ร้อยรักพรางตะวัน
If no obstacle is found.
Do you know …What true love is?

เรื่องของนักแสดงสาวชื่อดังจอมเหวี่ยงวีนกับวิศวกรหนุ่ม ทั้งสองเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย แต่ความสนิทสนมทำให้ความสัมพันธ์ก้าวข้ามขีดคำว่า 'เพื่อน' ไปไม่ได้

ถ้าไม่มีอุปสรรคขัดขวางความรักระหว่างเพื่อนที่จำกัดไว้อาจจะไม่คืบหน้า และหากปล่อยเวลาผ่านไปอาจต้องเสียความรักนั้นไปให้ใครคนอื่น

เอาใจช่วยเพื่อนสนิทสองคนให้ค้นพบรักแท้ของกันและกันและก้าวผ่านอุปสรรคทั้งปวงเพื่อ ‘ความรัก’ ด้วยกันค่ะ

Tags: ร้อยรักพรางตะวัน, อรณี, ภาณุ, รักดราม่า, โรแมนติก, เพื่อนสนิท, แอบรัก

ตอน: บทที่ 8 ชั่วโมงต้องมนต์



“ใครวะ” อธิปกผละออกห่างจากโทรศัพท์ หน้านิ่วคิ้วขมวด

“ผมถามว่าคุณเป็นใคร”

น้ำเสียงตะคอกกรอกมาตามสาย ทำให้อธิปกขมวดคิ้วแนบหูฟังใหม่เมื่อได้ยินเสียงแว่ว ๆ จากปลายสายเป็นเสียงที่เขาไม่คุ้นเคย

“แล้วคุณล่ะ เป็นใคร”

“ไม่ต้องรู้” ปลายสายเสียงห้วน “บอกอรณีมารับสายหน่อย”

“เธอกำลังยุ่งอยู่” ชายหนุ่มตอบกำกวมแกล้งตะโกน “อร! ฉันง่วงอยากนอนแล้วนะ”

“นี่มันจะเช้าแล้ว คุณเป็นใครทำไมถึงอยู่กับเธอ”

“แล้วคุณเป็นใครไม่ทราบ โทรมาทำไมแต่ไก่โห่”

อธิปกตอบกวนประสาคนขี้แกล้ง ยิ่งเห็นอีกฝ่ายทำเสียงฮึดฮัดผ่านมาทางสายโทรศัพท์ก็ยิ่งกระหยิ่มยิ้มย่องอยากจะแกล้งคนปลายสายต่ออีกนิดให้สมกับความร้อนรุ่มในน้ำเสียง ถ้าอรณีไม่ส่งเสียงมาก่อนตัว

“นายว่ากลิ่นไหนดี ฉันเลือกไม่ถูกเลย”

อธิปกรีบกดปุ่มตัดสายแล้วแอบโยนโทรศัพท์ลงบนโซฟาอย่างแนบเนียน เอื้อมมือรับน้ำหอมสีสวยสดในขวดแก้วทรงหรูมาดอมดมกลิ่นอย่างตั้งอกตั้งใจ

“ก็หอมหมดน่ะ”

“เลือกให้หน่อยน่า กลิ่นไหนดี ที่จริงฉันกับมิน รสนิยมเดียวกันอยู่แล้ว แต่อยากให้นายช่วยเลือกอยากรู้ว่าจะรู้ใจแค่ไหน”

“หอมทั้งคู่ แต่ฉันชอบให้เมียใช้กลิ่นแบบเย้ายวน ดิออร์อะไรพวกนี้ฉันก็ชอบ”

“ไอ้บ้า ซื้อชาแนลจะเอาดิออร์มีให้เลือกแค่สองแบบจะมาเอาแบบเย้ายวนอะไรแถวนี้” อรณีคว้าขวดมาถือไว้

“เดี๋ยวสิ ยังเลือกไม่ได้เลย”

“ไม่ต้องเลือกแล้ว ชาแนลนัมเบอร์ไฟว์ไปก็แล้วกันฉันชอบ นี่ตัดใจให้เพื่อนรักเลยนะ”

นางเอกสาวค้อนเข้าให้ อธิปกได้แต่หัวเราะร่วนลืมง่วงเป็นปลิดทิ้ง จะบอกเรื่องที่เมื่อครู่มีคนโทรมา แต่เมื่อเห็นสีหน้าเนือย ๆ ของเพื่อนก็ทำให้เขาเปลี่ยนใจ

“ขอบใจนะ... ได้ของฟรีไปง้อเมีย โทษฐานหายไปข้ามคืน คอคงไม่ขาดแน่”

“วันนี้ขอบใจนายด้วยนะ ที่อุตส่าห์เป็นธุระให้ ไม่ได้นายแย่เลย ณุก็ติดต่อไม่ได้”

เสียงเนือยของเพื่อนสาวคนสนิททำให้อธิปกชะงัก หันมาขยี้ผมหล่อนแรง ๆ จนโวย

“ไม่ใช่เพื่อนเล่นนะ”

“อ้าว สิบสองปีที่คบกันมานี่ไม่ใช่เพื่อนเล่นหรอกรึไง” อธิปกก้มหน้าล้อเลียนคนตัวเตี้ยกว่า

“พูดมาก ไปได้แล้ว”

“นี่ค่อยสมกับเป็นยายอ้วนม้าดีดกะโหลกตัวจริงหน่อย อย่าคิดมาก เพื่อนมีไว้ทำไมถ้าไม่ใช่เอาไว้แบ่งปันทุกข์สุขร่วมกัน ฉันกับมินไม่เดือดร้อน เธอก็ไม่ต้องคิดมาก ไอ้ณุมันเป็นห่วงเธอจะตายรู้ไหม”

