ร้อยรักพรางตะวัน
If no obstacle is found.
Do you know …What true love is?

เรื่องของนักแสดงสาวชื่อดังจอมเหวี่ยงวีนกับวิศวกรหนุ่ม ทั้งสองเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย แต่ความสนิทสนมทำให้ความสัมพันธ์ก้าวข้ามขีดคำว่า 'เพื่อน' ไปไม่ได้

ถ้าไม่มีอุปสรรคขัดขวางความรักระหว่างเพื่อนที่จำกัดไว้อาจจะไม่คืบหน้า และหากปล่อยเวลาผ่านไปอาจต้องเสียความรักนั้นไปให้ใครคนอื่น

เอาใจช่วยเพื่อนสนิทสองคนให้ค้นพบรักแท้ของกันและกันและก้าวผ่านอุปสรรคทั้งปวงเพื่อ ‘ความรัก’ ด้วยกันค่ะ

Tags: ร้อยรักพรางตะวัน, อรณี, ภาณุ, รักดราม่า, โรแมนติก, เพื่อนสนิท, แอบรัก

ตอน: บทที่ 7 คลื่นรักพัดทราย


“เรามีเงินแล้วไงคะ” หล่อนออดอ้อนมือไล้แผงอกชายหนุ่ม “ชลก็มีเงินแล้ว พี่ชัชก็ดังแล้ว”

“แล้วไง”

“ชลดูบ้านริมทะเลไว้ จำได้ว่าพี่ชัชก็ชอบ”

“พี่ชอบบ้านบนเขา เธอไม่เคยจำเลยต่างหาก”

ชลดาชะงัก ดวงตาคมมีแววลังเลสับสน แต่ชัชพลกลับนิ่งกว่าที่คิด สีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ให้รู้จนหล่อนนึกหวั่นแต่เอาน้ำเย็นเช้าลูบ

“เราแต่งงานกันนะ ชลสามสิบสองพี่ชัชสี่สิบ พวกเราไม่ต้องหลบซ่อนอีกแล้ว”

“จะจัดงานแต่งให้เธอหนีพี่ไปอีกรอบเหรอชลดา” ชัชพลเสียงขุ่นเมินหน้าหนี “อย่าลืมสิว่าเธอทำอะไรไว้”

“ตอนนี้ชลกลับมาแล้วไงคะ เรามาเริ่มต้นกันใหม่ รับรองแถลงข่าวเมื่อไหร่ต้องเป็นข่าวดังแน่ ผู้กำกับร้อยล้านกับพิธีกรหญิงชื่อดัง ทุกคนจะต้องอิจฉาความรักของเรา”

ชลดาออดอ้อนสองแขนเรียวเกี่ยวกระหวัดรอบคอ โน้มหน้าลงมาจะจูบแต่ชัชพลเบี่ยงหนี ริมฝีปากนุ่มจึงประทับลงบนแก้มอย่างฉิวเฉียด หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่นสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นไม่พอใจ ชายหนุ่มดันร่างบอบบางออกห่าง

“ช้าไปสี่ปีเลยนะชล คำพูดนี้ที่พี่เคยพูดกับเธอ” ชัชพลแสยะยิ้มมุมปาก “นานไปนะ นานจนพี่ลืมไปแล้วว่าเคยพูดกับเธอแบบนี้เหมือนกัน”

“ชลจำได้ทุกประโยคเพียงแต่ตอนนั้นชลไม่พร้อม” หล่อนกระชับวงแขนแน่นขึ้นซุกหน้าเข้าหาแผ่นอก “ตอนนั้นชลเพิ่งเข้าวงการ พี่ชัชก็ยังไม่ดัง ถ้าเปิดตัวว่าคบกันจะเอาอะไรกิน แล้วยังมาโดนแย่งบทไปอีก”

“เธอก็โทษแต่คนอื่น”

“ก็แล้วมันจริงไหมคะ” ชลดาขึ้นเสียง แต่พอเห็นหน้าชายหนุ่มก็อ่อนลง “ช่างเถอะ ถึงยังไงก็ไม่มีผลอะไร”

ชัลพลเผลอตัวดันร่างเล็กออกห่างแล้วตะคอกใส่ด้วยความขุ่นเคือง

“ตอนนี้เธออยากแต่งงานกับพี่เพราะพี่ดังแล้วสินะ ขอโทษทีพี่ชอบคนอื่นแล้ว”

ชลดาฟังแล้วถึงกับตาวาว ใบหน้าหวานน้ำเสียงออดอ้อนเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นขึงขังขึ้นมาทันใด

“ชลไม่ยอม! นังอรมันมาทีหลัง”

“มาก่อนมาหลังจะสำคัญอะไร เธอต่างหากที่เป็นคนทิ้งพี่ไปก่อน”

ชลดาถึงกับนิ่งงันมองชัชพลเดินไปเปิดตู้เย็นในครัวหยิบเบียร์กระป๋องขึ้นดื่ม ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งบนโชฟาตัวยาวอย่างเหนื่อยอ่อน ชลดากำมือแน่นจิกเล็บจนเจ็บ มองทุกการกระทำ ลอบถอนหายใจนับหนึ่งถึงสิบแล้วก้าวเข้ามานั่งลงข้าง ๆ

