ฝากรักไว้ในสายหมอก (เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อมE-Book)
มวยเกล้าผมวาง บนกล๋างกระหม่อม

แล้วเหน็บโอบล้อม ด้วยดอกเกี้ยวเกล้า
แดงเฮย...งามแต๊ บ่แลโศกเศร้า

สดใสเริงเลา ใคร่เฝ้าอยู่ใกล้
ผ่อจนเหลียวหลัง เป๋นดีใคร่ได้

โอบล้อมหัวใจ๋ ดวงนี้
แต่เก๊าเจ้าหวง สมแล้วว่าอี้

บ่ดีเด็ดเล่น เนอนายฯ.....



...........................................................................


เพราะความรัก ความผูกพันช่วงหนึ่งในวัยเยาว์

ที่เคยเติมเต็มหัวใจอันอ้างว้างของเขาให้อบอุ่นขึ้นมาได้

ความรู้สึกเหล่านั้นฝังแน่นอยู่ในใจตลอดมา

จนกระทั่งถึงวันนี้ที่เขากลับมาตามหาความรัก

ความผูกพันที่ได้ฝากไว้กับใครบางคน.



ฝากรักไว้ในสายหมอก

เป็นนิยายเรื่องแรกที่ได้รับการตีพิมพ์กับสนพ.กรียมายด์

ตอนนี้หมดสัญญาแล้วจึงเอามาทำเองค่ะ

ติดตามกันได้ในรูปแบบอีบุ๊คนะคะ




Tags: เกี้ยวเกล้า ไตรศูรย์ เชียงใหม่ ล้านนา โรงแรม ความรัก ความผูกพัน วัยเยาว์ สายหมอก

ตอน: ตอนที่ 19




แม่น้ำปิงไหลเอื่อยในยามค่ำคืนเดือนเพ็ญ ถูกประดับประดาด้วยแสงเทียนวับแวมจากกระทงน้อยใหญ่ที่ล่องลอยมาจากทางเหนือของแม่น้ำ ดูคล้ายดวงดาวส่องแสงวิบวับ เงาที่ต้องสายน้ำพริ้วไหวระยิบระยับ และเงาของพระจันทร์สีเหลืองนวลอร่ามในสายน้ำนั้น ก็พราวพรายระยับไม่แพ้กัน พลุ ดอกไม้ไฟส่งเสียงและแสงมาจากที่ต่างๆ เป็นระยะ

ขณะที่เกี้ยวเกล้าถือกระทง ไตรศูรย์เป็นคนจุดธูป เทียน พอเสร็จแล้วทั้งสองจึงอธิษฐาน ก่อนช่วยกันประคับประคองกระทงใบตองลงสู่แม่น้ำและนั่งมองกระทงที่กำลังไหลไปตามสายน้ำปิง

“เราไปปล่อยโคมลอยกันต่อเถอะ คุณเห็นโน่นไหม เขาปล่อยโคมลอยเป็นสายๆ สวยมากเลย” ชายหนุ่มชี้ชวนให้มองไปบนท้องฟ้าที่กระจ่างด้วยแสงจันทร์ จนเห็นดวงดาวเพียงริบหรี่ แต่ทว่าโคมลอยที่ถูกปล่อยขึ้นสู่ท้องฟ้าจากหลายทิศทางนั้น กลับส่องแสงเป็นดวงเล็กดวงน้อยแล้วแต่ระยะความใกล้ไกล เหมือนจะทดแทนดวงดาวที่ถูกแสงจันทร์บดบังกระนั้น แม้โคมลอยจะล่องลอยอยู่บนฟ้าได้เพียงระยะสั้นๆ แล้วดับวูบ ร่วงหล่นลงเมื่อหมดเชื้อเพลิง แต่ฤดูกาลลอยกระทงมักถูกทยอยปล่อยขึ้นไปบนท้องฟ้ามากมาย

