ร้อยรักพรางตะวัน
If no obstacle is found.
Do you know …What true love is?

เรื่องของนักแสดงสาวชื่อดังจอมเหวี่ยงวีนกับวิศวกรหนุ่ม ทั้งสองเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย แต่ความสนิทสนมทำให้ความสัมพันธ์ก้าวข้ามขีดคำว่า 'เพื่อน' ไปไม่ได้

ถ้าไม่มีอุปสรรคขัดขวางความรักระหว่างเพื่อนที่จำกัดไว้อาจจะไม่คืบหน้า และหากปล่อยเวลาผ่านไปอาจต้องเสียความรักนั้นไปให้ใครคนอื่น

เอาใจช่วยเพื่อนสนิทสองคนให้ค้นพบรักแท้ของกันและกันและก้าวผ่านอุปสรรคทั้งปวงเพื่อ ‘ความรัก’ ด้วยกันค่ะ

Tags: ร้อยรักพรางตะวัน, อรณี, ภาณุ, รักดราม่า, โรแมนติก, เพื่อนสนิท, แอบรัก

ตอน: บทที่ 5 - 6

บทที 5 : ทางแยก

ดวงหน้านวลภายใต้แว่นกันแดดสีชากรอบใหญ่ชักสีหน้าไม่พอใจผ่านกระจกมายังคนนั่งตอนหน้าของรถตู้ฟิล์มทึบจากฟังรายละเอียดงานยาวเป็นหางว่าว

“เจ้ว่าอะไร พูดใหม่ซิ”

“เสียงดังทำไม เดี๋ยวใครก็ได้ยินเข้าพอดีหรอก” แสงสุรีย์ส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ เหลียวซ้ายแลขวามองไปรอบบริเวณ
อรณีละสายตาจากบทละครปึกใหญ่ โยนบนที่ว่างข้างกายเสียงดัง

“ทำไม อยู่ในรถฟิล์มดำมืดขนาดนี้กลัวใครมาเห็นมาได้ยินเหรอ”

“แล้วอรจะโวยให้ได้อะไรขึ้นมา ก็แค่ต้องออกแต่เช้าไปถ่ายแบบเซ็ตคู่รักก่อน เจ้นัดเวลาศรุตกับแองเจิ้ลเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้แปดโมงเราต้องถึงที่หมายห้ามเลท เพราะไม่งั้นอรจะไปไม่ทันถ่ายฉากพระอาทิตย์ตกที่พัทยา”

“ก็บอกแล้วว่าไม่ชอบรับงานซ้อน แค่ต้องมาเล่นประกบเด็กนั่นก็ลำบากพอทนแล้วนะ นี่ยังให้ถ่ายแบบคู่อีก” อรณีตวัดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง “เกิดหน้าล้ำเกินวัยเด็กนั่น อรก็โดนถล่มเละจากโลกโซเชียลว่าเป็นป้าอีก”

“จะคิดมากทำไม พวกเธอสมกันจะตาย ไม่เห็นดูแก่ตรงไหน”

“ไม่มาเป็นอรจะรู้ได้ไง... ทำไมเจ้ทำแบบนี้ ถามอรสักคำสิเรื่องรับงานคิดว่าท่านประธานให้ท้ายอยู่หรือไงถึงมาสั่งอรอยู่ได้”

ดวงหน้านวลเชิดเมินมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง ในขณะที่ภายในรถตู้ระอุไปด้วยอารมณ์คุกรุ่นของนางเอกสาว แสงสุรีย์ยังพยายามใจเย็นเอาน้ำเย็นเข้าลูบ

“ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว อย่าเอาแต่ใจนักได้ไหมอร”

“อรไม่ได้เอาแต่ใจ แต่ท่านประธานเคยฟังเหตุผลคนอื่นบ้างรึเปล่า” อรณีเสียงสะบัด “คิดเอาแต่ได้ตลอด”

“ก็เขานักธุรกิจก็ต้องคิดเพื่อความอยู่รอดสิ” แสงสุรีย์ขยับแว่นทำหน้ารำคาญ

“ก็เรื่องของเขาสิ ไม่ใช่เรื่องของอร”

“โอ๊ย! ทำไมถึงพูดยากนัก อย่าให้ต้องลำบากใจได้ไหม เจ้เป็นคนกลางลำบากใจนะ อยากได้อะไรเจ้ก็พูดแทนหมดแล้ว แต่ท่านไม่ยอมจะให้ทำยังไง ”

“ถ้าอยากให้พูดง่าย ๆ ก็น่าจะเคารพกติกาของอรบ้าง” หล่อนเถียงเสียงกร้าว “เคยบอกแล้วนี่ว่าอรรับงานยังไง”

“ก็รู้” แสงสุรีย์ลากเสียงยาว “แต่ทุกอย่างย่อมมีข้อยกเว้น”

“เจ้เป็นผู้จัดการของอรก็ต้องเห็นแก่อร ทำไมต้องมาช่วยพูดแทนท่านประธานด้วย”

“เอาแต่อารมณ์... พูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว”

แสงสุรีย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่หันกลับมองตรงไปนอกถนนอย่างขัดใจ ระงับอารมณ์ โดยมีสายตาลุงทองคอยมองทั้งสองอยู่ตลอดเวลาด้วยความเป็นห่วง


อรณีมองเมินออกนอกหน้าต่าง การจราจรยามเย็นผู้คนขวักไขว่รถราติดยาวไม่ยอมเคลื่อนตัวจนรู้สึกอึดอัดทบทวีที่ทุกสิ่งไม่เป็นอย่างใจ ยิ่งเจอสายตาคาดโทษของแสงสุรีย์ที่เหลือบมองจากกระจกมองหลังผ่านช่องผ้าม่านสีขาวระหว่างเบาะหน้าข้างคนขับมายังหล่อนที่นั่งตอนกลางรถตู้เพียงคนเดียวตลอดเวลาเหมือนจับผิด ก็ยิ่งพาลหงุดหงิดพาลดึงผ้าม่านปิด

“ใจเย็นแล้วใช่ไหม”

เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับ ผ้าม่านสีขาวปิดตาย

แสงสุรีย์ลอบถอนใจอีกครั้ง มองหน้าคนขับรถคู่ใจ ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของปราณแล้วก็ได้แต่คิดหนักกลั้นใจเอ่ยมันออกมาอีกครั้ง

