กว่าจะสุดทาง
ความเห็นแก่ตัว การรักแต่ตัวเอง การดูถูกและเหยียดหยามได้สร้างความแค้นและความกดดันขึ้นในใจ เมื่อถึงวันที่มีโอกาส การแก้แค้นเอาคืนก็เกิดขึ้น ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม
Tags: พี่น้อง คนรัก สุดทาง

ตอน: ตอนที่ 3 กว่าจะสุดทาง

อนีฆาปล่อยมือจากลูกบิดประตู แต่ขาไม่ขยับเขยื้อน เธอเอียงศีรษะเข้าไปใกล้ซอกประตู เพื่อให้ได้ยินการสนทนานั้นชัดเจนขึ้น
“คุณพี่ใจเย็นๆก่อนนะคะ ลองเล่าให้จ๋าฟังหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ตอนเช้าก่อนพี่ไปทำงาน” อมาตย์เล่าเรื่องภรรยาให้วัชรินทร์ฟังปนเสียงสะอื้น “จุ๋มขอคุยกับพี่ ... พี่เพิ่งสังเกตเห็นว่า เขาจัดกระเป๋าใบใหญ่เตรียมเดินทาง ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
“จ๋าขึ้นไปดูเมื่อกี้ก็เห็นข้าวของยังอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง ไม่เห็นร่องรอยว่ามีการเคลื่อนย้าย”
“เขาเอาไปแต่ที่จำเป็น เขาจงใจทิ้งทุกอย่างไว้ที่นี่ เขาไม่ต้องการมีอะไรที่ทำให้นึกถึงที่นี่อีก”
“จ๋าไม่อยากจะเชื่อ”
เมื่อได้ยินประโยคนั้นอมาตย์ไม่สามารถระงับความโกรธได้ เขาหยิบกรอบรูปที่ใส่รูปสมาชิกในครอบครัวกำลังหัวเราะกันอย่างเบิกบานเมื่อครั้งไปเที่ยวหัวหินด้วยกัน โยนมันไปกระทบฝาห้องด้านหนึ่งอย่างแรงเสียงดังเพล้ง กรอบรูปหักและกระจกแตกกระจาย
“จ๋าคิดว่าพี่พูดโกหกหรือ”
วัชรินทร์ตกใจรีบปฏิเสธทันที
“ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่ไม่เชื่อพี่อมาตย์ แต่ไม่อยากเชื่อว่าพี่จุ๋มจะทำได้”
“มันเป็นใคร ไอ้ฝรั่งคนนั้นมันเป็นใคร” อมาตย์ถามสียงสั่น
“มิสเตอร์ฟรองซัวค่ะ คือ ..เอ่อ..” วัชรินทร์ลังเลที่จะเล่าต่อ
“มันเป็นใคร จ๋า”
“คือ ... เป็นคนรักพี่จุ๋มสมัยเรียนอยู่ที่ปารีสค่ะ”
“แล้ว ทำไม ... จ๋าเล่ามาทั้งหมดได้ไหม ไม่ต้องให้พี่คอยถาม ช่วยเล่าความจริงให้พี่ตาสว่างทีเถอะ”
“เขา 2 คนรักกันมาตั้งแต่อายุ 15 – 16 แต่คุณพ่อไม่ชอบ ไม่ต้องการมีลูกเขยต่างชาติ เมื่อทราบความจริงตอนที่พี่จุ๋มกลับมาเมืองไทย คุณพ่อก็ยื่นคำขาดให้เลิกกัน แต่คุณฟรองซัวก็ตามพี่จุ๋มมาเมืองไทย และพยายามหางานทำเพื่อจะได้อยู่ที่นี่ คุณพ่อใช้อิทธิพลทุกอย่าง จนคุณฟรองซัวไม่สามารถทำงานที่ไหนได้นาน สุดท้ายก็ต้องย้ายกลับฝรั่งเศส พี่จุ๋มก็จะตามกลับไปด้วย แต่คุณแม่ล้มป่วยด้วยโรคหัวใจเสียก่อน ทั้งยังเครียดเรื่องนี้จนเกิดอาการซึมเศร้า พี่จุ๋มไปไหนไม่ได้เลย กลัวคุณแม่จะทำร้ายตัวเอง สุดท้ายทั้งคู่ก็ต้องแยกจากกัน”