“พี่ชัชคงเหนื่อย ชลนวดให้นะ”

“ไม่ต้อง!” ชัชพลปัดมือเอนตัวหนีร่างขาวที่พยายามโน้มตัวเข้าหา “เมื่อไหร่จะไปซะที พรุ่งนี้พี่ต้องไปกองแต่เช้า”

ชลดาน้ำตาคลอ กัดริมฝีปากแน่น พยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ

“ที่พัทยาใช่ไหมคะ ชลก็จะไปดูที่แถวนั้นพอดีมีคนมาเสนอขายราคาไม่แพง พี่ชัชชอบนอนฟังเสียงคลื่น ชลจำได้พี่ชัชบอกว่าตัวเองเปรียบเหมือนทรายที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะคอยโอบอุ้มท้องทะเลกว้างใหญ่”

ชลดายังคงดื้อดึงรำพึงถึงความหลัง โน้มตัวพิงไหล่ชัชพลอีกครั้ง แต่ก็สะดุดหยุดลงเมื่อได้ยินคำพูดประโยคต่อมาของคนไม่ได้สนใจใยดี

“เพ้อเจ้อ”

“ชลพูดจริงนะ ถ้าพี่ชัชยังพอมีเยื่อใยจะเป็นทรายที่โอบอุ้มทะเลแปรปรวนคนนี้อีกได้ไหมคะ”

“ตอนนี้พี่ก็ยังเป็นทรายเม็ดๆ เล็กเหล่านั้นเหมือนเดิม”

“จริงหรือคะ! ชลนึกแล้วว่าพี่ชัชคงไม่ใจร้าย”

ชลดาเสียงชื่นขึ้นทันที ดวงตาเป็นประกาย มือเรียวซุกซนกอดรอบเอวหนา ซบหน้าพิงหน้าอกแกร่งของเขาอย่างยินดี

“แต่ทรายอย่างพี่จะไม่โอบอุ้มเกลียวคลื่นที่สาดซัดไร้ทิศทางอย่างเธออีกแล้ว พี่จะเป็นแค่เพียงเม็ดทรายหลายล้านเม็ดรวมกันเพียงเพื่อก่อปราสาททรายสวยงามแข็งแกร่งให้ผู้หญิงที่พี่รักอย่างสุดหัวใจคนเดียว เธออย่าคาดหวังอะไรในตัวพี่อีกเลย พวกเราไม่มีวันย้อนกลับไปได้”

“ไม่จริง! ถ้าไม่มีนังอร พี่ชัชต้องกลับมาหาชลแน่” ชลดาเสียงกร้าว ผุดลุกขึ้นยืน

ชัชพลไม่พูดแต่สะบัดไหล่เป็นปฏิกิริยาตอบโต้ ชลดายกมือค้างรู้สึกถึงกระแสรังเกียจจนต้องกัดริมฝีปากระงับความพลุ่งพล่าน ดวงหน้างามง้ำงอประกาศกร้าวต่อหน้า

“ถ้านังอรเป็นปราสาททรายแสนสวยที่พี่ชัชอยากโอบอุ้มปกป้องมันนักหนา ชลจะเป็นเป็นคลื่นซัดมันให้พังลงมาต่อหน้าต่อตาไปเลย”

“เธอก็ยังเหมือนเดิม คิดได้แค่นี้” ผู้กำกับหนุ่มผุดลุกขึ้นยืนตอกย้ำคำพูดอีกครั้ง “ไม่เคยคิดจะโทษตัวเองสักครั้ง”

“มันไม่เคยรักพี่ชัชดูก็รู้ แต่ชลสิคะชลกลับมาเพื่อรักพี่ชัชนะ ทำไมไม่ให้โอกาสกันบ้าง” หล่อนระล่ำระลักถาม

“งั้นก็ตอบมาสิว่าเธอหายไปไหนมา” ชัชพลยิ้มเยาะ “ถ้าตอบไม่ได้เธอก็ห้ามพี่ไม่รักอรไม่ได้”

“รอดูวันนั้นก็แล้วกัน” ชลดาปาดน้ำตา “ชลจะพังมัน ชลจะทำให้นังอรพังด้วยมือของชล”

ชัชพลมองตามชลดาเดินลงส้นปึงปังออกไปจากห้อง เสียงปิดประตูดังสนั่นจนเขาส่ายหน้าทรุดนั่งลงบนโชฟาอีกครั้งอย่างเหนื่อยใจ



กว่าภาณุจะกลับถึงคอนโดก็ปาเข้าไปเกือบตีสอง ชายหนุ่มหลับตาพิงเบาะรถญี่ปุ่นคันเก่าด้วยความเหนื่อยอ่อน หมู่นี้มีเรื่องให้คิดมากมาย ทั้งเรื่องส่วนตัวและงานที่มีปัญหา เขาสังหรณ์ใจแปลก ๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ไซด์งานวันนี้

