The D.O.L.L.S โศกนาฏกรรมปีศาจตุ๊กตามหาเวท
"นักขายความฝันผู้เลือดร้อน & นักโทษประหารผู้เริงร่า & หัวขโมยผู้เย็นชา"
ต่างถิ่น ต่างความคิด ต่างอาชีพ ต่างนิสัย ต่างจุดมุ่งหมาย ต่างเผ่าพันธุ์
กลับต้องมาอยู่ด้วยกันเพราะเหตุบางอย่าง... The D.O.L.L.S

ตุ๊กตาปีศาจมีลักษณะรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ

ถ้าอย่างนั้น...จะรู้ได้อย่างไร?
...เป็นปีศาจ...หาใช่มนุษย์ไม่...

ระวังไว้ให้ดี...ทุกอย่างอาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา...

...ที่ใครบางคนสร้างขึ้นเท่านั้น...

สงครามระหว่างผู้มีพลังเวทกับมนุษย์ธรรมดา
ใครจะอยู่รอดเป็นผู้กำชัยชนะ!?


- ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านจากใจจริง -
แผนที่นครเซ็นทรัม http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/map122e1.jpg
Tags: ตุ๊กตา,ปีศาจ,คำสาป,เวทมนตร์,สงคราม,แฟนตาซี,ผู้ใช้เวท,มนุษย์,โศกนาฏกรรม,mystery

ตอน: Episode 32 : || ดาบปริศนา ||



EPISODE 32

ดาบปริศนา



‘เจ้าไม่ตามมา?’



‘ข้าอยากนอนต่ออีกหน่อยน่ะ’ เสียงใสตอบพร้อมกับยักไหล่น้อยๆ ‘ไม่เป็นไรหรอกน่า ควินัวเป็นคนใช้พลังนี่ ไม่ใช่ข้าสักหน่อย’



หลังจากมิเวลเดินออกไปจากห้องแล้ว เด็กหนุ่มก็ผิวปากเป็นเสียงฟิ้วเบาๆ หันไปส่งรอยยิ้มหวานให้กับร่างหนึ่งที่กำลังแอบซ่อนกายอยู่ในมุมมืด



“เอ...หรือเจ้าจะเป็นเพื่อนกับควินัวกันนะ” น้ำเสียงทะเล้นเปรยขึ้นเหมือนตั้งใจจะหยอกอีกฝ่ายเล่น นัยน์ตาสีฟ้าเข้มทั้งสามฉายประกายกร้าวขึ้นเล็กน้อยขณะมองสบสายตากลับมา



‘เจ้าพยายามใช้พลังจิตควบคุมข้า’ เบย์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ มันตั้งใจจะเดินสำรวจพื้นที่ทั้งหมดบนรถเคอาร์นี่ตามคำสั่งของดีเฟน แต่แล้วก็ถูกเจ้าหนูผมเงินจับได้เสียก่อน แถมอีกฝ่ายยังพยายามใช้พลังจิตเข้าควบคุมจิตใจของมันอีกต่างหาก ซึ่งเป็นการกระทำที่เหยียดหยามมันที่สุด



เพราะความโมโห เบย์จึงเค้นพลังใช้กระแสจิตเข้าโจมตีเจ้าหนุ่มผมเงินที่แสนจะโอหังตรงหน้าโดยฉับพลัน แต่แล้วก็ถูกพลังที่รุนแรงกว่าโต้กลับมาได้อย่างสบาย นัยน์ตาทั้งสามเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกตะลึง



‘ทะ...ทำไม’ เสียงงุนงงเอ่ยตะกุกตะกักอย่างไม่เข้าใจ เจ้าหนูผมเงินนี่เป็นใครกัน ทำไมถึงกับต้านพลังของเฟรเนร่าได้



เบย์คู้ตัวลงด้วยความเจ็บปวด พลังจิตของศัตรูกำลังทลายปราการจิตใจของมันเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ และแล้วเพียงไม่กี่วินาทีต่อมา ปราการชั้นลึกสุดก็ถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย นัยน์ตาสีฟ้าเข้มปรือมองอีกฝ่ายด้วยความเจ็บแค้น



‘เจ้า...ริอาจใช้พลังจิตกับ...เฟรเน...ร่าเชียวรึ...’



