ห้วงฝันวันรัก (ผ่านพิจารณาสนพ.)
กิรณา ย้ายมาอยู่บ้านหลังใหม่ได้เพียงไม่นาน แต่แล้วชีวิตกลับต้องพลิกผันเมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง หล่อนได้ข้ามผ่านไปยังช่วงเวลาอนาคต!
ภายใต้ความลึกลับของกาลเวลาที่ชวนพิศวงนั้น ไม่มีสิ่งใดเลวร้ายไปกว่าการที่หญิงสาวต้องมารับรู้ถึงการจากไปอย่างกะทันหันของบุพการี โดยไร้ซึ่งต้นสายปลายเหตุ ดรัล ในฐานะเพื่อนบ้านที่แสนดี แม้จะไม่ค่อยถูกชะตากับสาวข้างบ้านอย่างกิรณาตั้งแต่แรกพบเสียเท่าไหร่ แต่จำต้องยื่นมือเข้ามาช่วยคลี่คลายเงื่อนงำที่เกิดขึ้น
อดีต ปัจจุบัน อนาคต...เหตุการณ์ในช่วงเวลาใดกันแน่ที่มีแต่ความหลอกลวง...
ภายใต้ความลึกลับของกาลเวลาที่ชวนพิศวงนั้น ไม่มีสิ่งใดเลวร้ายไปกว่าการที่หญิงสาวต้องมารับรู้ถึงการจากไปอย่างกะทันหันของบุพการี โดยไร้ซึ่งต้นสายปลายเหตุ ดรัล ในฐานะเพื่อนบ้านที่แสนดี แม้จะไม่ค่อยถูกชะตากับสาวข้างบ้านอย่างกิรณาตั้งแต่แรกพบเสียเท่าไหร่ แต่จำต้องยื่นมือเข้ามาช่วยคลี่คลายเงื่อนงำที่เกิดขึ้น
อดีต ปัจจุบัน อนาคต...เหตุการณ์ในช่วงเวลาใดกันแน่ที่มีแต่ความหลอกลวง...
Tags: เวลา ดราม่า ไซไฟ ฆาตกรรม หมอ บรรณารักษ์ สืบ อนาคต อบอุ่น เพื่อนบ้าน โรแมนติก
ตอน: บทที่ 1---100%
บทที่ 1 (ต่อ)
กว่ากิรณากับทิวัตถ์จะช่วยกันเคลียร์หนังสือเข้าชั้นเสร็จเรียบร้อยก็ตกบ่ายแก่แล้ว หากยังไม่ทันที่ทั้งสองจะได้พักให้หายเหนื่อย อยู่ดีๆ อรวีก็โทรศัพท์มาบอกว่าจำรัสอาการหอบกำเริบ ร้อนถึงกิรณาต้องวานให้เพื่อนบรรณารักษ์ด้วยกันที่ดูแลอยู่ชั้นอื่นช่วยทำหน้าที่แทน ขณะที่ทิวัตถ์เป็นห่วงกิรณาอาสาขับรถพาสาวเจ้ากลับมาดูอาการจำรัสที่บ้าน
“พ่อเป็นไงบ้างคะแม่”
กิรณาเอ่ยถามทันทีที่เข้ามาในบ้าน
มารดานั้นออกมาจากห้องนอนชั้นล่างพอดี เห็นลูกสาวเท่านั้นก็ดีใจหายตรงรี่เข้ามาหา แต่แล้วต้องชะงัก
สายตาอรวีมองมาทางชายหนุ่มข้างกายลูกสาวแทน ไม่นึกว่าลูกสาวจะพาทิวัตถ์มาด้วย คนถูกมองมาอย่างทิวัตถ์เองก็คงรู้ตัวเช่นกันเพราะแค่ยกมือไหว้ทำความเคารพมารดาของกิรณา จากนั้นก็ขอตัวออกไปรอข้างนอก
อรวีอยากอยู่กับลูกสาวตามลำพัง เมื่อทิวัตถ์หายไปแล้วถึงได้ยอมปริปากเล่า
“พ่ออาการหอบทุเลาลงแล้วล่ะลูก ตอนนี้พ่อดรัลกำลังดูอาการให้อยู่ในห้อง คงไม่น่าเป็นห่วงอะไรแล้ว”
กิรณายังคงร้อนใจอยากเข้าไปดูบิดา แต่ทว่าพอฟังมารดาเล่าอาการคนป่วยแล้ว สะดุดกึกกับชื่อชายหนุ่มอีกคน
“จริงสิ แม่มัวแต่ตกใจ ยังไม่ได้บอกลูกเรื่องพ่อดรัลใช่มั้ย” อรวีเพิ่งนึกขึ้นได้เหมือนกัน
“พ่อดรัลเขากลับบ้านมาพอดีตอนที่พ่อแกมีอาการหอบกำเริบ ก็เลยเข้ามาช่วยไว้ได้ทัน...มันจำเป็นน่ะลูก ทั้งยากินยาพ่นหมดไปตั้งนานแล้ว”
“แล้วพ่ออาการหอบกำเริบได้ยังไงคะ”
“ก็คนงานที่ร้านน่ะสิ ดันโทร.มาบอกพ่อแกเรื่อง...” เล่าได้แค่นั้นอรวีก็ชะงัก
