ปิ่นใจกะรัตพลอย (ชุด ลูกไม้ลายหงส์)
แม้จะต้องปะทะลมฝนรุนแรงขนาดไหน เธอก็ยังนับเป็นหงส์เหินที่งามสง่า แต่ใครจะคิดว่าสักวันนึง...ลมปากคนจะหักปีกหงส์ได้จริงๆ...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: Chapter 5 : มีดกรีดหิน
'แท้ที่จริงแล้วบนโลกใบนี้ ‘ปืน’ หรือ ‘ปากกา’ กันแน่ที่น่ากลัวยิ่งกว่ากัน...'
ท่ามกลางกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วบริเวณกับเสียงน้ำมันเดือดในกระทะ เสียงทุ้มทรงเสน่ห์เจือแววขี้เล่นของผู้เป็นราชามังกรมุกก็ดังแทรกขึ้น ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินตามหลังเสียงเข้าไปโอบกอดภรรยาร่างเล็กหน้าเตาจากด้านหลัง พลางวางศีรษะซบลงบนไหล่เล็กๆ นั้น ราวกับเหนื่อยอ่อนจนแทบยืนไม่อยู่
“หิวแล้ว...” มาเฟียหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงอู้อี้ออกมาจากลำคอไม่ต่างจากคนเพิ่งตื่นที่ยังสลัดอาการง่วงงุนออกไม่หมด
“อย่ามากวนตรงนี้ได้มั้ย ไปเล่นไกลๆ เลย” น้ำผึ้งพระจันทร์ว่าด้วยเสียงรำคาญใจ ทว่าก็ยังปล่อยให้สามีร่างสูงกอดอยู่ทั้งอย่างนั้น
“ก่อนจะหวานกันช่วยหาผ้าเช็ดตัวให้ผมสักผืนก่อนได้มั้ยครับ ไม่อย่างนั้นได้ตามเช็ดตามถูกันทั้งบ้านแน่เลย” ชายหนุ่มร่างสูงผู้เดินเขย่งเท้าตามหลังมาเอ่ยขอความช่วยเหลือขึ้นอย่างเสียไม่ได้ เสื้อเชิ้ตสีขาวบางแนบชิดติดกับลำตัวจนดูคล้ายกับเป็นผิวหนังอีกชั้นหนึ่ง ชายเสื้อถ่วงไว้ด้วยหยดน้ำที่ยังร่วงลงบนพื้นไม่ขาดสาย แม้หากพิจารณาจากรอยยับบนช่วงกลางลำตัวไปจนถึงชายเสื้อแล้ว พอจะเดาได้ไม่ยากว่าเจ้าตัวได้ใช้แรงบิดน้ำออกไปหลายถังแล้วก็ตามที
สายตาคมดุจหมาป่าหนุ่มกวาดมองไปทั่วห้องอย่างเป็นธรรมชาติ พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้เพ่งไปที่จุดใดจุดหนึ่งจนชวนผิดสังเกต จึงไม่ทันเห็นว่าหญิงสาวร่างบางที่อีกมุมหนึ่งของโต๊ะทำอาหาร กำลังยืนอ้าปากค้างกับสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเสียจนไม่อาจหุบปากตัวเองลงได้ง่ายๆ
พวกเขาสองคนเดินออกมาจากตรงซอกประตูนั้นพร้อมกัน... ก็แสดงว่าอีกคนที่อยู่กับหมอนั่นตอนที่มีเสียงกึกกักตึงตังก็คือเหวินหยางหลงน่ะสิ!
เพียงน้ำพลอยอดลอบสาปแช่งชายหนุ่มทั้งสองคนอยู่ในใจไม่ได้ เพราะรู้สึกว่าพวกเขาช่างไม่เกรงใจเพื่อนเธอเอาเสียเลย... แม่ของลูกตัวเองยืนอยู่ตรงนี้แท้ๆ แต่เขากลับทำเรื่องพรรค์นั้นลับหลังภรรยาตัวเองได้ตอนกลางวันแสกๆ ทั้งที่อยู่ห่างออกไปแค่เพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น...
แต่ไม่สิ...พวกเขาอาจจะคุยธุระกันก็ได้ แต่เพราะไม่อยากให้น้ำผึ้งพระจันทร์ไม่สบายใจ ก็เลยต้องแอบคุยกันอยู่ตรงนั้น ใช่...มันไม่มีทางเป็นอะไรไปมากกว่านั้นได้แน่ ความรักที่เหวินหยางหลงมีต่อเพื่อนรักของเธอนั้น อย่าว่าแต่เธอเลย ทุกคนล้วนประจักษ์ด้วยตาของตัวเองมาแล้วทั้งนั้น เขาไม่มีทางผิดต่อครอบครัว ไม่มีทางผิดต่อภรรยาที่รักออกปานนั้นแน่!
“ตายแล้วคุณฟราน! ไปทำอะไรมาคะเนี่ย ตัวเปียกเป็นลูก...” ทันทีที่หันกลับมาเห็นสภาพเปียกโชกของคนด้านหลัง น้ำผึ้งพระจันทร์ก็เผลอโพล่งออกไปอย่างลืมตัว จึงทำได้แค่กลืนคำสุดท้ายลงไปเผื่อแก้ไขสถานการณ์ให้เบาบางลง
“พูดมาขนาดนี้แล้วก็ปล่อยมันออกมาเถอะครับ ผมรับได้” ฟรานพูดกลั้วเสียงหัวเราะเย็นๆ ทำเอาคนเผลอหลุดปากได้แต่หัวเราะแห้งๆ จนตาหยี แล้วหันหน้าไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนที่อีกมุมหนึ่งของโต๊ะ
“น้ำพลอย ช่วยไปหยิบผ้าขนหนูในห้องน้ำให้ทีสิ ฉันดูนี่อยู่” น้ำผึ้งพระจันทร์ว่าพลางจับโน่นคนนี่หน้าเตาไปตามเรื่อง
“...”
“น้ำพลอย!!” เมื่อเห็นว่าเพื่อนยังเอาแต่ก้มหน้าก้มตาหั่นผักบนเขียงพลาสติก ขณะที่ปากก็ยังคงบ่นอะไรขมุบขมิบอยู่คนเดียวไม่เลิก น้ำผึ้งพระจันทร์จึงเอ่ยปลุกเพื่อนจากฝันกลางวันอีกครั้งด้วยเสียงดังขึ้น
“ห้ะๆ อะไรนะ” ไหล่บางๆ ของคนตกอยู่ในภวังค์กระตุกวูบจนสุดตัว ก่อนจะขานรับออกมาอย่างงุนงง ทำเอาคนในวงสนทนาอันได้แก่สองสามีภรรยามาเฟียหัวเราะครืนกันยกใหญ่ ทว่ากลับมีบางคนที่ยังคงตีสีหน้าเรียบเฉยอยู่ดังเดิม ไร้แววอารมณ์อารมณ์ขันอันเป็นเอกลักษณ์ติดตัวมาแต่ไหนแต่ไร
“ยังไม่ตื่นรึไง” น้ำผึ้งพระจันทร์ถามพลางอมยิ้มล้อเลียน
“ช่วยหยิบผ้าขนหนูในห้องน้ำให้คุณฟรานเขาหน่อย” พอเห็นอีกฝ่ายเอาแต่ก้มหน้าแก้เก้อน้ำผึ้งพระจันทร์จึงเอ่ยปากวานอีกครั้ง ขณะที่ในใจก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเธอใช้คนไร้ประโยชน์บางคนที่เอาแต่ยืนกอดเธออยู่อย่างนี้ไปหยิบ ป่านนี้ฟรานคงแห้งสนิทไปนานแล้ว ทำไมเธอถึงเอาแต่ปลุกคนสลึมสลืออยู่ได้
“อ่อ...” ร่างบางรับคำสั้นๆ ก่อนจะหันหลังเดินไปยังห้องน้ำชั้นล่างตามคำไว้วานของเพื่อนอย่างว่าง่าย ทว่าท่าทางที่คล้ายกับกำลังสื่อสารกับตัวเองในโลกคู่ขนานกลับยังคงไม่หายไป ทำเอาคนมองได้แต่ขบขันแกมสงสัยกันต่อไปว่าบนไหล่บางๆ นั้นแบกรับเรื่องอะไรไว้นักหนา เจ้าตัวถึงได้เอาแต่คิดไม่ตกขนาดนี้
ไม่ถึงชั่วอึดใจ มือบางถือผ้าขนหนูสีขาวผืนใหญ่ที่เพิ่งหยิบมาจากในห้องน้ำมายื่นให้กับร่างสูงที่ใกล้จมน้ำบนพื้นตาย เขาเพียงกล่าวขอบคุณสั้นๆ ขณะที่เธอเองก็รับคำสั้นๆ เช่นกัน หากสายตาทั้งสองคู่กลับเอาแต่เหลือบไปมองสิ่งแวดล้อมรอบตัวเสียทุกสิ่ง ยกเว้นนัยน์ตาดำขลับเบื้องหน้าตัวเองเท่านั้น
เพียงน้ำพลอยอดถามตัวเองในใจไม่ได้ว่า เธอไปทำอะไรผิดมาจากที่ไหนกัน ถึงต้องหลบหน้าหลบตาคนอื่นเสียขนาดนี้ หากคิดดูให้ดีแล้วควรจะต้องเป็นคนอื่นต่างหากที่หลบหน้าเธอไม่ใช่หรือไง ทำไมไปๆ มาๆ เธอถึงได้กลายเป็นคนมีชนักติดหลังไปได้ ครั้นพอทำใจกล้าเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตกลับได้สบเข้าดวงตาคมกริบแสนซับซ้อนคู่นั้นที่ทอดมองมาพอดี ชั่ววินาทีนั้น เธอรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองถูกกระแสไฟฟ้าประหลาดไหลเวียนอยู่ทั่วร่าง คล้ายจะเจ็บแต่กลับใกล้เคียงว่าจะชาเสียมากกว่า มือไม้หยิบจับทุกสิ่งได้แต่กลับไม่รับรู้ถึงสัมผัสใดๆ ทั้งนั้น
ใช่...เธอก็แค่ขาดวิตามินเท่านั้น...
เมื่อหาข้อสรุปให้กับตัวเองได้แล้ว เพียงน้ำพลอยจึงกลั้นใจถอนสายตาออกสนามไฟฟ้ามหาประลัยตรงหน้า แล้วกวาดสายตาไปมองรอบๆ ห้องครัวอีกครั้ง ถึงได้รู้ว่าสองสามีภรรยาคู่นั้นได้สลายตัวไปที่ห้องรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ทั้งอาหารเช้าที่เธอช่วยทำยังไม่เสร็จ ทั้งที่น้ำผึ้งพระจันทร์ลงมือทำเสร็จไปเสร็จแล้ว ทุกอย่างล้วนถูกเก็บกวาดออกไปจากโต๊ะจนหมด กล่าวให้ถูกก็คือ ที่ตรงนี้มีแค่เธอกับคนที่มีสภาพเหมือนผ้าขนหนูชุบหมาดตรงหน้านี้เท่านั้น
เพียงน้ำพลอยก้มหน้าก้าวฉับๆ ไปยังห้องรับประทานอาหารที่อยู่ถัดไปตรงหัวมุมทางซ้ายมือ โดยไม่คิดสนใจจะเอ่ยทักหรือเหลือบไปมองอีกหนึ่งสิ่งมีชีวิตแต่อย่างใด ตอนนี้ในใจเธอเริ่มสับสนเสียแล้วว่าตัวเองควรวางตัวยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้นดี ควรจะวางเฉยต่อเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง หรือควรถือคุณธรรมเข้าว่าแล้วสืบสาวให้รู้เรื่องรู้ราวกันไป ดีร้ายยังไงจะได้ดึงเพื่อนกับหลานรักออกมาจากสถานการณ์อันโหดร้ายนั้นได้ทัน หากชั่วชีวิตนี้เธอกลับเกลียดคนสอดรู้จนเกินพอดีที่สุด ถึงแม้ระยะหลังนี้เธอจะรู้สึกว่าตัวเองใกล้เคียงคนประเภทที่ว่านี้เข้าไปทุกทีแล้ว ทว่าการยืดอกยอมรับอย่างภาคภูมิว่าตัวเองกำลังจะกลายร่างเป็นยัยแก่ว่างงานผู้รักการสอดเรื่องชาวบ้านอย่างสมบูรณ์แบบ เธอกลับทำใจยอมรับได้ยากเหลือเกิน
หลังจากนั่งลงที่โต๊ะรับประทานอาหาร เพียงน้ำพลอยก็ไม่ได้ใส่ใจฟังนักว่าสองสามีภรรยาพูดคุยอะไรกันบ้าง เพียงแต่เงยหน้าขึ้นมองอาหารบนโต๊ะไปเงียบๆ ได้ยินมาว่าเหวินหยางหลงอดีตเจ้าบ้าน ชอบฝีมือการทำอาหารไทยของเจ้าบ้านคนใหม่อย่างน้ำผึ้งพระจันทร์ที่สุด ทุกมื้อจึงต้องมีอาหารไทยตั้งโต๊ะอย่างน้อยหนึ่งอย่างเสมอ วันนี้เป็นแกงเขียวหวานเนื้อลายกับทอดมันปลากราย ส่วนอย่างอื่นก็เป็นอาหารจีนอีกสองสามอย่างกับซุปร้อนๆ อีกหนึ่งชามใหญ่ ทั้งจานชามช้อนส้อมและผ้ากันเปื้อนถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบบนโต๊ะรับประทานอาหารตัวยาว และในวินาทีที่น้ำผึ้งพระจันทร์ร้องเรียกเธออีกครั้งนั้น เธอถึงได้สังเกตว่าคนๆ นั้นไม่ได้ตามเข้ามาในห้องรับประทานอาหารด้วยกัน หากทันทีที่เธอหันไปมองยังทิศทางที่ตัวเองเดินเข้ามา ร่างสูงในเสื้อเชิ้ตเรียบหรูสีดำตัวใหม่ปลดกระดุมเม็ดบนสองเม็ดก็เดินเข้ามาพอดี เมื่อถูกนัยน์ตาปีศาจคู่นั้นจับจ้องอย่างไม่วางตา อาการขาดวิตามินของเธอจึงเริ่มทำงานอีกครั้ง
“วันนี้มีทอดมันปลากรายของโปรดคุณฟรานด้วยนะคะ” ยังคงเป็นเสียงกังวานใสของน้ำผึ้งพระจันทร์ที่ปลุกเธอให้ตื่น เพียงน้ำพลอยจึงแสร้งหันไปมองทางอื่นชั่วขณะ ก่อนจะวกกลับมาสนใจอาหารบนโต๊ะอย่างเดิม
ขณะเดียวกัน เจ้าของนัยน์ตาหมาป่าเจ้าเล่ห์คู่นั้นกลับไม่ยอมละสายตาต่อร่างบางตรงหน้าโดยง่าย แม้เธอจะเข้าใจว่าตัวเองดิ้นรนจนหลุดพ้นจากพันธนาการของเขาแล้ว แต่เขาก็ยังคงใช้สายตาดุจคมมีดของตัวเองตรึงร่างทั้งร่างของเธอเอาไว้อยู่อย่างนั้น จนเกือบสองสามวินาทีต่อมาถึงได้หันหน้าไปยิ้มตอบภรรยาสาวร่างเล็กของเพื่อนอย่างอารมณ์ดีเช่นเคย
ราชามังกรมุกผู้เป็นเจ้าบ้านนั่งประจำอยู่ที่หัวโต๊ะ ภรรยาร่างเล็กนั่งถัดไปทางซ้ายมือ ทางด้านขวามือเป็นที่ประจำของฟราน ส่วนข้างๆ น้ำผึ้งพระจันทร์ถึงจะเป็นที่ของเธอ เพียงน้ำพลอยใช้ตะเกียบไม่ค่อยถนัดนัก เพื่อนผู้รู้ใจจึงได้จัดเตรียมช้อนส้อมให้เธอเรียบร้อยเสร็จสรรพ น้ำผึ้งพระจันทร์ตักอาหารให้เธอสองสามอย่างติดกัน ก่อนจะหันไปคีบอาหารให้สามีบ้างเพราะเขาเริ่มจะเบะปากร้องไห้เป็นเด็กๆ แล้ว เธอได้แต่ทานอาหารไปเงียบๆ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรออกมาดี ใช่ว่าเธอไม่เคยมาอาศัยอยู่บ้านนี้ ไม่เคยมาทานอาหารร่วมโต๊ะกับครอบครัวของเพื่อน หากจะให้งอนิ้วนับครั้งดูก็เกรงว่าจะมีนิ้วไม่พอให้นับด้วยซ้ำ แต่กับวันนี้...เธอไม่รู้จริงๆ ว่าอะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูด
“ฮะๆๆๆ” ประมุขมาเฟียหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างอารมณ์ดี ขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่หนังสือพิมพ์ในมือ
“อะไรคะ หนังสือพิมพ์ลงนิยายเรื่องใหม่หรือไง” น้ำผึ้งพระจันทร์เอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะ ทุกวันนี้อ่านหนังสือพิมพ์ทีไร เธอเป็นได้อดค่อนแคะความกระตือรือร้นเกินพอดีของวงการสื่อสารมวลชนขึ้นมาไม่ได้ เรื่องบนหนังสือพิมพ์ หรือแม้กระทั่งข่าวสารในอินเทอร์เน็ตทั้งหลายแหล่ทุกวันนี้ล้วนสับสนอลหม่านกันไปหมด เรื่องจริงบางเรื่องก็ผูกสาวโยงใยกันไปเป็นทอดๆ เสียจนไม่ต่างจากนิยายเล่มหนา ที่น่าทึ่งกว่าก็คือเรื่องเหลวไหลหลายเรื่องเย็บรวมกันแล้วกลับหนายิ่งกว่าเสียอีก
“เรื่องใหม่ล่าสุดเชียวล่ะ ‘สัมภาษณ์รายการไทยไร้เงาราชินีมังกรมุก คาดถูกขังกรงทอง’ เป็นไง เข้าท่ามั้ยล่ะ” หยางหลงพูดจบก็ยื่นหนังสือพิมพ์ให้ภรรยาดูด้วยใบหน้าทุกข์ทรมานจากการกลั้นเสียงหัวเราะ
“เข้าท่าดีค่ะ เข้าท่าเสียจนอยากซื้อสำนักพิมพ์มาขายทอดตลาดเลย” น้ำผึ้งพระจันทร์พูดคล้ายกับฉุนเฉียว ทว่าจนแล้วจนรอดก็ทนกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่ได้เหมือนกัน จึงได้แต่หัวเราะออกมาพลางส่ายหน้าไปมา
ยังไม่ทันสิ้นเสียงหัวเราะของสองสามีภรรยา เพียงน้ำพลอยก็รู้สึกคล้ายกับถูกใครสักคนสาดน้ำมันเดือดๆ ใส่หน้าอย่างจัง เนื่องจากสมองอันฉับไวผิดเวลาเกิดคิดขึ้นมาได้ว่า สื่อของฮ่องกงย่อมต้องลงข่าวเกี่ยวกับน้ำผึ้งพระจันทร์เป็นหลักอยู่แล้ว เพราะเธอกับทิพย์น้ำปรุงไม่ได้มีความสำคัญหรือเกี่ยวข้องอะไรกับคนที่นี่มากไปกว่าการเป็นเพื่อนของราชิมีมังกรมุกเท่านั้น
แต่กับสื่อของประเทศไทยนั้น...แม้แต่ลองจินตนาการเธอยังไม่กล้าเลยด้วยซ้ำ...
“พี่เพชรนะพี่เพชร หารายการอะไรมาก็ไม่รู้...”
เพียงน้ำพลอยฟังไม่ถนัดนักว่าเพื่อนพูดอะไรต่อจากนั้น คิดว่าน่าจะเป็นประโยคชวนถอดทอนใจกับความไร้สาระของข่าวพวกนั้น หรือไม่ก็คงเป็นถ้อยคำสาปแช่งใครสักคนนั่นแหละ เธอรู้ดีว่าน้ำผึ้งพระจันทร์เป็นคนไม่แยแสโลกมาแต่ไหนแต่ไร ทั้งปฏิกิริยาเมื่อครู่ก็พอจะเห็นได้ชัดแล้วว่าสองสามีภรรยาคู่นี้สนใจก็แต่ชีวิตตัวเองเท่านั้น การตัดสินจากโลกภายนอกก็เป็นแค่ตลกฉากหนึ่งที่บันทึกลงใส่กระดาษราคาถูกจัดส่งมาให้ถึงบ้านเท่านั้น กับเรื่องนี้เธอจึงไม่ห่วงเพื่อนเท่าไหร่
ในขณะที่ตัวเธอเองนั้ัน...แม้จะกล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าไม่สนใจชื่อเสียงหรือฐานะทางสังคมจอมปลอมพวกนั้น แต่กลับไม่กล้าพูดเต็มเสียงนัก ว่าเธอไม่สนใจโดยสิ้นเชิงตอนได้ยินเรื่องส่วนตัวของตัวเองจากปากคนอื่น...