ตอนยังอยู่ที่บ้านเกี้ยวเกล้าและกอแก้วเคยช่วยพ่อทำโคมลอยอยู่ทุกปี ทั้งสองพี่น้องมักมีหน้าที่ติดกระดาษว่าวบางๆ ให้เป็นแผ่นใหญ่ตามขนาดที่ต้องการ ส่วนมากพ่อจะให้ทำเป็นรูปทรงกระบอก แล้วจึงนำมาติดบนโครงไม้ไผ่เหลาบางๆ ขดเป็นวงกลม ในส่วนเชื้อเพลิงสมัยก่อนตอนที่เธอทั้งคู่ยังเป็นเด็กจะใช้ผ้าพันกับขดลวด ที่ขดเป็นวงเล็กๆ ชุบน้ำมันยาง น้ำมันโซล่าหรือขี้ผึ้งให้ฉ่ำ ผึ่งให้หมาด พอจะใช้ก็นำมาผูกกับลวดบางๆ ขึงตรงปากของโคมแล้วจึงจุดไฟ

ส่วนมากนิยมใส่ประทัด ดอกไม้ไฟเล็กๆ ติดกับสายชนวนยาวๆ เรียกกันว่า ‘น้ำตก’ ไว้จุด เมื่อโคมลอยกำลังจะขึ้นจึงค่อยจุดชนวนให้ประทัดไปแตกกลางอากาศ แรงดันจากประทัดจะช่วยส่งให้โคมลอยสูงขึ้นไปอีก และดอกไม้ไฟจะโปรยดอกร่วงลงมากลางอากาศเหมือนสายน้ำตก นั่นคือที่มาของชื่อ ‘น้ำตก’ นั่นเอง

การทำโคมลอยด้วยตัวเองในปัจจุบันดูเป็นความยุ่งยาก เสียเวลา ทำให้เดี๋ยวนี้มีโคมลอยสำเร็จรูปวางขายเกลื่อนกลาด แต่ทว่าพ่อของเธอก็ยังคงทำอยู่ทุกปีจนกลายเป็นกิจกรรมในครอบครัวตอนยี่เป็งไปเสียแล้ว แถมยังคงอนุรักษ์วิธีทำแบบดั้งเดิมทุกขั้นตอน ซึ่งค่อนข้างละเอียดอ่อนและวุ่นวายไปบ้าง

และตอนนี้ชาวบ้านต่างก็ยกให้พ่อวิกรณ์เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านโคมลอยของชุมชน ไม่ว่าจะใช้โคมลอยในกิจกรรมใดของหมู่บ้านจะต้องมอบหมายให้พ่อวิกรณ์เป็นตัวตั้งตัวตีอยู่เสมอ ยายเอื้อยเคยบอกว่าการปล่อยโคมลอยนอกจากจะเป็นการปล่อยเคราะห์หรือสิ่งที่ไม่ดีในชีวิตให้ลอยไปแล้ว ยังถือเป็นการถวายพุทธบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณีบนสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ตามความเชื่อของชาวล้านนาด้วย

เกี้ยวเกล้ากับไตรศูรย์ถือโคมลอยขนาดกลางอยู่คนละฟาก ไฟจากเชื้อเพลิงตรงกลางปากโคมกำลังลุกโชน และรู้สึกถึงความตึงของโคมกระดาษที่พร้อมจะลอยสู่ฟากฟ้าแล้ว ชายหนุ่มแอบมองเห็นคนที่ดึงโคมลอยอยู่ฟากตรงข้ามหลับตาอธิษฐาน เขาจึงทำตามบ้าง เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกทีก็เห็นว่าถูกมองอยู่ก่อนแล้ว เขาจึงพยักหน้าให้เธอปล่อยมือ...แล้วทั้งสองก็ช่วยกันปล่อยโคมลอยที่เหลือจนหมด

