A castle wall *กำแพงรัก*
ถ้าความรักคือเรื่องของคนสองคน ต้องมนต์ คงไม่นับรวมอยู่ในนั้นเป็นแน่ เพราะการแอบรักคนที่ไม่มีวันเป็นไปได้อย่าง ปัถย์ มันก็เหมือนยืนบนพื้นดินแล้วแหงนคอมองคนบนหอคอย อย่างไรอย่างนั้น...แต่ก็ไม่รู้ทำไม เสียงข้างในจิตใจก็ร่ำร้องถึงเค้าอยู่ร่ำไปสิน่า..
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 6 : ปีศาจหื่น - - - (50%)หลัง
บทที่ 6 : ปีศาจหื่น - - - (50%)หลัง
ฉันนั่งตัวเล็กลีบอยู่ที่ประตูด้านขวาของรถ พยายามลอบมองสีหน้าผู้ร่วมเดินทางเป็นระยะ เห็นชายหนุ่มนั่งนิ่งหลับตา ฉันจึงจ้องมองเค้าอย่างพินิจพิจารณาเต็มสองตา เวลาเค้าอยู่เฉยๆนี่ก็ดูดีจริงจริงเลยนะ ดูขนตาก็ย๊าวยาว ฉันสิ...สั้นกุดไม่สมกับกุลสตรีเลย ปากก็ได้รูป มองเรื่อยลงไปยังลำคอที่โผล่พ้นเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน บวกกับแสงอาทิตย์ที่ส่องกระทบมาโดนผิวของเขา....พ่อเทพบุตรน้อย ฉันแอบยิ้มไปมองไป นานก็ได้มองในระยะนี้โดยที่ไม่ต้องเห็นเค้าจ้องกลับ
“ผมคิดค่ามองนะ แม่มดน้อย”
ฉันสะดุ้งสุดตัวเมื่อชายหนุ่มที่ฉันคิดว่าเขาหลับ กลับเบิกตาโพลงแล้วจ้องมองมาทีฉัน เขาขยับตัวเข้าใกล้จน ฉันต้องเริ่มถอยหนี แต่พื้นที่นี้ก็คับแคบเกินกว่าที่จะพาตัวเองหนีออกไป ฉันจึงได้นั่งจ้องหน้าคุณปัถย์ ในสภาพหลังชนประตูรถของจริง
“มานั่งนี่”
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นพร้อมกับใช้มือด้านขวาตบเบาะหนังเบาเบา หลังจากที่เห็นว่าฉันคงไม่สามารถถอยไปได้ไกลกว่านี้ เขาส่งสายตามาที่ฉันอีกครั้ง ฉันจึงเหมือนถูกสะกดจิตให้พาร่างกายเข้าไปนั่งตามมือของเขา
เมื่อฉันค่อยค่อยขยับตัวเข้าไป แต่กลับมีมือหนากลับดึงแขนของฉันไปทันที ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าฉันเป็นมนุษย์ในสภาพไร้น้ำหนัก (เชิญฉุดกระชากลากถูได้ตามสบาย) ฉันรู้สึกเหมือนมีมือปลาหมึกมือลากผ่านด้านหลังของตัวเองแล้ววางไว้ที่ด้านข้างของเอว พร้อมกับลูบไปมาอย่างแผ่วเบา....ฉันตัวแข็งทื่อเหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรมให้หยุดทุกอิริยาบถทันที มีเสียงลอยมากระทบโสตประสาทอีกครั้ง
