ปิ่นใจกะรัตพลอย (ชุด ลูกไม้ลายหงส์)
แม้จะต้องปะทะลมฝนรุนแรงขนาดไหน เธอก็ยังนับเป็นหงส์เหินที่งามสง่า แต่ใครจะคิดว่าสักวันนึง...ลมปากคนจะหักปีกหงส์ได้จริงๆ...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: Chapter 6 : ยียวน



‘ฉันเหนื่อเหลือเกิน ไม่อาจคิดอะไรได้ และต้องการเพียงแค่นอนหนุนตักของเธอ สัมผัสถึงมือที่วางลงบนหัวของฉัน และคงอยู่เช่นนั้นชั่วนิรันดร์...’

-ฟรันซ์ คาฟคา นักเขียนชาวเช็ก-



“งั้นก็เป็นอันตกลงตามนี้ คุณจะช่วยทำแจกันให้ผมใบนึง โดยผมจะคืนโทรศัพท์ให้คุณเป็นข้อแลกเปลี่ยน ส่วนผลประโยชน์อีกข้อที่คุณเพิ่งปฏิเสธไป ผมจะทำใจกว้างให้คุณเรียกร้องมันกลับมาได้เสมอ เพื่อชดเชยที่ผม...ไม่ได้นวดก้นให้คุณ” ยังไม่ทันที่คนถูกเอาเปรียบจะได้โต้เถียงออกมา ข้อมือขาวละเอียดก็ถูกฉุดให้ลุกขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ยิ่งเธอออกแรงดึงข้อมือตัวเองกลับมามากเท่าไหร่ อีกฝ่ายก็ยิ่งออกแรงฉุดเธอลุกขึ้นมากขึ้นเท่านั้น สภาพการณ์ในตอนนี้จึงไม่ต่างจากการเล่นชักเย่อโดยใช้ข้อมือเธอเป็นเชือกเลยแม้แต่น้อย



“เอ้าา ลุกสิ” ฟรานเอ่ยคล้ายออกคำสั่ง ทว่าในน้ำเสียงนั้นกลับไม่ได้วางอำนาจบาทใหญ่เหนืออีกฝ่ายแต่อย่างใด ฟังแล้วออกจะคล้ายเยาะเย้ยคนแพ้จนหมดรูปให้เจ็บใจเสียมากกว่า



เพียงน้ำพลอยกัดฟันกรอด ใช้มืออีกข้างยืนพื้นริมสระว่ายน้ำลุกขึ้นพลางข่มกลั้นเสียงกรีดร้องไว้ในใจ ขณะเดียวกันก็พยายามคิดปลอบใจตัวเองในแง่ดีที่สุดว่า เธอเองก็ไม่ได้ใช้ฝีมือมานานปีแล้ว ได้ลองดูอีกครั้งก็ถือเป็นโอกาสที่ไม่เลวอยู่เหมือนกัน อีกอย่าง ตัวเธอในตอนนี้ยังจะสามารถทำอะไรได้อีก แผนที่วางไว้ว่าจะกลับเมืองไทยในอีกวันสองวันข้างหน้านี้ก็คงเป็นอันต้องเลื่อนออกไปแล้ว เพราะแค่คิดถึงภาพแสงแฟลชที่จะสาดเข้าใส่เธอพร้อมกันตอนเธอเดินออกจากประตูผู้โดยสาร กับคำถามชวนคลื่นเหียนของนักข่าวพวกนั้น การอยู่ปั้นแจกันสักใบที่นี่ก็ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่าหลายขุมอยู่แล้ว เพียงแต่การถูกบังคับแบบนี้ก็ออกจะทำให้เธอหมดอารมณ์สุนทรีย์อยู่สักหน่อยเท่านั้น



เมื่อเธอไม่มีทีท่าว่าจะขัดขืนหรือร้องก่นด่าเขาอีก มือหนาทรงพลังข้างนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามากักขังเสรีภาพเธออีก ซึ่งก็นับว่ายังให้เกียรติกันอยู่บ้าง เพียงน้ำพลอยเดินตามเขาไปจนถึงโรงรถของคฤหาสน์มังกรมุก หางตาเหลือบไปเห็นเขาล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบกุญแจรถออกมากดรีโมทปลดล็อกรถเฟอร์รารี่คันหรูสีดำวาวอย่างคุ้นเคย ท่วงท่าแสนธรรมชาตินั้นนับว่าน่าดูไม่น้อย ทั้งแขนขาองคายพยามเดินเหินก็ราวกับถูกสร้างมาให้เข้ากับใบหน้าที่คล้ายกับจะร่าเริงและซุกซน แต่ก็แฝงไปด้วยความไม่แยแสโลกเป็นอย่างดี เธอได้แต่เดินเก้ๆ กังๆ ตามเข้าไปนั่งในรถ พลางตั้งข้อสังเกตโน่นนี่ไปเรื่อยเปื่อยตามเรื่อง อย่างเช่นเรื่องรถคันที่เธอกำลังนั่งอยู่นี้ เธอนึกว่ารถเกือบทุกคันที่นี่จะเป็นของเหวินหยางหลง กับอีกบางคันที่เป็นของน้ำผึ้งพระจันทร์เสียอีก ไม่นึกว่าในจำนวนนี้จะมีบางคันที่เป็นของเขาด้วย หรือจริงๆ แล้วจะเป็นของเหวินหยางหลงแต่ให้เขายืมมาใช้...



เขาสามารถยืมรถราคาแพงขนาดนี้มาขับได้โดยไม่ได้ต้องเอ่ยปากขอสักคำงั้นเหรอ...



ช่างเป็นความสัมพันธ์ที่สนิทสนมมากจริงๆ...