“เจ้ถามทำไมไม่ตอบ” หล่อนเสียงเข้มปิดสมุดคิวเสียงดังปึง “เอาเป็นว่าตกลงตามนี้นะ พรุ่งนี้เช้าหกโมงเจ้จะโทรมาปลุก หกโมงสี่สิบห้าเตรียมตัวให้พร้อมวันอาทิตย์รถไม่ค่อยติดเท่าไหร่ เราน่าจะทำเวลาได้ทันก่อนแปดโมง หน้าผมไปแต่งที่แองเจิ้ลเลย คิดว่าน่าจะเสร็จประมาณไม่เกินบ่ายสองแล้วเราจะได้ไปพัทยาต่อ จากแองเจิ้ลก็ประมาณชั่วโมงกว่า ๆ ขึ้นทางด่วนไป น่าจะทันทีมเอถ่ายเก็บฉากอื่นเสร็จได้ยินไหม... อร”

หล่อนยังคงเงียบผิดปกติ แสงสุรีย์เหลือบมองกระจกหลัง ผ้าม่านก็ยังปิดนึกเอะใจ

“อรณีได้ยินรึเปล่า”

แสงสุรีย์ขยับแว่นเล็กน้อยตามความเคยชินก่อนจะหันกลับไปแหวกผ้าม่าน แต่ลุงทองขัดขึ้นก่อน

“ไม่ต้องเปิดดูหรอกครับคุณแสง คุณอรลงรถไปเห็นหลังไว ๆ โน่นแล้ว”

ผู้จัดการสาวแว่นหนาถึงกับชะงักจะเปิดประตูลงไปตามทันทีที่เห็นแผ่นหลังบอบบางคุ้นตาก้าวเดินรวดเร็วเข้าไปภายในห้างสรรพสินค้า

“ทำไมลุงไม่บอก” หล่อนหันมาโวย “นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะ ลงไปหน้าตาเฉยอย่างนี้ได้ยังไง ไม่รู้ตัวเลยจริง ๆ ฉันชักจะทนแม่ดาราเอาแต่ใจคนนี้ไม่ไหวแล้วนะ นี่ถ้าไม่ถือว่าดูแลกันมานานเหมือนน้องเหมือนนุ่ง ฉันจะทิ้งไฮยาซินตัวนี้จริง ๆ ด้วยค่ะ”

“ใจเย็น ๆ ครับ คุณแสง คุณอรเธอเอาแต่ใจตามประสาคนโดนสปอยล์มาแต่ไหนแต่ไร คุณแสงอย่าถือเธอเลยนะครับ”

“มันน่าไหมละคะลุง” หล่อนตวาดแล้วนึกได้ “แสงก็พูดไปงั้นแหละ เอาเป็นว่าขอลงตรงนี้เลยละกัน พรุ่งนี้มารอสักหกโมงครึ่งนะ แล้วก็อย่าลืมให้คนไปขับรถอรที่ดรีมมาไว้ให้ที่คอนโดด้วยค่ะ”

แสงสุรีย์สั่งความทั้งที่วุ่นวายกับการเก็บสัมภาระกระเป๋าสะพายใบใหญ่และเอกสารอื่น ๆ ก่อนจะเปิดประตูรถตามอรณีไปทันที



บรรยากาศอึมครึมเมื่อครู่ใหญ่จางหายไปทันที เมื่อร่างสูงใหญ่ของ น่านฟ้า พี่ชายคนเดียวของคัคนานต์และเพิ่งรับช่วงต่อบริษัทสวรินทร์พร็อพเพอร์ตี กิจการของครอบครัวมาหมาด ๆ ตามเข้ามาสมทบ

สถาปนิกหนุ่มมาดเฉียบทุกกระเบียดนิ้วตบบ่าทักทายคนนั่งหันหลังให้ก่อนจะพาตัวลงนั่งบนโซฟายาวตัวเดียวกัน คั่นกลางระหว่างน้องสาวที่นั่งโซฟาเดี่ยวและภาณุที่นั่งโซฟาตัวยาว

“ไง... ทำไมมาหาพี่ได้ล่ะเรา”

“แม่ฝากนี่มาให้พี่ค่ะ”

สาวลูกครึ่งเปิดกระเป๋าถือใบหรูยี่ห้อดัง หยิบสมาร์ทโฟนเครื่องบางเฉียบรุ่นล่าออกมายื่นให้ น่านฟ้ารับมาเปิดดูอย่างตื่นเต้น

“อ้าว... อยู่ที่บ้านนี่เอง แสดงว่าพี่เอาไปลืมไว้ตอนเมากลับบ้านวันก่อน พี่ก็นึกว่าไปวางลืมไว้ตอนไปผับกับนายเบตเมื่อวันก่อนซะอีก ขอบใจนะ ดีที่ไม่หายที่อื่น ไม่งั้นพี่แย่แน่ข้อมูลลูกค้าเพียบ”

“ข้อมูลลูกค้าหรือเบอร์สาว ๆ กันแน่คะ” สาวน้อยหัวเราะร่วน “พี่ก็น่าจะโทรกลับเข้ามาเบอร์ตัวเอง”

“เออ ก็ลืมนึกไป” น่านฟ้าหัวเราะตาม “มัวแต่เมาไม่รู้เรื่อง”

สองพี่น้องลูกครึ่งที่ดูยังไงวัยก็ต่างกันมากพูดตอบรับเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ภาณุได้แต่ฟังและสังเกตเงียบ ๆ จนสะดุ้งเมื่อน่านฟ้าสะกิด

“ไงวะ” น่านฟ้าเอื้อมมือกอดคอภาณุอย่างถือสนิท “นั่งเงียบไม่พูดไม่จา หรือว่าอายน้องฉัน”

“เฮ้ย! เปล่า ๆ” ภาณุรีบโบกมือปฏิเสธ

“ยายนางปีนี้สิบแปด เป็นสาวเต็มตัวแล้วนะโว้ย”

น่านฟ้าขยี้ผมน้องสาวด้วยความหมั่นเขี้ยว คคนานต์ผลักมือพี่ชายออกห่างหน้าง้ำ

“พี่น่าน! ทำแบบนี้กับน้องอีกแล้ว”

“ก็น้องสาวพี่น่ารัก” น่านฟ้าสัพยอก “ใช่ไหมวะไอ้ณุ”

ไม่วายหันมาถามความเห็นจนภาณุถึงกับสะดุ้งเพราะมัวแต่มองพี่น้องคุยเพลิน ชายหนุ่มอมยิ้มบางก่อนจะพยักหน้ารับตามเพื่อนรัก

“โชคดีมากเลยที่นางมาวันนี้ ก็เลยได้เจอเพื่อนพี่น่านด้วย” สาวน้อยปรายตายิ้มหวาน “จริงไหมคะคุณณุ... คุณณุคะ”

ภาณุใจกังวลคิดแต่เรื่องไซด์งานที่เกิดปัญหาและรอเวลาปรึกษาน่านฟ้า จึงไม่ทันฟัง

“ณุ... ไอ้ณุ... เฮ้! เหม่ออะไรวะ”

“เอ่อ... เปล่าฟังพี่น้องคุยกันเพลินน่ะ เดี๋ยวนายเสร็จธุระแล้วคุยกันหน่อยนะ”