ภาณุไม่เคยพลาด แม้แต่เพื่อนร่วมงานทุกคนล้วนไว้ใจได้ ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะเข้ามา และเขาจะต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่บริษัทของเจ้านายจะต้องเสียหาย และคนที่เขากำลังจับตาดูอยู่ก็ไม่พ้นชายหนุ่มที่เจอกับเมื่อค่ำ

“นายคิดว่าไงเรื่องร้านนี้ มีความคิดอะไรดีๆ บอกน้องมันหน่อยสิวะ”

น่านฟ้าถามไถ่ความเห็นโดยที่คนต้นเรื่องกลับนิ่งเฉย ภาณุได้แต่มองทั่วร้าน ใช้สายตาประเมินอย่างคนแก่ประสบการณ์กว่า “ก็ไม่เลวนะ”

“แค่นี้” น่านฟ้าเสียงขึ้นจมูก กระเถิบเก้าอี้มาใกล้

“อืม... แล้วนายคิดว่าไงล่ะ”

“สายตานายประเมินได้แค่นี้หรือวะ นายออกจะเก่งนี่หว่า”

น่านฟ้ากำหมัดเบาๆ ชกเข้าที่หัวไหล่หนาของเพื่อนรัก เรียกรอยยิ้มจากสาวหนี่งเดียวที่นั่งฟังอยู่นานจนอดค่อนไม่ได้

“พี่ณุอมภูมิจังนะคะ” คัคนานต์เสริม “ไหนพี่น่านเล่าสรรพคุณซะ นางกับพี่เบตรอฟังอยู่ค่ะ บอกหน่อยสิคะพี่ณุ”

ภาณุหัวเราะแก้เก้อ ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ธิเบตก็ขัดขึ้น

“ไม่ต้องหรอกครับ ไม่อยากรบกวนคนดัง เรื่องร้านผมจัดการเองได้ “

บรรยากาศอึมครึมไปทันตา เมื่อธิเบตตัดบทสนทนาด้วยเสียงห้วน น่านฟ้าจึงแก้เก้อเบี่ยงประเด็นถามเรื่องไซด์งานแทน

“นายว่ามีเรื่องอะไรที่ไซด์งานจะคุยนะ”

“อ่อ..เปล่า ค่อยคุยก็แล้วกัน”

ภาณุปฏิเสธคำถามของน่านฟ้าเพราะสายตาที่จับจ้องมาของธิเบตราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เขาไม่ค่อยไว้ใจธิเบตเท่าไหร่ ทั้งการงานและหูตาแพรวพราวใส่คคนานต์แบบเปิดเผยเกินไป

แม้ฐานะทางครอบครัวของธิเบตจะค่อนข้างมีฐานะแต่ความรู้สึกบางอย่างทำให้ต้องเริ่มจับตามองโดยเฉพาะชั้นเชิงทางธุรกิจที่โตเร็วจนจัดว่าน่ากลัว

“ฉันก็เลยไม่รู้เลยว่ามันเรื่องอะไร”

น่านฟ้าหน้ามุ่ยยกแก้วไวน์ขึ้นจิบเอนหลังพิงพนักเซ็ง ๆ ธิเบตจ้องภาณุตาวาวก่อนจะหันไปยิ้มหวานกับคัคนานต์

“เรื่องร้านทีหลังก็ได้ พวกพี่คุยกันก่อนเถอะ”

“ใช่ค่ะ... พวกพี่ตามสบายเลย เดี๋ยวนางสั่งเครื่องดื่มให้” สาวน้อยกวักมือเรียกพนักงาน แล้วหันหาภาณุ “ เอาอะไรดีคะ พี่น่าน พี่เบตมีแล้ว ส่วนพี่ณุล่ะคะ”

“เอ่อ... เบียร์ก็แล้วกัน” ภาณุตอบขอไปทีอึดอัดกับสายตาธิเบต

“โอเคค่ะ พี่คะ ขอเบียร์หนึ่งเหยือก”

คคนานต์ยิ้มกว้างเอาใจหลังจากเรียกบริกรมาสั่งความเรียบร้อย ทั้งหมดอยู่ในสายตาพี่ชายของหล่อนและอีกคนที่มองอย่างไม่พอใจ

“ดูท่าน้องนางกับพี่ณุจะสนิทกัน รู้จักกันนานแล้วหรือครับ”

ธิเบตเสียงหวานใส่แต่นัยน์ตากรุ้มกริ่ม สาวน้อยหนึ่งเดียวของกลุ่มหัวเราะพึงพอใจ ก่อนจะหันมาพยักเพยิด น่านฟ้ายิ้ม ๆ รู้ทันน้องสาว

“ท่าทางเด็กมันจะตกหลุมหนุ่มโสดเข้าแล้ว” น่านฟ้าสัพยอกน้องสาว

“พี่น่าน” คัคนานต์กรีดเสียงลอดไรฟัน “พูดอะไรอย่างนั้นคะ”

“เราเพิ่งรู้จักกันไม่นาน” ภาณุตอบสั้น ๆ หน้าตาไม่ยินดียินร้าย

“ถึงจะไม่นานแต่นางรู้สึกพิเศษกับพี่ณุม๊ากมากค่ะ”