เธอรู้สึกว่าพักนี้ตัวเองชักจะทำตัวเหมือนคุณป้าข้างบ้านที่สอดรู้ไปเสียทุกเรื่องมากขึ้นทุกที แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่อตอนนี้เธอเองก็ถือว่านั่งอยู่ในรถกับเขาแล้ว ทว่ากระทั่งจุดหมายที่กำลังจะไปเธอก็ยังไม่รู้ เอาเข้าจริงแล้วคนที่จะพาไปนี่เป็นใครที่ไหนเธอก็ไม่รู้ เธอแทบจะไม่รู้อะไรเลยสักอย่างเดียว รู้เพียงแค่ว่าเขาเป็นเพื่อนกับสามีของเพื่อนเธออีกที นับๆ ดูแล้วก็ออกจะเป็นความสัมพันธ์ที่ห่างเหินอยู่ไม่น้อยเลย แต่เธอกลับจะนั่งรถออกไปกับเขาง่ายๆ



คราวนี้เธอไว้ใจคนง่ายเกินไปเสียแล้ว...



“นี่คุณจะพาฉันไหนเนี่ย” ร่างบางเริ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหวาดระแวง พร้อมกับชะโงกตัวไปดูทางโน้นทีทางนี้ทีอย่างอยู่ไม่สุข เมื่อเห็นว่ารถคันปราดเปรียวกำลังจะวิ่งฉิวออกจากคฤหาสน์มังกรมุกแล้ว



“ไม่พาไปขายหรอกน่า” ฟรานตอบพลางอมยิ้มมุมปากอย่างอารมณ์ดี



“ก็ลองสิ” เสียงขู่สวนกลับมาในทันควันนั้นไม่ได้ทำให้คนถูกกล่าวหาเสียอารมณ์แต่อย่างใด แต่ยังทำให้เขารู้สึกอารมณ์ดีขึ้นเรื่อยๆ อีกต่างหาก ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเสียสติไปแล้ว หรือไม่ก็คงเข้าขั้นโรคจิตเข้าแล้วจริงๆ ยิ่งถูกเธอแช่งชักหักกระดูกเขาเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้ว่าตัวเองกำลังจะอายุยืนขึ้นเท่านั้น ฉะนั้น เธอมีแรงด่าเท่าไหร่ก็ด่าเขาไปเท่านั้นเถอะ



“จืดๆ อย่างคุณเนี่ยขายไม่ได้ราคาหรอก ถ้าเปลี่ยนแนวไปขายอวัยวะก็ว่าไปอย่าง” ฟรานว่าพลางทำท่าดีดลูกคิดรางแก้วอยู่ในใจ



“ถามจริง คุณนี่เคยคิดเรื่องดีๆ กับเขาบ้างมั้ยเนี่ย” ดวงตากลมโตค้อนขวับไปมองคนเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเสมองไปทางอื่นอย่างเอือมระอา



“ไอ้เคยน่ะเคย แต่นานมาละ” คนร่างสูงตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย ขณะที่สายตาก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่ถนนเบื้องหน้าอยู่ดังเดิม



แม้จะยั้งความฉุนเฉียวที่พุ่งขึ้นมาในใจตงิดๆ ไม่ได้ดีนัก เธอกลับอดรู้สึกประหลาดใจกับสัญชาตญาณของตัวเองไม่ได้ ที่แม้จะได้ยินคำตอบกวนโทสะประเภทนั้นอยู่กับหู แต่กลับยังรู้สึกว่าเขาไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรจริงๆ เพียงแค่หาเรื่องยั่วโมโหเธอไปตามเรื่องเท่านั้น หรืออาจเป็นเพราะเธอได้ข้อสรุปที่ค่อนข้างแน่นอนแล้วก็ได้ว่าเขาไม่ฝักใฝ่ในร่างกายผู้หญิง ความคิดในแง่ร้ายว่าเขาจะทำรุ่มร่ามกับเธอจึงกลายเป็นเรื่องไร้เหตุผลไปโดยปริยาย แม้ว่าเมื่อคืนจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันอยู่บ้างก็เถอะ แต่เธอก็พอจะเข้าใจได้ ว่าที่เขาทำไปก็เพียงเพื่อต้องการปกปิดรสนิยมทางเพศของตัวเองเท่านั้น



เมื่อหาข้อสรุปให้กับตัวเองได้ดังนั้นแล้ว เพียงน้ำพลอยก็ชักหมดแรงจะต่อล้อต่อเถียงกับเขาอีก จึงหันไปใช้สายตาเหม่อโน่นมองนี่ไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะค่อยๆ เอนศีรษะพิงพนักเบาะคล้ายกับถูกความง่วงงุนเข้าครอบงำ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ตอนนี้ในสมองของเธอ เต็มไปด้วยเสียงผู้คนตะโกนสาปแช่งลั่นกระหึ่มเสียจนไม่อาจหลับลงได้แม้แต่เสี้ยววินาที จนในที่สุดเปลือกตาบางค่อยๆ ช้อนปรือขึ้นอีกครั้ง ดวงตาดำสนิทวาววับเหลือบขึ้นไปมองบนท้องฟ้าที่คล้ายกับจะอยู่แค่เอื้อมแต่อยู่แสนไกลนั้น แล้วเริ่มสนทนากับคนที่อยู่ห่างไกลออกไปจนคะเนระยะทางไม่ได้อยู่ในใจ



เขาสบายดีรึเปล่า...



เขาได้ยินได้ฟังถ้อยคำก่นด่าที่เธอได้รับวันนี้บ้างมั้ย...



หากเขาได้ยิน เขาจะรู้สึกสมน้ำหน้าหรือเวทนาเธอกันนะ...



คิดแล้วก็คาดว่าคงเป็นอย่างแรกเสียมากกว่า เพราะถึงอย่าไงไรเสียความจริงก็ไม่อาจเปลี่ยนไปเป็นอื่นได้...