ฟังคำพูดของเพื่อนรักจบ อรณีถึงกับน้ำตาซึมพยักหน้ารับรู้ จริงของอธิปก เพื่อนแท้มักจะเห็นใจกันยามยาก เรื่องราวสารพัดตลอดสิบสองปีที่เป็นเพื่อนกันมา ทุกปัญหามีทางออกเสมอจากเพื่อนรัก

หล่อนรู้... ไม่ใช่ไม่รู้ แค่ไม่เคยแสดงความรู้สึก ไม่แม้แต่จะปริปากให้ใครรับรู้ว่าซึ้งใจแค่ไหนที่ได้รับความรู้สึกดี ๆ แบบนี้



กิริยาน่ารำคาญของร่างสูงโปร่งที่อ่อนวัยกว่าทำให้ภาณุเหนื่อยใจทันทีที่กลับเข้าห้อง อนลไม่ได้มีความเกรงใจยังคงนั่งเอาขาพาดบนโต๊ะรับแขก เล่นโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดที่ไถเงินพี่สาวมาซื้อราวกับเป็นห้องของตัวเอง

“มีอะไรกินมั่งพี่ณุ ผมหิว” ไม่พูดเปล่า ยกมือลูบท้องทำหน้าปุเลี่ยน

“ช่วยเหลือตัวเองสิ หาเอาในตู้เย็นก็แล้วกันพี่จะนอนสักงีบต้องรีบไปไซด์งานเช้านี้”

“งั้นไปกินข้างนอกดีกว่า หลับให้สบายนะคร๊าบ… ว่าที่...”

คำว่า ‘พี่เขย’ หายไปกับสายลมอย่างจงใจ น้ำเสียงล้อเลียนของเด็กบ้าช่างน่าระคายหู แต่เพราะร่างกายอ่อนล้าต้องการผักผ่อนทำให้ภาณุไม่ได้สนใจคนข้างนอกห้องอีกเลย

เวลาล่วงเลยผ่านไปเกือบสองชั่วโมงเพราะเสียงนาฬิกาปลุกหัวเตียงทำให้เขารู้สึกตัว

“เฮ้ย! แย่แล้วเกือบเจ็ดโมง ซวยแล้ว!”

ร่างกำยำแต่อ่อนล้าในเสื้อผ้าชุดเดิมลุกพรวดพราด คว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไปอย่างเร่งรีบ วันนี้เขาต้องรีบเคลียร์เรื่องค้างคาจากเมื่อบ่ายวาน และคนที่เขาสงสัยก็ไม่ใช่ใคร

ธิเบต เพื่อนรุ่นน้องของน่านฟ้าและเป็นฝ่ายตลาดของบริษัทน่าสงสัยที่สุด ธิเบตมาจากครอบครัวธรรมดาไม่ร่ำรวยมากแต่กลับใช้เงินมือเติบจนน่าแปลกใจ และมีข่าวไม่ค่อยดีเรื่องที่ทำงานเก่ากรณียักยอกทำให้เขาเบาใจไม่ได้

นึกไปถึงเมื่อคืนที่คุยหลักการแนวคิดกันยิ่งน่าห่วง

“ร้านก็โอเคนะ ถ้าคุณจะแต่งสไตล์เรทโทรเรทโทรไปเลย ผมว่ามันธรรมดาไปหน่อย ไม่ดึงดูด แถวนี้ย่านคนรวยนิยมความหรูหรา เพอร์เฟค การตกแต่งสไตล์โบราณ เปิดเพลงยุคฟิฟตี้ ซิกซ์ตี้ มันไม่ได้คนรุ่นใหม่ คุณอาจจะได้คนรุ่นพ่อ รุ่นแม่ คุณปู่ คุณย่า ที่ชอบหาความสำราญจากการเต้นลีลาศแทน” ภาณุให้ความเห็น

ทั้งสามนิ่งฟัง แต่มีคนเดียวคือคนต้องการความเห็นที่ทำหูทวนลมจิบเบียร์ตลอดเวลา

“แต่ถ้าคุณชอบแนวนี้ก็ไม่จำเป็นต้องทิ้งของในร้านไปเลยสักอย่าง เพียงแค่เปิดบางมุมไว้สำหรับแกรนด์เปียโน แล้วทำฟลอร์เต้นรำก็น่าจะโอเค แหวกแนวไปเลย”

“นั่นสิ ผมชอบเรทโทรถึงอยากได้ร้านนี้ แต่นี่มันก็เก่าเกิน อยากได้แนวไฮบริดผสมผสาน คงสไตล์ความเก๋า แต่เพิ่มชีวิตชีวาแห่งโลกอนาคตเข้าไป มีมุมสำหรับเทพนิยายเก๋ ๆ สักเรื่อง หรือไม่ก็แนวอวกาศ แบคทูเดอะฟิวเจอร์อะไรทำนองนี้”

“ก็โอเคนะ น่าสนใจ แต่คงหมดเงินอีกเยอะ ไหนจะค่าเซ้งร้าน อินทีเรีย เฟอร์นิเจอร์ เบาะ ๆ แล้วผมว่าไม่น่าต่ำกว่าสามล้านอัพ”

ธิเบตพยักหน้ารับรู้ กวาดตามองไปรอบ ๆ อีกครั้ง ก่อนจะยักไหล่อย่างเห็นเป็นเรื่องเล็ก

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ ปกติผมไม่ชอบปรึกษาใครเท่าไหร่ อย่างว่าแหละมันทำให้ไขว้เขวเอาเป็นว่าเรื่องเงินไม่มีปัญหาผมสามารถอยู่แล้ว”