“จุ๋มถูกบังคับให้แต่งงานกับพี่หรือนี่”
“ก็ไม่เชิงค่ะ คือหลังจากคุณฟรองซัวกลับไป คุณพ่อก็พยายามหาผู้ชายดีๆให้พี่จุ๋ม เพื่อให้ลืมคนรักได้เร็วขึ้น มีคนแนะนำพี่อมาตย์ค่ะ จะว่าไปพี่สองคนก็ได้รู้จักสนิทสนมกันเกือบ 2 ปีนี่คะ ก่อนที่จะแต่งงานกัน พี่อมาตย์ก็เห็นนะคะว่าพี่จุ๋มก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจำใจแต่งงานเลย”
“แล้วมันกลับมาทำไม ทั้งๆที่จุ๋มแต่งงานและมีลูกถึง 3 คนแล้ว”
เรื่องนี้จ๋าไม่ทราบจริงๆค่ะ นี่ถ้าคุณพ่อคุณแม่จ๋ายังมีชีวิตอยู่ ท่านคงจะเสียใจมาก หรือเป็นเพราะคุณพ่อคุณแม่ไม่อยู่แล้วกระมัง พี่จุ๋มถึงกล้าทำ”
“แต่พี่ยังมีชีวิตอยู่นะ หรือ พี่ไม่ควรมีชีวิตอยู่” อมาตย์สะอื้นอย่างแรง
อนีฆาได้ยินเสียงบิดาสะอื้นเต็มสองหู เธอสงสารบิดาจับใจ
“พี่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร พี่ทำทุกอย่างเพื่อจุ๋ม ไม่เคยนอกใจ ไม่มองผู้หญิงอื่น ไม่เคยแม้แต่จะคิดนอกใจเขา พี่จะอยู่ได้อย่างไรถ้าไม่มีเขา”
วัชรินทร์บีบมือพี่เขยเบาๆ อย่างพยายามให้กำลังใจ พร้อมพูดว่า
“พี่อมาตย์ยังมีลูกที่น่ารัก 3 คนนะคะ ถ้าพี่อมาตย์ไม่อยู่ หลานๆจะอยู่ได้อย่างไรคะ พี่อมาตย์จึงต้องเข้มแข็ง อยู่เป็นที่พึ่งของหลานๆไงคะ”
อมาตย์ไม่ตอบ เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดหน้าแล้วร้องไห้อย่างไม่อายน้องภรรยาซึ่งสนิทสนมคุ้นเคยกันมาตั้งแต่ต้น
“ถึงจ๋าจะเป็นน้องแท้ของพี่จุ๋ม แต่จ๋าก็เห็นว่าพี่จุ๋มทำไม่ถูก” วัชรินทร์พยายามพูดปลอบใจพี่เขย “ และจ๋าเชื่อว่า พี่จุ๋มก็ไม่มีความสุขหรอกค่ะที่ทำอย่างนี้ คนเป็นแม่จะตัดหัวใจทิ้งไว้เบื้องหลังอย่างนี้ ไม่มีวันมีความสงบสุขแน่ๆค่ะ”
“สงสารยายนัต ลูกยังเล็กแล้วก็สนิทกับแม่มาก”
เมื่อพูดถึงลูกๆ อมาตย์ค่อยผ่อนคลายความทุกข์ลง และเริ่มรู้สึกเป็นห่วง แต่ก็ยังไม่สามารถพูดจาปลอบโยนลูกๆได้ในขณะที่ตนเองยังอยู่ในอาการเช่นนี้ จึงขอร้องให้วัชรินทร์ช่วยดูแลหลานด้วย