เธอไม่ได้ฆ่าเขา แต่เธอกลับปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาไม่ได้ตายเพราะเธอ...



ในเมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว มันยังจะเหลือเหตุผลไหนให้เขารู้สึกเวทนาเธออีก...



ทว่าระหว่างที่บาดแผลช้ำเลือดช้ำหนองในใจกำลังจะฉีกปรินั้นเอง...



“ฮ้าาาาาาา ฮาาาาาาาาาาา ฮ๋าาาาาาา ฮ้าาาาาาาาาา” เสียงร้องเพลงชวนแสบแก้วหูฟังไม่ได้ศัพท์ ไร้ซึ่งท่วงทำนองที่ถูกต้อง ไร้ซึ่งความไพเราะใดๆ ทั้งสิ้น มีเพียงความเจ็บปวดทรมานที่มอบแก่ผู้ฟัง ทำเอาเพียงน้ำพลอยที่เมื่อครู่เกือบน้ำตาร่วงเผาะได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความขัดใจ ไม่รู้ว่าตัวเองควรตวาดเขาไปแรงๆ อีกสักรอบหรือควรยื้อฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้อย่างสุดแรงดี หากยังไม่ทันทีผลการตัดสินใจจะออกมาเป็นเอกฉันท์ เสียงโหยหวนจากคนข้างกายที่เพิ่งเงียบลงได้ไม่ถึงสามวินาทีก็ทะยานขึ้นหาคีย์สูงสุดในทันที



“ฮ้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา”



“นี่คุณ!!! เงียบหน่อยได้มั้ย!!!” เพียงน้ำพลอยหันขวับไปตวาดลั่นอย่างเหลืออด หากพอสิ้นพยางค์สุดท้ายของเธอ คนไม่รู้ความก็แสร้งตีหน้าสลดลงประหนึ่งน้ำตาจากดวงตาเหยี่ยวคู่นั้นจะร่วงลงอาบใบหน้าเสียให้ได้ ทำเอาเธอแทบเผลอหลุดปากขอโทษเขาด้วยความรู้สึกผิดออกไป เพราะคิดว่าตัวเองคงจะตวาดเขาแรงเกินไปหน่อย หากในวินาทีต่อมานั้นเอง เธอถึงได้รู้ว่าเทวดาในใจเธอคงจะถูกหลอกใช้เข้าให้แล้ว



“ฮ้าาาาาาา ฮาาาาาาาาาาาาาาาาาา” เสียงกรีดร้องบาดแก้วหูดังลั่นขึ้นอีกครั้ง ต่างตรงที่ว่าครั้งนี้ดังเสียยิ่งกว่าเดิมเกือบสามสี่เท่า ซ้ำใบหน้าแสร้งสลดเหมือนอย่างก่อนหน้าก็ไม่ได้สวมทับอยู่บนใบกวนโทสะอีกต่อไปแล้ว มีเพียงสีหน้าจริงจังเกินพอดีในบทเพลงราวกับนักร้องเพลงร็อคเลื่องชื่อเท่านั้น



“โอ๊ยยยยย!!! รำคาญ!!!!” เธอตวาดลั่นจนสุดเสียงอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้แม้แต่จะหยุดฟังเสียงเธอสักนิดเหมือนครั้งก่อนหน้าเขาก็ยังไม่หยุด ยังคงหลับหูหลับตาครวญเสียงโหยหวนต่อไปอย่างตั้งใจ เธออยากจะรู้นักว่าเขาไปเอาความมั่นใจมาจากไหนนักหนา หลงรูปตัวเองก็ว่าสาหัสแล้ว นี่ยังหลงคิดว่าตัวเองมีพรสวรรค์ลมๆ แล้งๆ อีก ไอ้หลงคิดว่าตัวเองมีความสามารถมันก็ไม่เท่าไหร่นักหรอก แต่หลงคิดไปแล้วมาทำให้คนอื่นเดือดร้อนนี่สิ มันเหลือจะรับ!



“ถ้าคุณไม่หยุด ฉันจะลง!!” เพียงน้ำพลอยยื่นคำขาดอย่างฉุนเฉียว พร้อมกับหันขวับมองคนทำหน้าที่สารถีข้างกายแต่ใจรักอยากเป็นนักร้องตาเขียว



“คุณลง...ผมก็โยน...” ฟรานแปลงคำตอบสั้นๆ ของตัวเองเป็นทำนองเพลงแล้วยิ้มร่าอย่างอารมณ์ดี ขณะที่ในมือก็หยิบโทรศัพท์เครื่องบางของอีกฝ่ายขึ้นมาไว้ถือไว้เตรียมโยนออกไปนอกหน้าต่างรถอย่างปากว่าจริงๆ



“เอออ!!! เชิญ!! อยากจะร้องโหยหวนอีกสักกี่เพลงก็เชิญ!!!!” ร่างบางกระแทกเสียงด้วยความเดือดดาลจนตัวโยน ก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปทางอื่นอย่างไม่มีทางเลือก หากจะกล่าวถึงหนทางรอดตายจากเสียงชวนบาดแก้วหูนี่ เห็นทีคงจะเหลือแค่การกระโดดออกทางหน้าต่างรถทางเดียวนั่นแหละ



เพียงน้ำพลอยยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดกั้นเสียงทำลายแก้วหูและโสตประสาทอย่างแน่นหนา แต่ก็จนใจที่อนุภาพทำลายล้างของมันสูงเสียจนยังคงเล็ดลอดเข้ามาในหูเธอได้อยู่ดี เธอจึงได้แต่หลับตาข่มความอดทนเฮือกสุดท้ายเอาไว้ ภาวนาให้เขาพาเธอไปถึงที่หมายโดยเร็วที่สุด ก่อนที่เธอจะได้เป็นลมเป็นแล้งไปเพราะโสตประสาทถูกทำลาย



