ปิ่นใจกะรัตพลอย (ชุด ลูกไม้ลายหงส์)
แม้จะต้องปะทะลมฝนรุนแรงขนาดไหน เธอก็ยังนับเป็นหงส์เหินที่งามสง่า แต่ใครจะคิดว่าสักวันนึง...ลมปากคนจะหักปีกหงส์ได้จริงๆ...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: Chapter 7 : ฝุ่นตลบ
“ยั ง ไ ม่ ไ ป อี ก”
สิ้นเสียงเย็นเยียบลอดไรฟัน คนร่างสูงที่อยู่ห่างออกไปประมาณสองก้าวก็รีบถอยกรูดออกไปทันที เพียงน้ำพลอยจึงรวบรวมความอดทนเฮือกสุดท้ายอันน้อยนิดขึ้นมาอีกครั้ง แล้วกดเปิดสวิตช์แป้นหมุนปั้นแจกันใบใหม่ขึ้นมาอย่างใจเย็น
เพียงไม่ถึงชั่วอึดใจ แจกันทรงสูงราวหนึ่งศอกใบใหม่ก็เสร็จเรียบร้อย พร้อมสำหรับการวางไว้นิ่งๆ สักประมาณสี่ห้าวัน ระหว่างที่กำลังงัดแจกันซึ่งขึ้นรูปเรียบร้อยออกจากแป้นหมุนนั้นเอง ท้องไส้ที่ยังไม่มีสารอาหารใดตกถึงท้องก็ส่งเสียงร้องโครกครากเสียจนเธอต้องก้มลงมอง ก่อนจะเหลือบมองไปทางโซฟาหน้าโทรทัศน์ เพราะกลัวว่าคนชอบเอาเปรียบคนอื่นอย่างใครบางคนจะได้ยินเข้า แล้วจะเอาความหิวของเธอมาต่อรองอะไรกับเธออีก ตอนนี้อะไรที่ควรทำก็ทำเสร็จหมดแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องอยู่ที่นี่อีก เธอแค่ต้องทนหิวอีกสักหน่อยก็จะได้กลับไปกินข้าวที่บ้านแล้ว… เพียงแค่ต้องทนอีกสักหน่อยเท่านั้น...
ทว่าทันใดนั้นเอง ร่างสูงที่เธอคิดว่าน่าจะละลายติดกับโซฟาไปแล้วก็พลันลุกขึ้นสวมรองเท้า แล้วก้าวฉับๆ มายังจุดที่เธอนั่งปั้นแจกันอยู่ แล้วก็เดินเลยผ่านเธอไปราวกับเห็นเธอเป็นอากาศธาตุยังไงยังงั้น
“นี่! คุณจะไปไหน” เพียงน้ำพลอยลุกขึ้นร้องตะโกนถาม เมื่อเห็นเขาเดินผ่านไปไม่พูดไม่จา แล้วทรุดตัวลงไปหมุนแม่กุญแจออกจากประตูเหล็กม้วนที่แนบสนิทอยู่กับพื้น
“ผมสั่งของไว้ เดี๋ยวเดินไปเอาหน่อย” ฟรานตอบง่ายๆ พลางชี้มือชี้ไม้ประกอบ
“ของอะไร” หญิงสาวขึ้นเสียงถามอย่างเอาเรื่อง ดวงตากลมวาวสุกใสถลึงขึ้นเล็กน้อย ปลายคางน้อยๆ เชิดขึ้น ดูคล้ายกับเด็กหญิงทำท่าแง่งอนไม่มีผิด
“พิซซ่า”
“พิซซ่าอะไรของ...พิซซ่า...พิซซ่าเหรอ” เพียงน้ำพลอยสวนขึ้นต่อทันทีโดยไม่ทันได้คิดว่าเมื่อครู่เขาเพิ่งพูดอะไรออกมา ครั้นพอสมองประมวลความคิดได้ทัน ริมฝีปากบางก็รีบเอ่ยถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจทันที
“ก็นี่มันจะบ่ายสองแล้วยังไม่ได้กินข้าวเที่ยวเลย ผมขี้เกียจไปขับรถหาที่กินอีกเลยสั่งมากินที่นี่ แต่คงต้องเดินออกไปเอาน่ะนะ ทิ้งหลักฐานไว้เป็นกิจลักษณะมากคงไม่ค่อยดี” เพียงน้ำพลอยมองคนตรงหน้าฉีกยิ้มจนตาหยี รู้สึกอยากจะแค่นเสียงขึ้นจมูกมาชั่วขณะ เขาบอกว่าตัวเองไม่อยากทิ้งหลักฐานไว้เป็นกิจลักษณะงั้นเหรอ แล้วที่ตัวเขาไปขนข้าวขนของในตู้เย็นเจ้าของบ้านออกมากินหน้าตาเฉยนี่มันไม่เรียกว่าทิ้งหลักฐานเป็นกิจลักษณะหรือไงกัน หรือแค่คิดว่ามันไม่ใช่ มันก็จะไม่ใช่ไปเสียได้
“อ้อ ผมสั่งเผื่อคุณด้วยนะ” หญิงสาวชักจะรู้สึกเวทนาตัวเองขึ้นมาตงิดๆ เสียแล้ว เพียงแค่เขาบอกว่าเธอเองก็ได้รับส่วนแบ่งจากพิซซ่าที่เขาสั่งด้วย เธอก็เห็นผิดเป็นชอบได้ในทันที รู้สึกว่าเรื่องกิจลักษณะอะไรนั่น ไม่ใช่เรื่องที่คนอย่างเธอต้องมาคอยกังวลเลยสักนิด
“ก็...ก็...รีบกินรีบกลับแล้วกัน” จบคำคนร่างสูงก็กระตุกที่มุมปากขึ้นเบาๆ อย่างอดไม่อยู่ เครื่องหน้าที่ประดับบนใบหน้าได้รูปนั้นฉายแววอารมณ์ดีไปทั่วทั้งหน้า ขณะที่นัยน์ตาเหยี่ยวก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่ท่าทีร้อนรนของคนบางคน ราวกับความรีบร้อนจะออกไปรับของเมื่อครู่ ได้มลายหายสิ้นไปจนหมดภายในชั่วเสี้ยววินาทีก่อนหน้านี้เอง
“จะไปก็รีบไปซะสิ จะได้รีบกินรีบกลับซักที” เมื่อเห็นว่าเขายังเอาแต่ยืนจ้องหน้าเธอ จะทำอะไรก็ไม่รีบไปทำ เธอจึงเอ่ยปากเร่งเขาอีกครั้งคล้ายไม่พอใจนัก ทว่าไม่รู้ทำไมสองข้างแก้มเธอถึงได้รู้สึกร้อนวูบขึ้นมาชอบกล เมื่อคิดหาเหตุผลอื่นใดมารองรับไม่ได้ เธอจึงอนุมานเอาว่าตัวเองน่าจะโมโหหิวเสียละมาก พอใจร้อน ร่างกายก็มักจะร้อนไปทุกส่วนด้วยนั่นเอง
ร่างบางโน้มตัวลงไปประคองแจกันขึ้นวางบนชั้นไม้อัดสูงติดผนัง แล้วยกมือทั้งสองขึ้นปลดผ้ากั้นเปื้อนออกจากคอลงมาพาดไว้ที่เดิมของมัน จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ไปนั่งบนโซฟาหน้าโทรทัศน์ ซึ่งเป็นที่เดิมที่แมวขโมยเคยนอนพาดแขนวางขาอยู่อย่างเกียจคร้าน เธอรู้สึกได้ด้วยสัญชาตญาณว่า แม้เธอจะเดินหนีมาไกลขนาดนี้แล้ว ไอร้อนที่พวยพุ่งมาจากสายตาใครบางคนก็ยังทอดยาวมานาบแก้มเธอได้อยู่ดี เธอจึงตัดสินใจหันขวับไปมองให้รู้แล้วรู้รอด ไม่คาดว่าพอหันไปมองแล้ว เจ้าของไอร้อนสายนั้นนอกจากจะไม่หลบสายตาเธอไปไหนแล้ว ยังคงคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ส่งให้เธออย่างกล้าหาญ จึงกลับกลายเป็นเธอที่ต้องเป็นฝ่ายหลบหนีอีกครั้ง ทั้งที่ไม่มีความผิดแม้แต่กระทงเดียว
แค่วันนี้วันเดียว เธอก็หลบเขาไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว
ขืนอยู่ด้วยกันนานกว่านี้ เธอไม่ต้องกลายเป็นคนก้มหน้ามองพื้นไปตลอดเลยหรือไง...
ครืดดดด...
เสียงประตูเหล็กเลื่อนขึ้นอย่างฉับพลันทำเอาไหล่บางๆ สะดุ้งขึ้นจนสุดตัวด้วยความตกใจ เมื่อเห็นว่าเงาของร่างสูงร่างนั้นหายวับไปแล้ว เธอจึงพ่นลมหายใจที่เก็บกลั้นไว้ออกมาเสียยาวเหยียดพลางยกมือขึ้นลูบหน้าอกราวกับเพิ่งพบเจอเรื่องเสียขวัญใหญ่หลวงมาก็ไม่ปาน อาการโมโหหิวนี่ช่างเล่นงานคนได้ถึงตายแท้ๆ ใครจะคิดว่าแค่การทานอาหารไม่ตรงเวลา จะสามารถทำให้หน้าทั้งหน้าร้อนผ่าวลามไปจนถึงใบหูได้ขนาดนี้ ตอนนี้กระทั่งยกมือขึ้นอังที่ข้างแก้ม เธอยังอดหวั่นไม่ได้ว่ามือจะถูกลวกเอา และหัวใจที่สูบฉีดเลือดได้เกินพอดีดวงนั้นก็เต้นระส่ำเสียจนผิดจังหวะไปหมด
ร้ายแรงถึงขนาดนี้...วันหน้าวันหลังเธอคงไม่กล้ากินอาหารไม่ตรงเวลาอีกแล้ว...
ขณะเดียวกันนั้นเอง ร่างสูงโปร่งท่าทางสบายอารมณ์ก็ก้าวออกจากประตูบ้านอย่างเรื่อยเฉื่อย เดินไปได้สองสามก้าวก็เริ่มกวาดสายตามองหาพนักงานส่งพิซซ่าที่น่าจะมาถึงแล้ว ความจริงแล้วเขาไม่จำเป็นต้องเดินออกไปรับที่ไหนไกลอย่างที่โกหกเอาไว้สักนิด เขาก็สั่งให้พนักงานมาส่งที่หน้าบ้านเพื่อนเขานี่แหละ แต่ที่พูดไปอย่างนั้นก็เพราะต้องการให้เธอสับสนระหว่างเรื่องจริงกับเรื่องโกหกจนแยกไม่ออกไปชั่วขณะเท่านั้น
เขาพอจะเดาได้อยู่แล้วว่าเธอจะต้องหิว จึงสั่งล่วงหน้าไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ตอนได้ยินเสียงท้องเธอร้องโครกครากเสียลั่นบ้าน เขายังทำใจกลั้นหัวเราะไว้แทบตาย รอว่าเมื่อไหร่เธอจะร้องโวยวายขึ้นมาบอกเขาว่าตัวเองหิวจนไส้กิ่วแล้ว ที่ไหนได้จนแล้วจนรอดเธอก็ยังไม่พูด เขาทนสงสารไม่ได้จึงตัดใจเลิกแกล้งเธอชั่วคราว ทว่าทั้งที่เขายังยอมออกหน้าให้แล้วแท้ๆ เธอยังมีหน้ามาแสร้งทำท่าหงุดหงิดรำคาญใจราวกับเขาทำเรื่องไร้สาระเกินจะรับ ทั้งที่ตอนเขาเอ่ยถึงเรื่องพิซซ่า นัยน์ตาดำขลับคู่นั้นวาววับเสียจนแทบจะมีประกายดาวจับได้อยู่แล้ว ยังจะกล้ากลบเกลื่อนว่าตัวเองไม่หิวอีก เขาไม่เคยเห็นผู้หญิงที่ไหนท่ามากขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆ
ทันทีที่เห็นรถจักรยานยนต์ส่งพิซซ่าสีเขียวแก่คันหนึ่งจอดสนิทอยู่ที่เนินทราย ซึ่งห่างจากจุดที่เขายืนอยู่เกือบยี่สิบก้าว เขาก็อดส่ายหน้าด้วยความเกียจคร้านขึ้นมาไม่ได้ เมื่อคิดว่าตัวเองต้องเดินย่ำพื้นทรายไปไกลถึงขนาดนั้น ทว่าก็ไม่อยากถือสาหาความอะไรพนักงานส่งพิซซ่าผู้ไม่รู้ความมากนัก ด้วยคาดว่าอีกฝ่ายคงไม่สะดวกจะขึ้นเข็นรถจักรยานยนต์คันเล็กๆ ขึ้นเนินทรายสูงชันมาถึงหน้าบ้าน ทันทีที่เดินไปถึงจุดส่งรับส่งของ ฟรานจึงล้วงกระเป๋าเงินออกมาจากกระเป๋ากางเกงเตรียมยื่นเงินให้พนักงานทันที ทว่าชั่ววินาทีที่กำลังจะเงยหน้ามองพนักงานผู้ก้มหน้าก้มตา ใส่หมวกแก๊ปปิดลงมากว่าครึ่งหน้านั้นเอง สัญชาตญาณว่องไวราวกับหมาป่าหนุ่มก็พลันตื่นตัวขึ้นมาในชั่วพริบตา นัยน์ตาสีเข้มคล้ายกับดำสนิทขึ้นยิ่งกว่าเดิมจนไม่อาจประมาณความลึกล้ำได้ มือหนาที่ถือกระเป๋าเงินชะงักค้างไปชั่วขณะ สองตาคมกริบลอบสำรวจชายหนุ่มตรงหน้าอย่างรวดเร็ว แม้ว่ากว่าครึ่งใจจะได้ข้อสรุปเรียบร้อยแล้วก็ตามที
ชายหนุ่มในเสื้อแจ็คเก็ตผ้าร่มสีเขียวแก่เช่นเดียวกับสีรถ ตรงแขนช่วงข้อศอกคาดแถบสีแดงสองแถบ หมวกแก๊ปที่เจ้าตัวกดปีกหมวกลงบังใบหน้าไปกว่าครึ่งสีดำสนิทไร้ลวดลายใดๆ ดูผิวเผินภายนอกแล้ว แม้จะดูขัดหูขัดตาอยู่สักหน่อย แต่ก็ไม่นับว่าเป็นพิรุธชัดเจนอะไร นอกเสียจาก...กล่องพิซซ่าในถุงพลาสติกนั้นดูเบาโหวงกว่าปกติ ผิวเนื้อบนนิ้วมือนั้นแทบจะไม่ถูกดึงรั้งด้วยแรงหน่วงเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยามที่สายลมอ่อนๆ พัดผ่าน กลับไม่ได้มีเพียงถุงพลาสติกเบาๆ เท่านั้นที่พริ้วไหว แต่กล่องพิซซ่าสี่เหลี่ยมที่แม้จะมีน้ำหนักไม่มากมาย แต่ก็น่าจะพอจะต้านแรงลมได้ กลับปลิวไปตามแรงลมเบาๆ เรื่องผิดสังเกตเล็กน้อยเหล่านี้ หากเป็นคนทั่วไปคงไม่มีทางสังเกตเห็นได้ ทว่ากับเขาที่หนีการไล่ล่ามาทั้งชีวิต ย่อมไม่มีทางปล่อยมันผ่านตาไปง่ายๆ แน่
เลือดในกายเขาเดือดพล่านคล้ายกับถูกเผาผลาญด้วยไอสังหาร เท้าขวาก้าวถอยหลังมาเล็กน้อยตามสัญชาตญาณ ขณะที่ดวงตาก็ยังคงจับจ้องสิ่งมีชีวิตตรงหน้า ที่เริ่มเก็บกลั้นความร้อนระอุในใจไว้ไม่อยู่ขึ้นทุกที
ชั่ววินาทีนั้นเอง กล่องพิซซ่าเบาโหวงก็ถูกโยนขึ้นลอยละล่องกลางอากาศ ชายหนุ่มในแจ็คเก็ตเขียวแก่ยกปืนที่เหน็บอยู่ข้างเอวขึ้นอย่างว่องไว หมายจะเป่าศีรษะคนร่างสูงให้วิญญาณหลุดลอยออกจากร่างในนัดเดียว ทว่ากลับผิดคาดที่คนตรงหน้าดูจะอ่านการเคลื่อนไหวของเขาออกแต่แรก ยกสันฝ่ามือขึ้นฟาดข้อมือที่ถือปืนอยู่ของเขา แล้วซัดกำปั้นหนักๆ เข้ากลางลิ้นปี่เขาอย่างเต็มแรง ถึงแม้จะโชคดีที่ปืนไม่ร่วงลงพื้นไป ทว่าเรี่ยวแรงที่แขนหายไปนับแปดส่วนจนไม่อาจประคองปืนขึ้นจ่อหน้าผากใครได้ เสี้ยววินาทีเดียวกันนั้นเอง ร่างสูงก็ยกวงขาขึ้นตวัดเกี่ยวลำคอของศัตรูผู้คุกคามชีวิต ใช้ข้อพับแกร่งบีบรัดลำคอของอีกฝ่ายจนแทบหมดลม ก่อนจะออกแรงสะบัดจนเหยื่อลอยเคว้งขึ้นกลางอากาศไม่ต่างจากถุงพลาสติกไร้น้ำหนัก
หากแต่ยังไม่สิ้นลมดีก็ยังไม่นับว่าหมดหวังโดยสิ้นเชิง เหยื่อผู้ดิ้นรนทุกวิถีทางจึงพยายามจะเอื้อมมือไปหยิบปืนที่กระเด็นไปไม่ไกลนักขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็นึกไม่ถึงว่าตนจะประมาทความว่องไวของอีกฝ่ายเกินไป ยังไม่ทันจะได้รวบรวมเรี่ยวแรง รองเท้าหนังราคาแพงระยับก็ยกขึ้นฟาดกรามเขาอย่างเต็มแรงจนโลหิตข้นคลั่กทะลักกบปาก ก่อนจะยกเท้าอีกข้างไปเหยียบกระดูกข้อมือเขาจนแทบแหลกละเอียด เมื่อแน่ใจว่าเขาหมดเรี่ยวแรงจะหยิบจับอาวุธใดได้แล้ว มือทรงพลังเพียงข้างเดียวก็รวบคอเสื้อเขากระชากขึ้นจากพื้นทราย แล้วโยนไปอีกทางจนร่างทั้งร่างพลิกคว่ำ คนถือไพ่เหนือกว่าทรุดตัวลงใช้หน้าแข้งกดร่างของเหยื่อเอาไว้ ขณะที่เท้าอีกข้างก็ไม่ลืมจะเหยียบข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้ด้วย พร้อมกันนั้นก็ใช้มือดึงรั้งคอเสื้อคนใต้ร่างลงมาเพื่อตรวจดูอะไรบางอย่างให้แน่ใจ เหมือนอย่างที่เคยทำเป็นประจำทุกที...