“อย่าเกร็งสิ....สาวน้อย”
ฉันรู้สึกว่ามีบางสิ่งคลอเคลียที่แก้มด้านซ้ายของฉัน ลุกลามไปยังใบหู แล้วเลื่อนต่ำลงมาที่คอ สติสัมปชัญญะของตัวเองกลับมา ฉันจึงหดคอเนื่องจากความหวาบหวิวที่เค้าหยิบยื่นให้มันเกินจะทานทน คราวนี้มือข้างที่จับรอบเอวฉันก็เกิดขยับเขยื้อนอย่างแผ่วเบา ลูบไล้ขึ้นลงไปตามสีข้างลำตัวของฉัน....ไม่ไหวแล้ววววววววววววววว
“หยุดนะ....คุณปัถย์! แป๋มบอกให้หยุด”
ฉันแผดเสียงร้องลั่น รู้สึกถึงแรงหยุดรถกะทันหัน ได้ยินเสียงคุณปัถย์เอ่ยว่า ไม่มีอะไรขับต่อไป อะไรทำนองนี้ ฉันหันขวับส่งสายตาพิฆาตมาที่ตัวต้นเหตุ แต่กลายเป็นว่า ชายหนุ่มกลับยิ้มแย้มไม่นำพาอาการเกรี้ยวกราดของฉันแต่อย่างใด
“กรุณาปล่อยมือจากตัวแป๋ม....เดี๋ยวนี้ค่ะ”
“ไม่ปล่อย...คุณหลบหน้าผมมาสามวันแล้ว ทำไมต้องทำแบบนี้” คุณปัถย์มองหน้าฉันพร้อมกับตั้งคำถามมาให้ฉันตอบ
“...................................”
ตอบยังไงดีอ่ะ
“แป๋ม.....ตอบผม”
ตาบ้านี่!!!! ฉันกำลังนึกคำตอบอยู่นะ
“หนึ่ง...........................”
“เอ่อ...ปะ ปะ แป๋ม” ความตื่นเต้นครอบงำจนทำให้ประสาทส่วนประมวลผลของฉันไม่ทำงาน
“แป๋ม....ทำไม”..................โอ๊ย จะกดดันไปถึงไหน
“คะ คือ ว่า แป๋มไม่รู้ว่าคุณปัถย์คิดอะไรกับแป๋มถึงได้มาทำแบบนี้ แป๋มแค่อยากเอาตัวออกห่างคุณปัถย์ก็เท่านั้น” พูดรัวเร็วยาวเป็นพรวนเลยฉัน
ฉันได้ยินเสียงหัวเราะเสียงดังลั่นจากปากของเค้า ฉันแอบคิดในใจว่า เค้าบ้ารึเปล่าเนี่ย นี่ชีวิตฉันจะเป็นแหล่งศูนย์รวมคนไม่ปกติหรือไงกัน
พาหนะสัญชาติยุโรปนำพาฉันและคุณปัถย์มาถึงร้านห้องเสื้อที่คุณป้าบอกว่าเป็นร้านประจำ เมื่อฉันก้าวลงจากรถ คุณปัถย์ก็จับมือฉันพาเดินเข้าร้านไปทันที ฉันเห็นผู้หญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ฉัน ยกมือไหว้คุณปัถย์ พร้อมทั้งเอ่ยถามเรื่องที่จะให้หล่อนรับใช้
“หาชุดให้น้องแป๋มหน่อยครับ”
“อยากได้ประมาณไหนค่ะ” หญิงสาวคนเดิมเอ่ยถาม ฉันได้แต่ฟังที่เค้าคุยกัน มองคนโน้นที คนนี้ที
“ผมเชื่อว่า คุณหน่อยทำได้”