เธออยู่ท่ามกลางสังคมที่หยิบยกเรื่องส่วนตัวของคนอื่นมาสนทนากันอย่างสนุกปากมาตั้งแต่จำความได้ จากที่แปลกใจก็กลายเป็นชาชิน ไม่ได้จัดเป็นสาระสำคัญอะไรของชีวิตนัก แต่เมื่อไม่นานมานี้เธอก็ได้ค้นพบว่า ‘ความชาชิน’ ที่ว่านั้นมีความหมายอยู่แค่สองทิศทางเท่านั้น ทิศแรกก็คือคำพูดอย่างห้าวหาญเมื่อได้ประสบพบพานกับเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง ส่วนอีกทิศก็คือ คำพูดไร้สาระที่สุดในโลกที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อบอกตัวเองให้อดทนผ่านเรื่องราวตรงหน้าไปได้อีกครั้ง มนุษย์จะถูกหยิบยกขึ้นมาอ้างครั้งแล้วครั้งเล่า และจะเอ่ยมันอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะหมดเรื่องให้อดทน หรือก็คือตายจากโลกนี้ไปนั่นเอง ทั้งที่ในชั่วขณะที่เอื้อนเอ่ยออกไป ก็รู้ดีอยู่เต็มอกว่า
‘ความชาชิน’ บ้าๆ นั่น... มันไม่เคยมีอยู่จริงสักหน่อย...
ไม่ต่างจากคนถูกรถชน ที่ไม่ว่าถูกชนกี่ครั้งก็ยังคงต้องเจ็บอยู่อย่างนั้น ไม่อาจบอกว่าตัวเองเคยถูกรถชนมาแล้ว ครั้งนี้ไม่เจ็บอีกต่อไป...
เธอเจ็บ...เจ็บมานานจนเกินกว่าจะหลอกตัวเองว่าไม่เป็นไรได้อีกแล้ว
ใช่...เธอเป็น...เป็นมากด้วย...
เพียงแค่ได้ยินข้อกล่าวหาเลื่อนลอยที่ใครต่อใครต่างพากันยัดมันใส่มือเธอพวกนั้น บาดแผลฉกรรจ์ที่ยังช้ำเลือดช้ำหนองของเธอก็ทำท่าจะปริฉีกออกมาอีกครั้ง... เธอได้แต่คิดว่าชั่วชีวิตนี้ มันคงไม่มีวันหายดีได้อีกแล้ว...
แต่ความคิดของมนุษย์ก็ช่างเป็นสิ่งพิสดารโดยแท้ ทั้งที่รู้ดีว่าตรงหน้าคือไฟ แต่สองมือกลับยังจะเอื้อมไปไขว่คว้าเปลวไฟร้อนระอุนั้นอยู่ได้
แม้ใจจะขลาดกลัว แต่กลับหยุดมือตัวเองไม่ได้...
เพียงน้ำพลอยกลั้นใจเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องบางของตัวเองบนโต๊ะขึ้นมาปลดล็อกหน้าจอ พยายามควบคุมไม่ให้มือของตัวเองสั่นไปมากกว่านี้เพราะกลัวว่าใครจะเห็นเข้า เธอไม่กริ่งเกรงจะยอมรับความขี้ขลาดของตัวเองอีกแล้ว แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้ใครต่อใครรู้ว่า ภายใต้ใบหน้าอันเรียบเฉยกับบุคลิกสุขุมเยือกเย็นของเธอนี้ ซุกซ่อนความอ่อนแออย่างร้ายกาจเอาไว้มากแค่ไหน ทุกวันนี้เธอก็แทบจะเป็นที่มาของคำว่า ‘มีดีแต่เงิน’ อยู่แล้ว หากแบกรับคำว่า ‘คนขี้แพ้’ อีก เกรงว่าความเข้มแข็งจอมปลอมของเธอคงไม่อาจรับไหว
ด้วยความรู้สึกสับสนปนเปในวินาทีนั้นเอง นิ้วสั่นเทาก็เลื่อนไปกดเข้าแอปพลิเคชันเฟซบุ๊ก ซึ่งเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์กเดียวที่เธอนับว่ามีตัวตนอยู่ ในเสี้ยวขณะนั้น พันมีดหมื่นกริชที่เธอพยายามหลบเลี่ยงมาตลอดจึงได้ถาโถมเข้าหาเธอในคราวเดียวกัน
‘ชาวเน็ตจวกยับ ไฮโซสาวบีบพิธีกรออกกลางรายการ เหตุถามคำถามไม่ถูกใจ’ กระทู้พาดหัวข่าวในเฟซบุ๊กตัวหนาพร้อมกับภาพเธอและพิธีกรสาวรุ่นน้องเมื่อวานนี้ ปรากฏหราขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ตั้งแต่เธอยังไม่ได้เลื่อนหน้าจอลงไปไหน และทันทีที่เลื่อนลงไปดูกระทู้อื่นๆ ที่ตามติดกันมาเบื้องล่าง ภาพคนอีกหลายคนกับข้อหามากมายที่ไม่อาจไล่อ่านหมดได้ภายในวันเดียว ก็ทำเอาสายตาเธอเริ่มพร่าเลือนขึ้นทุกที
ที่เธอยอมไปให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ก็เพราะจนใจจะปฏิเสธจริงๆ อีกทั้งฝ่ายนั้นก็ได้รับปากเป็นเหมาะแล้วว่าต้องการสัมภาษณ์เรื่องร้านของเธอกับเพื่อนเท่านั้น เธอจึงได้ฝืนใจไปที่นั่นสักครั้ง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะผิดสัญญาอย่างไม่ละอายแก่ใจสักนิด แม้แต่คำขอโทษกันอย่างเป็นทางการสักคำก็ไม่มี ซ้ำร้ายเธอที่เป็นเจ้าทุกข์อยู่ดีๆ วันนี้กลับกลายเป็นจำเลยไปเสียแล้ว...
‘ขุดประวัติ ‘เพียงน้ำพลอย โรจน์รวีเตชานนท์’ ทายาทแสนล้านแสนอาภัพ’ ดูเอาเถอะ...กระทู้นี้แม้แต่ชื่อโรงเรียนอนุบาลของเธอก็ยังไปสรรหามาจนได้ ทั้งยังมีสัมภาษณ์จากปากคนที่อ้างว่าเป็นเพื่อนเธอสมัยมัธยมอีกด้วย
‘ฟังอีกมุมหนึ่งของช่างแต่งหน้าในกองถ่าย ทำเอารู้เลยไฮโซน้ำพลอยเป็นคนยังไง’ นี่ก็อีก...ยกยอปอปั้นเธอเป็นถึงไฮโซไปโน่น แต่กลับเชื่อคำพูดของคนในกองถ่ายโดยที่ไม่ถามเธอสักคำ
รู้ดีเลยงั้นเหรอว่าเธอเป็นคนยังไง แต่เธอนี่สิไม่รู้จักเขาเลยสักนิด อยากจะรู้เหลือเกินว่าคนเขียนข่าวเป็นคนยังไง!
‘พิธีกรสาวลั่นตนไม่เคยมีปัญหาในกอง อยู่วงการมาจนป่านนี้ รู้ดีว่าใครควรยุ่งใครไม่ควรยุ่ง’ ถ้าให้เธอเดาล่ะก็ ยัยพิธีกรปากเปราะนั่นคงไม่พ้นบีบน้ำตาให้สัมภาษณ์กับสื่อ พร้อมกับก้มหน้างุดๆ บอกว่าตัวเองไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่สุดท้ายก็ไม่แคล้วค่อยๆ ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จไปเรื่อยๆ แม้พาดหัวข่าวจะอ่านผ่านๆ แล้วรู้สึกคล้ายกับว่าคนพูดกริ่งเกรงบารมีของบุคคลที่สามที่เอ่ยถึงเสียเหลือเกิน ทว่าหากพินิจให้ดีแค่อีกชั้น ก็จะเห็นว่ามันไม่ต่างจากการประกาศก้องว่าเธอใช้อิทธิพลทำร้ายคนอ่อนแอกว่าเลยสักนิด
‘เรียนรุ่ง งานพุ่ง รักร่วง เปิดประวัติศาสตร์รักเจ้าหญิงดวงข่ม’ ประวัติศาสตร์รักงั้นเหรอ... เรื่องบางเรื่อง คนบางคน เธอก็เพิ่งได้รู้เอาตอนนี้เอง แต่ในข่าวกลับเขียนเสียอย่างกับว่าเธอกับคนๆ นั้นรักกันปานจะกลืน แต่สุดท้ายก็ทนอยู่กับเธอไม่ได้จึงต้องเลิกรากันไป แม้กระทั่งพี่ชายแถวบ้านที่เจอกันตอนไปออกกำลังกายตอนเช้าประมาณอาทิตย์ละครั้งสองครั้ง ยังกลายเป็นคนที่เธอเคยคบหาดูใจด้วยไปเสียแล้ว เรื่องพวกนี้ก็นับเป็นประวัติศาสตร์ได้ด้วยงั้นเหรอ
ว่ากันว่าประวัติศาสตร์คือสิ่งที่ถูกเขียนขึ้นโดยผู้มีอำนาจ แต่ ‘เธอ’ ที่คนพวกนี้เรียกขานกันว่ามีอิทธิพลมีอำนาจนักหนา กลับได้แต่นั่งอ่านเรื่องของตัวเองจากกระทู้บ้าบอนี่อย่างสับสนงุนงง เธอชักไม่มั่นในทฤษฎีที่ว่านั่นเสียแล้ว เพราะเกณฑ์การตัดสินว่าใครมีอำนาจเหนือกว่าใครนั้น ช่างเหลวไหลเลื่อนเปื้อนเหลือเกิน... คนพวกนั้นบอกว่าเธอมีเงินทองมากมายก็เลยมีอำนาจเหนือคนอื่น แต่เธอไม่เคยแม้แต่จะคิดใช้สิ่งจอมปลอมพวกนั้นไปเอาเปรียบใคร แม้จะเป็นนักธุรกิจที่มุ่งแสวงหาผลกำไรเป็นสำคัญ แต่ก็ไม่เคยคดโกงหรือให้ร้ายใครเลยสักครั้ง คนพวกนั้นบอกว่าตัวเองหวาดกลัวอิทธิพลของเธอ เพราะข้างตัวเธอมีน้ำผึ้งพระจันทร์ที่ถือปืนอยู่ในมือ แต่เธอไม่เคยแม้แต่จะคิดใช้น้ำผึ้งพระจันทร์เป็นเครื่องมือทำร้ายคน และเธอก็เชื่อว่าเพื่อนรักของเธอไม่ใช่พวกอันธพาลที่เที่ยวไปหาเรื่องคนอื่นไปทั่วอย่างไร้เหตุผล
หากเป็นคนที่ถือปากกาอยู่ในมือนั่นต่างหาก ที่ทำได้ทุกอย่างเพียงเพื่อตัวเลขในบัญชีของตัวเอง...
เธออยากจะถามพวกเขาเหลือเกินว่า...ปืนหรือปากกากันแน่ ที่มันน่ากลัวกว่ากัน...
‘ชายชาติทหารไม่หวั่นใครบอกผู้หญิงคนนี้ดวงกินผัว ที่แท้คือคนนี้นี่เอง’ พอมาถึงกระทู้นี้ เธอกลับไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก เพราะพอจะเดาได้อยู่แล้วว่าคนพวกนี้ไม่มีทางปล่อยเรื่องของเธอกับอธิษฐ์ไปง่ายๆ แน่ เพียงแต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นเวลาเพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้น ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นยังไงบ้าง เขามีสังคมในกรมทหารของเขา ไม่รู้ว่าพอเจอหน้าเพื่อนฝูงหรือผู้บังคับบัญชาจะพลอยอึดอัดเพราะเรื่องของเธอบ้างรึเปล่า ทำให้เขาเดือดร้อนถึงขนาดนี้ เธอกลับทำได้แค่รู้สึกผิดกับขอโทษอย่างจริงใจเท่านั้น จะว่าไปแล้วเธอก็ช่างเป็นคนรักที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย
ครั้นพอเลื่อนนิ้วสัมผัสขึ้นไปอีกครั้ง พาดหัวกระทู้สองกระทู้ติดกันต่อมาก็ทำให้เธอชาวาบไปทั่วทั้งร่าง ลมหายใจที่ไม่สม่ำเสมออยู่แล้วในไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ กลับกลายเป็นไม่อาจผ่านเข้าออกได้อย่างสะดวกนัก ไหล่บางๆ สั่นเทาคล้ายกับคนกำลังเก็บกลั้นเสียงร้องไห้ของตัวเอง หากบนดวงหน้าสวยหวานนั้นกลับยังเรียบเฉย มีเพียงความซีดขาวยิ่งกว่ากระดาษเท่านั้นที่ทำให้ดูแตกต่างไปจากเดิม ไร้ซึ่งหยาดน้ำตา และไร้ซึ่งเสียงสะอื้นให้ได้ยิน
‘รักยังไม่ล่ม ชะตาขาดซะก่อน... ‘กวินทร์ ตรัยอาสนรักษ์’ เซ่นวิญญาณสังเวยดวงกินผัว’
‘รู้ยัง! ไม่ได้ข่มแค่ผู้ชาย แม้แต่แฝดร่วมท้องยังดับตั้งแต่ไม่ตัดสายรก’
เพียงน้ำพลอยรู้สึกราวกับว่าตัวเองได้ยินใครอ่านพาดหัวกระทู้ให้เธอฟังอยู่ข้างหูซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น ตัวหนังสือตรงหน้าเริ่มพร่าเลือนขึ้นเรื่อยๆ เธอจึงสะบัดศีรษะตัวเองไปมาเบาๆ ก่อนจะเพ่งมองมันอีกครั้ง ทว่านอกจากจะไม่ได้เห็นอะไรชัดขึ้นกว่าเดิมแล้ว ความรู้สึกวิงเวียนกับอาการหายใจไม่ทั่วท้องก่อนหน้ายังทำให้เธอเริ่มท้องไส้ปั่นป่วน เกิดเป็นอาการคลื่นเหียนขึ้นมาชั่วขณะ ก้อนบางอย่างพุ่งพรวดขึ้นจนถึงคอหอย เธอจึงได้แต่กล้ำกลืนดันมันลงไปตามเดิม หากไหนเลยจะง่ายปานนั้น มันยังคงสู้รบกับเธออยู่พักใหญ่ จนในที่สุด ความอดทนเฮือกสุดท้ายของเธอก็จบสิ้นลง จึงลุกพรวดขึ้นบอกกล่าวคนอื่นๆ สั้นๆ แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปห้องน้ำทันที
“ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย ขอตัวนะ”
“น้ำพลอย!! น้ำพลอย!!” น้ำผึ้งพระจันทร์ว่าพลางตั้งท่าจะลุกตามไปดูเพื่อน หากติดที่มือหนาของสามีร่างสูงคว้าข้อมือเอาไว้เสียก่อน
“ให้เขาอยู่คนเดียวสักพักเถอะ” หยางหลงบอกภรรยาสาวด้วยน้ำเสียงนุ่มอ่อนโยนเช่นเคย หากยังไม่ทันพูดจบดี ภรรยาผู้หัวไวของเขาก็รีบพุ่งเข้ามาล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงเขา ก่อนจะพรมนิ้วกดรหัสปลดล็อกอย่างคล่องแคล่วไม่ต่างจากเป็นเจ้าของเครื่องเสียเอง จากนั้นก็รีบร้อนค้นหาคำตอบของสมมติฐานในใจทันที ทว่าโชคกลับไม่เข้าข้างเท่าไหร่นัก ข้อสันนิษฐานเลวร้ายที่คำนวณไว้ก่อนหน้านั้นไม่คลาดเคลื่อนเลยแม้แต่น้อย...
คลื่นใต้น้ำที่โถมทับกันมาอย่างบ้าคลั่งภายใต้สถานการณ์อันสงบตรงหน้า ได้อยู่ในสายตาของอีกหนึ่งร่างสูงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างไม่ขาดหายไปแม้แต่เศษเสี้ยว แววตาที่สั่นระริกด้วยความขวาดกลัววูบไหวขึ้นเป็นพักๆ เพียงเสี้ยววินาทีก็ฉาบเคลือบน้ำแข็งลงบนหน้าตัวเองราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่าก็แข็งขืนไปได้ไม่ถึงนาที ดวงตากลมโตดุจไข่มุกดำคู่นั้นก็ปรากฏแววโทสะขึ้นอีกครั้ง แล้วค่อยสลับสับเปลี่ยนเป็นความร้าวรานไม่ทราบที่มาอยู่อย่างนั้น จากนั้นก็หลับตาพริ้มลงสกัดกั้นม่านน้ำใสๆ ที่ทำท่าจะเอ่อขึ้นมาเอาไว้ ครั้นพอลืมตาขึ้นกำแพงน้ำแข็งจอมปลอมบนดวงหน้าก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง กระทั่งในที่สุดเจ้าตัวก็ลุกพรวดออกไป หากให้เขาสันนิษฐานล่ะก็ เธอคงไม่อาจทนความบีบอัดของอารมณ์ที่เกิดขึ้นภายในช่วงเวลาสั้นๆ ได้อีกต่อไปแล้ว จึงปลีกตัวไปอยู่คนเดียวเสีย จะได้ไม่เสี่ยงต่อการเสียกิริยาต่อหน้าคนอื่น
ทุกความเคลื่อนไหวตรงหน้า เขาล้วนเห็นมันทั้งหมด...
เหลือเพียงแค่ให้เธอเงยหน้าขึ้นมามองเท่านั้น...
ร่างสูงเดินทอดน่องไปตามโถงทางเดินในคฤหาสน์มังกรมุกอย่างเอื่อยเฉื่อยราวกับคนไร้จุดหมายจะไป ท่าทางเยือกเย็นอย่างหนุ่มเจ้าสำราญ ไร้แก่นสารใดไปมากกว่าการโอบกอดสุราและนารีไปวันๆ อย่างที่มีอยู่ทุกวันยังคงไม่หดหายไปไหน หากแต่แววตาซุกซนปนเจ้าเล่ห์ของเจ้าตัวนั้นกลับหายวับไปหลายส่วน ปรากฏฉายแววแววร้อนรนและกังวลขึ้นมาแทนที่
ยัยแม่มดน้ำผึ้งพิษตัวเล็กนั่นไหว้วานให้เขาช่วยแบ่งสายตาและเวลาว่างอันล้นเหลือไปดูแลเพื่อนรักแทนสักหลายชั่วโมง เนื่องจากเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนหน้า หมิงเทียนลูกน้องคนสนิทของหยางหลงเข้ามารายงานว่าร้านเพชรร้านพลอยของเจ้าหล่อนโดนงัด หยางหลงผู้เป็นสามีจึงตั้งท่าจะลุกไปจัดการให้ถึงที่เกิดเหตุ ทว่าเธอกลับร่ำร้องว่าเป็นตายยังไงก็จะไปดูด้วยให้ได้ หยางหลงจนใจจะขัดภรรยาหัวรั้นที่ถูกตามใจจนเคยตัว จึงได้จูงมือออกจากบ้านไปพร้อมกันแล้ว ก่อนไปยังหันมาทำตาปริบๆ ขอร้องเขาให้ช่วยดูแลยัยแม่ชีกระโดดกำแพงแทนด้วย แม้เขาจะสังเกตเห็นสายตาของหยางหลงที่ทอดมาด้วยความเป็นห่วงว่าให้ปฏิเสธไปเสีย แต่สุดท้ายเขาก็ยังรับคำไหว้วานชวนกระอักกระอ่วนนั้นมา คาดว่าตัวเขาในตอนนั้นคงเห็นแก่ของกินที่ยัยแม่มดเอามาหลอกล่อ หรือไม่ก็ทนการรบเร้าไม่ไหวนั่นแหละ ถึงได้ยอมลากตัวเองเดินมาถึงที่นี่ ทั้งที่รู้ว่าการเข้าใกล้ยัยแม่ชีนั่นในเวลานี้จะพาความยุ่งยากมาให้ตัวเองขนาดไหน
คงไม่มีเหตุผลไหนไปมากกว่านี้...
หลังจากเดินหามาจนทั่วคฤหาสน์ สายตาคมกริบก็เหลือบไปให้ร่างบางในเสื้อคลุมคาดิแกนสีครีมนั่งอยู่ริมสระว่ายน้ำด้านหลังคฤหาสน์ เรือนผมยาวสลวยดัดเป็นเกลียวคลื่นอ่อนทิ้งตัวยาวมาจนถึงกลางหลัง กระโปรงยาวจนถึงข้อเท้าถูกรวบขึ้นวางบนตักจนดูคล้ายกับกระโปรงสั้นถึงหัวเข่า ปล่อยให้ปลีน่องขาวละเอียดดุจหยกขาวผ่อนคลายอยู่ใต้ผิวน้ำ ศีรษะน้อยๆ เอียงไปด้านขวาเล็กน้อย พร้อมกันนั้นก็ยกปลายเท้าใต้น้ำขึ้นมอง ก่อนจะวางขาข้างนั้นลงในน้ำตามเดิม สองขาใต้น้ำขยับไปมาช้าๆ ขณะที่ดวงหน้าหวานก็เอาแต่ก้มมองการเคลื่อนไหวใต้น้ำของตัวเองไปเรื่อยๆ
ฟรานซึ่งยืนอยู่ที่โถงทางเดินยกมือขึ้นเท้าสะเอวพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ให้กับความหมดอาลัยตายอยากของหญิงสาวเบื้องหน้า ชั่วชีวิตนี้ถึงเขาจะเป็นฝ่ายถูกเอาอกเอาใจเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ใช่ว่าเขาไม่เคยปลอบโยนคนอื่นมาก่อน เรื่องการปรับสภาพอารมณ์ของคนอื่นนั้นเขาถนัดนัก โดยเฉพาะกับผู้หญิงแล้ว ถือเป็นของหวานสำหรับเขาเลยทีเดียว แต่กับผู้หญิงคนนี้คาดว่าเขาต้องเค้นปัญญาออกมาใช้ให้มากหน่อย เพราะสัญชาตญาณบางอย่างในตัวมันเขาบอกว่า เอาเข้าจริงแล้ว น้ำผึ้งพระจันทร์ยังว่าง่ายกว่าเธอเสียอีก!