คำพูดทีเล่นทีจริงของหญิงสาวกลับทำให้เขาต้องลำบากไปส่งหล่อนไกลถึงคอนโดมิเนียมย่านบางนา เพราะธิเบตดื่มเบียร์หนึ่งเหยือกคนเดียวไม่ยั้ง จนน่านฟ้าต้องหิ้วปีกคนคออ่อนแต่ริจะเป็นเจ้าของผับไปส่งถึงที่

อะไรก็ไม่เท่าห่วงคนที่ส่งเสียงตามสายมาหา น้ำเสียงไม่สู้ดีของอรณี ยิ่งทำให้เป็นห่วง

ภาณุถอนหายใจเฮือกเปิดประตูก้าวลงจากรถ แต่คนที่คุยค้างไว้เมื่อหัวค่ำกลับขึ้นมานั่งที่เบาะนั่งข้างเขาจนสะดุ้ง

“อร! ณุตกใจหมด มาไม่ให้สุ้มให้เสียงมีอะไรรึเปล่า”

อรณีพยักหน้าไม่ต้องเอ่ยออกมาเป็นคำพูด เขาก็พอจะรู้เหตุผล มีไม่กี่เรื่องที่จะทำให้สาวสวยตรงหน้าอ่อนแอได้ถึงขนาดนี้และเขาก็เดาไม่ผิดแค่ถามสั้น ๆ อรณีก็น้ำตาตกเสียแล้ว

“เรื่องนลอีกแล้วละสิ”

อรณีพยักหน้า มือเรียวขาวซีดกำกระโปรงจนยับย่น

“นลทำเรื่องอีกแล้ว อรจะทำไงดี ณุ”

อรณีน้ำตาคลอหมดมาดนางเอกจอมหยิ่ง ใบหน้านวลแดงก่ำราวคนอดนอนและผ่านการร้องไห้มาหนักหน่วง เขาไม่รู้เรื่องอะไรที่เกิดกับอรณีในวันนี้เพราะเรื่องวุ่นที่ทำงานและยังมีไปต่อเมื่อค่ำ

“คราวนี้เรื่องอะไรอีก”

อรณีกลืนก้อนสะอื้น สูดลมหายใจแรงรวบรวมคำพูด

“เรื่องเดิม” หล่อนตอบไม่เต็มเสียง “อรเบื่อที่จะต้องหาเงินไปประกันตัวนลแล้ว เมื่อไหร่จะหลุดพ้นวังวนนี้ได้ซะที”

ภาณุส่ายหน้า คว้าเรียวแขนเล็กให้หันมา อรณีปาดน้ำตาทิ้งก่อนจะหันมาแต่ดวงตาบวมช้ำฟ้อง

“ก็ต้องแก้ปัญหากันไปละนะ” ภาณุปลอบ “เห็นหรือยังที่ณุบอกว่าอย่าตามใจนลจะเสียเด็กเพราะอรใจอ่อนเรื่อย แล้วนี่อยู่ไหนต้องประกันตัวอีกสินะ”

อรณีส่ายหน้า “ไม่ต้องแล้ว รอไม่ไหว นลอาละวาดใหญ่ อรออกหน้าไม่ได้เลยขอให้โอมมาช่วยจัดการประกันตัวให้แล้ว”

“อืม... ก็ดีแล้ว แล้วเราเอาไงต่อทีนี้จะไปดูไหม ว่าแต่พรุ่งนี้อรมีถ่ายรึเปล่า”

ภาณุถามแต่สายตามีแววกังวลจนเผลอเคาะฝ่ามือกับพวงมาลัย อรณีรู้อากัปกิริยาดีว่าภาณุกำลังใช้ความคิดจึงได้แต่พยักหน้าตอบรับ

“อรอยากไปดู ไปส่งหน่อยนะ” หล่อนตอบเสียงเบา “ถ้าไม่ลำบาก”

“ไม่ลำบากหรอกน่า”

ภาณุโคลงหัวหญิงสาวเบา ๆ ก่อนจะสตาร์ทรถแล้วขับออกไปเมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไปเกือบยามสามของเช้าวันใหม่ อรณีเหลือบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของชายหนุ่มแล้วสะท้อนใจ ถ้าไม่มีภาณุอยู่ข้างกายจะเป็นยังไง

ยามที่คนหนึ่งร้อน อีกคนเป็นฝ่ายเงียบเสมอ

ยามที่คนหนึ่งกังวล อีกคนจึงมักจะเป็นทุกข์ร้อนแทนกว่าที่ควรเป็น

เป็นอย่างนี้ประจำตั้งแต่สมัยรู้จักกันแรกเข้ามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง และจะยังคงเป็นอยู่เรื่อยไป ถ้าหากไม่มีสิ่งใดมาทำให้ความสัมพันธ์นั้นสั่นคลอน



เกือบตีสี่แต่อรณียังนั่งรอน้องชายด้วยความกระวนกระวายภายในห้องพัก เพราะอธิปกติดต่อว่าจะพามาส่งให้ที่คอนโดแทนการนัดกันที่สถานีตำรวจ เพราะเกรงว่าเรื่องของอนลจะทำให้ชื่อเสียงนางเอกดังอย่างอรณีต้องมัวหมองไปด้วย