วอลหลุบสายตาลงต่ำเหมือนไม่กล้ามองสบสายตากับเจ้าเฟรเนร่าตัวน้อย รอยยิ้มสดใสเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มจางๆ เสียงเบาเอ่ยพึมพำบางอย่างคลับคล้ายต้องการจะรำพึงกับตัวเอง



“ข้าขอโทษ...”



++++++++++​



“ใช่ ข้าใช้พลังจิตกับเฟรเนร่าของเจ้าให้มันโจมตีพวกเจ้า และควบคุมผู้ใช้เวทที่อยู่ข้างล่างด้วยยังไงล่ะ”



ดีเฟนทรุดตัวลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้นอย่างอ่อนแรง เป็นครั้งแรกที่เขาล้มลงเพราะความอ่อนแอของจิตใจตัวเอง



“ตะ...แต่เจ้าไม่ใช่ผู้ใช้พลังจิต เป็นหนึ่งในสองคนนั้นต่างหาก แล้วเจ้าก็สลบไปแล้วนี่” เอลลี่ยังคงไม่ยอมแพ้ หันไปมองผู้ใช้เวทเจ้าของนัยน์ตาสีเพลิงที่เธอเคยคาดเดาเอาไว้ว่าน่าจะเป็นผู้ใช้พลังจิต ก่อนจะหันกลับไปมองวอลซึ่งยืนเงียบไม่พูดอะไรนอกจากยิ้มแย้มเหมือนปกติ



นัยน์ตาสีเงินเหลือบมองเอเวน ใบหน้าเรียบสนิทจ้องตรงมายังเขาพร้อมด้วยประกายความเคร่งเครียดในแววตา วอลแย้มยิ้มกับตัวเองแล้วหันกลับไปมองดีเฟนเช่นเดิม ภาพตรงหน้าเริ่มเบลอจนมองไม่ชัดอีกต่อไป แต่เด็กหนุ่มก็พยายามคงสติของตัวเองเอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้



‘...วอล ท่านฝืนตัวเองอีกแล้ว’ น้ำเสียงเชิงตำหนิของควินัวทำให้เขาต้องลอบอมยิ้มน้อยๆ อย่างขำขัน



“เจ้าให้ควินัวใช้พลังจิตกระตุ้นปลุกจิตของเจ้าให้ตื่นขึ้นอีกครั้งหลังจากสลบไปสินะ” เสียงเรียบกล่าวสรุป เรียกสายตาอีกสามคู่ให้หันไปมอง ร่างสูงยืนกอดอก มองตรงไปยังวอลด้วยสายตานิ่งๆ เหมือนกำลังสังเกตการณ์อะไรบางอย่าง



“สมกับเป็นท่านเอเวน” น้ำเสียงสดใสเอ่ยคำชมเชยพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้าง เอเวนไม่สนใจท่าทางเหมือนเด็กๆ ของอีกฝ่าย ใบหน้าเรียบๆ ไม่แสดงสีหน้าใดๆ ยืนนิ่งมองเจ้าตัวแคปซูลอยู่อย่างนั้น เขาไม่เอ่ยถามอะไรออกไปเพราะรู้อยู่แก่ใจดีว่าคนถูกถามไม่มีวันตอบ



“เจ้าต้องการอะไร” ดีเฟนเอ่ยถามในที่สุด เขากำลังยอมรับความพ่ายแพ้ของตัวเอง ในเมื่อศัตรูควบคุมได้แม้กระทั่งเบย์ เขาก็คงไม่มีอะไรจะเอามาสู้กับพวกมันได้อีกต่อไป



นอกจาก...



ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่งหลังจากนึกอะไรบางอย่างออก



“เรื่องนั้นข้าบอกกับเพื่อนๆ ของเจ้าแล้วล่ะ” วอลตอบพร้อมรอยยิ้มหวาน หันไปพยักหน้าให้กับเบย์



เฟรเนร่าตัวน้อยน้อมศีรษะรับคำสั่ง เหลือบมองชายหนุ่มด้วยความเหนื่อยใจ ดีเฟนกำลังนั่งคุกเข่าหมดสภาพอย่างผู้พ่ายแพ้ ความน่าสมเพชของเขาทำให้มันส่ายหัวไปมาอย่างเอือมระอา ถึงแม้ว่าจะรู้สึกเห็นใจอยู่บ้าง แต่มันไม่ได้ติดตามดีเฟนเพราะความจงรักภักดีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้นการทรยศในครั้งนี้จึงถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับมัน



นัยน์ตาสีฟ้าเข้มลอบมองวอลแวบหนึ่งก่อนจะหลับตาลง ใช้พลังจิตตามคำสั่งของเขา พลางครุ่นคิดอย่างนึกหวั่นใจ หนุ่มน้อยคนนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน ถึงกระทั่งใช้พลังจิตกัดเซาะเข้ามาในจิตใจของมันจนรู้ว่ามันไม่ได้ติดตามดีเฟนเพราะความจงรักภักดี จากนั้นก็ใช้พลังค่อยๆ แซะความรู้สึกอยากเป็นอิสระนั้นให้ไหลออกมาจนท่วมท้น แล้วตรงเข้าควบคุมจิตใจของมันให้ทำตามคำสั่งของเขาได้อย่างสมบูรณ์



อย่างที่ดีเฟนได้กล่าวเอาไว้ พลังเวทไม่มีวันต่อกรกับพลังจิตได้ และบุคคลที่มีพลังจิตแกร่งกล้าย่อมน่ากลัวเป็นที่สุด แล้วจิตใจของเด็กหนุ่มที่ชื่อวอลผู้นี้จะเป็นเช่นไรกันแน่นะ จะเต็มไปด้วยสีสันแห่งความสดใส สีขาวแห่งความบริสุทธิ์ หรือจะเป็นสีดำแห่งความมืดมิด



เบย์ลืมดวงตาทั้งสามขึ้นอีกครั้งหลังจากใช้พลังควบคุมเหล่ากองผู้ใช้เวทให้ใช้พลังเวทเคลื่อนที่พร้อมกัน พารถเคอาร์คันนี้ให้มาปรากฏอยู่หน้าประตูศักดิ์สิทธิ์แห่งทะเลหมอก บานประตูที่สูงลับฟ้าจนมองไม่เห็นด้านบนสุด ใหญ่โตโอ่อ่า มีสีทองอร่ามสวยงาม คั่นกลางระหว่างผืนดินใหญ่กับทะเลหมอกเอาไว้ เคยมีผู้ใช้เวทจำนวนหนึ่งใช้เวทลมพาตัวเองฝ่าอากาศและกลุ่มก้อนเมฆขึ้นไปเรื่อยๆ หวังจะได้เห็นด้านบนสุดของบานประตูแห่งนี้ แต่เหล่าผู้ใช้เวททั้งหลายนั่นก็ไม่เคยได้กลับลงมายังพื้นเบื้องล่างอีกเลย แม้ว่าเวลาจะผ่านมานานนับรอยปีแล้วก็ตาม



‘ท่านวอล...ได้โปรดเถิด... ได้โปรดฟังเสียงของข้าบ้าง’ เสียงของควินัวฟังดูอ่อนแรงด้วยความโศกเศร้า มันกำลังร่ำไห้เงียบๆ เอ่ยคำขอร้องแก่เจ้านายของมันอย่างสิ้นหวัง รู้ดีว่านายน้อยได้ฝืนตนเองจนถึงขีดสุดอีกครั้งหนึ่งแล้ว และก็เป็นอีกครั้งที่มันไม่สามารถทำอะไรได้เลย



ดีเฟนแสยะยิ้มเหมือนอย่างคนเสียสติ พยุงตัวลุกขึ้นยืนพร้อมกับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาทั้งสองเหลือกขึ้นราวกับคนบ้า กลอกตาไปมาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตวัดสายตาเลื่อนลอยจับจ้องไปยังสองร่างที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กัน กัดฟันกรอดด้วยความเจ็บแค้นพร้อมกับชักดาบตรงเอวออกมา เขาวิ่งตรงเข้าใส่ศัตรูด้วยความรวดเร็ว เงื้อดาบในมือขึ้นสูง แล้วตวัดดาบลงมาสุดแรง