หญิงสาวคนเดิมพาฉันเข้าไปยังด้านขวามือของตัวร้าน ข้างในนี้เต็มไปด้วยชุดราตรีสั้น ยาว มีให้เลือกคัดสรรได้ตามใจต้องการ คุณหน่อย(ฉันเรียกตามที่คุณปัถย์เรียก) หยิบชุดราตรีสั้นมาเทียบไปเทียบมากับตัวฉันหลายชุด จนสุดท้ายหล่อนเลยคัดสรรเลือกชุดราตรีสีโอลโรส ที่เป็นเกาะอก ชวนวาบหวิว และ สีครีมผ้าไหมเน้นเอวด้วยผ้าคาดสีทอง หรูหราไม่ต่างกันเลย ฉันเดินเข้าไปลองชุดแรก พอออกมาก็พบว่าคุณปัถย์ยืนประจันหน้าที่ประตู(หลอนใช้ได้) หน้าตาเค้าไม่บ่งบอกว่าอยู่ในอารมณ์ประมาณไหน ฉันจึงได้แต่ยิ้มแหยๆให้เค้า
“ชุดนี้โป๊ไป..ผมไม่ชอบ”
อ้าว...ฉันครางเสียงหลงในลำคอ คุณไม่ชอบแต่ฉันชอบอ่ะ ดูสิชุดออกจะสวย ตาไม่ถึงเอาซะเลย ตาลุงพันปีเอ๊ย ฉันจึงต้องเดินหันหลังกลับเข้าห้องลองรอบที่สอง เมื่อออกมาก็ยังพบสีหน้าถมึงทึงอีกครั้ง คุณปัถย์ยกมือส่ายไปมา แต่คราวนี้ฉันพบว่าที่แขนด้านซ้ายกลับมีเสื้อผ้าอีกมายมายวางพาด คุณปัถย์ส่งชุดราตรีจำนวนนั้นทั้งหมดมาให้ฉันลอง...จำนวนที่ฉันนับได้หลังจากหันหลังกลับเข้าห้องลอง มันคือ สิบ ชุด แล้วแต่ละชุด ล้วนหลุดมากจากยุคหินก็ไม่ปาน แต่ละตัวที่คุณปัถย์คัดสรรมาให้นั่น ล้วนแต่ปิดเรือนร่างสาววัยสะพรั่งของฉันทั้งสิ้น...อีตาบ้านี่คงอับอายประชากร หากฉันจะต้องอวดเนื้อหนังมังสาเป็นแน่..ชิ!!!! ใส่อย่างนี้ให้ฉันไปบวชชีเลยไหม
ในที่สุดการลองชุดมาราธอนของฉันก็จบลง ด้วยชุดสีฟ้าอ่อนแขนกุดประดับประดาด้วยเพชรน้อยใหญ่ตรงรอบคอ มีผ้าสามารถผูกเป็นโบที่ด้านหลังของเอว ส่วนของตัวกระโปรงก็เป็นผ้าชีฟองเนื้อบางเบาบานฟูฟ่อง(อนุบาลซะไม่มี)
คุณหน่อยยื่นถุงกระดาษที่มีชื่อร้านตัวใหญ่มาให้ จิตใจฉันก็เฝ้านึกถึงเกาะอกสีโอลโรสชุดนั้นไม่เสื่อมคลาย ในที่สุดความอยากของฉันก็ชนะ ฉันจึงขอตัวกลับไปในร้านอีกครั้งหลังจากที่เราทั้งคู่เดินออกมา คุณปัถย์ทำสีหน้างุนงุงงเล็กน้อยตอนฉันขออนุญาตกลับเข้าไปในร้าน คุณหน่อยถามว่ามีอะไรที่ฉันต้องการเพิ่ม ฉันจึงบอกกับหล่อนว่า ฉันชอบชุดสีโอลโรสตัวนั้นมาก อธิบายอยู่สักพัก คุณหน่อยจึงพยักหน้ารับรู้ แล้วหายไปไม่เกินนาทีจึงกลับมาพร้อมกับถุงกระดาษแบบเดิม ฉันจึงยื่นเงินจำนวนหนึ่งให้คุณหน่อยไป แต่เธอบอกว่าเธอไม่รับเพราะคุณหญิงท่านสั่งมาแล้ว ฉันจึงไม่ได้ต่อความยาวสาวความยืดให้เสียเวลาจัดแจงหยิบแล้วยัดชุดนั้นใส่ไปในถุงกระดาษที่บรรจุชุดสีฟ้าอยู่ก่อนหน้าทันที
