ร้อยรักพรางตะวัน
If no obstacle is found.
Do you know …What true love is?
เรื่องของนักแสดงสาวชื่อดังจอมเหวี่ยงวีนกับวิศวกรหนุ่ม ทั้งสองเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย แต่ความสนิทสนมทำให้ความสัมพันธ์ก้าวข้ามขีดคำว่า 'เพื่อน' ไปไม่ได้
ถ้าไม่มีอุปสรรคขัดขวางความรักระหว่างเพื่อนที่จำกัดไว้อาจจะไม่คืบหน้า และหากปล่อยเวลาผ่านไปอาจต้องเสียความรักนั้นไปให้ใครคนอื่น
เอาใจช่วยเพื่อนสนิทสองคนให้ค้นพบรักแท้ของกันและกันและก้าวผ่านอุปสรรคทั้งปวงเพื่อ ‘ความรัก’ ด้วยกันค่ะ
Do you know …What true love is?
เรื่องของนักแสดงสาวชื่อดังจอมเหวี่ยงวีนกับวิศวกรหนุ่ม ทั้งสองเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย แต่ความสนิทสนมทำให้ความสัมพันธ์ก้าวข้ามขีดคำว่า 'เพื่อน' ไปไม่ได้
ถ้าไม่มีอุปสรรคขัดขวางความรักระหว่างเพื่อนที่จำกัดไว้อาจจะไม่คืบหน้า และหากปล่อยเวลาผ่านไปอาจต้องเสียความรักนั้นไปให้ใครคนอื่น
เอาใจช่วยเพื่อนสนิทสองคนให้ค้นพบรักแท้ของกันและกันและก้าวผ่านอุปสรรคทั้งปวงเพื่อ ‘ความรัก’ ด้วยกันค่ะ
Tags: ร้อยรักพรางตะวัน, อรณี, ภาณุ, รักดราม่า, โรแมนติก, เพื่อนสนิท, แอบรัก
ตอน: บทที่ 9/2 เรื่องบังเอิญ 100%
การจราจรบนเส้นทางมุ่งสู่ชลบุรีเต็มไปด้วยรถราหนาแน่นและติดขัดเนื่องจากใกล้วันหยุดเทศกาล ชลดาถอนหายใจเหนื่อยหน่าย ใบหน้างามแต่งแต้มเครื่องสำอางแพงระยิบเริ่มออกอาการหงุดหงิดจนภาณินที่ทำหน้าที่คนขับรถจำเป็นต้องเหลือบมองอ่อนอกอ่อนใจ
“นี่มันกะจะติดถึงเช้าเลยรึไง อะไรนักหนาเนี่ยขนาดเดินทางใกล้ ๆ ยังใช้เวลาขนาดนี้ ทำไมไม่รู้จักนอนอยู่บ้านอยู่ช่องกันมั่งนะ ออกมาให้รถติดอยู่ได้” ชลดาสบถหัวเสีย
“ฉันว่าเธอน่ารำคาญกว่ารถที่ติดกันเป็นแถวยาวเหยียดอีกนะ ฉันไม่ใช่เบ๊ อุตส่าห์ทิ้งร้านมาขับรถให้ยังไม่ว่าดีอีก ถ้าจะหงุดหงิดฟาดหัวฟาดหางอีก ฉันจะลงกลางทางให้แกขับไปเองเลย”
เจ้าของร้านดอกไม้เอ่ยด้วยความหงุดหงิดเมื่อเห็นหน้าเพื่อนรักงอเป็นจวัก ชลดาฟังแล้วนึกหมั่นไส้สวนกลับทันควัน
“ดีจ้ะ ดีที่สุดเลย แม่เพื่อนรักสุดประเสริฐ แต่จะดีกว่านี้ถ้าแกขับรถไปเฉย ๆ ไม่พูดมาก”
“เออนี่ ว่าแต่มาถึงพัทยาแล้ว กะจะไปที่นั่นรึเปล่า”
ภาณินชวนคุย สายตามองตรงระมัดระวังในการขับขี่ แต่คนฟังถึงกับนิ่งไปก่อนจะหันขวับมามองตาขวาง
“ถามทำไม”
“ฉันก็แค่เห็นอีกนิดเดียวก็จะถึงที่นั่นแล้ว ถ้าแกอยากไป ฉันจะไปเป็นเพื่อนแกเอง”
“เงียบไปเลย” ชลดาเสียงแข็งกร้าว “ถามอะไรโง่ ๆ ฉันจะไม่ไปเหยียบที่นั่นอีก”
“ฉันก็แค่อยากให้แกกลับไปที่นั่นบ้าง เขาอาจจะรอแกอยู่”
“ไม่มีวัน แกก็รู้ ถ้ารักกันจริงอย่าพูดเรื่องนี้อีกนะ ขอร้อง”
ชลดาเบือนหน้าออกนอกหน้าต่างซ่อนบางสิ่งบางอย่างที่กำลังเอ่อล้นดวงตายามนึกถึงความหลังไว้อย่างแนบเนียน แต่น้ำเสียงสั่นเครือไม่ได้ช่วยปกปิดร่องรอยนั้นได้อย่างใจ
ภาณินเริ่มรู้ตัวว่าสะกิดแผลลึกของเพื่อนจึงเสเปลี่ยนเรื่อง โดยไม่ทันคิดว่าเรื่องใหม่ที่ได้ยินจะทำให้ชลดายิ่งเครียดหนักเข้าไปอีก
“เออนี่ ว่าแต่แกดิ้นรนทิ้งงานไปพัทยาวันนี้เพราะเรื่องแฟนเก่ารึเปล่า ฉันได้ยินจากเด็กที่ร้านว่าส้มหล่นผู้กำกับชัชพลเหมาดอกไม้เกือบหมดร้านเอาไปเซอร์ไพรส์สาว... ว่างั้น”
“อะไรนะ!..สาว สาวที่ไหน” ชลดาคาดคั้น มือเรียวกำแน่นสะกดกลั้นอารมณ์
“เออ... ฉันก็ได้ยินมาแบบนั้น แต่จริง ๆ เขาอาจจะสั่งดอกไม้เอาไว้เป็นแค่พร็อพประกอบฉากก็ได้นะ ใจเย็น ๆ อย่าเพิ่งหงุดหงิด”
“เย็นไม่ไหวแล้ว ฉันจะโทรเลื่อนนัดไม่ไปดูแล้วที่เท่ออะไรนั่นน่ะ แกพาฉันไปหาพี่ชัชเดี๋ยวนี้เลย”
ชลดาหยิบโทรศัพท์ควานหาเบอร์ปลายทางจะยกเลิก ยิ่งรีบร้อนลนลานก็ยิ่งหาไม่เจอจนหงุดหงิดหนักกว่าเดิม
“หายไปไหนนะไอ้เบอร์โทรเนี่ย ยิ่งรีบยิ่งช้าสิน่า”
“ค่อย ๆ คิดสิ เอาไว้ไหน” ภาณินปลอบ แต่ก็รู้ว่าชลดาคงไม่ฟัง
“นี่แก!”