เลือดไหลซึมออกมาจากบาดแผลฉกรรจ์พร้อมด้วยร่างบอบบางที่ล้มตึงลงกับพื้น เปลือกตาทั้งสองข้างปิดสนิท สายพลังจิตถูกตัดขาดออกจากกันทันที ใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือดปรากฏเม็ดเหงื่อผุดขึ้นประปราย ริมฝีปากซีดเผือด แต่เก็ยังคงมีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับอยู่เช่นเคย



คนทั้งสองยืนนิ่งค้าง ตกตะลึงมองเหตุการณ์ตรงหน้า เกิดคำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวอย่างไม่เข้าใจ เด็กสาวรีบปรี่เข้าไปหาคนหมดสติด้วยความเป็นห่วง คลำที่หน้าผากร้อนจี๋เหมือนมีไข้สูง ริมฝีซีดปากถูกย้อมด้วยสีม่วงทะน้อย ลมหายใจแผ่วเบาราวกับจะหยุดลงได้ทุกเมื่อ



มือสองข้างสั่นเทา มองบาดแผลฉกรรจ์ของอีกฝ่ายอย่างคนทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะรีบใช้สองมือกดบาดแผลตรงกลางลำตัวที่กำลังมีเลือดไหลพพลั่กๆ ออกมาไม่หยุด วอลนอนเกร็งพร้อมกับขดตัวไอโขลกๆ อย่างรุนแรง นัยน์ตาสีแดงเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นของเหลวสีเข้มสาดกระเซ็นมาโดนกางเกงของเธอ



ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เอเวนกำลังยืนกำหมัดแน่น เบือนหน้าหนีมองผ่านหน้าต่างไปยังประตูศักดิ์สิทธิ์ด้วยสีหน้าเจ็บปวด เขาไม่เข้าใจ และไม่อยากจะเข้าใจอะไรเลยสักนิด ทำไมกัน เพราะอะไรเจ้าตัวแคปซูลนั่นถึงทำแบบนี้ เพื่อปกป้องมิเวลคนเดียวงั้นหรือ ไม่ใช่ เขาก็ยืนอยู่ตรงนั้นด้วย พวกเขาสองคนเป็นผู้ใช้เวท เป็นศัตรูกับมนุษย์ธรรมดาอย่างเจ้าตัวแคปซูลบ้านั่น มันรู้ดีไม่ใช่หรือไงว่าเขาเกลียดมัน และเขาสามารถรับมือดาบห่วยแตกของศัตรูแค่คนเดียวได้สบายอยู่แล้ว ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ทำไมเจ้าบ้านั่นถึงต้องวิ่งเอาตัวเข้ามารับดาบแทนพวกเขาด้วย



ดาบนั่น... เอเวนตวัดสายตากลับไปที่ดีเฟนซึ่งกลับไปนอนดิ้นอยู่กับพื้น แหกปากลั่นด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง ข้างๆ มีเอลลี่ตะโกนถามว่าเป็นอะไรไปด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เด็กหนุ่มสัมผัสความรู้สึกของพลังบางอย่างได้จากดาบของดีเฟน และมันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจเก็บชีวิตของศัตรูทั้งสองคนเอาไว้ก่อน



ร่างสูงร่ายเวทตาข่ายไฟฟ้าขังดีเฟนและเอลลี่เอาไว้ข้างใน ก่อนจะเดินไปยืนข้างๆ มิเวล เด็กสาวกำลังง่วนอยู่กับการห้ามเลือดซึ่งดูจะเหมือนจะไม่ช่วยอะไร เอเวนทรุดนั่งลง รีบร่ายเวทห้ามเลือดให้วอลโดยพลัน กัดฟันกรอดพร้อมกับมุ่ยหน้าอย่างโกรธเคือง ความสามารถพิเศษในการควบคุมอารมณ์ตัวเองของเขาพังทลายลงอย่างไม่มีชิ้นดี



เวทห้ามเลือดเองก็ดูเหมือนจะไร้ผลซึ่งเป็นเพราะอะไรนั้นเขาไม่แน่ใจ แต่เด็กหนุ่มเดาว่าน่าจะเกี่ยวกับพลังจิตของเจ้าตัวแคปซูล หรือไม่ก็...