ท่าทางไม่สบายใจผุดลุกผุดนั่งของหญิงสาวในห้องรับแขก ทำให้ภาณุที่ง่วนกับการทำอะไรบางอย่างอยู่ในครัว ต้องเหลือบมองอย่างเป็นห่วง

“รอเดี๋ยวนะ... ณุชงโกโก้ร้อนให้อยู่”

เอ่ยทำลายความเงียบทำให้คนที่เดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าประตูชะงักฝีเท้า

“พรุ่งนี้ณุมีงานนี่นะ กลับไปพักผ่อนเถอะ อรอยู่ได้”

อรณีเดินเข้ามาใกล้ กลิ่นหอมของโกโก้ร้อนที่กำลังถูกคนคละเคล้ากันในถ้วยชาสีงาช้างทำให้สีหน้าผ่อนคลาย

“หอมจัง ซื้อมาเมื่อไหร่เนี่ย อรไม่ยักรู้”

“แล้วรู้อะไรในห้องตัวเองบ้าง” ภาณุเอ่ยยิ้มๆ

“ไม่รู้อะไรทั้งนั้น” หล่อนตอบ “รู้แค่ว่ามีณุอยู่ อรไม่มีทางอด”

หญิงสาวแนบหน้ากับไหล่หนาครู่หนึ่งแล้วผละมานั่งรออยู่ตรงเคาน์เตอร์ ภาณุยืนฝั่งตรงข้ามยื่นโกโก้ร้อนให้พร้อมสำทับ

“นี่น่ะซื้อมาเมื่อตอนไปห้างเมื่ออาทิตย์ก่อน เห็นบอกกินนมเสาะท้อง น้ำเต้าหู้บ่อย ๆ ก็กลัวจะเบื่อ ณุก็เลยซื้อโกโก้มาให้ชงเวลาหิวก็จัดการได้เลยไงไม่ยุ่งยาก”

“จัดการไม่เป็น... กินเป็นอย่างเดียวแล้วก็จะดีมากกว่านี้เยอะ ๆ ถ้าณุเป็นคนทำให้”

คำพูดป่วนกวนใจกลับมาอีกระลอก คนฟังถึงกับใจเต้นไม่เป็นส่ำ

“ไม่ใช่ผัวเมียกันซะหน่อย จะมาทำให้ได้ตลอด”

อรณีถึงกับชะงัก ภาณุถึงกับสะดุ้งรีบแก้

“หมายถึงว่าเผื่อณุไม่อยู่ อรจะได้ทำเองได้” พูดแล้วก็กวักมือเรียก “มานี่จะสอนให้”

“ไม่เอา ณุไม่อยู่อรก็แค่ไม่กินแค่นั้น จะได้ลดความอ้วนไปในตัว” หล่อนพูดเสียงขึ้นจมูก “ว่าแต่จะไปไหนพูดแบบนี้”

ภาณุถอนหายใจพรืดแล้วกวักมือเรียกอีกหนให้คนนั่งจิบโกโก้อย่างสบายอารมณ์ให้ลุกมาดู แต่ท่าทีเชื่องช้าไม่ทันใจทำให้ชายหนุ่มต้องเดินอ้อมมาคว้าแขนคนที่นั่งอยู่ให้ลุกมายืนหลังเคาน์เตอร์ด้วยกัน

“ที่จะสอนก็แค่เผื่อไว้ ผู้หญิงไม่เก่งการเรือนผู้ชายที่ไหนจะชอบ เอาแต่ทำงานนอกบ้านงก ๆ เงินถมตัวตายไปไม่มีประโยชน์ หาความสุขในครอบครัวก็ไม่ได้”

“ที่ไหนกันเดี๋ยวนี้ใคร ๆ ก็แม่บ้านแกงถุงกันทั้งนั้น ผู้หญิงสมัยนี้ที่เก่ง ๆ ก็แสดงว่าคงโดนเงินถมตัวตายกันหมดโลกแล้ว พูดมากอยู่ได้กะอีแค่โกโก้ ตักใส่ ๆ แล้วก็เทน้ำร้อนตาม ไม่เห็นจะยากซะหน่อย”

“เฮ้อ! ก็เป็นแบบนี้ชอบให้ห่วง” ภาณุส่ายหน้าระอา

อรณีถึงกับหน้ามุ่ยคนโกโก้จนกระเด็นเปรอะเสื้อรีบหยิบกระดาษชำระเช็ด ปากก็พร่ำบ่นเพราะยังหงุดหงิด

“ที่จริงอยากได้อะไรกระดิกนิ้วสั่งเดี๋ยวก็มีคนหาให้หมดแหละพวกเดลิเวอรี่อะไรเยอะแยะไปหมด แข่งกันจะตาย ไม่เห็นต้องมาทำเองเลย”

“ก็คิดแต่แบบนี้ เรื่องง่าย ๆ ไม่ทำ ดีแต่จะพึ่งคนอื่นถึงต้องคอยห่วงบ่อย ๆ” ภาณุถอนหายใจ