ซึ่งครั้งนี้ก็ไม่ผิดไปจากที่คาดเช่นเคย...
‘หมาป่าสีน้ำเงิน...’
ที่บริเวณต่ำกว่าท้ายทอยเล็กน้อย ปรากฏรอยสักรูปหมาป่าขนสีน้ำเงินบริสุทธิ์ขนาดเท่าฝ่ามือ กำลังหันมามองเขาด้วยนัยน์ตาแดงฉาน พร้อมกับแยกเขี้ยวคมๆ ขู่ขวัญเขา ฟรานแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างร้ายกาจ ก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันที่ซุกซ่อนอยู่ในลำคอออกมาเบาๆ
ชีวิตเขานี่มันช่างมีสีสันดีเหลือเกิน ขนาดสั่งของมากิน ยังเกือบได้ลูกปืนมากินแทนพิซซ่า
เขานี่มันช่างเป็นคนพิเศษที่ใครๆ ก็รักก็เอ็นดูเสียจริง...
ยังไม่ทันทีเสียงหัวเราะเย็นเยียบจะได้เงียบลงดี คนใต้ร่างที่แทบสิ้นลมไปแล้วเมื่อครู่ก็ตัดใจงัดไพ่ตายใบสุดท้ายออกมา ค่อยๆ ล้วงมีดสั้นเงาวับในกระเป๋ากางเกงอีกข้างหนึ่งขึ้นมา จ้วงแทงต้นขาที่กดร่างของตัวเองเอาไว้จนแทบมิดด้าม หูได้ยินเสียงใบมีดทะลวงลึกเฉือนทำลายกล้ามเนื้อดังฉึก แม้จะปราศจากเสียงร้องอย่างเจ็บปวดทรมานแม้แต่ครึ่งคำ แต่เสียงลมหายใจซึ่งสะดุดไปในชั่วขณะนั้น ก็ทำให้ความหวังริบหรี่ที่หลุดลอยหายไปหวนคืนกลับมาภายในชั่วพริบตา จึงคิดลองเทหน้าตักพลิกวิกฤติตรงหน้าให้กลายเป็นโอกาสอีกครั้ง โดยอาศัยช่วงที่คนเหนือร่างอ่อนกำลังพลิกตัวขึ้นสุดแรง และลั่นไกปลิดวิญญาณเขาทิ้งภายในเสี้ยววินาที ทว่าเรื่องราวกลับผิดคาดอีกจนได้ เพราะวินาทีดังกล่าวนั้น คนที่ควรจะอ่อนแรงกลับกลั้นใจกระชากมีดสั้นที่ปักอยู่บนต้นขาของตัวเองออก แล้วเงื้อแขนปักใบมีดคมๆ ลงบนต้นขาของเหยื่อจนแทบทะลุ จากนั้นก็กระชากออกแล้วปักลงบนต้นขาอีกข้างด้วย ราวกับปรารถนาให้คนใต้ร่างทรมานจนตายตกไปจากโลกนี้เสีย
“อ๊ากกกกก!!!!!!” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดทรมานโหยหวนลั่นไปทั่วบริเวณ ทำให้ฟรานเริ่มได้สติว่าเรื่องเลวร้ายที่สุดนั้นยังไม่ทันได้เริ่มต้นขึ้นด้วยซ้ำ เรื่องที่เขาต้องคิดให้ออกตอนนี้ก็คือ จะทำยังไงกับคนที่กำลังจะชะโงกหน้าออกมาจากบ้านในไม่กี่วินาทีต่อจากนี้ เพราะได้ยินเสียงร้องโหยหวนของไอ้มือปืนสมควรตายนี่ต่างหาก
ในช่วงเวลาคับขัน สวรรค์ก็มักจะเล่นตลก... ฟรานไม่คิดว่าตัวเองเชื่อคำกล่าวประเภทนั้นนัก จนกระทั่งเห็นชายฉกรรจ์เกือบยี่สิบคนกรูกันออกมาจากตรอกทางเข้าซึ่งห่างออกไปประมาณสิบเมตร เขารีบกลืนความเจ็บที่ต้นขาลงไป แล้วก้มลงหยิบปืนที่ตกอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลขึ้นมาเตรียมพร้อมป้องกันตัว ไม่มีเวลาแม้แต่จะปาดเหงื่อเย็นๆ สามสี่เม็ดที่ผุดขึ้นมาออกจากหน้าผาก
ชายร่างท้วมที่ยืนอยู่หน้าสุดย่างสามขุมเข้ามาพลางขึ้นลำปืนพกในมือด้วยท่าทางสุขุมเยือกเย็น สายตาอาฆาตราวกับจะพุ่งเข้ามาฉีกกระชากวิญญาณเขาตั้งแต่ยังเข้ามาไม่ถึงตัว ทำเอาเขาเริ่มลังเลกับสถานการณ์ตรงหน้านี้ขึ้นทุกที จากการประเมินด้วยสายตาแล้ว พวกที่มาใหม่ยี่สิบกว่าคนนี้คงไม่กระจอกอย่างคนที่ร้องทุรนทุรายอยู่กับพื้นนี่แน่ หากให้เขาเดาล่ะก็ มันก็เป็นแค่หมากตัวหนึ่งที่ถูกส่งมาให้ล่อเขาออกมา แล้วถ่วงเวลาเขาเอาไว้ให้ได้มากที่สุด หากจัดการได้ตั้งแต่แรกก็ดีไป แต่ถ้าไม่ล่ะก็ ยังมีกองทัพอีกยี่สิบกว่าชีวิตที่เตรียมจะรุมฉีกทึ้งเขารออยู่อีก
เขาในตอนนี้มีปืนแค่กระบอกเดียวบนพื้นทรายที่ไอ้มือปืนนั่นทำหลุดมือไว้ แต่กองกำลังติดอาวุธที่กำลังคืบคลานมาหานั้นมีพร้อมไปเสียทุกอย่าง จากที่ดู หากจะบอกว่าแม้แต่ระเบิดมือก็พกมาในครั้งนี้ด้วย เขาก็คงไม่แปลกใจอะไรนัก และปัญหาใหญ่อีกอย่างก็คือตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว และอีกคนที่ว่านั้นก็กำลังจะชะโงกหน้าออกมาในไม่ช้านี้แล้ว ครั้งก่อนเขากระชากเธอวิ่งหนีไปด้วยกันเพราะสัญชาตญาณล้วนๆ ไม่ได้มีความคิดอ่านเป็นเหตุเป็นผลรวมอยู่ด้วยแม้แต่ส่วนเดียว ลืมสิ้นไปชั่วขณะว่าร่างที่ปลอมตัวเป็นแขกขายโรตีในตอนนั้นไม่ได้รู้มักจี่กับเธอแต่อย่างใด ไม่จำเป็นต้องลากเธอหนีตายไปด้วยกันทั้งอย่างนั้น แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งนั้น...ออกจะไม่เหมือนโดยสิ้นเชิงด้วย ครั้งนี้หากเธอโผล่หน้าออกมา ไม่ว่ายังไงเขาก็คงไม่อาจทำเป็นไม่รู้จักเธอได้อีก ทว่าครั้นจะให้ลากเธอไปหนีตายด้วยอย่างครั้งก่อน เขาก็อดห่วงเธอขึ้นมาไม่ได้ เพราะคนที่มาไล่ล่าเขาในครั้งนี้ ไม่ได้มีแค่สองสามคนเหมือนตอนนั้น แต่เป็นกองกำลังติดอาวุธเกือบยี่สิบชีวิต!
ใบหน้าหล่อเหลาได้รูปหันไปมองทางบ้านปูนเปลือยซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณยี่สิบก้าว เฝ้าภาวนาให้การคาดคะเนของเขาผิดเพี้ยนไปสักหน่อย อย่าให้ยัยแม่ชีกระโดดกำแพงนั่นโผล่ออกมาในตอนนี้เลย
ทว่าเรื่องเลวร้ายอะไรที่เขาเคยคาดเอาไว้ มันเคยผิดเสียทีไหนกัน...
ครืดดดดดด...
เสียงยกประตูเหล็กม้วนขึ้นช้าๆ กับใบหน้าขาวละเอียดดุจเครื่องแก้วที่โผล่ลอดออกมาตั้งแต่ประตูยังลอยพ้นพื้นขึ้นมาได้ไม่เท่าไหร่ กับดวงตากลมโตราวกับไข่มุกดำแสนวาววับคู่นั้นที่ค่อยๆ เบิกโพลงด้วยความตกใจขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำเอาฟรานแทบอยากจะตีอกชกหัวตัวเองให้ตายเสียตรงนี้ อะไรดลใจให้เขาไม่รู้จักล็อกกุญแจไว้ด้านนอก ปิดตายให้เธออยู่แต่ในนั้นเงียบๆ ไปเสียเลย เขาคิดอะไรของเขาอยู่ถึงได้แค่ดึงประตูลงมานาบกับพื้นโดยไร้ซึ่งการป้องกันใดๆ แบบนี้!
ฟรานค่อยๆ ถอยหลังมาทีละก้าว ก่อนจะหันหลังออกวิ่งอย่างสุดฝีเท้า ภายในชั่วพริบตาขายาวๆ ก็พาเขาไปถึงหน้าประตูเหล็กม้วน มือหนาจึงเอื้อมไปคว้าข้อมือของคนร่างบางที่ยังยืนอยู่ในบ้านออกมาอย่างรวดเร็ว ทว่าด้วยความรีบเร่งสุดขีดจึงไม่ทันระวัง ทำให้หน้าผากมนกระแทกเข้ากับประตูเหล็กซึ่งลอยจากพื้นขึ้นถึงระดับหน้าผากของเธอพอดี
“โอ๊ยยยยย!!! จะฆ่ากันรึไงห้ะ!!!!!” เพียงน้ำพลอยร้องลั่นพลางยกมือข้างที่เป็นอิสระอยู่ขึ้นคลำหน้าผากป้อยๆ
“ก็เออน่ะสิ มาเป็นกองทัพขนาดนั้นไม่เห็นรึไง” ฟรานดึงมือเธอให้ย่อตัวลงเล็กน้อย แล้วใช้มืออีกข้างบังศีรษะให้เธอปลอดภัยจากการกระทบกระแทกอะไรในเวลาคับขันอีก จากนั้นก็กระชากแขนเธอออกวิ่งอย่างเต็มฝีเท้าทันที
“จะเอาฉันไปไหนอีก!!! มันเจ็บ!!!” เพียงน้ำพลอยร้องตะโกนไปพลาง สะบัดแขนที่ถูกเขาฉุดกระชากไปพลาง เพราะคิดไม่ออกว่าตัวเองมีเหตุผลอะไรที่จะต้องหนีคนพวกนั้นด้วย
แต่จะว่าไปเหตุการณ์แบบนี้มันก็ออกจะคุ้นๆ ยังไงชอบกล...
“ไปไหนก็ไปเถอะน่า เจ็บกับตายจะเอาอะไรก็เลือกเอาละกัน” ฟรานตอบด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวเล็กน้อย ทว่าถึงอย่างนั้นก็ยังลดแรงบีบที่ข้อมือให้เบาลงตามที่เธอร้องขออยู่ดี
“นี่!!! หรือว่า...” ทันใดนั้น หญิงสาวร่างบางที่ลอยละล่องตามแรงกระชากมาโดยตลอดก็หยุดเท้าตัวเองลงกึก ทำท่าคล้ายกับนึกอะไรสักอย่างออกมาได้ เป็นตายยังไงก็ต้องถามให้รู้เรื่อง
“อะไรของคุณอีกเนี่ย!!!” ฟรานตวาดขึ้นเสียงดัง ตอนนี้เป็นช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานแค่ไหนคิดว่าเธอเองก็คงเห็นอยู่กับตา ทำไมถึงยังเอาแต่ถามโน่นถามนี่เขาอยู่ได้ ไม่รู้จักกลัวตายบ้างหรือไงกัน
“หรือว่าพวกที่ตามมาเป็นเจ้าของบ้าน เขาจะมาเอาเรื่องที่เราไปงัดบ้านเขาเหรอ!” เพียงน้ำพลอยถามพลางเบิกตากว้างมองคนตรงหน้าอย่างตื่นตระหนก ทำเอาฟรานแทบสะอึกไปในทันที เพราะไม่คิดว่าเธอจะเอาเรื่องทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้มารวมกันให้เป็นเรื่องเดียวได้
“เอ่อ...ก็ทำนองนั้นแหละ” ฟรานอ้ำอึ้งอยู่ชั่ววินาทีก่อนจะเออออตามเธอไป
“จะ...จริงเหรอ!! ฉันบอกคุณแล้วใช่มั้ยว่าอย่าไปยุ่งกับของของคนอื่นเขาน่ะ!!!” เธอตวาดลั่นจนสุดเสียงพร้อมกับใช้กำปั้นนุ่มนิ่มของตัวเองทุบตีเขาอย่างสุดแรง
“โอ๊ยยยคุณ!!! มันใช่เวลามั้ยเนี่ย! หนีก่อน เร็ว!!” จบคำฟรานก็ไม่สนเสียงด่าทอประหนึ่งว่าเขาไปฆ่าคนวางเพลิงบ้านบรรพบุรุษเก้าชั่วโคตรของเธออีก รีบกระชากข้อมือเธอออกวิ่งอีกครั้ง พร้อมทั้งเร่งฝีเท้าขึ้นอีกเป็นเท่าตัว หากก็ยังต้องขอบคุณสวรรค์ที่วันนี้เธอไม่ได้ใส่รองเท้าส้นสูงมา เป็นเพียงแค่รองเท้าส้นเตี้ยสีขาวรัดส้นธรรมดาๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงได้หมดความอดทน ตัดใจแบกเธอวิ่งแน่ ซึ่งก็ไม่แน่ว่าหนทางที่ว่านั้นจะพาเขากับเธอหนีตายไปได้สักกี่ก้าว
ฟรานลากคนร่างบางลัดเลาะไปทางด้านข้างของบ้าน เขาจำได้ว่าหลังบ้านของเพื่อนคนนี้เป็นพื้นทรายโล่งๆ ดูเผินๆ ไม่ต่างเวิ้งทรายหน้าบ้านสักเท่าไหร่ แต่ลึกเข้าไปจะเป็นป่าผืนหนึ่งซึ่งมีต้นไม้ใบหญ้าขึ้นรกไปหมด ไม่มีใครมาถางออกให้เรียบร้อย สภาพแทบจะเรียกได้ว่ารกชัฏ ทว่าพ้นจากป่านี้ไปก็จะเป็นถนนใหญ่แล้ว ฉะนั้น หากพ้นจากป่าข้างหน้านี้ไปได้ เขากับเธอก็นับว่ายกขากลับมาจากประตูนรกได้แล้วข้างหนึ่ง
ขายาวๆ วิ่งลุยต้นหญ้าที่ขึ้นสูงจนเกือบถึงช่วงเอวอย่างไม่หยุดพัก ระหว่างทางก็ดึงหญ้าปัดกิ่งไม้ให้เธอที่วิ่งตามหลังมาด้วย ซึ่งหลังจากที่ไถ่ถามจนได้ข้อสรุปนั้นไปแล้ว เธอก็ไม่ได้ซักไซ้ไล่เรียงอะไรเขาอีก ทั้งยังไม่บ่นเหนื่อยปิ่มว่าจะขาดใจแต่อย่างใด เอาแต่วิ่งอย่างสุดแรงเกิดตามเขามาเรื่อยๆ เล่นเอาเขาแปลกอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
ปังง!!!