เอเวนใช้เวทเคลื่อนย้ายพาวอลไปที่แคปซูลรักษา สีหน้าเคร่งเครียดมองร่างซีดเซียวข้างในอย่างสับสนอยู่พักหนึ่ง แล้วเดินแยกตัวหายออกไปจากห้อง ทิ้งให้มิเวลนั่งเฝ้าคนเจ็บอยู่เพียงคนเดียว



ร่างเล็กนั่งมองร่างในแคปซูลรักษาด้วยสายตาเจ็บปวด พวกเธอผ่านด่านตรวจพวกนั้นมาได้เพราะพลังของเจ้าบ้าวอล แล้วก็ยังมาถึงหน้าประตูศักดิ์สิทธิ์ได้เพราะพลังของเขา แต่เจ้าบ้ากลับได้แผลฉกรรจ์เป็นค่าตอบแทน ที่ผ่านมาเธอทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากพึ่งพลังจิตของเขา ทั้งๆ ที่เคยออกปากไล่เจ้าบ้าวอลตั้งแต่ตอนเจอกันครั้งแรก แต่สุดท้ายแล้ว เธอกลับเป็นคนพึ่งพลังของเขามากที่สุด



เสียงตะกุกตะกักแถวประตูทำให้เด็กสาวตื่นจากภวังค์ รีบหันขวับไปมองด้านหลังด้วยความตกใจ เมื่อเห็นว่าคนทำเสียงคือเจ้าเฟรเนร่าเธอจึงรู้สึกโล่งอก แต่ก็เย็นใจได้ไม่นานเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเจ้าร่างน้อยๆ ตรงหน้านี้คือเฟรเนร่าของดีเฟน เบย์นั่นเอง



เด็กสาวเม้มปากแน่น เริ่มรู้สึกอึดอัดเพราะเธอไม่สามารถสื่อสารกับมันได้ เฟรเนร่าเป็นสัตว์เวทใช้พลังจิต มีแต่ต้องพูดคุยกับมันทางจิตใจเท่านั้น แต่จะทำได้อย่างไรกันล่ะ



‘เจ้าไม่ต้องคิดมากไปหรอก’ เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวราวกับอ่านความคิดของเธอออก



“จะ...เจ้าอ่านใจได้งั้นเหรอ” เธอเคยสงสัยอยู่เลยว่าเจ้าบ้าวอลอ่านใจได้หรือเปล่า สายตาเคลือบแคลงเหลือบไปมองร่างในแคปซูล ก่อนจะหันกลับมามองเบย์อีกครั้ง



‘ข้าอ่านใจไม่ได้หรอก แต่ใช่ว่าจะอ่านสีหน้าและท่าทางของเจ้าไม่ออกว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ เจ้าหนูผมเงินนั่นก็คงใช้เทคนิคแบบเดียวกันนี่แหละ’ คำตอบของเบย์ทำให้มิเวลลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอคงรู้สึกแย่ถ้ามีใครมาอ่านใจของเธอ



“แล้ว...เจ้าคุยกับข้าได้ยังไง” มิเวลเอ่ยถามด้วยความสงสัย ทำไมเธอถึงคุยกับเบย์ได้ แต่ไม่เคยคุยกับควินัวได้เลยสักหนเดียว



‘ข้าคุยกับเจ้าได้เพราะข้าไม่ได้ทำพันธสัญญา หรือให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ข้าไม่มีเจ้านาย’



เด็กสาวขมวดคิ้วอย่างฉงน



“แล้วดีเฟนล่ะ เขาไม่ใช่เจ้านายของเจ้าหรือ”