“อะไร๊! เรียกซะตกใจหมดอยู่กันแค่สองคน”
ภาณินจอดรถเข้าข้างทาง หงุดหงิดกับอารมณ์เพื่อนรักที่เปลี่ยนไปมา ชลดาไม่ทันระวังตัวถึงกับหัวทิ่ม
“เจ็บนะ! เบรกไม่ดูตาม้าตาเรือเลย ขับรถดี ๆ สิเดี๋ยวหนังหน้าเพื่อนไม่สวย มะรืนมีสัมภาษณ์รายการสดนักธุรกิจพันแปดร้อยล้านด้วย”
“ก็ช่างแกสิ” ภาณินค้อนใส่ มือกำพวงมาลัยแน่น “ฉันไม่ได้อยากรู้เรื่องงานแกหรอก”
“แกไม่รู้อะไร คุณน่านฟ้าเป็นเจ้าของธุรกิจเรียลเอสเตสไม่รู้กี่โครงการ หนำซ้ำยังเป็นสถาปนิกเนื้อหอมที่สุดของวงการ”
ชลดาเน้นเสียงสูงพร้อมทั้งคลำหน้าผากป้อย ๆ เรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มกลับคืนมาสู่ทั้งคู่ได้อีกครั้ง
“ขำอะไร... ยายบ้า”
ชลดาค้อนขวับวงใหญ่เมื่อเพื่อนรักหลุดขำท่าทางจริงจังของหล่อน
“เห็นแกหัวเราะได้แบบนี้ฉันก็สบายใจ แลกกับโดนด่าเล็กน้อย ก็โอเคนะ”
ชลดาพยักหน้ายิ้มแย้มให้เพื่อนรักโดยปราศจากท่าทางเย่อหยิ่งจองหองเช่นที่ใครต่อใครเห็น
ที่จริงชลดาเป็นคนสวยจัด โลกสว่างไสวไปด้วยรอยยิ้มของหล่อนทุกครั้งที่ปรากฏ ดังที่ใครบางคนเคยบอกไว้
“พี่รักรอยยิ้มของชล”
แต่ใครจะรู้ว่ารอยยิ้มนั้นจะจางหายไปกับกาลเวลาและความทรงจำอันแสนเลวร้ายในอดีต
“ถ้าแกจะละทิฐิบ้างคงจะดีกว่านี้นะ เผื่ออะไรในชีวิตมันจะดีขึ้นมาบ้าง โดยเฉพาะเรื่องผู้ชายที่แกทิ้งน่ะ”
“ไม่ได้ทิ้ง... เขาต่างหากที่ทิ้งแต่ตอนนี้ฉันคิดได้แล้ว ฉันจะทวงเขาคืน” ชลดาหมายมั่นตาเป็นประกาย
“ฉันอยากเตือนอะไรอย่างในฐานะเพื่อนที่หวังดีกับแก”
“ว่ามา”
“ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายปล่อยมืออีกฝ่ายไปก่อน มันไม่มีวันจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรอกนะ”
“อย่าชักใบให้เรือเสียหน่อยเลย” ชลดาปราม “ฉันเชื่อว่าเขามีเยื่อใย”
“เวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยนคาดหวังไม่ได้หรอกว่าคนที่แกทิ้งเขา จะยังรอเพราะรัก ลับหลังเราเขาก็เปลี่ยนแล้วหัดมองผู้ชายซะใหม่ แกไม่ใช่เด็กแล้วนะ ฉันไม่อยากให้แกผิดหวังเพราะผู้ชายคนเดียวตลอดชีวิตนะ”
“ขอบใจแต่พี่ชัช... เขาดี”
ชลดาเผลอรำพึงถึงคนที่ยังอยู่ในความคิดตลอดเวลา ภาณินส่ายหน้าเอ่ยเตือนสติ
“เขาดี แต่ก็ยังถูกทิ้ง ผู้ชายดี ๆ ที่ไหนเขาคงรอแกหรอก”
“เป็นศิราณีหรือไง ฉันไม่ได้ขอความเห็น แต่ก็ขอบใจมากนะ” ชลดาเหลือบมอง น้ำตาคลอหน่วย “บางครั้งฉันก็เหนื่อย แต่ชีวิตคนเราเลือกอะไรไม่ได้มากนัก เพราะถ้าเลือกได้ฉันจะไม่ยอมเสียเขาไปตั้งแต่แรก”
ชลดาเสียงสั่น มองออกไปนอกหน้าต่างไม่ให้ภาณินเห็นว่าน้ำตาที่กักเก็บกำลังไหลลงมาเป็นทาง
ถ้าหากจะมีโอกาสเลือกแม้เพียงสักนิด ชัชพลจะเป็นผู้ชายคนเดียวที่หล่อนอยากจะครอบครองเขาเอาไว้ จะไม่ยอมปล่อยไปให้ผู้หญิงอย่างอรณีที่เคยทรยศความเป็นเพื่อนอย่างไม่ไยดี
ถ้าหากเป็นคนอื่น หล่อนคงไม่คิดยื้อและไม่คิดกลับมาในวังวนชีวิตของชัชพลอีกเลย
ชลดาถอนหายใจเหนื่อยหน่าย กลั้นก้อนสะอื้นกลืนหายไปไม่ให้เพื่อนรักสังเกตเห็น แต่ก็ไม่รอดพ้นสายตาชาญฉลาดที่มองอย่างทะลุปรุโปร่ง
ภาณินลูบไหล่ให้กำลังใจ ต่างคนต่างไม่มีคำพูดอะไรอีก นอกจากความเงียบ…
วิวสามร้อยหกสิบองศาของ สตาร์บาร์ ห้องอาหารเปิดโล่งบนชั้นดาดฟ้าของโรงแรมเดอะมิวซ์ ประดับประดาไปด้วยดอกไม้แสนสวยราวกับยกดอกไม้ทั้งสวนมารวมกัน
อรณีถึงกับตะลึงกับความสวยงามราวกับภาพฝันภายใต้ท้องฟ้าประดับดาวระยิบระยับเมื่อแรกก้าวสัมผัส ชัชพลเฝ้ามองดวงหน้านวลสวยของคนข้างกายด้วยประกายตาระยับจนอดใจไม่ไหว
เพราะใกล้จนหัวใจเต้นแรงเหมือนกำลังเคลื่อนไหวด้วยเสียงเพลงจังหวะเร้าใจโดยไม่มีบทเพลงบรรเลงใด
และเพราะไกลเมื่อมองสบตาแล้วมีเพียงความว่างเปล่าที่แสนชินชา