“นั่งวิปัสสนาอยู่เหรอคุณ” ฟรานเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงยียวนอย่างเคย ก่อนจะพับขากางเกงแล้วนั่งลงข้างๆ พลางเอาแช่ขาลงในสระว่ายน้ำเหมือนอย่างที่เธอทำ ทว่าเธอกลับไม่ตอบอะไร เพียงแต่ถอนหายใจออกมาราวกับเจอกับเรื่องเบื่อหน่ายขึ้นกะทันหันแล้วจนใจจะหลบเลี่ยง ได้แต่เบือนหน้าไปทางอื่นเท่านั้น หากแค่เห็นหางตาแดงๆ ของเธอ เขาก็พอจะรู้แล้วว่าก่อนหน้าที่เขาจะมา เธอคงใช้น้ำตาระบายอารมณ์ไปหลายยกแล้ว
“ถ้าไม่ก็เล่นเป็นเพื่อนผมหน่อยน่า ทั้งบ้านไม่มีใครอยู่เลย เห็นผมอย่างนี้ผมขี้เหงานะคุณ” ฟรานหันหน้าไปพูดพลางแสร้งทำหน้าตาจริงจัง การจะเปิดบทสนทนากับคนประเภทนี้ หากเอ่ยไปเสียตรงๆ เธอเป็นไปได้ลุกหนีไปตั้งแต่ที่เขายังพูดไม่จบประโยคแน่ ทางที่ดีก็คือโปรยคำพูดไร้สาระล่วงหน้าไปสักหลายคำหน่อย จากนั้นค่อยแทรกประโยคที่คาดว่าจะดึงความสนใจจากเธอได้ราวกับไม่ได้ตั้งใจลงไป เท่านั้นเป็นใช้ได้
“เจ้าจันทร์ไปไหน” นั่นปะไร...ฟรานได้นึกท่าตัวเองตบเข่าฉาดอยู่ในใจอย่างลิงโลด ชีวิตนี้มีสักกี่อย่างกันที่เขาดูผิดไป
“ร้านเพื่อนคุณโดนงัดน่ะ นี่ก็ออกไปดูร้านกันหมดแล้ว” ชายหนุ่มอธิบายเรียบเรื่อยคล้ายกับไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องสลักสำคัญอะไร ทว่าคนฟังกลับตาเบิกโพลงราวกับเห็นไฟบรรลัยกัลป์ปะทุอยู่ตรงหน้า
“โดนงัด!!! งัดเมื่อไหร่! สาขาไหน! ไม่มีคนเฝ้าหรือไง! แล้วได้อะไรไปบ้าง!” เพียงน้ำพลอยพ่นคำถามออกมาไม่เว้นจังหวะหายใจ
“คุณๆๆ หนึ่งเลยนะ ผมไม่ได้เอากระดาษมาจด ถามเยอะขนาดนี้ผมจำไม่ได้หรอก สอง ถึงผมจำได้ก็ตอบไม่ได้หมดหรอก ผมก็อยู่กับคุณเนี่ยไม่เห็นหรือไงล่ะ” ฟรานยกมือขึ้นหยุดหญิงสาวที่กำลังจะพ่นไฟใส่เขาเสียให้ได้เอาไว้ ขณะที่ในใจก็เริ่มยิ้มกริ่มพอใจ เธอคงไม่รู้ตัวว่า ชั่วขณะนี้เธอได้ห่วงเรื่องของคนอื่นมากกว่าเรื่องของตัวเองไปเสียแล้ว
“แล้วว่าแต่...วันนี้แฟนคุณเขาไม่มาหาเหรอ” เมื่อเห็นว่าดวงหน้าหวานข้างกายเริ่มขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจอีกครั้ง ฟรานจึงเปิดประเด็นใหม่ขึ้นมาแทนที่ ซึ่งอันที่จริงแล้วมันก็ไม่ใช่แค่เรื่องชวนคุยเสียทีเดียวหรอก แต่เป็นความสอดรู้ของเขาเสียส่วนใหญ่ต่างหาก เขาอยากจะรู้ว่าตอนนี้ไอ้รถถังนั่นมันไปอยู่ที่ไหน ถึงได้ปล่อยให้แฟนตัวเองถูกคนทั้งประเทศรุมด่าจนนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวอย่างนี้
“เขาคงยุ่ง แต่อีกหน่อยคงโทรมา” น้ำเสียงแผ่วลงจนแทบไร้น้ำหนักเอ่ยตอบ ดวงตาสุกสกาวหม่นแสงลงอีกครั้ง ก่อนจะหลุบตาลงมองปลายเท้าใต้น้ำของตัวเองต่อไป ทว่ายังไม่ทันได้ตั้งตัว เสียงทุ้มปนแหบพร่าเล็กน้อยก็ดังขึ้นที่ข้างหูของเธอ
“งั้น...ผมเป็นแฟนคุณให้วันนึงเอามั้ย” เพียงน้ำพลอยสะดุ้งโหยงอย่างสุดตัว เพราะนึกไม่ถึงว่าเขาจะเข้ามาประชิดตัวถึงขนาดนี้ หากพอตั้งสติได้แล้วหันหน้าไปมอง ปลายจมูกของเธอกลับปัดผ่านจมูกโด่งได้รูปที่แทบจะฝังอยู่กับพุ่มผมของเธอเข้าพอดี
“ประสาท!!” เพียงน้ำพลอยดึงตัวเองออกห่างตัวอันตรายข้างกายทันที ก่อนจะตวาดลั่นขึ้นอย่างลืมตัว ทั้งที่เธอรู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่ชอบผู้หญิง ทั้งที่เห็นกับตาขนาดนั้น...แต่ทำไมเธอถึงยังรู้สึกว่าดวงตาดำขลับดุจหมาป่าเจ้าเล่ห์คู่นั้น มีไอร้อนลอยออกมาจับสองข้างแก้มของเธอได้
“ประสาทอะไรล่ะ นี่คุณรู้มั้ยมีผู้หญิงตั้งเท่าไหร่มารุมแย่งผมเนี่ย” ฟรานเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะ พลางชี้นิ้วอธิบายสรรพคุณของตัวเองอย่างอารมณ์ดี ไม่ได้มีทีท่าว่าจะใส่ใจกับถ้อยคำก่อนหน้าของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
“...” เพียงน้ำพลอยได้แต่มองคนข้างๆ ปากอ้าตาค้าง เพราะคิดไม่ถึงว่าคนเราจะหลงตัวเองได้ปานนี้ สำหรับเธอแล้วไม่ว่าตัวเขาจะมีผู้หญิงมาแย่งหรือมีผู้ชายมาแย่ง เธอก็ไม่ขอร่วมวงแย่งด้วยคนหรอก
“ไม่เชื่ออีก จะบอกให้ผมนี่เป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบที่สุด มีทุกอย่างที่ผู้หญิงต้องการ ทำได้ทุกอย่าง คุณอยากได้แบบไหนว่ามาเลยดีกว่า” เมื่อเห็นสายตาเหลือเชื่อของอีกฝ่าย ฟรานจึงรีบขยายสรรพคุณให้อีกฝ่ายฟังต่ออย่างไม่รอช้า แต่ไม่คิดว่าเธอจะถามกลับมาในทันที
“แล้วคุณทำอะไรได้บ้างล่ะ” เพียงน้ำพลอยก็ชักอยากจะรู้เหมือนกันว่าคนขี้โม้ตรงหน้านี้จะทำอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอันบ้าง ส่วนหนึ่งในใจเธอเริ่มคิดย้อนไปถึงสิ่งที่เคยคุยกับทิพย์น้ำปรุงเมื่อก่อน ว่าแท้จริงแล้ว คนๆ นี้มีดีอะไรอย่างที่โฆษณาไว้บ้างกันแน่
“อืมม...” นัยน์ตาดำสนิทเหลือบขึ้นมองท้องฟ้าพลางทำท่าคิดอ่านอย่างหนัก ทว่าจนแล้วจนรอดก็ยังไม่เอ่ยอะไรออกมานอกจากเสียงงึมงำในลำคอ
“ถ้ามันคิดยากขนาดนั้นก็ไม่ต้องก็ได้” คนร่างบางถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะตอบตัดบทออกไปอย่างเหลือทน สุดท้ายก็ไม่ผิดไปจากที่เธอคิด คนบางคนมีดีก็แค่การตลาดเท่านั้น ช่างน่าทอดถอนใจจริงๆ ที่คนแบบนี้กลับเป็นที่นิยมชมชอบของผู้หญิงค่อนประเทศ ไม่สิ...ค่อนเอเชียเลยต่างหาก...
“แหมคุณผมก็ล้อเล่นน่า ผมก็ทำได้ทุกอย่างแหละ แล้วคุณน่ะ ว่าแต่ผม ตัวเองทำอะไรได้บ้าง เออ คุณเรียนจบอะไรมาเนี่ย” ฟรานฉีกยิ้มกว้างอย่างขี้เล่น แล้วใช้ข้อศอกสะกิดแขนชวนเธอคุยอย่างสนิทสนม
“อย่ามาเสียเวลาผูกมิตรให้ยากเลย ฉันไม่มีอารมณ์” เพียงน้ำพลอยสวนกลับอย่างฉุนเฉียว
“ผมก็ไม่ได้ชวนคุณทำอย่างอื่นซักหน่อย แค่ชวนคุยเท่านั้นเอง” ฟรานยังคงตอบอย่างอารมณ์ดีเช่นเคย โดยไม่ได้คำนึงถึงว่าสิ่งที่เพิ่งพูดออกไปจะทำให้คนฟังหน้าร้อนวูบวาบสักแค่ไหน
“คุณ!! ... หึ่ยยยย!” นิ้วเรียวสวยยกขึ้นชี้หน้าหนาๆ ของคนข้างกายอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะพยายามกลืนความโกรธเกรี้ยวลงคอไป ไม่กี่วันมานี้เธอพยายามขบคิดว่า ทำไมเขาถึงเอาแต่มาคอยหาเรื่องเธอนักหนา แต่ในขณะเดียวกันนั้นก็ได้ค้นพบว่า สิ่งที่ต้องคิดมากกว่าก็คือ ทำไมเธอต้องโกรธแทบเต้นทุกทีที่ถูกเขายั่วโมโห ทั้งที่เธอนั้นขึ้นชื่อเรื่องความสุขุมใจเย็นมาแต่ไหนแต่ไร ฉะนั้นเธอจึงได้ข้อสรุปกับตัวเองว่า แทนที่จะไปบอกให้คนหน้าไม่อายพรรค์นี้หยุดระรานเธอ สู้เธอบอกให้ตัวเองนิ่งเข้าไว้ยังจะง่ายเสียกว่า
เมื่อคิดได้ดังนั้น มือบางจึงหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมาเลื่อนปลดล็อก เพื่อหวังจะละความสนใจจากคนข้างกายไปเสีย แม้ปกติเธอเห็นว่าการสนใจอย่างอื่นมากกว่าคู่สนทนาออกจะเป็นเรื่องไร้มารยาทอยู่บ้าง แต่ในตอนนี้เธอกลับเห็นว่า ต่อให้ไร้มารยาทกว่านี้สักหน่อยก็คงไม่เป็นไร เพราะดูแล้วคู่สนทนาของเธอ ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยิบมารยาทมาใช้แต่อย่างใด หากแต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้สัมผัสเลือกแอปพลิเคชันบนหน้าจอ โทรศัพท์มือถือเครื่องบางของเธอก็ลอยละล่องไปอยู่ในมือของคนไร้มารยาทคนนั้นไปเสียแล้ว
“เห้ยย!!! มันมือถือฉันคุณจะเอาไปไหน!! เอาคืนมา!!!” เพียงน้ำพลอยร้องลั่นพลางโน้มตัวไปไขว่คว้าโทรศัพท์ของตัวเองจนสุดมือ ทว่าจนใจที่ช่วงแขนกับลำตัวของเขายาวกว่าเธอมาก เพียงแค่เขายกมันขึ้นกลางอากาศเธอก็หมดทางจะยื้อแย่งมันมาได้แล้ว และในช่วงวินาทีที่โน้มไปจนสุดตัวนั้นเอง ใบหน้าหล่อเหลาได้รูปก็หันขวับกลับมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ริมฝีปากบางอยู่ห่างจากหน้าผากเธอไม่ถึงครึ่งเซน ลมหายใจร้อนระอุค่อยๆ รดรินหน้าผากเธอประหนึ่งจุมพิตแสนแผ่วเบา
“อยู่กับผม มองหน้าผม” สีหน้าขี้เล่นเมื่อครู่ได้หายวับไปในชั่วขณะ กลายเป็นสีหน้าชวนหนาวเยือกอย่างประหลาด น้ำเสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นเบาๆ จนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ ทว่าคนที่อยู่ใกล้จนเกือบละลายไปด้วยไอร้อนที่แผ่ออกมาย่อมจะต้องได้ยินอย่างชัดเจน ดวงตากลมโตวาววับช้อนขึ้นสบสายตาเจ้าของเสียงทุ้มเจือแววโทสะจางๆ อย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะพบว่านั่นเป็นความคิดที่ผิดอย่างมหันต์ เพราะลมหายใจร้อนระอุที่แสนร้ายกาจนั้น ยังเทียบไม่ได้กับไอร้อนที่พวยพุ่งออกมาเป็นสายจากนัยน์ตาเจ้าเล่ห์นั่นเลยด้วยซ้ำ
สองข้างแก้มเนียนใสถูกความร้อนพุ่งเข้าปะทะจนแดงปลั่งดุจซับสีชาด นัยน์ตาสีเข้มเริ่มเบนสายตาไปมองทางอื่นราวกับเด็กถูกจับได้ว่าทำความผิด เธอรู้สึกว่าตัวเองชักจะอยู่ใกล้เขาเกินพอดีแล้ว จึงคิดจะขยับตัวออกมา ในตอนนั้นเองถึงได้รู้ว่าข้อมือข้างหนึ่งของเธอได้ถูกเขายึดครองไว้มาสักพักใหญ่แล้ว และเพื่อจะให้เขาคืนของเธอมาดีๆ เธอจึงนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ว่าก่อนหน้านี้เขาต้องการให้เธอตอบอะไร ก่อนจะตอบออกไปเสียงลั่นพร้อมกับกระชากแขนตัวเองกลับมาอย่างสุดแรง
“บริหารธุรกิจ!”
“หึๆๆ บริหารธุรกิจ คุณเนี่ยนะจบบริหารธุรกิจ ไม่ว่าง่ายขนาดนั้นมั้ง” หมาป่าหนุ่มมองเหยื่อในมือที่เพิ่งหลุดลอยไปอย่างไม่คิดเสียดายนัก ก่อนจะยกมุมปากยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ จากนั้นก็เอ่ยพลางเอนตัวไปด้านหลัง ราวกับต้องการพิจารณาคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าให้ถี่ถ้วน
“...” เพียงน้ำพลอยเผลอขบริมฝีปากล่างของตัวเองเบาๆ พร้อมกับหันหน้าหนีไปทางอื่นราวกับต้องการชมนกชมไม้ขึ้นมาชั่วขณะ
ที่แท้...เขาก็เป็นคนสอดรู้ถึงขนาดนี้...
“บอกมาเถอะน่า ผมไม่บอกใครหรอก” ฟรานเขยิบเข้าไปใกล้คนปากแข็ง แล้วแสร้งเอ่ยถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ
อันที่จริงเขาพอจะรู้อยู่แล้วว่าพวกลูกคุณหนูที่พ่อแม่ทำธุรกิจ ไม่มีทางหวังให้ลูกร่ำเรียนอย่างอื่นนอกจากพวกวิชาบริหารหรืออะไรเทือกนั้น แต่ที่เขาพูดออกไปแบบนั้น ก็เพราะคิดว่าคนอ่อนนอกแต่แข็งในอย่างเธอไม่มีทางหัวอ่อนถึงขนาดนั้น จะว่าไปแล้วคนประเภทนี้กลับน่ากลัวเสียยิ่งกว่าพวกแข็งนอกอ่อนในเสียอีก ไอ้เรียนน่ะเขาเชื่อว่าเธอเรียนอย่างที่พ่อแม่คาดหวังไว้แน่นอน แต่ไปแอบเรียนอย่างอื่นมาบ้างรึเปล่า เรื่องนี้กลับน่าสงสัยอยู่ไม่น้อย แต่ถึงยังไงเรื่องนี้ก็เป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานของเขาเท่านั้น หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือ เขาแค่เดาส่งเดชไปอย่างนั้นเอง ทว่าเธอกลับนิ่งเงียบไม่ยอมพูดมันออกมา สิ่งที่เขาสงสัยจึงเป็นอันได้คำตอบเรียบร้อยแล้ว
“...” เพียงน้ำพลอยยังคงนิ่งเงียบไม่สนใจคำรบเร้าของคนข้างกาย ขณะที่ในใจก็พยายามคิดอย่างหนักว่าเขาไปรู้เรื่องนี้มาจากไหนกัน บนโลกใบนี้นอกจากอาจารย์ที่เป็นคนสอนกับเพื่อนที่ร่วมเรียนด้วยกันที่อิตาลี ก็มีแค่น้ำผึ้งพระจันทร์กับทิพย์น้ำปรุงเท่านั้นที่รู้ตื้นลึกหนาบาง ซึ่งสองคนนั้นไม่มีทางขายเธอแน่
“นะๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” ฟรานรบเร้าต่ออย่างไม่ยอมแพ้ เพราะเริ่มจะอยากรู้มากขึ้นทุกที หากไม่ได้คำตอบในวันนี้ เกรงว่าเขาคงจะนอนไม่หลับไปอีกหลายวันทีเดียว
“ฉันจะเชื่อคนที่ขโมยของฉันไป แล้วมานั่งคุยกับฉันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ยังไง” เพียงน้ำพลอยหันไปถามกลับอย่างเอาเรื่อง
“แสดงว่าจริง...บอกไม่บอก ไม่บอกโยนนะ” ฟรานว่าพลางยิ้มกริ่มอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า ก่อนจะยื่นข้อต่อรองขั้นสุดท้ายอย่างได้ใจ พร้อมกับถือโทรศัพท์มือถือเครื่องบางยื่นออกไปจนสุดแขน เหลือเพียงแค่ปล่อยให้มันร่วงตกน้ำไปเท่านั้น
“นี่คุณ!!! ว่างมากรึไงห้ะ!! วันๆ ถึงได้หาแต่เรื่องมากวนประสาทฉันเนี่ย!!!” ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างเดือดดาล ก่อนจะเอื้อมมือไปยื้อแย่งของของตัวเองกลับมาอีกครั้ง ทว่าก็จนใจที่นอกจากความยาวช่วงแขนจะต่างกันแล้ว ความเร็วของเธอก็ยังถือว่าห่างชั้นกับเขาอยู่มากด้วย
“คุณก็เห็นอยู่แล้วนี่ว่าผมว้างงงว่างงง โยนของเล่นยังได้เลย” คนกวนโทสะว่าพลางโยนวัตถุในมือเล่น ราวกับไม่รู้มาก่อนว่าเบื้องล่างนั้นคือสระว่ายน้ำที่ลึกเกือบจมศีรษะคน
“มัณฑนศิลป์!!! พอใจรึยัง!!!” เมื่อเห็นโทรศัพท์ตัวเองลอยเคว้งกลางอากาศ เธอก็รู้สึกเหมือนกับว่าอวัยวะภายในช่วงท้องหายวับไปหมดยังไงยังงั้น มือบางจึงตั้งใจจะเอื้อมไปคว้ามันกลับมาอีกครั้ง ทว่าก็คว้าได้เพียงแค่สายลมจางๆ เท่านั้น น้ำเสียงที่เคยหวานใสจึงได้แต่ร้องตะคอกตอบกลับไปอย่างเหลืออด
“ก็แค่เนี่ย” ฟรานเก็บวัตถุตัวประกันกลับมาไว้กับตัวอีกครั้ง ก่อนจะกระตุกยิ้มขึ้นอีกครั้งอย่างพอใจ หากก็ไม่นึกว่าเธอจะยังไม่ละความพยายาม คิดจะมาแย่งของตัวเองคืนจากเขาอยู่อีก เขาจึงได้แต่เอามันออกห่างจากมือเธอให้มากที่สุด แล้วใช้มืออีกข้างตีที่มือบางนั้นเบาๆ หากด้วยความแรงเท่านั้น เจ้าตัวก็ยังสะบัดมือเร่าๆ ด้วยความเจ็บอยู่ดี
“อย่าซน!!” ฟรานเอ่ยเสียงเข้ม พลางแสร้งทำหน้าขึงขังราวกับคุณพ่อกำลังดุลูกสาวตัวน้อย
ดวงหน้าสวยหวานฉายแววอารมณ์ขุ่นมัวของเจ้าตัวอย่างแจ่มชัด คิ้วเรียวสวยได้รูปแทบจะผูกขมวดเป็นโบเสียให้ได้ นัยน์ตาดุจไข่มุกดำวาววับคู่นั้นสะท้อนดวงไฟลูกเล็กๆ ที่ปะทุอยู่ในใจ ทำเอาท้ายทอยเขาชักจะร้อนวูบวาบขึ้นมาด้วยยังไงชอบกล ที่ขาดอยู่ตอนนี้ก็แค่เธอพุ่งเข้ามาบีบคอเข้าตอนลุแก่โทสะเท่านั้น เธอคงคิดว่าเขาว่างมากจริงๆ อย่างที่เขาว่า เลยหาเรื่องมากวนประสาทเธอด้วยการเอาของไปซ่อนเหมือนเด็กประถมสองเล่นกันไม่มีผิด หากความจริงแล้ว แม้เขาจะนึกสนุกอยู่บ้างจริงๆ แต่เขาก็ไม่ได้ว่างถึงขนาดนั้น ที่ทำไปทั้งหมดก็เพียงเพื่อหวังให้เธอออกห่างจะเสียงนกเสียงกาชวนปวดหัวพวกนั้นได้สักช่วงเวลาหนึ่ง
อย่างน้อยก็ขอให้เป็นช่วงเวลาที่อยู่กับเขา...ขอให้เธอสนใจแค่เขา...