“เข้าไปทำอะไร”
คุณปัถย์ถามขึ้นหลังจากที่ฉันมาเดินเคียงข้างเขา
“เอ่อ...แป๋ม เข้าไปถามราคาชุดค่ะ แป๋มเกรงใจคุณป้าค่ะ”
“ไม่ใช่เงินแม่...เงินผมต่างหาก”
“นั่นแหละค่ะ คือ...คือว่า แป๋มเกรงใจก็เลยลองเข้าไปถามดู โอ๊ย แป๋มหิวข้าวจังเลย คุณปัถย์ไปทานข้าวกันไหม” ฉันเฉไฉเปลี่ยนเรื่องได้หน้าด้านด้านมาก
ร้านอาหารที่คุณปัถย์พาฉันมานั้น บรรยากาศโรแมนติกเหลือหลาย ภายในร้านตกแต่งด้วยไฟสีส้มอ่อนๆ มีเทียนวางอยู่บนโต๊ะกลมของอาหารของโต๊ะ ฉันได้แต่หันมองซ้าย ขวา มองไปรอบรอบเก็บเกี่ยวบรรยากาศในร้านหรูอย่างเงียบเงียบจนกระทั่งนั่งลงบนเก้าอี้ของโต๊ะในมุมริมสุดของร้าน
“แป๋มอยากทานอะไร”
“เอ่อ....แป๋มสั่งไม่เป็นหรอกค่ะ แป๋มทานเหมือนคุณปัถย์ล่ะกัน”
ฉันตอบพร้อมส่งสายตาละห้อยไปยังคุณปัถย์ แต่คุณปัถย์กลับยิ้มแถมยังทำหน้าชวนพิลึกกึกกือ แล้วบอกว่า
“อยากทานเหมือนผมจริงเหรอ”
สายตาเค้าดูกรุ่มกริ่มพิกล แต่ฉันก็ไม่อาจคาดเดาได้ จึงได้แต่พยักหน้าขึ้นลงเบาเบา
“ผมอยากทานคุณ”
ฉันได้แต่เบิกตาโพลงกับคำพูดอนาจารโจ่งครึ่มของตาปีศาจหื่นนี่ ฉันได้แต่เลิ่กลั่กหันซ้ายเหลียวขวา กลัวว่าจะมีใครมาสะดุดกับคำพูดของอีตาหื่นนี่เข้าให้
“ล้อเล่น...ทำหน้าแบบนี้เดี๋ยวก็อยากทานขึ้นมาจริงจริงซะหรอก”
อีตาปีศาจหื่น!!!!!!!!!!!!!! ในหัวจะไม่คิดอะไรเลยใช่ไหม...ความหวาดระแวงเพิ่มขึ้นไปที่ระดับหก เห็นทีว่าฉันต้องจัดการขั้นเด็ดขาดซะแล้ว(ยังไม่ได้วางแผนเลยด้วยซ้ำ) คำพูดของขิงดังก้องเหมือนมีลำโพงยักษ์มาแนบที่หูทั้งสองข้างของฉัน แกเสร็จแน่........แกเสร็จแน่......ไม่จริงเป็นไปไม่ด้ายยยยยยยยยยยยยยยยย
* * * * * * * * * * * * * * * * * * *
บทที่ 6 ครึ่งหลังมาตามคำสัญญาค่าาาาาาาาาาา
คราวนี้หนูแป๋มโดนตาปัถย์จอมหื่นเล่นงานเข้าให้แล้ว
บทต่อไป หนูแป๋มจะรอดหรือไม่ต้องติดตามกันนนนนน.....