อรณีเบือนหน้าหนีสายตาเขาทันทีที่เริ่มรู้สึกตัวว่าถูกจ้องมอง เมื่อสัมผัสจากปลายนิ้วแข็งแรงโอบเอวหล่อนเอาไว้และดูเหมือนจะกระชับเข้าหาอ้อมอกอุ่นเข้าไปเรื่อย ๆ โดยไม่ทันรู้ตัวเพราะมัวแต่ตะลึงกับความงดงามเบื้องหน้า
“สวยจังเลยค่ะแต่ทำไมไม่เห็นใครเลยคะ แขกสักโต๊ะก็ไม่มี”
“เขาคงอยากให้ที่นี่เป็นสถานที่พิเศษในวันพิเศษของเราอย่างนี้มากกว่ามั้ง อย่าสนใจเลยมาทางนี้เถอะจ้ะ”
“เดี๋ยวค่ะ” หล่อนแย้ง “วันพิเศษอะไรคะ”
“มาเถอะ เดี๋ยวก็รู้”
ทางเดินทอดยาวประดับประดาด้วยไฟทางเดินเล็ก ๆ และลิลลี่สีเหลืองกับไฮเดรนเยียสีขาวแซมเหลืองตลอดระยะไปจนถึงโต๊ะอาหารเด่นอยู่กลางลาน
ชัชพลจัดแจงเลื่อนเก้าอี้ให้อย่างกระตือรือร้น อรณีงุนงแต่ก็ยอมนั่งแต่โดยดี รู้สึกถึงความพิเศษ ทั้งประหลาดใจปนอึดอัดแต่ยังไม่ทันได้ถามข้อสงสัย เสียงเพลงก็ดังขึ้น
ผู้กำกับหนุ่มบรรเลงทำนองเพลงหวานแว่วหลังแกรนด์เปียโนสีขาวโดดเด่น แสงไฟสปอตไลท์สองดวงส่องสว่างตรงไปยังจุดที่หล่อนนั่ง
เสียงทุ้มนุ่มร้องคลอแล้วปรายตามองมาเป็นระยะ เขารู้ได้อย่างไรว่าหล่อนชอบเพลงนี้ อรณีดื่มด่ำกับบทเพลงจนถึงท่อนสุดท้าย
“feels like nobody ever touched me..until you..touched me,…nobody, nobody…until you...”
“feels like nobody ever touched me..until you..touched me,”
“…nobody, nobody…until you...”
เพลงจบชัชพลยิ้มกริ่มลุกขึ้นเดินตรงมา อรณีรู้สึกจวนตัวเหลือบมองหาตัวช่วยแต่ไม่มีใครสักคนที่อยู่ในครรลองสายตา หล่อนได้แต่พูดแก้เก้อเมื่อชัชพลค้อมตัวกระซิบ
“เพลงพิเศษนี้ สำหรับอร”
“เนื่องในโอกาสอะไรคะ” อรณีแสร้งถาม ทั้งที่ท่าทางชายหนุ่มพอจะบอกได้ แต่ก็ยังไม่แน่ใจไม่อยากรับรู้แต่สถาณการณ์ช่างเป็นใจให้หล่อนไม่มีตัวช่วยอื่นใดนอกจากแสร้งทำไม่รู้
“โอกาสพิเศษจ้ะ พี่ถึงเตรียมเพลงนี้ให้อรเป็นพิเศษเลยนะ”
“เพลงโปรดอร พี่ชัชเสียงเพราะจังเลยค่ะ” อรณีเลี่ยงสบตาหวานเชื่อม “ร้องไม่ตกคีย์แบบนี้เป็นนักร้องได้สบายเลย แล้วพี่ชัชรู้ได้ยังไงว่าอรชอบเพลงนี้”
รู้สึกประหม่า หล่อนไม่น่าเปิดทางให้แต่ชัชพลก็ไม่พลาดที่จะเข้าเรื่องอีก
“พี่รู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับอร เพลงโปรด ดอกไม้ที่ชอบ ทุกสิ่งทุกอย่างเพราะพี่...”
อรณีหลบตามองเมินไปทางดอกไม้ประดับแนวทางเดิน ไล่สายตาช้า ๆ จนมาหยุดอยู่ที่ดอกไม้บนโต๊ะ แล้วจึงเงยหน้าสบตาชายหนุ่ม
“ลิลลี่สีเหลือง กับไฮเดรนเยียสีขาว อรชอบมากจริง ๆ ค่ะ” หล่อนบอกยิ้ม ๆ “ พี่ชัชเก็บรายละเอียดเก่งมาก อย่างนี้สาวที่ไหนไม่รักไม่หลงคะ”
ชัชพลหน้าชื่นขึ้นทันตา รีบนั่งลงเก้าอี้ข้าง ๆ เอื้อมมือไปจับมือเรียวมากุมไว้
“สาวแถวนี้ที่พี่พยายามตั้งนานแล้วยังไม่ใจอ่อนสักที”
ชัชพลไม่ปล่อยให้สถานการณ์ผ่านรีบเปิดประเด็นเข้าเรื่องทันทีจนอรณีถึงกับอึ้งจ้องตอบดวงตาคมแล้วตัดสินใจ
“ลิลลี่สีเหลืองและไฮเดรนเยียที่อรชอบทั้งสองชนิดมีความหมายต่างกันอย่างสิ้นเชิง พี่ชัชทราบความหมายไหมคะ”
“พี่ไม่เคยสนใจความหมายของมันหรอก นอกจากได้เห็นอรมีความสุข”
“แต่สำหรับอร ดอกไม้ทุกชนิดมีความหมายลึกซึ้งแฝงอยู่ในตัวของมันเองค่ะ ไม่ใช่แค่ความสวยงาม”
“หืม…” ชัชพลบีบมือหล่อนเบา ๆ ตั้งท่าฟัง “หมายความว่ายังไง”
“มันแตกต่างกันค่ะ” หล่อนย้ำคำก่อนจะพูดต่อ “เพราะลิลลี่สีเหลืองคือความรัก ความห่วงใย ความอบอุ่น ที่มอบให้แก่กันด้วยความปรารถนาดี”
ชัชพลนิ่งฟัง ยิ้มพอใจกับความหมาย
“ความหมายดีจริงๆ ด้วยสิ” เขาพยักหน้ารับรู้ “แล้วไฮเดรนเยียล่ะจ้ะ”
“ไฮเดรนเยียคล้ายหัวใจของอรค่ะ ดอกไม้ที่ถึงจะสวยงามแต่มีแค่หัวใจด้านชาที่มอบให้เท่านั้น อรขอโทษนะคะพี่ชัช”
พูดจบหล่อนก็ลุกพรวดก้าวออกไปโดยไม่แตะเครื่อมดื่มที่ชายหนุ่มรินให้ ชัชพลถึงกับหน้าเครียดเมื่อฟังจบ
“อร! เดี๋ยว...” ชัชพลลุกตาม “เกิดอะไรขึ้น!”