“สวยจังนะคะ” เกี้ยวเกล้ายืนมองไปบนท้องฟ้าด้วยรอยยิ้ม ไตรศูรย์ไม่ตอบกลับหยิบอะไรบางอย่างจากถุงมาโชว์

“เรายังเหลือดอกไม้ไฟอยู่”

“ 1*บอกไฟน้ำต้น” หญิงสาวร้องอย่างตื่นเต้น เมื่อเห็นดอกไม้ไฟที่ทำมาจากดินเผาในมือเขา 2-3 ลูก มันมีลักษณะกลมๆ สีน้ำตาลออกส้ม ซึ่งปกติจะมีหลายขนาดตั้งแต่เล็กจนถึงใหญ่ แต่ที่อยู่ในมือของไตรศูรย์เป็นขนาดกลาง มีกระดาษสีแดงแผ่นเล็กบางแปะไว้ตรงปากที่มีสายชนวนสำหรับจุดไฟ

ไตรศูรย์วางดอกไม้ไฟลงบนพื้นหญ้า ก่อนจะจุดชนวนด้วยไฟแช็คแล้วถอยออกมามองห่างๆ เพียงไม่กี่วินาทีสายชนวนก็ไหม้มาถึงปากและดอกไม้ไฟก็เริ่มประทุเป็นดอกไฟดอกเล็กๆ พร้อมกับเสียงดังฟู่...ดอกไฟแตกเป็นประกายสว่างไสวมากยิ่งขึ้น และสูงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนสายน้ำตก พร้อมกับเสียงที่ดังหึ่งๆ กลบเสียงต่างๆ รอบข้าง

“สวยจังเลยค่ะ” เกี้ยวเกล้าพร่ำชมไม่ถอนสายตาจากดอกไม้ไฟนั้นแม้ดอกของมันจะราลงเรื่อยๆ เมื่อเริ่มหมดเชื้อเพลิง และที่สุดก็เหลือเพียงไฟสีน้ำเงินเป็นพุ่มเล็กๆ ตรงปากแล้วมอดดับลง ไตรศูรย์นำดอกไม้ไฟอีก 2 ลูกมาวางเรียงกัน แต่ขณะที่กำลังจะจุดชนวนก็ต้องชะงัก

“ฉันขอจุดบ้างได้ไหมคะ นะคะ นะคะ...” เกี้ยวเกล้าเอียงหน้าถามอย่างออดอ้อน เหมือนกลัวเขาจะไม่อนุญาตอย่างนั้นแหล่ะ ชายหนุ่มยิ้มอย่างเอ็นดู ก่อนยื่นไฟแช็คให้คนที่ดีใจเป็นเด็กๆ นั่น เธอยื่นมือไปจุดชนวนอย่างกล้าๆ กลัวๆ ที่สุดก็สำเร็จจนได้ เกี้ยวเกล้ารีบถอยหลังห่างออกมา ประกายไฟที่ประทุไล่เรียงกันไปทั้งสองลูกทำให้เสียงดังกระหึ่มยิ่งกว่าเดิม และความสวยงามนั้นยิ่งมากกว่าเมื่อครู่ ประกายสว่างไสวพุ่งขึ้นสูง แล้วโปรยดอกลงมาใกล้ร่างบางที่สายตาจับจ้องแต่ประกายดอกไม้ไฟนั่น หญิงสาวตกใจพลางก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็ว...

“ระวัง!! ” ไตรศูรย์ร้องเตือนเสียงหลง แต่...