‘ไม่ใช่ ข้าจำเป็นต้องอยู่กับเขาและมอบพลังให้ส่วนหนึ่งเพราะเหตุผลบางอย่าง เฟรเนร่าจะเป็นผู้ทำพันธสัญญาเองก็ต่อเมื่อพวกเราต้องการ เพราะฉะนั้น หากเราไม่ต้องการ ใครก็มาบีบบังคับเราไม่ได้’ เสียงเรียบของเบย์เอ่ยตอบ แต่มิเวลก็ยังคงมีเรื่องไม่เข้าใจมากมายอยู่ดี



“พลังจิตของพวกเจ้า...รุนแรงแบบนี้เหรอ แล้วมันมีผลอะไรกับมนุษย์ธรรมดาหรือเปล่า”



‘มนุษย์ธรรมดา?’ เจ้าเฟรเนร่ามีน้ำเสียงงุนงง เอียงคอมองเธออย่างน่ารัก แต่ถึงจะน่ารักขนาดไหน เด็กสาวก็รู้ดีว่าภายใต้ร่างปุกปุยนั่นมีพลังอำนาจมหาศาลแฝงอยู่



“แล้วความรู้สึกเจ็บปวดนั่นก็คือพลังจิตใช่ไหม” มิเวลถามพลางนึกย้อนไปถึงความรู้สึกปวดร้าวเหมือนกำลังถูกฉีกร่างกายออกจากกัน เพียงแค่นึก เธอก็รู้สึกหายใจไม่ออกและหวาดกลัวจนไม่อยากกลับไปคิดถึงมันอีก



‘ความรู้สึกเจ็บปวด?’ น้ำเสียงงุนงงขึ้นเสียงสูงอีกครั้งหนึ่งจนทำให้มิเวลเริ่มรู้สึกเคืองน้อยๆ มันตั้งใจจะแกล้งเธอเล่นหรือไงกัน แต่แล้วความไม่พอใจก็ต้องหายวับไปเมื่อได้ยินเสียงเรียบตอบกลับมา เหมือนรู้ว่าเธอกำลังไม่พอใจ



‘ใช่ แต่สำหรับดีเฟนแล้ว มันไม่ใช่แค่ความรู้สึกเจ็บปวดหรอกนะ’



“หมายความว่ายังไง” เด็กสาวถามกลับไปอย่างไม่เข้าใจ ถ้าไม่ใช่แค่ความรู้สึกเจ็บปวด แล้วมันจะเป็นอะไรอย่างอื่นไปได้นอกจากนี้ล่ะ เธอเห็นชัดว่าดีเฟนเองก็มีอาการดิ้นทุรนทุรายเหมือนกับพวกเธอนี่นา



‘ดีเฟนคิดว่ามันเป็นเพียงจินตนาการเหมือนกัน จึงพยายามฝืนร่างกายขยับโน่นนี่ แต่อีกไม่นานเขาก็จะรู้ว่ามันไม่ใช่จินตนาการ มันคือความจริง...’ เบย์เงียบเสียงไป คนฟังยังคงขมวดคิ้วอย่างงุนงง เจ้าเฟรเนร่าขยับกายเดินเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิด ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบกล่าวคำอธิบายต่อ ‘ความเจ็บปวดจากการถูกฉีกอวัยวะภายในของดีเฟนนั้นไม่ใช่แค่จินตนาการเพราะอวัยวะภายในของเขาถูกฉีกขาดจริงๆ พลังจิตของเจ้าหนูผมเงินสามารถทำให้จินตการกลายเป็นความจริง’



มิเวลเบิกตากว้างด้วยความตกใจ นึกถึงพลังอันน่ากลัวของคนที่กำลังนอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่ในขณะนี้ ประโยคหนึ่งของดีเฟนดังก้องขึ้นมาในหัวโดยฉับพลัน



‘แต่น่าเศร้าที่ทั้งพลังและลูกเล่นของแกมันอ่อนหัด!’



เบย์ขยับตัวเข้ามาใกล้ขึ้นอีก แล้วหยุดยืนนิ่งจ้องมองเธอ นัยน์ตาสีฟ้าเข้มทั้งสามฉายประกายแวววูบเหมือนเปลวไฟที่กำลังลุกโชน ‘...และดังนั้นข้าจึงอยากถามเจ้าว่า เจ้าหนูผมเงินเป็นใคร’



++++++++++



ภายในห้องมืดมิดยามค่ำคืน ร่างของเด็กสาวกำลังนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงเพราะอาการนอนไม่หลับ ในหัวมีแต่คำถามมากมายอยู่เต็มไปหมด โดยเฉพาะคำถามของเบย์เมื่อตอนบ่าย



วอลเป็นใคร?