ชั่วขณะที่เขารู้สึกได้ว่าฝูงกองทัพติดอาวุธได้วิ่งตามหลังมาใกล้อีกครั้ง หลังจากกองทัพติดอาวุธทิ้งห่างไปได้สักพักใหญ่ เขาก็รู้สึกได้ว่าพวกมันเริ่มไล่ตามหลังมาใกล้อีกครั้ง พอหันหลังกลับไปมองก็เห็นกระบอกดำเมี่ยมเล็งตรงมาหาเขากับเธอพอดี เขาจึงรีบยกมือขึ้นกดศรีษะน้อยๆ ของคนข้างลงตามสัญชาตญาณ กระสุนที่แทรกผ่านกระแสลมมาในเสี้ยววินาทีเดียวกันนั้นจึงเฉียดผ่านต้นแขนเขาไปเล็กน้อย หากก็นับว่าเรียกเลือดออกมาได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
ฟรานรีบยกมือขึ้นกดปากแผลตัวเองไว้เพราะกลัวว่ารอยเลือดจะเรียกศัตรูมาเก็บวิญญาณตัวเองกับผู้ร่วมชะตากรรมถึงที่ สองขาฝืนออกวิ่งอีกครั้งด้วยความเร็วที่ลดลงเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าพอจะทิ้งห่างจากสายตาของศัตรูผู้ไล่ล่าได้บ้างแล้ว จึงรีบดึงคนร่างบางเข้ามาหลบด้วยกันที่พงหญ้าสูงหลังต้นไม้ใหญ่ทันที
เพียงไม่ถึงชั่วอึดใจ ชายร่างกำยำในเสื้อยืดสีดำคนหนึ่งซึ่งฟรานจำได้ว่าเป็นหนึ่งในกองกำลังยี่สิบนายนั้น ก็เดินย่องผ่านหน้าพงหญ้าที่เขากับเพียงน้ำพลอยหลบอยู่ ชั่วขณะนั้น หางตาเขาเหลือบไปเห็นสีหน้าลุุ้นระทึกของเธอที่อยู่ห่างจากเขาไม่ถึงหนึ่งคืบดี หน้าผากมนผุดเหงื่อขึ้นหลายเม็ด จนใบหน้าขาวนวลเนียนมันชุ่มขึ้นเล็กน้อย ลูกผมที่ล้อมกรอบดวงหน้าเปียกชุ่มจนลู่ลงเป็นทาง ดวงตาสุกสกาวคู่นั้นฉายแววตื่นตระหนกราวกับลูกกวางน้อยไม่มีผิด ทว่าถึงอย่างนั้นก็ยังควบคุมสติเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ไม่มือไม้สั่นร้องห่มร้องไห้จนเสียเรื่อง พวงแก้มขาวละเอียดแดงระเรื่อขึ้นด้วยความเหนื่อยหอบ ขณะที่ริมฝีปากล่างนั้นกำลังถูกเจ้าตัวขบกัดเพื่อข่มอารมณ์ลุ้นระทึก
มองไปมองมา...สีหน้าท่าทางแบบนี้ก็น่ามองไม่น้อยเลย...
เพียงน้ำพลอยจ้องมองเหตุการณ์ตรงหน้าผ่านช่องว่างเล็กๆ ระหว่างพงหญ้าอย่างไม่กระพริบตา พร่ำสวดภาวนาทุกบทสวดที่พอจะรู้จักซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น เกือบสองปีที่แล้วเธอพยายามอย่างที่สุดเพื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อไป หลังจากผ่านช่วงเวลานั้นมาได้เธอก็ไม่เคยคิดอยากจะตายอีก โดยเฉพาะตายในสภาพไม่ต่างจากกวางตกใจตายในป่าแบบนี้ มันยิ่งชวนอเนจอนาถเข้าไปใหญ่
แต่หลังจากกลั้นหายใจลุ้นระทึกกับผลของบทสวดภาวนาอยู่พักใหญ่ ชายฉกรรจ์ร่างกำยำตรงหน้าก็ค่อยๆ หันหลังเดินจากไป เพียงน้ำพลอยที่ลุ้นจนแทบลืมหายใจจึงล้มพับลงกับพื้นดินทันที แม้แต่เรี่ยวแรงจะประคองตัวเองให้นั่งยองๆ เธอก็ยังมีไม่พอด้วยซ้ำ ตอนนี้เธอชักจะเข็ดขยาดกับคนที่นี่เสียแล้ว แม้จะรู้ดีว่าการงัดเข้าไปในบ้านคนอื่น ไปใช้ข้าวของเขาโดยไม่ได้รับอนุญาตมันเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง แต่เธอก็ยังเห็นว่าพวกเขาทำเกินกว่าเหตุไปอยู่ดี จะดีจะร้ายยังไงบ้านเมืองก็ยังมีขื่อมีแป จะฆ่าจะแกงกันโดยไม่ถามไถ่กันสักคำได้ยังไง หรือหากเจ้าของบ้านเห็นว่าเธอกับเขาทำเรื่องร้ายแรงถึงขนาดนั้นจริง ก็ไปแจ้งความตามขั้นตอนทางกฎหมายเสียยังจะดีกว่า ต่อให้เจ้าทุกข์ตั้งใจจะเอาเรื่องกันจนถึงที่สุดจนเธอต้องติดคุกติดตาราง เธอก็ยังรู้สึกว่ามันยังจะเข้าท่ากว่าเสียอีก แต่ก็อย่างว่า เธอจะเอาเรื่องกฎหมายอะไรไปสอนคนอื่นเขาได้ ในเมื่อตัวเธอยังทำผิดกฎหมายงัดเข้าไปในบ้านเขาอยู่เลย
“คุณ...ตกใจมากเหรอ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามขึ้น พลางชะโงกหน้าไปตรวจสอบดวงหน้าขาวนวลเนียนนั้นใกล้ๆ ด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ขนาดนั้นหรอก ฉันแค่รู้สึกว่าคนที่นี่น่ากลัว เราแค่เข้าไปปั้นแจกันในบ้านเขา ถึงจะงัดเข้าไปก็เถอะ แต่ถึงกับต้องเรียกคนมายิงกันเลยเหรอ” สิ้นน้ำเสียงเหลือเชื่อ ฟรานก็ได้ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่สองสามวินาที ก่อนจะตอบออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ
“โลกนี้มันก็แบบนี้แหละคุณ ไม่มีใครมีน้ำใจกับใครมากมายนักหรอก คุณเองก็ต้องระวังไว้ให้ดีเข้าใจมั้ย” ฟรานบอกพลางทำหน้าจริงจัง แล้วลงท้ายด้วยการเอ่ยเตือนเธอราวกับหวังดีเสียเต็มประดา
“อืม” หญิงสาวพยักหน้าฟังคำสอนของคนตัวโตอย่างว่าง่าย ทว่าถึงอย่างนั้นในหัวเธอก็ยังรู้สึกแปลกๆ ยังไงชอบกล แม้จะรู้สึกตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ตรงกลางระหว่างหน้าจอโทรทัศน์กับผืนป่าแห่งนี้ยังไงก็ไม่รู้ มันออกจะเหลือเชื่อเกินกว่าเธอจะทำใจให้เชื่อได้อย่างสนิทใจ
“แต่ว่าเจ้าของบ้านเขา...”
“บ้านหลังนั้นมันต้องไม่ใช่โรงปั้นแจกันธรรมดาแน่ เชื่อผมสิ มันต้องซ่อนอะไรบางอย่างไว้ ถึงได้กลัวพวกเราไปเจอ” ฟรานคิดอยู่แล้ว ว่าคำเออออห่อหมกประเภทนั้นจะตบตาเธอได้ก็แค่ชั้นต้นเท่านั้น ก่อนหน้านี้ คงเป็นเพราะอารามตกใจเธอถึงได้ไม่มีเวลาใคร่ครวญในสิ่งที่เขาพูดมากนัก แต่พอทุกอย่างสงบลงแล้วสมองเธอย่อมต้องกลับมาทำงานฉับไวเหมือนเดิม เขาจึงรีบอาศัยเวลาชั่วเสี้ยววินาที อุดช่องโหว่คำโกหกของตัวเองตั้งที่เธอยังพูดไม่จบ เพื่อให้เธอได้ฟังเรื่องที่เขาปั้นแต่งขึ้นก่อน ต่อให้ในหัวเธอคิดอะไรอยู่ก่อนหน้า ถ้าได้ลองฟังอีกข้อเสนอที่เข้าที ต่อให้ไม่เชื่อก็ต้องมีไขว้เขวกันบ้างล่ะ
“ก็คงอย่างนั้น...” เสียงหวานใสเอ่ยออกมาเบาๆ ราวกับเสียงพึมพำ พลางทำท่าครุ่นคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง ขณะที่ฟรานก็ถึงกับนึกภาพตัวเองทุบกำปั้นลงบนฝ่ามืออีกข้างหนึ่งอยู่ในใจออกเป็นฉากๆ พร้อมกันนั้นก็รู้สึกคล้ายกับไหล่ทั้งสองข้างของตัวเองเบาสบายขึ้นมาในทันที
“แต่ว่า...” ยังไม่ทันทีไหล่กว้างทั้งข้างของเขาจะได้เบาสบายจริงอย่างที่คาด หญิงสาวตรงหน้าก็โยนหินหนักๆ ลงมาใส่เขาอีกครั้ง ด้วยการทำท่าคล้ายจะเอ่ยข้อสมมติฐานของตัวเองออกมาอีกข้อ คนหัวไวจึงรีบหาเรื่องดึงความสนใจจากชนวนแสนอันตรายนั้นทันที
“โอ๊ยยยยยย!!” มือหนายกขึ้นกุมปากแผลที่แขนแล้วส่งเสียงร้องออกมาอย่างทรมาน ใบหน้าหล่อเหลาดุจหยกสลักบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บแปลบเหลือแสน ดวงตากลมโตดับขลับที่เคยกลิ้งกลอกไปมาด้วยความสงสัยในหัวคู่นั้นจึงเบิกโพลงขึ้นด้วยความตกใจแล้วรีบชะโงกหน้าไปดูอาการคนร่างสูงตรงหน้า
“คุณถูกยิงนี่!” หญิงสาวว่าพลางทำท่าจะเอื้อมมือไปสัมผัสแขนเขาแต่ก็ชะงักค้างอยู่อย่างนั้น จากนั้นก็ทำท่าจะเอื้อมมาสัมผัสอีกครั้ง แต่ก็กลับมารู้สึกลังเลขึ้นมาอีก สายตาร้อนรนจนไม่รู้จะทำอะไรเป็นอันดับแรกดีทำเอาฟรานอดขำเธออยู่ในใจไม่ได้ คิ้วได้รูปของเธอแทบจะผูกกับเป็นโบเสียยิ่งกว่าตอนตั้งคำถามกับเขาก่อนหน้านี้เสียอีก ดูท่าเขาจะเบี่ยงเบนความสนใจเธอได้สำเร็จแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน เขาถึงได้รู้สึกว่าตัวเขาเองก็เผลอสนใจอย่างอื่นไปมากกว่าการทำให้เธอไขว้เขวเสียแล้ว
แคว่ก แคว่กกกกก
ฟรานนั่งมองหญิงสาวร่างบางตรงหน้าใช้กิ่งไม้แทงกระโปรงจนเป็นรู แล้วฉีกชายกระโปรงยาวของตัวเองออกมาเป็นผ้าแถบยาวประมาณหนึ่ง คาดว่าคงจะหาอะไรสักอย่างมาห้ามเลือดให้เขานั่นเอง แต่แล้วก็เห็นมือบางๆ นั้นใช้กิ่งไม้แทงผ้าแถบยาวจนเป็นรูอีกครั้งหนึ่ง จึงอดสงสัยไม่ได้ว่าเธอกำลังจะทำอะไรกันแน่ เมื่อเห็นเธอฉีกผ้าส่วนที่เปื้อนดินออก จากนั้นก็เอาผ้าแถบส่วนที่เหลือกว้างประมาณหนึ่งฝ่ามือมาห้ามเลือดที่ต้นแขนให้เขาอย่างระมัดระวัง เขาถึงได้รู้ว่าที่แท้เธอเองก็คิดอ่านอะไรได้รอบคอบไม่น้อยเลย
เขาแสร้งไอหนักๆ ออกมาสองสามที พลางใช้มือกุมท้องอย่างทรมานราวกับคนใกล้สิ้นลม ปล่อยให้เธอดูอาการไปเรื่อยๆ เผลอเพียงชั่วพริบตา เธอก็ห้ามเลือดผูกผ้าพันแผลให้เขาเสร็จสรรพเรียบร้อย ทว่าตอนนี้เขาเองก็ชักจะเสพติดการถูกดูแลเอาอกเอาใจเสียแล้ว จึงทำท่าคล้ายจะยันตัวลุกขึ้น แต่สุดท้ายก็แสร้งล้มลงกับพื้นอย่างหมดแรง พร้อมกับใช้มืออีกข้างกดปากแผลที่ต้นขาเอาไว้ ท่าทางไม่ต่างจากคนเจ็บเจียนตาย แต่ก็กัดฟันข่มความเจ็บเอาไว้ไม่เอ่ยปากบอกใคร
“นี่...นี่คุณถูกยิงที่ขาด้วยเหรอ...” คนร่างบางเริ่มสีหน้าไม่สู้ดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าเขาเจ็บหนักขนาดนี้ ความคิดฟุ้งซ่านที่เธอผลักไสจะคิดเริ่มวนเวียนเข้ามาในหัวอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่
“ถูกแทงน่ะ” ฟรานตอบสั้นๆ โดยไม่ทันได้เงยหน้าขึ้นมองคนข้างกาย เอาแต่เพ่งความสนใจไปกับการพยายามเจ็บปวดให้สมบทบาท แต่พอครั้นเงยหน้าขึ้นกลับเห็นว่าดวงตากลมโตคู่นั้นเริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังเห็นน้ำใสๆ เอ่อล้นจนคลอหน่วย ใกล้จะร่วงเผาะกลิ้งลงบนแก้มใสเนียนของเธออยู่ร่อมร่อ ทำเอาหัวใจที่เต้นระส่ำราวกับรัวกลองของเขาคล้ายหยุดเต้นไปเสียเดี๋ยวนั้น เข้าสู่ภาวะแช่แข็ง พาลพาให้ร่างทั้งเย็นยะเยือกขึ้นมาชั่วขณะ
เขาคงเผลอเล่นเพลินจนเกินไปหน่อยถึงทำให้เธอตกใจขนาดนี้ แต่จะให้สารภาพเสียตอนนี้ว่าตัวเองโกหก ที่จริงแล้วเขาไม่ได้เจ็บอะไรขนาดนั้น ก็ดูจะไม่ส่งผลดีกับรูปการณ์ทั้งหมดแต่อย่างใด ชั่วขณะที่สมองไร้หนทางนั้นเอง มือหนาข้างหนึ่งก็เอื้อมขึ้นไปปาดหยดน้ำตากลมๆ ที่ร่วงลงมาเปื้อนพวงแก้มเธออย่างไม่รู้ตัว แต่เมื่อได้สัมผัสกับผิวแก้มขาวใสนั้นแล้ว ถึงได้รู้ว่าตัวเองขาดสิ้นการควบคุมไปมากเหลือเกิน ถึงจะรู้สึกผิดยังไงก็ไม่ควรปล่อยให้ตัวเองสัมผัสเธอด้วยความรู้สึกอ่อนไหวแบบนั้นเลยจริงๆ ชีวิตเขาเป็นยังไง ชีวิตเธอเป็นยังไง เขาล้วนรู้ดีอยู่ การทำแบบนี้ไม่เป็นผลดีกับใครทั้งสิ้น และเหนือสิ่งอื่นใด...เธอไม่ใช่ของเขา...