ภาณุที่ให้ความเห็นอย่างผู้เชี่ยวชาญอดสะดุดกับคำพูดของธิเบต นอกจากงานวิศวกร เขายังมีสามารถรับงานนอกเวลาเกี่ยวกับสถาปนิกและตกแต่งภายในบ่อย ๆ เป็นรายได้พิเศษ

ข้อดีด้านนี้เป็นที่ประจักษ์หลายต่อหลายโครงการทำให้น่านฟ้าชื่นชมและไว้ใจการทำงานของภาณุไม่น้อย

แต่ธิเบต... ไม่ใช่ เขายังใหม่ด้านนี้ เพียงแต่ความสามารถด้านการตลาดน่าชื่นชมมากเหมือนมีสาลิกาลิ้นทอง

ผู้ชายมีรูปเป็นทรัพย์ติดต่อค้าขายงานไม่ค่อยพลาด ถ้าเพียงแต่จะไม่คดบ้างเอียงบ้าง กินนอกกินในบ้างอย่างที่ได้ยินได้ฟังมา คงวางใจได้ไม่น้อย แต่นี่คือสิ่งที่ภาณุหนักใจแทนน่านฟ้าแต่ไม่กล้าพูดตรง ๆ

คิดแล้วก็ปวดหัว... เรื่องของเขารึก็ไม่ใช่

“นาฬิกาหายไปไหนวะ”

ภาณุสบถ รีบแต่งตัวแข่งกับเวลาพาดเน็คไทผูกไปมา สอดส่ายสายตาสำรวจหานาฬิกาข้อมือเรือนโปรดไปด้วยแต่ไม่เจอ

จำได้ว่าเมื่อค่อนรุ่งเขาถอดทิ้งไว้ที่ไหนสักแห่ง ก่อนจะงีบหลับไป แล้วความจริงก็ประจักษ์เมื่อพบโน้ตสั้นลายมือขยุกขยิกสอดอยู่ใต้กองหนังสือบนโต๊ะทำงานในห้องนอน

..พี่ณุ... ผมยืมคาร์เทียไปต่อทุนก่อนนะ...

ภาณุตบหน้าผากตัวเอง สีหน้าหงุดหงิดทันที

“เด็กเลว! แกจะเอาของพี่ไปกี่อย่างวะ”

สบถหัวเสียเพราะนาฬิกาเรือนโปรดอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอยและคงไม่กลับมาถึงเขาอีกแล้วเป็นแน่ หลายต่อหลายครั้งที่ต้องทนไม่ปริปากสักคำ เพราะไม่อยากให้อรณีไม่สบายใจ

จะตอบคำถามพี่สาวอย่างไร เมื่อน้องชายสร้างเรื่องไม่หยุดอีกจนได้ ได้แต่ทิ้งความคิดไม่พอใจไว้แค่นั้น ก่อนจะคว้านาฬิกาข้อมือเรือนเก่าที่เคยใช้เป็นประจำ และเขาก็รักมันไม่น้อยก่อนที่จะได้คาร์เทียเรือนหรูราคาลิบลิ่วมาแทนที่



ระหว่างรอกระเป๋าของใช้ส่วนตัวสำหรับพักค้างคืนสองสามวันลำเลียงมาใส่รถตู้สีดำติดฟิล์มดำสนิท เกือบครึ่งชั่วโมงที่ปล่อยเวลาผ่านไปโดยที่ไม่ได้เร่งร้อนมากนัก

แสงสุรีย์คร่ำเคร่งกับการจัดคิวงานให้อรณีอย่างขะมักเขม้น แต่เสียงโทรศัพท์ก็ดังขัดจังหวะ

“เป็นยังไงบ้าง... ออกเดินทางกันรึยัง ไม่มีปัญหาใช่ไหม”

เสียงเข้มวางอำนาจส่งมาตามสาย ผู้จัดการสาวแว่นนิ่วหน้าเซ็งสุดขีด เหลือบมองนาฬิกาข้อมือครุ่นคิด

“เรียบร้อยค่ะ ท่านประธานมีอะไรรึเปล่าคะโทรมาแต่เช้า”

“จับตาดูหน่อย ว่ามีใครอยู่กับสินค้าของผมที่ห้องรึเปล่า เมื่อตอนรุ่งสางผมโทรหามีผู้ชายรับสาย”

ผู้ชาย!... หรือว่า...

ผู้จัดการสาวถอนหายใจโมโหอรณีแต่ก็นึกโกรธแทนที่ปราณตีค่าหล่อนเป็นเพียงสินค้า

“ไม่มีนี่คะ เมื่อกี้เพิ่งขนกระเป๋าลงมาเก็บที่รถก็เห็นอยู่คนเดียวนะ นี่ก็กำลังรอคุณนายเธอแต่งองค์ทรงเครื่องอยู่ค่ะ”

“ดี สนใจเธอให้มาก อย่าให้ริ้นไรที่ไหนมาตอมให้ตามแก้ข่าวมากนัก ผมเบื่อเต็มทนกับสินค้าใกล้หมดอายุแต่ยังไม่รู้ตัวเต็มทีแล้ว”

“ค่ะ ท่านประธาน”

“อย่าลืมว่าเรามีเดิมพันกัน” ปราณกำชับ

แสงสุรีย์รับคำไม่เข้าใจในตัวท่านประธานว่าทำไมถึงเข้มงวดนัก มีอรณีดังอยู่คนเดียวในค่ายรึก็เปล่า ยังมีนักแสดงในสังกัดที่กำลังเปล่งประกายรอวันได้รับการเจียระไนอยู่อีกมากมาย ไม่เข้าใจกับสิ่งที่ดูคล้ายจะหวังดีแต่การกระทำกลับตรงข้าม หรือนี่คือการปกครองในแบบของปราณที่หล่อนเองก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี

ในขณะที่แสงสุรีย์รออย่างร้อนรน แต่ตัวต้นเรื่องกลับก้าวลงบันไดมาอย่างกระตือรือร้น ไม่นานประตูห้องเป้าหมายก็เปิดออกโดยที่ยังไม่แม้แต่จะกดกริ่งด้วยซ้ำ ภาณุถึงกับสะดุ้งที่จู่ ๆ อรณีก็ปรากฏตัวอยู่หน้าห้องเขา

“ฮัลโหล... ”

“อร! ณุตกใจนะเนี่ย”

“เห็นหน้าอรตกใจเลย หรือว่าซุกสาวไว้รึเปล่าเนี่ยไหนดูซิ”

อรณีไม่พูดเปล่าพาตัวหอมกรุ่นด้วยน้ำหอมยอดฮิตกลิ่นดอกไม้ติดตัวเข้ามาด้วย ภาณุมองตามร่างระหงเดินเข้าไปสำรวจนอกในห้องเขาอย่างเคยชินแล้วส่ายหน้าเอ็นดู

“มีรึเปล่าล่ะ”

“ไม่มีใครสักคน... แล้วนลล่ะ”

“กลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ พอดีณุงีบไปน่ะ ไม่ไหว ง่วงจัด” ภาณุสีหน้าเหนื่อยจริงจัง จนหญิงสาวอดสงสารเขาไม่ได้ “แล้วนั่นกล่องอะไร”

เขาถามเมื่อเห็นกล่องถนอมอาหารในมือ หญิงสาวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ยื่นให้

“ของฝาก เอ๊ย! ไม่ใช่ พอดีโอมกลับไปตอนตีห้า แปดโมงเจ้แสงจะมารับไปถ่ายแบบคู่ที่พัทยาแล้วเลยเข้ากองถ่ายเซ็ตเอกับพี่ชัชคงไปสองสามวัน อรก็เลยโละของในตู้เย็นทำแซนด์วิชกิน เอามาเผื่อณุด้วย”

“ไหนดูก่อน กินได้รึเปล่า”

ภาณุเปิดฝากล่องหอมฉุยยิ้มกริ่มเจอแซนด์วิชหน้าตาธรรมดาติดจะเละเทะไปเสียด้วยซ้ำถึงกับหัวเราะ อรณีหน้าง้ำที่ความหวังดีถูกประเมินเพียงแค่หน้าตาของแซนด์วิช

“ เอาคืนมาไม่ต้องกิน”

“เรื่อง! ณุจะเอาไปกินกลางทางละกัน รีบน่ะ”

“แล้วมาบอกด้วยนะว่าอร่อยรึเปล่า”

ดวงตาสดใสทอประกายวิบวับทันตาเห็นเมื่อภาณุส่งยิ้มพึงพอใจ ตามด้วยคำพูดให้กำลังใจเต็มเปี่ยม

“ไม่ต้องห่วงกลับมาจะรายงานผลไม่ให้ขาดตกบกพร่องเลย ว่าแต่อรจะลงไปพร้อมกันเลยไหม ณุจะลงไปแล้วล่ะเดี๋ยวไม่ทัน”

“ไปสิ” อรณีเรียกไว้ “เดี๋ยว... ณุ”

ภาณุถึงกับสะดุ้งรีบดึงแขนเสื้อเชิ้ตลงมาปิดนาฬิกาเรือนเก่าแทบไม่ทัน แต่ไม่ใช่ที่เขาห่วง เมื่ออรณีจับเขาหันมาเผชิญหน้าแล้วดึงเน็คไทมาผูกให้อย่างชำนาญ

“รีบมากหรือไง วันนี้เบี้ยวไม่สวยเลยนะ”

“ปกติก็ไม่ค่อยใส่อยู่แล้ว แต่พอดีวันนี้บ่ายมีประชุมค่อนข้างทางการน่ะ เลยรีบไปหน่อยกะจะไปไซด์งานก่อนเข้าออฟฟิศ ไม่เป็นไรน่าเดี๋ยวค่อยผูกก็ได้”

“ไม่เอา อรจะผูกให้ไม่เสียเวลาสักหนึ่งนาทีหรอกน่า อย่าดื้อสิ”

ภาณุสีหน้ากระอักกระอ่วน ยิ่งได้กลิ่นน้ำหอมชั้นดีจากฝรั่งเศสกลิ่นคุ้นเคยของคนตัวบางที่ใบหน้าใกล้กันแค่ลมหายใจรดยิ่งประหม่า

อรณียังคงตั้งอกตั้งใจผูกเน็คไทให้อย่างบรรจง ท่ามกลางความเงียบงันมีเพียงเสียงหัวใจที่ดังเป็นจังหวะอยู่ภายใน

..ตึก..ตัก..
..ตึก..ตัก..
..ตึก..ตัก..