ภาณุแก้เก้อลุกขึ้นขอตัว ในขณะที่มือยังคงกำหนังสือพิมพ์หน้าข่าวบันเทิงไว้ไม่ยอมวางกลับคืนที่เดิม นอกจากเรื่องงานแล้วใจยังกังวลถึงคนในข่าวอย่างบอกไม่ถูก

ท่าทางอึดอัดของเขาทำให้หญิงสาวที่คอยจับสังเกตุอยู่ตลอดเวลาถีงกับขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย นึกเสียดายโอกาสที่จะทำความรู้จัก จนน่านฟ้าหรี่ตามองสงสัย

“มองอะไรยายนาง”

“มองคนหล่อ”

“หืม... อย่าบอกว่าหลงเสน่ห์อันน้อยนิดของไอ้ณุมันนะ”

“เปล่าซะหน่อย เพิ่งเจอกันเมื่อกี้เอง”

คคนานต์ปฏิเสธหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก ทำให้พี่ชายอดหัวเราะขันไม่ได้

“เออ... ให้มันจริง ดีแล้ว พี่จะเตือนแกไว้ อย่าสนใจมันเลย พี่ไม่เคยเห็นไอ้ณุมันมองผู้หญิงคนไหน จนสาว ๆ ในบริษัทนึกว่ามันเป็นพวกกามตายด้านไปแล้ว หรือบางทีมันอาจจะไม่ชอบผู้หญิงก็ได้”

น่านฟ้าหัวเราะเบา ๆ นึกขำความคิดตัวเอง จนคคนานต์ค้อนขวับหมั่นไส้ ดวงตากลมโตสีเทาหม่นของสาวลูกครี่งสแกนดิเนเวียหรี่มองแผ่นหลังชายหนุ่มในบทสนทนาครุ่นคิด

“แต่นางว่าไม่ใช่นะ” หล่อนยิ้มมีเลศนัย “พี่ณุน่ะชอบต้องผู้หญิงแน่นอน เมื่อกี้นางรู้สึกได้ว่าพี่ณุเขินนาง”

“แกเข้าข้างตัวเองไปรึเปล่ายายนาง”

“ไม่หรอก พี่ณุไม่มีเรดาร์แบบเพื่อน ๆ ของนาง”

สาวน้อยหัวเราะร่วน น่านฟ้าส่ายหน้าให้กับความลื่นของน้องสาว

“ช่างเรื่องของมันเหอะ ว่าแต่แกจะไปไหนต่อ ถ้าไม่ไปไหนไปกินข้าวกันดีกว่าใกล้เลิกงานแล้ว”

“โอเคค่ะ แต่พี่ต้องชวนพี่ณุไปด้วยนะ... นะคะ”

คคนานต์เกาะแขนเคล้าเคลียออเซาะจนน่านฟ้าใจอ่อนหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรหาชายหนุ่มที่น้องสาวมีท่าทีพึงใจ



คอฟฟีช็อปคนไม่พลุกพล่านเท่าใดนัก อาจเพราะเป็นแบรนด์นอกราคาแพง ความทึบของกระจกร้านมองจากด้านนอกไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ทำให้ดาราสาวหลบลี้ผู้คนมานั่งอยู่มุมหนึ่งในร้านได้อย่างสบายใจ

ร่างบอบบางในชุดเดรสขาวชุดเดิมตอนเช้า พันผ้าพันคอปล่อยชายกรุยกรายปิดร่องรอยไอศกรีมเลอะที่ปกเสื้อ จิบกาแฟไปพลางอ่านบทหนังไปพลางอย่างไม่เกรงสายตาคนในร้านที่พากันชี้ชวนมอง แต่ความสบายใจก็หดหายเมื่อได้ยินน้ำเสียงหงุดหงิดดังขึ้นทางด้านหลัง

“จะเกินไปรึเปล่าอร”

ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใคร อรณีถึงกับถอนหายใจรำคาญวางแก้วกาแฟหมดอารมณ์จะละเลียดต่อ แสงสุรีย์วางกระเป๋าใบโตที่หอบหิ้วตามมาลงบนโต๊ะอย่างกระแทกกระทั้น

“เจ้ถามทำไมไม่ตอบ”

หล่อนนั่งลงตรงข้ามเสียงเข้มหงุดหงิด อรณีหยิบแว่นกันแดดอันโตขึ้นมาสวมก่อนจะนั่งคอแข็งไม่ตอบ ทำให้แสงสุรีย์ถามซ้ำ

“จะทำตัวเป็นปัญหาอีกนานแค่ไหนถึงจะพอใจ”

“อรหิว เลยมาหาอะไรกิน ทำไมคะ แค่หาอะไรกินก็ไม่ได้ หรือมีกฎข้อไหนในสัญญาระบุว่าเป็นดาราห้ามเดินห้างบ้างบอกหน่อยสิ”

อรณีกระแทกแก้วกาแฟที่ยังไม่ทันพร่องถึงไหนลงบนโต๊ะจนกระฉอกเลอะผืนผ้าปูสีขาว แสงสุรีย์ส่ายหน้าจนใจที่จะปราม อรณีสบตาท้าทายโดยไม่หลบสายตาแม้สักนิด

“เจ้ขอร้องเห็นแก่ดรีมหน่อยเถอะ ท่านประธานตกปากรับคำสินค้าตัวนี้แล้ว ค่าเหนื่อยงานนี้ก็ดีมากด้วย หายาก จะว่าไปงานเป็นแพ็คเกจนี่ก็ไม่เลวได้งานทีเป็นคู่เลย เงินเท่ากับเบิ้ลสองเลยนะ วินวินทั้งสองฝ่าย”

อรณียังคงนิ่งเฉยก้มหน้ากดสมาร์ตโฟนในมือไม่สนใจแสงสุรีย์ที่กุมขมับท่าทางคิดหนัก

“เอางี้ ถ้าอรเหนื่อย เสร็จงานนี้กับถ่ายหนังอีกไม่กี่ฉากที่เหลือ เจ้จะขอท่านประธานให้พักสักสองอาทิตย์ดีไหม” แสงสุรีย์เอียงคอมองดูท่าที แต่อรณียังเฉย “อยากไปไหนดี ญี่ปุ่น ยุโรป หรืออเมริกา หรืออยากไปนิวซีแลนด์ ดีไหมไปด้วยกันสองคน”

“สองคนเหรอคะ อย่าบอกนะว่าพักผ่อนเจ้ก็ต้องตามอร”

อรณีเลิกคิ้ว ท่าทีกระตือรือร้น แต่ยิ้มมุมปากเหมือนเยาะ

“ไม่ดีหรือไง อรไม่ต้องทำอะไรเลย เจ้จัดการให้หมด”

