันนี้อย่างละเอียด แต่เวลาก็ผ่านมานานพอสมควรแล้ว ทำไมพวกท่านดีเฟนถึงยังไม่ออกมากันอีก


“ข้าจะขึ้นไปตรวจดู” หนึ่งในกองหน้าเสนอตัวพร้อมกับทำท่าว่าจะเดินขึ้นบันไดไปที่ประตูของยานพาหนะคันใหญ่


“อย่าน่าเวส เจ้าควรจะทำตามคำสั่งของท่านดีเฟน” เสียงเตือนดังมาจากเพื่อนสาวข้างกาย ใบหน้าของเวสมุ่ยลงอย่างไม่พอใจ สายตาเคืองๆ ตวัดไปมองอีกฝ่าย เอลลี่เป็นเสมือนผู้รักษากฎของกองทัพ เธอจะคอยตรวจตราความเคลื่อนไหวของเหล่าสมาชิกทุกกระเบียดนิ้ว


“แต่นี่มันนานเกินไปแล้วนะเอลลี่” คำแย้งดังมาจากอีกด้านหนึ่ง พวกเขาเห็นด้วยกับเวส ต้องมีใครสักคนขึ้นไปดูสถานการณ์ข้างบนว่ามันเกิดอะไรขึ้น


“ท่านดีเฟนกำลังเจรจา พวกเจ้าต้องไม่ไปรบกวน” เอลลี่ยังคงใช้น้ำเสียงสงบนิ่งสั่งห้ามพวกพ้อง หลายคนทำเสียงสบถด้วยความไม่พอใจ มองเอลลี่ด้วยสายตาโกรธเคือง ถ้าเธอไม่ใช่มือขวาของดีเฟน พวกเขาก็คงไม่เอาเธอไว้


แต่ทันใดนั้นเอง พวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องของผู้บังคับบัญชา สายตาตกใจรีบหันไปมองเอลลี่ที่กำลังยืนขวางทางอยู่ทันควัน ใบหน้าเรียบเฉยฉายแววฉงนอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะใช้เวทหายตัวไปจากตรงนั้น


“เจ้าทำอะไรเขาน่ะ” มิเวลเดินเข้าไปถามวอลด้วยความสงสัย เธอเห็นเขาเอาแต่ยืนยิ้มๆ มองดีเฟนอยู่อย่างนั้น และไม่แม้แต่จะขยับเขยื้อนเลยสักนิดด้วยซ้ำ แต่ร่างสูงของดีเฟนกลับดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้น ร้องเสียงลั่นด้วยความเจ็บปวด สีหน้าทรมานของเขาทำให้เธอเริ่มรู้สึกสงสารขึ้นมา


“แบบที่เขาทำกับเจ้าไง” เด็กหนุ่มหันมาตอบพร้อมรอยยิ้มเช่นเคย แต่มันกลับทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวในรอยยิ้มนั้น จนไม่ทันสังเกตเห็นเม็ดเหงื่อจำนวนมากบนใบหน้าของอีกฝ่าย ยิ้มแย้มขณะใช้พลังทำให้คนอื่นเจ็บปวด คนตรงหน้าเธอคือเจ้าบ้าวอลจริงๆ น่ะหรือ


‘ท่านวอล!’ เสียงร้องตะโกนของควินัวดังขึ้นในหัวอีกครั้ง พร้อมๆ กับที่สติของเด็กหนุ่มได้ดับวูบลงอย่างเฉียบพลัน พลังจิตโจมตีศัตรูถูกตัดขาด ร่างของวอลล้มลงกับพื้นทันที


มิเวลรีบตรวจอาการของวอลด้วยความตกใจ เธอใช้ฝ่ามือสัมผัสหน้าผากของอีกฝ่ายแล้วก็พบว่ามันร้อนจัดจนน่ากลัว สายตาตื่นตกใจรีบหันมองรอบกายอย่างร้อนรน แต่แล้วก็ต้องหยุดลงที่ร่างน้อยๆ ของควินัวซึ่งกำลังเดินมาทางนี้ เจ้าเฟรเนร่าหยุดมองเธอพักหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้วอล แล้วกระโจนหายเข้าไปในอกของเขา


หลังจากได้รับอิสระจากความเจ็บปวด ดีเฟนพยายามคงสติของตัวเองเอาไว้อย่างสุดความสามารถ แค่นยิ้มกับตัวเองด้วยความเจ็บแค้น ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะโดนเจ้ามนุษย์นั่นเล่นงานจนต้องมาอยู่ในสภาพน่าสมเพชเช่นนี้ แขนสองข้างพยายามยันร่างของตัวเองให้ลุกขึ้น แต่แล้วก็มีใครบางคนมายืนขวางตรงหน้า พร้อมกับใช้ดาบทาบคอเขาเอาไว้