เธอคิดมาตลอดว่าเขาเป็นแค่เจ้าบ้าที่เอาแต่ยิ้มกวนประสาทไปวันๆ แต่เหตุการณ์เมื่อตอนบ่ายทำให้เธอเริ่มรู้สึกไม่แน่ใจ รอยยิ้มน้อยๆ ยามใช้พลังของวอลมันทำให้เธอรู้สึกตื่นกลัวอย่างบอกไม่ถูก



เจ้าบ้าวอลที่เอาแต่ยิ้มทะเล้นนั่นจะต้องไม่มีวันทำร้ายคนอื่นแล้วยังยิ้มได้อย่างแน่นอน... ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวทันควัน แต่ก็อีกนั่นแหละ วอลเป็นใคร เธอแทบจะไม่รู้จักเขาเลยด้วยซ้ำ เจอกันครั้งแรกก็ช่างน่าสงสัยเสียเหลือเกิน แล้วยิ่งใช้เวลาเดินทางด้วยกันมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกสงสัยมากขึ้นไปอีก ในเมื่อวอลมีพลังจิตมากมายขนาดนี้ ทำไมถึงไม่ใช้พลังนั่นหนีออกมาจากคุกซะเลยล่ะ แต่แล้วข้อสงสัยก็เริ่มคลายออกเล็กน้อยเมื่อนึกถึงสิ่งที่วอลเคยบอกเอาไว้ เขาไม่รู้มาก่อนว่าตัวเองสามารถใช้พลังจิตได้



จริงหรือเปล่า? เสียงหนึ่งค้านในใจ วอลไม่รู้มาก่อนจริงๆ น่ะหรือว่าเขาสามารถใช้พลังจิตได้ ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมเขาถึงมีพลังมากมายขนาดนี้



‘และ...ข้าอยากให้เจ้าเชื่อใจข้า’



คำพูดด้วยเสียงอ่อนโยนนั้นยังคงดังกึกก้องอยู่ในความทรงจำ สองมือกุมศีรษะด้วยความสับสน ประโยคนั่น คำพูดนั่น ไม่ว่าจะพยายามลบออกไปเท่าไหร่มันก็ไม่หายไป ภาพของวอลเอาตัวรับดาบแทนเธอกับเอเวนฉายชัดขึ้นมาอีกครั้ง ถ้าเขาต้องการจะหลอกเธอ แล้วทำไมถึงต้องมายอมเสี่ยงอันตรายแบบนี้ ทำไมถึงยอมปกป้องเธอกันล่ะ



ความเงียบคือคำตอบที่เธอให้กับเบย์ เจ้าเฟรเนร่าไม่ถามอะไรอีกนอกจากเดินจากไปเงียบๆ บางทีมันอาจจะรู้ก็ได้ว่าเธอไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนั้น



รุ่งเช้าของวันถัดมาเริ่มต้นด้วยสภาพอากาศที่ไม่ค่อยแจ่มใสนัก เมฆหมอกปกคลุมไปทั่วบริเวณจนทำให้แทบมองไม่เห็นบานประตูศักดิ์สิทธิ์ และเช้าวันใหม่นี้ก็เริ่มต้นด้วยข่าวร้ายด้วยเช่นกัน เอเวนบอกกับเธอว่าบาดแผลของวอลไม่ได้ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงข้ามมันกลับแย่ลงเสียอีก



“ดาบของมันต้องมีพิษแน่ๆ ข้าจะไปถามหายาถอนพิษ” มิเวลกล่าวน้ำเสียงร้อนรนขณะมองเอเวนสำรวจบาดแผลเหวอะหวะของคนในแคปซูลรักษา ดีเฟนและผู้ใช้เวทอีกคนถูกขังอยู่ในตาข่ายไฟฟ้าในห้องรวม ถ้าไปถามดูอาจจะได้เรื่องอะไรก็ได้