บอกได้เลยว่า บทหน้าหนูแป๋มฮอตตตตตตตตตตตต
ขอบคุณทุกแรงใจ และ คอมเม้น นะค้าบบบบบบบบบบ
ไรเต้อร์เองค๊าบบบบบบบบ
ฉันนั่งตัวเล็กลีบอยู่ที่ประตูด้านขวาของรถ พยายามลอบมองสีหน้าผู้ร่วมเดินทางเป็นระยะ เห็นชายหนุ่มนั่งนิ่งหลับตา ฉันจึงจ้องมองเค้าอย่างพินิจพิจารณาเต็มสองตา เวลาเค้าอยู่เฉยๆนี่ก็ดูดีจริงจริงเลยนะ ดูขนตาก็ย๊าวยาว ฉันสิ...สั้นกุดไม่สมกับกุลสตรีเลย ปากก็ได้รูป มองเรื่อยลงไปยังลำคอที่โผล่พ้นเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน บวกกับแสงอาทิตย์ที่ส่องกระทบมาโดนผิวของเขา....พ่อเทพบุตรน้อย ฉันแอบยิ้มไปมองไป นานก็ได้มองในระยะนี้โดยที่ไม่ต้องเห็นเค้าจ้องกลับ
“ผมคิดค่ามองนะ แม่มดน้อย”
ฉันสะดุ้งสุดตัวเมื่อชายหนุ่มที่ฉันคิดว่าเขาหลับ กลับเบิกตาโพลงแล้วจ้องมองมาทีฉัน เขาขยับตัวเข้าใกล้จน ฉันต้องเริ่มถอยหนี แต่พื้นที่นี้ก็คับแคบเกินกว่าที่จะพาตัวเองหนีออกไป ฉันจึงได้นั่งจ้องหน้าคุณปัถย์ ในสภาพหลังชนประตูรถของจริง
“มานั่งนี่”
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นพร้อมกับใช้มือด้านขวาตบเบาะหนังเบาเบา หลังจากที่เห็นว่าฉันคงไม่สามารถถอยไปได้ไกลกว่านี้ เขาส่งสายตามาที่ฉันอีกครั้ง ฉันจึงเหมือนถูกสะกดจิตให้พาร่างกายเข้าไปนั่งตามมือของเขา
เมื่อฉันค่อยค่อยขยับตัวเข้าไป แต่กลับมีมือหนากลับดึงแขนของฉันไปทันที ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าฉันเป็นมนุษย์ในสภาพไร้น้ำหนัก (เชิญฉุดกระชากลากถูได้ตามสบาย) ฉันรู้สึกเหมือนมีมือปลาหมึกมือลากผ่านด้านหลังของตัวเองแล้ววางไว้ที่ด้านข้างของเอว พร้อมกับลูบไปมาอย่างแผ่วเบา....ฉันตัวแข็งทื่อเหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรมให้หยุดทุกอิริยาบถทันที มีเสียงลอยมากระทบโสตประสาทอีกครั้ง
“อย่าเกร็งสิ....สาวน้อย”
ฉันรู้สึกว่ามีบางสิ่งคลอเคลียที่แก้มด้านซ้ายของฉัน ลุกลามไปยังใบหู แล้วเลื่อนต่ำลงมาที่คอ สติสัมปชัญญะของตัวเองกลับมา ฉันจึงหดคอเนื่องจากความหวาบหวิวที่เค้าหยิบยื่นให้มันเกินจะทานทน คราวนี้มือข้างที่จับรอบเอวฉันก็เกิดขยับเขยื้อนอย่างแผ่วเบา ลูบไล้ขึ้นลงไปตามสีข้างลำตัวของฉัน....ไม่ไหวแล้ววววววววววววววว
“หยุดนะ....คุณปัถย์! แป๋มบอกให้หยุด”
ฉันแผดเสียงร้องลั่น รู้สึกถึงแรงหยุดรถกะทันหัน ได้ยินเสียงคุณปัถย์เอ่ยว่า ไม่มีอะไรขับต่อไป อะไรทำนองนี้ ฉันหันขวับส่งสายตาพิฆาตมาที่ตัวต้นเหตุ แต่กลายเป็นว่า ชายหนุ่มกลับยิ้มแย้มไม่นำพาอาการเกรี้ยวกราดของฉันแต่อย่างใด
“กรุณาปล่อยมือจากตัวแป๋ม....เดี๋ยวนี้ค่ะ”
“ไม่ปล่อย...คุณหลบหน้าผมมาสามวันแล้ว ทำไมต้องทำแบบนี้” คุณปัถย์มองหน้าฉันพร้อมกับตั้งคำถามมาให้ฉันตอบ
“...................................”