“งั้นอรไม่ไปค่ะ” อรณีปฏิเสธทันที

ผู้จัดการสาวกระชับแว่นสายตาอีกครั้งก่อนจะบ่น

“นั่นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่สน ถามจริง ๆ เถอะนะ อยากทำอะไรบ้างช่วงวันหยุด เจ้จะได้จัดการให้”

“แน่ใจนะว่าจะจัดการให้” อรณีย้ำ “งั้นก็ได้”
“ว่ามา”

“อรก็แค่อยากพัก... ตลอดชีวิต”

อรณีตอบเรียบ ๆ แสงสุรีย์ฟังแล้วถึงกับหน้าเสียเพราะรู้ถึงผลที่จะตามมาถ้าหากหญิงสาวทำอย่างที่พูดจริง

“พักตลอดชีวิต พูดเป็นเล่นไป พักแล้วจะเอาอะไรกินเคยทำมาหากินอาชิพอื่นหรือไง เคยหาเงินแบบคนธรรมดาเขาทำงานกันไหม เอาเงินแสนเงินล้านมาแลกเงินพันเงินหมื่นคิดว่าจะอยู่ได้เหรอ... อรณี”

“คนอื่นยังอยู่กันได้ ทำไมอรจะอยู่ไม่ได้ ก็แค่ออกจากวงการไปเป็นคนธรรมดา ง่ายจะตายไป”

“ก่อนจะพูดอะไรให้คิดดี ๆ อย่าลืมสิน้องชายจะอยู่ยังไงยิ่งเกเรขนาดนั้น ไหนจะตามหาแม่อีก ถ้าอรล้มไปสักคนก็จบนะ”

อรณีถึงกับนิ่งงันไปเมื่อฟังคำพูดจบประโยค หล่อนลืมนึกถึงเรื่องแม่และน้องชายไปเสียสนิทใจทีเดียว



ทันทีที่ลิฟท์เปิดเมื่อถึงชั้นที่พักเห็นทางเดินทอดยาวว่างเปล่าเงียบเหงา อรณีถึงกับพรูลมหายใจหนักหน่วงเดินคอตกหมดสภาพนางพญาในยามที่ปราศจากผู้คน ความกังวลใจในเรื่องเมื่อหัวค่ำยังไม่จางหาย การจำต้องทำบางสิ่งขัดต่อความรู้สึกหล่อน

ไม่รู้จะทนสภาพนี้ไปได้อีกนานเท่าไหร่

หล่อนชะงักฝีเท้าเมื่อเห็นใครบางคนกำลังไขประตูหน้าห้อง ในมือถือถุงอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มหันมาทันทีที่ได้ยินเสียงกระทบกันของรองเท้าส้นสูงแหลมกับพื้นทางเดินแกรนิตดังใกล้เข้ามา

“มาแล้วเหรอ”

น้ำเสียงอาทรและรอยยิ้มแย้มอยู่เสมอยามพบหน้าทำให้คนเหนื่อยกับชีวิตถึงกับยิ้มออกมาได้

“ณุ”

อรณีก้าวเข้าหา ภาณุเลิกคิ้วมองหญิงสาวแล้วยิ้มกว้างชูถุงที่ซื้อมาให้หล่อนดู

“เห็นหมู่นี้อรดื่มนมก่อนนอนแล้วเสาะท้อง ณุซื้อน้ำเต้าหู้มาฝากกำลังร้อน ๆ เลย... มาเถอะเร็วเข้า”

อรณีพยักหน้าก่อนจะเดินเข้ามาใกล้แล้วโผเข้าสวมกอดคนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว สัมผัสนุ่มนิ่มในอ้อมกอดทำให้ภาณุถึงกับสะท้าน แขนเงอะงะข้างที่ว่าง ยกขึ้นโอบกอดร่างบอบบางเอาไว้ในอ้อมแขนโดยไม่รู้ตัว



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



บทที่ 6 : สานต่อ

ร้านอาหารกึ่งผับตกแต่งสไตล์เรทโทรยามค่ำคืนผู้คนเดินผ่านไปมามากมาย แต่บรรยากาศในร้านกลับเงียบเหงาปราศจากนักดื่มกิน เสียงเปียโนยังคงบรรเลงหวานแว่วแต่ไร้คนสนใจ

คคนานต์มองดูคนแล้วคนเล่าเดินไปมาผ่านกระจกใสบานใหญ่ของร้านแล้วได้แต่ถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย จนน่านฟ้าและธิเบตต้องหันมาให้ความสนใจ โดยเฉพาะธิเบตที่รีบถามมาทันที

“เป็นอะไรครับน้องนาง อาหารไม่อร่อยหรือครับ”

“อืม นั่นสิ พี่เห็นนั่งเขี่ยจานข้าวอยู่เป็นนานสองนานแล้ว ใครไปทำอะไรให้แกเซ็งรึไง”

คำถามสุภาพจากธิเบตยังไม่สะดุดหูเท่าคำพูดต่อมาที่พ่นออกจากปากพี่ชายของตัวเอง หญิงสาวถึงกับค้อนขวับ

“เมื่อไหร่พี่ณุจะมาซะทีคะ ไหนว่านัดกันสองทุ่มนี่สองทุ่มครึ่งแล้วนะคะ”

“สนิทกันเร็วไปรึเปล่าน้องสาวพี่ ไม่ทันไรเรียกไอ้ณุว่าพี่แล้ว ถามมันรึยังว่าอยากมีน้องสาวอย่างแกรึเปล่า”

“พี่น่ะ... ใครบอกว่าอยากเป็นน้องสาว” คคนานต์ค้อนหน้าแดง “ไม่พูดด้วยแล้วกินต่อดีกว่า”

น่านฟ้าถึงกับหัวเราะ เห็นน้องสาวกระดากอายยามเอ่ยถึงบุคคลที่ไม่ได้อยู่ร่วมโต๊ะในตอนนี้ ธิเบตขมวดคิ้วแต่ยังคงจ้องมองกิริยาน่ารักของคคนานต์ไม่วางตา จนสถาปนิกหนุ่มต้องกระแอมเบา ๆ

“เฮ้ย! เอาแต่มองหน้าน้องสาวฉัน พูดไรมั่งสิวะไอ้เบต” น่านฟ้าสัพยอก

ชายหนุ่มอ่อนวัยกว่าจึงรู้สึกตัวละสายตาจากหญิงสาว ก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารตรงหน้าทันที

“ถามไม่ตอบอีก วันนี้ชวนมากินที่นี่มีอะไรพิเศษรึเปล่าวะ ปกติร้านแบบนี้ไม่ใช่แนวของนายนี่หรืออยากนั่งร้านเงียบ ๆ ชิล ๆ”