ร่างเล็กรีบหมุนตัวกลับหลังหันตั้งใจจะวิ่งตรงไปที่ประตู แต่แล้วข้อมือข้างหนึ่งก็ถูกคว้าเอาไว้



“ไม่ใช่พิษ” เสียงเครียดกล่าว มองสบสายตาเธออยู่พักหนึ่ง เด็กสาวสังเกตเห็นประกายบางอย่างลุกโชนอยู่ในแววตาคู่นั้น แต่ก็เพียงแวบเดียวเท่านั้น ก่อนนัยน์ตาสีอำพันจะเบือนหน้ากลับไปมองคนเจ็บเช่นเดิม



“ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมเจ้าบ้าวอลถึงอาการแย่ลงล่ะ” น้ำเสียงร้อนรนย้อนกลับ ใช่แล้ว ทั้งๆ ที่อยู่แคปซูลรักษา แต่ทำไมอาการที่สาหัสอยู่แล้วของวอลมันถึงได้ย่ำแย่ลงกว่าเดิมกันล่ะ



เลือดตรงบาดแผลเริ่มจับตัวกันเป็นก้อนลิ่มสีเข้ม เอเวนฉีกเสื้อของวอลตรงบริเวณแผลออกทำให้เห็นปากแผลเหวอะหวะได้อย่างชัดเจน แม้ว่าเด็กหนุ่มจะช่วยร่ายเวทห้ามเลือดให้คนเจ็บแล้วก็จริง แต่กลับยังคงมีของเหลวสีข้นไหลซึมออกมาไม่หยุด เปลี่ยนที่นอนสีขาวเป็นสีเลือดเพียงชั่วข้ามคืน



“ต้องพาเจ้าตัวแคปซูลไปรักษาที่เผ่ามายาของเจ้าโดยเร็วที่สุด” เอเวนบอกเสียงเครียด ถือว่าเป็นข่าวดีอย่างหนึ่งของเจ้านี่ที่พวกเขามาถึงหน้าประตูศักดิ์สิทธิ์แล้ว และเบื้องหลังประตูบานนี้ก็คือทะเลหมอกที่จะเป็นทางผ่านสุดท้ายไปยังฟรอซเซล



หรือว่าเจ้านี่จะใช้พลังจิตให้มาถึงที่นี่เพราะรู้ว่าเขามีปัญหาเรื่องเชื้อเพลิง…?



ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว เป็นความคิดที่เขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะเป็นแบบนั้น เอเวนเหลือบสายตาไปยังใบหน้าซีดเซียวซึ่งบัดนี้ไร้รอยยิ้มใดๆ ของเจ้าตัวแคปซูล



เด็กหนุ่มขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างหงุดหงิดเมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังคิดอะไรไร้สาระ คนเจ้าเล่ห์อย่างเจ้าตัวแคปซูลต้องมีแผนการอะไรบางอย่างอยู่ต่างหากถึงได้เอาตัวเข้ามารับดาบแทน เพราะฉะนั้นเขาคงคิดมากเกินไปแล้ว ต้องไม่ใช่แบบนั้นอย่างแน่นอน ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด เหมือนกับความเกลียดชังของเขาที่มีต่อมนุษย์ธรรมดานั้นไม่มีวันลบเลือนหายไป



นัยน์ตาสีอำพันหลุบต่ำอย่างเหม่อลอย ใบหน้าคมปรากฏความเคร่งเครียดอยู่เด่นชัด มือทั้งสองข้างกำแน่น เขากำลังล่องลอยไปกับอดีตที่ฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ ชื่อหนึ่งฉายชัดอยู่ในหัวและไม่มีวันลืมเลือน



คารอฟ...



+++++++++++++++++++++++++++++++

โปรดติดตามตอนต่อไป!!

นับถอยหลังสู่ Season 2!!




โฮป
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 พ.ค. 2560, 11:15:11 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 พ.ค. 2560, 11:15:11 น.

จำนวนการเข้าชม : 681





<< Episode 31 : || ผู้ใช้พลังจิต VS ผู้ใช้พลังจิต ||    Episode 33 : || สู่เผ่ามายา || >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account