“ได้เลยค่ะ พี่อมาตย์เข้มแข็งนะคะ ลองคิดทบทวนว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป ที่มันเกิดขึ้นวันนี้ ยังไงมันก็เกิดขึ้นแล้ว เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว เราต้องหาหนทางที่จะทำให้เราทุกคนดำเนินชีวิตกันต่อไปได้ โดยมีพี่อมาตย์เป็นผู้นำนะคะ
อนีฆาไม่เห็นว่าบิดามีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อได้ยินคำแนะนำของวัชรินทร์ เธอออกเดินจากตรงที่ยืนฟังอยู่ กลับขึ้นไปยังห้องนอนทันที ความที่เธอเป็นคนใจแข็งและมีนิสัยเด็ดเดี่ยวเป็นตัวของตัวเองมาตั้งแต่เล็ก อนีฆาจึงตัดสินใจว่า เธอจะไม่ร้องไห้เพราะเรื่องนี้อีกแล้ว เธอจะไม่ยอมเสียน้ำตาให้มารดาอีกต่อไป นึกในใจว่า
“เมื่อคุณแม่รักคนอื่น คุณแม่ไม่รักนี นีก็ไม่รักคุณแม่ได้เหมือนกัน”
----------------------------
วันนี้ไม่ใช่วันหยุด อนีฆาแต่งชุดนักเรียนเรียบร้อย เดินลงมารับประทานอาหารเช้าก่อนไปโรงเรียนตามปกติ ท่าทางแสดงชัดเจนราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยเมื่อวานนี้
อาหารเช้าถูกจัดวางบนโต๊ะแล้ว แต่ไม่มีใครลงมารับประทานเลย มีแต่เด็กรับใช้ยืนอยู่มุมห้อง อนีฆาจึงถามว่า
“คนอื่นไปไหนหมดล่ะ น้อย”
“คุณผู้ชายยังไม่ลงมาเลยค่ะ ส่วนคุณเน ป้าบัวขอให้ช่วยขึ้นไปดูคุณนัตค่ะ”
อนีฆาพยักหน้าแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ประจำของเธอ เหลือบตามองไปที่นั่งของมารดาแวบหนึ่ง ไม่เห็นมีถ้วยข้าวต้มอาหารเช้าจัดวางไว้เช่นทุกที ก็รู้สึกสะท้อนใจจนน้ำตารื้น แต่เพียงชั่ววินาทีเดียวก็แห้งหายไป
แม้รับประทานข้าวต้มจนหมดถ้วยแล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าพี่ชายและน้องสาวจะลงมา อนีฆาพลิกข้อมือเพื่อดูนาฬิกา เห็นว่าสายแล้วจึงเดินขึ้นไปยังห้องนอนของน้องสาว
เมื่อเปิดประตูเข้าไป เธอเห็นอเนชานั่งกุมมืออนัตตาไว้ทั้งสองข้าง กำลังพูดต่อรองให้น้องสาวไปโรงเรียนพร้อมกัน
“ตกลง วันนี้เราไปโรงเรียนพร้อมกันนะคะ”
“ไม่ค่ะ นัตจะอยู่บ้าน เผื่อคุณแม่กลับมา”
อนัตตาปฏิเสธพี่ชายทั้งน้ำตา แค่เห็นหน้าตาของน้องสาวและดวงตาที่แดงช้ำบวมเป่ง อนีฆาก็รู้ว่าอนัตตาร้องไห้มาทั้งคืน ป้าบัวรีบสนับสนุนอเนชา พูดเอาอกเอาใจว่า
“คุณนัตขา คุณนัตไปโรงเรียนเถอะค่ะ ป้าบัวจะรออยู่บ้าน ถ้าคุณแม่มา ป้าบัวจะจับตัวไว้เลยนะคะ ให้อยู่รอจนคุณนัตกลับมานะคะ”
“ไม่ค่ะ ไม่ .. ไม่ .. ไม่...”