ร้านที่อรวีพูดถึงคือร้านสุขภัณฑ์ที่ลำปาง ซึ่งเป็นธุรกิจหนึ่งเดียวของครอบครัวที่ทำกันมานมนานแล้ว ขณะเดียวกันก็เป็นบ้านพักอาศัยยามอยู่ที่ลำปางด้วย
สีหน้าเป็นห่วงแกมวิตกกังวลของลูกสาวนั้น อรวีเลยเกิดอาการอึกอักขึ้นมา พูดเลี่ยงไปว่า
“ไม่มีอะไรหรอกลูก แค่มีพวกนักเลงชอบมาป้วนๆ เปี้ยนๆ ที่ร้านเรา พ่อเขาอารมณ์ไม่ดีตั้งแต่เช้าแล้วลูกก็เห็น ก็ข่าวในหนังสือพิมพ์นั่นแหละลูก”
ด้วยความที่คุยกันอยู่หน้าห้องนอนจำรัส อรวีไม่อยากให้คนในห้องได้ยินเลยดึงลูกสาวออกมาบริเวณห้องอาหารแทน เพราะเป็นจุดที่อยู่ไม่ไกลและก็ไม่ใกล้จนเกินไปนัก จากนั้นก็เป็นฝ่ายเดินไปหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับเมื่อเช้ามาให้ลูกสาวอ่าน หารู้ไม่ว่าลูกสาวยังจำได้ว่าเมื่อตอนเช้าบิดาโยนหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ทิ้งไว้ หน้าที่เปิดค้างก็เป็นหน้าเดียวกันกับตอนนี้ ซึ่งเป็นข่าวของนักธุรกิจที่กว้านซื้อที่ดินที่จังหวัดลำปาง
“พ่อเขาไม่พอใจพวกนักธุรกิจที่กว้านซื้อที่ดินแถวบ้านเรา ก็ข่าวลงขนาดนี้พวกนั้นคงได้ที่ไปเกือบหมดแล้ว ถ้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็นกลุ่มเดียวกันกับที่เสี่ยเฮงร่วมหุ้นด้วย”
“แม่หมายถึงโครงการหมู่บ้านคนรวยน่ะเหรอคะ”
กิรณาพอรู้เรื่องเจ้าของตลาดแถวบ้านอย่างเสี่ยเฮงอยู่บ้าง ก็จากที่บิดามารดาเคยเล่าให้ฟังนั่นแหละว่า มีกลุ่มนักธุรกิจมาเกลี้ยกล่อมให้เสี่ยเฮงร่วมหุ้นทำโครงการหมู่บ้านจัดสรรระดับพรีเมียม หมายมั่นให้เป็นหมู่บ้านสำหรับคนรวย
แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม กิรณาไม่เห็นว่าเรื่องนี้บิดาควรที่จะต้องหัวเสียเลย รู้ๆ กันอยู่ว่าพวกนักธุรกิจได้เสี่ยเฮงไปร่วมหุ้นด้วยก็เท่ากับว่าได้ที่ดินตลาดสดของเสี่ยเฮงเป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้านจัดสรร พื้นที่กินไปตั้งเท่าไหร่แล้ว ถ้ามายุ่งกับที่ดินร้านสุขภัณฑ์ของครอบครัวหล่อนค่อยว่าไปอย่าง !
ดรัลออกมาจากห้องนอนจำรัสในเวลาถัดมาพร้อมกระเป๋าเครื่องมือแพทย์ อรวีกับกิรณากำลังคุยกันอยู่ในห้องอาหารเลยหยุดการสนทนากะทันหัน
อรวีเป็นห่วงสามีไม่รีรอมาหาดรัล
“น้าจำรัสดีขึ้นแล้วใช่มั้ยพ่อดรัล”
“ครับ” ดรัลตอบอรวี
“ผมเพิ่งให้ยานอนหลับไป คุณน้าจะได้รู้สึกผ่อนคลายขึ้น ส่วนเรื่องยารักษาโรคหอบหืด เดี๋ยวผมจะออกไปซื้อยาพ่นจากร้านขายยาแถวนี้มาให้ใช้แก้ขัดไปก่อน แต่ยังไงก็ต้องพาน้าจำรัสไปหาหมอให้ได้นะครับ เพราะก่อนหน้านี้ที่เราสองคนช่วยกันก็แค่การปฐมพยาบาลเบื้องต้น คงช่วยอะไรคนป่วยได้ไม่มาก”
“แค่นี้ก็ดีมากสำหรับน้าแล้วล่ะจ้ะพ่อดรัล”
อรวีเอ่ยขอบคุณคุณหมอตรงหน้าซาบซึ้งในน้ำใจที่เขามีให้
“ที่จริงน้าจำรัสครบกำหนดต้องไปให้หมอดูอาการหลายวันแล้วล่ะ แต่ไม่ยอมไปท่าเดียว เอาแต่เถียงน้าว่าหายแล้วๆ เป็นไงล่ะ ใครเขาก็รู้ว่าโรคหอบหืดมันหายขาดเสียที่ไหน” อรวีอดบ่นให้ดรัลฟังไม่ได้