“งั้นสงสัยต้องหาสามีรวย ๆ จะได้มีแม่บ้านเป็นสิบให้ชี้นิ้วสั่

คำพูดไม่ทันคิดของคนข้างกายทำให้ภาณุชะงัก เรื่องจริงในสังคมจอมปลอมที่สะท้อนผ่านจิตใจ คงจะดีกว่านี้ถ้าคนพูดไม่ใช่คนเดียวในโลกที่คิดว่าเข้าใจเขาที่สุด อย่างที่วิลเลี่ยม เช็คสเปียร์เคยว่าไว้

อย่าเล่นกับความรู้สึกของคนอื่น เพราะต่อให้คุณชนะ คุณก็อาจจะเสียใครคนนั้นไปตลอดกาล...

ตระหนักเสมอว่าการแข่งขันมีอยู่ทุกย่างก้าวของชีวิต แก่งแย่งชิงดีให้ได้มา และการพังพาบของผู้แพ้ที่สูญสลายบนคราบน้ำตา คนมีโอกาสดีย่อมได้รับสิ่งที่ดีกว่า

แล้วคนที่ด้อยค่าอย่างเขาจะมีสิ่งใดคู่ควร...

อรณีหน้าเสียเมื่อรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรบางอย่างที่ไม่ควร

“อรขอโทษ” หล่อนเสียงแผ่ว “ไม่ได้ตั้งใจพูดแบบนั้น”

“ไม่มีใครชอบคนที่ด้อยกว่าตัวเองหรอก ณุเข้าใจไม่ใช่เรื่องแปลก”

ภาณุยักไหล่หันมายิ้มให้ แต่เป็นยิ้มที่คนมองรู้สึกใจหาย อรณีน้ำตาคลอเพราะรู้ว่าสะกิดใจเขาอย่างจัง

“สำหรับอร ไม่สำคัญว่าคนนั้นจะมีหรือจน ถ้าอรรักหรือถ้ารู้ว่าใครคนนั้นก็รักอรเหมือนกัน อรจะ…”

“ช่างเถอะอรรักใครก็ไม่เกี่ยวกับณุ มาดูนี่ดีกว่าแล้วจำวิธีทำเอาไว้เผื่อไว้ทำเองได้”

ภาณุก้มหน้าก้มตาสอนทำให้อรณีได้แต่น้อยใจ

แน่อยู่แล้ว...

ถึงหล่อนรักใครก็ไม่สำคัญสำหรับภาณุอยู่ดี สุดท้ายก็ได้แต่เก็บงำคำพูดที่เกือบจะหลุดปากออกไป เก็บกลับเข้าไปไว้ในซอกใจลึกที่สุดตามเดิม



อธิปกยืนกอดอกหน้าเครียดมองคนอ่อนวัยกว่าที่ใบหน้าบวมปูดเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำอย่างระอาใจแกมหมั่นไส้เล็ก ๆ อนลยืนพิงผนังลิฟท์คลำผ้าก๊อซปิดแผลด้วยท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาว ยิ่งพาลให้อธิปกหงุดหงิด

“เมื่อไหร่จะเลิกก่อเรื่องซะที”

“ผมไม่ได้หาเรื่องมันนี่ พวกมันต่างหากที่มาหาเรื่องผมก่อน” อนลแสยะยิ้มส่งสายตายียวนหลังพ่นคำพูดป่วนประสาท
อธิปกส่ายหน้าด้วยความระอา

“ขยันสร้างเรื่องให้พี่สาวนายจริง ๆ เอาเวลาไปเรียนหนังสือดีกว่ามั้ง เป็นผู้ชายคนเดียวในบ้านไม่รู้จักเรียนอีกหน่อยทำมาหากินอะไรได้”

เงียบกริบคือคำตอบ แต่รอยยิ้มมุมปากถือดีช่างกวนอารมณ์คนถาม

“ผู้ใหญ่พูดหัดมีสัมมาคารวะมั่งสินายน่ะ”

ไม่มีคำตอบกลับมาอีกเช่นเคย อธิปกได้แต่ส่ายหน้าขัดใจ พอประตูลิฟท์เปิด อนลก็รีบออกไปทันทีไม่สนใจแม้แต่จะขอบคุณเขาที่อุตส่าห์ไปช่วยออกมาเลยสักนิด

เสียงเคาะประตูดังสนั่นไม่เกรงใจบ่งบอกให้รู้ว่ายามวิกาลเช่นนี้จะมีใครไปได้นอกจากอนล อรณีผุดลุกขึ้นอย่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อรู้ว่าต้องเผชิญหน้ากับน้องชายตัวแสบที่แต่ละครั้งนำความปวดหัวมาให้ไม่หยุดหย่อน

“ณุเปิดให้เอง”

ภาณุกดไหล่อรณีให้นั่งลงกับโชฟาตามเดิม หล่อนพยักหน้าดวงตาสั่นระริกสะกดกลั้นอารมณ์

“ขอบใจนะณุ”