“บางทีอาจเป็นเพราะฉัน...” น้ำเสียงเบาบางราวกับเสียงกระซิบ ทว่าก็ดังพอจะทำให้ใครอีกคนตรงหน้าได้ยินอย่างชัดเจนเอ่ยขึ้น ดวงตาสุกสกาวคู่นั้นหม่นแสงลงเสียจนชวนให้คนมองรู้สึกปวดแปลบเสียจนหายใจไม่ออก
“ใครๆ ก็บอกว่าดวงฉันข่มคนอื่นไปทั่ว ที่จริงฉันมีแฝดที่ควรจะเกิดมาพร้อมกัน แต่ก่อนคลอดแม่ฉันตกบันไดเลยต้องคลอดก่อนกำหนด สุดท้ายรักษาฉันไว้ได้แค่คนเดียว บางคนก็บอกว่า...บอกว่าฉันดวงกินผัว แฟนคนแรกของฉันก็ตายเพราะเขาขับรถกลับไปเอาแหวนหมั้นมาให้ฉัน หลังจากนั้นมาก็มีผู้ชายบางคนเข้ามาจีบฉัน ผู้ชายพวกนั้น บางคนก็ตกงานเอาเสียดื้อๆ บางคนก็รถชนจนเดินเหินไม่ได้ไปเป็นเดือน บางคนก็โจรขึ้นบ้าน ข่าวพวกนั้นพูดเรื่องเหลวไหลเสียมาก แต่มีเรื่องจริงอยู่อย่าง...ฉันมันตัวกาลกิณี”
ฟรานนิ่งเงียบฟังเธอพูดจนจบ เห็นน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลอาบแก้มใสๆ นั้นโดยปราศจากเสียงสะอื้น พยายามนับหนึ่งถึงสิบอยู่ในใจห้ามตัวเองไม่ให้เอื้อมมือไปสัมผัสผิวแก้มเปียกชุ่มด้วยน้ำตานั้นอีกครั้ง แต่จนแล้วจนรอดก็ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ยังเอื้อมไปใช้นิ้วหัวแม่มือปาดน้ำตาออกให้เธอจนได้ ซ้ำยังใช้ฝ่ามือหนาของตัวเองประคองแก้มเธอไว้อย่างทะนุถนอม ยิ่งเห็นไหล่บางๆ นั้นพยายามข่มกลั้นแรงสะอื้นจนถึงที่สุด ไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองร้องไห้โฮออกมาทั้งที่แบกรับความรู้สึกหนักหนามาจนป่านนี้ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาฉีกทึ้งกระโปรงออกมาห้ามเลือดให้เขา เขายิ่งรู้สึกคล้ายกับหัวใจตัวเองถูกความเย็นเยียบกัดกินจนแทบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ อยากจะดึงเธอมากอดไว้แนบอกบรรเทาความทุกข์ทรมานในใจของเธอ ใจเขาจะได้สงบลงบ้างเสียที ทว่าเมื่อรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ ก็รีบสะบัดศีรษะไล่ความคิดพรรค์นั้นออกไปให้ไกลทันที เหลือไว้แค่เช็ดน้ำตาให้เธอเท่านี้เป็นพอ
“แต่พี่อิฐของคุณก็ยังอยู่ดีนี่ เห็นได้ชัดว่าเรื่องพรรค์นั้นเหลวไหลทั้งเพ เอาไว้ให้เขาตกงานอีกคนซะก่อนเถอะ...” ฟรานกลั้นใจพูดออกไปด้วยน้ำเสียงคล้ายทีเล่นทีจริง ก่อนจะปล่อยให้ประโยคสุดท้ายที่ยังไม่จบความค้างเอาไว้อย่างนั้น
“แล้วคุณจะทำไม” เพียงน้ำพลอยเงยหน้าขึ้นถามกึ่งเอาเรื่องกึ่งใคร่รู้ ทั้งที่สองข้างแก้มยังคงเปียกชื้นไปด้วยน้ำตา
“ผมก็จะพิสูจน์เป็นรายต่อไปไง” ฟรานตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำพลางเงยหน้าขึ้นสบตาดำขลับคู่นั้นนิ่ง ทำเอาเพียงน้ำพลอยตะลึงงันไปชั่วขณะ ครั้นจะต่อว่าเขาที่เขาเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่น สายตาแน่วแน่ไม่ไหวติงของเขาก็ทำให้เธอไม่กล้าจะเอ่ยปากออกไปแม้แต่ครึ่งคำ จวบจนผ่านไปอึดใจใหญ่เธอค่อยหายใจได้ทั่วท้องขึ้น จึงเริ่มคิดได้ว่าเขาไม่ได้ชอบผู้หญิง ที่พูดออกมาก็คงเพื่อปลอบเธอตามมารยาทเท่านั้น น้ำใจของเขาเธอรับรู้และซาบซึ้งแล้ว เอาเป็นว่าต่อจากนี้เธอจะพยายามมองเขาในแง่ดีขึ้น ขอเพียงเขาไม่ทำลายครอบครัวของเพื่อนเธอ เขาจะไปรักไปชอบกับใคร เธอสาบานจะส่งเสริมเขาทั้งหมด
“เอาวันนี้ให้รอดซะก่อนเถอะ” เพียงน้ำพลอยยิ้มบางๆ พลางตอบอย่างทีเล่นทีจริงกลับไป แล้วเริ่มห้ามเลือดที่ขาให้เขาต่อ ความรู้สึกอัดอั้นที่เก็บกักมาตลอดทั้งวันค่อยๆ เบาบางลงจนเธอรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย อาการศีรษะหนักอึ้งจนรู้สึกวิงเวียนคลื่นไส้ทุเลาลงกว่าครึ่ง กลายเป็นความรู้สึกเหลือเชื่อเสียมากกว่า ที่คนเก็บกดอย่างเธอ จู่ๆ ก็เผยสิ่งที่อยู่ในใจให้เขาฟังจนหมดเปลือก แต่ถึงยังไงก็ได้พูดออกไปแล้ว ขอแค่เขาไม่เอาไปพูดมากอีกต่อหนึ่ง เธอก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองจะเสียหายเพิ่มขึ้นกว่าเดิมสักเท่าไหร่ ยังไงเสียเรื่องพวกนั้นก็ลงหนังสือพิมพ์ให้รู้กันทั้งประเทศไปแล้ว รู้เพิ่มอีกสักคนก็ไม่เห็นจะเป็นไร
เพียงน้ำพลอยค่อยๆ ประคองเขาลุกขึ้นช้าๆ จากนั้นก็ยกแขนข้างหนึ่งของเขามาพาดกับคอตัวเอง พร้อมกับใช้แขนข้างหนึ่งเอื้อมไปประคองร่างหนักๆ ของเขาเอาไว้ การกระทำโดยไม่บอกไม่กล่าวของเธอในชั่ววินาทีนั้น ทำให้ฟรานตะลึงงันไปในชั่วขณะ เพราะไม่คิดว่าเธอจะพยุงเขาออกไปจากที่นี่จริงๆ ถึงแม้เทียบกับน้ำผึ้งพระจันทร์แล้วเธอจะยังสูงกว่ามาก แต่หากพิจารณาถึงความเปราะบางแล้ว เขากลับเห็นว่าเธอเปราะบางกว่ายัยแม่มดมาเฟียนั่นหลายขุมนัก ทว่าเธอกลับไม่พูดพร่ำทำเพลงยกแขนเขาพาดคอแล้วพาเขาออกเดินทันที เขายอมรับว่าน้ำใจของเธอทำเอาเขาประหลาดใจอยู่ไม่น้อย แต่ไอ้ครั้นจะให้บอกเธออย่างเกรงอกเกรงใจว่าเขาเดินเองไหว มันก็ออกจะผิดวิสัยเขาเกินไปแล้ว...
“แค่กๆๆ ผมคงเดินไม่ไหวแล้วล่ะคุณ” ฟรานแสร้งเทน้ำหนักตัวไปหาคนร่างบางทั้งตัว พร้อมกับออกแรงไอหนักๆ อีกสองสามที แล้วเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงเบาหวิว
“ก็...ก็แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ” เพียงน้ำพลอยถามต่อ เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าควรช่วยเขายังไงอีก ตอนแรกเธอคิดว่า แค่ช่วยพยุงเขาออกไปที่นี่ก็นับว่าตัวเองได้ช่วยเขาอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่ถ้าจะต้องให้เธอช่วยมากกว่านี้ เธอเองก็คงจนปัญญาแล้วจริงๆ
“คุณแบกผมทีสิ”
“จะบ้ารึไง!!!” สิ้นเสียงคนเจ็บเพียงน้ำพลอยก็สวนกลับเสียงลั่น เพราะไม่คิดว่าเขาจะคิดคำขอแบบนี้ออกมาได้ เขาตัวโตกว่าเธอตั้งเท่าไหร่กัน เธอจะเอาปัญญาที่ไหนมาแบกเขาออกไป
“ก็ผมเดินไม่ไหวแล้วนี่ หรือคุณ...จะทิ้งผมได้ลงคอ” ฟรานพยายามบีบเสียงให้อ่อนแรงลงเรื่อยๆ ขณะที่เปลือกตาซึ่งเคยเบิกกว้างก็พยายามปรือลงให้คล้ายคนใกล้หมดแรงจะยืนให้มากที่สุด
“อย่ามาตลกนะ ก่อนหน้านี้ฉันเห็นคุณวิ่งคะนองเป็นม้าศึก จะมาอ่อนระโหยโรยแรงอะไรเอาตอนนี้” เพียงน้ำพลอยโต้กลับเสียงแข็ง แม้จะเห็นว่าคนตรงหน้าดูโรยแรงมากจริงๆ ก็เถอะ
“ก็ผมใช้แรงไปจนหมดแล้วอ่ะ นี่ยืนก็จะยืนไม่อยู่แล้วเนี่ย” คนเจ็บแสร้งตอบด้วยเสียงที่เบาหวิวยิ่งกว่าเดิม
“โทรศัพท์ไงคุณ! โทรศัพท์! โทรเรียกเจ้าจันทร์มาช่วยสิ!” เพียงน้ำพลอยพูดพลางกระโดดไปมาอย่างลิงโลด เธออดลอบชื่นชมตัวเองอยู่ในใจไม่ได้ที่คิดอะไรดีๆ ออกได้สักที แม้จะโง่เง่าไปบ้างที่เพิ่งมาคิดออกเอาตอนนี้ แต่ก็ยังถือว่าทันกาลอยู่ ไม่ได้คิดออกตอนแบกเขาขึ้นหลังแล้วจริงๆ
ฟรานล้วงกระเป๋ากางเกงข้างหนึ่ง ท่าทางเหมือนกำลังควานหาโทรศัพท์ของเธอแต่หาไม่เจอ สักพักจึงได้ย้ายไปล้วงที่กระเป๋าอีกข้างเอาโทรศัพท์เครื่องบางของเธอออกมา จากนั้นก็เปิดหน้าจอให้เธอดูเอาเอง เมื่อเห็นว่าขีดสัญญาณที่คาดหวังเอาไว้ไม่ปรากฏขึ้นเลยสักขีด เปลือกตาบางคู่นั้นจึงค่อยๆ ปิดลงช้าๆ คล้ายกับกำลังระงับโทสะในใจอย่างสุดความสามารถ ทว่าเพียงชั่ววินาทีก็เบิกโพลงขึ้นอีกครั้งอย่างมีความหวัง
“แล้วของคุณล่ะ!! โทรศัพท์คุณน่ะ!!”
ฟรานล้วงกระเป๋ากางเกงอีกข้างเอาโทรศัพท์เครื่องบางของตัวเองขึ้นมากดให้เธอดูด้วยตัวเองอีกครั้ง ทว่าคราวนี้อย่าว่าแต่สัญญาณโทรศัพท์ร่อยหร่อเลย แม้แต่แสงจากโทรศัพท์ก็ยังไม่สาดส่องออกมาให้เธอเห็นทางรอดเลยแม้แต่น้อย เปลือกตาบางจึงได้แต่ปิดสนิทลงอีกครั้ง เพื่อใช้ความอดทนและความพยายามเฮือกสุดท้ายอันน้อยนิดที่เหลือติดร่าง ระงับไฟโทสะที่ชักจะโหมกระพือขึ้นเรื่อยๆ
“ผมลืมชาร์ตแบตน่ะ” ฟรานตอบด้วยท่าทางราวกับเด็กอนุบาลสารภาพบาปกับคุณประจำชั้น และแน่นอนว่ามันเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ...
ที่มันเปิดไม่ติด...ก็เพราะเขาปิดเครื่องมันเองนั่นแหละ...
“หรือคุณจะหนีออกไปก่อนก็ได้นะ ผมเข้าใจ ไม่โกรธคุณหรอก อีกสักสองสามคืนผมก็คงดีขึ้นเองนั่นแหละ” เมื่อเห็นหญิงสาวข้างกายยังคงขมวดคิ้วลังเล ฟรานจึงรีบเรียกคะแนนสงสารให้ตัวเองต่อ พูดไปก็ทำท่าก้มหน้าก้มตาสูดน้ำหูน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริงไปพลาง
“ลองดูก็ได้” หญิงสาวพูดคล้ายตัดรำคาญ ทว่าสีหน้าท่าทางกลับเคร่งเครียดเสียจนคนร้องขอได้แต่ทนทรมานกับการกลั้นเสียงหัวเราะ
จบคำเพียงน้ำพลอยก็ยกลำแขนหนาอีกข้างหนึ่งขึ้นพาดบนบ่าอีกข้างของตัวเองด้วย จากนั้นก็ยอบตัวต่ำลงให้คนร่างสูงโถมร่างขึ้นทับเธอทั้งตัว โดยหารู้ไม่ว่าคนเจ็บเจียนตายที่เธอกำลังช่วยเหลือจนสุดกำลังนี้ ยิ้มร่าเสียจนมุมปากเกือบจะแขวนที่ใบหูได้อยู่แล้ว อันที่จริงแล้ว ตอนนี้เขาชักจะกลัวมากกว่าละอายเสียแล้ว เกิดสักวันเธอรู้เข้าว่าเขาก็แค่เหนื่อยเพราะเสียเลือดมากไปหน่อย ไม่ได้เจ็บปางตายถึงขนาดนั้น เธอจะถลกหนังกระชากเอ็นเขากับมือรึเปล่า แต่ยังไงเรื่องราวมันก็เลยเถิดมาขนาดนี้แล้ว เอาไว้ให้วาระสุดท้ายของเขามาถึงจริงๆ ค่อยใช้หลักการลูกผู้ชายกล้าทำกล้ารับก็แล้วกัน ส่วนตอนนี้ก็ใช้หลักการกล้าคิดกล้าทำไปพลางๆ ก่อน
ด้วยน้ำหนักที่ไม่สมดุลจนเกินไป ทำให้ร่างบางที่รับน้ำหนักคนตัวโตทั้งร่างเซไปทั่วทั้งสี่ทิศ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังกัดฟันยกขาก้าวต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ ทว่าก้าวไปได้แค่สามสี่ก้าวทั้งคนแบกและคนถูกแบกก็ล้มระเนระนาดลงไปกองกับพื้น จากที่กัดฟันสู้ทนจึงกลายไม่อาจยั้งใจ ตวาดคนเจ็บที่ร่วงลงมาจากหลังอย่างสุดเสียง
“นี่คุณเป็นคนหรือไดโนเสาร์กันแน่ห้ะ!!! ทำไมถึงได้หนักขนาดนี้เนี่ย!!!!” เพียงน้ำพลอยตวาดพลางยกแขนขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก ผิวหน้าขาวละเอียดเปียกชุ่มเสียจนหยดลงมาบนแพขนตาเธอ พวงแก้มทั้งสองข้างแดงจัดจากการออกแรงอย่างหนัก
“ผมขอโทษคุณด้วยก็แล้วกันที่ตัวหนักขนาดนี้” ฟรานแสร้งก้มหน้าพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดอย่างสุดแสน ขณะที่เสียงหัวเราะลั่นในใจก็ยังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันที่จริงเขาก็ไม่ได้คิดจะให้เธอแบกเขาออกไปจริงๆ หรอก เพราะรู้ดีว่าแผ่นหลังบางๆ นั้นไม่มีทางแบกผู้ชายตัวโตทั้งคนออกจากแนวป่ายาวเกือบสองกิโลได้แน่ แค่เธอแบกเขาจนลอยจากพื้นได้เขาก็ปากอ้าตาค้างมากแล้ว แต่ที่ยังเล่นละครต่ออยู่อย่างนี้ เพราะอยากจะรู้ว่าเธอคิดจะทำยังไงกับเขาต่อไปเท่านั้นเอง