กิรณาเพิ่งตามมารดามาหาดรัลด้วยอีกคน ยามนั้นเองดรัลเหลือบมองมาทางลูกสาวของอรวีเพียงนิด เขาได้ยินตั้งแต่ยังอยู่ในห้องแล้วว่าอรวีคุยกับกิรณา
หากทว่ากิรณาไม่แม้แต่จะมองหน้าดรัล หล่อนยังฉุนเขาเรื่องเมื่อเช้าไม่หาย ปล่อยให้ดรัลรายงานอาการจำรัสเสร็จเรียบร้อยสาวเจ้าก็เชิดหน้าใส่เขา หายเข้าห้องนอนไปดูอาการบิดาดื้อๆ เสียอย่างนั้น
อรวีเป็นฝ่ายเดินไปส่งดรัลที่หน้าบ้าน ดรัลเลยละสายตาจากกิรณาเดินตามอรวีไป จากหน้าห้องนอนจำรัสเป็นบริเวณห้องอาหารที่สองแม่ลูกคุยกันเมื่อครู่ เดินเลยถัดมาถึงเป็นบริเวณห้องรับแขก...เมื่อนั้น...ดรัลชะงักฝีเท้าพลันเพราะหันไปเห็นชายหนุ่มอีกคนนั่งรออยู่ จังหวะเดียวกันกับที่รายนั้นหันมาทางดรัลเช่นกัน
ทิวัตถ์นั่นเอง
ก่อนหน้านี้ทิวัตถ์หลบออกมาก็จริง แต่คอยดูอรวีกับกิรณาอยู่ห่างๆ ที่ห้องรับแขก พอเห็นอรวีแยกกับกิรณาแล้วเลยทำท่าจะลุกตามกิรณาเข้าไปในห้องนอนจำรัสด้วยอีกคน เดือดร้อนอรวีที่แทบลืมทิวัตถ์ไปแล้ว จำต้องส่งดรัลแค่ปากประตูบ้าน เพื่อตามไปรั้งทิวัตถ์ไว้ด้วยความเป็นห่วง
“อย่าเพิ่งตาวัต”
ทิวัตถ์ยังไม่ทันเดินถึงห้องจำรัสดีด้วยซ้ำ อรวีก็เข้ามาดักหน้าเขาไว้ เลยหยุดกึก
“อย่าเพิ่งตามยายลูกหว้าเข้าไปเยี่ยมสามีน้าตอนนี้เลย”
“แต่ผมแค่...”
“น้ารู้ว่าวัตสนิทกับลูกหว้ามากคงเป็นห่วงกันเป็นธรรมดา แต่สามีน้าเพิ่งอาการดีขึ้น น้าไม่อยากให้มีอะไรไปรบกวนจิตใจแกตอนนี้ หวังว่าวัตคงเข้าใจน้านะลูก”
ทิวัตถ์ยังคงเมียงๆ มองๆ ไปยังห้องนอนที่กิรณาเพิ่งหายเข้าไป แต่แล้วเมื่อนึกถึงคำด่าทอของจำรัสผ่านทางโทรศัพท์คราวก่อนบวกกับอาการหัวเสียของบิดาหญิงสาวทุกครั้งยามที่เจอหน้าเขาแล้ว ชายหนุ่มก็ต้องถอนใจออกมาคล้ายปลงชีวิต
ทำไมเขาจะไม่เข้าใจอรวีล่ะ แต่ไหนแต่ไร ไม่ว่าจะตอนที่เขาเป็นเพื่อนกับกิรณาตั้งแต่สมัยมัธยม หรือกระทั่งเรียนจบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกัน จวบจนมาถึงตอนนี้ก็ตาม เขาทำดีแค่ไหนก็ไม่เคยเอาชนะใจจำรัสกับอรวีได้เลยสักครั้ง ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถ้าเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเยี่ยมบิดาของหญิงสาว
*****************************************************
เช้าวันรุ่งขึ้น กิรณาตื่นขึ้นมาด้วยอารมณ์ขุ่นมัวเพราะมัวแต่เสียเวลาอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งเป็นนานสองนาน ก็คำว่า ‘ป้า’ ที่เด็กสาวบ้านฝั่งตรงข้ามสำรอกออกมายังดังก้องอยู่ในหูน่ะสิ! กิรณาเลยอยากลองแต่งหน้าทำผมทรงใหม่ให้ดูเด็กลงเพื่อลบคำสบประมาทนั่น แต่ด้วยความที่เป็นสาวเจ้าเนื้อ มีรูปร่างอวบนิดๆ โครงหน้ารูปไข่ที่ค่อนไปทางกลมเสียมากกว่านั้น ทำให้กิรณาต้องพยายามหาทรงผมช่วยปิดแก้มให้ดูผอม โชคดีหน่อยที่สาวเจ้าได้ความสูงมาจากบิดา และมีผิวขาวผ่องเฉกเช่นเดียวกับมารดา เลยไม่เตี้ย ป้อม จนดูขี้เหร่