ไอร้อนผะผ่าวตกกระทบผิวทันทีที่ประตูรถตู้ถูกเปิดออก แสงสุรีย์ละสายตาจากตารางคิวงานที่กำลังขะมักเขม้นมองคนมาใหม่ที่ดูจะรู้ตัวรีบบอกเหตุผล

“ขอโทษนะคะ อรสาย พอดีมัวแต่หาของอยู่เลยช้าไปหน่อย”

“แล้วเจอรึเปล่า”

“ก็หาไม่เจอ... แต่ช่างมันเถอะไม่สำคัญอะไร” อรณีบอกปัด “นี่แซนด์วิช อรทำมาเผื่อเจ้กับลุง ลองชิมดูแล้ววิจารณ์ให้ด้วยนะว่าพอไปวัดไปวาได้รึเปล่า”

อรณียื่นกล่องถนอมอาหารสีขาวสองกล่องส่งให้ ผู้จัดการสาวรับแล้วทำหน้านิ่ง พงษ์เหลือบมองกระจกหลังแล้วก้มหัวขอบคุณ อรณียิ้มรับอารมณ์ดีก่อนจะขึ้นมาที่นั่งหลังคนขับติดหน้าต่าง

“ออกรถเร็วเถอะ ลุง สายมากแล้ว”

ผู้จัดการสาวแว่นเร่ง เหลือบมองนาฬิกาข้อมือสีหน้าวิตก ใกล้เวลานัดเข้ามาทุกทีแต่อรณียังคงเฉยทำเป็นทองไม่รู้ร้อน

“ครับ” พงษ์ตอบรับ

อรณีเหลือบมองผู้จัดการสาวแล้วถอนหายใจ รู้สึกถึงรังสีอำมหิตแผ่ซ่าน

“ถึงแล้วปลุกนะเจ้ เมื่อคืนไมได้นอนเลย”

“แล้วทำอะไรอยู่ ท่าทางเหนื่อยจัง”

“ไม่มีอะไรนี่ อ่านบทดึกไปหน่อย”

อรณีตอบขอไปที เสียงเนือย ไม่แสดงอาการไม่พอใจ ทั้งที่ปกติถ้าถามแบบนี้หล่อนต้องตอบแบบประชดทำให้แสงสุรีย์รู้สึกแปลก ไม่ต่างกับอรณี ดวงตาภายใต้แว่นกันแดดสีดำกรอบใหญ่มีแววสลดเล็กน้อย จะให้เล่าเรื่องในครอบครัวให้คนอื่นรู้ ไม่มีวันที่หล่อนจะปริปาก

“มีอะไรอยากจะบอก ก็ปรึกษาได้นะ”

ไม่วายที่แสงสุรีย์จะถาม อรณีขมวดคิ้วรู้สึกแปลกเมื่อได้ฟัง

“จะมีอะไรล่ะ อรแค่ท่องบทดึก นอนไม่พอ ตื่นมาทำแซนด์วิช รับรองว่าไม่ทำให้ไอ้งานจับคู่วันนี้เสียแน่นอนค่ะ ถ้าไม่จำเป็น”

ท้ายประโยคลงคำพูดแรงกว่าปกติจนแสงสุรีย์รู้สึกได้ จึงได้แต่พูดเตือนสติ

“ไม่เห็นต้องหงุดหงิด มันก็แค่งาน ทำ ๆ ไปแล้วก็จบ จบแล้วก็ได้เงิน ได้หน้า ไม่มีอะไรต้องเสียเลย ขออย่างเดียวทำงานเสร็จเวลาให้สัมภาษณ์อย่าฟันธงว่าแค่รักโปรโมทเป็นพอ อรต้องให้ความหวังแฟนคลับเอาไปจิ้นต่อยอด”

“ไร้สาระ!” อรณีชักสีหน้า “ท่านประธานสั่งให้เจ้มากล่อมอรสินะ”

“ไม่ใช่ ก็แค่เตือน”

“ไม่ต้องห่วง อรไม่ทำให้งานเสียแน่ ก็บอกแล้วว่าถ้าไม่จำเป็น อย่ามากดดันกันเกินไป”

“เฮ้อ! พูดแล้วเหนื่อย เลิกพูดดีกว่า ทำอะไรก็คิดก่อนก็แล้วกันขี้เกียจตามแก้ข่าวแล้ว ถึงแล้วค่อยซ้อมคิวอีกทีก็แล้วกัน”

“แล้วหลังจากนั้นล่ะ”

“ก็เหมือนเดิม เย็นนี้มีคิวงานที่พัทยา โลเคชั่นบนเนินเขายามเย็น กับในโรงแรมห้าดาวของสปอนเซอร์ ไม่มีฉากลำบากวิ่งหนีโจร ระเบิดกระท่อม หลบกระสุนหรอก สบายใจได้งานนี้ไม่ต้องเม้ง”

“แค่ถามเฉย ๆ ต้องประชดประชัน ตกลงเจ้จะเป็นผู้จัดการหรือจะเป็นแม่อรกันแน่”

“ขี้เกียจพูดละ เอาไว้คุยกับคุณชัชเรื่องคิวเอาเองก็แล้วกัน”

แสงสุรีย์ทอดถอนใจแล้วมองเมินออกไปนอกหน้าต่าง ระหว่างรถชะลอติดไฟแดง ไม่ไกลกันใครบางคนบนที่นั่งฝั่งคนขับรถญี่ปุ่นคันข้าง ๆ กำลังกัดกินแซนด์วิชชิ้นโตอย่างเอร็ดอร่อย ผู้จัดการสาวก้มมองของในมือที่หน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะแล้วได้แต่ทอดถอนใจ

ผิดจากที่คิดเสียเมื่อไหร่กัน...