“เออๆ ลองดูอีกทีก็ได้” สิ้นเสียงตอบแบบปัดรำคาญ ฟรานก็ต้องปากอ้าตาค้างมากไปกว่าเดิมเป็นสองเท่า เพราะไม่คิดว่าเธอจะใจสู้ได้ขนาดนี้ แค่วิ่งมาตั้งไกลนี่ก็กินแรงผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนึงไปมากแล้ว นี่ยังต้องแบกเขาจนล้มระเนระนาดไปอีก แต่เธอกลับยังไม่เข็ด คิดจะแบกเขาขึ้นหลังอีกครั้งอย่างไม่ย่อท้อ และยังไม่ทันที่ฟรานจะได้เอ่ยปากยั้งเธอไว้ มือไม้บางราวกับเครื่องแก้วนั้นก็ประคองเข้าลุกขึ้น จัดท่าจัดทางแบกเขาขึ้นหลังอีกครั้ง หากครั้งนี้หนักหนาสาหัสกว่าเดิมมากนัก เพราะเธอไม่ได้ค่อยๆ เดินไปทีละก้าว หากแต่กลั้นใจวิ่งถลาไปข้างอย่างสุดแรงเกิดราวกับกระทิงวิ่งชนผ้าสีแดงโบกสะบัดยังไงยังงั้น แต่ก็ยังนับว่าโชคดีที่ผลออกมาไม่ต่างจากเดิมมากนัก ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องรู้สึกผิดไปชั่วชีวิตแน่ๆ ที่เธอล้มหน้าคว่ำจนเสียโฉม
“แป๊บนึงนะคุณ ขอฉันพักเดี๋ยว” สิ้นเสียงบอกกล่าวปนเสียงหอบหนัก ฟรานก็ได้แต่มองคนตรงหน้าตาเบิกโพลงอย่างเหลือเชื่อ ผ่านไปสองสามวินาทีจึงรีบบังคับตัวเองให้เอ่ยยั้งเธอไว้ ก่อนที่เธอจะจับเขาขึ้นหลังพาเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยยุทธวิธีการโผอีก
“คุณๆ ผมว่าพอเถอะ คุณช่วยประคองผมไปก็พอ”
“แล้วคุณจะเดินไหวเหรอ” เพียงน้ำพลอยเงยหน้าขึ้นถามด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะกลืนน้ำลายระงับอาการหอบแห้งดับกระหายในลำคออีกรอบ
“ผมพอจะมีแรงขึ้นมาบ้างแล้ว น่าจะพอเดินไหวแล้วล่ะ แต่คุณคงต้องช่วยประคอง...” ฟรานไม่ลืมแสร้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงโรยแรง จากนั้นก็เว้นช่วงท้ายประโยคหลังเอาไว้ คล้ายกำลังขอความเห็นใจจากอีกฝ่าย
“ก็ได้” เพียงน้ำพลอยรับคำอย่างว่าง่าย เพราะเห็นว่าเมื่อเทียบกับคำขอก่อนหน้าของเขาแล้ว หนทางนี้นับเป็นสวรรค์น้อยๆ ของเธอเลยทีเดียว
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ ในที่สุดเพียงน้ำพลอยก็หิ้วปีกเพื่อนร่วมชะตากรรมร่างสูงมาถึงถนนใหญ่ แม้จะทุลักทุเลไปบ้าง แต่อย่างน้อยก็ถือว่ารอดตายมาจนได้ จากที่เขาบอก ขอเพียงเธอลากเขาเดินตามถนนนี้ไปทางขวา ตรงไปเรื่อยๆ สักประมาณหนึ่งกิโลก็จะเจอบ้านคน พอถึงตรงนั้นแล้วก็จะหารถกลับคฤหาสน์มังกรมุกได้ ส่วนรถที่จอดทิ้งไว้ที่บ้านหลังนั้น ตอนนี้ยังเสี่ยงเกินกว่าจะกลับไปเอา คงต้องรอให้กลับไปถึงคฤหาสน์มังกรมุกเสียก่อน แล้วค่อยให้เหวินหยางหลงส่งคนมาขับกลับไป
เพียงน้ำพลอยเริ่มสังเกตเห็นว่าสีหน้าเขาไม่ค่อยดีนัก ยิ่งช่วงที่เพิ่งพ้นเขตป่าไม้รกๆ นั่น ริมฝีปากเขาซีดลงอย่างเห็นได้ชัด เปลือกตาคู่นั้นก็ใกล้จะเหนี่ยวรั้งไว้ไม่อยู่เข้าไปทุกทีแล้ว มีเพียงเสียงหอบหายใจหนักๆ เท่านั้นที่ทำให้เธอรู้เขาไม่ได้หล่นหายไปกลางทาง เธอกึ่งพยุงกึ่งลากเขามาจนถึงเขตบ้านคนตามที่เขาพูดจนได้ จากที่เห็นบ้านเรือนบางตา เมื่อเดินไปเรื่อยๆ ก็เริ่มจะเห็นหนาตาขึ้น กระทั่งเห็นร้านค้า ร้านอาหารที่ตั้งอยู่ริมทางในที่สุด เธอคิดว่าตัวเองจำได้ไม่ผิด เส้นทางนี้เป็นเส้นทางก่อนจะเข้าไปในตรอกแคบๆ นั่น คาดว่าคงเป็นเส้นทางที่อ้อมวนถึงกันเป็นวงกลมนั่นเอง
เธอพยุงร่างโชกเลือดของเขาเดินตามฟุตบาทไปเรื่อยๆ ใจหนึ่งก็อยากจะเร่งเดินให้พ้นสายตาอยากรู้อยากเห็นของคนบนท้องถนน แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากฝืนร่างกายเขาจนเกินไป จึงได้แต่ทำเป็นมองไม่เห็นสายตาสอดรู้ของผู้คน บ้างก้มหน้ามองพื้น บ้างเงยหน้ามองฟ้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้น ทว่าการทำอย่างนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นทางเลือกที่ดีอะไร เพราะไม่แน่ว่าพวกที่ไล่ล่าเธอกับเขาอาจจะมาดักรออยู่แถวนี้ก็ได้ พวกมันรู้ว่าเขาถูกยิง ถึงยังไงเสียก็ต้องหาหมอรักษา ซึ่งคลินิกหรือร้านยาที่ใกล้ที่สุด ก็คงไม่พ้นต้องเป็นละแวกนี้
ทันใดนั้นเอง ร่างสูงที่เธอเป็นฝ่ายพยุงมาโดยตลอดก็ลดมือที่พาดกับไหล่ลงโอบเอวเธอ แล้วดันเธอเข้าไปในซอกเล็กๆ ระหว่างร้านอาหารกับบาร์แห่งหนึ่งถลภายในชั่วเสี้ยววินาที ชั่วขณะที่เธอกำลังจะอ้าปากถาม เขาก็ยกนิ้วชี้ขึ้นจรดริมฝีปากอย่างอ่อนแรง ก่อนจะหันหน้าไปทางถนนใหญ่ที่เธอกับเขาหอบหิ้วกันมาเมื่อครู่ เธอถึงได้รู้ว่า ที่แท้สัญชาตญาณเธอก็แม่นเอาการอยู่เหมือนกัน พวกมันมาดักรออยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำสี่ห้าคนเดินสำรวจไปจนทั่วถนน บางคนถึงกับชะโงกหน้าไปตรวจดูใบหน้าคนบนท้องถนนใกล้ๆ อย่างไร้มารยาท ชั่วขณะที่เสื้อแจ็คเก็ตสีดำของชายฉกรรจ์คนหนึ่งเคลื่อนไหวจนเผยให้เห็นด้ามอาวุธดำเมี่ยมที่เหน็บอยู่ข้างเอว เพียงน้ำพลอยก็รู้สึกว่าลำคอของตัวเองแห้งผากขึ้นมายังไงชอบกล ใบหน้าที่ชุ่มเหงื่ออยู่แล้วผุดเหงื่อเย็นๆ ขึ้นมาอีกหลายเม็ดจนอยากจะยกมือขึ้นปาดมันออก ทว่าก็จนใจที่ซอกเล็กๆ ที่ว่านี้ แม้แต่อากาศหายใจก็ยังมีให้เธอไม่เพียงพอด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการขยับเขยื้อนร่างกายสักส่วนเดียว
พื้นที่กว้างเพียงสองฟุตนั้นเพียงพอจะเป็นที่ซ่อนสำหรับคนๆ เดียว แต่เขากับเธอกลับเข้าไปอยู่ถึงสองคน ร่างทั้งสองร่างจึงแนบชิดสนิทกันแทบทุกส่วนอย่างไม่มีทางเลือก ตำแหน่งของริมฝีปากได้รูปตรงกับลูกผมบางๆ ของเธอพอดี ลมหายใจร้อนระอุเป่ารดหน้าผากเธอเสียจนรู้สึกร้อนไปทั่วทั้งร่าง แผงอกแกร่งนั้นกระเพื่อมไหวหนักขึ้นตามห้วงหายใจที่ลึกขึ้นทุกขณะ มือหนาทั้งสองข้างยังคงประคองเอวคอดนั้นไว้ไม่ผละไปไหน ดวงตากลมโตดุจไข่มุกดำจึงค่อยๆ ช้อนขึ้นมองเขา หมายจะส่งสารบอกให้เขาละมือจะเอวเธอสักที ทว่านั่นกลับเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ เพราะไอร้อนที่พวยพุ่งออกมาจากนัยน์ตาดำสนิทคู่นั้นที่เธอเพียรพยายามหลบเลี่ยงมาตลอดทั้งวันได้ปะทุขึ้นมาในแววตาเขาอีกครั้งแล้ว
ชั่วขณะหนึ่ง เธออดสงสัยไม่ได้ว่านัยน์ตาลึกล้ำคู่นั้นมีก้นบึ้งอยู่บ้างรึเปล่า ที่เห็นว่าลึกล้ำนี้มันลึกสักเท่าไหร่กัน แต่ไม่ว่าจะมองเท่าไหร่เธอก็ยังไม่มีวี่แววจะได้คำตอบ ซ้ำยังรู้สึกว่าตัวเองถูกเปลวไฟประหลาดในแววตาเขาลามเลียจนทั่วร่าง หัวใจที่วันนี้เต้นไม่ใคร่เป็นจังหวะนักก็ยิ่งรัวกระหน่ำเสียจนเธอได้ยินมันอย่างชัดเจน ราวกับว่าไออุ่นที่แผ่ซ่านมาจากร่างหนาของเขากับเปลวไฟประหลาดที่พวยพุ่งมาจากสายตาเขา ทำให้มันอารมณ์ดีเสียจนหยุดกระโดดโลดเต้นอย่างออกนอกหน้าไม่ได้
วินาทีที่เธอตัดสินใจว่าจะดึงมือเขาออกจากเอวเสียเองนั้น ลำแขนหนาทั้งสองข้างของเขาก็ย้ายขึ้นไปยันกำแพงที่แผ่นหลังเธอแนบสนิทอยู่ เสียงฝ่ามือปะทะปูนแข็งๆ ดังปั่ก! ทำเอาเธอสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย สภาพการณ์ตอนนี้จึงไม่ต่างจากเขากำลังกักขังเธอไว้ด้วยลำแขนของตัวเอง เธอได้แน่ยืนนิ่งๆ มองเขาด้วยความสับสันอยู่ชั่วขณะ เพราะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ จนกระทั่งเห็นสีหน้าเขียวคล้ำของเขา กับเสียงครวญครางที่สอดประสานกันอย่างเสียวซ่านลอยมาจากด้านหลังกำแพงไม้อัดที่เขาพิงอยู่ สมองอันเชื่องช้าของเธอถึงได้เริ่มประมวลผลอะไรได้บ้าง
กำแพงฝั่งที่เธอพิงอยู่เป็นกำแพงปูนซีเมนต์ ส่วนฝั่งเขาเป็นแค่ไม้อัดธรรมดาๆ แผ่นใหญ่แผ่นหนึ่ง เนื่องจากที่ด้านหลังเขานั้นเป็นบาร์เล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งสร้างห้องน้ำเอาไว้ด้านข้าง คาดว่าเจ้าของคงคิดจะใช้ไม้อัดแผ่นนี้กั้นอาณาเขตร้านตัวเองกับร้านอาหารข้างๆ อย่างง่ายๆ เพราะคงไม่คิดว่าจะมีใครมาพรอดรักกันอย่างดูดดื่มหน้าห้องน้ำ และถึงจะมีจริงก็คงไม่มีใครยัดตัวเองเข้ามาในซอกตรงกลางระหว่างกำแพงปูนกับกำแพงไม้อัดนี้ แต่บังเอิญที่ว่าวันนี้มันมีทั้งสองอย่างที่ว่านั้นพอดี
เพียงน้ำพลอยไม่รู้ว่าตัวเองควรเห็นใจเขา หรือเห็นใจตัวเองดีที่ต้องมาอยู่สถานการณ์ล่อแหลมแบบนี้ ข้างหลังนั่นก็ส่งเสียงครวญครางเสียจนคนอดใจหวิวไม่ได้ ข้างนอกนั่นก็พกปืนเดินหาคนกันให้ทั่ว ส่วนคนตรงหน้านี้ก็เริ่มจะสู้แรงคู่รักทรหดนั่นไม่ไหวเข้าไปทุกที ทุกทีที่สัมผัสรักอันดุเดือดเลือดพล่านนั่นกระแทกกระทั้นกำแพงไม้อัดแสนเปราะบาง ร่างสูงตรงหน้าเธอก็ยิ่งสีหน้าไม่ดีขึ้นเรื่อยๆ ฟันคมๆ ขบกัดริมฝีปากล่างจนห้อเลือด ขณะที่ใบหน้าซีดเผือดนั้นก็ยิ่งเขียวคล้ำผิดปกติขึ้นทุกที
“โอย...” น้ำเสียงไม่เชิงเหนื่อยอ่อน ไม่เชิงข่มกลั้น ทำให้เพียงน้ำพลอยได้แต่เงยหน้ามองเขาตาปริบๆ เพราะไม่รู้ว่าจะช่วยเขายังไงดี ผ้าพันแผลที่เธอใช้ห้ามเลือดให้เขาชั่วคราวก็เริ่มปรากฏสีแดงฉานชัดขึ้นเรื่อยๆ
เธอจึงอนุมานเอาเองว่าที่เขาเปล่งเสียงแบบนั้นออกมา ก็คงเป็นเพราะเจ็บแผลจนใกล้ทนไม่ไหวแล้วนั่นแหละ...
#อยากจะบอกว่า กรรมใดใครก่อค่ะเฮีย ไปหลอกเขาไว้ ตัวเองก็ต้องเผชิญชะตากรรมแบบนี้แหละ 5555
#ปั่นยันสว่างอีกตามเคยย เบลอถึงขีดสุด คำผิดกับสำนวนต่างดาวจะตามมาแก้ทีหลังนะคะ ตอนนี้ไรท์ขอตัวไปนอนก่อนน
#ขอเม้นท์+จิ้มโหวตเป็นกำลังใจให้กันหน่อยน้าา เรื่องนี้เงียบเหงาจริง เล่นเอาคนเขียนใจแป้วเลยยTT
สิ้นเสียงเย็นเยียบลอดไรฟัน คนร่างสูงที่อยู่ห่างออกไปประมาณสองก้าวก็รีบถอยกรูดออกไปทันที เพียงน้ำพลอยจึงรวบรวมความอดทนเฮือกสุดท้ายอันน้อยนิดขึ้นมาอีกครั้ง แล้วกดเปิดสวิตช์แป้นหมุนปั้นแจกันใบใหม่ขึ้นมาอย่างใจเย็น
เพียงไม่ถึงชั่วอึดใจ แจกันทรงสูงราวหนึ่งศอกใบใหม่ก็เสร็จเรียบร้อย พร้อมสำหรับการวางไว้นิ่งๆ สักประมาณสี่ห้าวัน ระหว่างที่กำลังงัดแจกันซึ่งขึ้นรูปเรียบร้อยออกจากแป้นหมุนนั้นเอง ท้องไส้ที่ยังไม่มีสารอาหารใดตกถึงท้องก็ส่งเสียงร้องโครกครากเสียจนเธอต้องก้มลงมอง ก่อนจะเหลือบมองไปทางโซฟาหน้าโทรทัศน์ เพราะกลัวว่าคนชอบเอาเปรียบคนอื่นอย่างใครบางคนจะได้ยินเข้า แล้วจะเอาความหิวของเธอมาต่อรองอะไรกับเธออีก ตอนนี้อะไรที่ควรทำก็ทำเสร็จหมดแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องอยู่ที่นี่อีก เธอแค่ต้องทนหิวอีกสักหน่อยก็จะได้กลับไปกินข้าวที่บ้านแล้ว… เพียงแค่ต้องทนอีกสักหน่อยเท่านั้น...