ชายหนุ่มพยักหน้าแทนคำตอบ ทันทีที่ประตูเปิดตัวปัญหาก็เดินส่ายอาด ๆ ผ่านหน้าภาณุที่เบี่ยงตัวหลบเด็กไม่มีสัมมาคารวะเบียดจนหลังแทบจะติดผนัง อธิปกเงื้อมือหมายจะซัดหัวทุยของคนข้างหน้า ถ้าไม่ติดที่เพื่อนรักส่ายหน้าห้ามปรามเอาไว้ จึงเปลี่ยนเป็นถามถึงอรณีแทน

“อรเป็นไงมั่งวะ”

“ท่าทางเครียด สงสัยมีปัญหาเรื่องงานแล้วมาเจอเรื่องนลอีก ร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่าเลย” ภาณุกระซิบบอก

อธิปกพยักหน้ารู้กัน สองหนุ่มหันมองไปทางประตูห้องแล้วมองหน้ากันอีกครั้ง สีหน้าลำบากใจทั้งคู่

“มินเป็นไงบ้าง กลับบ้านรึยัง ไปเยี่ยมวันก่อนแล้วก็ไม่ได้ไปอีกเลย ยุ่ง ๆ”

“ก็โอเค แต่ตัวเล็กโยเยทั้งวัน นี่สองวันมาแล้วที่ฉันไม่ได้หลับได้นอน สงสารเมีย”

“เออดีว่ะ ไอ้คุณพ่อ”

สองหนุ่มหัวเราะขำ แต่แล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อเสียงที่เล็ดลอดมาจากภายในทำให้ต้องสะดุ้ง อนลโวยวายลั่นห้องไม่เกรงใจใคร

“พี่ไล่ผมกลับบ้านได้ไง!”

“แล้วจะเอายังไง โน่นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่เอา” อรณีแหวกลับเสียงดังไม่แพ้กัน

สองหนุ่มย่องแอบมองประตูห้องอรณีที่เปิดแง้มอยู่ อนลลงส้นปึงปังอยู่ด้านใน ส่วนเจ้าของห้องยืนกอดอกหน้าตาถมึงทึง

“กลับไปไม่แคล้วป้าด่าอีก น่ารำคาญ ยิ่งเห็นแผลบนหน้าผมคงโดนตบซ้ำสอง” อนลสบถ

“พูดถึงแม่แบบนั้นได้ยังไง”

อรณีเอ็ดน้องชายเสียงดัง แต่สีหน้ากระอักกระอ่วน อนลยังไม่ยอมแพ้ท้วงพี่สาว

“พี่ก็น่าจะรู้ แม่ทำเหมือนเราไม่ใช่ลูก”

“หยุดพูดถึงแม่แบบนั้นนะ” อรณีเอ่ยอย่างใจเย็น “ใครใช้ให้แกไปมีเรื่องกับนักเลงพวกนั้น”

“ผมก็ไม่ได้อยากมีเรื่อง!” เด็กหนุ่มขึ้นเสียงใส่

“พอ! พี่เหนื่อย ถ้าจะนอนก็นอนโซฟาก็แล้วกัน”

“คนอะไรขี้งก” อนลหน้ามุ่ย “ห้องมีเยอะแยะ ให้น้องนอนสักห้องก็ไม่ได้”

“ไม่มีห้องว่างแล้ว ห้องนั้นพี่ยกให้เจ้แสงไปแล้ว”

“เออ ก็ได้ นอนนี่ก็ได้ เชอะ!”

อรณีเดินตามออกมามองน้องชายแล้วได้แต่ส่ายหน้าระอาใจ อนลเปิดประตูปัง ทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาราคาแพง

“เอาขาลง... ไร้มารยาท แขกก็อยู่ทำตัวดีๆหน่อย”

“อ๋อ ต้องมีมารยาทกับพวกมดแดงที่แอบย่องมาหาพี่สาวผมด้วยหรือไง”

“พี่ไม่เกี่ยวนะโว้ย!” อธิปรีบปฏิเสธ

ขณะที่ภาณุถึงกับเหลียวมองอรณีด้วยสีหน้าอึดอัด อรณีตวาดเสียงเขียว

“ไอ้เด็กบ้า! แกนี่มันจริงๆ เลย”

“ก็มันสมควรไหมล่ะ ทำให้เพื่อนพี่ต้องลำบากไปด้วย”

“ก็เหมือนกันนั่นแหละ” อนลเถียงกลับ “ตัวเองก็ต้องพึ่งคนอื่น ไม่ได้ดีกว่าเราเท่าไหร่หรอกน่า”

อรณีฟังแล้วเดือดจัด พุ่งเข้าทุบ อนลปัดป้องจนต้องคว้าข้อมือพี่สาวไว้เพราะเจ็บที่โดนตี เดือดร้อนภาณุต้องมาคั่นกลางห้ามทัพ อธิปกตั้งสติได้มาคว้าแขนอรณีไว้อีกแรง

“ไป! ไม่ต้องนอนนี่แล้ว กลับไปเลยไป!” อรณีตวาด

อนลแข็งขืนไม่ยอมลุกตามแรงดึง จนภาณุล้วงกระเป๋ากางเกงควานหากุญแจห้องยื่นให้ตัวแสบ

“ลงไปก่อน คืนนี้นอนห้องพี่ก็แล้วกัน” ภาณุพยักเพยิดเป็นเชิงไล่ “ เดี๋ยวพี่ตามลงไป”