“เปิดทางซะ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า” เสียงเย็นเยียบออกคำขู่


“ท่านดีเฟน!” เสียงร้องลั่นพร้อมด้วยการปรากฏตัวของผู้มาใหม่ เห็นได้ชัดว่าใช้เวทหายตัวมาเหมือนกับอีกเก้าคน เอลลี่มองไปรอบๆ ห้องบังคับอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกเธอถึงโดนเล่นงานจนหมอบราบกับพื้นกันหมดทุกคนแบบนี้ โดยเฉพาะคนสำคัญที่กำลังนอนหมอบอยู่แทบเท้าของศัตรู


“อย่าขยับ” เอเวนสั่งเสียงเฉียบขาดทันทีเมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังจะขยับตัว มือขวาเพิ่มแรงกดดาบลงไปบนคอของดีเฟนแรงอีก “ถ้าเจ้าขยับ หัวของเจ้านี่ขาดแน่”


จิตสังหารรุนแรงของอีกฝ่ายทำให้เอลลี่หน้าซีด เธอยังไม่อยากเชื่อว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ ดีเฟนเป็นผู้นำของพวกเธอ เขามีพลังที่ผู้อื่นไม่มี เพราะฉะนั้นมันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไรกัน


“ทะ...ท่านดีเฟนของข้ามีพลังที่พวกเจ้าไม่มีวันทาบติด” เสียงสั่นรีบพูดหมายจะขู่ให้อีกฝ่ายกลัวพร้อมกับพยักหน้าให้ดีเฟนเป็นการส่งสัญญาณ ใช่แล้ว ถ้าพวกมันรู้สึกกลัว เธอก็จะใช้จังหวะนั้นเล่นงานมันกลับ


“เจ้าหมายถึงพลังจิตน่ะหรือ” เสียงเรียบของเอเวนทำให้ลมหายใจของเธอติดขัด


เจ้าหมอนี่รู้!? สายตาตื่นตระหนกมองไปยังดีเฟนอีกครั้ง เขาส่ายหน้ากลับมาให้อย่างสิ้นหวัง ดีเฟนรู้ตัวว่าตอนนี้เขายังอ่อนแรงเกินกว่าจะใช้พลังจิตอีกครั้งได้


ใบหน้าหล่อเหลาไม่แสดงอามรณ์อะไรทั้งสิ้น มองสบสายตากลับมาอย่างผู้อยู่เหนือกว่า เอลลี่ค่อยๆ ก้าวถอยไปด้านหลังโดยไม่รู้ตัว เธอมองไปรอบๆ ห้องอีกทีเพื่อหาพวกตัวเองที่อาจจะยังคงมีสติหลงเหลืออยู่ การขอความช่วยเหลืออาจจะเป็นหนทางสุดท้ายแล้ว


“น่าเสียดายที่พวกข้าก็มีผู้ใช้พลังจิตอยู่เหมือนกัน” มิเวลพูดเสียงเรียบพร้อมกับลุกขึ้นยืน แม้จะยังไม่แน่ใจว่าผู้ถูกเอ่ยถึงนั้นไม่เป็นอะไรมาก นัยน์ตาสีแดงมองไปรอบๆ ห้อง เธอไม่เห็นเฟรเนร่าของดีเฟนเลย หรือว่ามันจะหนีไปแล้ว


เอลลี่กลืนน้ำลายเหนียวลงคออย่างยากลำบาก สายตาหวั่นเกรงเหลือบมองไปยังร่างเล็กเบื้องหลัง ก่อนจะตวัดกลับไปมองเด็กหนุ่มร่างสูงตรงหน้า ถูกล้อมหน้าล้อมหลังแบบนี้แล้วจะช่วยท่านดีเฟนยังไงล่ะ แถมมันยังบอกว่ามีผู้ใช้พลังจิตอยู่ด้วย นี่มันสถานการณ์เลวร้ายขั้นสูงสุดชัดๆ ไม่คิดเลยว่าจะต้องมาเจอกับผู้ใช้พลังจิตแบบนี้


“เปิดทางให้พวกข้า เดี๋ยวนี้” เสียงเยียบเย็นออกคำสั่ง นัยน์ตาสีอำพันฉายประกายกร้าวจนทำให้คนถูกสั่งรู้สึกหวั่นเกรง