แม่น้ำกว้างใหญ่ที่มองเห็นจากหน้าต่างไหลเชี่ยวกรากผิดปกติ เหมือนหัวใจของภาณุในช่วงนี้ที่เลือดสูบฉีดทำงานหนักจนเหมือนมันจะออกมากองอยู่นอกอก

มันเป็น ‘ความรัก’ เขารู้ตัวมานาน แต่จะทำเช่นไรในเมื่อสถานะของความเป็นเพื่อนมันค้ำคอให้อับจนคำพูดอยู่ทุกวันนี้

ยิ่งเสียงหัวใจที่ดังประหลาดเมื่อตอนเช้า ยามที่หวั่นไหวไปกับกลิ่นหอมและใบหน้านวลแสนเคยคุ้น พาลให้ความรู้สึกที่เก็บลึกมานานเริ่มไม่ไหวอีกต่อไป

คิดจะรุกก็กลัว กลัวเสียรัก เสียเพื่อน กลัวหล่อนไม่เห็นค่า ไม่มีราคาในสายตา

ยิ่งอรณีเป็นเหมือนตุ๊กตาแก้วน่าทะนุถนอมในสายตาของใครต่อใคร มีหรือที่คนธรรมดาอย่างเขาจะกล้าหยิบจับให้ตุ๊กตาแก้วแสนสวยตัวนั้นให้ต้องเป็นริ้วรอยด้อยค่า

ร่างสูงใหญ่ยืนนิ่งมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง โดยไม่ทันได้สนใจเสียงเรียกของหัวหน้าช่าง

“คุณภาณุครับ... คุณภาณุ”

“อ้าว! คุณอเนก” ภาณุถึงกับสะดุ้งก่อนจะหันยิ้มกลบเกลื่อน

“พิมพ์เขียวกับเอกสารที่ต้องการได้แล้วครับ”

รับเอกสารมาเปิดดูสีหน้าเรียบเฉย จนอเนกอดถามถึงเรื่องที่คับข้องใจไม่ได้

“คิดว่ายังไงครับ”

“แปลก” ภาณุขมวดคิ้ว “วัสดุทำไมไม่เหมือนที่ตกลงไว้แต่แรก”

“หรือเพราะว่าเฟสสองนี้ต้นทุนต่ำกว่าเฟสหนึ่งครับ ทีแรกคิดว่าเป็นแกรนิตดำแอฟ แต่ทำไมที่ส่งมาถึงเป็นแกรนิโต้แทน ผมยังข้องใจไม่หายเฟสที่แล้วงานเราเนี๊ยบมาก มาใช้ตัวนี้กับเฟสสองมันจะกลายเป็นลดระดับไปรึเปล่าครับ”

“นั่นแหละที่ผมเป็นห่วง ชื่อเสียงเฟสแรกโด่งดังจนมีเฟสสองและจะมีสามตามมา แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจนะอาจจะมีอะไรผิดพลาดทางเทคนิคถึงได้ขอเช็คอย่างละเอียดอีกทีแล้วจะบอกให้คุณทราบ ระหว่างนี้ช่วยทำส่วนอื่นที่ทำได้ไป เว้นส่วนที่ต้องปูแกรนิตไว้ก่อนแล้วผมจะรีบให้คำตอบ

“ได้ครับ” นายช่างรับคำ “ผมอยากให้คุณน่านมาดูแลเหมือนเดิมจัง พอเปลี่ยนตัวสถาปนิกแล้วรู้สึกต่อไม่ติดเท่าไหร่”

“ทำไมล่ะ” ภาณุม้วนแบบแปลนเก็บแล้วถามด้วยความสงสัย“สถาปนิกเฟสสองชื่อวาปีใช่ไหม ผมจำได้ว่าคุณน่านรับผิดชอบควบสองเฟส เปลี่ยนมือตั้งแต่เมื่อไหร่ผมก็ว่าจะถามอยู่เหมือนกัน”

“สักพักแล้วครับ” นายช่างตอบเกรงใจ “คุณน่านไม่ค่อยว่างมาสานงานก็เลยโยนให้สถาปนิกใหม่เห็นว่าดีกรีรางวัลจากอเมริกาด้วย”

ภาณุสะดุดใจตั้งแต่ได้ยินชื่อสถาปนิกโครงการเฟสสอง ถึงแม้เขาจะไม่มีส่วนร่วมกับโครงการนี้มาตั้งแต่ต้น แต่เมื่ออเนกนำเรื่องมาปรึกษา คนอย่างเขาจึงนิ่งเฉยอยู่ไมได้ แต่ความสงสัยก็ต้องสะดุด เมื่อต้องมาเจอคนทึ่ไม่คิดว่าจะเจอ

“คุณวิศวกรใหญ่มาทำอะไรที่เฟสสองครับ ผมจำได้ว่าคุณไม่ได้รับผิดชอบเฟสนี้”

คำถามยียวนลอยลมมากระทบโสตประสาททำให้ภาณุหันกลับไปมองด้วยความเบื่อหน่าย

“ผมมาดูความคืบหน้าโครงการร่วมนิดหน่อย แล้วคุณล่ะ”

“ผมนัดลูกค้ามาดูห้องตัวอย่าง เสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้ยินว่าคุณมาตรวจงานก็เลยอยากขึ้นมาทักทายซะหน่อยตามประสาคนรู้จัก”

“ผมกำลังจะกลับแล้ว” ภาณุไม่แสดงท่าทีอะไรนอกจากคำตอบเรียบเช่นเคย

“นึกว่าจะมาจับผิดโครงการคนอื่น” ธิเบตยิ้มเยาะมุมปากท่าทางยโส “กำลังคิดว่าน่าจะบอกคุณวาปีให้รู้ตัวว่าระวังจะโดนคุณวิศวกรใหญ่เขม่น”

“ผมไม่ได้มาตรวจงาน ไม่จำเป็นต้องเขม่นใคร เห็นชื่อสถาปนิกโครงการเป็นคุณวาปีก็เลยถามดูเท่านั้นเอง” ภาณุตอบฉะฉานเน้นคำ “มีอะไรจะแนะนำผมรึเปล่า”