“พ่อคะ แม่คะ”
กิรณาร้องหาจำรัสกับอรวีพลางลงบันไดมายังชั้นล่างในเวลาถัดมา ลูกสาวพร้อมแล้วที่จะทานข้าวเช้าด้วย
แต่แล้วเมื่อลงมาถึงชั้นล่าง กิรณากลับสัมผัสได้ถึงความเงียบเชียบภายในบ้าน กวาดตามองไปรอบกาย
ปกติเวลานี้อรวีมักตื่นมาทำอาหารเช้าให้ทุกคนในบ้านทานแล้ว ขณะที่จำรัสเองก็น่าจะนั่งฟังเพลงรออาหารเช้าอยู่ที่โต๊ะอาหารแล้วเช่นกัน
“พ่อคะ แม่คะ ยังไม่ตื่นอีกเหรอคะ”
กิรณาแปลกใจที่ไม่เห็นบุพการีทั้งสองเหมือนเช่นเคย เลยมาเคาะประตูเรียกหน้าห้องนอน
พลันนั้น กิรณาพบว่าห้องนอนบิดามารดาไม่ได้ล็อค
ลูกสาวชักตงิดใจแปลกๆ ผลักบานประตูเข้าไปในห้องนอน สิ่งที่เห็นคือภายในห้องนั้นว่างเปล่า ไร้ซึ่งเงาของจำรัสกับอรวี !
กิรณาเลยกลับออกมาเดินหาบุพการีทั้งสองทั่วบ้าน ขณะเดียวกันก็รู้สึกใจคอไม่ดีรีบโทรศัพท์หา หวั่นใจจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น บางทีจำรัสอาจอาการหอบกำเริบขึ้นมาอีกก็ได้ อรวีเลยจำต้องรีบพาไปหาหมอโดยไม่ทันได้บอกกล่าว
ทว่าทั้งสองปิดเครื่อง...
กิรณาต้องตั้งสติอยู่ครู่เปลี่ยนใจโทรศัพท์หาทิวัตถ์แทน เพื่อนอาจเป็นคนขับรถพาบุพการีของหล่อนไปโรงพยาบาล แม้มันไม่น่าเป็นไปได้ก็ตาม ก็หล่อนไม่เหลือใครให้ถามแล้วนี่ แถมมารดาของหล่อนก็ขับรถไม่เป็น ยิ่งบิดาหล่อนยิ่งแล้วใหญ่ ยังอยู่ในสภาพที่ต้องพึ่งรถเข็นแบบนั้นไม่มีทางเลยที่จะขับรถหายกันไปสองคนได้
“เป็นอะไรไปลูกหว้า”
ดรัลกำลังจะออกจากบ้านเพื่อไปทำงานตามปกติ เห็นกิรณาวิ่งวุ่นไปรอบบ้านก็ตกใจไม่น้อย รีบปีนรั้วข้ามมาหา
อยู่ดีๆ กิรณาก็หมดแรงเอาดื้อๆ ทำท่าจะล้มทั้งยืนเสียเดี๋ยวนั้น ร้อนถึงดรัลเข้ามาช่วยประคอง พากิรณาไปนั่งบนม้านั่งในสวนหน้าบ้าน
ดรัลทรุดตัวลงนั่งเคียงข้าง หญิงสาวที่ทำท่าจะเป็นลมเลยสบมองชายหนุ่มข้างบ้านอย่างงงๆ กิรณาไม่แน่ใจว่าตัวเองตาฝาดไปรึเปล่าที่เห็นดรัลโผล่มา ไม่วายน้ำเสียงที่เขาไถ่ถามหล่อนเมื่อครู่...ทุ้มนุ่มลึก...แฝงไว้ด้วยความห่วงใยอยู่ในที
ดรัลสบมองกิรณาเช่นกัน นัยน์ตาสีดำสนิทคู่นั้นของเขาไม่ได้ไร้ซึ่งความรู้สึกใดเหมือนเช่นทุกคราวที่เจอะเจอกัน อีกทั้งยังคงมองกิรณาแน่วนิ่ง หญิงสาวเลยผลุบสายตาหนี
“เอ่อ...ฉะ...ฉันไม่เป็นอะไร คุณไม่ต้องเข้ามาใกล้ฉันขนาดนี้ก็ได้”
“ผมเข้าใจว่าคุณคงยังทำใจเรื่องคุณพ่อคุณแม่คุณไม่ได้”
ดรัลเอ่ยเสียงเศร้าคล้ายปลอบหญิงสาวกรายๆ
หากเวลานี้กิรณากำลังเครียด ไม่มีอารมณ์มาสนใจคำปลอบของเขา หล่อนติดต่อทั้งบิดามารดาทั้งทิวัตถ์ไม่ได้สักคน ดรัลอยู่บ้านข้างๆ น่าจะรู้อะไรบ้างเพราะเมื่อวานเขาเองก็เป็นคนมาดูอาการให้จำรัส กิรณาเลยอ้อมแอ้มถามเขาว่า “เมื่อเช้าคุณได้เจอคุณพ่อคุณแม่ฉันบ้างมั้ยคะ คือฉันตื่นนอนลงมาก็ไม่เห็นพวกท่านแล้วน่ะค่ะเลยคิดว่าน่าจะพากันไปโรงพยาบาล”
“ฮื้อ?”