เขาคว้าแขนหล่อนได้ทันก่อนจะก้าวพ้นประตูสตาร์บาร์เข้าไปภายในตัวอาคาร ความรู้สึกน้อยใจแล่นมาเป็นสายสิ่งที่เขาทำมันไร้ค่าเสียจนหล่อนคิดหลีกหนีหรืออย่างไร
“คุยกันก่อน” ชัชพลเสียงแผ่ว “ทำไม!”
“ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้แต่อรรับไว้ไม่ได้ขอตัวไปพักก่อนนะคะ”
หญิงสาวสะบัดมืออกจากการเกาะกุมแต่ชัชพลยังคงไม่ยอมปล่อยทั้งยังบีบแขนหล่อนแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“พี่ไม่เข้าใจ ขอคำอธิบายหน่อย”
“ไม่มีคำอธิบาย บอกแล้วว่าอรมีเพียงแค่หัวใจที่ด้านชาและไม่พร้อมจะรักใคร พี่ชัชปล่อยอรเถอะนะคะ”
อรณีเว้าวอน หยาดน้ำคลอหน่วยตา หล่อนไม่กล้าแม้แต่ปฏิเสธชายหนุ่มรุนแรงไปมากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะรักและนับถือ แต่ไม่ใช่แบบที่เขาต้องการ
“แต่ พี่”
ไม่ทันที่ชัชพลจะพูดอะไรต่อ เสียงปรบมือก็ดังขึ้น ทั้งสองหันขวับไปหาที่มาของเสียงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“คุณ!”
ชัชพลปล่อยมือทันทีที่เจ้าของเสียงปรบมือเดินตรงเข้าหา กิริยาวางมาดเข้มและสายตาที่มองมาคมดุราวกับพญาเสือที่น่ายำเกรง อรณีถึงกับหน้าเสียไปทันที
“ผมไม่ยักรู้ว่าเดี๋ยวนี้ผู้กำกับกับนักแสดงของผมมีการซักซ้อมต่อบทกันนอกรอบด้วย” ปราณยิ้มเยาะ “ไหน... ขอผมดูหน่อยสิ ฉากขอความรักเมื่อกี้ท่าทางน่าตื่นเต้น ดูอลังการดี... ผมชอบ”
ปราณมองปราดทั่วบริเวณ แล้วหันกลับมาหาทั้งสอง อรณียืนนิ่งรอฟังไม่แสดงความรู้สึก ผิดกับชัชพลที่ดูตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด
“นี่เป็นฉากขอความรักหรือขอแต่งงานกันล่ะ” ปราณย้ำถามสีหน้ายิ้มแต่เป็นยิ้มเชือดเฉือนจนน่าอึดอัด
“เอ่อ... คือผมไม่ได้”
ชัชพลคิดแก้ตัวกลัวจะเดือดร้อนถึงอรณีเพราะรู้กิตติศัพท์ชายตรงหน้า แต่หล่อนกลับขัดขึ้นอย่างไม่กลัวเกรง
“ท่านประธานมาทำไมคะ” หล่อนถามเสียงขุ่น “อย่าบอกว่าจะมาควบคุมความประพฤติกันทุกฝีก้าวหรอกนะ ฉันบอกแล้วว่าไม่กลัวคุณ ไม่เคยกลัว และไม่คิดจะกลัวด้วย”
“ดี! ถ้ายังไม่เชื่อฟังทำตัวเป็นข่าวฉาวให้ราคาตกอีกละก็ผมจะเด็ดปีกสวย ๆ ของคุณระวังตัวไว้ให้ดี”
“คุณขู่ฉัน! คุณปราณ!”
อรณีตาวาวก้าวเข้าหาท่าทางเอาเรื่อง ร้อนถึงชัชพลต้องรีบคว้าแขนหล่อนไว้ก่อนจะมีอะไรเกิดขึ้น ปราณยิ้มเยาะเมื่อเห็นอาการปรอทแตกของหล่อน ไม่ทันที่จะได้ต่อปากต่อคำใครบางคนก็ก้าวเข้ามาพร้อมกับอุทานด้วยความดีใจ
“คุณอา!”
ปราณหันไปตามเสียงคุ้นเคย รอยยิ้มยินดีเกิดขึ้นราวอัตโนมัติ ร่างสูงท้วมก้าวเข้าหาเสียงหวานที่เอ่ยเรียกเขาอย่างดีใจ
“อ้าว!... หลานสาวคนสวยของอา” ปราณเข้าโอบไหล่สาวน้อย “เป็นไงบ้างเรา พร้อมรึยัง”
“พร้อมแล้วค่ะ...” สาวน้อยฉีกยิ้มกว้างกอดรอบเอวตอบ “ขอบคุณคุณอาที่มองเห็นความสามารถของหนูค่ะ”
ชัชพลตอบมองคนในอ้อมกอดปราณเขม็งจนสาวน้อยรู้สึกตัว ในขณะเดียวกันคนที่เดินตามคนมาใหม่มาติด ๆ ถึงกับตะลึงเมื่อสบเข้ากับดวงตากลมของคนคุ้นเคยยืนอยู่ข้างผู้กำกับหนุ่ม
“ณุ!”