“ตกลงเลยไม่ต้องมีใครได้ไปโรงเรียนกันเลยสักคนใช่ไหม” อนีฆาพูดด้วยน้ำเสียงเอือมระอา พร้อมกับมองหน้าน้องสาวแล้วส่ายหน้าคล้ายสมเพช
“ถ้าไม่มีใครไป นีจะให้ลุงสนไปส่งละนะ นีไม่อยากไปโรงเรียนสาย”
ทันใดนั้น เสียงอมาตย์ก็ดังขึ้นที่หน้าประตูห้องนอนของอนัตตา
“เนกับนีไปโรงเรียนเถอะลูก เดี๋ยวจะสายมาก ส่วนนัตวันนี้หยุดวันนึงนะ ดีเหมือนกัน จะได้อยู่เป็นเพื่อนพ่อ เพราะพ่อก็จะหยุดงานหนึ่งวันนะ”
บิดาเดินเข้าไปใกล้ลูกสาวคนเล็ก ดึงเธอมากอดแล้วพูดปลอบเบาๆว่า
“แต่น้องนัตต้องเลิกร้องไห้นะ ... แล้วเดี๋ยวเราลงไปทานข้าวกัน ตกลงไหม”
อนัตตากอดบิดาแน่น พยักหน้ารับคำทั้งน้ำตา อนีฆามองน้องสาวพลางส่ายหน้าอีกครั้ง พึมพำเบาๆเมื่อเดินกึ่งวิ่งลงบันไดไปข้างล่างว่า
“จะร้องห่มร้องไห้อะไรนักหนา น่ารำคาญ”
--------------------------------------------------
เมื่อเวลาผ่านไปหลายวัน ทุกคนดูจะต้องยอมรับแล้วว่าคุณผู้หญิงของบ้านไม่กลับมา ทุกคนพยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และที่สำคัญไม่มีใครเอ่ยชื่อคนที่จากไปเลย มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงถามถึงมารดาเสมอเมื่อนึกขึ้นได้ และยังร้องไห้เสมอ
อมาตย์เริ่มทุ่มเทเวลาให้กับงานมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อให้ลืมหรือให้คลายความทุกข์ที่ภรรยาจากไปหาชายอื่น บางครั้งเขาจึงกลับบ้านค่ำมาก ไม่ได้กลับมาร่วมรับประทานอาหารเย็นกับลูกๆ โดยเฉพาะลูกสาวทั้งสอง ที่จริงอมาตย์รู้ดีว่าเขาจงใจไม่กลับ เพราะให้นั่งโต๊ะอาหารที่เคยมีภรรยาคอยจัดการดูแลเอาใจใส่ไม่ไหว เธอไม่เคยแสดงท่าทีพิรุธใดๆเลย จนวันสุดท้ายที่เธอลากกระเป๋าเดินทางออกจากบ้านไป
ส่วนอเนชาจะกลับมาบ้านเฉพาะวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์สุดท้ายของเดือนเพียง 3 วัน เวลาอาหารเย็นแทบทุกวันจึงเหลือเพียงอนีฆาและอนัตตา 2 คนเท่านั้น อนีฆาไม่ชอบคุยกับน้องสาวอยู่แต่เดิม จึงมักอ่านหนังสือไปด้วยขณะรับประทานอาหาร และเมื่อรับประทานเสร็จก็ขึ้นห้องนอนทันที ทิ้งอนัตตาไว้กับนางบัวตามลำพัง อนัตตารู้สึกเหงามาก ยิ่งทำให้ความคิดถึงมารดาไม่จางลง
เย็นวันหนึ่งเมื่อบิดากลับมาบ้านและนั่งรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน จึงเห็นว่าลูกสาวคนเล็กมีอาการหงอยเหงา ไม่ค่อยพูดคุย หัวเราะร่าเริงเช่นแต่ก่อน จึงปรึกษานางบัวด้วยความห่วงใย
“ป้าบัว น้องนัตเป็นอย่างนี้มาตลอดหรือ”
“ค่ะ เธออยู่กัน 2 คนกับคุณนี แต่คุณนีเธอมีโลกส่วนตัวของเธอ จึงปล่อยให้น้องนั่งเหงาอยู่อย่างนี้”
“ไม่ได้การแล้วนะ เดี๋ยวจะพาลป่วยไป ผมจะทำอย่างไรดี งานที่โรงแรมก็ยุ่งมากจริงๆ บางวันประชุมกว่าจะเลิกก็สองทุ่มสามทุ่ม บางทีก็มีแขกวีไอพี”