ดรัลได้ยินสาวข้างกายถามเช่นนั้นก็ทำหน้าพิลึกชอบกล
คนถามอย่างกิรณายังไม่รู้ตัว เป็นดรัลที่เอื้อมมือมาเกาะกุมมือหญิงสาว “พูดเป็นเล่นไปลูกหว้า เมื่อวานคุณยังไปเฝ้าคุณพ่อคุณที่โรงพยาบาลอยู่เลย ส่วนคุณแม่คุณ...นี่คุณจำไม่ได้จริงๆ หรือแกล้งอำผมเล่นกันแน่...ท่านเสียแล้วนะลูกหว้า!” #
กว่ากิรณากับทิวัตถ์จะช่วยกันเคลียร์หนังสือเข้าชั้นเสร็จเรียบร้อยก็ตกบ่ายแก่แล้ว หากยังไม่ทันที่ทั้งสองจะได้พักให้หายเหนื่อย อยู่ดีๆ อรวีก็โทรศัพท์มาบอกว่าจำรัสอาการหอบกำเริบ ร้อนถึงกิรณาต้องวานให้เพื่อนบรรณารักษ์ด้วยกันที่ดูแลอยู่ชั้นอื่นช่วยทำหน้าที่แทน ขณะที่ทิวัตถ์เป็นห่วงกิรณาอาสาขับรถพาสาวเจ้ากลับมาดูอาการจำรัสที่บ้าน
“พ่อเป็นไงบ้างคะแม่”
กิรณาเอ่ยถามทันทีที่เข้ามาในบ้าน
มารดานั้นออกมาจากห้องนอนชั้นล่างพอดี เห็นลูกสาวเท่านั้นก็ดีใจหายตรงรี่เข้ามาหา แต่แล้วต้องชะงัก
สายตาอรวีมองมาทางชายหนุ่มข้างกายลูกสาวแทน ไม่นึกว่าลูกสาวจะพาทิวัตถ์มาด้วย คนถูกมองมาอย่างทิวัตถ์เองก็คงรู้ตัวเช่นกันเพราะแค่ยกมือไหว้ทำความเคารพมารดาของกิรณา จากนั้นก็ขอตัวออกไปรอข้างนอก
อรวีอยากอยู่กับลูกสาวตามลำพัง เมื่อทิวัตถ์หายไปแล้วถึงได้ยอมปริปากเล่า
“พ่ออาการหอบทุเลาลงแล้วล่ะลูก ตอนนี้พ่อดรัลกำลังดูอาการให้อยู่ในห้อง คงไม่น่าเป็นห่วงอะไรแล้ว”
กิรณายังคงร้อนใจอยากเข้าไปดูบิดา แต่ทว่าพอฟังมารดาเล่าอาการคนป่วยแล้ว สะดุดกึกกับชื่อชายหนุ่มอีกคน
“จริงสิ แม่มัวแต่ตกใจ ยังไม่ได้บอกลูกเรื่องพ่อดรัลใช่มั้ย” อรวีเพิ่งนึกขึ้นได้เหมือนกัน
“พ่อดรัลเขากลับบ้านมาพอดีตอนที่พ่อแกมีอาการหอบกำเริบ ก็เลยเข้ามาช่วยไว้ได้ทัน...มันจำเป็นน่ะลูก ทั้งยากินยาพ่นหมดไปตั้งนานแล้ว”
“แล้วพ่ออาการหอบกำเริบได้ยังไงคะ”
“ก็คนงานที่ร้านน่ะสิ ดันโทร.มาบอกพ่อแกเรื่อง...” เล่าได้แค่นั้นอรวีก็ชะงัก
ร้านที่อรวีพูดถึงคือร้านสุขภัณฑ์ที่ลำปาง ซึ่งเป็นธุรกิจหนึ่งเดียวของครอบครัวที่ทำกันมานมนานแล้ว ขณะเดียวกันก็เป็นบ้านพักอาศัยยามอยู่ที่ลำปางด้วย
สีหน้าเป็นห่วงแกมวิตกกังวลของลูกสาวนั้น อรวีเลยเกิดอาการอึกอักขึ้นมา พูดเลี่ยงไปว่า
“ไม่มีอะไรหรอกลูก แค่มีพวกนักเลงชอบมาป้วนๆ เปี้ยนๆ ที่ร้านเรา พ่อเขาอารมณ์ไม่ดีตั้งแต่เช้าแล้วลูกก็เห็น ก็ข่าวในหนังสือพิมพ์นั่นแหละลูก”
ด้วยความที่คุยกันอยู่หน้าห้องนอนจำรัส อรวีไม่อยากให้คนในห้องได้ยินเลยดึงลูกสาวออกมาบริเวณห้องอาหารแทน เพราะเป็นจุดที่อยู่ไม่ไกลและก็ไม่ใกล้จนเกินไปนัก จากนั้นก็เป็นฝ่ายเดินไปหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับเมื่อเช้ามาให้ลูกสาวอ่าน หารู้ไม่ว่าลูกสาวยังจำได้ว่าเมื่อตอนเช้าบิดาโยนหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ทิ้งไว้ หน้าที่เปิดค้างก็เป็นหน้าเดียวกันกับตอนนี้ ซึ่งเป็นข่าวของนักธุรกิจที่กว้านซื้อที่ดินที่จังหวัดลำปาง
“พ่อเขาไม่พอใจพวกนักธุรกิจที่กว้านซื้อที่ดินแถวบ้านเรา ก็ข่าวลงขนาดนี้พวกนั้นคงได้ที่ไปเกือบหมดแล้ว ถ้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็นกลุ่มเดียวกันกับที่เสี่ยเฮงร่วมหุ้นด้วย”