“ก็... เปล๊า... ถึงเธอจะเป็นผู้หญิงมีประสบการณ์ไม่มาก แต่การออกแบบได้ใจลูกค้ามาก ผมขายเฟสนี้คล่องกว่าเฟสหนึ่งของคุณตั้งเยอะเชียว” ธิเบตได้ทีคุยโอ่

“แต่ที่รู้ ๆ เฟสหนึ่งฝีมือนายน่านขายไปกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้วนะ เฟสสองขายเร็วขนาดนั้นเลยเหรอ เพิ่งเปิดตัวไม่นานเองนี่ ผมนึกว่ายังไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ”

ภาณุถามหน้านิ่ง แต่ธิเบตกลับคิดว่าเขาจงใจรวนจึงเหน็บกลับ

“คุณไม่ใช่ฝ่ายการตลาด คุณไม่รู้หรอกว่าเป็นยังไง”

“นั่นสิ หน้าที่ใครหน้าที่มัน” ภาณุย้อนแต่สายตากร้าวท้าทาย “ผมก็แค่เห็นความไม่ชอบมาพากลเลยท้วงแค่นั้น ไม่ได้ทำผิดก็ไม่ต้องร้อนตัว”

ธิเบตถึงกับชะงักจ้องตอบ

“ลืมไปว่าคุณเก่ง ก็คุณมันขงเบ้งในวงการวิศกรรมนี่นะ ผมก็ลืมไป”

“ขอบคุณที่ให้เกียรติแต่ผมไม่เก่งขนาดขงเบ้งหรอก แค่คิดว่าถ้ามีอะไรน่าสงสัยผมจะไม่ปล่อยผ่านไปแน่ ๆ แม้แต่เศษฝุ่นผงแค่ปลายขี้เล็บถ้าผมเห็นผมก็คงต้องทักท้วง” ภาณุตอบพร้อมสายตาท้าทายต่อคู่ตรงข้าม จนธิเบตถึงกับตาลุก

“งั้นคุณคงไม่มีวันได้เห็น” ธิเบตเค้นเสียงลอดไรฟัน แสร้งยิ้ม “เพราะผมไม่ได้ทำอะไรผิด”

“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรคุณ”

แล้วการสนทนาก็ยุติเมื่อเสียงหวานของหญิงสาวสวยเฉี่ยวแต่งแต้มเครื่องสำอางสดใสเฉิดฉายเข้ามาราวกับหลุดมาจากเวทีแคทวอล์คเรียกความสนใจให้สองหนุ่มหันมองแทบจะพร้อม ๆ กัน

“นินทาอะไรฉันรึเปล่าคะ ได้ยินแว่ว ๆ”

“มาพอดี ผมมีคนจะแนะนำให้รู้จักด้วยนะ... วา”

ธิเบตเดินเข้าไปโอบไหล่ หญิงสาวเบี่ยงตัวเป็นพิธีและจ้องมองภาณุไม่วางตา ดวงตาฉายแววปิติครู่หนึ่ง

“สวัสดีค่ะ วาปีค่ะ”

คำทักทายเจือรอยยิ้มของหญิงสาวสวยจัดแต่คุ้นตาจนน่าประหลาดทำให้ภาณุรู้สึกสะดุดใจแต่ยังรักษากิริยา

“สวัสดีครับ... ผม ภาณุ วิศวกรโครงการเฟสหนึ่งยินดีที่ได้รู้จักครับ”

“พี่... เอ่อ... คุณ” วาปีชะงักดวงตาวูบไหว “ยินดีที่รู้จักมือหนึ่งของบริษัทค่ะ ไม่คิดว่าจะหนุ่มขนาดนี้เลยนะคะ เสียดายวิศวกรเฟสสองไม่ใช่คุณ ไม่งั้นเราคงได้ร่วมงานกัน”

“เช่นกันครับ ไม่คิดว่าคุณยังเด็กมาก ดูคุ้นหน้ามากด้วย” ภาณุตอบแก้เก้อ เมื่อดวงตาคมสวยเฉี่ยวจ้องเขม็งไม่วางตา

“หรือว่าเราจะเคยเจอกันมาก่อน” วาปีหัวเราะร่วน “ฉันว่าเราคงต้องทวนความจำกันหน่อยแล้วนะคะ”

“น่าจะจำคนผิดมากกว่า คงเพราะคุณเหมือนใครสักคนที่ผมรู้จัก”

“งั้นฉันคงเข้าข้างตัวเองได้ว่าสวยพอที่จะทำให้คุณจดจำ”

หล่อนพูดทีเล่นทีจริง และยังยืนใกล้ไม่รักษาระยะห่างจนทำให้ธิเบตชักสีหน้าไม่พอใจ

“คุณสวย... สวยมากครับ” ภาณุตอบยิ้ม ๆ แต่ก้าวถอยหลังออกห่างไม่ให้หญิงสาวทันรู้ตัว

“เห็นคุณนิ่ง ๆ แบบนี้ คุณกำลังทำฉันหัวใจพองโตนะคะเนี่ย”

วาปีแสดงท่าทีขวยเขินทำความรู้จักเสียยืดยาวจนชายหนุ่มคนแนะนำถึงกับหน้าเซ็งที่ถูกลดความสำคัญ เมื่อหล่อนไม่ได้ใส่ใจเขาอีกเลยจนต้องเอ่ยขัดจังหวะ

“เดี๋ยวคุณจะไปทานข้าวพร้อมผมรึเปล่า”

“เที่ยงพอดีไปทานข้าวด้วยกันไหมคะ พี่... เอ่อ... คุณณุ”

“คือผม”