“ว้าย!! ” เกี้ยวเกล้าเซถลาไปข้างหลัง แต่ร่างสูงปราดเข้ามารับไว้ได้พอดี เธอตกใจเกาะแขนเขาไว้แน่นโดยอัตโนมัติ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและสบตาคู่คมของเขา หัวใจที่เต้นแรงอยู่แล้วก็ยิ่งเต้นแรงขึ้นไปอีกจนเจ้าตัวกลัวว่ามันจะกระเด็นกระดอนออกมานอกอก

“เอ่อ ฉันว่า...เรากลับกันเถอะค่ะ” หญิงสาวบอกเขาทั้งที่ก้มหน้างุด เมื่อเขาปล่อยเธอออกจากอ้อมกอด

“บอกได้ไหม เมื่อกี้คุณอธิษฐานอะไร” ชายหนุ่มเอ่ยถามหลังจากจอดรถหน้าบ้านของเกี้ยวเกล้า และเดินลงไปส่งเธอ

“ก็...ขอให้โลกสงบสุขมั้งคะ เหมือนที่ใครๆ เขาขอกันนั่นแหล่ะ” เธอตอบติดตลก เขาหัวเราะน้อยๆ

วันนี้เขารีบบึ่งรถมาเพื่อลอยกระทงกับเธอโดยตรง เขาตั้งใจตั้งแต่วันก่อนโดยไม่ได้บอกให้เจ้าตัวรู้แต่ได้แอบขออนุญาตจากพ่อ แม่เธอไว้ เขาอยากมีช่วงเวลาพิเศษกับเธอบ้าง และเขารู้สึกว่าเธอเองก็ไม่ได้รังเกียจอย่างที่นึกกลัว แค่นี้ก็ทำให้หัวใจของเขาพองโตจนคับอก

ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ยังสาดส่อง และแสงไฟดวงเล็กๆ จาก 2*ผางผะติ้ด ที่จุดวางตามรั้วเป็นระยะเพื่อบูชาพระรัตนตรัยตามประเพณียี่เป็งนั้น ทำให้ใบหน้าหวานดูนุ่มนวลราวกับภาพฝัน ไตรศูรย์เพ่งมองคนที่อยู่ตรงหน้าราวกับต้องมนต์

วันนี้เธอยังแต่งตัวเหมือนตอนอยู่ที่ร้าน เสื้อแขนกระบอกเข้ารูปสีน้ำตาลอ่อน ปักตกแต่งด้วยสีสัน

เข้มตรงคอที่ทับไขว้กันเป็นรูปตัววี สีสันลวดลายของผ้าสไบที่ทับเฉียงเป็นสีเข้มไม่แพ้กัน ผ้าซิ่นลายขวางสีทึมแต่ตรงตีนจกสีสดใส เขาชอบที่จะมองเธออยู่อย่างนี้ไม่รู้เบื่อ ชายหนุ่มมองมวยผมที่วันนี้โอบล้อมด้วยดอกเกี้ยวเกล้าสีแดงระเรื่ออย่างไผลเผลอ แต่ดูเหมือนคนถูกมองจะรู้ตัวจนออกอาการเขิน

“เอ่อ...คุณจะกลับเลยหรือจะไปค้างบ้านยายคะ” เกี้ยวเกล้าถามทั้งที่ยังเก้อเขินไม่กล้าสบตาเขามากนัก

“คงต้องค้างครับ ว่าแต่คุณจะกลับเมื่อไหร่”

“ฉันคงอยู่ต่ออีกสักวันสองวันน่ะค่ะ ป้าอิ่นอนุญาตให้หยุด”

“คุณคงเหนื่อย” เขาเปรยขึ้นมา เพราะตั้งแต่เธอไปอยู่ที่ร้านอิ่นคำ เขาไม่เคยเห็นเธอหยุดพักผ่อนเลยสักวันทำเหมือนเป็นร้านของตัวเองก็ไม่ปาน แล้วยังจะช่วงงานยี่เป็ง 2-3 วันมานี้อีก ทั้งที่ออกปากมาเองว่าเป็นช่วงเวลาพักผ่อน แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่วายที่จะพ่วงงานมาทำด้วย

“คุณเองก็เหมือนกัน ดึกแล้วคุณกลับไปนอนพักเอาแรงดีกว่านะคะ ฉันเองก็จะเข้าบ้านแล้วเหมือนกัน” ว่าพลางหันไปผลักประตูรั้วไม้หน้าบ้าน