“...ได้ ได้สิ” เธอตอบเสียงสั่น เกรงกลัวศัตรูทั้งสอง หนึ่งในสองคนนี้ต้องเป็นผู้ใช้พลังจิต และมันจะใช้พลังกับเธอเมื่อไหร่นั้นก็ขึ้นอยู่กับคำตอบและท่าทีของเธอ ความเจ็บปวดอันแสนร้ายกาจนั้นเธอยังคงจำได้อย่างแม่นยำอยู่ในความทรงจำ และไม่อยากสัมผัสมันอีกครั้งโดยเด็ดขาด


เมื่อได้รับคำตอบน่าพอใจ เอเวนก็ร่ายเวทให้ดาบเงินหายไป ดีเฟนถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก ดีใจสุดขีดที่ไม่ต้องกลายเป็นศพไป เรี่ยวแรงของเขาค่อยๆ กลับมาทีละนิด ชายหนุ่มลอบยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ขณะพยุงร่างลุกขึ้นยืน ตอนนี้เขากลับมาใช้พลังจิตได้อีกครั้งหนึ่งแล้ว และพวกมันก็ยังไม่รู้ แถมผู้ใช้พลังจิตของพวกมันยังสลบไปแล้วอีกต่างหาก เขาเดาว่าคงเป็นเพราะความเป็นมนุษย์ธรรมดาเลยทำให้ไม่สามารถรองรับพลังมหาศาลนี้ได้ เจ้าเฟรเนร่าที่เขาเห็นก็หายเข้าไปในตัวมันแล้วด้วย เพราะฉะนั้นในตอนนี้จึงไม่มีใครขัดขวางเขาได้อีกต่อไปแล้ว


นัยน์ตาสีแดงเหลือบมองดีเฟนเดินเข้ามาหาหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาไม่ไว้ใจ เธอแอบเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั่นของเขา และมันต้องมีความหมายอะไรสักอย่าง เธอไม่มีความรู้อะไรเลยเกี่ยวกับพลังจิต ซึ่งมันทำให้พวกเธอกำลังเป็นฝ่ายเสียเปรียบที่ไม่รู้ขอบเขตของพลังศัตรู


“ไม่ต้องระวังผู้ใช้พลังจิตแล้ว” ดีเฟนแอบกระซิบที่ข้างหูของเอลลี่ ลอบมองใบหน้าเรียบเฉยของเอเวนเพื่อสังเกตว่าอีกฝ่ายจับได้หรือเปล่า หญิงสาวแสดงอาการแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะกลับมาตีสีหน้าให้เป็นปกติ ในใจเริ่มคิดสงสัยว่าถึงจะบอกว่าไม่ต้องระวังผู้ใช้พลังจิตแล้วก็เถอะ แต่มันเป็นใครกันล่ะ อย่างน้อยเธอก็อยากยืนยันให้แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าศัตรูร้ายกาจนั่นถูกจัดการจนไร้พิษสงแล้วจริงๆ


ดีเฟนพยักหน้าให้เอเวนทีหนึ่งเพื่อเป็นการบอกว่าเขาพร้อมออกไปจากรถเคอาร์คันนี้แล้ว แต่เด็กหนุ่มตรงหน้ากลับยังคงยืนนิ่ง ไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบรับ สายตาเย็นชาจ้องกลับมาเหมือนผู้ล่ากำลังจับผิดเหยื่ออย่างเยือกเย็น


เวทตาข่ายไฟฟ้าปรากฏขึ้นโดยฉับพลัน เอลลี่ตั้งสติได้ก่อนจึงรีบร่ายเวทสายน้ำสลายตาข่ายไฟฟ้าของศัตรูทันที แต่กลับต้องเหงื่อตกเมื่อพลังเวทมหาศาลของเอเวนกลายเป็นฝ่ายทำลายเวทน้ำของเธอแทน ผู้นำกองทัพกัดฟันกรอดอย่างหงุดหงิด แล้วใช้ทั้งเวทธาตุไฟและเวทธาตุดินสร้างรอยแยกระหว่างพื้นขึ้นมาพร้อมด้วยเปลวไฟที่พุ่งออกมารอยแยกนั้น เปลวไฟจัดการสูบตาข่ายไฟฟ้าของศัตรูให้จมหายลงไปพร้อมกันกับมัน แต่ทั้งสองก็มิอาจเย็นใจลงได้เมื่อดาบแห่งไฟสำแดงฤทธิ์อันแสนร้ายกาจ มิเวลตวัดดาบเพียงแค่ทีเดียว สร้างพลังลมรุนแรงพุ่งตรงเข้ามาด้วยความเร็วสูง