ภาณุอึกอักเมื่อมองสบสายตาหาเรื่องของธิเบตที่ยืนเป็นส่วนเกินเข้าอย่างจัง จึงปฏิเสธไปในทันที

“ไม่ดีกว่าครับ ผมยังไม่หิว”

จะหิวได้อย่างไร ในเมื่อแซนด์วิชหน้าตาเละเทะเมื่อเช้ายังจุกอกเขาอยู่เลย ยิ่งนึกไปถึงหน้าคนรอคำตอบแล้วอดยิ้มขำออกมาไม่ได้ จนวาปีและธิเบตได้แต่มองอย่างประหลาดใจ

แล้วก็ไม่ต้องเสียเวลาให้ได้ปฏิเสธอีก เมื่อมีโทรศัพท์เข้ามาพอดีจากเบอร์คุ้นเคย สีหน้าจริงจังขึ้นมาทันตา

“ว่าไง แต่ฉันมีประชุมบ่ายสามที่ออฟฟิศ” ภาณุยกมือขอเวลานอกแล้วเดินห่างออกไป

วาปีได้แต่มองตามจนลับสายตา

“มองตามตาละห้อยเลยนะ... ชอบมันมากเหรอ”

สถาปนิกสาวละสายตาหันมาค้อนขวับวงใหญ่ใส่นักการตลาดหนุ่มที่พูดจาเหน็บแนม ธิเบตตาวาวจ้องด้วยสายตาบ่งบอกไม่พอใจ วาปีเดินเข้ามาใกล้ จ้องตาเป็นประกายเย้ายวน

“ทำไมคิดอย่างนั้น” หล่อนยิ้มกว้างแต่เน้นคำพูดเสียงเข้ม “ผู้ชายคิดอกุศลแบบนี้ทุกคนรึเปล่าคะ”

“ก็มันน่าคิด” ธิเบตเสียงอ่อยลง “คุณก็รู้ว่าผมชอบคุณมากนะ”

วาปียืนนิ่งฟัง ยักไหล่

“เรื่องของฉัน คุณไม่มีวันเข้าใจหรอก”

“มั่นใจจัง อย่าลืมว่าคุณเป็นผู้หญิงของผม”

“ตราบใดที่เรายังออกเดทกันไม่กี่ครั้ง และคุณยังไม่ขอแต่งงาน ฉันก็ไม่มีวันเป็นผู้หญิงของคุณ”

“วา!” ธิเบตขึ้นเสียงคว้าแขนหล่อนดึงเข้ามาใกล้แล้วกระซิบข้างหู “คุณจะบอกว่าผมไม่มีสิทธิ์หวงคุณงั้นเหรอ”

“ก็ใช่สิคะ คล้อยหลังฉันคุณอาจจะไปก้อร่อก้อติกคนอื่นก็ได้” หล่อนยิ้มแต่หน้าวาจาเชือดเฉือน “เพราะฉะนั้นเราเสมอกัน คุณไม่มีสิทธิ์ทำตัวเป็นหมาหวงก้าง”

ธิเบตชักสีหน้ามองผ่านไปทางด้านหลังวาปี เห็นภาณุยังคงยืนคุยโทรศัพท์อยู่ระเบียงนอกห้องไม่สนใจมองเข้ามา ชายหนุ่มหันมาเอาเรื่องสถาปนิกสาวทันที

“แสดงว่าคุณสนใจมันจริง ๆ สินะ” ถามเสียงกร้าว “มันมีดีกว่าผมตรงไหน”

“ตรงที่เขาดูสุขุม เป็นมิตรแถมไม่น่าจะเป็นคนที่ชอบทำตัวน่ารำคาญ” วาปียิ้มหยัน “ส่วนคุณแค่เดทไม่กี่ครั้ง อย่าได้คิดจะมาเป็นเจ้าเข้าเจ้าของฉันสิธิเบต”

ธิเบตคอแข็ง บีบแขนเล็กแน่นเข้า แต่หล่อนไม่มีทีท่าแสดงความเจ็บ กลับหันมองภาณุที่ยังไม่เข้ามาแล้วหันมาตะคอกใส่ธิเบตเสียงขุ่น

“คุณทำแบบนี้ยิ่งดูแย่นะคะ”

“ผมสู้มันไม่ได้ตรงไหน วาปี!” ธิเบตเค้นเสียงลอดไรฟัน “บอกสิ ผมจะได้ปรับปรุงตัว”

“ไม่จำเป็นค่ะ คุณไม่ต้องทำขนาดนั้น”

“แล้วยังไง! นั่นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่ชอบ บอกผมทีว่าต้องทำยังไง”

“ไม่ต้องทำอะไร” วาปีพูดเสียงหนักแน่น “แค่จำเอาไว้นะคะ ว่าผู้หญิงอย่างฉันไม่ใช่ของตายสำหรับคุณ”

พูดจบก็เดินหนีออกไปจากห้อง ทิ้งให้ธิเบตยืนคว้างเตะของระเกะระกะใกล้เท้าระบายอารมณ์จนพอใจ แล้วหันไปมองภาณุที่เดินกลับเข้ามาหลังจากคุยโทรศัพท์เสร็จ



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ
เรื่องมีฉบับอีบุ๊คที่พี่เม็บด้วย ขอฝากด้วยนะคะ
https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=57488
ขอบคุณมากๆ ค่า ^__^



lovereason2
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 พ.ค. 2560, 20:58:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 พ.ค. 2560, 20:58:54 น.

จำนวนการเข้าชม : 1093





<< บทที่ 7 คลื่นรักพัดทราย   บทที่ 9/1 เรื่องบังเอิญ 50% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account