หนุ่มเชื้อสายจีนผิวขาวจัดนักการตลาดคนเก่งประจำบริษัทที่พ่วงตำแหน่งรุ่นน้องคนสนิทตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัยส่ายหน้า สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นทันที ทำให้หนุ่มลูกครึ่งรุ่นพี่มองตามสายตาเขาไปอย่างสนใจ

“ในสายตาพี่ร้านนี้เป็นยังไงบ้าง ในด้านภาพรวมทั่วไปของร้าน ผมอยากได้ความเห็นพี่ในฐานะสถาปนิก”

“นายสนใจร้านนี้หรือวะ”

“คิดว่านะ... เจ้าของร้อนเงินมาเสนอขายพร้อมอุปกรณ์ทุกอย่างสามล้าน พี่คิดว่าไงช่วยออกความเห็นหน่อย”

น่านฟ้าขมวดคิ้วท่าทางประหลาดใจ ไม่คิดว่าหนุ่มรุ่นน้องจะสนใจธุรกิจบันเทิงยามค่ำคืนซึ่งต่างจากงานประจำโดยสิ้นเชิง สถาปนิกหนุ่มพินิจพิเคราะห์บรรยากาศโดยรอบก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ

“ไม่ดีหรือคะ”

แทนที่จะเป็นธิเบตถามเอาคำตอบ กลับเป็นสาวน้อยหนึ่งเดียวโพล่งออกมาด้วยความความสงสัยใคร่รู้ น่านฟ้านิ่งไปพักใหญ่กว่าจะหลุดคำพูดต่อมา

“ร้านสวยทำเลดีแต่เก่าไปหน่อย ฉันว่าแถวนี้ร้านเหล้าแนวนี้มันไม่เวิร์ค ดูสิล้อมรอบร้านนี้เต็มไปด้วยร้านอาหารอิตาเลียน ผับหรู ๆ แต่ละร้านคนนั่งเยอะซะขนาดนั้น ฉันว่าแนวเรทโทรมันไม่น่าจะใช่ไลฟ์สไตล์ของคนแถวนี้ว่ะ”

“อืม... ผมก็นึกหาเหตุผลอยู่ว่าทำไมถึงอยากขายทั้งที่ทำเลอะไรก็ดี ถ้าเราเปลี่ยนแนวแล้วอุปกรณ์ของตกแต่งในร้านไม่เสียเปล่าเลยรึไงนะ” ธิเบตเปรย กวาดตามองทั่วร้านอย่างใช้ความคิด

“เอาเป็นว่าเดี๋ยวรอไอ้ณุมาก่อน แล้วให้มันช่วยดูดีกว่า ไอ้ณุมันเก่ง สายตาไม่เคยพลาดเลยสักครั้ง อาจจะแนะนำนายได้ดีกว่าพี่ก็ได้”

“พี่ณุเก่งขนาดนั้นเลยหรือคะพี่น่าน น่าปลื้มจัง”

“ปลื้มได้ มองได้ แต่อย่าชอบ” น่านฟ้าเปรยจริงจังขณะเดียวกันก็เอ่ยปรามน้องสาวแต่ดูเหมือนเจ้าตัวกลับไม่รู้และกลายเป็นอีกคนที่สนใจฟังแทน

“ทำไมคะ” หญิงสาวสวนกลับทันที “หรือว่าพี่ณุมีแฟนแล้ว...”

“เอาเถอะน่า อยู่ห่าง ๆ ไอ้ณุไว้ ถ้าไม่อยากให้มันเดือดร้อน”

“แต่พี่คะ…” สาวน้อยแย้ง “นางยังไม่ได้คำตอบที่อยากรู้ พี่ณุมีแฟนแล้ว หรือว่าไม่ชอบผู้หญิงกันแน่”

“ใครจะรู้ดีไปกว่าตัวมันละ ไม่เคยเล่าอะไรให้เพื่อนฟังเลย พี่เตือนด้วยความหวังดีแค่นั้น” น่านฟ้าเอื้อมมือโคลงหัวน้องสาว “แกอย่าไปจริงจังกับความหลงนักเลย”

“นางไม่ได้หลงนะคะ นางชอบพี่ณุ”

“เฮ้ย! เจอกันวันเดียวชอบเข้าไปได้ยังไง” น่านฟ้าเสียงหลง “แกเพิ่งสิบแปดเองนะ ยังมีเวลาเจอผู้ชายอีกเยอะ”

“แต่นาง”

ไม่ทันได้ทวงถามต่อ สายตาก็พลันสบเข้ากับชายหนุ่มรุ่นน้องของพี่ชายตนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน จึงหยุดซักไซ้ไล่เลียงเมื่อเห็นว่าไม่สมควรที่จะพูดเรื่องบุคคลที่สามต่อหน้าใครอีกคน

“ขอโทษนะคะพี่เบต” หล่อนยิ้มแหย “นางลืมตัวไปค่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ คุณนางอาจจะหลงใหลคลั่งไคล้เหมือนเวลาเจอไอดอล”

“พี่เบตจะรู้อะไร” หล่อนค้อนใส่

“เลิกพูดเถอะ เสียบรรยากาศหมด นั่นไงไอ้ณุมาแล้ว”

น่านฟ้าปรามน้องสาวที่ถูกขัดใจจนหน้าบึ้ง แล้วกวักมือเรียกคนมาใหม่ ภาณุโบกมือให้แต่ยืนรีรออยู่หน้าประตูด้วยสีหน้ายุ่งยากใจในขณะที่กำลังคุยโทรศัพท์ค้างอยู่

“ทำไมออกมาไม่บอกกันเลย อรตื่นมาไม่เห็นณุแล้ว”

เสียงงัวเงียห้วนกว่าเคยดังมาตามสาย ภาณุรีรอทั้งที่เห็นเพื่อนกวักมือเรียกอยู่ในร้าน แต่เพราะอรณีโทรมาพอดีทำให้ไม่ทันได้เข้าไปในร้าน ชายหนุ่มโบกมือให้คนรอเป็นเชิงขอเวลาก่อนที่จะตอบกลับคนในสายเสียงอ่อนโยน

“ณุเห็นอรเหนื่อย ร้องไห้จนหลับ สงสารเลยไม่อยากปลุกน่ะ”

“อรมีเรื่องอยากพูดกับณุเยอะแยะ” หล่อนเสียงแผ่ว

“กลับไปค่อยคุยกันนะ ณุมาธุระ”

“ไม่เป็นไร ไม่ได้สำคัญอะไร”

ภาณุถึงกับนิ่งไปเมื่อได้ฟัง เรื่องของอรณีสำคัญเสมอ แต่เรื่องงานก็ทำให้เขาอยากเจอน่านฟ้าเช่นกัน เกรงความเสียหายที่จะเกิดกับบริษัทถ้าหากไม่เคลียร์ให้จบโดยไวเพราะยังคาใจเรื่องที่ไซด์งานตอนกลางวัน ทำให้อยู่รออรณีตื่นไม่ไหว