ทว่าทันใดนั้นเอง ร่างสูงที่เธอคิดว่าน่าจะละลายติดกับโซฟาไปแล้วก็พลันลุกขึ้นสวมรองเท้า แล้วก้าวฉับๆ มายังจุดที่เธอนั่งปั้นแจกันอยู่ แล้วก็เดินเลยผ่านเธอไปราวกับเห็นเธอเป็นอากาศธาตุยังไงยังงั้น
“นี่! คุณจะไปไหน” เพียงน้ำพลอยลุกขึ้นร้องตะโกนถาม เมื่อเห็นเขาเดินผ่านไปไม่พูดไม่จา แล้วทรุดตัวลงไปหมุนแม่กุญแจออกจากประตูเหล็กม้วนที่แนบสนิทอยู่กับพื้น
“ผมสั่งของไว้ เดี๋ยวเดินไปเอาหน่อย” ฟรานตอบง่ายๆ พลางชี้มือชี้ไม้ประกอบ
“ของอะไร” หญิงสาวขึ้นเสียงถามอย่างเอาเรื่อง ดวงตากลมวาวสุกใสถลึงขึ้นเล็กน้อย ปลายคางน้อยๆ เชิดขึ้น ดูคล้ายกับเด็กหญิงทำท่าแง่งอนไม่มีผิด
“พิซซ่า”
“พิซซ่าอะไรของ...พิซซ่า...พิซซ่าเหรอ” เพียงน้ำพลอยสวนขึ้นต่อทันทีโดยไม่ทันได้คิดว่าเมื่อครู่เขาเพิ่งพูดอะไรออกมา ครั้นพอสมองประมวลความคิดได้ทัน ริมฝีปากบางก็รีบเอ่ยถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจทันที
“ก็นี่มันจะบ่ายสองแล้วยังไม่ได้กินข้าวเที่ยวเลย ผมขี้เกียจไปขับรถหาที่กินอีกเลยสั่งมากินที่นี่ แต่คงต้องเดินออกไปเอาน่ะนะ ทิ้งหลักฐานไว้เป็นกิจลักษณะมากคงไม่ค่อยดี” เพียงน้ำพลอยมองคนตรงหน้าฉีกยิ้มจนตาหยี รู้สึกอยากจะแค่นเสียงขึ้นจมูกมาชั่วขณะ เขาบอกว่าตัวเองไม่อยากทิ้งหลักฐานไว้เป็นกิจลักษณะงั้นเหรอ แล้วที่ตัวเขาไปขนข้าวขนของในตู้เย็นเจ้าของบ้านออกมากินหน้าตาเฉยนี่มันไม่เรียกว่าทิ้งหลักฐานเป็นกิจลักษณะหรือไงกัน หรือแค่คิดว่ามันไม่ใช่ มันก็จะไม่ใช่ไปเสียได้
“อ้อ ผมสั่งเผื่อคุณด้วยนะ” หญิงสาวชักจะรู้สึกเวทนาตัวเองขึ้นมาตงิดๆ เสียแล้ว เพียงแค่เขาบอกว่าเธอเองก็ได้รับส่วนแบ่งจากพิซซ่าที่เขาสั่งด้วย เธอก็เห็นผิดเป็นชอบได้ในทันที รู้สึกว่าเรื่องกิจลักษณะอะไรนั่น ไม่ใช่เรื่องที่คนอย่างเธอต้องมาคอยกังวลเลยสักนิด
“ก็...ก็...รีบกินรีบกลับแล้วกัน” จบคำคนร่างสูงก็กระตุกที่มุมปากขึ้นเบาๆ อย่างอดไม่อยู่ เครื่องหน้าที่ประดับบนใบหน้าได้รูปนั้นฉายแววอารมณ์ดีไปทั่วทั้งหน้า ขณะที่นัยน์ตาเหยี่ยวก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่ท่าทีร้อนรนของคนบางคน ราวกับความรีบร้อนจะออกไปรับของเมื่อครู่ ได้มลายหายสิ้นไปจนหมดภายในชั่วเสี้ยววินาทีก่อนหน้านี้เอง
“จะไปก็รีบไปซะสิ จะได้รีบกินรีบกลับซักที” เมื่อเห็นว่าเขายังเอาแต่ยืนจ้องหน้าเธอ จะทำอะไรก็ไม่รีบไปทำ เธอจึงเอ่ยปากเร่งเขาอีกครั้งคล้ายไม่พอใจนัก ทว่าไม่รู้ทำไมสองข้างแก้มเธอถึงได้รู้สึกร้อนวูบขึ้นมาชอบกล เมื่อคิดหาเหตุผลอื่นใดมารองรับไม่ได้ เธอจึงอนุมานเอาว่าตัวเองน่าจะโมโหหิวเสียละมาก พอใจร้อน ร่างกายก็มักจะร้อนไปทุกส่วนด้วยนั่นเอง
ร่างบางโน้มตัวลงไปประคองแจกันขึ้นวางบนชั้นไม้อัดสูงติดผนัง แล้วยกมือทั้งสองขึ้นปลดผ้ากั้นเปื้อนออกจากคอลงมาพาดไว้ที่เดิมของมัน จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ไปนั่งบนโซฟาหน้าโทรทัศน์ ซึ่งเป็นที่เดิมที่แมวขโมยเคยนอนพาดแขนวางขาอยู่อย่างเกียจคร้าน เธอรู้สึกได้ด้วยสัญชาตญาณว่า แม้เธอจะเดินหนีมาไกลขนาดนี้แล้ว ไอร้อนที่พวยพุ่งมาจากสายตาใครบางคนก็ยังทอดยาวมานาบแก้มเธอได้อยู่ดี เธอจึงตัดสินใจหันขวับไปมองให้รู้แล้วรู้รอด ไม่คาดว่าพอหันไปมองแล้ว เจ้าของไอร้อนสายนั้นนอกจากจะไม่หลบสายตาเธอไปไหนแล้ว ยังคงคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ส่งให้เธออย่างกล้าหาญ จึงกลับกลายเป็นเธอที่ต้องเป็นฝ่ายหลบหนีอีกครั้ง ทั้งที่ไม่มีความผิดแม้แต่กระทงเดียว
แค่วันนี้วันเดียว เธอก็หลบเขาไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว
ขืนอยู่ด้วยกันนานกว่านี้ เธอไม่ต้องกลายเป็นคนก้มหน้ามองพื้นไปตลอดเลยหรือไง...
ครืดดดด...
เสียงประตูเหล็กเลื่อนขึ้นอย่างฉับพลันทำเอาไหล่บางๆ สะดุ้งขึ้นจนสุดตัวด้วยความตกใจ เมื่อเห็นว่าเงาของร่างสูงร่างนั้นหายวับไปแล้ว เธอจึงพ่นลมหายใจที่เก็บกลั้นไว้ออกมาเสียยาวเหยียดพลางยกมือขึ้นลูบหน้าอกราวกับเพิ่งพบเจอเรื่องเสียขวัญใหญ่หลวงมาก็ไม่ปาน อาการโมโหหิวนี่ช่างเล่นงานคนได้ถึงตายแท้ๆ ใครจะคิดว่าแค่การทานอาหารไม่ตรงเวลา จะสามารถทำให้หน้าทั้งหน้าร้อนผ่าวลามไปจนถึงใบหูได้ขนาดนี้ ตอนนี้กระทั่งยกมือขึ้นอังที่ข้างแก้ม เธอยังอดหวั่นไม่ได้ว่ามือจะถูกลวกเอา และหัวใจที่สูบฉีดเลือดได้เกินพอดีดวงนั้นก็เต้นระส่ำเสียจนผิดจังหวะไปหมด
ร้ายแรงถึงขนาดนี้...วันหน้าวันหลังเธอคงไม่กล้ากินอาหารไม่ตรงเวลาอีกแล้ว...
ขณะเดียวกันนั้นเอง ร่างสูงโปร่งท่าทางสบายอารมณ์ก็ก้าวออกจากประตูบ้านอย่างเรื่อยเฉื่อย เดินไปได้สองสามก้าวก็เริ่มกวาดสายตามองหาพนักงานส่งพิซซ่าที่น่าจะมาถึงแล้ว ความจริงแล้วเขาไม่จำเป็นต้องเดินออกไปรับที่ไหนไกลอย่างที่โกหกเอาไว้สักนิด เขาก็สั่งให้พนักงานมาส่งที่หน้าบ้านเพื่อนเขานี่แหละ แต่ที่พูดไปอย่างนั้นก็เพราะต้องการให้เธอสับสนระหว่างเรื่องจริงกับเรื่องโกหกจนแยกไม่ออกไปชั่วขณะเท่านั้น
เขาพอจะเดาได้อยู่แล้วว่าเธอจะต้องหิว จึงสั่งล่วงหน้าไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ตอนได้ยินเสียงท้องเธอร้องโครกครากเสียลั่นบ้าน เขายังทำใจกลั้นหัวเราะไว้แทบตาย รอว่าเมื่อไหร่เธอจะร้องโวยวายขึ้นมาบอกเขาว่าตัวเองหิวจนไส้กิ่วแล้ว ที่ไหนได้จนแล้วจนรอดเธอก็ยังไม่พูด เขาทนสงสารไม่ได้จึงตัดใจเลิกแกล้งเธอชั่วคราว ทว่าทั้งที่เขายังยอมออกหน้าให้แล้วแท้ๆ เธอยังมีหน้ามาแสร้งทำท่าหงุดหงิดรำคาญใจราวกับเขาทำเรื่องไร้สาระเกินจะรับ ทั้งที่ตอนเขาเอ่ยถึงเรื่องพิซซ่า นัยน์ตาดำขลับคู่นั้นวาววับเสียจนแทบจะมีประกายดาวจับได้อยู่แล้ว ยังจะกล้ากลบเกลื่อนว่าตัวเองไม่หิวอีก เขาไม่เคยเห็นผู้หญิงที่ไหนท่ามากขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆ
ทันทีที่เห็นรถจักรยานยนต์ส่งพิซซ่าสีเขียวแก่คันหนึ่งจอดสนิทอยู่ที่เนินทราย ซึ่งห่างจากจุดที่เขายืนอยู่เกือบยี่สิบก้าว เขาก็อดส่ายหน้าด้วยความเกียจคร้านขึ้นมาไม่ได้ เมื่อคิดว่าตัวเองต้องเดินย่ำพื้นทรายไปไกลถึงขนาดนั้น ทว่าก็ไม่อยากถือสาหาความอะไรพนักงานส่งพิซซ่าผู้ไม่รู้ความมากนัก ด้วยคาดว่าอีกฝ่ายคงไม่สะดวกจะขึ้นเข็นรถจักรยานยนต์คันเล็กๆ ขึ้นเนินทรายสูงชันมาถึงหน้าบ้าน ทันทีที่เดินไปถึงจุดส่งรับส่งของ ฟรานจึงล้วงกระเป๋าเงินออกมาจากกระเป๋ากางเกงเตรียมยื่นเงินให้พนักงานทันที ทว่าชั่ววินาทีที่กำลังจะเงยหน้ามองพนักงานผู้ก้มหน้าก้มตา ใส่หมวกแก๊ปปิดลงมากว่าครึ่งหน้านั้นเอง สัญชาตญาณว่องไวราวกับหมาป่าหนุ่มก็พลันตื่นตัวขึ้นมาในชั่วพริบตา นัยน์ตาสีเข้มคล้ายกับดำสนิทขึ้นยิ่งกว่าเดิมจนไม่อาจประมาณความลึกล้ำได้ มือหนาที่ถือกระเป๋าเงินชะงักค้างไปชั่วขณะ สองตาคมกริบลอบสำรวจชายหนุ่มตรงหน้าอย่างรวดเร็ว แม้ว่ากว่าครึ่งใจจะได้ข้อสรุปเรียบร้อยแล้วก็ตามที
ชายหนุ่มในเสื้อแจ็คเก็ตผ้าร่มสีเขียวแก่เช่นเดียวกับสีรถ ตรงแขนช่วงข้อศอกคาดแถบสีแดงสองแถบ หมวกแก๊ปที่เจ้าตัวกดปีกหมวกลงบังใบหน้าไปกว่าครึ่งสีดำสนิทไร้ลวดลายใดๆ ดูผิวเผินภายนอกแล้ว แม้จะดูขัดหูขัดตาอยู่สักหน่อย แต่ก็ไม่นับว่าเป็นพิรุธชัดเจนอะไร นอกเสียจาก...กล่องพิซซ่าในถุงพลาสติกนั้นดูเบาโหวงกว่าปกติ ผิวเนื้อบนนิ้วมือนั้นแทบจะไม่ถูกดึงรั้งด้วยแรงหน่วงเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยามที่สายลมอ่อนๆ พัดผ่าน กลับไม่ได้มีเพียงถุงพลาสติกเบาๆ เท่านั้นที่พริ้วไหว แต่กล่องพิซซ่าสี่เหลี่ยมที่แม้จะมีน้ำหนักไม่มากมาย แต่ก็น่าจะพอจะต้านแรงลมได้ กลับปลิวไปตามแรงลมเบาๆ เรื่องผิดสังเกตเล็กน้อยเหล่านี้ หากเป็นคนทั่วไปคงไม่มีทางสังเกตเห็นได้ ทว่ากับเขาที่หนีการไล่ล่ามาทั้งชีวิต ย่อมไม่มีทางปล่อยมันผ่านตาไปง่ายๆ แน่
เลือดในกายเขาเดือดพล่านคล้ายกับถูกเผาผลาญด้วยไอสังหาร เท้าขวาก้าวถอยหลังมาเล็กน้อยตามสัญชาตญาณ ขณะที่ดวงตาก็ยังคงจับจ้องสิ่งมีชีวิตตรงหน้า ที่เริ่มเก็บกลั้นความร้อนระอุในใจไว้ไม่อยู่ขึ้นทุกที
ชั่ววินาทีนั้นเอง กล่องพิซซ่าเบาโหวงก็ถูกโยนขึ้นลอยละล่องกลางอากาศ ชายหนุ่มในแจ็คเก็ตเขียวแก่ยกปืนที่เหน็บอยู่ข้างเอวขึ้นอย่างว่องไว หมายจะเป่าศีรษะคนร่างสูงให้วิญญาณหลุดลอยออกจากร่างในนัดเดียว ทว่ากลับผิดคาดที่คนตรงหน้าดูจะอ่านการเคลื่อนไหวของเขาออกแต่แรก ยกสันฝ่ามือขึ้นฟาดข้อมือที่ถือปืนอยู่ของเขา แล้วซัดกำปั้นหนักๆ เข้ากลางลิ้นปี่เขาอย่างเต็มแรง ถึงแม้จะโชคดีที่ปืนไม่ร่วงลงพื้นไป ทว่าเรี่ยวแรงที่แขนหายไปนับแปดส่วนจนไม่อาจประคองปืนขึ้นจ่อหน้าผากใครได้ เสี้ยววินาทีเดียวกันนั้นเอง ร่างสูงก็ยกวงขาขึ้นตวัดเกี่ยวลำคอของศัตรูผู้คุกคามชีวิต ใช้ข้อพับแกร่งบีบรัดลำคอของอีกฝ่ายจนแทบหมดลม ก่อนจะออกแรงสะบัดจนเหยื่อลอยเคว้งขึ้นกลางอากาศไม่ต่างจากถุงพลาสติกไร้น้ำหนัก
หากแต่ยังไม่สิ้นลมดีก็ยังไม่นับว่าหมดหวังโดยสิ้นเชิง เหยื่อผู้ดิ้นรนทุกวิถีทางจึงพยายามจะเอื้อมมือไปหยิบปืนที่กระเด็นไปไม่ไกลนักขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็นึกไม่ถึงว่าตนจะประมาทความว่องไวของอีกฝ่ายเกินไป ยังไม่ทันจะได้รวบรวมเรี่ยวแรง รองเท้าหนังราคาแพงระยับก็ยกขึ้นฟาดกรามเขาอย่างเต็มแรงจนโลหิตข้นคลั่กทะลักกบปาก ก่อนจะยกเท้าอีกข้างไปเหยียบกระดูกข้อมือเขาจนแทบแหลกละเอียด เมื่อแน่ใจว่าเขาหมดเรี่ยวแรงจะหยิบจับอาวุธใดได้แล้ว มือทรงพลังเพียงข้างเดียวก็รวบคอเสื้อเขากระชากขึ้นจากพื้นทราย แล้วโยนไปอีกทางจนร่างทั้งร่างพลิกคว่ำ คนถือไพ่เหนือกว่าทรุดตัวลงใช้หน้าแข้งกดร่างของเหยื่อเอาไว้ ขณะที่เท้าอีกข้างก็ไม่ลืมจะเหยียบข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้ด้วย พร้อมกันนั้นก็ใช้มือดึงรั้งคอเสื้อคนใต้ร่างลงมาเพื่อตรวจดูอะไรบางอย่างให้แน่ใจ เหมือนอย่างที่เคยทำเป็นประจำทุกที...
ซึ่งครั้งนี้ก็ไม่ผิดไปจากที่คาดเช่นเคย...
‘หมาป่าสีน้ำเงิน...’
ที่บริเวณต่ำกว่าท้ายทอยเล็กน้อย ปรากฏรอยสักรูปหมาป่าขนสีน้ำเงินบริสุทธิ์ขนาดเท่าฝ่ามือ กำลังหันมามองเขาด้วยนัยน์ตาแดงฉาน พร้อมกับแยกเขี้ยวคมๆ ขู่ขวัญเขา ฟรานแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างร้ายกาจ ก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันที่ซุกซ่อนอยู่ในลำคอออกมาเบาๆ
ชีวิตเขานี่มันช่างมีสีสันดีเหลือเกิน ขนาดสั่งของมากิน ยังเกือบได้ลูกปืนมากินแทนพิซซ่า
เขานี่มันช่างเป็นคนพิเศษที่ใครๆ ก็รักก็เอ็นดูเสียจริง...