ไม่กี่อึดใจต่อมา รถเฟอร์รารี่คันหรูก็จอดสนิทอยู่ที่หน้าบ้านหลังเล็กหลังหนึ่ง เป็นบ้านปูนเปลือยชั้นเดียวซึ่งตั้งอยู่โดดๆ เธอจำได้ว่าก่อนจะเข้ามาถึงที่นี่ ได้ผ่านเข้าซอยแคบๆ ที่พอจะให้รถคันเดียววิ่งมาลึกพอสมควร ช่วงต้นซอยยังคงเห็นบ้านเรือนของคนอัดเรียงกันเป็นแถบดีอยู่ พอเข้ามาถึงช่วงกลางซอยกลับมีเพียงแค่อาคารหลังเล็กๆ ที่ปิดตายเอาไว้ เข้ามาอีกหน่อยถึงได้กลายเป็นพื้นที่รกร้างโดยสิ้นเชิง มีเพียงแค่ฝุ่นดินตลบยามที่ล้อรถบดผ่าน แม้แต่ต้นไม้ใบหญ้าก็ยังมีให้เห็นบางตา ในชั่วขณะนั้นเธอเกือบจะคิดว่าเขาลวงเธอมาขายอวัยวะจริงๆ เสียแล้ว กระทั่งสารถีข้างกายเธอเดินรถไปใกล้จนเกือบถึงที่หมาย เธอถึงได้รู้ว่าที่ตรงนี้มีบ้านคนอยู่ และจากที่ได้สังเกตจากข้าวของระเกะระกะจนล้นออกมานอกตัวบ้าน ทั้งบ่อหมักดินเหนียว ทั้งเครื่องเคลือบดินเผาแตกบางส่วนที่กองรวมกันไว้สองสามกอง เธอก็พอจะได้ข้อสรุปแล้วว่า วันนี้ชะตาของเธอยังไม่ถึงฆาต



สารถีร่างสูงของเธอชิงลงจากรถโดยไม่บอกไม่กล่าว สองขายาวๆ ก้าวนำเธอไปยังหน้าบ้านหลังเล็กราวกับเป็นบ้านของตัวเองยังไงยังงั้น เธอจึงรีบผลักประตูรถแล้วเดินตามเขาไปหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ เขา ดวงตากลมโตดุจไข่มุกดำกวาดมองสิ่งของรอบตัวอย่างใคร่รู้ ทว่ายังไม่ทันจะได้ยื่นหน้าไปดูทางโน้นทางนี้อย่างที่ใจคิด ฝุ่นทรายที่ยังม้วนตลบไม่เลิกก็ปะทะเข้าจมูกผ่านเข้าปากเธออย่างถือวิสาสะ ความสนใจใคร่รู้ของเธอจึงเป็นอันต้องจบลงในทันที เนื่องจากต้องแบ่งประสาทไปสั่งการให้มือไม้ทั้งสองปัดไล่ฝุ่นทรายตรงหน้าออกไป



“บ้านคุณเหรอ อะ...แค่กๆๆ” เพียงน้ำพลอยถามไปพลางไอเอาฝุ่นเข้าจมูกไปพลาง



“เปล่าหรอก” ชายหนุ่มร่างสูงตอบง่ายๆ พร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นเท้าสะเอว



“เอ้า!! แล้วบ้านใครล่ะ”



“ก็นั่นน่ะสิ” ฟรานหันมาเออออกับเพื่อนร่วมทางคล้ายกับต้องการคำปรึกษาจริงจัง ไม่ได้ตั้งใจพูดเพื่อกวนโทสะอย่างเคย ทว่าถ้อยคำที่ไม่ได้ตั้งใจนี้เองกลับยั่วโทสะคนฟังเสียจนเกือบลมจับลงตรงนั้น ดวงตากลมโตเบิกกว้างราวกับต้องการจะเผาเขาให้ตายทั้งเป็นเสียให้ได้



“คุณ...” วาจาลุแก่โทสะยังไม่ทันได้หลุดออกจากริมฝีปากบางจนหมด คนร่างสูงก็ก้าวฉับๆ ไปหาบ้านปูนเปลือยกว้างประมาณหนึ่งคูหา ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ถึงห้าก้าวทันที เพียงน้ำพลอยวิ่งตามไปอย่างไม่มีทางเลือก ท่วงท่ามั่นอกมั่นใจและก้าวเดินอย่างธรรมชาติของเขานั้น ทำให้เพียงน้ำพลอยเริ่มสงสัยว่า เขาอาจจะแค่หลอกอำเธอเท่านั้น ที่นี่คงไม่พ้นเป็นบ้านเขาเอง หรือไม่ก็คงเป็นบ้านเพื่อนที่เขาฝากตัวเป็นขาประจำนั่นแหละ หากทันทีที่วิ่งไปถึงหน้าประตูเหล็กม้วนซึ่งเป็นจุดที่เขายืนอยู่ เธอก็ได้ค้นพบว่าตัวเองมองเขาในแง่ดีเกินไปหลายขุมนัก



ที่นี่จะเป็นบ้านเขาหรือบ้านเพื่อนเขาไปได้ยังไง ในเมื่อตัวเขายังนั่งยองๆ ใช้เหล็กเส้นเล็กที่เก็บได้บนพื้นมางัดแม่กุญแจอยู่เลย...



สวรรค์...นี่เธอกำลังงัดบ้านคนอื่นอยู่งั้นเหรอ!