“ผมขออะไรสักอย่างได้ไหม” เขาทอดน้ำเสียงนุ่มทำให้หญิงสาวชะงัก แล้วร่างสูงก็เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ เขาโน้มใบหน้าลงไปชิดหน้าหวานนั้น ขณะที่เกี้ยวเกล้าหลับตา หัวใจเต้นระรัว

“มวยเกล้าผมวาง บนกล๋างกระหม่อม แล้วเหน็บโอบล้อม ด้วยดอกเกี้ยวเกล้า

แดงเฮย...งามแต๊ บ่แลโศกเศร้า สดใสเริงเลา ใคร่เฝ้าอยู่ใกล้

ผ่อจนเหลียวหลัง เป๋นดีใคร่ได้ โอบล้อมหัวใจ๋ ดวงนี้

แต่เก๊าเจ้าหวง สมแล้วว่าอี้ บ่ดีเด็ดเล่น เนอนาย

บานซอนใบนั้น จากเก๊าถึงปล๋าย แดงงามบ่วาย พู่พวงระย้า

เป๋นดีม่วนงัน ในหัวใจ๋ข้า โน้มตั๋วลงมา ทายทัก

หยอกเอินใจ๋เล่น เป๋นดีน่าฮัก กลั๋วลมปั๊ดจัก แกว่งไกว

หากว่าตั๋วน้อง ยังบ่มีไผ จะขอเด็ดไป โอบล้อมใจ๋อ้าย โอบล้อมใจ๋อ้าย.....”

น้ำเสียงนั้นทอดอ่อนโยนอยู่ใกล้หู ดวงตาวาววามมองสบตาเธออย่างมีความหมาย ก่อนจะเอื้อมมือไปปลด

ดอกเกี้ยวเกล้าจากมวยผมของเธออย่างเบามือ และจรดดอกไม้สีแดงนุ่มกับจมูก

ชายหนุ่มรู้ว่ากลิ่นหอมอ่อนๆ ที่กรุ่นอยู่ ไม่ใช่กลิ่นของดอกไม้แต่อย่างใด แต่กลับเป็นกลิ่นที่ติดมาจากมวยผมของเธอต่างหาก

“ค...คุณ” เกี้ยวเกล้ารำพึงเสียงแผ่ว ดวงตาที่มองเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

“น้องเกี้ยว...” เขาเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน

“อ่า...คะ? ” เธอขานรับเสียงสั่นเล็กน้อย นี่ใช่ไหมคือสิ่งที่เธออยากได้ยินตลอดมาตั้งแต่กลับมาเจอกัน

“พี่ไตรขอเรียกน้องเกี้ยวเหมือนเมื่อก่อนจะได้ไหม พี่ไตรไม่อยากเป็น ‘คุณ’ แล้วก็ไม่อยากเรียกน้องเกี้ยวว่า ‘คุณ’ เหมือนกัน มันรู้สึกเหมือนเป็นคนอื่นยังไงไม่รู้”

“เอ่อ ก็...ก็ได้ค่ะ” รับคำทั้งที่ก้มหน้างุด ความรู้สึกดีใจเต็มตื้นอยู่ในอก

“พี่ไตรไม่เคยลืมน้องเกี้ยวเลยนะครับ พี่ไตรคิดถึงน้องเกี้ยวเสมอ” เขาเผยความในใจออกมาในที่สุด ทำให้คนฟังเงยหน้าขึ้นมามอง ก่อนเอ่ย

“แล้ว...ทำไมคุณ เอ๊ย! พี่ไตรถึงทำเป็นไม่รู้จักเกี้ยวล่ะคะ ไหนจะว่าบ้านยายเหมือนไม่เคยอยู่ ไม่เห็นค่า เหมือนจำไม่ได้แล้วยังมาทำอวดรวยใส่อีก” น้ำเสียงเธอติดกระเง้ากระงอด