“ก็ได้ ใครจะอยากอยู่กับคนบ้าอำนาจ” อนลสะบัดแขนจากการเกาะกุมของภาณุ “ขอเตือนไว้เลยนะพี่ณุ ถ้าจะจีบสาวแก่ก็รีบ ๆ เข้า เดี๋ยวพี่สาวผมแก่ไปกว่านี้จะน่ารำคาญมากกว่าเดิมเป็นสิบเป็นร้อยเท่า”

“เฮ้ย! ไอ้นล พอได้แล้ว” อธิปกทุบหลังไหล่เด็กหนุ่ม “แกนี่มันเก่งแต่แกล้งพี่สาวตัวเอง”

“ใครว่าแกล้ง นี่ผมเปิดทางให้พี่ณุเลยนะ”

“ไอ้นล!” อรณีถลาเข้าหา แต่ไม่ทันเมื่อภาณุคว้ามือนุ่มไว้ได้ก่อน

“เอาน่า เดี๋ยวณุคุยให้ อรพักผ่อนเถอะ”

“ใครจะพักไหว” อรณีแหวใส่ แต่พอเห็นหน้าดุของภาณุก็หน้าเสีย “งั้นฝากเด็กเหลือขอด้วยนะณุ”

อรณีถอนหายใจ สีหน้าวิตกจ้องมองคนที่ยังจับมือไว้อย่างลืมตัว อธิปกต้องกระแอมหลังจากเงียบสังเกตุการณ์อยู่นาน

“คุณเพื่อนทั้งสองครับ ผมไม่ได้อยากขัดจังหวะ แต่ว่าจะขอตัวกลับไปหาเมียก่อนนะ”

คำพูดของอธิปก เรียกสติสองหนุ่มสาวให้ปล่อยมือจากกัน อรณีแก้เก้อด้วยการเรียกชายหนุ่มไว้ก่อนที่เขาจะออกจากห้องไป

“โอม ฉันฝากของไปให้มินหน่อยสิ ไปฝรั่งเศสมาอาทิตย์ก่อนซื้อน้ำหอมมาฝากยังไม่ได้ให้เลย”

“โอเค” อธิปกชะงักหน้าประตู หันรีหันขวางมองอีกคนที่ตั้งท่าออกไปจากห้อง “แล้วนายจะไปไหน”

ภาณุหันกลับมามองเพื่อนแล้วมองเลยไปหาหญิงสาวที่หันกลับเข้าไปเอาของในห้อง

“กลับห้องไปดูนล” ว่าพลางตบบ่าเพื่อนรัก “ไปก่อนนะ นี่ก็จะเช้าแล้ว พรุ่งนี้ต้องถึงไซด์งานก่อนเก้าโมงด้วย มีปัญหานิดหน่อยว่ะต้องเคลียร์”

“เออ ไว้นัดสังสรรค์กัน”

อธิปกมองตามจนลับสายตา ก่อนจะนั่งรออรณีที่ยังไม่มีทีท่าออกมา ชายหนุ่มนั่งลงบนโซฟาคว้านิตยสารขึ้นมาอ่านฆ่าเวลา สักพักก็ได้ยินเสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือจากที่ไหนสักแห่ง มองหาที่มาพบว่ามันอยู่บนเคาน์เตอร์บาร์เครื่องดื่มกระจกแก้ว จ้องหน้าจอโทรศัพท์ที่มีชื่อของคนโทรมาแล้วขมวดคิ้ว

“โทรมาทำไมป่านนี้ นี่มันจะตีสี่แล้วนี่หว่า” อธิปกจ้องหน้าจอคิดหนักแล้วตะโกนหาหญิงสาวในห้อง “ได้ยังอร... ฉันง่วงแล้วจะกลับบ้านหาเมีย”

“เดี๋ยวนะ ไม่รู้อยู่กระเป๋าไหน รอแป๊บนึง”

ในที่สุดก็อดใจข่มความอยากรู้ไม่ไหว เมื่อสัญญาณสั่นยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ตัดสินใจกดรับทันทีด้วยความอยากรู้

“สวัสดีครับ” อธิปกหยั่งเชิง

“คุณเป็นใคร”

เงียบไปชั่วอึดใจ กว่าที่คนปลายสายจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเข้ม อธิปกฟังแล้วถึงกับขมวดคิ้วครั้นจะเรียกอรณีมารับก็นึกอะไรขึ้นมาได้



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทำต้นฉบับเสร็จแล้ว
กลับมาอัปเรื่องนี้ต่อค่า
ขอฝากอีบุ๊คเรื่องนี้ด้วยนะคะ ความยาว 31 ตอน ขอบคุณมากๆ ค่า ^__^

https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=57488



lovereason2
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 พ.ค. 2560, 00:19:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 พ.ค. 2560, 00:19:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 1194





<< บทที่ 5 - 6    บทที่ 8 ชั่วโมงต้องมนต์ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account