“นี่คุณ!! จะบ้ารึไง เรากำลังงัดบ้านคนอื่นนะ!!!” เพียงน้ำพลอยร้องเตือนสติเขาจนสุดเสียง ขณะเดียวกันก็เอื้อมไปคว้าไหล่กว้างของเขาให้หันมาพูดจากับเธอ ก่อนจะลงมือทำเรื่องผิดบาปตรงหน้าไปมากกว่านี้



“ก็ไม่มีกุญแจก็ต้องงัดสิ คุณนี่ก็” ฟรานตอบด้วยน้ำเสียงคล้ายรำคาญใจ ก่อนจะหันไปลงมืองัดแม่กุญแจต่อ



“ฉันหมายความว่าเราไปงัดบ้านคนอื่นเขาได้ยังไง! คุณไม่รู้จักเจ้าของเขา ไม่ได้ขออนุญาตเขา อยู่ๆ ก็ไปใช้สถานที่เขา แบบนี้มันต่างจากโจรบุกรุกบ้านคนอื่นตรงไหนเล่า!!” เพียงน้ำพลอยร่ายยาวโดยไม่เว้นช่วงหายใจ เธอไม่คิดเลยจริงๆ ว่าตัวเองจะมีวันที่มายืนสอนหลักธรรมขั้นพื้นฐานให้คนที่โตขนาดนี้ฟัง ซ้ำร้ายเขายังไม่มีท่าทีว่าจะสลดกับความผิดที่ตัวเองก่อเลยแม้แต่น้อย



“วันนี้เจ้าของเขาไม่มาหรอกน่า ผมผ่านแถวนี้ประจำ” ฟรานอ้างด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ได้มีท่าทีเดือดเนื้อร้อนใจกับเสียงตวาดของเธอสักนิด



“ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่เขามาหรือไม่มา แต่เรายังไม่ได้ขออนุญาตเขา!!”



“ตะโกนดังซะขนาดเนี้ย ต่อให้เจ้าของเขาอยู่บนสวรรค์ก็คงได้ยินละมั้ง” คนแบกข้อหาบุกรุกหน้าตาเฉยหันมายกมือข้างหนึ่งขึ้นอุดหู แล้วเอ่ยประชดหญิงสาวเจ้าระเบียบขึ้นอย่างอดไม่ได้



“ฉันไม่ตลกด้วยนะ ถ้าคุณอยากไปนอนคุกล่ะก็ เชิญงัดไปคนเดียวเลย!” เพียงน้ำพลอยยื่นคำขาดแล้วหันหลังเดินหนีทันที ทว่าเดินไปได้ถึงก้าวก็ถูกคนมือไวคว้าข้อมือเอาเสียก่อน



“จะไปไหนเล่าา มือถือน่ะไม่เอาแล้วรึไง” ฟรานงัดไม้ตายออกมาต่อรองอีกครั้ง



“เหอะ!! อยู่ในคุกจะเอาไปโทรหาใคร!” เพียงน้ำพลอยสวนกลับอย่างเผ็ดร้อน ดวงตากลมโตถลึงมองชายหนุ่มขวัญกล้าตรงหน้าราวกับจะฉีกเนื้อเขาเป็นชิ้นๆ



“เอาน่าคุณ ไหนๆ ก็ลงเรือลำเดียวกันแล้วน่า” เมื่อเห็นว่าไพ่ตายสำคัญของตัวเองกลายเป็นก้อนกรอดไปในชั่วพริบตา ฟรานจึงเปลี่ยนแผนคิดเอาน้ำเย็นเข้าลูบคนหัวรั้นตรงหน้า ไหนเลยจะรู้ว่าเธอหัวแข็งออกปานนี้



“เรือเถื่อนของคุณน่ะลงไปคนเดียวเถอะ!” เรือลำเดียวกันบ้าบออะไรกัน! เรือโดยสารไปกินข้าวแดงในคุกพรรค์นั้น ให้ตายเธอก็ไม่มีวันยอมนั่งไปกับเขาหรอก!



“ใช่ว่าเราไปทำลายข้าวของอะไรเขาสักหน่อย ก็แค่ยืมสถานที่เท่านั้นเอง” ฟรานออกแรงดึงข้อมือบางเธอไว้อีกครั้ง ก่อนจะยกเหตุผลที่คิดว่าพอจะกล้อมแกล้มฟังขึ้นมาอ้างหน้าตาเฉย



“ก็เรามาใช้สถานที่เขาโดยไม่ได้รับอนุญาต มาใช้ของเขา ใช้น้ำใช้ไฟเขา นี่ไม่เรียกทำลายข้าวของรึไง!!”



สิ้นเสียงสวนกลับมาในทันทีของเธอ ฟรานก็พยายามควานหาเหตุผลในสมองออกมาอ้างกับคนตรงหน้าอีกครั้ง ความจริงเขาก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าเธอจะต้องต่อต้าน และที่ทำแบบนี้ก็เพราะต้องการให้เธอต่อต้านนี่แหละ ยิ่งเธอปวดเศียรเวียนเกล้ากับเขาเท่าไหร่ ความตั้งใจของเขาก็เป็นอันสำเร็จลุล่วงอย่างงดงามเท่านั้น



แต่ที่ผิดคาดก็คือ เขาไม่คิดว่าเธอจะยอมหักไม่ยอมงอขนาดนี้ เขาแค่คิดว่าอย่างดีเธออาจจะต่อต้านเล็กๆ น้อยๆ หรือไม่ก็ด่าเขาสักสองสามยก พอเขายกของมาขู่สักหน่อย เธอก็จะยอมเข้าไปข้างในนั้นอยู่ดี ใครจะคิดว่าเธอจะไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม แม้แต่ตัวประกันก็ยังไม่สน เอาแต่จะวิ่งกลับบ้านท่าเดียว ทั้งที่หากให้เขาเดาล่ะก็ แม้แต่ทางกลับบ้านเธอเองก็ยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำ



ก็พอจะรู้อยู่นั่นแหละว่าการมาที่นี่มันไม่ใช่กิจของชี แต่การยึดมั่นถือมั่นในศีลแปดนี้มันจะไม่มากไปหน่อยหรือยังไง



เพื่อนเขาที่เป็นเจ้าของสถานที่ ที่เขาส่งข้อความมาไล่มันไปอยู่ที่อื่นเมื่อเกือบชั่วโมงที่แล้ว ยังไม่ยึดมั่นขนาดนี้เลย!