“สำคัญสิ อรสำคัญกับณุนะ อย่าพูดน้อยใจแบบนี้อีก”

“น้ำเต้าหู้อร่อยมากเลย” หล่อนตัดบทเสียงชื่นขึ้น “เจ้าปากซอยรึเปล่า”

“เจ้าเดิม ว่าแต่มีเรื่องอะไรถึงได้ร้องไห้ขนาดนั้น”

ไม่มีคำตอบใดอีกเช่นเคย ภาณุรอฟังด้วยใจจดจ่อ เป็นห่วงที่ต้องทิ้งมาก่อน สักพักคนปลายสายก็ตอบกลับมาน้ำเสียงสั่นเครือ

“อรมีเรื่องจะปรึกษา ณุกลับมาหาอรหน่อยได้ไหม... อรอยากจะ”

“พี่ณุทำอะไรอยู่คะ”

ยังไม่ทันฟังความจบประโยคเสียงหวานใสก็เอ่ยเรียกชื่อเขาไม่ไกล ภาณุถึงกับสะดุ้ง หันมองที่มาของต้นเสียงซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน

“แค่นี้ก่อนนะอร... ค่อยคุยกัน”

ภาณุตัดบทหันมายิ้มให้สาวน้อยที่เดินเข้ามาก่อนจะกดตัดสายทิ้ง สาวน้อยลูกครึ่งดวงหน้าหมดจดตรงเข้ามาคว้าแขนอย่างสนิทสนมดึงให้เข้าไปด้านใน จนภาณุต้องเดินตาม

“หิวรึยังคะพี่ณุ นาง พี่น่าน พี่เบต มารอนานแล้วนะคะ เร็ว ๆ ค่ะ”

“เบต หมายถึงธิเบตรึเปล่า”

ภาณุถามกลับด้วยความสงสัย สายตาคมมองไกลผ่านกระจกเข้าไปภายในทำให้เห็นเพียงน่านฟ้าที่นั่งหันหน้ามาทางเขาพอดี

“พี่เบตรอปรึกษาพี่ณุอยู่ค่ะ เข้าไปด้านในกันเถอะนะคะ”

ภาณุละล้าละลังใจอยากจะกลับไปหาอรณีที่ดูจะมีปัญหาบางอย่างรออยู่ แต่ก็ไม่อาจขัดสาวน้อยที่กึ่งลากกึ่งจูงเขาราวสนิทกันมานานไปได้ ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจ จำใจต้องเดินตามแรงจูงเข้าไปอย่างเสียไม่ได้



รถญี่ปุ่นรุ่นเก่าของภาณุเลี้ยวเข้ามาในซอยคอนโดมิเนียมตามคำบอกทางของสาวน้อยแทนที่จะกลับบ้านตามที่ตกลงกันไว้กับพี่ชายก่อนออกจากร้านอาหาร

คคนานต์ลอบมองดวงหน้าคมเข้มอย่างพิศวง ภาณุดูนิ่งและเงียบกว่าใครที่เคยเจอ อีกทั้งยังไม่มีท่าทีใด ๆ ไม่ว่าหล่อนจะพยายามชวนคุยมาตลอดทาง เขาเงียบจนหล่อนรู้สึกขัดใจที่การเดินทางกลับในค่ำคืนนี้ดูจะรวดเร็วเกินไปไม่ได้รู้เรื่องราวของเขาอย่างใจคิด

“ใกล้ถึงแล้วค่ะ ขอบคุณพี่ณุนะคะที่อุตส่าห์สละเวลามาส่ง”

“ไม่เป็นไรครับ พี่ผ่านทางนี้อยู่แล้ว ว่าแต่มาค้างคอนโดคนเดียวอย่างนี้จะดีหรือครับ”

คคนานต์กระตือรือร้นขึ้นมาทันตาเมื่อคนนั่งเงียบตลอดทางเอ่ยถาม แค่รอยยิ้มของเขา คนฟังก็ถึงกับหน้าบานลืมความอึดอัดคับแคบของรถเก่าไปได้ชะงัด

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เปลี่ยนแผนนิดหน่อยเดี๋ยวนางค่อยโทรบอกแม่กับพี่น่านทีหลัง พอดีพรุ่งนี้มีงานเช้าที่พัทยาให้รถทีมงานมารับเลยคิดว่าค้างที่นี่สะดวกกว่า ที่บ้านมันไกลไปหน่อยเกรงใจคนมารับค่ะ”

อธิบายเสียยืดยาวมองดวงหน้าด้านข้างคนขับที่ขับรถอย่างระวังเพราะถนนซอยคับแคบลงเรื่อย ๆ การจราจรสองข้างทางคลาคล่ำไปด้วยร้านค้ารายล้อมตลอดแนวถนนคล้ายตลาดย่อม ๆ

“ดีนะ แถวนี้ของกินเยอะแยะ ไม่อดแน่ถึงจะเข้ามาในซอยลึกขนาดนี้ก็เถอะ”

“ใช่ค่ะ พี่น่านเลยซื้อคอนโดที่นี่เอาไว้มาพักผ่อน อีกอย่างนางเรียนแถวนี้บางทีมาค้างบ่อย พี่น่านกลัวว่าน้องสาวจะอดตายมั้งคะ”

“อย่างคุณนางไม่น่าอดนะครับ พี่ว่าหัวบันไดคงไม่แห้ง ขี้คร้านจะมีหนุ่ม ๆ ส่งของอร่อยมาให้บ่อย ๆ”

“เอาอะไรมาพูดคะ นางไม่ได้มีหนุ่ม ๆ มาติดพันอะไรขนาดนั้นซะหน่อย พี่ณุก็...”

สาวใสหัวเราะเขินโบกมือไล่ลมร้อนที่แผ่ซ่านกระทันหันบนใบหน้า ภาณุอมยิ้มกับความร่าเริงแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ เป็นหล่อนที่โพล่งทำลายความเงียบอีกเช่นเคย

“นางนึกว่าเมื่อบ่ายที่เราเจอกันนั่นเป็นรถพี่ณุซะอีก ที่ลานจอดรถน่ะค่ะ มันใหม่กว่านี้นี่นา”

“นั่นเป็นรถของบริษัทเอาไว้ใช้เวลาไปติดต่องานไกล ๆ ปกติพี่ก็ใช้คันนี้ รถนานหลายปีสภาพอาจจะเก่าหน่อยนั่งไม่ค่อยสบายเท่าไหร่แต่เป็นน้ำพักน้ำแรงคันแรกของพี่เลยยังไม่คิดเปลี่ยน”