คำเรียกแผ่วเบาถูกกลืนหายไปในลำคอ เพราะมัวแต่ตะลึงเมื่อเห็นความใกล้ชิดสนิทสนมของสองหนุ่มสาว คคนานต์ยิ้มกว้างยินดีเมื่อพบนางเอกในดวงใจ ปล่อยมือจากปราณแล้วตรงเข้าหาหญิงสาว
“สวัสดีค่ะคุณอรณี หนูคือคนที่แคสได้บทลูกสาวคุณในภาคสองค่ะ” หล่อนแนะนำตัวน้ำเสียงตื่นเต้นคว้าสองมืออรณีมากำแน่น
“ฉันเคยได้ยินเรื่องของคุณจากทีมงาน” อรณียิ้มฝืดเฝือ “แต่ไม่คิดว่าจะเป็นหลานสาวท่านประธาน”
“ยินดีที่รู้จักพี่อรนะคะ”
อรณีเหลือบมองปราณ ชัชพลด้วยสีหน้าลำบากใจและหยุดสายตาที่ภาณุและเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“แล้วคุณคือ...”
คคนานต์มองตามแล้วได้ยิ้มเขินพูดไม่ออก ก่อนจะปล่อยมือแล้วถอยมาเกาะแขนภาณุที่ยืนนิ่งอยู่ด้านหลัง ไม่ทันที่หล่อนจะได้แนะนำ ภาณุก็เอ่ยน้ำเสียงประหม่า
“ผม ภาณุ... ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่า
ขอฝากอีบุ๊คเรื่องนี้ด้วยนะคะ
https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=57488
ขอบคุณมากๆ ค่า ^__^
“นี่มันกะจะติดถึงเช้าเลยรึไง อะไรนักหนาเนี่ยขนาดเดินทางใกล้ ๆ ยังใช้เวลาขนาดนี้ ทำไมไม่รู้จักนอนอยู่บ้านอยู่ช่องกันมั่งนะ ออกมาให้รถติดอยู่ได้” ชลดาสบถหัวเสีย
“ฉันว่าเธอน่ารำคาญกว่ารถที่ติดกันเป็นแถวยาวเหยียดอีกนะ ฉันไม่ใช่เบ๊ อุตส่าห์ทิ้งร้านมาขับรถให้ยังไม่ว่าดีอีก ถ้าจะหงุดหงิดฟาดหัวฟาดหางอีก ฉันจะลงกลางทางให้แกขับไปเองเลย”
เจ้าของร้านดอกไม้เอ่ยด้วยความหงุดหงิดเมื่อเห็นหน้าเพื่อนรักงอเป็นจวัก ชลดาฟังแล้วนึกหมั่นไส้สวนกลับทันควัน
“ดีจ้ะ ดีที่สุดเลย แม่เพื่อนรักสุดประเสริฐ แต่จะดีกว่านี้ถ้าแกขับรถไปเฉย ๆ ไม่พูดมาก”
“เออนี่ ว่าแต่มาถึงพัทยาแล้ว กะจะไปที่นั่นรึเปล่า”
ภาณินชวนคุย สายตามองตรงระมัดระวังในการขับขี่ แต่คนฟังถึงกับนิ่งไปก่อนจะหันขวับมามองตาขวาง
“ถามทำไม”
“ฉันก็แค่เห็นอีกนิดเดียวก็จะถึงที่นั่นแล้ว ถ้าแกอยากไป ฉันจะไปเป็นเพื่อนแกเอง”
“เงียบไปเลย” ชลดาเสียงแข็งกร้าว “ถามอะไรโง่ ๆ ฉันจะไม่ไปเหยียบที่นั่นอีก”
“ฉันก็แค่อยากให้แกกลับไปที่นั่นบ้าง เขาอาจจะรอแกอยู่”
“ไม่มีวัน แกก็รู้ ถ้ารักกันจริงอย่าพูดเรื่องนี้อีกนะ ขอร้อง”
ชลดาเบือนหน้าออกนอกหน้าต่างซ่อนบางสิ่งบางอย่างที่กำลังเอ่อล้นดวงตายามนึกถึงความหลังไว้อย่างแนบเนียน แต่น้ำเสียงสั่นเครือไม่ได้ช่วยปกปิดร่องรอยนั้นได้อย่างใจ
ภาณินเริ่มรู้ตัวว่าสะกิดแผลลึกของเพื่อนจึงเสเปลี่ยนเรื่อง โดยไม่ทันคิดว่าเรื่องใหม่ที่ได้ยินจะทำให้ชลดายิ่งเครียดหนักเข้าไปอีก
“เออนี่ ว่าแต่แกดิ้นรนทิ้งงานไปพัทยาวันนี้เพราะเรื่องแฟนเก่ารึเปล่า ฉันได้ยินจากเด็กที่ร้านว่าส้มหล่นผู้กำกับชัชพลเหมาดอกไม้เกือบหมดร้านเอาไปเซอร์ไพรส์สาว... ว่างั้น”
“อะไรนะ!..สาว สาวที่ไหน” ชลดาคาดคั้น มือเรียวกำแน่นสะกดกลั้นอารมณ์
“เออ... ฉันก็ได้ยินมาแบบนั้น แต่จริง ๆ เขาอาจจะสั่งดอกไม้เอาไว้เป็นแค่พร็อพประกอบฉากก็ได้นะ ใจเย็น ๆ อย่าเพิ่งหงุดหงิด”
“เย็นไม่ไหวแล้ว ฉันจะโทรเลื่อนนัดไม่ไปดูแล้วที่เท่ออะไรนั่นน่ะ แกพาฉันไปหาพี่ชัชเดี๋ยวนี้เลย”
ชลดาหยิบโทรศัพท์ควานหาเบอร์ปลายทางจะยกเลิก ยิ่งรีบร้อนลนลานก็ยิ่งหาไม่เจอจนหงุดหงิดหนักกว่าเดิม
“หายไปไหนนะไอ้เบอร์โทรเนี่ย ยิ่งรีบยิ่งช้าสิน่า”
“ค่อย ๆ คิดสิ เอาไว้ไหน” ภาณินปลอบ แต่ก็รู้ว่าชลดาคงไม่ฟัง
“นี่แก!”