“น้องเกี้ยวก็เลยโกรธพี่ไตรสิ” เขายิ้มเมื่อเธอพยักหน้ารับ “เอากรณีบ้านและอวดรวยก่อนนะครับ พี่ไตรก็แค่อยากรู้ว่าน้องเกี้ยวยังรักบ้านนี้อยู่หรือเปล่า หรือพร้อมจะขายหากได้เงินเยอะๆ ก็เลยแกล้งทำอย่างนั้น”

“แล้วผลเป็นยังไงล่ะคะ” ริมฝีปากบางจงใจประชดประชันมากกว่าอยากได้คำตอบจริงจัง เขาจึงยิ้มอ่อนหวาน

“ผลก็ปรากฏว่า ทำให้พี่ไตรปลื้มน้องเกี้ยวขึ้นไปอีกน่ะสิครับ” คำตอบและสายตาของเขาเล่นเอาคนฟังหลุบสายตามองมือตัวเองอีกละลอก “ส่วนที่ทำเป็นไม่รู้จัก ก็เพราะพี่ไตรไม่รู้ว่าน้องเกี้ยวยังเหมือนเดิมหรือเปล่า ยังจำพี่ไตรได้ไหม เพราะจะว่าไปตอนนั้นน้องเกี้ยวเองก็ยังเด็กกว่าพี่ไตรมาก กลัวว่าหากทะเล่อทะล่าเข้าไปทักน้องเกี้ยวอาจจะหน้าแตกเอาได้ แล้วน้องเกี้ยวเองก็ทำเหมือนไม่รู้จักพี่ไตรเหมือนกันนี่ครับ” ประโยคหลังเขาอดตัดพ้อเธอด้วยรอยยิ้มไม่ได้

“ก็...เกี้ยวคิดว่าพี่ไตรไม่ใช่พี่ไตรคนเก่านี่นา แล้วไหนจะข่าวที่ว่าพี่ไตรจะทำรีสอร์ทอะไรนั่นอีก ถ้าไม่ถูกตัวแตนต่อย แล้วพี่ไตรไม่เผลอพูดออกมาอย่างนั้นเกี้ยวคงไม่รู้”

“นั่นสินะ พี่ไตรเอง ถ้าไม่ถูกแกล้งแกมบังคับให้กินขนมจีนวันนั้น พี่ไตรก็คงไม่มั่นใจเหมือนกัน” ชายหนุ่มเท้าความเอาบ้าง แต่อีกฝ่ายกลับปิดปากหัวเราะคิกคัก

“แล้วทำไมพี่ไตรยอมกินล่ะคะ ทั้งที่ไม่ชอบขนมจีนขนาดนั้น” ก่อนช้อนสายตามองและถาม

“ก็พี่ไตรแกล้งน้องเกี้ยวไว้เยอะนี่ครับก็ต้องยอมรับการลงโทษแต่โดยดี แต่ที่จริงพี่ไตรมัวแต่ดีใจด้วยล่ะที่น้องเกี้ยวยังจำอะไรเกี่ยวกับพี่ไตรได้” ภาพในอดีตผุดขึ้นมาในหัวของชายหนุ่มราวกับมันพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้กระนั้น

ตอนนั้นที่บ้านเกี้ยวเกล้าทำขนมจีนน้ำเงี้ยวกินกัน ตัว ‘น้องเกี้ยว’ เองก็กำลังใช้ช้อนตักขนมจีนคลุกน้ำปลาเข้าปากอย่างทุลักทุเล ค่าที่เส้นมันลื่นไหลลงจากช้อนอยู่นั่นแล้ว พอไม่ทันใจนานเข้าเธอก็วางช้อนและ

หันมาใช้มือขยุ้มใส่ปากแทน

‘อ้าว! พี่ไตรไม่กินเหรอคะ ถ้าไม่ชอบเผ็ดก็กินแบบเกี้ยวสิคะ ใส่น้ำปลาอร่อยดีออก กินกับเกี้ยวก็ได้’