ยังไม่ทันทีเสียงหัวเราะเย็นเยียบจะได้เงียบลงดี คนใต้ร่างที่แทบสิ้นลมไปแล้วเมื่อครู่ก็ตัดใจงัดไพ่ตายใบสุดท้ายออกมา ค่อยๆ ล้วงมีดสั้นเงาวับในกระเป๋ากางเกงอีกข้างหนึ่งขึ้นมา จ้วงแทงต้นขาที่กดร่างของตัวเองเอาไว้จนแทบมิดด้าม หูได้ยินเสียงใบมีดทะลวงลึกเฉือนทำลายกล้ามเนื้อดังฉึก แม้จะปราศจากเสียงร้องอย่างเจ็บปวดทรมานแม้แต่ครึ่งคำ แต่เสียงลมหายใจซึ่งสะดุดไปในชั่วขณะนั้น ก็ทำให้ความหวังริบหรี่ที่หลุดลอยหายไปหวนคืนกลับมาภายในชั่วพริบตา จึงคิดลองเทหน้าตักพลิกวิกฤติตรงหน้าให้กลายเป็นโอกาสอีกครั้ง โดยอาศัยช่วงที่คนเหนือร่างอ่อนกำลังพลิกตัวขึ้นสุดแรง และลั่นไกปลิดวิญญาณเขาทิ้งภายในเสี้ยววินาที ทว่าเรื่องราวกลับผิดคาดอีกจนได้ เพราะวินาทีดังกล่าวนั้น คนที่ควรจะอ่อนแรงกลับกลั้นใจกระชากมีดสั้นที่ปักอยู่บนต้นขาของตัวเองออก แล้วเงื้อแขนปักใบมีดคมๆ ลงบนต้นขาของเหยื่อจนแทบทะลุ จากนั้นก็กระชากออกแล้วปักลงบนต้นขาอีกข้างด้วย ราวกับปรารถนาให้คนใต้ร่างทรมานจนตายตกไปจากโลกนี้เสีย
“อ๊ากกกกก!!!!!!” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดทรมานโหยหวนลั่นไปทั่วบริเวณ ทำให้ฟรานเริ่มได้สติว่าเรื่องเลวร้ายที่สุดนั้นยังไม่ทันได้เริ่มต้นขึ้นด้วยซ้ำ เรื่องที่เขาต้องคิดให้ออกตอนนี้ก็คือ จะทำยังไงกับคนที่กำลังจะชะโงกหน้าออกมาจากบ้านในไม่กี่วินาทีต่อจากนี้ เพราะได้ยินเสียงร้องโหยหวนของไอ้มือปืนสมควรตายนี่ต่างหาก
ในช่วงเวลาคับขัน สวรรค์ก็มักจะเล่นตลก... ฟรานไม่คิดว่าตัวเองเชื่อคำกล่าวประเภทนั้นนัก จนกระทั่งเห็นชายฉกรรจ์เกือบยี่สิบคนกรูกันออกมาจากตรอกทางเข้าซึ่งห่างออกไปประมาณสิบเมตร เขารีบกลืนความเจ็บที่ต้นขาลงไป แล้วก้มลงหยิบปืนที่ตกอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลขึ้นมาเตรียมพร้อมป้องกันตัว ไม่มีเวลาแม้แต่จะปาดเหงื่อเย็นๆ สามสี่เม็ดที่ผุดขึ้นมาออกจากหน้าผาก
ชายร่างท้วมที่ยืนอยู่หน้าสุดย่างสามขุมเข้ามาพลางขึ้นลำปืนพกในมือด้วยท่าทางสุขุมเยือกเย็น สายตาอาฆาตราวกับจะพุ่งเข้ามาฉีกกระชากวิญญาณเขาตั้งแต่ยังเข้ามาไม่ถึงตัว ทำเอาเขาเริ่มลังเลกับสถานการณ์ตรงหน้านี้ขึ้นทุกที จากการประเมินด้วยสายตาแล้ว พวกที่มาใหม่ยี่สิบกว่าคนนี้คงไม่กระจอกอย่างคนที่ร้องทุรนทุรายอยู่กับพื้นนี่แน่ หากให้เขาเดาล่ะก็ มันก็เป็นแค่หมากตัวหนึ่งที่ถูกส่งมาให้ล่อเขาออกมา แล้วถ่วงเวลาเขาเอาไว้ให้ได้มากที่สุด หากจัดการได้ตั้งแต่แรกก็ดีไป แต่ถ้าไม่ล่ะก็ ยังมีกองทัพอีกยี่สิบกว่าชีวิตที่เตรียมจะรุมฉีกทึ้งเขารออยู่อีก
เขาในตอนนี้มีปืนแค่กระบอกเดียวบนพื้นทรายที่ไอ้มือปืนนั่นทำหลุดมือไว้ แต่กองกำลังติดอาวุธที่กำลังคืบคลานมาหานั้นมีพร้อมไปเสียทุกอย่าง จากที่ดู หากจะบอกว่าแม้แต่ระเบิดมือก็พกมาในครั้งนี้ด้วย เขาก็คงไม่แปลกใจอะไรนัก และปัญหาใหญ่อีกอย่างก็คือตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว และอีกคนที่ว่านั้นก็กำลังจะชะโงกหน้าออกมาในไม่ช้านี้แล้ว ครั้งก่อนเขากระชากเธอวิ่งหนีไปด้วยกันเพราะสัญชาตญาณล้วนๆ ไม่ได้มีความคิดอ่านเป็นเหตุเป็นผลรวมอยู่ด้วยแม้แต่ส่วนเดียว ลืมสิ้นไปชั่วขณะว่าร่างที่ปลอมตัวเป็นแขกขายโรตีในตอนนั้นไม่ได้รู้มักจี่กับเธอแต่อย่างใด ไม่จำเป็นต้องลากเธอหนีตายไปด้วยกันทั้งอย่างนั้น แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งนั้น...ออกจะไม่เหมือนโดยสิ้นเชิงด้วย ครั้งนี้หากเธอโผล่หน้าออกมา ไม่ว่ายังไงเขาก็คงไม่อาจทำเป็นไม่รู้จักเธอได้อีก ทว่าครั้นจะให้ลากเธอไปหนีตายด้วยอย่างครั้งก่อน เขาก็อดห่วงเธอขึ้นมาไม่ได้ เพราะคนที่มาไล่ล่าเขาในครั้งนี้ ไม่ได้มีแค่สองสามคนเหมือนตอนนั้น แต่เป็นกองกำลังติดอาวุธเกือบยี่สิบชีวิต!
ใบหน้าหล่อเหลาได้รูปหันไปมองทางบ้านปูนเปลือยซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณยี่สิบก้าว เฝ้าภาวนาให้การคาดคะเนของเขาผิดเพี้ยนไปสักหน่อย อย่าให้ยัยแม่ชีกระโดดกำแพงนั่นโผล่ออกมาในตอนนี้เลย
ทว่าเรื่องเลวร้ายอะไรที่เขาเคยคาดเอาไว้ มันเคยผิดเสียทีไหนกัน...
ครืดดดดดด...
เสียงยกประตูเหล็กม้วนขึ้นช้าๆ กับใบหน้าขาวละเอียดดุจเครื่องแก้วที่โผล่ลอดออกมาตั้งแต่ประตูยังลอยพ้นพื้นขึ้นมาได้ไม่เท่าไหร่ กับดวงตากลมโตราวกับไข่มุกดำแสนวาววับคู่นั้นที่ค่อยๆ เบิกโพลงด้วยความตกใจขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำเอาฟรานแทบอยากจะตีอกชกหัวตัวเองให้ตายเสียตรงนี้ อะไรดลใจให้เขาไม่รู้จักล็อกกุญแจไว้ด้านนอก ปิดตายให้เธออยู่แต่ในนั้นเงียบๆ ไปเสียเลย เขาคิดอะไรของเขาอยู่ถึงได้แค่ดึงประตูลงมานาบกับพื้นโดยไร้ซึ่งการป้องกันใดๆ แบบนี้!
ฟรานค่อยๆ ถอยหลังมาทีละก้าว ก่อนจะหันหลังออกวิ่งอย่างสุดฝีเท้า ภายในชั่วพริบตาขายาวๆ ก็พาเขาไปถึงหน้าประตูเหล็กม้วน มือหนาจึงเอื้อมไปคว้าข้อมือของคนร่างบางที่ยังยืนอยู่ในบ้านออกมาอย่างรวดเร็ว ทว่าด้วยความรีบเร่งสุดขีดจึงไม่ทันระวัง ทำให้หน้าผากมนกระแทกเข้ากับประตูเหล็กซึ่งลอยจากพื้นขึ้นถึงระดับหน้าผากของเธอพอดี
“โอ๊ยยยยย!!! จะฆ่ากันรึไงห้ะ!!!!!” เพียงน้ำพลอยร้องลั่นพลางยกมือข้างที่เป็นอิสระอยู่ขึ้นคลำหน้าผากป้อยๆ
“ก็เออน่ะสิ มาเป็นกองทัพขนาดนั้นไม่เห็นรึไง” ฟรานดึงมือเธอให้ย่อตัวลงเล็กน้อย แล้วใช้มืออีกข้างบังศีรษะให้เธอปลอดภัยจากการกระทบกระแทกอะไรในเวลาคับขันอีก จากนั้นก็กระชากแขนเธอออกวิ่งอย่างเต็มฝีเท้าทันที
“จะเอาฉันไปไหนอีก!!! มันเจ็บ!!!” เพียงน้ำพลอยร้องตะโกนไปพลาง สะบัดแขนที่ถูกเขาฉุดกระชากไปพลาง เพราะคิดไม่ออกว่าตัวเองมีเหตุผลอะไรที่จะต้องหนีคนพวกนั้นด้วย
แต่จะว่าไปเหตุการณ์แบบนี้มันก็ออกจะคุ้นๆ ยังไงชอบกล...
“ไปไหนก็ไปเถอะน่า เจ็บกับตายจะเอาอะไรก็เลือกเอาละกัน” ฟรานตอบด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวเล็กน้อย ทว่าถึงอย่างนั้นก็ยังลดแรงบีบที่ข้อมือให้เบาลงตามที่เธอร้องขออยู่ดี
“นี่!!! หรือว่า...” ทันใดนั้น หญิงสาวร่างบางที่ลอยละล่องตามแรงกระชากมาโดยตลอดก็หยุดเท้าตัวเองลงกึก ทำท่าคล้ายกับนึกอะไรสักอย่างออกมาได้ เป็นตายยังไงก็ต้องถามให้รู้เรื่อง
“อะไรของคุณอีกเนี่ย!!!” ฟรานตวาดขึ้นเสียงดัง ตอนนี้เป็นช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานแค่ไหนคิดว่าเธอเองก็คงเห็นอยู่กับตา ทำไมถึงยังเอาแต่ถามโน่นถามนี่เขาอยู่ได้ ไม่รู้จักกลัวตายบ้างหรือไงกัน
“หรือว่าพวกที่ตามมาเป็นเจ้าของบ้าน เขาจะมาเอาเรื่องที่เราไปงัดบ้านเขาเหรอ!” เพียงน้ำพลอยถามพลางเบิกตากว้างมองคนตรงหน้าอย่างตื่นตระหนก ทำเอาฟรานแทบสะอึกไปในทันที เพราะไม่คิดว่าเธอจะเอาเรื่องทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้มารวมกันให้เป็นเรื่องเดียวได้
“เอ่อ...ก็ทำนองนั้นแหละ” ฟรานอ้ำอึ้งอยู่ชั่ววินาทีก่อนจะเออออตามเธอไป
“จะ...จริงเหรอ!! ฉันบอกคุณแล้วใช่มั้ยว่าอย่าไปยุ่งกับของของคนอื่นเขาน่ะ!!!” เธอตวาดลั่นจนสุดเสียงพร้อมกับใช้กำปั้นนุ่มนิ่มของตัวเองทุบตีเขาอย่างสุดแรง
“โอ๊ยยยคุณ!!! มันใช่เวลามั้ยเนี่ย! หนีก่อน เร็ว!!” จบคำฟรานก็ไม่สนเสียงด่าทอประหนึ่งว่าเขาไปฆ่าคนวางเพลิงบ้านบรรพบุรุษเก้าชั่วโคตรของเธออีก รีบกระชากข้อมือเธอออกวิ่งอีกครั้ง พร้อมทั้งเร่งฝีเท้าขึ้นอีกเป็นเท่าตัว หากก็ยังต้องขอบคุณสวรรค์ที่วันนี้เธอไม่ได้ใส่รองเท้าส้นสูงมา เป็นเพียงแค่รองเท้าส้นเตี้ยสีขาวรัดส้นธรรมดาๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงได้หมดความอดทน ตัดใจแบกเธอวิ่งแน่ ซึ่งก็ไม่แน่ว่าหนทางที่ว่านั้นจะพาเขากับเธอหนีตายไปได้สักกี่ก้าว
ฟรานลากคนร่างบางลัดเลาะไปทางด้านข้างของบ้าน เขาจำได้ว่าหลังบ้านของเพื่อนคนนี้เป็นพื้นทรายโล่งๆ ดูเผินๆ ไม่ต่างเวิ้งทรายหน้าบ้านสักเท่าไหร่ แต่ลึกเข้าไปจะเป็นป่าผืนหนึ่งซึ่งมีต้นไม้ใบหญ้าขึ้นรกไปหมด ไม่มีใครมาถางออกให้เรียบร้อย สภาพแทบจะเรียกได้ว่ารกชัฏ ทว่าพ้นจากป่านี้ไปก็จะเป็นถนนใหญ่แล้ว ฉะนั้น หากพ้นจากป่าข้างหน้านี้ไปได้ เขากับเธอก็นับว่ายกขากลับมาจากประตูนรกได้แล้วข้างหนึ่ง
ขายาวๆ วิ่งลุยต้นหญ้าที่ขึ้นสูงจนเกือบถึงช่วงเอวอย่างไม่หยุดพัก ระหว่างทางก็ดึงหญ้าปัดกิ่งไม้ให้เธอที่วิ่งตามหลังมาด้วย ซึ่งหลังจากที่ไถ่ถามจนได้ข้อสรุปนั้นไปแล้ว เธอก็ไม่ได้ซักไซ้ไล่เรียงอะไรเขาอีก ทั้งยังไม่บ่นเหนื่อยปิ่มว่าจะขาดใจแต่อย่างใด เอาแต่วิ่งอย่างสุดแรงเกิดตามเขามาเรื่อยๆ เล่นเอาเขาแปลกอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
ปังง!!!
ชั่วขณะที่เขารู้สึกได้ว่าฝูงกองทัพติดอาวุธได้วิ่งตามหลังมาใกล้อีกครั้ง หลังจากกองทัพติดอาวุธทิ้งห่างไปได้สักพักใหญ่ เขาก็รู้สึกได้ว่าพวกมันเริ่มไล่ตามหลังมาใกล้อีกครั้ง พอหันหลังกลับไปมองก็เห็นกระบอกดำเมี่ยมเล็งตรงมาหาเขากับเธอพอดี เขาจึงรีบยกมือขึ้นกดศรีษะน้อยๆ ของคนข้างลงตามสัญชาตญาณ กระสุนที่แทรกผ่านกระแสลมมาในเสี้ยววินาทีเดียวกันนั้นจึงเฉียดผ่านต้นแขนเขาไปเล็กน้อย หากก็นับว่าเรียกเลือดออกมาได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
ฟรานรีบยกมือขึ้นกดปากแผลตัวเองไว้เพราะกลัวว่ารอยเลือดจะเรียกศัตรูมาเก็บวิญญาณตัวเองกับผู้ร่วมชะตากรรมถึงที่ สองขาฝืนออกวิ่งอีกครั้งด้วยความเร็วที่ลดลงเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าพอจะทิ้งห่างจากสายตาของศัตรูผู้ไล่ล่าได้บ้างแล้ว จึงรีบดึงคนร่างบางเข้ามาหลบด้วยกันที่พงหญ้าสูงหลังต้นไม้ใหญ่ทันที
เพียงไม่ถึงชั่วอึดใจ ชายร่างกำยำในเสื้อยืดสีดำคนหนึ่งซึ่งฟรานจำได้ว่าเป็นหนึ่งในกองกำลังยี่สิบนายนั้น ก็เดินย่องผ่านหน้าพงหญ้าที่เขากับเพียงน้ำพลอยหลบอยู่ ชั่วขณะนั้น หางตาเขาเหลือบไปเห็นสีหน้าลุุ้นระทึกของเธอที่อยู่ห่างจากเขาไม่ถึงหนึ่งคืบดี หน้าผากมนผุดเหงื่อขึ้นหลายเม็ด จนใบหน้าขาวนวลเนียนมันชุ่มขึ้นเล็กน้อย ลูกผมที่ล้อมกรอบดวงหน้าเปียกชุ่มจนลู่ลงเป็นทาง ดวงตาสุกสกาวคู่นั้นฉายแววตื่นตระหนกราวกับลูกกวางน้อยไม่มีผิด ทว่าถึงอย่างนั้นก็ยังควบคุมสติเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ไม่มือไม้สั่นร้องห่มร้องไห้จนเสียเรื่อง พวงแก้มขาวละเอียดแดงระเรื่อขึ้นด้วยความเหนื่อยหอบ ขณะที่ริมฝีปากล่างนั้นกำลังถูกเจ้าตัวขบกัดเพื่อข่มอารมณ์ลุ้นระทึก
มองไปมองมา...สีหน้าท่าทางแบบนี้ก็น่ามองไม่น้อยเลย...