เขาที่อยู่ตรงหน้าเธอเท่านั้น...
“เออนี่คุณ พอดีเลย คืองี้ ผมอ่ะไปชอบผู้หญิงอยู่คนนึงคุณ แม่เขาเนี่ยเป็นชอบพวกเครื่องเคลือบเซรามิกอะไรเงี้ย คุณช่วยผมปั้นแจกันสักใบสิ” ฟรานเปิดประเด็นใหม่ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยท่าทางราวกับต้องการคำปรึกษาจริงจัง
“คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันเรียนเอกเครื่องเคลือบเซรามิก” เพียงน้ำพลอยเอ่ยถามอย่างหวาดแวง มัณฑนศิลป์มีออกหลายสาขาไป เขารู้ได้ยังไงว่าเธอเรียนเอกเครื่องเคลือบเซรามิก เธอค่อนข้างแน่ใจว่าภาพลักษณ์ของตัวเองไม่ได้ใกล้เคียงกับคนทำงานศิลปะแขนงนี้ถึงขั้นที่เขาจะดูออกได้ง่ายๆ แน่ แต่เขากลับพูดมันออกมาเสียอย่างกับรู้มาเนิ่นนานแล้วอย่างนั้นแหละ หรือว่า...น้ำผึ้งพระจันทร์จะบอกเขาแล้วจริงๆ...
“ก็นั่นน่ะสิ อย่างเขาคุณเนี่ยนะเรียนปั้นเครื่องเคลือบ ไม่น่าเชื่อ...” ฟรานว่าพลางเอนตัวไปข้างหลังเพื่อเพ่งพิศดูหญิงสาวตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง ก่อนจะแสร้งส่ายหน้าอย่างระอา ทำเอาคนถูกพิจารณาอย่างถี่ถ้วนถึงกับเลือดขึ้นหน้า โกรธจัดเสียจนหลับหูหลับตาโต้กลับอย่างขาดสิ้นการควบคุม
“ทำไม!! อย่างฉันมันทำไม!!”
“แสดงว่าใช่” สิ้นเสียงตอบโต้ของหญิงสาวฟรานก็ยิ่งฉีกยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม กล่าวโดยสัตย์จริงแล้ว เขาก็ใช่ว่าจะไปรู้อะไรมาจากไหน เพียงแค่ตอนที่เธอยอมรับว่าตัวเองเรียนมัณฑนศิลป์ เขาได้ลอบสังเกตเธอไปเงียบๆ เห็นว่าสร้อยคอเส้นยาวที่เธอสวมอยู่ ตัวจี้เป็นรูปกระต่ายขาวตัวหนึ่งกำลังสวมมงกุฎ ส่วนสร้อยข้อมือ จี้ที่ห้อยลงมาสามสี่ตัวก็เป็นรูปกระต่ายสีขาวตัวน้อยอีกเช่นกัน แม้แต่จี้ที่ยางรัดผมก็เป็นรูปกระต่ายกำลังกอดเกี่ยวปอยผมที่ถูกรวบขึ้นไปตรงกลางศีรษะ เครื่องประดับทั้งสามชิ้นคาดว่าคงถูกทำมาให้เข้าชุดกัน ซึ่งทุกชิ้นที่ว่านั้นทำจากดินเผาเคลือบสีอย่างประณีตทั้งสิ้น แม้ว่ามันจะเหลือเชื่ออยู่สักหน่อยที่หญิงสาวรูปร่างเปราะบางประหนึ่งคริสตัลใส จะชื่นชอบศิลปะแขนงนี้ หากก็ไม่มีหลักฐานไหนที่บ่งชี้ไปในทิศทางอื่นอีกแล้ว เขาจึงสรุปเอาเองว่าสาขาที่เธอเรียนคือเครื่องเคลือบเซรามิก
แม้ว่าคนคาดเดาจะสนุกสนานแค่ไหนก็ตาม อีกฝ่ายกลับไม่ได้สนุกด้วยสักนิด เธอสุดจะทนกับการถูกหลอกปั่นหัวให้ยอมรับความจริงออกมาเองกับปากถึงสองครั้งสองคราราวกับคนโง่งมแล้ว แต่ครั้นสิ้นเสียงสบถแล้วคิดจะลุกขึ้นจากไป มือหนาทรงพลังคู่นั้นกลับเอื้อมขึ้นมากระชากข้อมือเธออย่างแรง จนบั้นท้ายเธอกระแทกกับพื้นแข็งๆ ริมสระว่ายน้ำเสียงดังปั๊ก!
“โอ๊ยยย!!!”
“โทษทีคุณ โทษที เจ็บมั้ยเนี่ย ไหนดูสิ” ฟรานรีบเอ่ยขอโทษหญิงสาวตรงหน้า ก่อนทำท่าจะจับตัวเธอพลิกไปอีกด้าน ให้เขาได้ตรวจดูบั้นท้ายเธอให้ถนัดตา
“ทะลึ่ง!!!” เพียงน้ำพลอยตวาดลั่นจนสุดเสียง ตาทั้งสองข้างเบิกโพลงจนแทบถลนออกมาจากเบ้า เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะเอื้อมมือมาจับบันท้ายตัวเองเข้าจริงๆ มือไม้รีบปัดป้องมือเขาออกไปเป็นพัลวัน
“ก็จะดูให้ เจ็บจะได้นวดให้ไง” ฟรานทำท่าจะไม่ละความพยายาม จ้องจะจับคนตรงหน้าพลิกตัวอีกครั้ง
“ไม่ต้องมายุ่ง!!!!” เธอว่าพลางผลักคนร่างสูงจอมบ้ากามออกไปจนพ้นตัว
“อ่ะๆๆๆ ไม่ยุ่งก็ไม่ยุ่ง สรุปว่าไง คุณช่วยผมทำนะ” ร่างสูงยกมือขึ้นยอมแพ้พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างจากผู้ใหญ่ยอมอ่อนข้อให้เด็กตัวเล็ก แล้วสรุปเข้าประเด็นที่พูดค้างไว้ก่อนหน้าทันที
“ร้านขายเครื่องเคลือบมีออกเยอะแยะคุณก็ไปเลือกเอาสักร้านสิ จะต้องให้ฉันไปนั่งปั้นนั่งเผาทำไม” เพียงน้ำพลอยเอ่ยขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
“คุณน่ะไม่รู้อะไร แม่เขาเนี่ยนะเป็นพวกชอบสะสมเครื่องเคลือบ แบบไหนสีไหนเขาก็มีหมดแล้วอ่ะ เกิดผมซื้อของดาษดื่นไปให้เขาผมก็เสียคะแนนแย่สิ น่านะ ช่วยผมหน่อยนะ เอางี้ถ้าคุณช่วยผมทำนะ ผมคืนโทรศัพท์ให้คุณ” ฟรานว่าพลางยกโทรศัพท์มือถือเครื่องบางขึ้นต่อรอง
“นี่คุณ มันไม่ใช่ของที่จะทำวันสองวันเสร็จนะ” ถ้าเขาจะให้เธอทำแจกันให้ใบหนึ่งจนเสร็จแลกกับการคืนโทรศัพท์จริงๆ อย่างนั้นเธอไม่ต้องไม่มีโทรศัพท์ใช้เป็นอาทิตย์เลยหรือไง
“ก็ไม่ได้ให้ทำวันสองวัน คุณอยากทำกี่วันก็เรื่องของคุณสิ ตามแต่ใจเลย ส่วนโทรศัพท์คุณเนี่ย ถ้าคุณไปวันนี้ผมคืนวันนี้เลย” ฟรานพูดด้วยน้ำเสียงราวกับผู้ใหญ่ใจป้ำ
“แล้วฉันจะเชื่อคุณได้ไง” ดวงหน้าหวานเชิดคางขึ้นถามอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ
“ถ้าพ้นวันผมยังไม่คืนคุณ ไปฟ้องเพื่อนคุณได้เลย” ฟรานรับคำอย่างง่ายดาย
“ดี! งั้นฉันจะไปโทรฟ้องเจ้าจันทร์เดี๋ยวนี้เลย” เพียงน้ำพลอยไม่เห็นความจำเป็นที่เธอต้องรอถึงเวลานั้นจริงๆ สักนิด เพียงแค่เธอเข้าบ้านไปโทรหาน้ำผึ้งพระจันทร์เสียเดี๋ยวนี้ก็เป็นอันจบเรื่องแล้ว ทว่ายังไม่ทันที่เธอจะได้ลุกขึ้น ท่วงท่าเดิมของคนเจ้าเล่ห์ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“คุณไปฟ้องเดี๋ยวนี้ ผมก็โยนทิ้งน้ำเดี๋ยวนี้เลยไง จ๋อมมม...” ฟรานยื่นโทรศัพท์ออกไปจนสุดแขนอีกครั้ง ก่อนจะลงท้ายประโยคด้วยการแสร้งหลับตาพริ้มทำเสียงวัตถุตกน้ำอย่างยียวน
“อะ..ไอ้...” เพียงน้ำพลอยไม่รู้จะหาคำไหนมาบรรยายคนยั่วโทสะตรงหน้านี้ดี ได้แต่หายใจเข้าลึกๆ ข่มกลั้นอารมณ์เดือดดาลที่ปะทุถึงขีดสุดลงไปให้ลึกสุดใจ ยั้งมือตัวเองเอาไว้ไม่ให้พุ่งเข้าไปฉีกเนื้อเขาออกเป็นชิ้นๆ ความจริงก็ใช่ว่าเธอจะอาลัยอาวรณ์โทรศัพท์เครื่องนั้นนักหนา เพียงแต่ในนั้นมีข้อมูลสำคัญเรื่องงานเธออยู่ไม่น้อย ไหนจะข้อมูลติดต่อลูกค้าอีก เธอไม่อยากเสียเวลาไปรวบรวมมันมาใหม่ ถึงได้ยอมให้เขาปั่นหัวอยู่อย่างนี้ แต่ถึงอย่างนั้นความอดทนของเธอก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน โดยเฉพาะเวลาอยู่กับคนอย่างเขา ขีดจำกัดที่ว่านั้นจะยิ่งต่ำกว่าปกติ
“อืมม...ถ้าคุณไม่รังเกียจล่ะก็ วันหลังผมจะสอนคำด่าให้ เอาไว้ให้คุณด่าผมโดยเฉพาะเลย รับรอง พอถึงสถานการณ์จริงแล้ว พูดได้อย่างเจ้าของภาษาแน่นอน” ฟรานหลับตาพริ้มรับคำสบถภาษาจีนกวางตุ้งที่หลุดออกมาแค่ครึ่งคำราวกับมันเป็นถ้อยวจีแสนหวาน ก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปบอกกล่าวคนร่างบางใกล้ๆ ด้วยน้ำเสียงเหมือนว่าหวังดีเสียเต็มประตา
“หึ่ยยย!!!” เมื่อฟางเส้นสุดท้ายขาดสะบั้นลง เพียงน้ำพลอยจึงตั้งท่าจะลุกพรวดออกไปอีกครั้ง ทว่าเหตุการณ์เก่ากลับวนมาซ้ำรอยอีกครั้งจนได้ เมื่อมือหนานั้นยังคงว่องไวอยู่เช่นเคย เอื้อมขึ้นมากระชากเธอนั่งลงอย่างแรงจนบั้นท้ายเธอกระแทกพื้นอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้รุนแรงกว่าครั้งก่อนถึงสามเท่าเลยทีเดียว
“โอ๊ยยยยยยย!!!” เสียงร้องลั่นอย่างเจ็บปวดบวกกับสีหน้าเหยเกของเธอ ทำเอาฟรานอดสงสารขึ้นจับใจไม่ได้ ทว่าในความสงสารนั้นกลับมีความขบขันมากกว่าอยู่หลายส่วน จึงได้แต่พยายามกลั้นเสียงหัวเราะลั่นของตัวเองเอาไว้ ให้ดังลั่นอยู่แค่ในใจเป็นพอ
“เอ้าาา!!! กระดูกก้นกบร้าวแล้วมั้งเนี่ย! ไหนดูสิ!” ฟรานว่าพลางเข้าไปจับร่างบางตรงหน้าพลิกตัวอีกครั้ง ทำเอาคนเดือดดาลอยู่ก่อนหน้าแทบพ่นไฟเผาทั้งเขาเป็นในบัดดล
“ไม่ต้องมายุ่งงง!!” มือบางออกแรงผลักเขาไปไกลๆ อย่างสุดแรง ในใจเฝ้าคิดว่าไม่รู้ว่าเธอต้องออกแรงผลักเขาอีกกี่ครั้ง เขาถึงจะไปให้พ้นๆ สักที
“เอาอีกละ เกรงใจกันอีกละ ผมบอกแล้วว่าไม่ต้องเกรงใจ มาผมดูให้” ฟรานบอกปัดความเกรงใจที่ทึกทักเอาเองพร้อมกับแสร้งตีสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย จากนั้นก็พุ่งเข้าไปจับตัวเธอพลิกไปอีกทางอย่างไม่ยอมแพ้
“จะมาดูอะไรล่ะ ไม่ต้องง!!” เพียงน้ำพลอยรวบรวมแรงทั้งหมดผลักเขาออกไปอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็เริ่มเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นมาว่า บางทีเธออาจจะต้องเอาคนบางคนลงไปในน้ำนั่นเสียเลย ความคิดลามกพวกนั้นจะได้ถูกชะล้างออกไปเสียบ้าง
“เอาอย่างนี้ๆ ผมมีข้อเสนอสุดพิเศษมาให้คุณ ผมรู้ถ้าผมคืนมือถือให้คุณอย่างเดียวคุณคงรู้สึกว่าคุณได้ไม่คุ้มเสียใช่มั้ยล่ะ” คนเจ้าเล่ห์วกกลับสู่ประเด็นเดิมอย่างรวดเร็วจนเธอเริ่มตามไม่ทัน แต่ขนาดว่าฟังผ่านๆ เธอยังไม่เห็นว่าสิ่งที่เขาพูดมันจะเข้าท่าที่ตรงไหน ได้ไม่คุ้มเสียงั้นเหรอ... เธอได้อะไรบ้างจะดีกว่า เขาเป็นคนเอาของเธอไป ก็สมควรจะต้องเอามาคืนอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง เรื่องพรรค์นี้นับเป็นผลประโยชน์ด้วยงั้นเหรอ
“ผมรับปากจะให้ของขวัญคุณอย่างนึง ของขวัญอันนี้เนี่ยนะมีค่าประมาณไม่ได้เลยล่ะคุณ อ่า! ใช่! คุณจะเอาไปใช้กับงานปั้นของคุณด้วยก็ได้นะ” ฟรานเอ่ยราวกับว่าตัวเองใจกว้างสุดจะเปรียบปาน ก่อนจะลงท้ายด้วยคำพูดจูงใจเหมือนในโฆษณาขายสินค้าทางโทรทัศน์ไม่มีผิด
“อะไร” เพียงน้ำพลอยถามต่อเสียงห้วน หากคนตอบกลับไม่ยอมตอบดีๆ แต่โน้มตัวเข้ามาใกล้ภายในชั่วเสี้ยววินาที ราวกับจะพุ่งเข้ามาขย้ำเธอยังไงยังงั้น จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเบาๆ
“ก็ตัวผมไง”
“อะไรทำให้คุณหลงตัวเองได้ขนาดนี้ห้ะ” คราวนี้เธอไม่ได้ถอยกรูดหนีอย่างครั้งก่อน หากแต่นั่งนิ่งปากอ้าตาค้างอยู่พักใหญ่ แล้วจะเอ่ยออกไปอย่างเหลือเชื่อ
“ไม่รู้จักของดีแล้วทำเป็นพูดไปนะคุณ ผมรู้ว่าพวกผู้หญิงชอบของลดแลกแจกแถมใช่มั้ยล่ะ นี่ผมทุ่มสุดตัวให้คุณได้กำไรเลยนะ คุณจะจับผมแกะโน่นถอดนี่ หรือจะ...ให้ถอดหมดผมก็ไม่เกี่ยงนะ” ฟรานดึงตัวเองออกมาบรรยายคุณสมบัติตัวเองต่ออย่างไม่ลดละ ขณะเดียวกันก็ทำท่าจะแกะโน่นถอดนี่อย่างปากว่าจริงๆ สุดท้ายก็ลงท้ายประโยคด้วยการโถมตัวเข้าไปหาคนร่างบางตรงหน้าอีกครั้ง
“หึ! ลดแลกแจกแถม...ฉันว่าเลหลังล้างสต็อกมากกว่า” หญิงสาวแค่นเสียงหัวเราะออกมา ก่อนจะว่าพลางเหลือบตามองทิวทัศน์เบื้องบนอย่างเอือมระอา
“สรุปว่าไม่เอา?” คนขายชำนาญการตลาดถามย้ำอีกครั้ง พร้อมกับหรี่ตามองอย่างไม่อยากเชื่อนัก
“ไม่เอา!” ลูกค้าผู้เด็ดเดี่ยวตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ไม่เอา อ้าวงั้นโยนนน...” สิ้นเสียงปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยของลูกค้า ท่วงท่าเดิมของคนถือไพ่เหนือกว่าจึงวนกลับมาอีกครั้ง โดยแสร้งเข้าใจผิดไปเสียว่าที่เธอบอกว่าไม่เอานั้น ที่แท้เป็นโทรศัพท์ที่เขายื่นออกไปจนสุดแขนอยู่ตอนนี้
“ฉันหมายถึงตัวคุณน่ะฉันไม่เอา!!” เพียงน้ำพลอยรีบตะโกนอธิบายให้คนเจ้าเล่ห์ฟังอย่างสุดเสียงทันที
“นี่คุณพูดเองนะ จะมาหาว่าผมอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้นะ” ฟรานเก็บโทรศัพท์กลับมาอีกครั้ง แล้วแสร้งหันกลับมาเจรจากับหญิงสาวเลือดร้อนตรงหน้าอย่างใจเย็น
“ชิ...” นอกจากเสียงสบถที่เล็ดลอดไรฟันออกมากับเสียงกัดฟันกรอด ฟรานก็ไม่คิดว่าตัวเองได้ยินเสียงปฏิเสธหรือคำด่าทอใดๆ อีก จึงรีบรวบรัดสรุปข้อตกลงทันที ใบหน้าหล่อเหลาดุจหยกสลักคลี่ยิ้มกว้างออกอย่างพึงพอใจ ยิ่งเห็นดวงหน้าน้อยๆ นั้นเดือดพล่านประหนึ่งว่าจะพุ่งเข้ามาฉีกกะโหลกเขาเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนกับว่าอากาศที่ผ่านเข้าออกร่างกายปลอดโปร่งขึ้นเท่านั้น ช่างชวนให้สุขภาพจิตดีโดยแท้...
“งั้นก็เป็นอันตกลงตามนี้ คุณจะช่วยทำแจกันให้ผมใบนึง โดยผมจะคืนโทรศัพท์ให้คุณเป็นข้อแลกเปลี่ยน ส่วนผลประโยชน์อีกข้อที่คุณเพิ่งปฏิเสธไป ผมจะทำใจกว้างให้คุณเรียกร้องมันกลับมาได้เสมอ เพื่อชดเชยที่ผม...ไม่ได้นวดก้นให้คุณ” ฟรานเอ่ยประโยคสุดท้ายด้วยสีหน้ารู้สึกผิดอย่างสุดแสน หากทว่าพอสิ้นคำมุมปากกลับกระตุกขึ้นอย่างร้ายกาจ ทำเอาเลือดแทบทุกหยาดหยดของคนตกเป็นเบี้ยล่างเดือดพล่านขึ้นมาในทันที
มันเวรกรรมของเธอนักหนากัน... ไม่ถูกคนอื่นรังแกลับหลัง ก็ถูกคนหน้าไม่อายรังแกต่อหน้า...
หรือเธอต้องบวชล้างซวยเป็นชีจริงๆ ถึงจะได้มีชีวิตสงบสุขอย่างคนอื่นเขาบ้าง...