“ก็เดี๋ยวผมวางค่าเช่าสถานที่กับค่าเสียหายไว้ให้ไง ไม่ได้มายืมใช้ฟรีๆ สักหน่อย นี่ก่อนไปกะจะเก็บกวาดให้เลยนะเนี่ย”



เพียงน้ำพลอยแทบจะสะอึกไปในทันที เพราะไม่นึกว่าเขาจะกลับเรื่องผิดให้กลายเป็นเรื่องสมเหตุสมผลได้ง่ายดายปานนี้ และที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือเธอดันเสียสติไปชั่วขณะ เกิดความคิดขึ้นมาว่าถ้าเขาทำอย่างที่ว่าจริงๆ มันก็ยังพอจะรับไหว แค่ข้ออ้างข้างๆ คูๆ ของเขาไม่กี่คำ เธอกลับเห็นว่ามันพอจะยอมรับได้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น เธอชักจะอยู่ใกล้ถ่านมากจนกลายเป็นสีดำแล้ว



“ก็...”



ทว่าความคิดที่สับสนอลหม่านอยู่ในหัวเธอก็ราวกับร้องตะโกนให้เขาได้ยินได้ยังไงยังงั้น เจ้าของมือหนาถึงได้จับจุดอ่อนเธอได้ทันเวลา ออกแรงดึงเธอลงไปนั่งข้างๆ แล้วลงมืองัดแม่กุญแจด้วยเล็กเส้นเล็กๆ อีกครั้ง ไม่กี่วินาทีต่อมา เธอก็รู้สึกว่าตัวเองได้ยินเสียงกริ๊กๆ ดังขึ้นสองสามครั้ง แล้วแม่กุญแจก็ดีดตัวออกมาจากขั้วทันที เพียงน้ำพลอยได้แต่ตะลึงงันปากอ้าตาค้างเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา



ทีเรื่องอย่างนี้ล่ะก็...เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์เหลือเกิน...



เมื่อเห็นว่าเธอไม่มีทีท่าว่าจะหนีอีก มือหนาที่วันนี้ทั้งวันแปรสถานะเป็นกุญแจมือก็ไม่เฉียดเข้ามาใกล้ข้อมือเธออีก ทันทีที่เปิดปิดประตูเหล็กม้วนเสร็จเรียบร้อย เจ้าของสถานที่กำมะลอก็เดินนำเข้าไปในบ้านด้วยท่าท่างปลอดโปร่งโล่งสบาย ประหนึ่งว่าตนไม่เคยทำผิดในประมวลกฎหมายข้อใดทั้งสิ้น เธอจึงได้แต่มองแผ่นหลังกว้างนั้นแล้วถอนหายใจออกมาอย่างเอือมระอา ที่แท้โลกเรามันน่ากลัวได้ขนาดนี่เอง งัดบ้านคนอื่นเขา เข้ามาอยู่ในบ้านเขา ฉวยโอกาสตอนที่เขาไม่อยู่ทำอะไรตามใจชอบ แต่กลับยังอารมณ์ดีอยู่ได้ถึงขนาดนี้



หากเธอยังจะไปว่าอะไรเขาได้อีก ในเมื่อตอนนี้เธอเองก็กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดไปแล้ว



‘เรือเถื่อน’ ที่เคยพูดเอาไว้ว่าเป็นตายยังไงก็จะไม่ยอมลงไปนั่งกับเขาเด็ดขาด ตอนนี้เธอกลับกลายเป็นคนนั่งอยู่หัวเรือ ที่จ้วงฝีพายอย่างเต็มกำลังไปเสียแล้ว...



เพียงน้ำพลอยกลืนความละอายห้วงสุดท้ายลงคอไปอย่างยากเย็น ก่อนจะรีบสำรวจข้าวของภายในบ้านปูนเปลือยชั้นเดียวนี้ทันที ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ทางที่ดีที่สุดก็คือรีบปั้นแจกันให้เขาให้เสร็จ แล้วรีบเพ่นแน่บไปให้ไกลจากที่นี่เสีย ถึงยังไงวันนี้ก็ทำได้แค่ขึ้นรูป*เท่านั้น หากจะแกะสลักก็ต้องทิ้งแจกันที่ขึ้นรูปไว้แล้วอย่างน้อยหนึ่งวัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเผาดิบ** หรือเผาเคลือบ***ที่ต้องทิ้งไว้ประมาณสี่ห้าวันเสียก่อน ฉะนั้นภารกิจที่เธอต้องกัดฟันทำในวันนี้จึงไม่นับว่ายากเย็นอะไรนัก

(*การขึ้นรูป หมายถึง การนำดินเหนียวมาปั้นเป็นรูปตามที่ต้องการ มีทั้งแบบขึ้นรูปด้วยมือและขึ้นรูปด้วยแป้นหมุน)

(**การเผาดิบ หมายถึง การเผาครั้งแรก)

(*** การเผาเคลือบ หมายถึง การเผาหลังจากชุบน้ำยาเคลือบแล้ว)



ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าผ้ากัดเปื้อนสีทึมๆ ผืนหนึ่งที่พาดอยู่บนเก้าอี้สูงอย่างลวกๆ มาใส่ จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้กลมไร้พนักหน้าแป้นหมุน หันซ้ายแลขวาอยู่พักหนึ่งถึงได้เห็นว่าดินเหนียวพร้อมใช้งานวางอยู่ในอ่างกลมบนโต๊ะข้างแป้นหมุนนี่เอง เธอพร่ำขอบคุณสวรรค์อยู่ในใจ ที่อย่างน้อยเจ้าของที่นี่ก็ทิ้งวัสดุสมบูรณ์พร้อมใช้ไว้ให้เธอเสร็จสรรพ ไม่อย่างนั้น วันนี้เธอคงหมดหวังจะได้ขึ้นรูปแจกัน ต้องเสียเวลาทั้งวันทั้งคืนไปกับการหมักดินแน่



เธอเหลือบไปมองหาปลั๊กไฟสำหรับมอเตอร์แป้นหมุนได้ไม่นาน ก็เห็นว่าปลั๊กมอเตอร์ที่พ่วงไปยังผนังนั้นยังคังเสียบคาไว้อยู่ คิดว่าเจ้าของคงจะลืมถอดออกให้เรียบร้อยก่อนกลับไป และระหว่างที่กำลังตำหนิในความประหมาดเลินเล่อของบุคคลที่สามอยู่นั้นเอง หางตาเธอก็เหลือบไปเห็นร่างสูงร่างหนึ่งที่อ้างว่าขอให้เธอมาช่วย กำลังนอนเหยียดขายาวๆ ของตัวเองพาดกับพนักโซฟาดูโทรทัศน์เครื่องเก่าคร่ำครึอย่างสบายใจ บนโต๊ะกระจกตัวเล็กๆ ข้างกันนั้นยังวางขนมขบเคี้ยวไว้เป็นกองพะเนิน ไหนจะน้ำอัดลมเย็นเฉียบอีกกระป๋องนั่นอีก แค่มองไอน้ำที่จับตัวอยู่รอบกระป๋องนั่นก็พอจะสรุปได้แล้ว ว่าคนหน้าไม่อายคนนั้นไปเปิดตู้เย็นเอาของของคนอื่นมากินเสียอย่างกับเป็นของตัวเอง



“เข้ามาในบ้านเขาไม่พอ ยังไปขโมยของเขามากินอีก มันจะไม่มากไปหน่อยรึไง” เพียงน้ำพลอยตะโกนไปต่อว่าคนไม่รู้ความอย่างอดไม่อยู่



“ก็ขนาดงัดบ้านยังงัดมาแล้ว ยังจะมีอะไรทำไม่ได้อีก” คนหน้าไม่อายตอบทั้งที่สองตายังคงมองโทรทัศน์ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งที่เว้นวางจากการพาดบนพนักโซฟา ก็ยังคงเอื้อมไปหยิบขนมขบเคี้ยวบนโต๊ะมากินไม่ขาดปาก



สิ้นเสียงตอบกลับแสนเกียจคร้านของเขา เธอก็ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูดอีก จึงได้แต่นั่งลงตั้งหน้าตั้งตาทำงานของตัวเองให้เสร็จ จะได้รีบไปจากที่นี่สักที บางทีเธอก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่านี่มันธุระกงการอะไรของเธอกัน ถึงต้องตามมาทำของขวัญให้แม่แฟนหนุ่มที่เขาอ้างเป็นตุเป็นตะว่าเป็นแฟนสาวด้วย และที่สำคัญ ก่อนหน้าที่จะออกมาเขายังประกาศอยู่ปาวๆ ว่าขอจะให้เธอมาช่วย แต่ตอนนี้เธอกลับไม่รู้สึกว่าตัวเองอยู่ในฐานะผู้ช่วยเหลือเลยสักนิด และเขาเองก็ดูไม่ได้ใกล้เคียงกับการผู้นำการปั้นเลยด้วย ไม่สิ...เขาไม่ใกล้เคียงกับอะไรเลยต่างหาก...นอกจากแมวขโมยจอมขี้เกียจ!



ตุ๊บบบบ!!!



มือบางราวกับเครื่องแก้วโยนดินเหนียวก้อนหนึ่งลงบนแป้นหมุนอย่างเต็มแรง ทำเอาแมวเซาบนโซฟาสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ หากเพียงชั่วครู่ก็ล้มตัวลงไปนอนดูโทรทัศน์ตามเดิม ท่าทางไม่ต่างจากคนละเมอจากฝันจนตื่นแล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้ง



เพียงน้ำพลอยขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะสงบจิตสงบใจไม่ให้โยนดินไปใส่ใบหน้ากวนประสาทนั่นได้ มือบางขาวละเอียดล้วงลงไปในถังน้ำข้างๆ จนมือเปียกชุ่มพอสมควร จึงค่อยโอบดินบนแป้นหมุนด้วยสองมือ จากนั้นค่อยใช้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างกดใจกลางเนื้อดินให้บุ๋มลึกลงไป สองมือเบาบางค่อยๆ โอบประคองดินเนื้อละเอียดขึ้นจนเป็นฐานของแจกันทรงสูง สลับวักน้ำจากถังสีทึบข้างๆ มาชโลมเนื้อดินที่กำลังก่อตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ นิ้วหัวแม่มือกดคลึงส่วนที่ตั้งใจจะให้คอดเป็นคอแจกันอย่างเบามือ เมื่อเริ่มได้เป็นรูปเป็นร่างดีแล้ว ก็ใช้มือข้างที่ว่างอยู่เอื้อมไปหยิบฟองน้ำในถังขึ้นมาแตะที่ผิวแจกันเพื่อให้ผิวเรียบเนียนเสมอกันดี



ทว่าชั่วจังหวะที่เธอกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับขั้นตอนสุดท้ายนั้นเอง แจกันทรงสูงประมาณหนึ่งศอกก็ถูกกรีดเป็นทางยาวลึกรอบตัวแจกัน เมื่อแป้นหมุนทำงานไปเรื่อยๆ ตามกลไกมอเตอร์ บวกกับแรงกดกรีดที่หนักขึ้นเรื่อยๆ แจกันทรงสูงที่เพิ่งจะเป็นรูปเป็นร่างของเธอจึงแหลกเหลวลงไปกองอยู่กับพื้นแป้นหมุนไม่เป็นท่าทันที