“แม่หมายถึงโครงการหมู่บ้านคนรวยน่ะเหรอคะ”
กิรณาพอรู้เรื่องเจ้าของตลาดแถวบ้านอย่างเสี่ยเฮงอยู่บ้าง ก็จากที่บิดามารดาเคยเล่าให้ฟังนั่นแหละว่า มีกลุ่มนักธุรกิจมาเกลี้ยกล่อมให้เสี่ยเฮงร่วมหุ้นทำโครงการหมู่บ้านจัดสรรระดับพรีเมียม หมายมั่นให้เป็นหมู่บ้านสำหรับคนรวย
แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม กิรณาไม่เห็นว่าเรื่องนี้บิดาควรที่จะต้องหัวเสียเลย รู้ๆ กันอยู่ว่าพวกนักธุรกิจได้เสี่ยเฮงไปร่วมหุ้นด้วยก็เท่ากับว่าได้ที่ดินตลาดสดของเสี่ยเฮงเป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้านจัดสรร พื้นที่กินไปตั้งเท่าไหร่แล้ว ถ้ามายุ่งกับที่ดินร้านสุขภัณฑ์ของครอบครัวหล่อนค่อยว่าไปอย่าง !
ดรัลออกมาจากห้องนอนจำรัสในเวลาถัดมาพร้อมกระเป๋าเครื่องมือแพทย์ อรวีกับกิรณากำลังคุยกันอยู่ในห้องอาหารเลยหยุดการสนทนากะทันหัน
อรวีเป็นห่วงสามีไม่รีรอมาหาดรัล
“น้าจำรัสดีขึ้นแล้วใช่มั้ยพ่อดรัล”
“ครับ” ดรัลตอบอรวี
“ผมเพิ่งให้ยานอนหลับไป คุณน้าจะได้รู้สึกผ่อนคลายขึ้น ส่วนเรื่องยารักษาโรคหอบหืด เดี๋ยวผมจะออกไปซื้อยาพ่นจากร้านขายยาแถวนี้มาให้ใช้แก้ขัดไปก่อน แต่ยังไงก็ต้องพาน้าจำรัสไปหาหมอให้ได้นะครับ เพราะก่อนหน้านี้ที่เราสองคนช่วยกันก็แค่การปฐมพยาบาลเบื้องต้น คงช่วยอะไรคนป่วยได้ไม่มาก”
“แค่นี้ก็ดีมากสำหรับน้าแล้วล่ะจ้ะพ่อดรัล”
อรวีเอ่ยขอบคุณคุณหมอตรงหน้าซาบซึ้งในน้ำใจที่เขามีให้
“ที่จริงน้าจำรัสครบกำหนดต้องไปให้หมอดูอาการหลายวันแล้วล่ะ แต่ไม่ยอมไปท่าเดียว เอาแต่เถียงน้าว่าหายแล้วๆ เป็นไงล่ะ ใครเขาก็รู้ว่าโรคหอบหืดมันหายขาดเสียที่ไหน” อรวีอดบ่นให้ดรัลฟังไม่ได้
กิรณาเพิ่งตามมารดามาหาดรัลด้วยอีกคน ยามนั้นเองดรัลเหลือบมองมาทางลูกสาวของอรวีเพียงนิด เขาได้ยินตั้งแต่ยังอยู่ในห้องแล้วว่าอรวีคุยกับกิรณา
หากทว่ากิรณาไม่แม้แต่จะมองหน้าดรัล หล่อนยังฉุนเขาเรื่องเมื่อเช้าไม่หาย ปล่อยให้ดรัลรายงานอาการจำรัสเสร็จเรียบร้อยสาวเจ้าก็เชิดหน้าใส่เขา หายเข้าห้องนอนไปดูอาการบิดาดื้อๆ เสียอย่างนั้น
อรวีเป็นฝ่ายเดินไปส่งดรัลที่หน้าบ้าน ดรัลเลยละสายตาจากกิรณาเดินตามอรวีไป จากหน้าห้องนอนจำรัสเป็นบริเวณห้องอาหารที่สองแม่ลูกคุยกันเมื่อครู่ เดินเลยถัดมาถึงเป็นบริเวณห้องรับแขก...เมื่อนั้น...ดรัลชะงักฝีเท้าพลันเพราะหันไปเห็นชายหนุ่มอีกคนนั่งรออยู่ จังหวะเดียวกันกับที่รายนั้นหันมาทางดรัลเช่นกัน
ทิวัตถ์นั่นเอง
ก่อนหน้านี้ทิวัตถ์หลบออกมาก็จริง แต่คอยดูอรวีกับกิรณาอยู่ห่างๆ ที่ห้องรับแขก พอเห็นอรวีแยกกับกิรณาแล้วเลยทำท่าจะลุกตามกิรณาเข้าไปในห้องนอนจำรัสด้วยอีกคน เดือดร้อนอรวีที่แทบลืมทิวัตถ์ไปแล้ว จำต้องส่งดรัลแค่ปากประตูบ้าน เพื่อตามไปรั้งทิวัตถ์ไว้ด้วยความเป็นห่วง
“อย่าเพิ่งตาวัต”
ทิวัตถ์ยังไม่ทันเดินถึงห้องจำรัสดีด้วยซ้ำ อรวีก็เข้ามาดักหน้าเขาไว้ เลยหยุดกึก
“อย่าเพิ่งตามยายลูกหว้าเข้าไปเยี่ยมสามีน้าตอนนี้เลย”
“แต่ผมแค่...”