อีเฮียฟรานนะเฮียฟราน ถ้าไม่ติดว่าหล่อนะ ไรท์เป็นน้ำพลอยนะจะกดหัวลงน้ำให้ตายตรงนั้นเลย 55555
ตอนหน้าจะเป็นยังไงต่อไป อย่าลืมมาติดตามกันต่อน้าา
#เรื่องนี้เม้นท์น้อยจังเลยย TT
#ยังไงก็ช่วยเม้นท์ + จิ้มโหวตเป็นกำลังใจให้กันด้วยน้าาาา
ท่ามกลางกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วบริเวณกับเสียงน้ำมันเดือดในกระทะ เสียงทุ้มทรงเสน่ห์เจือแววขี้เล่นของผู้เป็นราชามังกรมุกก็ดังแทรกขึ้น ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินตามหลังเสียงเข้าไปโอบกอดภรรยาร่างเล็กหน้าเตาจากด้านหลัง พลางวางศีรษะซบลงบนไหล่เล็กๆ นั้น ราวกับเหนื่อยอ่อนจนแทบยืนไม่อยู่
“หิวแล้ว...” มาเฟียหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงอู้อี้ออกมาจากลำคอไม่ต่างจากคนเพิ่งตื่นที่ยังสลัดอาการง่วงงุนออกไม่หมด
“อย่ามากวนตรงนี้ได้มั้ย ไปเล่นไกลๆ เลย” น้ำผึ้งพระจันทร์ว่าด้วยเสียงรำคาญใจ ทว่าก็ยังปล่อยให้สามีร่างสูงกอดอยู่ทั้งอย่างนั้น
“ก่อนจะหวานกันช่วยหาผ้าเช็ดตัวให้ผมสักผืนก่อนได้มั้ยครับ ไม่อย่างนั้นได้ตามเช็ดตามถูกันทั้งบ้านแน่เลย” ชายหนุ่มร่างสูงผู้เดินเขย่งเท้าตามหลังมาเอ่ยขอความช่วยเหลือขึ้นอย่างเสียไม่ได้ เสื้อเชิ้ตสีขาวบางแนบชิดติดกับลำตัวจนดูคล้ายกับเป็นผิวหนังอีกชั้นหนึ่ง ชายเสื้อถ่วงไว้ด้วยหยดน้ำที่ยังร่วงลงบนพื้นไม่ขาดสาย แม้หากพิจารณาจากรอยยับบนช่วงกลางลำตัวไปจนถึงชายเสื้อแล้ว พอจะเดาได้ไม่ยากว่าเจ้าตัวได้ใช้แรงบิดน้ำออกไปหลายถังแล้วก็ตามที
สายตาคมดุจหมาป่าหนุ่มกวาดมองไปทั่วห้องอย่างเป็นธรรมชาติ พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้เพ่งไปที่จุดใดจุดหนึ่งจนชวนผิดสังเกต จึงไม่ทันเห็นว่าหญิงสาวร่างบางที่อีกมุมหนึ่งของโต๊ะทำอาหาร กำลังยืนอ้าปากค้างกับสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเสียจนไม่อาจหุบปากตัวเองลงได้ง่ายๆ
พวกเขาสองคนเดินออกมาจากตรงซอกประตูนั้นพร้อมกัน... ก็แสดงว่าอีกคนที่อยู่กับหมอนั่นตอนที่มีเสียงกึกกักตึงตังก็คือเหวินหยางหลงน่ะสิ!
เพียงน้ำพลอยอดลอบสาปแช่งชายหนุ่มทั้งสองคนอยู่ในใจไม่ได้ เพราะรู้สึกว่าพวกเขาช่างไม่เกรงใจเพื่อนเธอเอาเสียเลย... แม่ของลูกตัวเองยืนอยู่ตรงนี้แท้ๆ แต่เขากลับทำเรื่องพรรค์นั้นลับหลังภรรยาตัวเองได้ตอนกลางวันแสกๆ ทั้งที่อยู่ห่างออกไปแค่เพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น...
แต่ไม่สิ...พวกเขาอาจจะคุยธุระกันก็ได้ แต่เพราะไม่อยากให้น้ำผึ้งพระจันทร์ไม่สบายใจ ก็เลยต้องแอบคุยกันอยู่ตรงนั้น ใช่...มันไม่มีทางเป็นอะไรไปมากกว่านั้นได้แน่ ความรักที่เหวินหยางหลงมีต่อเพื่อนรักของเธอนั้น อย่าว่าแต่เธอเลย ทุกคนล้วนประจักษ์ด้วยตาของตัวเองมาแล้วทั้งนั้น เขาไม่มีทางผิดต่อครอบครัว ไม่มีทางผิดต่อภรรยาที่รักออกปานนั้นแน่!
“ตายแล้วคุณฟราน! ไปทำอะไรมาคะเนี่ย ตัวเปียกเป็นลูก...” ทันทีที่หันกลับมาเห็นสภาพเปียกโชกของคนด้านหลัง น้ำผึ้งพระจันทร์ก็เผลอโพล่งออกไปอย่างลืมตัว จึงทำได้แค่กลืนคำสุดท้ายลงไปเผื่อแก้ไขสถานการณ์ให้เบาบางลง
“พูดมาขนาดนี้แล้วก็ปล่อยมันออกมาเถอะครับ ผมรับได้” ฟรานพูดกลั้วเสียงหัวเราะเย็นๆ ทำเอาคนเผลอหลุดปากได้แต่หัวเราะแห้งๆ จนตาหยี แล้วหันหน้าไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนที่อีกมุมหนึ่งของโต๊ะ
“น้ำพลอย ช่วยไปหยิบผ้าขนหนูในห้องน้ำให้ทีสิ ฉันดูนี่อยู่” น้ำผึ้งพระจันทร์ว่าพลางจับโน่นคนนี่หน้าเตาไปตามเรื่อง
“...”
“น้ำพลอย!!” เมื่อเห็นว่าเพื่อนยังเอาแต่ก้มหน้าก้มตาหั่นผักบนเขียงพลาสติก ขณะที่ปากก็ยังคงบ่นอะไรขมุบขมิบอยู่คนเดียวไม่เลิก น้ำผึ้งพระจันทร์จึงเอ่ยปลุกเพื่อนจากฝันกลางวันอีกครั้งด้วยเสียงดังขึ้น
“ห้ะๆ อะไรนะ” ไหล่บางๆ ของคนตกอยู่ในภวังค์กระตุกวูบจนสุดตัว ก่อนจะขานรับออกมาอย่างงุนงง ทำเอาคนในวงสนทนาอันได้แก่สองสามีภรรยามาเฟียหัวเราะครืนกันยกใหญ่ ทว่ากลับมีบางคนที่ยังคงตีสีหน้าเรียบเฉยอยู่ดังเดิม ไร้แววอารมณ์อารมณ์ขันอันเป็นเอกลักษณ์ติดตัวมาแต่ไหนแต่ไร
“ยังไม่ตื่นรึไง” น้ำผึ้งพระจันทร์ถามพลางอมยิ้มล้อเลียน
“ช่วยหยิบผ้าขนหนูในห้องน้ำให้คุณฟรานเขาหน่อย” พอเห็นอีกฝ่ายเอาแต่ก้มหน้าแก้เก้อน้ำผึ้งพระจันทร์จึงเอ่ยปากวานอีกครั้ง ขณะที่ในใจก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเธอใช้คนไร้ประโยชน์บางคนที่เอาแต่ยืนกอดเธออยู่อย่างนี้ไปหยิบ ป่านนี้ฟรานคงแห้งสนิทไปนานแล้ว ทำไมเธอถึงเอาแต่ปลุกคนสลึมสลืออยู่ได้
“อ่อ...” ร่างบางรับคำสั้นๆ ก่อนจะหันหลังเดินไปยังห้องน้ำชั้นล่างตามคำไว้วานของเพื่อนอย่างว่าง่าย ทว่าท่าทางที่คล้ายกับกำลังสื่อสารกับตัวเองในโลกคู่ขนานกลับยังคงไม่หายไป ทำเอาคนมองได้แต่ขบขันแกมสงสัยกันต่อไปว่าบนไหล่บางๆ นั้นแบกรับเรื่องอะไรไว้นักหนา เจ้าตัวถึงได้เอาแต่คิดไม่ตกขนาดนี้
ไม่ถึงชั่วอึดใจ มือบางถือผ้าขนหนูสีขาวผืนใหญ่ที่เพิ่งหยิบมาจากในห้องน้ำมายื่นให้กับร่างสูงที่ใกล้จมน้ำบนพื้นตาย เขาเพียงกล่าวขอบคุณสั้นๆ ขณะที่เธอเองก็รับคำสั้นๆ เช่นกัน หากสายตาทั้งสองคู่กลับเอาแต่เหลือบไปมองสิ่งแวดล้อมรอบตัวเสียทุกสิ่ง ยกเว้นนัยน์ตาดำขลับเบื้องหน้าตัวเองเท่านั้น
เพียงน้ำพลอยอดถามตัวเองในใจไม่ได้ว่า เธอไปทำอะไรผิดมาจากที่ไหนกัน ถึงต้องหลบหน้าหลบตาคนอื่นเสียขนาดนี้ หากคิดดูให้ดีแล้วควรจะต้องเป็นคนอื่นต่างหากที่หลบหน้าเธอไม่ใช่หรือไง ทำไมไปๆ มาๆ เธอถึงได้กลายเป็นคนมีชนักติดหลังไปได้ ครั้นพอทำใจกล้าเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตกลับได้สบเข้าดวงตาคมกริบแสนซับซ้อนคู่นั้นที่ทอดมองมาพอดี ชั่ววินาทีนั้น เธอรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองถูกกระแสไฟฟ้าประหลาดไหลเวียนอยู่ทั่วร่าง คล้ายจะเจ็บแต่กลับใกล้เคียงว่าจะชาเสียมากกว่า มือไม้หยิบจับทุกสิ่งได้แต่กลับไม่รับรู้ถึงสัมผัสใดๆ ทั้งนั้น
ใช่...เธอก็แค่ขาดวิตามินเท่านั้น...
เมื่อหาข้อสรุปให้กับตัวเองได้แล้ว เพียงน้ำพลอยจึงกลั้นใจถอนสายตาออกสนามไฟฟ้ามหาประลัยตรงหน้า แล้วกวาดสายตาไปมองรอบๆ ห้องครัวอีกครั้ง ถึงได้รู้ว่าสองสามีภรรยาคู่นั้นได้สลายตัวไปที่ห้องรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ทั้งอาหารเช้าที่เธอช่วยทำยังไม่เสร็จ ทั้งที่น้ำผึ้งพระจันทร์ลงมือทำเสร็จไปเสร็จแล้ว ทุกอย่างล้วนถูกเก็บกวาดออกไปจากโต๊ะจนหมด กล่าวให้ถูกก็คือ ที่ตรงนี้มีแค่เธอกับคนที่มีสภาพเหมือนผ้าขนหนูชุบหมาดตรงหน้านี้เท่านั้น
เพียงน้ำพลอยก้มหน้าก้าวฉับๆ ไปยังห้องรับประทานอาหารที่อยู่ถัดไปตรงหัวมุมทางซ้ายมือ โดยไม่คิดสนใจจะเอ่ยทักหรือเหลือบไปมองอีกหนึ่งสิ่งมีชีวิตแต่อย่างใด ตอนนี้ในใจเธอเริ่มสับสนเสียแล้วว่าตัวเองควรวางตัวยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้นดี ควรจะวางเฉยต่อเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง หรือควรถือคุณธรรมเข้าว่าแล้วสืบสาวให้รู้เรื่องรู้ราวกันไป ดีร้ายยังไงจะได้ดึงเพื่อนกับหลานรักออกมาจากสถานการณ์อันโหดร้ายนั้นได้ทัน หากชั่วชีวิตนี้เธอกลับเกลียดคนสอดรู้จนเกินพอดีที่สุด ถึงแม้ระยะหลังนี้เธอจะรู้สึกว่าตัวเองใกล้เคียงคนประเภทที่ว่านี้เข้าไปทุกทีแล้ว ทว่าการยืดอกยอมรับอย่างภาคภูมิว่าตัวเองกำลังจะกลายร่างเป็นยัยแก่ว่างงานผู้รักการสอดเรื่องชาวบ้านอย่างสมบูรณ์แบบ เธอกลับทำใจยอมรับได้ยากเหลือเกิน
หลังจากนั่งลงที่โต๊ะรับประทานอาหาร เพียงน้ำพลอยก็ไม่ได้ใส่ใจฟังนักว่าสองสามีภรรยาพูดคุยอะไรกันบ้าง เพียงแต่เงยหน้าขึ้นมองอาหารบนโต๊ะไปเงียบๆ ได้ยินมาว่าเหวินหยางหลงอดีตเจ้าบ้าน ชอบฝีมือการทำอาหารไทยของเจ้าบ้านคนใหม่อย่างน้ำผึ้งพระจันทร์ที่สุด ทุกมื้อจึงต้องมีอาหารไทยตั้งโต๊ะอย่างน้อยหนึ่งอย่างเสมอ วันนี้เป็นแกงเขียวหวานเนื้อลายกับทอดมันปลากราย ส่วนอย่างอื่นก็เป็นอาหารจีนอีกสองสามอย่างกับซุปร้อนๆ อีกหนึ่งชามใหญ่ ทั้งจานชามช้อนส้อมและผ้ากันเปื้อนถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบบนโต๊ะรับประทานอาหารตัวยาว และในวินาทีที่น้ำผึ้งพระจันทร์ร้องเรียกเธออีกครั้งนั้น เธอถึงได้สังเกตว่าคนๆ นั้นไม่ได้ตามเข้ามาในห้องรับประทานอาหารด้วยกัน หากทันทีที่เธอหันไปมองยังทิศทางที่ตัวเองเดินเข้ามา ร่างสูงในเสื้อเชิ้ตเรียบหรูสีดำตัวใหม่ปลดกระดุมเม็ดบนสองเม็ดก็เดินเข้ามาพอดี เมื่อถูกนัยน์ตาปีศาจคู่นั้นจับจ้องอย่างไม่วางตา อาการขาดวิตามินของเธอจึงเริ่มทำงานอีกครั้ง
“วันนี้มีทอดมันปลากรายของโปรดคุณฟรานด้วยนะคะ” ยังคงเป็นเสียงกังวานใสของน้ำผึ้งพระจันทร์ที่ปลุกเธอให้ตื่น เพียงน้ำพลอยจึงแสร้งหันไปมองทางอื่นชั่วขณะ ก่อนจะวกกลับมาสนใจอาหารบนโต๊ะอย่างเดิม
ขณะเดียวกัน เจ้าของนัยน์ตาหมาป่าเจ้าเล่ห์คู่นั้นกลับไม่ยอมละสายตาต่อร่างบางตรงหน้าโดยง่าย แม้เธอจะเข้าใจว่าตัวเองดิ้นรนจนหลุดพ้นจากพันธนาการของเขาแล้ว แต่เขาก็ยังคงใช้สายตาดุจคมมีดของตัวเองตรึงร่างทั้งร่างของเธอเอาไว้อยู่อย่างนั้น จนเกือบสองสามวินาทีต่อมาถึงได้หันหน้าไปยิ้มตอบภรรยาสาวร่างเล็กของเพื่อนอย่างอารมณ์ดีเช่นเคย
ราชามังกรมุกผู้เป็นเจ้าบ้านนั่งประจำอยู่ที่หัวโต๊ะ ภรรยาร่างเล็กนั่งถัดไปทางซ้ายมือ ทางด้านขวามือเป็นที่ประจำของฟราน ส่วนข้างๆ น้ำผึ้งพระจันทร์ถึงจะเป็นที่ของเธอ เพียงน้ำพลอยใช้ตะเกียบไม่ค่อยถนัดนัก เพื่อนผู้รู้ใจจึงได้จัดเตรียมช้อนส้อมให้เธอเรียบร้อยเสร็จสรรพ น้ำผึ้งพระจันทร์ตักอาหารให้เธอสองสามอย่างติดกัน ก่อนจะหันไปคีบอาหารให้สามีบ้างเพราะเขาเริ่มจะเบะปากร้องไห้เป็นเด็กๆ แล้ว เธอได้แต่ทานอาหารไปเงียบๆ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรออกมาดี ใช่ว่าเธอไม่เคยมาอาศัยอยู่บ้านนี้ ไม่เคยมาทานอาหารร่วมโต๊ะกับครอบครัวของเพื่อน หากจะให้งอนิ้วนับครั้งดูก็เกรงว่าจะมีนิ้วไม่พอให้นับด้วยซ้ำ แต่กับวันนี้...เธอไม่รู้จริงๆ ว่าอะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูด
“ฮะๆๆๆ” ประมุขมาเฟียหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างอารมณ์ดี ขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่หนังสือพิมพ์ในมือ
“อะไรคะ หนังสือพิมพ์ลงนิยายเรื่องใหม่หรือไง” น้ำผึ้งพระจันทร์เอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะ ทุกวันนี้อ่านหนังสือพิมพ์ทีไร เธอเป็นได้อดค่อนแคะความกระตือรือร้นเกินพอดีของวงการสื่อสารมวลชนขึ้นมาไม่ได้ เรื่องบนหนังสือพิมพ์ หรือแม้กระทั่งข่าวสารในอินเทอร์เน็ตทั้งหลายแหล่ทุกวันนี้ล้วนสับสนอลหม่านกันไปหมด เรื่องจริงบางเรื่องก็ผูกสาวโยงใยกันไปเป็นทอดๆ เสียจนไม่ต่างจากนิยายเล่มหนา ที่น่าทึ่งกว่าก็คือเรื่องเหลวไหลหลายเรื่องเย็บรวมกันแล้วกลับหนายิ่งกว่าเสียอีก
“เรื่องใหม่ล่าสุดเชียวล่ะ ‘สัมภาษณ์รายการไทยไร้เงาราชินีมังกรมุก คาดถูกขังกรงทอง’ เป็นไง เข้าท่ามั้ยล่ะ” หยางหลงพูดจบก็ยื่นหนังสือพิมพ์ให้ภรรยาดูด้วยใบหน้าทุกข์ทรมานจากการกลั้นเสียงหัวเราะ
“เข้าท่าดีค่ะ เข้าท่าเสียจนอยากซื้อสำนักพิมพ์มาขายทอดตลาดเลย” น้ำผึ้งพระจันทร์พูดคล้ายกับฉุนเฉียว ทว่าจนแล้วจนรอดก็ทนกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่ได้เหมือนกัน จึงได้แต่หัวเราะออกมาพลางส่ายหน้าไปมา
ยังไม่ทันสิ้นเสียงหัวเราะของสองสามีภรรยา เพียงน้ำพลอยก็รู้สึกคล้ายกับถูกใครสักคนสาดน้ำมันเดือดๆ ใส่หน้าอย่างจัง เนื่องจากสมองอันฉับไวผิดเวลาเกิดคิดขึ้นมาได้ว่า สื่อของฮ่องกงย่อมต้องลงข่าวเกี่ยวกับน้ำผึ้งพระจันทร์เป็นหลักอยู่แล้ว เพราะเธอกับทิพย์น้ำปรุงไม่ได้มีความสำคัญหรือเกี่ยวข้องอะไรกับคนที่นี่มากไปกว่าการเป็นเพื่อนของราชิมีมังกรมุกเท่านั้น
แต่กับสื่อของประเทศไทยนั้น...แม้แต่ลองจินตนาการเธอยังไม่กล้าเลยด้วยซ้ำ...
“พี่เพชรนะพี่เพชร หารายการอะไรมาก็ไม่รู้...”
เพียงน้ำพลอยฟังไม่ถนัดนักว่าเพื่อนพูดอะไรต่อจากนั้น คิดว่าน่าจะเป็นประโยคชวนถอดทอนใจกับความไร้สาระของข่าวพวกนั้น หรือไม่ก็คงเป็นถ้อยคำสาปแช่งใครสักคนนั่นแหละ เธอรู้ดีว่าน้ำผึ้งพระจันทร์เป็นคนไม่แยแสโลกมาแต่ไหนแต่ไร ทั้งปฏิกิริยาเมื่อครู่ก็พอจะเห็นได้ชัดแล้วว่าสองสามีภรรยาคู่นี้สนใจก็แต่ชีวิตตัวเองเท่านั้น การตัดสินจากโลกภายนอกก็เป็นแค่ตลกฉากหนึ่งที่บันทึกลงใส่กระดาษราคาถูกจัดส่งมาให้ถึงบ้านเท่านั้น กับเรื่องนี้เธอจึงไม่ห่วงเพื่อนเท่าไหร่
ในขณะที่ตัวเธอเองนั้ัน...แม้จะกล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าไม่สนใจชื่อเสียงหรือฐานะทางสังคมจอมปลอมพวกนั้น แต่กลับไม่กล้าพูดเต็มเสียงนัก ว่าเธอไม่สนใจโดยสิ้นเชิงตอนได้ยินเรื่องส่วนตัวของตัวเองจากปากคนอื่น...
เธออยู่ท่ามกลางสังคมที่หยิบยกเรื่องส่วนตัวของคนอื่นมาสนทนากันอย่างสนุกปากมาตั้งแต่จำความได้ จากที่แปลกใจก็กลายเป็นชาชิน ไม่ได้จัดเป็นสาระสำคัญอะไรของชีวิตนัก แต่เมื่อไม่นานมานี้เธอก็ได้ค้นพบว่า ‘ความชาชิน’ ที่ว่านั้นมีความหมายอยู่แค่สองทิศทางเท่านั้น ทิศแรกก็คือคำพูดอย่างห้าวหาญเมื่อได้ประสบพบพานกับเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง ส่วนอีกทิศก็คือ คำพูดไร้สาระที่สุดในโลกที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อบอกตัวเองให้อดทนผ่านเรื่องราวตรงหน้าไปได้อีกครั้ง มนุษย์จะถูกหยิบยกขึ้นมาอ้างครั้งแล้วครั้งเล่า และจะเอ่ยมันอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะหมดเรื่องให้อดทน หรือก็คือตายจากโลกนี้ไปนั่นเอง ทั้งที่ในชั่วขณะที่เอื้อนเอ่ยออกไป ก็รู้ดีอยู่เต็มอกว่า
‘ความชาชิน’ บ้าๆ นั่น... มันไม่เคยมีอยู่จริงสักหน่อย...