ตอบยังไงดีอ่ะ
“แป๋ม.....ตอบผม”
ตาบ้านี่!!!! ฉันกำลังนึกคำตอบอยู่นะ
“หนึ่ง...........................”
“เอ่อ...ปะ ปะ แป๋ม” ความตื่นเต้นครอบงำจนทำให้ประสาทส่วนประมวลผลของฉันไม่ทำงาน
“แป๋ม....ทำไม”..................โอ๊ย จะกดดันไปถึงไหน
“คะ คือ ว่า แป๋มไม่รู้ว่าคุณปัถย์คิดอะไรกับแป๋มถึงได้มาทำแบบนี้ แป๋มแค่อยากเอาตัวออกห่างคุณปัถย์ก็เท่านั้น” พูดรัวเร็วยาวเป็นพรวนเลยฉัน
ฉันได้ยินเสียงหัวเราะเสียงดังลั่นจากปากของเค้า ฉันแอบคิดในใจว่า เค้าบ้ารึเปล่าเนี่ย นี่ชีวิตฉันจะเป็นแหล่งศูนย์รวมคนไม่ปกติหรือไงกัน
พาหนะสัญชาติยุโรปนำพาฉันและคุณปัถย์มาถึงร้านห้องเสื้อที่คุณป้าบอกว่าเป็นร้านประจำ เมื่อฉันก้าวลงจากรถ คุณปัถย์ก็จับมือฉันพาเดินเข้าร้านไปทันที ฉันเห็นผู้หญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ฉัน ยกมือไหว้คุณปัถย์ พร้อมทั้งเอ่ยถามเรื่องที่จะให้หล่อนรับใช้
“หาชุดให้น้องแป๋มหน่อยครับ”
“อยากได้ประมาณไหนค่ะ” หญิงสาวคนเดิมเอ่ยถาม ฉันได้แต่ฟังที่เค้าคุยกัน มองคนโน้นที คนนี้ที
“ผมเชื่อว่า คุณหน่อยทำได้”
หญิงสาวคนเดิมพาฉันเข้าไปยังด้านขวามือของตัวร้าน ข้างในนี้เต็มไปด้วยชุดราตรีสั้น ยาว มีให้เลือกคัดสรรได้ตามใจต้องการ คุณหน่อย(ฉันเรียกตามที่คุณปัถย์เรียก) หยิบชุดราตรีสั้นมาเทียบไปเทียบมากับตัวฉันหลายชุด จนสุดท้ายหล่อนเลยคัดสรรเลือกชุดราตรีสีโอลโรส ที่เป็นเกาะอก ชวนวาบหวิว และ สีครีมผ้าไหมเน้นเอวด้วยผ้าคาดสีทอง หรูหราไม่ต่างกันเลย ฉันเดินเข้าไปลองชุดแรก พอออกมาก็พบว่าคุณปัถย์ยืนประจันหน้าที่ประตู(หลอนใช้ได้) หน้าตาเค้าไม่บ่งบอกว่าอยู่ในอารมณ์ประมาณไหน ฉันจึงได้แต่ยิ้มแหยๆให้เค้า
“ชุดนี้โป๊ไป..ผมไม่ชอบ”