‘ใครจะไปกินกับเราลงดูซิ เล่นละเลงออกอย่างนั้น ดูมือซิ...ดูนั่นเส้นติดผม ติดแก้มอีก แหว่ะ! ’ เปล่า...ไม่ใช่ ‘พี่ไตร’ หรอกที่ออกอาการแหว่ะกับสภาพน้องสาว กอแก้วต่างหาก แต่คนที่เป็นน้องไม่สนใจท่าทางของพี่สาวแม้แต่น้อย

‘งั้น เกี้ยวยกจานนี้ให้พี่ไตรก็ได้’ พูดพลางทำความสะอาดนิ้วที่มีน้ำปลาและเส้นขนมจีนติดอยู่ ด้วย

การเลียแผล็บๆ

‘เอ่อ น้องเกี้ยวกินเถอะครับ พี่ไตรไม่หิว’

‘แต่ว่า...เกี้ยวอยากให้พี่ไตรกินนี่นา เกี้ยวใช้ช้อนก็ได้นะคะ’ ว่าแล้วคนตัวเล็กก็คว้าช้อนที่วางทิ้งไว้บนพื้นข้างตัวเมื่อครู่ขึ้นมาถือตั้งท่าจะตักโชว์ เพราะคิดว่าเด็กชายรังเกียจอย่างที่กอแก้วว่า

‘อย่าไปเซ้าซี้พี่เขาสิลูก พี่เขากินไม่ได้ และไม่ชอบกิน ยายเตรียมกับข้าวให้แล้วล่ะ มาพ่อไตรมากินน้ำพริกตาแดงผักนึ่งกับยายดีกว่ามา...’ คนตัวเล็กทำหน้าไม่เข้าใจว่าทำไม ‘พี่ไตร’ ของเธอถึงไม่ชอบขนมจีนขนาดนั้น ทั้งที่มันสุดแสนจะอร่อยและขึ้นแท่นเป็นของโปรดเธอออกขนาดนี้ ก่อนจะวางช้อนลงอีกครั้ง และเริ่มขยุ้มขนมจีนคลุกน้ำปลาใส่ปากต่อ โดยมีเส้นขนมจีนติดตามมือ ตามแก้ม และเส้นผมแต่เธอกลับไม่ใส่ใจ

‘กินเสร็จแล้วต้องอาบน้ำเลยนะลูก เหม็นน้ำปลาติดตัวตายเลย’ แม่อ่อนแก้วบ่นให้อีกคน

ชายหนุ่มหลุดหัวเราะเบาๆ กับความทรงจำนั้น ที่ดูท่าเจ้าตัวคงจำรายละเอียดไม่ค่อยได้เสียแล้ว

“พี่ไตรหัวเราะอะไรคะ” หญิงสาวถามงงงันกับท่าทางของเขา

“เปล่าครับน้องเกี้ยว แต่น้องเกี้ยวเกือบฆ่าพี่ไตรแล้วรู้ไหมครับ พี่ไตรทั้งแสบทั้งปวดท้อง หายากินแทบไม่ทันแน่ะ” เขาโอดโอยในตอนท้าย เพื่อจะได้ความเห็นใจจากคนตรงหน้า

“จริงเหรอคะ แย่จัง เอ่อ...เกี้ยวขอโทษนะคะ” แล้วก็สำเร็จเกินคาด ไม่ใช่แค่เห็นใจเท่านั้นแต่คนฟังทำหน้าจ๋อยด้วยความรู้สึกผิด จนชายหนุ่มทำสำออยต่อไม่ลง