ดีเฟนยิ้มเย็นอย่างพอใจ พลังลมดาบแบบนี้ เขาก็ยังใช้ไม้ตายเดิมจัดการมันได้อยู่ดีนั่นแหละ ชายหนุ่มร่ายเวทเดิมอีกครั้ง ดูดพลังของเด็กสาวให้หายไปเช่นเดิม แมลงขยะทรยศพวกพ้องสองตัวแบบนี้ เขาต้องรีบจัดการพวกมันโดยเร็วที่สุด


เวทลมพายุถูกสร้างขึ้นพร้อมพลังทำลายล้างสูงสุด ดีเฟนยิ้มเหี้ยมด้วยความสะใจ แท้จริงแล้วเขาเป็นพวกธาตุลม แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่าเขาเป็นธาตุอะไร เพราะเขาฝึกฝนพลังเวทมนตร์จนสามารถใช้พลังของทุกธาตุได้อย่างเท่าเทียมกัน และมันก็เป็นข้อโอ้อวดอย่างหนึ่งก่อนที่เขาจะใช้พลังจิตได้


แต่แล้วเวทลมพายุของชายหนุ่มกลับต้องพ่ายให้กับม่านพลังของเอเวน ดีเฟนส่งเสียงสบถด้วยความโกรธ เจ้าหนุ่มหน้าตายตรงหน้ามันเอาแต่ยืนนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ทางสีหน้าเลยสักนิด เจ้าบ้าพวกนี้มันมีแต่พวกแปลกประหลาดหรือไง คนหนึ่งก็เอาแต่ยิ้ม ส่วนอีกคนก็เอาแต่ทำหน้าตาย


ดีเฟนร่ายเวทหกธาตุขึ้นมาพร้อมกันเป็นพลังจู่โจมรุนแรงที่สุด เขาทำท่าจะใช้พลังใส่เด็กหนุ่มตรงหน้า แต่แล้วรอยยิ้มเย็นก็ผุดขึ้นให้เห็นบนใบหน้าเจ้าเล่ห์ เวททำลายทั้งหกธาตุรวมจับกลุ่มกลายเป็นลูกบอลขนาดยักษ์ พุ่งไปจัดการมิเวลซึ่งยืนอยู่ข้างหลังทันที เด็กสาวตกอยู่ในอาการตกตะลึงกับพลังเวทมนตร์ตรงหน้า เธอไม่มีทางต่อกรกับพลังมหาศาลขนาดนี้ได้อย่างแน่นอน มิเวลหลับตาแน่น เตรียมรับความเจ็บปวดที่กำลังได้รับ


นัยน์ตาสีอำพันเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ แต่ไม่ทันจะร่ายเวทเพื่อปกป้องคนตัวเล็ก ความเจ็บปวดเหมือนร่างกายกำลังถูกฉีกขาดก็โถมเข้าหาโดยไม่ทันให้ตั้งตัว สีหน้าราบสนิทเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวโดยพลัน ร่างสูงทรุดตัวลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง


“จำใส่หัวเอาไว้ซะ ไม่ว่าแกจะมีพลังเวทมากขนาดไหน ก็ไม่มีทางเทียบพลังจิตได้หรอก! แล้วข้าก็จะให้เหล่าผู้ใช้เวทของข้าที่อยู่ข้างล่างนั่นขึ้นมารุมทรมานพวกแกด้วยล่ะนะ!” เสียงเหี้ยมประกาศก้องอย่างผู้มีชัย ดีเฟนหัวเราะลั่นด้วยความสะใจ เอลลี่เองก็หัวเราะด้วยเช่นกัน สมกับเป็นหัวหน้ากองทัพของพวกเธอ เท่านี้ก็ถึงเวลาตายของไอ้คนทรยศพวกนี้แล้ว


ทุกอย่างกำลังดำเนินไปได้สวย แต่แล้วรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของผู้ใช้เวททั้งสองก็ต้องเลือนหาย ถูกแทนที่ด้วยความเจ็บปวดอย่างมิอาจต้านทานได้เข้าโจมตีไปทั่วทั้งร่าง เอลลี่หลับตาแน่น ทรุดลงไปนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น น้ำตาแห่งความเจ็บปวดไหลซึมออกมาจากหางตาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ความทรงจำเลวร้ายในอดีตผุดขึ้นมาในหัวไม่หยุดหย่อน หญิงสาวเหลือบมองดีเฟนที่กำลังอยู่ในอาการเช่นเดียวกัน แต่ไม่ทันได้คิดวิเคราะห์อะไร ความเจ็บปวดระลอกสองก็กระหน่ำมาอีก


มิเวลลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงร้องโหยหวนอันไม่คาดคิดของศัตรู นัยน์ตาสีเพลิงเหลือบไปมองเอเวนซึ่งกำลังพยุงร่างของตัวเองลุกขึ้นยืน ก่อนจะหันกลับมามองร่างของศัตรูทั้งสองที่กำลังดิ้นทุรนทุรายอย่างไม่เข้าใจ นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมสองคนนี้ถึงมีท่าทีทรมานแบบนี้ไปได้


“แย่จัง ข้าคิดว่าน่าจะพอแค่นี้ก่อนนะ” เสียงคุ้นเคยดังมาจากข้างหลัง เด็กสาวค่อยๆ หันกลับไปมองอีกฝ่ายด้วยสายตาตกตะลึง รอยยิ้มสดใสตามแบบฉบับของเจ้าตัวยังคงประดับอยู่บนใบหน้าหวานเหมือนทุกที มิเวลไม่คิดว่าเขาจะมายืนอยู่ข้างหลังแบบนี้ได้ ทั้งที่เมื่อกี้นี้เจ้าบ้านี่ยังนอนสลบเหมือดอยู่เลยนี่นา


“แก...ทำอะไร” ความรู้สึกเจ็บปวดทั้งหลายหายไปแล้ว ดีเฟนเงยหน้าขึ้นมองคนพูดอย่างยากลำบากเพราะความอ่อนแรง หายใจติดขัดด้วยความกลัว เขาจำเสียงนั้นได้ดีว่าเป็นของใคร เสียงนุ่มฟังดูอ่อนโยนพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ นั่น


“ออกคำสั่ง” เด็กหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงเช่นเดิม เจ้าของใบหน้ายิ้มแย้มตามปกติยืนอยู่ในท่าสงบนิ่ง มองร่างของศัตรูด้วยสายตาราบเรียบ


“ออกคำสั่ง?” ดีเฟนทวนอย่างงุนงง พร้อมกับคิดต่อในใจอย่างฉงน ออกคำสั่งอะไรกับใครกันเล่า?


“อื้อ” ใบหน้าหวานพยักหน้ารับ


“อย่าไม่สนใจมันเลยท่านดีเฟน สั่งให้พวกข้างล่างมันบุกขึ้นมาเถอะ” เอลลี่รีบชิงพูดขึ้นก่อนที่ท่านดีเฟนของเธอจะไปหลงกลพวกมัน หญิงสาวสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายเองก็ใช่ว่าจะดูสบายดีเสียทีเดียว ใบหน้าขาวซีดนั่นดูซีดเซียวราวกับซากศพ แล้วยังเม็ดเหงื่อจำนวนมากที่ผุดพรายขึ้นตามใบหน้าอีก และพลังจิตของศัตรูก็หยุดไปแล้วอีกด้วย ก่อนหน้านี้ท่านดีเฟนใช้พลังจิตกับเจ้าหนุ่มหน้าขรึมนั่นซึ่งเป็นการพิสูจน์ได้อย่างดีว่ามันไม่ใช่ผู้ใช้พลังจิต เพราะฉะนั้นผู้ใช้พลังจิตที่เล่นงานพวกเธอเมื่อครู่นั้นจะต้องเป็นเด็กสาวผมแดงอย่างแน่นอน คงเป็นเพราะอาการบาดเจ็บเลยทำให้เจ้าเด็กผมแดงมันใช้พลังต่อไม่ได้ เจ้าหนูหัวเงินนี่เป็นเพียงนกต่อเท่านั้น ดังนั้นพวกเธอจะมาเสียเวลาพูดคุยไร้สาระกับตัวถ่วงเวลาอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว ต้องรีบถือโอกาสนี้ให้พวกข้างล่างขึ้นมาจัดการพวกมันซะ


“ใช่ๆ เฮ้!! พวกแกขึ้นมาด้านบนได้แล้ว!!” ดีเฟนยิ้มร่าตกลงทำตามข้อเสนอทันควัน ใช้แรงที่เหลืออยู่รีบวิ่งไปยังหน้าต่าง แล้วตะโกนเรียกพวกของตัวเองสุดเสียง