“อะไร๊! เรียกซะตกใจหมดอยู่กันแค่สองคน”
ภาณินจอดรถเข้าข้างทาง หงุดหงิดกับอารมณ์เพื่อนรักที่เปลี่ยนไปมา ชลดาไม่ทันระวังตัวถึงกับหัวทิ่ม
“เจ็บนะ! เบรกไม่ดูตาม้าตาเรือเลย ขับรถดี ๆ สิเดี๋ยวหนังหน้าเพื่อนไม่สวย มะรืนมีสัมภาษณ์รายการสดนักธุรกิจพันแปดร้อยล้านด้วย”
“ก็ช่างแกสิ” ภาณินค้อนใส่ มือกำพวงมาลัยแน่น “ฉันไม่ได้อยากรู้เรื่องงานแกหรอก”
“แกไม่รู้อะไร คุณน่านฟ้าเป็นเจ้าของธุรกิจเรียลเอสเตสไม่รู้กี่โครงการ หนำซ้ำยังเป็นสถาปนิกเนื้อหอมที่สุดของวงการ”
ชลดาเน้นเสียงสูงพร้อมทั้งคลำหน้าผากป้อย ๆ เรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มกลับคืนมาสู่ทั้งคู่ได้อีกครั้ง
“ขำอะไร... ยายบ้า”
ชลดาค้อนขวับวงใหญ่เมื่อเพื่อนรักหลุดขำท่าทางจริงจังของหล่อน
“เห็นแกหัวเราะได้แบบนี้ฉันก็สบายใจ แลกกับโดนด่าเล็กน้อย ก็โอเคนะ”
ชลดาพยักหน้ายิ้มแย้มให้เพื่อนรักโดยปราศจากท่าทางเย่อหยิ่งจองหองเช่นที่ใครต่อใครเห็น
ที่จริงชลดาเป็นคนสวยจัด โลกสว่างไสวไปด้วยรอยยิ้มของหล่อนทุกครั้งที่ปรากฏ ดังที่ใครบางคนเคยบอกไว้
“พี่รักรอยยิ้มของชล”
แต่ใครจะรู้ว่ารอยยิ้มนั้นจะจางหายไปกับกาลเวลาและความทรงจำอันแสนเลวร้ายในอดีต
“ถ้าแกจะละทิฐิบ้างคงจะดีกว่านี้นะ เผื่ออะไรในชีวิตมันจะดีขึ้นมาบ้าง โดยเฉพาะเรื่องผู้ชายที่แกทิ้งน่ะ”
“ไม่ได้ทิ้ง... เขาต่างหากที่ทิ้งแต่ตอนนี้ฉันคิดได้แล้ว ฉันจะทวงเขาคืน” ชลดาหมายมั่นตาเป็นประกาย
“ฉันอยากเตือนอะไรอย่างในฐานะเพื่อนที่หวังดีกับแก”
“ว่ามา”
“ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายปล่อยมืออีกฝ่ายไปก่อน มันไม่มีวันจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรอกนะ”
“อย่าชักใบให้เรือเสียหน่อยเลย” ชลดาปราม “ฉันเชื่อว่าเขามีเยื่อใย”
“เวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยนคาดหวังไม่ได้หรอกว่าคนที่แกทิ้งเขา จะยังรอเพราะรัก ลับหลังเราเขาก็เปลี่ยนแล้วหัดมองผู้ชายซะใหม่ แกไม่ใช่เด็กแล้วนะ ฉันไม่อยากให้แกผิดหวังเพราะผู้ชายคนเดียวตลอดชีวิตนะ”
“ขอบใจแต่พี่ชัช... เขาดี”
ชลดาเผลอรำพึงถึงคนที่ยังอยู่ในความคิดตลอดเวลา ภาณินส่ายหน้าเอ่ยเตือนสติ
“เขาดี แต่ก็ยังถูกทิ้ง ผู้ชายดี ๆ ที่ไหนเขาคงรอแกหรอก”
“เป็นศิราณีหรือไง ฉันไม่ได้ขอความเห็น แต่ก็ขอบใจมากนะ” ชลดาเหลือบมอง น้ำตาคลอหน่วย “บางครั้งฉันก็เหนื่อย แต่ชีวิตคนเราเลือกอะไรไม่ได้มากนัก เพราะถ้าเลือกได้ฉันจะไม่ยอมเสียเขาไปตั้งแต่แรก”
ชลดาเสียงสั่น มองออกไปนอกหน้าต่างไม่ให้ภาณินเห็นว่าน้ำตาที่กักเก็บกำลังไหลลงมาเป็นทาง
ถ้าหากจะมีโอกาสเลือกแม้เพียงสักนิด ชัชพลจะเป็นผู้ชายคนเดียวที่หล่อนอยากจะครอบครองเขาเอาไว้ จะไม่ยอมปล่อยไปให้ผู้หญิงอย่างอรณีที่เคยทรยศความเป็นเพื่อนอย่างไม่ไยดี
ถ้าหากเป็นคนอื่น หล่อนคงไม่คิดยื้อและไม่คิดกลับมาในวังวนชีวิตของชัชพลอีกเลย
ชลดาถอนหายใจเหนื่อยหน่าย กลั้นก้อนสะอื้นกลืนหายไปไม่ให้เพื่อนรักสังเกตเห็น แต่ก็ไม่รอดพ้นสายตาชาญฉลาดที่มองอย่างทะลุปรุโปร่ง
ภาณินลูบไหล่ให้กำลังใจ ต่างคนต่างไม่มีคำพูดอะไรอีก นอกจากความเงียบ…
วิวสามร้อยหกสิบองศาของ สตาร์บาร์ ห้องอาหารเปิดโล่งบนชั้นดาดฟ้าของโรงแรมเดอะมิวซ์ ประดับประดาไปด้วยดอกไม้แสนสวยราวกับยกดอกไม้ทั้งสวนมารวมกัน
อรณีถึงกับตะลึงกับความสวยงามราวกับภาพฝันภายใต้ท้องฟ้าประดับดาวระยิบระยับเมื่อแรกก้าวสัมผัส ชัชพลเฝ้ามองดวงหน้านวลสวยของคนข้างกายด้วยประกายตาระยับจนอดใจไม่ไหว
เพราะใกล้จนหัวใจเต้นแรงเหมือนกำลังเคลื่อนไหวด้วยเสียงเพลงจังหวะเร้าใจโดยไม่มีบทเพลงบรรเลงใด
และเพราะไกลเมื่อมองสบตาแล้วมีเพียงความว่างเปล่าที่แสนชินชา
อรณีเบือนหน้าหนีสายตาเขาทันทีที่เริ่มรู้สึกตัวว่าถูกจ้องมอง เมื่อสัมผัสจากปลายนิ้วแข็งแรงโอบเอวหล่อนเอาไว้และดูเหมือนจะกระชับเข้าหาอ้อมอกอุ่นเข้าไปเรื่อย ๆ โดยไม่ทันรู้ตัวเพราะมัวแต่ตะลึงกับความงดงามเบื้องหน้า
“สวยจังเลยค่ะแต่ทำไมไม่เห็นใครเลยคะ แขกสักโต๊ะก็ไม่มี”
“เขาคงอยากให้ที่นี่เป็นสถานที่พิเศษในวันพิเศษของเราอย่างนี้มากกว่ามั้ง อย่าสนใจเลยมาทางนี้เถอะจ้ะ”
“เดี๋ยวค่ะ” หล่อนแย้ง “วันพิเศษอะไรคะ”
“มาเถอะ เดี๋ยวก็รู้”
ทางเดินทอดยาวประดับประดาด้วยไฟทางเดินเล็ก ๆ และลิลลี่สีเหลืองกับไฮเดรนเยียสีขาวแซมเหลืองตลอดระยะไปจนถึงโต๊ะอาหารเด่นอยู่กลางลาน
ชัชพลจัดแจงเลื่อนเก้าอี้ให้อย่างกระตือรือร้น อรณีงุนงแต่ก็ยอมนั่งแต่โดยดี รู้สึกถึงความพิเศษ ทั้งประหลาดใจปนอึดอัดแต่ยังไม่ทันได้ถามข้อสงสัย เสียงเพลงก็ดังขึ้น
ผู้กำกับหนุ่มบรรเลงทำนองเพลงหวานแว่วหลังแกรนด์เปียโนสีขาวโดดเด่น แสงไฟสปอตไลท์สองดวงส่องสว่างตรงไปยังจุดที่หล่อนนั่ง
เสียงทุ้มนุ่มร้องคลอแล้วปรายตามองมาเป็นระยะ เขารู้ได้อย่างไรว่าหล่อนชอบเพลงนี้ อรณีดื่มด่ำกับบทเพลงจนถึงท่อนสุดท้าย
“feels like nobody ever touched me..until you..touched me,…nobody, nobody…until you...”