ไม่ต่างจากคนถูกรถชน ที่ไม่ว่าถูกชนกี่ครั้งก็ยังคงต้องเจ็บอยู่อย่างนั้น ไม่อาจบอกว่าตัวเองเคยถูกรถชนมาแล้ว ครั้งนี้ไม่เจ็บอีกต่อไป...
เธอเจ็บ...เจ็บมานานจนเกินกว่าจะหลอกตัวเองว่าไม่เป็นไรได้อีกแล้ว
ใช่...เธอเป็น...เป็นมากด้วย...
เพียงแค่ได้ยินข้อกล่าวหาเลื่อนลอยที่ใครต่อใครต่างพากันยัดมันใส่มือเธอพวกนั้น บาดแผลฉกรรจ์ที่ยังช้ำเลือดช้ำหนองของเธอก็ทำท่าจะปริฉีกออกมาอีกครั้ง... เธอได้แต่คิดว่าชั่วชีวิตนี้ มันคงไม่มีวันหายดีได้อีกแล้ว...
แต่ความคิดของมนุษย์ก็ช่างเป็นสิ่งพิสดารโดยแท้ ทั้งที่รู้ดีว่าตรงหน้าคือไฟ แต่สองมือกลับยังจะเอื้อมไปไขว่คว้าเปลวไฟร้อนระอุนั้นอยู่ได้
แม้ใจจะขลาดกลัว แต่กลับหยุดมือตัวเองไม่ได้...
เพียงน้ำพลอยกลั้นใจเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องบางของตัวเองบนโต๊ะขึ้นมาปลดล็อกหน้าจอ พยายามควบคุมไม่ให้มือของตัวเองสั่นไปมากกว่านี้เพราะกลัวว่าใครจะเห็นเข้า เธอไม่กริ่งเกรงจะยอมรับความขี้ขลาดของตัวเองอีกแล้ว แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้ใครต่อใครรู้ว่า ภายใต้ใบหน้าอันเรียบเฉยกับบุคลิกสุขุมเยือกเย็นของเธอนี้ ซุกซ่อนความอ่อนแออย่างร้ายกาจเอาไว้มากแค่ไหน ทุกวันนี้เธอก็แทบจะเป็นที่มาของคำว่า ‘มีดีแต่เงิน’ อยู่แล้ว หากแบกรับคำว่า ‘คนขี้แพ้’ อีก เกรงว่าความเข้มแข็งจอมปลอมของเธอคงไม่อาจรับไหว
ด้วยความรู้สึกสับสนปนเปในวินาทีนั้นเอง นิ้วสั่นเทาก็เลื่อนไปกดเข้าแอปพลิเคชันเฟซบุ๊ก ซึ่งเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์กเดียวที่เธอนับว่ามีตัวตนอยู่ ในเสี้ยวขณะนั้น พันมีดหมื่นกริชที่เธอพยายามหลบเลี่ยงมาตลอดจึงได้ถาโถมเข้าหาเธอในคราวเดียวกัน
‘ชาวเน็ตจวกยับ ไฮโซสาวบีบพิธีกรออกกลางรายการ เหตุถามคำถามไม่ถูกใจ’ กระทู้พาดหัวข่าวในเฟซบุ๊กตัวหนาพร้อมกับภาพเธอและพิธีกรสาวรุ่นน้องเมื่อวานนี้ ปรากฏหราขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ตั้งแต่เธอยังไม่ได้เลื่อนหน้าจอลงไปไหน และทันทีที่เลื่อนลงไปดูกระทู้อื่นๆ ที่ตามติดกันมาเบื้องล่าง ภาพคนอีกหลายคนกับข้อหามากมายที่ไม่อาจไล่อ่านหมดได้ภายในวันเดียว ก็ทำเอาสายตาเธอเริ่มพร่าเลือนขึ้นทุกที
ที่เธอยอมไปให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ก็เพราะจนใจจะปฏิเสธจริงๆ อีกทั้งฝ่ายนั้นก็ได้รับปากเป็นเหมาะแล้วว่าต้องการสัมภาษณ์เรื่องร้านของเธอกับเพื่อนเท่านั้น เธอจึงได้ฝืนใจไปที่นั่นสักครั้ง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะผิดสัญญาอย่างไม่ละอายแก่ใจสักนิด แม้แต่คำขอโทษกันอย่างเป็นทางการสักคำก็ไม่มี ซ้ำร้ายเธอที่เป็นเจ้าทุกข์อยู่ดีๆ วันนี้กลับกลายเป็นจำเลยไปเสียแล้ว...
‘ขุดประวัติ ‘เพียงน้ำพลอย โรจน์รวีเตชานนท์’ ทายาทแสนล้านแสนอาภัพ’ ดูเอาเถอะ...กระทู้นี้แม้แต่ชื่อโรงเรียนอนุบาลของเธอก็ยังไปสรรหามาจนได้ ทั้งยังมีสัมภาษณ์จากปากคนที่อ้างว่าเป็นเพื่อนเธอสมัยมัธยมอีกด้วย
‘ฟังอีกมุมหนึ่งของช่างแต่งหน้าในกองถ่าย ทำเอารู้เลยไฮโซน้ำพลอยเป็นคนยังไง’ นี่ก็อีก...ยกยอปอปั้นเธอเป็นถึงไฮโซไปโน่น แต่กลับเชื่อคำพูดของคนในกองถ่ายโดยที่ไม่ถามเธอสักคำ
รู้ดีเลยงั้นเหรอว่าเธอเป็นคนยังไง แต่เธอนี่สิไม่รู้จักเขาเลยสักนิด อยากจะรู้เหลือเกินว่าคนเขียนข่าวเป็นคนยังไง!
‘พิธีกรสาวลั่นตนไม่เคยมีปัญหาในกอง อยู่วงการมาจนป่านนี้ รู้ดีว่าใครควรยุ่งใครไม่ควรยุ่ง’ ถ้าให้เธอเดาล่ะก็ ยัยพิธีกรปากเปราะนั่นคงไม่พ้นบีบน้ำตาให้สัมภาษณ์กับสื่อ พร้อมกับก้มหน้างุดๆ บอกว่าตัวเองไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่สุดท้ายก็ไม่แคล้วค่อยๆ ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จไปเรื่อยๆ แม้พาดหัวข่าวจะอ่านผ่านๆ แล้วรู้สึกคล้ายกับว่าคนพูดกริ่งเกรงบารมีของบุคคลที่สามที่เอ่ยถึงเสียเหลือเกิน ทว่าหากพินิจให้ดีแค่อีกชั้น ก็จะเห็นว่ามันไม่ต่างจากการประกาศก้องว่าเธอใช้อิทธิพลทำร้ายคนอ่อนแอกว่าเลยสักนิด
‘เรียนรุ่ง งานพุ่ง รักร่วง เปิดประวัติศาสตร์รักเจ้าหญิงดวงข่ม’ ประวัติศาสตร์รักงั้นเหรอ... เรื่องบางเรื่อง คนบางคน เธอก็เพิ่งได้รู้เอาตอนนี้เอง แต่ในข่าวกลับเขียนเสียอย่างกับว่าเธอกับคนๆ นั้นรักกันปานจะกลืน แต่สุดท้ายก็ทนอยู่กับเธอไม่ได้จึงต้องเลิกรากันไป แม้กระทั่งพี่ชายแถวบ้านที่เจอกันตอนไปออกกำลังกายตอนเช้าประมาณอาทิตย์ละครั้งสองครั้ง ยังกลายเป็นคนที่เธอเคยคบหาดูใจด้วยไปเสียแล้ว เรื่องพวกนี้ก็นับเป็นประวัติศาสตร์ได้ด้วยงั้นเหรอ
ว่ากันว่าประวัติศาสตร์คือสิ่งที่ถูกเขียนขึ้นโดยผู้มีอำนาจ แต่ ‘เธอ’ ที่คนพวกนี้เรียกขานกันว่ามีอิทธิพลมีอำนาจนักหนา กลับได้แต่นั่งอ่านเรื่องของตัวเองจากกระทู้บ้าบอนี่อย่างสับสนงุนงง เธอชักไม่มั่นในทฤษฎีที่ว่านั่นเสียแล้ว เพราะเกณฑ์การตัดสินว่าใครมีอำนาจเหนือกว่าใครนั้น ช่างเหลวไหลเลื่อนเปื้อนเหลือเกิน... คนพวกนั้นบอกว่าเธอมีเงินทองมากมายก็เลยมีอำนาจเหนือคนอื่น แต่เธอไม่เคยแม้แต่จะคิดใช้สิ่งจอมปลอมพวกนั้นไปเอาเปรียบใคร แม้จะเป็นนักธุรกิจที่มุ่งแสวงหาผลกำไรเป็นสำคัญ แต่ก็ไม่เคยคดโกงหรือให้ร้ายใครเลยสักครั้ง คนพวกนั้นบอกว่าตัวเองหวาดกลัวอิทธิพลของเธอ เพราะข้างตัวเธอมีน้ำผึ้งพระจันทร์ที่ถือปืนอยู่ในมือ แต่เธอไม่เคยแม้แต่จะคิดใช้น้ำผึ้งพระจันทร์เป็นเครื่องมือทำร้ายคน และเธอก็เชื่อว่าเพื่อนรักของเธอไม่ใช่พวกอันธพาลที่เที่ยวไปหาเรื่องคนอื่นไปทั่วอย่างไร้เหตุผล
หากเป็นคนที่ถือปากกาอยู่ในมือนั่นต่างหาก ที่ทำได้ทุกอย่างเพียงเพื่อตัวเลขในบัญชีของตัวเอง...
เธออยากจะถามพวกเขาเหลือเกินว่า...ปืนหรือปากกากันแน่ ที่มันน่ากลัวกว่ากัน...
‘ชายชาติทหารไม่หวั่นใครบอกผู้หญิงคนนี้ดวงกินผัว ที่แท้คือคนนี้นี่เอง’ พอมาถึงกระทู้นี้ เธอกลับไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก เพราะพอจะเดาได้อยู่แล้วว่าคนพวกนี้ไม่มีทางปล่อยเรื่องของเธอกับอธิษฐ์ไปง่ายๆ แน่ เพียงแต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นเวลาเพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้น ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นยังไงบ้าง เขามีสังคมในกรมทหารของเขา ไม่รู้ว่าพอเจอหน้าเพื่อนฝูงหรือผู้บังคับบัญชาจะพลอยอึดอัดเพราะเรื่องของเธอบ้างรึเปล่า ทำให้เขาเดือดร้อนถึงขนาดนี้ เธอกลับทำได้แค่รู้สึกผิดกับขอโทษอย่างจริงใจเท่านั้น จะว่าไปแล้วเธอก็ช่างเป็นคนรักที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย
ครั้นพอเลื่อนนิ้วสัมผัสขึ้นไปอีกครั้ง พาดหัวกระทู้สองกระทู้ติดกันต่อมาก็ทำให้เธอชาวาบไปทั่วทั้งร่าง ลมหายใจที่ไม่สม่ำเสมออยู่แล้วในไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ กลับกลายเป็นไม่อาจผ่านเข้าออกได้อย่างสะดวกนัก ไหล่บางๆ สั่นเทาคล้ายกับคนกำลังเก็บกลั้นเสียงร้องไห้ของตัวเอง หากบนดวงหน้าสวยหวานนั้นกลับยังเรียบเฉย มีเพียงความซีดขาวยิ่งกว่ากระดาษเท่านั้นที่ทำให้ดูแตกต่างไปจากเดิม ไร้ซึ่งหยาดน้ำตา และไร้ซึ่งเสียงสะอื้นให้ได้ยิน
‘รักยังไม่ล่ม ชะตาขาดซะก่อน... ‘กวินทร์ ตรัยอาสนรักษ์’ เซ่นวิญญาณสังเวยดวงกินผัว’
‘รู้ยัง! ไม่ได้ข่มแค่ผู้ชาย แม้แต่แฝดร่วมท้องยังดับตั้งแต่ไม่ตัดสายรก’
เพียงน้ำพลอยรู้สึกราวกับว่าตัวเองได้ยินใครอ่านพาดหัวกระทู้ให้เธอฟังอยู่ข้างหูซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น ตัวหนังสือตรงหน้าเริ่มพร่าเลือนขึ้นเรื่อยๆ เธอจึงสะบัดศีรษะตัวเองไปมาเบาๆ ก่อนจะเพ่งมองมันอีกครั้ง ทว่านอกจากจะไม่ได้เห็นอะไรชัดขึ้นกว่าเดิมแล้ว ความรู้สึกวิงเวียนกับอาการหายใจไม่ทั่วท้องก่อนหน้ายังทำให้เธอเริ่มท้องไส้ปั่นป่วน เกิดเป็นอาการคลื่นเหียนขึ้นมาชั่วขณะ ก้อนบางอย่างพุ่งพรวดขึ้นจนถึงคอหอย เธอจึงได้แต่กล้ำกลืนดันมันลงไปตามเดิม หากไหนเลยจะง่ายปานนั้น มันยังคงสู้รบกับเธออยู่พักใหญ่ จนในที่สุด ความอดทนเฮือกสุดท้ายของเธอก็จบสิ้นลง จึงลุกพรวดขึ้นบอกกล่าวคนอื่นๆ สั้นๆ แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปห้องน้ำทันที
“ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย ขอตัวนะ”
“น้ำพลอย!! น้ำพลอย!!” น้ำผึ้งพระจันทร์ว่าพลางตั้งท่าจะลุกตามไปดูเพื่อน หากติดที่มือหนาของสามีร่างสูงคว้าข้อมือเอาไว้เสียก่อน
“ให้เขาอยู่คนเดียวสักพักเถอะ” หยางหลงบอกภรรยาสาวด้วยน้ำเสียงนุ่มอ่อนโยนเช่นเคย หากยังไม่ทันพูดจบดี ภรรยาผู้หัวไวของเขาก็รีบพุ่งเข้ามาล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงเขา ก่อนจะพรมนิ้วกดรหัสปลดล็อกอย่างคล่องแคล่วไม่ต่างจากเป็นเจ้าของเครื่องเสียเอง จากนั้นก็รีบร้อนค้นหาคำตอบของสมมติฐานในใจทันที ทว่าโชคกลับไม่เข้าข้างเท่าไหร่นัก ข้อสันนิษฐานเลวร้ายที่คำนวณไว้ก่อนหน้านั้นไม่คลาดเคลื่อนเลยแม้แต่น้อย...
คลื่นใต้น้ำที่โถมทับกันมาอย่างบ้าคลั่งภายใต้สถานการณ์อันสงบตรงหน้า ได้อยู่ในสายตาของอีกหนึ่งร่างสูงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างไม่ขาดหายไปแม้แต่เศษเสี้ยว แววตาที่สั่นระริกด้วยความขวาดกลัววูบไหวขึ้นเป็นพักๆ เพียงเสี้ยววินาทีก็ฉาบเคลือบน้ำแข็งลงบนหน้าตัวเองราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่าก็แข็งขืนไปได้ไม่ถึงนาที ดวงตากลมโตดุจไข่มุกดำคู่นั้นก็ปรากฏแววโทสะขึ้นอีกครั้ง แล้วค่อยสลับสับเปลี่ยนเป็นความร้าวรานไม่ทราบที่มาอยู่อย่างนั้น จากนั้นก็หลับตาพริ้มลงสกัดกั้นม่านน้ำใสๆ ที่ทำท่าจะเอ่อขึ้นมาเอาไว้ ครั้นพอลืมตาขึ้นกำแพงน้ำแข็งจอมปลอมบนดวงหน้าก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง กระทั่งในที่สุดเจ้าตัวก็ลุกพรวดออกไป หากให้เขาสันนิษฐานล่ะก็ เธอคงไม่อาจทนความบีบอัดของอารมณ์ที่เกิดขึ้นภายในช่วงเวลาสั้นๆ ได้อีกต่อไปแล้ว จึงปลีกตัวไปอยู่คนเดียวเสีย จะได้ไม่เสี่ยงต่อการเสียกิริยาต่อหน้าคนอื่น
ทุกความเคลื่อนไหวตรงหน้า เขาล้วนเห็นมันทั้งหมด...
เหลือเพียงแค่ให้เธอเงยหน้าขึ้นมามองเท่านั้น...
ร่างสูงเดินทอดน่องไปตามโถงทางเดินในคฤหาสน์มังกรมุกอย่างเอื่อยเฉื่อยราวกับคนไร้จุดหมายจะไป ท่าทางเยือกเย็นอย่างหนุ่มเจ้าสำราญ ไร้แก่นสารใดไปมากกว่าการโอบกอดสุราและนารีไปวันๆ อย่างที่มีอยู่ทุกวันยังคงไม่หดหายไปไหน หากแต่แววตาซุกซนปนเจ้าเล่ห์ของเจ้าตัวนั้นกลับหายวับไปหลายส่วน ปรากฏฉายแววแววร้อนรนและกังวลขึ้นมาแทนที่
ยัยแม่มดน้ำผึ้งพิษตัวเล็กนั่นไหว้วานให้เขาช่วยแบ่งสายตาและเวลาว่างอันล้นเหลือไปดูแลเพื่อนรักแทนสักหลายชั่วโมง เนื่องจากเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนหน้า หมิงเทียนลูกน้องคนสนิทของหยางหลงเข้ามารายงานว่าร้านเพชรร้านพลอยของเจ้าหล่อนโดนงัด หยางหลงผู้เป็นสามีจึงตั้งท่าจะลุกไปจัดการให้ถึงที่เกิดเหตุ ทว่าเธอกลับร่ำร้องว่าเป็นตายยังไงก็จะไปดูด้วยให้ได้ หยางหลงจนใจจะขัดภรรยาหัวรั้นที่ถูกตามใจจนเคยตัว จึงได้จูงมือออกจากบ้านไปพร้อมกันแล้ว ก่อนไปยังหันมาทำตาปริบๆ ขอร้องเขาให้ช่วยดูแลยัยแม่ชีกระโดดกำแพงแทนด้วย แม้เขาจะสังเกตเห็นสายตาของหยางหลงที่ทอดมาด้วยความเป็นห่วงว่าให้ปฏิเสธไปเสีย แต่สุดท้ายเขาก็ยังรับคำไหว้วานชวนกระอักกระอ่วนนั้นมา คาดว่าตัวเขาในตอนนั้นคงเห็นแก่ของกินที่ยัยแม่มดเอามาหลอกล่อ หรือไม่ก็ทนการรบเร้าไม่ไหวนั่นแหละ ถึงได้ยอมลากตัวเองเดินมาถึงที่นี่ ทั้งที่รู้ว่าการเข้าใกล้ยัยแม่ชีนั่นในเวลานี้จะพาความยุ่งยากมาให้ตัวเองขนาดไหน
คงไม่มีเหตุผลไหนไปมากกว่านี้...
หลังจากเดินหามาจนทั่วคฤหาสน์ สายตาคมกริบก็เหลือบไปให้ร่างบางในเสื้อคลุมคาดิแกนสีครีมนั่งอยู่ริมสระว่ายน้ำด้านหลังคฤหาสน์ เรือนผมยาวสลวยดัดเป็นเกลียวคลื่นอ่อนทิ้งตัวยาวมาจนถึงกลางหลัง กระโปรงยาวจนถึงข้อเท้าถูกรวบขึ้นวางบนตักจนดูคล้ายกับกระโปรงสั้นถึงหัวเข่า ปล่อยให้ปลีน่องขาวละเอียดดุจหยกขาวผ่อนคลายอยู่ใต้ผิวน้ำ ศีรษะน้อยๆ เอียงไปด้านขวาเล็กน้อย พร้อมกันนั้นก็ยกปลายเท้าใต้น้ำขึ้นมอง ก่อนจะวางขาข้างนั้นลงในน้ำตามเดิม สองขาใต้น้ำขยับไปมาช้าๆ ขณะที่ดวงหน้าหวานก็เอาแต่ก้มมองการเคลื่อนไหวใต้น้ำของตัวเองไปเรื่อยๆ
ฟรานซึ่งยืนอยู่ที่โถงทางเดินยกมือขึ้นเท้าสะเอวพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ให้กับความหมดอาลัยตายอยากของหญิงสาวเบื้องหน้า ชั่วชีวิตนี้ถึงเขาจะเป็นฝ่ายถูกเอาอกเอาใจเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ใช่ว่าเขาไม่เคยปลอบโยนคนอื่นมาก่อน เรื่องการปรับสภาพอารมณ์ของคนอื่นนั้นเขาถนัดนัก โดยเฉพาะกับผู้หญิงแล้ว ถือเป็นของหวานสำหรับเขาเลยทีเดียว แต่กับผู้หญิงคนนี้คาดว่าเขาต้องเค้นปัญญาออกมาใช้ให้มากหน่อย เพราะสัญชาตญาณบางอย่างในตัวมันเขาบอกว่า เอาเข้าจริงแล้ว น้ำผึ้งพระจันทร์ยังว่าง่ายกว่าเธอเสียอีก!