“นั่นแหละคือสาเหตุที่ข้าบอกว่าแย่จัง” เสียงพูดขัดของศัตรูทำให้ดีเฟนหุบยิ้มลง หันกลับไปจ้องอีกฝ่ายเขม็งด้วยสายตาโกรธขึง ทั้งๆ ที่มันก็ดูจะยืนแทบไม่ไหวอยู่แล้ว อีกไม่นานก็คงหมดสภาพ แต่ทำไมเจ้านี่มันถึงยังยิ้มได้อยู่อีก


“หมายความว่ายังไง”


คนถูกถามมองสีหน้าร้อนรนของดีเฟน ยิ้มแย้มโดยไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มเหมือนเคย


“เจ้าน่าจะถาม...” เด็กหนุ่มเอ่ยค้างเอาไว้เช่นนั้นพร้อมกับขยับตัวไปด้านข้าง เป็นการเปิดทางให้ทุกคนได้เห็นร่างหนึ่งซึ่งยืนอยู่ด้านหลังเขา “....มากกว่านะ”


ดีเฟนเบิกตากว้างมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ทำไม เพราะอะไรทำไม...เจ้านั่นถึงได้...


“...เบย์?”


“อะไรกัน เป็นไปได้ยังไง!?” เอลลี่ร้องโวยวายขึ้นทันทีเมื่อเห็นร่างของเจ้าเฟรเนร่าอย่างชัดเจน ปฎิเสธในใจอย่างเด็ดขาดว่ามันเป็นเพียงแค่ภาพมายา ใช่แล้ว! ต้องมีคนใช้เวทมายาหรือเวทลวงตาแน่นอน


มิเวลเองก็รู้สึกงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน นี่หมายความว่าเฟรเนร่าที่ชื่อเบย์ตัวนั้นร่วมมือกับเจ้าบ้าวอลอย่างนั้นหรือ


ส่วนเอเวนนั้นยังคงยืนนิ่ง ใบหน้าเรียบสนิทมองตรงไปยังวอลโดยไม่แสดงสีหน้าหรืออารมณ์ใดๆ ออกมาให้เห็นทั้งสิ้น ซึ่งตรงกันข้ามกับในใจของเด็กหนุ่มอย่างสิ้นเชิง ข้อสงสัยเกี่ยวกับเจ้าตัวแคปซูลมีเพิ่มขึ้นมาอีกแล้ว และเขาก็ยังหาคำตอบให้กับข้อสงสัยก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยสักข้อ


“แกกำลังเล่นตลกอะไร!?” เสียงกราดเกรี้ยวตวาดใส่อย่างโมโห ดีเฟนกำหมัดแน่น พยายามสงบสติอารมณ์ไม่ให้เดือดรุนแรงไปมากกว่านี้


“ข้าเป็นผู้ใช้พลังจิต...” วอลเกริ่นด้วยรอยยิ้ม ยกมือซ้ายขึ้นแตะบริเวณหน้าอกของตนเองเบาๆ แล้วเอามือลงกลับมาอยู่ในท่าสงบนิ่งเช่นเดิม หันไปส่งรอยยิ้มน้อยๆ ให้กับเอลลี่ซึ่งกำลังจ้องเขาตาค้าง จากนั้นจึงหันกลับไปมองดีเฟน “...และใช่ว่าพลังจิตจะสามารถใช้ได้เพียงแค่กับคนด้วยกันเท่านั้น”


คำเฉลยของวอลทำให้ทุกคนแทบหยุดหายใจไปชั่วขณะ สายตาทั้งสามคู่จ้องมองไปยังเด็กหนุ่มอย่างตกตะลึง


“หมายความว่า...” ดีเฟนพูดเสียงแหบแห้ง หวาดกลัวในประโยคต่อจากนี้ของอีกฝ่ายซึ่งยังคงรอยยิ้มสดใสเอาไว้อยู่อย่างนั้น


‘แต่น่าเศร้าที่ทั้งพลังและลูกเล่นของแกมันอ่อนหัด!’


“ใช่ ข้าใช้พลังจิตกับเฟรเนร่าของเจ้าให้มันโจมตีพวกเจ้า และควบคุมผู้ใช้เวทที่อยู่ข้างล่างด้วยยังไงล่ะ”



+++++++++



โปรดติดตามตอนต่อไป!!








โฮป
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 พ.ค. 2560, 00:33:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 พ.ค. 2560, 00:33:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 939





<< Episode 30 : || ผู้นำแห่งทิศใต้ ||   Episode 32 : || ดาบปริศนา || >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account