อ้าว...ฉันครางเสียงหลงในลำคอ คุณไม่ชอบแต่ฉันชอบอ่ะ ดูสิชุดออกจะสวย ตาไม่ถึงเอาซะเลย ตาลุงพันปีเอ๊ย ฉันจึงต้องเดินหันหลังกลับเข้าห้องลองรอบที่สอง เมื่อออกมาก็ยังพบสีหน้าถมึงทึงอีกครั้ง คุณปัถย์ยกมือส่ายไปมา แต่คราวนี้ฉันพบว่าที่แขนด้านซ้ายกลับมีเสื้อผ้าอีกมายมายวางพาด คุณปัถย์ส่งชุดราตรีจำนวนนั้นทั้งหมดมาให้ฉันลอง...จำนวนที่ฉันนับได้หลังจากหันหลังกลับเข้าห้องลอง มันคือ สิบ ชุด แล้วแต่ละชุด ล้วนหลุดมากจากยุคหินก็ไม่ปาน แต่ละตัวที่คุณปัถย์คัดสรรมาให้นั่น ล้วนแต่ปิดเรือนร่างสาววัยสะพรั่งของฉันทั้งสิ้น...อีตาบ้านี่คงอับอายประชากร หากฉันจะต้องอวดเนื้อหนังมังสาเป็นแน่..ชิ!!!! ใส่อย่างนี้ให้ฉันไปบวชชีเลยไหม
ในที่สุดการลองชุดมาราธอนของฉันก็จบลง ด้วยชุดสีฟ้าอ่อนแขนกุดประดับประดาด้วยเพชรน้อยใหญ่ตรงรอบคอ มีผ้าสามารถผูกเป็นโบที่ด้านหลังของเอว ส่วนของตัวกระโปรงก็เป็นผ้าชีฟองเนื้อบางเบาบานฟูฟ่อง(อนุบาลซะไม่มี)
คุณหน่อยยื่นถุงกระดาษที่มีชื่อร้านตัวใหญ่มาให้ จิตใจฉันก็เฝ้านึกถึงเกาะอกสีโอลโรสชุดนั้นไม่เสื่อมคลาย ในที่สุดความอยากของฉันก็ชนะ ฉันจึงขอตัวกลับไปในร้านอีกครั้งหลังจากที่เราทั้งคู่เดินออกมา คุณปัถย์ทำสีหน้างุนงุงงเล็กน้อยตอนฉันขออนุญาตกลับเข้าไปในร้าน คุณหน่อยถามว่ามีอะไรที่ฉันต้องการเพิ่ม ฉันจึงบอกกับหล่อนว่า ฉันชอบชุดสีโอลโรสตัวนั้นมาก อธิบายอยู่สักพัก คุณหน่อยจึงพยักหน้ารับรู้ แล้วหายไปไม่เกินนาทีจึงกลับมาพร้อมกับถุงกระดาษแบบเดิม ฉันจึงยื่นเงินจำนวนหนึ่งให้คุณหน่อยไป แต่เธอบอกว่าเธอไม่รับเพราะคุณหญิงท่านสั่งมาแล้ว ฉันจึงไม่ได้ต่อความยาวสาวความยืดให้เสียเวลาจัดแจงหยิบแล้วยัดชุดนั้นใส่ไปในถุงกระดาษที่บรรจุชุดสีฟ้าอยู่ก่อนหน้าทันที
“เข้าไปทำอะไร”
คุณปัถย์ถามขึ้นหลังจากที่ฉันมาเดินเคียงข้างเขา
“เอ่อ...แป๋ม เข้าไปถามราคาชุดค่ะ แป๋มเกรงใจคุณป้าค่ะ”
“ไม่ใช่เงินแม่...เงินผมต่างหาก”
“นั่นแหละค่ะ คือ...คือว่า แป๋มเกรงใจก็เลยลองเข้าไปถามดู โอ๊ย แป๋มหิวข้าวจังเลย คุณปัถย์ไปทานข้าวกันไหม” ฉันเฉไฉเปลี่ยนเรื่องได้หน้าด้านด้านมาก
ร้านอาหารที่คุณปัถย์พาฉันมานั้น บรรยากาศโรแมนติกเหลือหลาย ภายในร้านตกแต่งด้วยไฟสีส้มอ่อนๆ มีเทียนวางอยู่บนโต๊ะกลมของอาหารของโต๊ะ ฉันได้แต่หันมองซ้าย ขวา มองไปรอบรอบเก็บเกี่ยวบรรยากาศในร้านหรูอย่างเงียบเงียบจนกระทั่งนั่งลงบนเก้าอี้ของโต๊ะในมุมริมสุดของร้าน