“เอาอย่างนี้ไหมคะ ลองชวนคุณจ๋ามาอยู่เป็นเพื่อนคุณหนู ถ้าวันไหนคุณผู้ชายไม่สะดวกมาทานข้าวเย็นที่บ้าน”
“จะรบกวนคุณจ๋าเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้สิ ไม่ใช่ธุระอะไรของเขา”
“ไม่น่านะคะ ทุกวันนี้คุณจ๋าเธอก็โทรมาถามสารทุกข์สุกดิบหลานๆอยู่ออกบ่อย บางครั้งก็คุยโทรศัพท์กับคุณนัตค่ะ เพียงแต่เธอคงเกรงใจและออกจะรู้สึกผิดเลยไม่กล้ามา เพราะ เอ่อ .. คุณจุ๋มทำไว้เจ็บแสบ” แม้จะเกรงใจอมาตย์จนลดเสียงเบาลง แต่หางเสียงของนางบัวก็แสดงให้เห็นความเกลียดชังคุณผู้หญิงที่จากไปอย่างชัดเจน

“เอาสิ ถ้างั้นผมจะลองคุยกับคุณจ๋าดู”
เย็นวันหนึ่งเมื่ออนีฆาและอนัตตากลับมาถึง จึงได้เห็นวัชรินทร์ยืนรอรับอยู่ที่ลานหน้าบ้าน รถยังจอดไม่ทันนิ่งสนิทดี อนัตตาก็เปิดประตูกระโดดลงจากรถ วิ่งไปหาวัชรินทร์ทันที
“น้าจ๋า ... น้าจ๋ามาหานัตหรือคะ”
วัชรินทร์กางแขนออก รับตัวเด็กน้อยวัย 8 ขวบเข้าสู่อ้อมกอดทันที
“ใช่เลย มาหาน้องนัต คิดถึงที่สุด” เสียงหัวเราะของ 2 น้าหลานดังประสานกันตามมา
“น้าจ๋ามาตั้งแต่บ่ายแล้ว และทำขนมของโปรดไว้รอ”
“เค้กชอคโกแลตหน้าเยิ้มๆแน่นอน”
“แน่นอนอยู่แล้ว” วัชรินทร์ใช้นิ้วมือบีบจมูกโด่งของเด็กหญิงเบาๆอย่างเอ็นดู
อนีฆาเดินมาถึงพอดี เธอยกมือไหว้น้าสาว แล้วถามว่า
“ทำไมน้าจ๋ามาวันนี้คะ”
“คุณพ่อโทรไปให้น้าจ๋ามาอยู่เป็นเพื่อนหลาน 2 คนค่ะ ช่วงนี้คุณพ่อมีประชุมค่ำๆ ถ้าวันไหนกลับมาทานข้าวเย็นกับหนูไม่ได้ ก็ให้น้าจ๋ามาแทน”
อนีฆาพยักหน้ารับรู้ แล้วเดินผ่านเข้าไปข้างในบ้าน แม้อนีฆาจะอายุเพียง 14 ปี แต่ท่าทางก็ดูเป็นผู้ใหญ่มาก เธอค่อนข้างเฉย มีสีหน้าเรียบจนเป็นที่เกรงอกเกรงใจของใครต่อใคร ไม่เว้นแม้วัชรินทร์
-------------------------------------
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา วัชรินทร์ก็มาที่บ้านนี้บ่อยๆ นอกจากมาอยู่เป็นเพื่อนหลานในช่วงค่ำ ทำอาหารและขนมอร่อยๆให้รับประทานแล้ว ยังดูแลความเป็นอยู่อื่นๆที่จำเป็นด้วย รวมทั้ง ในวันหยุดเสาร์หรืออาทิตย์ บางครั้งก็ชวนกันออกไปหาซื้อของใช้จำเป็น เสื้อผ้า และไปเป็นเพื่อนเดินเล่นตามสถานที่ที่หลานอยากไปด้วย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคำขอจากอนัตตา
เมื่อเวลาผ่านไปเกือบ 6 เดือน อมาตย์ค่อยคลายทุกข์โศกเรื่องที่ภรรยาจากไป เขาเริ่มรู้สึกว่าได้ทอดทิ้งลูกเกินไป จึงจัดเวลาการทำงานเสียใหม่ และพยายามกลับมารับประทานอาหารเย็นที่บ้าน บางครั้งก็ได้พบวัชรินทร์ซึ่งทันทีที่เห็นพี่เขยกลับมา เธอก็มักจะขอตัวกลับ
“น้าจ๋า ไหนว่าจะอยู่ทานข้าวกับนัต” บัดนี้วัชรินทร์ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของอนัตตาไปแล้วอย่างไม่รู้ตัว