“น้ารู้ว่าวัตสนิทกับลูกหว้ามากคงเป็นห่วงกันเป็นธรรมดา แต่สามีน้าเพิ่งอาการดีขึ้น น้าไม่อยากให้มีอะไรไปรบกวนจิตใจแกตอนนี้ หวังว่าวัตคงเข้าใจน้านะลูก”
ทิวัตถ์ยังคงเมียงๆ มองๆ ไปยังห้องนอนที่กิรณาเพิ่งหายเข้าไป แต่แล้วเมื่อนึกถึงคำด่าทอของจำรัสผ่านทางโทรศัพท์คราวก่อนบวกกับอาการหัวเสียของบิดาหญิงสาวทุกครั้งยามที่เจอหน้าเขาแล้ว ชายหนุ่มก็ต้องถอนใจออกมาคล้ายปลงชีวิต
ทำไมเขาจะไม่เข้าใจอรวีล่ะ แต่ไหนแต่ไร ไม่ว่าจะตอนที่เขาเป็นเพื่อนกับกิรณาตั้งแต่สมัยมัธยม หรือกระทั่งเรียนจบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกัน จวบจนมาถึงตอนนี้ก็ตาม เขาทำดีแค่ไหนก็ไม่เคยเอาชนะใจจำรัสกับอรวีได้เลยสักครั้ง ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถ้าเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเยี่ยมบิดาของหญิงสาว
*****************************************************
เช้าวันรุ่งขึ้น กิรณาตื่นขึ้นมาด้วยอารมณ์ขุ่นมัวเพราะมัวแต่เสียเวลาอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งเป็นนานสองนาน ก็คำว่า ‘ป้า’ ที่เด็กสาวบ้านฝั่งตรงข้ามสำรอกออกมายังดังก้องอยู่ในหูน่ะสิ! กิรณาเลยอยากลองแต่งหน้าทำผมทรงใหม่ให้ดูเด็กลงเพื่อลบคำสบประมาทนั่น แต่ด้วยความที่เป็นสาวเจ้าเนื้อ มีรูปร่างอวบนิดๆ โครงหน้ารูปไข่ที่ค่อนไปทางกลมเสียมากกว่านั้น ทำให้กิรณาต้องพยายามหาทรงผมช่วยปิดแก้มให้ดูผอม โชคดีหน่อยที่สาวเจ้าได้ความสูงมาจากบิดา และมีผิวขาวผ่องเฉกเช่นเดียวกับมารดา เลยไม่เตี้ย ป้อม จนดูขี้เหร่
“พ่อคะ แม่คะ”
กิรณาร้องหาจำรัสกับอรวีพลางลงบันไดมายังชั้นล่างในเวลาถัดมา ลูกสาวพร้อมแล้วที่จะทานข้าวเช้าด้วย
แต่แล้วเมื่อลงมาถึงชั้นล่าง กิรณากลับสัมผัสได้ถึงความเงียบเชียบภายในบ้าน กวาดตามองไปรอบกาย
ปกติเวลานี้อรวีมักตื่นมาทำอาหารเช้าให้ทุกคนในบ้านทานแล้ว ขณะที่จำรัสเองก็น่าจะนั่งฟังเพลงรออาหารเช้าอยู่ที่โต๊ะอาหารแล้วเช่นกัน
“พ่อคะ แม่คะ ยังไม่ตื่นอีกเหรอคะ”
กิรณาแปลกใจที่ไม่เห็นบุพการีทั้งสองเหมือนเช่นเคย เลยมาเคาะประตูเรียกหน้าห้องนอน
พลันนั้น กิรณาพบว่าห้องนอนบิดามารดาไม่ได้ล็อค
ลูกสาวชักตงิดใจแปลกๆ ผลักบานประตูเข้าไปในห้องนอน สิ่งที่เห็นคือภายในห้องนั้นว่างเปล่า ไร้ซึ่งเงาของจำรัสกับอรวี !