“นั่งวิปัสสนาอยู่เหรอคุณ” ฟรานเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงยียวนอย่างเคย ก่อนจะพับขากางเกงแล้วนั่งลงข้างๆ พลางเอาแช่ขาลงในสระว่ายน้ำเหมือนอย่างที่เธอทำ ทว่าเธอกลับไม่ตอบอะไร เพียงแต่ถอนหายใจออกมาราวกับเจอกับเรื่องเบื่อหน่ายขึ้นกะทันหันแล้วจนใจจะหลบเลี่ยง ได้แต่เบือนหน้าไปทางอื่นเท่านั้น หากแค่เห็นหางตาแดงๆ ของเธอ เขาก็พอจะรู้แล้วว่าก่อนหน้าที่เขาจะมา เธอคงใช้น้ำตาระบายอารมณ์ไปหลายยกแล้ว
“ถ้าไม่ก็เล่นเป็นเพื่อนผมหน่อยน่า ทั้งบ้านไม่มีใครอยู่เลย เห็นผมอย่างนี้ผมขี้เหงานะคุณ” ฟรานหันหน้าไปพูดพลางแสร้งทำหน้าตาจริงจัง การจะเปิดบทสนทนากับคนประเภทนี้ หากเอ่ยไปเสียตรงๆ เธอเป็นไปได้ลุกหนีไปตั้งแต่ที่เขายังพูดไม่จบประโยคแน่ ทางที่ดีก็คือโปรยคำพูดไร้สาระล่วงหน้าไปสักหลายคำหน่อย จากนั้นค่อยแทรกประโยคที่คาดว่าจะดึงความสนใจจากเธอได้ราวกับไม่ได้ตั้งใจลงไป เท่านั้นเป็นใช้ได้
“เจ้าจันทร์ไปไหน” นั่นปะไร...ฟรานได้นึกท่าตัวเองตบเข่าฉาดอยู่ในใจอย่างลิงโลด ชีวิตนี้มีสักกี่อย่างกันที่เขาดูผิดไป
“ร้านเพื่อนคุณโดนงัดน่ะ นี่ก็ออกไปดูร้านกันหมดแล้ว” ชายหนุ่มอธิบายเรียบเรื่อยคล้ายกับไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องสลักสำคัญอะไร ทว่าคนฟังกลับตาเบิกโพลงราวกับเห็นไฟบรรลัยกัลป์ปะทุอยู่ตรงหน้า
“โดนงัด!!! งัดเมื่อไหร่! สาขาไหน! ไม่มีคนเฝ้าหรือไง! แล้วได้อะไรไปบ้าง!” เพียงน้ำพลอยพ่นคำถามออกมาไม่เว้นจังหวะหายใจ
“คุณๆๆ หนึ่งเลยนะ ผมไม่ได้เอากระดาษมาจด ถามเยอะขนาดนี้ผมจำไม่ได้หรอก สอง ถึงผมจำได้ก็ตอบไม่ได้หมดหรอก ผมก็อยู่กับคุณเนี่ยไม่เห็นหรือไงล่ะ” ฟรานยกมือขึ้นหยุดหญิงสาวที่กำลังจะพ่นไฟใส่เขาเสียให้ได้เอาไว้ ขณะที่ในใจก็เริ่มยิ้มกริ่มพอใจ เธอคงไม่รู้ตัวว่า ชั่วขณะนี้เธอได้ห่วงเรื่องของคนอื่นมากกว่าเรื่องของตัวเองไปเสียแล้ว
“แล้วว่าแต่...วันนี้แฟนคุณเขาไม่มาหาเหรอ” เมื่อเห็นว่าดวงหน้าหวานข้างกายเริ่มขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจอีกครั้ง ฟรานจึงเปิดประเด็นใหม่ขึ้นมาแทนที่ ซึ่งอันที่จริงแล้วมันก็ไม่ใช่แค่เรื่องชวนคุยเสียทีเดียวหรอก แต่เป็นความสอดรู้ของเขาเสียส่วนใหญ่ต่างหาก เขาอยากจะรู้ว่าตอนนี้ไอ้รถถังนั่นมันไปอยู่ที่ไหน ถึงได้ปล่อยให้แฟนตัวเองถูกคนทั้งประเทศรุมด่าจนนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวอย่างนี้
“เขาคงยุ่ง แต่อีกหน่อยคงโทรมา” น้ำเสียงแผ่วลงจนแทบไร้น้ำหนักเอ่ยตอบ ดวงตาสุกสกาวหม่นแสงลงอีกครั้ง ก่อนจะหลุบตาลงมองปลายเท้าใต้น้ำของตัวเองต่อไป ทว่ายังไม่ทันได้ตั้งตัว เสียงทุ้มปนแหบพร่าเล็กน้อยก็ดังขึ้นที่ข้างหูของเธอ
“งั้น...ผมเป็นแฟนคุณให้วันนึงเอามั้ย” เพียงน้ำพลอยสะดุ้งโหยงอย่างสุดตัว เพราะนึกไม่ถึงว่าเขาจะเข้ามาประชิดตัวถึงขนาดนี้ หากพอตั้งสติได้แล้วหันหน้าไปมอง ปลายจมูกของเธอกลับปัดผ่านจมูกโด่งได้รูปที่แทบจะฝังอยู่กับพุ่มผมของเธอเข้าพอดี
“ประสาท!!” เพียงน้ำพลอยดึงตัวเองออกห่างตัวอันตรายข้างกายทันที ก่อนจะตวาดลั่นขึ้นอย่างลืมตัว ทั้งที่เธอรู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่ชอบผู้หญิง ทั้งที่เห็นกับตาขนาดนั้น...แต่ทำไมเธอถึงยังรู้สึกว่าดวงตาดำขลับดุจหมาป่าเจ้าเล่ห์คู่นั้น มีไอร้อนลอยออกมาจับสองข้างแก้มของเธอได้
“ประสาทอะไรล่ะ นี่คุณรู้มั้ยมีผู้หญิงตั้งเท่าไหร่มารุมแย่งผมเนี่ย” ฟรานเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะ พลางชี้นิ้วอธิบายสรรพคุณของตัวเองอย่างอารมณ์ดี ไม่ได้มีทีท่าว่าจะใส่ใจกับถ้อยคำก่อนหน้าของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
“...” เพียงน้ำพลอยได้แต่มองคนข้างๆ ปากอ้าตาค้าง เพราะคิดไม่ถึงว่าคนเราจะหลงตัวเองได้ปานนี้ สำหรับเธอแล้วไม่ว่าตัวเขาจะมีผู้หญิงมาแย่งหรือมีผู้ชายมาแย่ง เธอก็ไม่ขอร่วมวงแย่งด้วยคนหรอก
“ไม่เชื่ออีก จะบอกให้ผมนี่เป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบที่สุด มีทุกอย่างที่ผู้หญิงต้องการ ทำได้ทุกอย่าง คุณอยากได้แบบไหนว่ามาเลยดีกว่า” เมื่อเห็นสายตาเหลือเชื่อของอีกฝ่าย ฟรานจึงรีบขยายสรรพคุณให้อีกฝ่ายฟังต่ออย่างไม่รอช้า แต่ไม่คิดว่าเธอจะถามกลับมาในทันที
“แล้วคุณทำอะไรได้บ้างล่ะ” เพียงน้ำพลอยก็ชักอยากจะรู้เหมือนกันว่าคนขี้โม้ตรงหน้านี้จะทำอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอันบ้าง ส่วนหนึ่งในใจเธอเริ่มคิดย้อนไปถึงสิ่งที่เคยคุยกับทิพย์น้ำปรุงเมื่อก่อน ว่าแท้จริงแล้ว คนๆ นี้มีดีอะไรอย่างที่โฆษณาไว้บ้างกันแน่
“อืมม...” นัยน์ตาดำสนิทเหลือบขึ้นมองท้องฟ้าพลางทำท่าคิดอ่านอย่างหนัก ทว่าจนแล้วจนรอดก็ยังไม่เอ่ยอะไรออกมานอกจากเสียงงึมงำในลำคอ
“ถ้ามันคิดยากขนาดนั้นก็ไม่ต้องก็ได้” คนร่างบางถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะตอบตัดบทออกไปอย่างเหลือทน สุดท้ายก็ไม่ผิดไปจากที่เธอคิด คนบางคนมีดีก็แค่การตลาดเท่านั้น ช่างน่าทอดถอนใจจริงๆ ที่คนแบบนี้กลับเป็นที่นิยมชมชอบของผู้หญิงค่อนประเทศ ไม่สิ...ค่อนเอเชียเลยต่างหาก...
“แหมคุณผมก็ล้อเล่นน่า ผมก็ทำได้ทุกอย่างแหละ แล้วคุณน่ะ ว่าแต่ผม ตัวเองทำอะไรได้บ้าง เออ คุณเรียนจบอะไรมาเนี่ย” ฟรานฉีกยิ้มกว้างอย่างขี้เล่น แล้วใช้ข้อศอกสะกิดแขนชวนเธอคุยอย่างสนิทสนม
“อย่ามาเสียเวลาผูกมิตรให้ยากเลย ฉันไม่มีอารมณ์” เพียงน้ำพลอยสวนกลับอย่างฉุนเฉียว
“ผมก็ไม่ได้ชวนคุณทำอย่างอื่นซักหน่อย แค่ชวนคุยเท่านั้นเอง” ฟรานยังคงตอบอย่างอารมณ์ดีเช่นเคย โดยไม่ได้คำนึงถึงว่าสิ่งที่เพิ่งพูดออกไปจะทำให้คนฟังหน้าร้อนวูบวาบสักแค่ไหน
“คุณ!! ... หึ่ยยยย!” นิ้วเรียวสวยยกขึ้นชี้หน้าหนาๆ ของคนข้างกายอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะพยายามกลืนความโกรธเกรี้ยวลงคอไป ไม่กี่วันมานี้เธอพยายามขบคิดว่า ทำไมเขาถึงเอาแต่มาคอยหาเรื่องเธอนักหนา แต่ในขณะเดียวกันนั้นก็ได้ค้นพบว่า สิ่งที่ต้องคิดมากกว่าก็คือ ทำไมเธอต้องโกรธแทบเต้นทุกทีที่ถูกเขายั่วโมโห ทั้งที่เธอนั้นขึ้นชื่อเรื่องความสุขุมใจเย็นมาแต่ไหนแต่ไร ฉะนั้นเธอจึงได้ข้อสรุปกับตัวเองว่า แทนที่จะไปบอกให้คนหน้าไม่อายพรรค์นี้หยุดระรานเธอ สู้เธอบอกให้ตัวเองนิ่งเข้าไว้ยังจะง่ายเสียกว่า
เมื่อคิดได้ดังนั้น มือบางจึงหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมาเลื่อนปลดล็อก เพื่อหวังจะละความสนใจจากคนข้างกายไปเสีย แม้ปกติเธอเห็นว่าการสนใจอย่างอื่นมากกว่าคู่สนทนาออกจะเป็นเรื่องไร้มารยาทอยู่บ้าง แต่ในตอนนี้เธอกลับเห็นว่า ต่อให้ไร้มารยาทกว่านี้สักหน่อยก็คงไม่เป็นไร เพราะดูแล้วคู่สนทนาของเธอ ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยิบมารยาทมาใช้แต่อย่างใด หากแต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้สัมผัสเลือกแอปพลิเคชันบนหน้าจอ โทรศัพท์มือถือเครื่องบางของเธอก็ลอยละล่องไปอยู่ในมือของคนไร้มารยาทคนนั้นไปเสียแล้ว
“เห้ยย!!! มันมือถือฉันคุณจะเอาไปไหน!! เอาคืนมา!!!” เพียงน้ำพลอยร้องลั่นพลางโน้มตัวไปไขว่คว้าโทรศัพท์ของตัวเองจนสุดมือ ทว่าจนใจที่ช่วงแขนกับลำตัวของเขายาวกว่าเธอมาก เพียงแค่เขายกมันขึ้นกลางอากาศเธอก็หมดทางจะยื้อแย่งมันมาได้แล้ว และในช่วงวินาทีที่โน้มไปจนสุดตัวนั้นเอง ใบหน้าหล่อเหลาได้รูปก็หันขวับกลับมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ริมฝีปากบางอยู่ห่างจากหน้าผากเธอไม่ถึงครึ่งเซน ลมหายใจร้อนระอุค่อยๆ รดรินหน้าผากเธอประหนึ่งจุมพิตแสนแผ่วเบา
“อยู่กับผม มองหน้าผม” สีหน้าขี้เล่นเมื่อครู่ได้หายวับไปในชั่วขณะ กลายเป็นสีหน้าชวนหนาวเยือกอย่างประหลาด น้ำเสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นเบาๆ จนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ ทว่าคนที่อยู่ใกล้จนเกือบละลายไปด้วยไอร้อนที่แผ่ออกมาย่อมจะต้องได้ยินอย่างชัดเจน ดวงตากลมโตวาววับช้อนขึ้นสบสายตาเจ้าของเสียงทุ้มเจือแววโทสะจางๆ อย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะพบว่านั่นเป็นความคิดที่ผิดอย่างมหันต์ เพราะลมหายใจร้อนระอุที่แสนร้ายกาจนั้น ยังเทียบไม่ได้กับไอร้อนที่พวยพุ่งออกมาเป็นสายจากนัยน์ตาเจ้าเล่ห์นั่นเลยด้วยซ้ำ
สองข้างแก้มเนียนใสถูกความร้อนพุ่งเข้าปะทะจนแดงปลั่งดุจซับสีชาด นัยน์ตาสีเข้มเริ่มเบนสายตาไปมองทางอื่นราวกับเด็กถูกจับได้ว่าทำความผิด เธอรู้สึกว่าตัวเองชักจะอยู่ใกล้เขาเกินพอดีแล้ว จึงคิดจะขยับตัวออกมา ในตอนนั้นเองถึงได้รู้ว่าข้อมือข้างหนึ่งของเธอได้ถูกเขายึดครองไว้มาสักพักใหญ่แล้ว และเพื่อจะให้เขาคืนของเธอมาดีๆ เธอจึงนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ว่าก่อนหน้านี้เขาต้องการให้เธอตอบอะไร ก่อนจะตอบออกไปเสียงลั่นพร้อมกับกระชากแขนตัวเองกลับมาอย่างสุดแรง
“บริหารธุรกิจ!”
“หึๆๆ บริหารธุรกิจ คุณเนี่ยนะจบบริหารธุรกิจ ไม่ว่าง่ายขนาดนั้นมั้ง” หมาป่าหนุ่มมองเหยื่อในมือที่เพิ่งหลุดลอยไปอย่างไม่คิดเสียดายนัก ก่อนจะยกมุมปากยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ จากนั้นก็เอ่ยพลางเอนตัวไปด้านหลัง ราวกับต้องการพิจารณาคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าให้ถี่ถ้วน
“...” เพียงน้ำพลอยเผลอขบริมฝีปากล่างของตัวเองเบาๆ พร้อมกับหันหน้าหนีไปทางอื่นราวกับต้องการชมนกชมไม้ขึ้นมาชั่วขณะ
ที่แท้...เขาก็เป็นคนสอดรู้ถึงขนาดนี้...
“บอกมาเถอะน่า ผมไม่บอกใครหรอก” ฟรานเขยิบเข้าไปใกล้คนปากแข็ง แล้วแสร้งเอ่ยถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ
อันที่จริงเขาพอจะรู้อยู่แล้วว่าพวกลูกคุณหนูที่พ่อแม่ทำธุรกิจ ไม่มีทางหวังให้ลูกร่ำเรียนอย่างอื่นนอกจากพวกวิชาบริหารหรืออะไรเทือกนั้น แต่ที่เขาพูดออกไปแบบนั้น ก็เพราะคิดว่าคนอ่อนนอกแต่แข็งในอย่างเธอไม่มีทางหัวอ่อนถึงขนาดนั้น จะว่าไปแล้วคนประเภทนี้กลับน่ากลัวเสียยิ่งกว่าพวกแข็งนอกอ่อนในเสียอีก ไอ้เรียนน่ะเขาเชื่อว่าเธอเรียนอย่างที่พ่อแม่คาดหวังไว้แน่นอน แต่ไปแอบเรียนอย่างอื่นมาบ้างรึเปล่า เรื่องนี้กลับน่าสงสัยอยู่ไม่น้อย แต่ถึงยังไงเรื่องนี้ก็เป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานของเขาเท่านั้น หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือ เขาแค่เดาส่งเดชไปอย่างนั้นเอง ทว่าเธอกลับนิ่งเงียบไม่ยอมพูดมันออกมา สิ่งที่เขาสงสัยจึงเป็นอันได้คำตอบเรียบร้อยแล้ว
“...” เพียงน้ำพลอยยังคงนิ่งเงียบไม่สนใจคำรบเร้าของคนข้างกาย ขณะที่ในใจก็พยายามคิดอย่างหนักว่าเขาไปรู้เรื่องนี้มาจากไหนกัน บนโลกใบนี้นอกจากอาจารย์ที่เป็นคนสอนกับเพื่อนที่ร่วมเรียนด้วยกันที่อิตาลี ก็มีแค่น้ำผึ้งพระจันทร์กับทิพย์น้ำปรุงเท่านั้นที่รู้ตื้นลึกหนาบาง ซึ่งสองคนนั้นไม่มีทางขายเธอแน่
“นะๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” ฟรานรบเร้าต่ออย่างไม่ยอมแพ้ เพราะเริ่มจะอยากรู้มากขึ้นทุกที หากไม่ได้คำตอบในวันนี้ เกรงว่าเขาคงจะนอนไม่หลับไปอีกหลายวันทีเดียว
“ฉันจะเชื่อคนที่ขโมยของฉันไป แล้วมานั่งคุยกับฉันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ยังไง” เพียงน้ำพลอยหันไปถามกลับอย่างเอาเรื่อง
“แสดงว่าจริง...บอกไม่บอก ไม่บอกโยนนะ” ฟรานว่าพลางยิ้มกริ่มอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า ก่อนจะยื่นข้อต่อรองขั้นสุดท้ายอย่างได้ใจ พร้อมกับถือโทรศัพท์มือถือเครื่องบางยื่นออกไปจนสุดแขน เหลือเพียงแค่ปล่อยให้มันร่วงตกน้ำไปเท่านั้น
“นี่คุณ!!! ว่างมากรึไงห้ะ!! วันๆ ถึงได้หาแต่เรื่องมากวนประสาทฉันเนี่ย!!!” ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างเดือดดาล ก่อนจะเอื้อมมือไปยื้อแย่งของของตัวเองกลับมาอีกครั้ง ทว่าก็จนใจที่นอกจากความยาวช่วงแขนจะต่างกันแล้ว ความเร็วของเธอก็ยังถือว่าห่างชั้นกับเขาอยู่มากด้วย
“คุณก็เห็นอยู่แล้วนี่ว่าผมว้างงงว่างงง โยนของเล่นยังได้เลย” คนกวนโทสะว่าพลางโยนวัตถุในมือเล่น ราวกับไม่รู้มาก่อนว่าเบื้องล่างนั้นคือสระว่ายน้ำที่ลึกเกือบจมศีรษะคน
“มัณฑนศิลป์!!! พอใจรึยัง!!!” เมื่อเห็นโทรศัพท์ตัวเองลอยเคว้งกลางอากาศ เธอก็รู้สึกเหมือนกับว่าอวัยวะภายในช่วงท้องหายวับไปหมดยังไงยังงั้น มือบางจึงตั้งใจจะเอื้อมไปคว้ามันกลับมาอีกครั้ง ทว่าก็คว้าได้เพียงแค่สายลมจางๆ เท่านั้น น้ำเสียงที่เคยหวานใสจึงได้แต่ร้องตะคอกตอบกลับไปอย่างเหลืออด
“ก็แค่เนี่ย” ฟรานเก็บวัตถุตัวประกันกลับมาไว้กับตัวอีกครั้ง ก่อนจะกระตุกยิ้มขึ้นอีกครั้งอย่างพอใจ หากก็ไม่นึกว่าเธอจะยังไม่ละความพยายาม คิดจะมาแย่งของตัวเองคืนจากเขาอยู่อีก เขาจึงได้แต่เอามันออกห่างจากมือเธอให้มากที่สุด แล้วใช้มืออีกข้างตีที่มือบางนั้นเบาๆ หากด้วยความแรงเท่านั้น เจ้าตัวก็ยังสะบัดมือเร่าๆ ด้วยความเจ็บอยู่ดี
“อย่าซน!!” ฟรานเอ่ยเสียงเข้ม พลางแสร้งทำหน้าขึงขังราวกับคุณพ่อกำลังดุลูกสาวตัวน้อย
ดวงหน้าสวยหวานฉายแววอารมณ์ขุ่นมัวของเจ้าตัวอย่างแจ่มชัด คิ้วเรียวสวยได้รูปแทบจะผูกขมวดเป็นโบเสียให้ได้ นัยน์ตาดุจไข่มุกดำวาววับคู่นั้นสะท้อนดวงไฟลูกเล็กๆ ที่ปะทุอยู่ในใจ ทำเอาท้ายทอยเขาชักจะร้อนวูบวาบขึ้นมาด้วยยังไงชอบกล ที่ขาดอยู่ตอนนี้ก็แค่เธอพุ่งเข้ามาบีบคอเข้าตอนลุแก่โทสะเท่านั้น เธอคงคิดว่าเขาว่างมากจริงๆ อย่างที่เขาว่า เลยหาเรื่องมากวนประสาทเธอด้วยการเอาของไปซ่อนเหมือนเด็กประถมสองเล่นกันไม่มีผิด หากความจริงแล้ว แม้เขาจะนึกสนุกอยู่บ้างจริงๆ แต่เขาก็ไม่ได้ว่างถึงขนาดนั้น ที่ทำไปทั้งหมดก็เพียงเพื่อหวังให้เธอออกห่างจะเสียงนกเสียงกาชวนปวดหัวพวกนั้นได้สักช่วงเวลาหนึ่ง
อย่างน้อยก็ขอให้เป็นช่วงเวลาที่อยู่กับเขา...ขอให้เธอสนใจแค่เขา...