“นี่คุณ!!! ทำบ้าอะไรของคุณห้ะ!!!!!” เพียงน้ำพลอยรีบกดปิดสวิตช์แป้นหมุน ก่อนจะตะคอกอย่างเดือดดาลขั้นสุด เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นว่าตัวการทำข้าวของเสียหายนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นแมวเซาที่กินแรงคนอื่นเป็นอาหาร ซึ่งไม่รู้ว่าแล่นมาจากหน้าโซฟาตั้งแต่เมื่อไหร่นั่นเอง



“ก็ผมจะช่วยคุณนี่” ฟรานพูดพลางหลับตาปริบๆ ราวกับเด็กไม่รู้เรื่องรู้ราว ทำเอาเธอยั้งใจไม่อยู่ ล้วงมือเข้าไปในถังน้ำจนมือชุ่ม แล้วสะบัดน้ำไล่เขาไปให้พ้นทางทันที



“คะ...คุณ!!! เปียกหมดแล้วเห็นมั้ยเนี่ย!!!” ฟรานร้องพลางสะดุ้งราวกับโดนน้ำมันลวกก็ไม่ปาน ทว่าท่าทางดิ้นพล่านราวกับโดนน้ำมนต์นั้นก็ยังไม่อาจดับไฟโทสะที่ปะทุอยู่ในใจเธอได้อยู่ดี



“ไปให้พ้น!! จะไปดูทีวี พัดลม ตู้เย็นอะไรก็เรื่องของคุณ! แต่อย่ามายุ่งตรงนี้!!!” เพียงน้ำพลอยเดือดพล่านจนถึงขีดสุด แทบลืมไปจนหมดสิ้นว่าที่ผ่านมาทั้งชีวิตตัวเองเคยเป็นคนใจเย็นแค่ไหน รู้เพียงแต่ว่าหากต้องอยู่กับคนตรงหน้านี้ ต่อให้เธอมีความสุขุมใจเย็นมากกว่านี้อีกสักกี่หมื่นเท่าก็ยังคงจะไม่พอใช้อยู่ดี



“คนเขามาช่วยยังมาด่าเขาอีก” เด็กชายตัวโตเกินร้อยแปดสิบตีสีหน้าสลดราวกับจะเบะปากร้องไห้เสียให้ได้ หากครั้งนี้เธอไม่หลงกลเขาอีกต่อไปแล้ว หรือต่อให้เขาร้องจริงๆ เธอก็ถือเสียว่าไหนๆ ตัวเองก็เป็นคนใจร้ายไปแล้ว เชือดคอเขาทิ้งอีกสักอย่างก็คงไม่นับว่าแตกต่างอะไร



“ไม่ฆ่าทิ้งก็บุญเท่าไหร่แล้ว” เพียงน้ำพลอยงึมงำอยู่ในลำคออย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะโกยดินเหนียวบนแป้นหมุนที่พังไม่เป็นท่าลงบนอ่างกลมบนโต๊ะ กดเปิดสวิตช์แป้นหมุนอีกครั้ง แล้วโยนดินเหนียวก้อนใหม่ลงไปอย่างแรง จนน้ำกับเศษดินกระเด็นไปโดนคนอีกคนที่ยังยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล



“คุณโยนยังไงของคุณเนี่ย! เปื้อนผมหมดแล้ว!!” ฟรานว่าพลางใช้มือปัดคราบน้ำคราบดินที่กระเด็นมาโดนตัวเป็นพัลวัน



“ยั ง ไ ม่ ไ ป อี ก” เพียงน้ำพลอยเอ่ยด้วยเสียงลอดไรฟันเย็นเยียบจนชวนขนหัวลุก คนร่างสูงที่อยู่ห่างออกไปประมาณสองก้าวจึงรีบถอยกรูดออกไปอย่างรวดเร็ว



ต่อให้เขาอยากกวนประสาทเธอแค่ไหน เขาก็ยังไม่อยากถูกโยนจนเนื้อแตกกระสานซ่านเซ็นเหมือนดินก้อนนั้นหรอก...




#ที่สุดของความหน้าด้านหน้าทน จริงๆ น้ำพลอยนี่ถือว่ามีความอดทนมากแล้วนะ เป็นไรท์นะ.... 5555+
ใครอยากรู้ว่ามีอะไรที่อีเฮียฟรานยังทำไม่ได้อีกบ้าง และน้ำพลอยจะทนได้อีกสักแค่ไหน มาติดตามกันได้ในตอนต่อไปน้าา พอดีพรุ่งนี้ไรท์ต้องไปทำธุระ พาร์ทที่เหลือจะตามมาในอีกสองสามวันนี้จ้าา^^

#อย่าลืมเม้นท์+โหวตเป็นกำลังใจให้เค้าหน่อยน้าาา














พริมสิตางศุ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 มิ.ย. 2560, 01:43:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ก.ค. 2560, 03:27:08 น.

จำนวนการเข้าชม : 983





<< Chapter 5 : มีดกรีดหิน   Chapter 7 : ฝุ่นตลบ >>
สิรินดา 13 มิ.ย. 2560, 09:08:34 น.
สวัสดีค่าาาา เขียนได้ยาวจังเลยอิจฉา (^__^)


พริมสิตางศุ์ 13 มิ.ย. 2560, 15:46:30 น.
555555 วันไหนติดลมก็เลยเถิดไปไกลเลยล่ะค่ะ แต่ถ้าวันไหนไฟไม่ติดนี่เข็นยังไงก็ไม่เกินห้าบรรทัดสักที TT


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account