“แป๋มอยากทานอะไร”
“เอ่อ....แป๋มสั่งไม่เป็นหรอกค่ะ แป๋มทานเหมือนคุณปัถย์ล่ะกัน”
ฉันตอบพร้อมส่งสายตาละห้อยไปยังคุณปัถย์ แต่คุณปัถย์กลับยิ้มแถมยังทำหน้าชวนพิลึกกึกกือ แล้วบอกว่า
“อยากทานเหมือนผมจริงเหรอ”
สายตาเค้าดูกรุ่มกริ่มพิกล แต่ฉันก็ไม่อาจคาดเดาได้ จึงได้แต่พยักหน้าขึ้นลงเบาเบา
“ผมอยากทานคุณ”
ฉันได้แต่เบิกตาโพลงกับคำพูดอนาจารโจ่งครึ่มของตาปีศาจหื่นนี่ ฉันได้แต่เลิ่กลั่กหันซ้ายเหลียวขวา กลัวว่าจะมีใครมาสะดุดกับคำพูดของอีตาหื่นนี่เข้าให้
“ล้อเล่น...ทำหน้าแบบนี้เดี๋ยวก็อยากทานขึ้นมาจริงจริงซะหรอก”
อีตาปีศาจหื่น!!!!!!!!!!!!!! ในหัวจะไม่คิดอะไรเลยใช่ไหม...ความหวาดระแวงเพิ่มขึ้นไปที่ระดับหก เห็นทีว่าฉันต้องจัดการขั้นเด็ดขาดซะแล้ว(ยังไม่ได้วางแผนเลยด้วยซ้ำ) คำพูดของขิงดังก้องเหมือนมีลำโพงยักษ์มาแนบที่หูทั้งสองข้างของฉัน แกเสร็จแน่........แกเสร็จแน่......ไม่จริงเป็นไปไม่ด้ายยยยยยยยยยยยยยยยย
* * * * * * * * * * * * * * * * * * *
บทที่ 6 ครึ่งหลังมาตามคำสัญญาค่าาาาาาาาาาา
คราวนี้หนูแป๋มโดนตาปัถย์จอมหื่นเล่นงานเข้าให้แล้ว
บทต่อไป หนูแป๋มจะรอดหรือไม่ต้องติดตามกันนนนนน.....
บอกได้เลยว่า บทหน้าหนูแป๋มฮอตตตตตตตตตตตต
ขอบคุณทุกแรงใจ และ คอมเม้น นะค้าบบบบบบบบบบ
ไรเต้อร์เองค๊าบบบบบบบบ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ส.ค. 2554, 21:01:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ส.ค. 2554, 21:01:48 น.
จำนวนการเข้าชม : 2925
<< บทที่ 6 : ปีศาจหื่น - - - 50% | บทที่ 7 : ศึกชิงนางและคำแถลงการณ์จากสวรรค์ - - -(60%) >> |

รอให้เป็นเล่ม 12 ส.ค. 2554, 12:13:27 น.
หนูแป๋มจะรอดมั๊ยนี่
หนูแป๋มจะรอดมั๊ยนี่

พลับพลึงสีชมพู 14 ส.ค. 2554, 15:46:35 น.
กรี๊ดๆๆๆๆๆ ผมอยากทานคุณ แอร๊ยยยย
กรี๊ดๆๆๆๆๆ ผมอยากทานคุณ แอร๊ยยยย