“feels like nobody ever touched me..until you..touched me,”
“…nobody, nobody…until you...”
เพลงจบชัชพลยิ้มกริ่มลุกขึ้นเดินตรงมา อรณีรู้สึกจวนตัวเหลือบมองหาตัวช่วยแต่ไม่มีใครสักคนที่อยู่ในครรลองสายตา หล่อนได้แต่พูดแก้เก้อเมื่อชัชพลค้อมตัวกระซิบ
“เพลงพิเศษนี้ สำหรับอร”
“เนื่องในโอกาสอะไรคะ” อรณีแสร้งถาม ทั้งที่ท่าทางชายหนุ่มพอจะบอกได้ แต่ก็ยังไม่แน่ใจไม่อยากรับรู้แต่สถาณการณ์ช่างเป็นใจให้หล่อนไม่มีตัวช่วยอื่นใดนอกจากแสร้งทำไม่รู้
“โอกาสพิเศษจ้ะ พี่ถึงเตรียมเพลงนี้ให้อรเป็นพิเศษเลยนะ”
“เพลงโปรดอร พี่ชัชเสียงเพราะจังเลยค่ะ” อรณีเลี่ยงสบตาหวานเชื่อม “ร้องไม่ตกคีย์แบบนี้เป็นนักร้องได้สบายเลย แล้วพี่ชัชรู้ได้ยังไงว่าอรชอบเพลงนี้”
รู้สึกประหม่า หล่อนไม่น่าเปิดทางให้แต่ชัชพลก็ไม่พลาดที่จะเข้าเรื่องอีก
“พี่รู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับอร เพลงโปรด ดอกไม้ที่ชอบ ทุกสิ่งทุกอย่างเพราะพี่...”
อรณีหลบตามองเมินไปทางดอกไม้ประดับแนวทางเดิน ไล่สายตาช้า ๆ จนมาหยุดอยู่ที่ดอกไม้บนโต๊ะ แล้วจึงเงยหน้าสบตาชายหนุ่ม
“ลิลลี่สีเหลือง กับไฮเดรนเยียสีขาว อรชอบมากจริง ๆ ค่ะ” หล่อนบอกยิ้ม ๆ “ พี่ชัชเก็บรายละเอียดเก่งมาก อย่างนี้สาวที่ไหนไม่รักไม่หลงคะ”
ชัชพลหน้าชื่นขึ้นทันตา รีบนั่งลงเก้าอี้ข้าง ๆ เอื้อมมือไปจับมือเรียวมากุมไว้
“สาวแถวนี้ที่พี่พยายามตั้งนานแล้วยังไม่ใจอ่อนสักที”
ชัชพลไม่ปล่อยให้สถานการณ์ผ่านรีบเปิดประเด็นเข้าเรื่องทันทีจนอรณีถึงกับอึ้งจ้องตอบดวงตาคมแล้วตัดสินใจ
“ลิลลี่สีเหลืองและไฮเดรนเยียที่อรชอบทั้งสองชนิดมีความหมายต่างกันอย่างสิ้นเชิง พี่ชัชทราบความหมายไหมคะ”
“พี่ไม่เคยสนใจความหมายของมันหรอก นอกจากได้เห็นอรมีความสุข”
“แต่สำหรับอร ดอกไม้ทุกชนิดมีความหมายลึกซึ้งแฝงอยู่ในตัวของมันเองค่ะ ไม่ใช่แค่ความสวยงาม”
“หืม…” ชัชพลบีบมือหล่อนเบา ๆ ตั้งท่าฟัง “หมายความว่ายังไง”
“มันแตกต่างกันค่ะ” หล่อนย้ำคำก่อนจะพูดต่อ “เพราะลิลลี่สีเหลืองคือความรัก ความห่วงใย ความอบอุ่น ที่มอบให้แก่กันด้วยความปรารถนาดี”
ชัชพลนิ่งฟัง ยิ้มพอใจกับความหมาย
“ความหมายดีจริงๆ ด้วยสิ” เขาพยักหน้ารับรู้ “แล้วไฮเดรนเยียล่ะจ้ะ”
“ไฮเดรนเยียคล้ายหัวใจของอรค่ะ ดอกไม้ที่ถึงจะสวยงามแต่มีแค่หัวใจด้านชาที่มอบให้เท่านั้น อรขอโทษนะคะพี่ชัช”
พูดจบหล่อนก็ลุกพรวดก้าวออกไปโดยไม่แตะเครื่อมดื่มที่ชายหนุ่มรินให้ ชัชพลถึงกับหน้าเครียดเมื่อฟังจบ
“อร! เดี๋ยว...” ชัชพลลุกตาม “เกิดอะไรขึ้น!”
เขาคว้าแขนหล่อนได้ทันก่อนจะก้าวพ้นประตูสตาร์บาร์เข้าไปภายในตัวอาคาร ความรู้สึกน้อยใจแล่นมาเป็นสายสิ่งที่เขาทำมันไร้ค่าเสียจนหล่อนคิดหลีกหนีหรืออย่างไร
“คุยกันก่อน” ชัชพลเสียงแผ่ว “ทำไม!”
“ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้แต่อรรับไว้ไม่ได้ขอตัวไปพักก่อนนะคะ”
หญิงสาวสะบัดมืออกจากการเกาะกุมแต่ชัชพลยังคงไม่ยอมปล่อยทั้งยังบีบแขนหล่อนแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“พี่ไม่เข้าใจ ขอคำอธิบายหน่อย”
“ไม่มีคำอธิบาย บอกแล้วว่าอรมีเพียงแค่หัวใจที่ด้านชาและไม่พร้อมจะรักใคร พี่ชัชปล่อยอรเถอะนะคะ”
อรณีเว้าวอน หยาดน้ำคลอหน่วยตา หล่อนไม่กล้าแม้แต่ปฏิเสธชายหนุ่มรุนแรงไปมากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะรักและนับถือ แต่ไม่ใช่แบบที่เขาต้องการ
“แต่ พี่”
ไม่ทันที่ชัชพลจะพูดอะไรต่อ เสียงปรบมือก็ดังขึ้น ทั้งสองหันขวับไปหาที่มาของเสียงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“คุณ!”
ชัชพลปล่อยมือทันทีที่เจ้าของเสียงปรบมือเดินตรงเข้าหา กิริยาวางมาดเข้มและสายตาที่มองมาคมดุราวกับพญาเสือที่น่ายำเกรง อรณีถึงกับหน้าเสียไปทันที
“ผมไม่ยักรู้ว่าเดี๋ยวนี้ผู้กำกับกับนักแสดงของผมมีการซักซ้อมต่อบทกันนอกรอบด้วย” ปราณยิ้มเยาะ “ไหน... ขอผมดูหน่อยสิ ฉากขอความรักเมื่อกี้ท่าทางน่าตื่นเต้น ดูอลังการดี... ผมชอบ”
ปราณมองปราดทั่วบริเวณ แล้วหันกลับมาหาทั้งสอง อรณียืนนิ่งรอฟังไม่แสดงความรู้สึก ผิดกับชัชพลที่ดูตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด
“นี่เป็นฉากขอความรักหรือขอแต่งงานกันล่ะ” ปราณย้ำถามสีหน้ายิ้มแต่เป็นยิ้มเชือดเฉือนจนน่าอึดอัด
“เอ่อ... คือผมไม่ได้”
ชัชพลคิดแก้ตัวกลัวจะเดือดร้อนถึงอรณีเพราะรู้กิตติศัพท์ชายตรงหน้า แต่หล่อนกลับขัดขึ้นอย่างไม่กลัวเกรง
“ท่านประธานมาทำไมคะ” หล่อนถามเสียงขุ่น “อย่าบอกว่าจะมาควบคุมความประพฤติกันทุกฝีก้าวหรอกนะ ฉันบอกแล้วว่าไม่กลัวคุณ ไม่เคยกลัว และไม่คิดจะกลัวด้วย”
“ดี! ถ้ายังไม่เชื่อฟังทำตัวเป็นข่าวฉาวให้ราคาตกอีกละก็ผมจะเด็ดปีกสวย ๆ ของคุณระวังตัวไว้ให้ดี”
“คุณขู่ฉัน! คุณปราณ!”
อรณีตาวาวก้าวเข้าหาท่าทางเอาเรื่อง ร้อนถึงชัชพลต้องรีบคว้าแขนหล่อนไว้ก่อนจะมีอะไรเกิดขึ้น ปราณยิ้มเยาะเมื่อเห็นอาการปรอทแตกของหล่อน ไม่ทันที่จะได้ต่อปากต่อคำใครบางคนก็ก้าวเข้ามาพร้อมกับอุทานด้วยความดีใจ
“คุณอา!”
ปราณหันไปตามเสียงคุ้นเคย รอยยิ้มยินดีเกิดขึ้นราวอัตโนมัติ ร่างสูงท้วมก้าวเข้าหาเสียงหวานที่เอ่ยเรียกเขาอย่างดีใจ
“อ้าว!... หลานสาวคนสวยของอา” ปราณเข้าโอบไหล่สาวน้อย “เป็นไงบ้างเรา พร้อมรึยัง”
“พร้อมแล้วค่ะ...” สาวน้อยฉีกยิ้มกว้างกอดรอบเอวตอบ “ขอบคุณคุณอาที่มองเห็นความสามารถของหนูค่ะ”
ชัชพลตอบมองคนในอ้อมกอดปราณเขม็งจนสาวน้อยรู้สึกตัว ในขณะเดียวกันคนที่เดินตามคนมาใหม่มาติด ๆ ถึงกับตะลึงเมื่อสบเข้ากับดวงตากลมของคนคุ้นเคยยืนอยู่ข้างผู้กำกับหนุ่ม
“ณุ!”
คำเรียกแผ่วเบาถูกกลืนหายไปในลำคอ เพราะมัวแต่ตะลึงเมื่อเห็นความใกล้ชิดสนิทสนมของสองหนุ่มสาว คคนานต์ยิ้มกว้างยินดีเมื่อพบนางเอกในดวงใจ ปล่อยมือจากปราณแล้วตรงเข้าหาหญิงสาว
“สวัสดีค่ะคุณอรณี หนูคือคนที่แคสได้บทลูกสาวคุณในภาคสองค่ะ” หล่อนแนะนำตัวน้ำเสียงตื่นเต้นคว้าสองมืออรณีมากำแน่น
“ฉันเคยได้ยินเรื่องของคุณจากทีมงาน” อรณียิ้มฝืดเฝือ “แต่ไม่คิดว่าจะเป็นหลานสาวท่านประธาน”
“ยินดีที่รู้จักพี่อรนะคะ”
อรณีเหลือบมองปราณ ชัชพลด้วยสีหน้าลำบากใจและหยุดสายตาที่ภาณุและเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“แล้วคุณคือ...”
คคนานต์มองตามแล้วได้ยิ้มเขินพูดไม่ออก ก่อนจะปล่อยมือแล้วถอยมาเกาะแขนภาณุที่ยืนนิ่งอยู่ด้านหลัง ไม่ทันที่หล่อนจะได้แนะนำ ภาณุก็เอ่ยน้ำเสียงประหม่า
“ผม ภาณุ... ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่า
ขอฝากอีบุ๊คเรื่องนี้ด้วยนะคะ
https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=57488
ขอบคุณมากๆ ค่า ^__^
lovereason2
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 มิ.ย. 2560, 21:06:17 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 มิ.ย. 2560, 21:06:17 น.
จำนวนการเข้าชม : 1196
<< บทที่ 9/1 เรื่องบังเอิญ 50% | บทที่ 10/1 ท้องฟ้าแปรปรวน หัวใจรวนเร >> |