“คุณพ่อมาแล้วไงคะ”
“จ๋ามีธุระอะไรหรือเปล่าล่ะ ถ้าไม่รีบไปไหนก็อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนเถอะ” อมาตย์ออกปากชวน ส่วนหนึ่งเพราะอยากเอาใจลูกสาวคนเล็กซึ่งช่วงนี้ติดน้าสาวไม่ยอมห่าง
อนัตตาดีใจ รีบตอบแทนวัชรินทร์ว่า
“ไม่มีธุระหรอกค่ะ อยู่ทานข้าวกับพวกเราได้ .. ใช่ไหมคะน้าจ๋า” พูดแล้วก็ตรงเข้าไปกอดวัชรินทร์ไว้
จะด้วยความเคยชินหรือเพราะความผูกพันที่เกิดขึ้นก็ตาม วัชรินทร์จึงกลายเป็นสมาชิกของครอบครัวนี้ไปโดยปริยาย จนเวลาผ่านไปได้เกือบ 2 ปี วันหนึ่งอมาตย์ก็เรียกลูกทั้งสามคนมารวมกันที่ห้องอ่านหนังสือ แล้วถามว่า
“พ่อมีเรื่องสำคัญที่อยากปรึกษาลูกทั้งสามคน เป็นเรื่องที่ต้องขอความเห็นลูกๆ ก่อนที่พ่อจะตัดสินใจ”
“มีเรื่องอะไรครับคุณพ่อ” ลูกทั้งสามมองหน้ากันอย่างใจคอไม่ดี ทุกคนยังจำความรู้สึกในวันที่มารดาจากไปได้ไม่รู้ลืม โดยเฉพาะอนัตตามีอาการกลัวจนหน้าซีดและเหมือนจะยืนไม่อยู่ จนต้องเอื้อมมือไปเกาะแขนพี่ชายไว้ บิดาเห็นดังนั้น จึงดึงตัวลูกสาวคนเล็กมากอด แล้วพูดเสียงปนหัวเราะว่า
“เป็นรื่องดีของพ่อ แต่ต้องขอนุญาตลูก”
“เรื่องอะไรคะ” อนีฆาถาม
“คือ .. ถ้าพ่อจะแต่งงานกับน้าจ๋า ลูกๆจะขัดข้องไหมคะ”
“จริงหรือคะคุณพ่อ” อนัตตาเขย่าแขนบิดาเร่าๆ “โห... ใครจะไปขัดข้องคะ นัตรักน้าจ๋า ไชโย คราวนี้น้าจ๋าจะได้ไม่ต้องกลับบ้านแล้ว จะได้อยู่กับเราเลย ... เย้ๆๆๆ”
อมาตย์มัวแต่มองหน้าลูกสาวคนเล็กที่จีบปากจีบคอพูดรัวเร็วด้วยความดีใจ จนลืมสังเกตสีหน้าลูกสาวคนกลาง
“ดีเลยครับคุณพ่อ ครอบครัวเราจะได้กลับมาเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์อีกครั้ง”
“เนคิดอย่างนั้นจริงๆหรือลูก” อมาตย์ถามอย่างไม่มั่นใจ ลูกชายพยักหน้ารับ พร้อมรอยยิ้มอย่างจริงใจ อาจเพราะเขาเป็นผู้ชายจึงไม่มีนิสัยคิดเล็กคิดน้อย หรือเพราะการแต่งงานใหม่ของบิดาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงหรือกระทบกระเทือนการดำเนินชีวิตของเขาเท่าไร เพราะส่วนใหญ่ก็อยู่ที่โรงเรียนประจำอยู่แล้ว ทั้งน้าสาวก็เป็นคนดีที่รักและเข้าใจเขาในเรื่องต่างๆเสมอมา
แต่อมาตย์คงจะลืมไปเสียสนิทว่า ยังมีลูกสาวอีกคนที่ค่อนข้างเจ้าอารมณ์และคิดมาก ความโล่งใจเมื่อครู่จึงหายไปทันที เมื่อได้ยินอนีฆาพูดขึ้นว่า
“น้าจ๋าไม่ใช่ครอบครัวของนี” พูดขาดคำ น้ำตาก็หยดลงมาทันที
จบตอนที่ 3



กนกนัดดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 มิ.ย. 2560, 20:50:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 มิ.ย. 2560, 20:50:40 น.

จำนวนการเข้าชม : 738





<< ตอนที่ 2 กว่าจะสุดทาง   ตอนที่ 4 กว่าจะสุดทาง >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account