เขาที่อยู่ตรงหน้าเธอเท่านั้น...
“เออนี่คุณ พอดีเลย คืองี้ ผมอ่ะไปชอบผู้หญิงอยู่คนนึงคุณ แม่เขาเนี่ยเป็นชอบพวกเครื่องเคลือบเซรามิกอะไรเงี้ย คุณช่วยผมปั้นแจกันสักใบสิ” ฟรานเปิดประเด็นใหม่ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยท่าทางราวกับต้องการคำปรึกษาจริงจัง
“คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันเรียนเอกเครื่องเคลือบเซรามิก” เพียงน้ำพลอยเอ่ยถามอย่างหวาดแวง มัณฑนศิลป์มีออกหลายสาขาไป เขารู้ได้ยังไงว่าเธอเรียนเอกเครื่องเคลือบเซรามิก เธอค่อนข้างแน่ใจว่าภาพลักษณ์ของตัวเองไม่ได้ใกล้เคียงกับคนทำงานศิลปะแขนงนี้ถึงขั้นที่เขาจะดูออกได้ง่ายๆ แน่ แต่เขากลับพูดมันออกมาเสียอย่างกับรู้มาเนิ่นนานแล้วอย่างนั้นแหละ หรือว่า...น้ำผึ้งพระจันทร์จะบอกเขาแล้วจริงๆ...
“ก็นั่นน่ะสิ อย่างเขาคุณเนี่ยนะเรียนปั้นเครื่องเคลือบ ไม่น่าเชื่อ...” ฟรานว่าพลางเอนตัวไปข้างหลังเพื่อเพ่งพิศดูหญิงสาวตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง ก่อนจะแสร้งส่ายหน้าอย่างระอา ทำเอาคนถูกพิจารณาอย่างถี่ถ้วนถึงกับเลือดขึ้นหน้า โกรธจัดเสียจนหลับหูหลับตาโต้กลับอย่างขาดสิ้นการควบคุม
“ทำไม!! อย่างฉันมันทำไม!!”
“แสดงว่าใช่” สิ้นเสียงตอบโต้ของหญิงสาวฟรานก็ยิ่งฉีกยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม กล่าวโดยสัตย์จริงแล้ว เขาก็ใช่ว่าจะไปรู้อะไรมาจากไหน เพียงแค่ตอนที่เธอยอมรับว่าตัวเองเรียนมัณฑนศิลป์ เขาได้ลอบสังเกตเธอไปเงียบๆ เห็นว่าสร้อยคอเส้นยาวที่เธอสวมอยู่ ตัวจี้เป็นรูปกระต่ายขาวตัวหนึ่งกำลังสวมมงกุฎ ส่วนสร้อยข้อมือ จี้ที่ห้อยลงมาสามสี่ตัวก็เป็นรูปกระต่ายสีขาวตัวน้อยอีกเช่นกัน แม้แต่จี้ที่ยางรัดผมก็เป็นรูปกระต่ายกำลังกอดเกี่ยวปอยผมที่ถูกรวบขึ้นไปตรงกลางศีรษะ เครื่องประดับทั้งสามชิ้นคาดว่าคงถูกทำมาให้เข้าชุดกัน ซึ่งทุกชิ้นที่ว่านั้นทำจากดินเผาเคลือบสีอย่างประณีตทั้งสิ้น แม้ว่ามันจะเหลือเชื่ออยู่สักหน่อยที่หญิงสาวรูปร่างเปราะบางประหนึ่งคริสตัลใส จะชื่นชอบศิลปะแขนงนี้ หากก็ไม่มีหลักฐานไหนที่บ่งชี้ไปในทิศทางอื่นอีกแล้ว เขาจึงสรุปเอาเองว่าสาขาที่เธอเรียนคือเครื่องเคลือบเซรามิก
แม้ว่าคนคาดเดาจะสนุกสนานแค่ไหนก็ตาม อีกฝ่ายกลับไม่ได้สนุกด้วยสักนิด เธอสุดจะทนกับการถูกหลอกปั่นหัวให้ยอมรับความจริงออกมาเองกับปากถึงสองครั้งสองคราราวกับคนโง่งมแล้ว แต่ครั้นสิ้นเสียงสบถแล้วคิดจะลุกขึ้นจากไป มือหนาทรงพลังคู่นั้นกลับเอื้อมขึ้นมากระชากข้อมือเธออย่างแรง จนบั้นท้ายเธอกระแทกกับพื้นแข็งๆ ริมสระว่ายน้ำเสียงดังปั๊ก!
“โอ๊ยยย!!!”
“โทษทีคุณ โทษที เจ็บมั้ยเนี่ย ไหนดูสิ” ฟรานรีบเอ่ยขอโทษหญิงสาวตรงหน้า ก่อนทำท่าจะจับตัวเธอพลิกไปอีกด้าน ให้เขาได้ตรวจดูบั้นท้ายเธอให้ถนัดตา
“ทะลึ่ง!!!” เพียงน้ำพลอยตวาดลั่นจนสุดเสียง ตาทั้งสองข้างเบิกโพลงจนแทบถลนออกมาจากเบ้า เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะเอื้อมมือมาจับบันท้ายตัวเองเข้าจริงๆ มือไม้รีบปัดป้องมือเขาออกไปเป็นพัลวัน
“ก็จะดูให้ เจ็บจะได้นวดให้ไง” ฟรานทำท่าจะไม่ละความพยายาม จ้องจะจับคนตรงหน้าพลิกตัวอีกครั้ง
“ไม่ต้องมายุ่ง!!!!” เธอว่าพลางผลักคนร่างสูงจอมบ้ากามออกไปจนพ้นตัว
“อ่ะๆๆๆ ไม่ยุ่งก็ไม่ยุ่ง สรุปว่าไง คุณช่วยผมทำนะ” ร่างสูงยกมือขึ้นยอมแพ้พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างจากผู้ใหญ่ยอมอ่อนข้อให้เด็กตัวเล็ก แล้วสรุปเข้าประเด็นที่พูดค้างไว้ก่อนหน้าทันที
“ร้านขายเครื่องเคลือบมีออกเยอะแยะคุณก็ไปเลือกเอาสักร้านสิ จะต้องให้ฉันไปนั่งปั้นนั่งเผาทำไม” เพียงน้ำพลอยเอ่ยขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
“คุณน่ะไม่รู้อะไร แม่เขาเนี่ยนะเป็นพวกชอบสะสมเครื่องเคลือบ แบบไหนสีไหนเขาก็มีหมดแล้วอ่ะ เกิดผมซื้อของดาษดื่นไปให้เขาผมก็เสียคะแนนแย่สิ น่านะ ช่วยผมหน่อยนะ เอางี้ถ้าคุณช่วยผมทำนะ ผมคืนโทรศัพท์ให้คุณ” ฟรานว่าพลางยกโทรศัพท์มือถือเครื่องบางขึ้นต่อรอง
“นี่คุณ มันไม่ใช่ของที่จะทำวันสองวันเสร็จนะ” ถ้าเขาจะให้เธอทำแจกันให้ใบหนึ่งจนเสร็จแลกกับการคืนโทรศัพท์จริงๆ อย่างนั้นเธอไม่ต้องไม่มีโทรศัพท์ใช้เป็นอาทิตย์เลยหรือไง
“ก็ไม่ได้ให้ทำวันสองวัน คุณอยากทำกี่วันก็เรื่องของคุณสิ ตามแต่ใจเลย ส่วนโทรศัพท์คุณเนี่ย ถ้าคุณไปวันนี้ผมคืนวันนี้เลย” ฟรานพูดด้วยน้ำเสียงราวกับผู้ใหญ่ใจป้ำ
“แล้วฉันจะเชื่อคุณได้ไง” ดวงหน้าหวานเชิดคางขึ้นถามอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ
“ถ้าพ้นวันผมยังไม่คืนคุณ ไปฟ้องเพื่อนคุณได้เลย” ฟรานรับคำอย่างง่ายดาย
“ดี! งั้นฉันจะไปโทรฟ้องเจ้าจันทร์เดี๋ยวนี้เลย” เพียงน้ำพลอยไม่เห็นความจำเป็นที่เธอต้องรอถึงเวลานั้นจริงๆ สักนิด เพียงแค่เธอเข้าบ้านไปโทรหาน้ำผึ้งพระจันทร์เสียเดี๋ยวนี้ก็เป็นอันจบเรื่องแล้ว ทว่ายังไม่ทันที่เธอจะได้ลุกขึ้น ท่วงท่าเดิมของคนเจ้าเล่ห์ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“คุณไปฟ้องเดี๋ยวนี้ ผมก็โยนทิ้งน้ำเดี๋ยวนี้เลยไง จ๋อมมม...” ฟรานยื่นโทรศัพท์ออกไปจนสุดแขนอีกครั้ง ก่อนจะลงท้ายประโยคด้วยการแสร้งหลับตาพริ้มทำเสียงวัตถุตกน้ำอย่างยียวน
“อะ..ไอ้...” เพียงน้ำพลอยไม่รู้จะหาคำไหนมาบรรยายคนยั่วโทสะตรงหน้านี้ดี ได้แต่หายใจเข้าลึกๆ ข่มกลั้นอารมณ์เดือดดาลที่ปะทุถึงขีดสุดลงไปให้ลึกสุดใจ ยั้งมือตัวเองเอาไว้ไม่ให้พุ่งเข้าไปฉีกเนื้อเขาออกเป็นชิ้นๆ ความจริงก็ใช่ว่าเธอจะอาลัยอาวรณ์โทรศัพท์เครื่องนั้นนักหนา เพียงแต่ในนั้นมีข้อมูลสำคัญเรื่องงานเธออยู่ไม่น้อย ไหนจะข้อมูลติดต่อลูกค้าอีก เธอไม่อยากเสียเวลาไปรวบรวมมันมาใหม่ ถึงได้ยอมให้เขาปั่นหัวอยู่อย่างนี้ แต่ถึงอย่างนั้นความอดทนของเธอก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน โดยเฉพาะเวลาอยู่กับคนอย่างเขา ขีดจำกัดที่ว่านั้นจะยิ่งต่ำกว่าปกติ
“อืมม...ถ้าคุณไม่รังเกียจล่ะก็ วันหลังผมจะสอนคำด่าให้ เอาไว้ให้คุณด่าผมโดยเฉพาะเลย รับรอง พอถึงสถานการณ์จริงแล้ว พูดได้อย่างเจ้าของภาษาแน่นอน” ฟรานหลับตาพริ้มรับคำสบถภาษาจีนกวางตุ้งที่หลุดออกมาแค่ครึ่งคำราวกับมันเป็นถ้อยวจีแสนหวาน ก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปบอกกล่าวคนร่างบางใกล้ๆ ด้วยน้ำเสียงเหมือนว่าหวังดีเสียเต็มประตา
“หึ่ยยย!!!” เมื่อฟางเส้นสุดท้ายขาดสะบั้นลง เพียงน้ำพลอยจึงตั้งท่าจะลุกพรวดออกไปอีกครั้ง ทว่าเหตุการณ์เก่ากลับวนมาซ้ำรอยอีกครั้งจนได้ เมื่อมือหนานั้นยังคงว่องไวอยู่เช่นเคย เอื้อมขึ้นมากระชากเธอนั่งลงอย่างแรงจนบั้นท้ายเธอกระแทกพื้นอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้รุนแรงกว่าครั้งก่อนถึงสามเท่าเลยทีเดียว
“โอ๊ยยยยยยย!!!” เสียงร้องลั่นอย่างเจ็บปวดบวกกับสีหน้าเหยเกของเธอ ทำเอาฟรานอดสงสารขึ้นจับใจไม่ได้ ทว่าในความสงสารนั้นกลับมีความขบขันมากกว่าอยู่หลายส่วน จึงได้แต่พยายามกลั้นเสียงหัวเราะลั่นของตัวเองเอาไว้ ให้ดังลั่นอยู่แค่ในใจเป็นพอ
“เอ้าาา!!! กระดูกก้นกบร้าวแล้วมั้งเนี่ย! ไหนดูสิ!” ฟรานว่าพลางเข้าไปจับร่างบางตรงหน้าพลิกตัวอีกครั้ง ทำเอาคนเดือดดาลอยู่ก่อนหน้าแทบพ่นไฟเผาทั้งเขาเป็นในบัดดล
“ไม่ต้องมายุ่งงง!!” มือบางออกแรงผลักเขาไปไกลๆ อย่างสุดแรง ในใจเฝ้าคิดว่าไม่รู้ว่าเธอต้องออกแรงผลักเขาอีกกี่ครั้ง เขาถึงจะไปให้พ้นๆ สักที
“เอาอีกละ เกรงใจกันอีกละ ผมบอกแล้วว่าไม่ต้องเกรงใจ มาผมดูให้” ฟรานบอกปัดความเกรงใจที่ทึกทักเอาเองพร้อมกับแสร้งตีสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย จากนั้นก็พุ่งเข้าไปจับตัวเธอพลิกไปอีกทางอย่างไม่ยอมแพ้
“จะมาดูอะไรล่ะ ไม่ต้องง!!” เพียงน้ำพลอยรวบรวมแรงทั้งหมดผลักเขาออกไปอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็เริ่มเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นมาว่า บางทีเธออาจจะต้องเอาคนบางคนลงไปในน้ำนั่นเสียเลย ความคิดลามกพวกนั้นจะได้ถูกชะล้างออกไปเสียบ้าง
“เอาอย่างนี้ๆ ผมมีข้อเสนอสุดพิเศษมาให้คุณ ผมรู้ถ้าผมคืนมือถือให้คุณอย่างเดียวคุณคงรู้สึกว่าคุณได้ไม่คุ้มเสียใช่มั้ยล่ะ” คนเจ้าเล่ห์วกกลับสู่ประเด็นเดิมอย่างรวดเร็วจนเธอเริ่มตามไม่ทัน แต่ขนาดว่าฟังผ่านๆ เธอยังไม่เห็นว่าสิ่งที่เขาพูดมันจะเข้าท่าที่ตรงไหน ได้ไม่คุ้มเสียงั้นเหรอ... เธอได้อะไรบ้างจะดีกว่า เขาเป็นคนเอาของเธอไป ก็สมควรจะต้องเอามาคืนอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง เรื่องพรรค์นี้นับเป็นผลประโยชน์ด้วยงั้นเหรอ
“ผมรับปากจะให้ของขวัญคุณอย่างนึง ของขวัญอันนี้เนี่ยนะมีค่าประมาณไม่ได้เลยล่ะคุณ อ่า! ใช่! คุณจะเอาไปใช้กับงานปั้นของคุณด้วยก็ได้นะ” ฟรานเอ่ยราวกับว่าตัวเองใจกว้างสุดจะเปรียบปาน ก่อนจะลงท้ายด้วยคำพูดจูงใจเหมือนในโฆษณาขายสินค้าทางโทรทัศน์ไม่มีผิด
“อะไร” เพียงน้ำพลอยถามต่อเสียงห้วน หากคนตอบกลับไม่ยอมตอบดีๆ แต่โน้มตัวเข้ามาใกล้ภายในชั่วเสี้ยววินาที ราวกับจะพุ่งเข้ามาขย้ำเธอยังไงยังงั้น จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเบาๆ
“ก็ตัวผมไง”
“อะไรทำให้คุณหลงตัวเองได้ขนาดนี้ห้ะ” คราวนี้เธอไม่ได้ถอยกรูดหนีอย่างครั้งก่อน หากแต่นั่งนิ่งปากอ้าตาค้างอยู่พักใหญ่ แล้วจะเอ่ยออกไปอย่างเหลือเชื่อ
“ไม่รู้จักของดีแล้วทำเป็นพูดไปนะคุณ ผมรู้ว่าพวกผู้หญิงชอบของลดแลกแจกแถมใช่มั้ยล่ะ นี่ผมทุ่มสุดตัวให้คุณได้กำไรเลยนะ คุณจะจับผมแกะโน่นถอดนี่ หรือจะ...ให้ถอดหมดผมก็ไม่เกี่ยงนะ” ฟรานดึงตัวเองออกมาบรรยายคุณสมบัติตัวเองต่ออย่างไม่ลดละ ขณะเดียวกันก็ทำท่าจะแกะโน่นถอดนี่อย่างปากว่าจริงๆ สุดท้ายก็ลงท้ายประโยคด้วยการโถมตัวเข้าไปหาคนร่างบางตรงหน้าอีกครั้ง
“หึ! ลดแลกแจกแถม...ฉันว่าเลหลังล้างสต็อกมากกว่า” หญิงสาวแค่นเสียงหัวเราะออกมา ก่อนจะว่าพลางเหลือบตามองทิวทัศน์เบื้องบนอย่างเอือมระอา
“สรุปว่าไม่เอา?” คนขายชำนาญการตลาดถามย้ำอีกครั้ง พร้อมกับหรี่ตามองอย่างไม่อยากเชื่อนัก
“ไม่เอา!” ลูกค้าผู้เด็ดเดี่ยวตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ไม่เอา อ้าวงั้นโยนนน...” สิ้นเสียงปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยของลูกค้า ท่วงท่าเดิมของคนถือไพ่เหนือกว่าจึงวนกลับมาอีกครั้ง โดยแสร้งเข้าใจผิดไปเสียว่าที่เธอบอกว่าไม่เอานั้น ที่แท้เป็นโทรศัพท์ที่เขายื่นออกไปจนสุดแขนอยู่ตอนนี้
“ฉันหมายถึงตัวคุณน่ะฉันไม่เอา!!” เพียงน้ำพลอยรีบตะโกนอธิบายให้คนเจ้าเล่ห์ฟังอย่างสุดเสียงทันที
“นี่คุณพูดเองนะ จะมาหาว่าผมอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้นะ” ฟรานเก็บโทรศัพท์กลับมาอีกครั้ง แล้วแสร้งหันกลับมาเจรจากับหญิงสาวเลือดร้อนตรงหน้าอย่างใจเย็น
“ชิ...” นอกจากเสียงสบถที่เล็ดลอดไรฟันออกมากับเสียงกัดฟันกรอด ฟรานก็ไม่คิดว่าตัวเองได้ยินเสียงปฏิเสธหรือคำด่าทอใดๆ อีก จึงรีบรวบรัดสรุปข้อตกลงทันที ใบหน้าหล่อเหลาดุจหยกสลักคลี่ยิ้มกว้างออกอย่างพึงพอใจ ยิ่งเห็นดวงหน้าน้อยๆ นั้นเดือดพล่านประหนึ่งว่าจะพุ่งเข้ามาฉีกกะโหลกเขาเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนกับว่าอากาศที่ผ่านเข้าออกร่างกายปลอดโปร่งขึ้นเท่านั้น ช่างชวนให้สุขภาพจิตดีโดยแท้...
“งั้นก็เป็นอันตกลงตามนี้ คุณจะช่วยทำแจกันให้ผมใบนึง โดยผมจะคืนโทรศัพท์ให้คุณเป็นข้อแลกเปลี่ยน ส่วนผลประโยชน์อีกข้อที่คุณเพิ่งปฏิเสธไป ผมจะทำใจกว้างให้คุณเรียกร้องมันกลับมาได้เสมอ เพื่อชดเชยที่ผม...ไม่ได้นวดก้นให้คุณ” ฟรานเอ่ยประโยคสุดท้ายด้วยสีหน้ารู้สึกผิดอย่างสุดแสน หากทว่าพอสิ้นคำมุมปากกลับกระตุกขึ้นอย่างร้ายกาจ ทำเอาเลือดแทบทุกหยาดหยดของคนตกเป็นเบี้ยล่างเดือดพล่านขึ้นมาในทันที
มันเวรกรรมของเธอนักหนากัน... ไม่ถูกคนอื่นรังแกลับหลัง ก็ถูกคนหน้าไม่อายรังแกต่อหน้า...
หรือเธอต้องบวชล้างซวยเป็นชีจริงๆ ถึงจะได้มีชีวิตสงบสุขอย่างคนอื่นเขาบ้าง...
อีเฮียฟรานนะเฮียฟราน ถ้าไม่ติดว่าหล่อนะ ไรท์เป็นน้ำพลอยนะจะกดหัวลงน้ำให้ตายตรงนั้นเลย 55555
ตอนหน้าจะเป็นยังไงต่อไป อย่าลืมมาติดตามกันต่อน้าา
#เรื่องนี้เม้นท์น้อยจังเลยย TT
#ยังไงก็ช่วยเม้นท์ + จิ้มโหวตเป็นกำลังใจให้กันด้วยน้าาาา
พริมสิตางศุ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 มิ.ย. 2560, 02:16:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 มิ.ย. 2560, 12:45:28 น.
จำนวนการเข้าชม : 1252
<< Chapter 4 : ซ่อนหา | Chapter 6 : ยียวน >> |