“ช่างเหอะครับ ก็บอกแล้วไงว่าพี่ไตรสมควรโดนแบบนั้น และมันก็คุ้มกับการที่ได้รู้ว่าเราต่างยังไม่ลืมวันเก่าๆ อย่างที่เคยนึกกลัว เอาเป็นว่าเราหายกันแล้วนะครับ” เขาเอ่ยน้ำเสียงออดอ้อนในท้ายประโยค คนฟังพยักหน้ายิ้มเอียงอาย

“เออจริงสิ พรุ่งนี้น้องเกี้ยวจะออกไปไหนหรือเปล่าครับ”

“พี่ไตรถามทำไมเหรอคะ” เอียงหน้าถามพร้อมรอยยิ้มหวานประจำตัว

“พี่ไตรว่าจะมาชวนน้องเกี้ยวไปบ้านยายด้วยกันน่ะครับ”

“แล้วพี่ไตรไม่รีบกลับไปทำงานเหรอคะ”

“พี่ไตรกลับพร้อมน้องเกี้ยวดีกว่า เพราะที่ผ่านมาพี่ไตรเองก็ไม่ได้พักเป็นจริงเป็นจังเหมือนกัน”

“งั้น...ก็ได้ค่ะ”

“น้องเกี้ยวเข้าบ้านเถอะครับ เดี๋ยวคุณลุง คุณป้าจะว่าเอา”

“ค่ะ พี่ไตร” ชายหนุ่มยืนมองร่างบางเดินเข้าบ้านไป ก่อนจะยกดอกไม้สีแดงในมือขึ้นมาจรดจมูกอีกครั้ง เขาไม่สนใจว่ามันจะหอมหรือไม่ เพราะความหอมและความหวานมันกรุ่นอยู่ในหัวใจของเขาอยู่แล้ว

หมายเหตุ 1** บอกไฟน้ำต้น –( มาจาก 2คำประกอบกัน คือ บอกไฟ หมายถึง ดอกไม้ไฟ และน้ำต้น หมายถึง คนโท) คือดอกไม้ไฟชนิดหนึ่งที่มีลักษณะกลมเหมือนฐานของคนโทซึ่งเป็นภาชนะที่ใช้ใส่น้ำ*

หมายเหตุ 2* ผางผะติ้ด – ถ้วยประทีป


###ตอนนี้อีบุ๊ค ‘ฝากรักไว้ในสายหมอก’ ลงขายแล้วนะคะ###
ตามลิ้งค์ที่แนบมาค่ะ ใครสนใจอยากเก็บพี่ไตร+น้องเกี้ยวเข้ากรุสมบัติ เข้าไปโหลดกันได้รัวๆเลยจร้า
หรือสนใจนิยายเรื่องอื่นๆในนาม ‘พิริตา’ และ ‘อเมทริน’ ก็สามารถเข้าไปโหลดกันได้นะคะ ทั้งตัวอย่างและอีบุ๊ค
ขอบคุณค่า
meb
https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToy
OntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiNzEyOT
E2IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiNTc3OTMiO30
hytexts
https://www.hytexts.com/ebook/B012031-ฝากรักไว้ในสายหมอก
ookbee
http://www.ookbee.com/shop/BookInfo?pid=a927a107-7f6d-4c43-9301-a8c03f420109&affiliateCode=1168c15837084f8bbb5cf6fde0ca707d
นายอินทร์ปัณณ์
https://naiin.com/product/detail/214536

ebooks.in.th
http://ebooks.in.th/ebook/45108/%E0%B8%9D%E0%B8%B2%E0%B8%
81%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%A7
%E0%B9%89%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B2%
E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%81/




กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 มิ.ย. 2560, 22:09:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 มิ.ย. 2560, 22:14:32 น.

จำนวนการเข้าชม : 1042





<< ตอนที่ 18   ตอนที่ 20 >>
แว่นใส 10 มิ.ย. 2560, 20:59:40 น.
พี่ไตรจีบยัง


กานพลู 13 มิ.ย. 2560, 13:27:13 น.
เหมือนจะจีบ หรือยังไงนะ 55555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account