กิรณาเลยกลับออกมาเดินหาบุพการีทั้งสองทั่วบ้าน ขณะเดียวกันก็รู้สึกใจคอไม่ดีรีบโทรศัพท์หา หวั่นใจจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น บางทีจำรัสอาจอาการหอบกำเริบขึ้นมาอีกก็ได้ อรวีเลยจำต้องรีบพาไปหาหมอโดยไม่ทันได้บอกกล่าว
ทว่าทั้งสองปิดเครื่อง...
กิรณาต้องตั้งสติอยู่ครู่เปลี่ยนใจโทรศัพท์หาทิวัตถ์แทน เพื่อนอาจเป็นคนขับรถพาบุพการีของหล่อนไปโรงพยาบาล แม้มันไม่น่าเป็นไปได้ก็ตาม ก็หล่อนไม่เหลือใครให้ถามแล้วนี่ แถมมารดาของหล่อนก็ขับรถไม่เป็น ยิ่งบิดาหล่อนยิ่งแล้วใหญ่ ยังอยู่ในสภาพที่ต้องพึ่งรถเข็นแบบนั้นไม่มีทางเลยที่จะขับรถหายกันไปสองคนได้
“เป็นอะไรไปลูกหว้า”
ดรัลกำลังจะออกจากบ้านเพื่อไปทำงานตามปกติ เห็นกิรณาวิ่งวุ่นไปรอบบ้านก็ตกใจไม่น้อย รีบปีนรั้วข้ามมาหา
อยู่ดีๆ กิรณาก็หมดแรงเอาดื้อๆ ทำท่าจะล้มทั้งยืนเสียเดี๋ยวนั้น ร้อนถึงดรัลเข้ามาช่วยประคอง พากิรณาไปนั่งบนม้านั่งในสวนหน้าบ้าน
ดรัลทรุดตัวลงนั่งเคียงข้าง หญิงสาวที่ทำท่าจะเป็นลมเลยสบมองชายหนุ่มข้างบ้านอย่างงงๆ กิรณาไม่แน่ใจว่าตัวเองตาฝาดไปรึเปล่าที่เห็นดรัลโผล่มา ไม่วายน้ำเสียงที่เขาไถ่ถามหล่อนเมื่อครู่...ทุ้มนุ่มลึก...แฝงไว้ด้วยความห่วงใยอยู่ในที
ดรัลสบมองกิรณาเช่นกัน นัยน์ตาสีดำสนิทคู่นั้นของเขาไม่ได้ไร้ซึ่งความรู้สึกใดเหมือนเช่นทุกคราวที่เจอะเจอกัน อีกทั้งยังคงมองกิรณาแน่วนิ่ง หญิงสาวเลยผลุบสายตาหนี
“เอ่อ...ฉะ...ฉันไม่เป็นอะไร คุณไม่ต้องเข้ามาใกล้ฉันขนาดนี้ก็ได้”
“ผมเข้าใจว่าคุณคงยังทำใจเรื่องคุณพ่อคุณแม่คุณไม่ได้”
ดรัลเอ่ยเสียงเศร้าคล้ายปลอบหญิงสาวกรายๆ
หากเวลานี้กิรณากำลังเครียด ไม่มีอารมณ์มาสนใจคำปลอบของเขา หล่อนติดต่อทั้งบิดามารดาทั้งทิวัตถ์ไม่ได้สักคน ดรัลอยู่บ้านข้างๆ น่าจะรู้อะไรบ้างเพราะเมื่อวานเขาเองก็เป็นคนมาดูอาการให้จำรัส กิรณาเลยอ้อมแอ้มถามเขาว่า “เมื่อเช้าคุณได้เจอคุณพ่อคุณแม่ฉันบ้างมั้ยคะ คือฉันตื่นนอนลงมาก็ไม่เห็นพวกท่านแล้วน่ะค่ะเลยคิดว่าน่าจะพากันไปโรงพยาบาล”
“ฮื้อ?”
ดรัลได้ยินสาวข้างกายถามเช่นนั้นก็ทำหน้าพิลึกชอบกล
คนถามอย่างกิรณายังไม่รู้ตัว เป็นดรัลที่เอื้อมมือมาเกาะกุมมือหญิงสาว “พูดเป็นเล่นไปลูกหว้า เมื่อวานคุณยังไปเฝ้าคุณพ่อคุณที่โรงพยาบาลอยู่เลย ส่วนคุณแม่คุณ...นี่คุณจำไม่ได้จริงๆ หรือแกล้งอำผมเล่นกันแน่...ท่านเสียแล้วนะลูกหว้า!” #

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 มิ.ย. 2560, 12:05:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 มิ.ย. 2560, 12:05:34 น.
จำนวนการเข้าชม : 798
<< บทที่ 1---50% | บทที่ 2---35% >> |