ชายหนุ่มนึกรู้เมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของสาวน้อย พอจะรู้เมื่อสังเกตอากัปกิริยายุกยิกของหล่อนว่าคงไม่ได้รับความสะดวกสบายเท่าใดนัก ไหนจะแอร์รถที่ไม่เย็นฉ่ำเมื่อเทียบกับรถรุ่นใหม่ ๆ ไหนจะเสียงท่อไอเสียดังกระหึ่มจนคนหันมอง

“ขอโทษค่ะ นางไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น”

คคนานต์รู้สึกลำคอตีบตัน เมื่อรู้ตัวว่าเผลอแสดงอากัปกิริยาบางอย่างที่ไม่ใช่รังเกียจแต่ก็ตอบตัวเองไม่ถูกเช่นกัน

“ไม่เป็นไรครับ พี่เข้าใจ ถึงแล้วครับ”

“พี่ณุจะขึ้นมาดื่มอะไรหน่อยไหมคะ อุตส่าห์มาส่งนางตั้งไกล”

คคนานต์ทอดสายตาเชิญชวน แต่วิศวกรหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธแทบจะไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ

“ไม่เป็นไรครับ พี่รีบ”

“นะคะ พี่ณุ อย่าปฏิเสธน้ำใจน้องสาวคนนี้สิคะ”

หล่อนเกาะแขนคะยั้นคะยอ ภาณุลังเลแต่เมื่อเห็นดวงหน้าเหยเกเหมือนจะร้องไห้ ทำให้อดใจอ่อนไม่ได้แต่สุดท้ายก็ยั้งใจไว้แกะมือหญิงสาวแผ่วเบา

“พี่เป็นผู้ชายไม่เหมาะหรอก เอาไว้โอกาสหน้านะครับ”

“เสียดายจังเอาไว้นางค่อยเลี้ยงข้าวพี่ณุเป็นการตอบแทนนะคะ” สาวน้อยหน้ามุ่ย “คราวหน้าห้ามปฏิเสธนะคะ”

“เอ่อ...คือ พี่”

“ถือว่าเราสัญญากัน กลับบ้านปลอดภัยนะคะพี่ณุ”

หญิงสาวเปิดประตูรถลงไปทันทีโดยที่ไม่ฟังคำตอบรับเท่ากับเป็นการมัดมือชกกลาย ๆ

ภาณุได้แต่มองตามหลังสาวน้อยที่เดินทิ้งห่างออกไปจนถึงประตูอาคารพร้อมทั้งยิ้มหวานโบกมือให้ เขาได้แต่ยิ้มรับ




คคนานต์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปตลอดทาง ความหวังที่จะสานสัมพันธ์ต่อกับชายหนุ่มที่เพิ่งจากมาเมื่อครู่ดูจะไม่ไกลเกินเอื้อม มือเรียวกระชับโทรศัพท์มือถือแน่นหลังจากแอบใช้โทรศัพท์ของภาณุกดเข้ามาในเครื่องตัวเองตอนที่เขาขอตัวลงไปซื้อน้ำในร้านสะดวกซื้อ

หล่อนบันทึกเบอร์ลงในเครื่องเรียบร้อยและยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไม่ทันสังเกตว่ามีใครก้าวเข้ามายืนขนาบข้างจวบจบลิฟท์โดยสารส่งสัญญาณ ทันทีที่ประตูเปิดสาวน้อยลูกครึ่งรีบก้าวเท้าเข้าไปภายในทั้งที่ก้มหน้าก้มตาไม่ละสายตาจากโทรศัพท์

“เอาแต่ก้มหน้าก้มตา จะไปชั้นไหน”

เสียงทุ้มห้วนฟังแล้วสะดุดหู ทำให้คคนานต์เงยหน้ามองคนถาม แล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าคนที่ทักทายด้วยน้ำคำห้วนคือ

“ผู้กำกับ!”

“หืม... รู้ได้ไงว่าผมเป็นผู้กำกับ” ชัชพลขมวดคิ้วถามกลับ

สาวลูกครึ่งรีบเก็บโทรศัพท์ลงกระเป่าสะพายพร้อมทั้งแนะนำตัวอีกครั้งด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“หนูไปแคสติ้งกับคุณเมื่อเดือนก่อนได้เป็นนางเอกภาคสองของร้อยรักที่คุณอรณีเล่นไงคะ”

“คุณเองเหรอ”

“ค่ะ อย่าบอกนะว่าจำหนูไม่ได้”

เมื่อเห็นสีหน้าครุ่นคิดของหนุ่มใหญ่แล้วก็ให้นึกฉุนขึ้นมา เมื่อเขาไม่มีทีท่าว่าจะจำได้สักนิดทั้งที่แคสหล่อนมาเองกับมือ

“โทษที ผมจำไมได้ ว่าแต่คุณแคสติ้งผ่านแล้วรึ”

“โธ่! ผ่านสิคะ คุณผู้กำกับยังตั้งชื่อใหม่ในวงการให้เลย คุณจำไม่ได้เหรอคะที่บอกชื่อคคนานต์จำยาก ให้เปลี่ยนเป็นชื่อฝรั่งเข้ากับหน้าหนู” หล่อนสาธยาย “อลิซไงคะ”

ชัชพลครุ่นคิดสักครู่หนึ่งจึงพยักหน้า เอ่ยชื่อที่เขาตั้งให้

“อลิซในแดนมหัศจรรย์”

“ใช่ค่ะ” คคนานต์หน้าชื่นตาเป็นประกาย

“โอเค เริ่มจำได้แล้ว ว่าแต่คุณจะไปชั้นไหน ผมรอคำตอบนานแล้ว”

“อ๊ะ... ขอโทษค่ะ ชั้นสิบสองค่ะ” คคนานต์หน้าเสียรีบตอบอย่างรวดเร็ว

ผู้กำกับหนุ่มถอนหายใจก่อนจะกดชั้นเลขหมายที่ต้องการและไม่หันมาให้ความสนใจอีกเลย สาวน้อยลูกครึ่งแทบกลั้นใจนึกหวั่นในความเย็นชา เมื่อนึกไปถึงว่าจะได้ร่วมงานกันใจคอเริ่มไม่ค่อยดีไปด้วย

ตัวเลขสีแดงยังคงเลื่อนขึ้นไปอย่างอ้อยอิ่ง จู่ ๆ ชัชพลก็โพล่งขึ้นมาสาวน้อยถึงกับสะดุ้ง

“ไม่ยักรู้ว่าพักที่นี่ ผมไม่เคยเห็นคุณ”

“เฉพาะวันนี้ค่ะ ปกติพักที่บ้านแถวฝั่งธน” หล่อนตอบเสียงแผ่ว “พอดีพรุ่งนี้เช้าต้องไปถ่ายคลื่นรักฉากแรกที่พัทยากับเซ็ตบีค่ะ”

“แต่ยังมีเวลาไปสังสรรค์นะ” เขาหัวเราะในลำคอ

“หนูเปล่านะคะ” หล่อนปฏิเสธทันที “ก็แค่พี่ชายนัดไปกินข้าวกับเพื่อน หนูก็เลยติดสอยห้อยตาม”

‘งั้นเหรอ แสดงว่าพรุ่งนี้เราต้องไปรถทีมงานพร้อมกัน พรุ่งนี้ผมมีคิวร้อยรักช่วงบ่าย ส่วนช่วงเช้าถ่ายโปสเตอร์เปิดตัวคลื่นรัก ว่าแต่คุณแคสได้บทไหน”

เขาหันมาให้ความสนใจ เห็นสีหน้างุนงงของหล่อนแล้วก็ยิ้มมุมปาก

“โทษทีผมลืม”

ทันทีที่รู้ว่าหนุ่มใหญ่ตรงหน้าจะมาเป็นผู้กำกับคลื่นรักลวงตะวันที่ได้รับบทนำเป็นครั้งแรกก็ให้นึกระแวง ดีที่ประตูลิฟท์เปิดออกชั้นที่หมาย ถึงคลายกังวลเพราะจะได้ออกจากสถานการณ์อึดอัด

“คือ... หนู” หล่อนยิ้มแหย “ถึงที่พักแล้วค่ะ”

“โอเค พักผ่อนมาก ๆ คุณยังใหม่ เข้านอนเร็วพรุ่งนี้จะได้ตื่นมาหน้าตาเปล่งปลั่งไม่ต้องพึ่งช่างแต่งหน้าหนา ๆ เหมือนคนอื่น หัดแอคติ้งหน้ากระจกบ่อย ๆ คุณยังขาดความเชื่อมั่นที่นักแสดงทั้งหลายควรมี”

“ขอบคุณมากค่ะ”

หนุ่มใหญ่ไม่พูดอะไรต่อเพียงแต่กดลิฟท์ค้างไว้แล้วผายมือให้เดินนำออกไป คคนานต์ก้มหน้าค้อมตัวออกมาอย่างนึกเกรงไม่ได้สนใจว่าชัชพลก็ก้าวออกมาแต่ต่างคนต่างแยกย้ายไปคนละทาง

ห้องพักของชัชพลอยู่ชั้นเดียวและฝั่งเดียวกัน เป็นห้องสูทอยู่ริมสุดติดบันไดหนีไฟของตัวอาคาร ชายหนุ่มกดรหัสปลดล็อกประตูห้องอย่างใจเย็น ท่าทางอ่อนล้าต่างไปจากที่เห็นเมื่อครู่

คคนานต์ที่กำลังจะเข้าห้องได้แต่แอบมองจนชัชพลลับหายเข้าไปภายใน

ที่แท้ก็อยู่ชั้นเดียวกัน...

เด็กสาวหน้าเครียดขึ้นมาทันใด ดีที่เมื่อครู่ภาณุไม่ใจอ่อนตามขึ้นมา ไม่อย่างนั้นหล่อนคงโดนผู้กำกับหน้านิ่งเขม่นว่าแก่แดดพาผู้ชายขึ้นห้องแน่



ไอเย็นฉ่ำของเครื่องปรับอากาศตกกระทบผิวกายทันทีที่ประตูห้องเปิดชัชพลถึงกับเลิกคิ้วด้วยความสงสัยก่อนจะปิดประตูแล้วเปิดไฟ ภายในห้องยังคงเงียบสนิทราวกับไม่มีสิ่งใด แต่บรรยากาศความเงียบก็ถูกทำลายด้วยเสียงคุ้นเคย

“กลับมาแล้วเหรอคะ”

มือนุ่มนิ่มโอบกอดแผ่นหลังหนาจนสะดุ้ง ชัชพลขมวดคิ้วพยายามแกะมือออกแต่อีกฝ่ายกลับไม่มีที่ท่าว่าจะปล่อย

“ปล่อยก่อน หายใจไม่ออก” ผู้กำกับหนุ่มเบี่ยงตัวออก “มาทำไม”

“มาเพราะความคิดถึงค่ะ”

เสียงหวานเอ่ยเบาหวิว คราวนี้โผกอดเต็มตัวแนบหน้ากับอกแข็งแรง จนชายหนุ่มถอนหายใจ ยืนนิ่งให้กอดนานพอรับรู้ถึงไออุ่นเปียกชื้นซึมผ่านเสื้อจนรู้สึกได้

“ขอโทษที่ขัดคำสั่ง” เสียงหล่อนสะอื้นแผ่ว “ขอโทษที่ทนไม่ไหวนะพี่ชัช”

“ทนไม่ไหวยังไงก็ต้องทน” ชัชพลตอบหน้าเรียบสนิท “เธอเคยพูดเอง”

“ทนไม่ไหวแล้ว วันนี้เห็นพี่เอาใจคนอื่นแล้วอยากร้องไห้จริงๆ”

“จะมีประโยชน์อะไร ไม่มีทางที่เราจะอยู่ด้วยกันได้หรอก”

ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะขืนตัวออกจากอ้อมกอด จะผละหนีแต่มือบอบบางกลับยื้อไว้

“มีสิคะ... ตอนนี้ชลมีชื่อเสียงแล้ว เราซื้อบ้านสวย ๆ อยู่ด้วยกัน หล่อนเสียงหวานเอาใจ “พี่ชัชชอบบ้านริมทะเลนี่นา”

“พี่เคยชอบ ตอนนี้ไม่ชอบแล้ว”

“งั้นบ้านบนเขาดีไหมคะ ชลจำได้ว่าพี่ชัชก็ชอบ”

“นึกอะไรขึ้นมาถึงได้มารื้อฟื้นความหลัง ทั้งที่ก่อนนั้นเธอไม่ต้องการ”

ชัชพลจ้องดวงตาคมที่ประสานกับเขาไม่ลดละ ดวงตาที่เคยหลงใหลด้วยความปรารถนาแรงกล้า บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นสมเพชเวทนา



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


รอบนี้ลงสองตอนไว้เลยค่ะ แล้วจะมาลงใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ
พอดีต้องแก้ไขต้นฉบับอัมฮาราให้เสร็จในสัปดาห์นี้ ก็เลยจะไม่ได้มาบ่อยๆค่ะเดี๋ยวเสร็จไม่ทันกำหนด
ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่า ^___^

ขอฝากอีบุ๊คเรื่องนี้ด้วยนะคะ
อ่านก่อน + 2 ตอนพิเศษ ตามลิงค์นี้ได้เลยค่ะ
ขอบคุณมากค่า

https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=57488




lovereason2
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 พ.ค. 2560, 13:46:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 พ.ค. 2560, 13:46:19 น.

จำนวนการเข้าชม : 1222





<< บทที่ 4 ปีกของไฮยาซินแสนสวย   บทที่ 7 คลื่นรักพัดทราย >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account