เพียงน้ำพลอยจ้องมองเหตุการณ์ตรงหน้าผ่านช่องว่างเล็กๆ ระหว่างพงหญ้าอย่างไม่กระพริบตา พร่ำสวดภาวนาทุกบทสวดที่พอจะรู้จักซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น เกือบสองปีที่แล้วเธอพยายามอย่างที่สุดเพื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อไป หลังจากผ่านช่วงเวลานั้นมาได้เธอก็ไม่เคยคิดอยากจะตายอีก โดยเฉพาะตายในสภาพไม่ต่างจากกวางตกใจตายในป่าแบบนี้ มันยิ่งชวนอเนจอนาถเข้าไปใหญ่
แต่หลังจากกลั้นหายใจลุ้นระทึกกับผลของบทสวดภาวนาอยู่พักใหญ่ ชายฉกรรจ์ร่างกำยำตรงหน้าก็ค่อยๆ หันหลังเดินจากไป เพียงน้ำพลอยที่ลุ้นจนแทบลืมหายใจจึงล้มพับลงกับพื้นดินทันที แม้แต่เรี่ยวแรงจะประคองตัวเองให้นั่งยองๆ เธอก็ยังมีไม่พอด้วยซ้ำ ตอนนี้เธอชักจะเข็ดขยาดกับคนที่นี่เสียแล้ว แม้จะรู้ดีว่าการงัดเข้าไปในบ้านคนอื่น ไปใช้ข้าวของเขาโดยไม่ได้รับอนุญาตมันเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง แต่เธอก็ยังเห็นว่าพวกเขาทำเกินกว่าเหตุไปอยู่ดี จะดีจะร้ายยังไงบ้านเมืองก็ยังมีขื่อมีแป จะฆ่าจะแกงกันโดยไม่ถามไถ่กันสักคำได้ยังไง หรือหากเจ้าของบ้านเห็นว่าเธอกับเขาทำเรื่องร้ายแรงถึงขนาดนั้นจริง ก็ไปแจ้งความตามขั้นตอนทางกฎหมายเสียยังจะดีกว่า ต่อให้เจ้าทุกข์ตั้งใจจะเอาเรื่องกันจนถึงที่สุดจนเธอต้องติดคุกติดตาราง เธอก็ยังรู้สึกว่ามันยังจะเข้าท่ากว่าเสียอีก แต่ก็อย่างว่า เธอจะเอาเรื่องกฎหมายอะไรไปสอนคนอื่นเขาได้ ในเมื่อตัวเธอยังทำผิดกฎหมายงัดเข้าไปในบ้านเขาอยู่เลย
“คุณ...ตกใจมากเหรอ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามขึ้น พลางชะโงกหน้าไปตรวจสอบดวงหน้าขาวนวลเนียนนั้นใกล้ๆ ด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ขนาดนั้นหรอก ฉันแค่รู้สึกว่าคนที่นี่น่ากลัว เราแค่เข้าไปปั้นแจกันในบ้านเขา ถึงจะงัดเข้าไปก็เถอะ แต่ถึงกับต้องเรียกคนมายิงกันเลยเหรอ” สิ้นน้ำเสียงเหลือเชื่อ ฟรานก็ได้ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่สองสามวินาที ก่อนจะตอบออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ
“โลกนี้มันก็แบบนี้แหละคุณ ไม่มีใครมีน้ำใจกับใครมากมายนักหรอก คุณเองก็ต้องระวังไว้ให้ดีเข้าใจมั้ย” ฟรานบอกพลางทำหน้าจริงจัง แล้วลงท้ายด้วยการเอ่ยเตือนเธอราวกับหวังดีเสียเต็มประดา
“อืม” หญิงสาวพยักหน้าฟังคำสอนของคนตัวโตอย่างว่าง่าย ทว่าถึงอย่างนั้นในหัวเธอก็ยังรู้สึกแปลกๆ ยังไงชอบกล แม้จะรู้สึกตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ตรงกลางระหว่างหน้าจอโทรทัศน์กับผืนป่าแห่งนี้ยังไงก็ไม่รู้ มันออกจะเหลือเชื่อเกินกว่าเธอจะทำใจให้เชื่อได้อย่างสนิทใจ
“แต่ว่าเจ้าของบ้านเขา...”
“บ้านหลังนั้นมันต้องไม่ใช่โรงปั้นแจกันธรรมดาแน่ เชื่อผมสิ มันต้องซ่อนอะไรบางอย่างไว้ ถึงได้กลัวพวกเราไปเจอ” ฟรานคิดอยู่แล้ว ว่าคำเออออห่อหมกประเภทนั้นจะตบตาเธอได้ก็แค่ชั้นต้นเท่านั้น ก่อนหน้านี้ คงเป็นเพราะอารามตกใจเธอถึงได้ไม่มีเวลาใคร่ครวญในสิ่งที่เขาพูดมากนัก แต่พอทุกอย่างสงบลงแล้วสมองเธอย่อมต้องกลับมาทำงานฉับไวเหมือนเดิม เขาจึงรีบอาศัยเวลาชั่วเสี้ยววินาที อุดช่องโหว่คำโกหกของตัวเองตั้งที่เธอยังพูดไม่จบ เพื่อให้เธอได้ฟังเรื่องที่เขาปั้นแต่งขึ้นก่อน ต่อให้ในหัวเธอคิดอะไรอยู่ก่อนหน้า ถ้าได้ลองฟังอีกข้อเสนอที่เข้าที ต่อให้ไม่เชื่อก็ต้องมีไขว้เขวกันบ้างล่ะ
“ก็คงอย่างนั้น...” เสียงหวานใสเอ่ยออกมาเบาๆ ราวกับเสียงพึมพำ พลางทำท่าครุ่นคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง ขณะที่ฟรานก็ถึงกับนึกภาพตัวเองทุบกำปั้นลงบนฝ่ามืออีกข้างหนึ่งอยู่ในใจออกเป็นฉากๆ พร้อมกันนั้นก็รู้สึกคล้ายกับไหล่ทั้งสองข้างของตัวเองเบาสบายขึ้นมาในทันที
“แต่ว่า...” ยังไม่ทันทีไหล่กว้างทั้งข้างของเขาจะได้เบาสบายจริงอย่างที่คาด หญิงสาวตรงหน้าก็โยนหินหนักๆ ลงมาใส่เขาอีกครั้ง ด้วยการทำท่าคล้ายจะเอ่ยข้อสมมติฐานของตัวเองออกมาอีกข้อ คนหัวไวจึงรีบหาเรื่องดึงความสนใจจากชนวนแสนอันตรายนั้นทันที
“โอ๊ยยยยยย!!” มือหนายกขึ้นกุมปากแผลที่แขนแล้วส่งเสียงร้องออกมาอย่างทรมาน ใบหน้าหล่อเหลาดุจหยกสลักบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บแปลบเหลือแสน ดวงตากลมโตดับขลับที่เคยกลิ้งกลอกไปมาด้วยความสงสัยในหัวคู่นั้นจึงเบิกโพลงขึ้นด้วยความตกใจแล้วรีบชะโงกหน้าไปดูอาการคนร่างสูงตรงหน้า
“คุณถูกยิงนี่!” หญิงสาวว่าพลางทำท่าจะเอื้อมมือไปสัมผัสแขนเขาแต่ก็ชะงักค้างอยู่อย่างนั้น จากนั้นก็ทำท่าจะเอื้อมมาสัมผัสอีกครั้ง แต่ก็กลับมารู้สึกลังเลขึ้นมาอีก สายตาร้อนรนจนไม่รู้จะทำอะไรเป็นอันดับแรกดีทำเอาฟรานอดขำเธออยู่ในใจไม่ได้ คิ้วได้รูปของเธอแทบจะผูกกับเป็นโบเสียยิ่งกว่าตอนตั้งคำถามกับเขาก่อนหน้านี้เสียอีก ดูท่าเขาจะเบี่ยงเบนความสนใจเธอได้สำเร็จแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน เขาถึงได้รู้สึกว่าตัวเขาเองก็เผลอสนใจอย่างอื่นไปมากกว่าการทำให้เธอไขว้เขวเสียแล้ว
แคว่ก แคว่กกกกก
ฟรานนั่งมองหญิงสาวร่างบางตรงหน้าใช้กิ่งไม้แทงกระโปรงจนเป็นรู แล้วฉีกชายกระโปรงยาวของตัวเองออกมาเป็นผ้าแถบยาวประมาณหนึ่ง คาดว่าคงจะหาอะไรสักอย่างมาห้ามเลือดให้เขานั่นเอง แต่แล้วก็เห็นมือบางๆ นั้นใช้กิ่งไม้แทงผ้าแถบยาวจนเป็นรูอีกครั้งหนึ่ง จึงอดสงสัยไม่ได้ว่าเธอกำลังจะทำอะไรกันแน่ เมื่อเห็นเธอฉีกผ้าส่วนที่เปื้อนดินออก จากนั้นก็เอาผ้าแถบส่วนที่เหลือกว้างประมาณหนึ่งฝ่ามือมาห้ามเลือดที่ต้นแขนให้เขาอย่างระมัดระวัง เขาถึงได้รู้ว่าที่แท้เธอเองก็คิดอ่านอะไรได้รอบคอบไม่น้อยเลย
เขาแสร้งไอหนักๆ ออกมาสองสามที พลางใช้มือกุมท้องอย่างทรมานราวกับคนใกล้สิ้นลม ปล่อยให้เธอดูอาการไปเรื่อยๆ เผลอเพียงชั่วพริบตา เธอก็ห้ามเลือดผูกผ้าพันแผลให้เขาเสร็จสรรพเรียบร้อย ทว่าตอนนี้เขาเองก็ชักจะเสพติดการถูกดูแลเอาอกเอาใจเสียแล้ว จึงทำท่าคล้ายจะยันตัวลุกขึ้น แต่สุดท้ายก็แสร้งล้มลงกับพื้นอย่างหมดแรง พร้อมกับใช้มืออีกข้างกดปากแผลที่ต้นขาเอาไว้ ท่าทางไม่ต่างจากคนเจ็บเจียนตาย แต่ก็กัดฟันข่มความเจ็บเอาไว้ไม่เอ่ยปากบอกใคร
“นี่...นี่คุณถูกยิงที่ขาด้วยเหรอ...” คนร่างบางเริ่มสีหน้าไม่สู้ดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าเขาเจ็บหนักขนาดนี้ ความคิดฟุ้งซ่านที่เธอผลักไสจะคิดเริ่มวนเวียนเข้ามาในหัวอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่
“ถูกแทงน่ะ” ฟรานตอบสั้นๆ โดยไม่ทันได้เงยหน้าขึ้นมองคนข้างกาย เอาแต่เพ่งความสนใจไปกับการพยายามเจ็บปวดให้สมบทบาท แต่พอครั้นเงยหน้าขึ้นกลับเห็นว่าดวงตากลมโตคู่นั้นเริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังเห็นน้ำใสๆ เอ่อล้นจนคลอหน่วย ใกล้จะร่วงเผาะกลิ้งลงบนแก้มใสเนียนของเธออยู่ร่อมร่อ ทำเอาหัวใจที่เต้นระส่ำราวกับรัวกลองของเขาคล้ายหยุดเต้นไปเสียเดี๋ยวนั้น เข้าสู่ภาวะแช่แข็ง พาลพาให้ร่างทั้งเย็นยะเยือกขึ้นมาชั่วขณะ
เขาคงเผลอเล่นเพลินจนเกินไปหน่อยถึงทำให้เธอตกใจขนาดนี้ แต่จะให้สารภาพเสียตอนนี้ว่าตัวเองโกหก ที่จริงแล้วเขาไม่ได้เจ็บอะไรขนาดนั้น ก็ดูจะไม่ส่งผลดีกับรูปการณ์ทั้งหมดแต่อย่างใด ชั่วขณะที่สมองไร้หนทางนั้นเอง มือหนาข้างหนึ่งก็เอื้อมขึ้นไปปาดหยดน้ำตากลมๆ ที่ร่วงลงมาเปื้อนพวงแก้มเธออย่างไม่รู้ตัว แต่เมื่อได้สัมผัสกับผิวแก้มขาวใสนั้นแล้ว ถึงได้รู้ว่าตัวเองขาดสิ้นการควบคุมไปมากเหลือเกิน ถึงจะรู้สึกผิดยังไงก็ไม่ควรปล่อยให้ตัวเองสัมผัสเธอด้วยความรู้สึกอ่อนไหวแบบนั้นเลยจริงๆ ชีวิตเขาเป็นยังไง ชีวิตเธอเป็นยังไง เขาล้วนรู้ดีอยู่ การทำแบบนี้ไม่เป็นผลดีกับใครทั้งสิ้น และเหนือสิ่งอื่นใด...เธอไม่ใช่ของเขา...
“บางทีอาจเป็นเพราะฉัน...” น้ำเสียงเบาบางราวกับเสียงกระซิบ ทว่าก็ดังพอจะทำให้ใครอีกคนตรงหน้าได้ยินอย่างชัดเจนเอ่ยขึ้น ดวงตาสุกสกาวคู่นั้นหม่นแสงลงเสียจนชวนให้คนมองรู้สึกปวดแปลบเสียจนหายใจไม่ออก
“ใครๆ ก็บอกว่าดวงฉันข่มคนอื่นไปทั่ว ที่จริงฉันมีแฝดที่ควรจะเกิดมาพร้อมกัน แต่ก่อนคลอดแม่ฉันตกบันไดเลยต้องคลอดก่อนกำหนด สุดท้ายรักษาฉันไว้ได้แค่คนเดียว บางคนก็บอกว่า...บอกว่าฉันดวงกินผัว แฟนคนแรกของฉันก็ตายเพราะเขาขับรถกลับไปเอาแหวนหมั้นมาให้ฉัน หลังจากนั้นมาก็มีผู้ชายบางคนเข้ามาจีบฉัน ผู้ชายพวกนั้น บางคนก็ตกงานเอาเสียดื้อๆ บางคนก็รถชนจนเดินเหินไม่ได้ไปเป็นเดือน บางคนก็โจรขึ้นบ้าน ข่าวพวกนั้นพูดเรื่องเหลวไหลเสียมาก แต่มีเรื่องจริงอยู่อย่าง...ฉันมันตัวกาลกิณี”
ฟรานนิ่งเงียบฟังเธอพูดจนจบ เห็นน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลอาบแก้มใสๆ นั้นโดยปราศจากเสียงสะอื้น พยายามนับหนึ่งถึงสิบอยู่ในใจห้ามตัวเองไม่ให้เอื้อมมือไปสัมผัสผิวแก้มเปียกชุ่มด้วยน้ำตานั้นอีกครั้ง แต่จนแล้วจนรอดก็ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ยังเอื้อมไปใช้นิ้วหัวแม่มือปาดน้ำตาออกให้เธอจนได้ ซ้ำยังใช้ฝ่ามือหนาของตัวเองประคองแก้มเธอไว้อย่างทะนุถนอม ยิ่งเห็นไหล่บางๆ นั้นพยายามข่มกลั้นแรงสะอื้นจนถึงที่สุด ไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองร้องไห้โฮออกมาทั้งที่แบกรับความรู้สึกหนักหนามาจนป่านนี้ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาฉีกทึ้งกระโปรงออกมาห้ามเลือดให้เขา เขายิ่งรู้สึกคล้ายกับหัวใจตัวเองถูกความเย็นเยียบกัดกินจนแทบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ อยากจะดึงเธอมากอดไว้แนบอกบรรเทาความทุกข์ทรมานในใจของเธอ ใจเขาจะได้สงบลงบ้างเสียที ทว่าเมื่อรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ ก็รีบสะบัดศีรษะไล่ความคิดพรรค์นั้นออกไปให้ไกลทันที เหลือไว้แค่เช็ดน้ำตาให้เธอเท่านี้เป็นพอ
“แต่พี่อิฐของคุณก็ยังอยู่ดีนี่ เห็นได้ชัดว่าเรื่องพรรค์นั้นเหลวไหลทั้งเพ เอาไว้ให้เขาตกงานอีกคนซะก่อนเถอะ...” ฟรานกลั้นใจพูดออกไปด้วยน้ำเสียงคล้ายทีเล่นทีจริง ก่อนจะปล่อยให้ประโยคสุดท้ายที่ยังไม่จบความค้างเอาไว้อย่างนั้น
“แล้วคุณจะทำไม” เพียงน้ำพลอยเงยหน้าขึ้นถามกึ่งเอาเรื่องกึ่งใคร่รู้ ทั้งที่สองข้างแก้มยังคงเปียกชื้นไปด้วยน้ำตา
“ผมก็จะพิสูจน์เป็นรายต่อไปไง” ฟรานตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำพลางเงยหน้าขึ้นสบตาดำขลับคู่นั้นนิ่ง ทำเอาเพียงน้ำพลอยตะลึงงันไปชั่วขณะ ครั้นจะต่อว่าเขาที่เขาเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่น สายตาแน่วแน่ไม่ไหวติงของเขาก็ทำให้เธอไม่กล้าจะเอ่ยปากออกไปแม้แต่ครึ่งคำ จวบจนผ่านไปอึดใจใหญ่เธอค่อยหายใจได้ทั่วท้องขึ้น จึงเริ่มคิดได้ว่าเขาไม่ได้ชอบผู้หญิง ที่พูดออกมาก็คงเพื่อปลอบเธอตามมารยาทเท่านั้น น้ำใจของเขาเธอรับรู้และซาบซึ้งแล้ว เอาเป็นว่าต่อจากนี้เธอจะพยายามมองเขาในแง่ดีขึ้น ขอเพียงเขาไม่ทำลายครอบครัวของเพื่อนเธอ เขาจะไปรักไปชอบกับใคร เธอสาบานจะส่งเสริมเขาทั้งหมด
“เอาวันนี้ให้รอดซะก่อนเถอะ” เพียงน้ำพลอยยิ้มบางๆ พลางตอบอย่างทีเล่นทีจริงกลับไป แล้วเริ่มห้ามเลือดที่ขาให้เขาต่อ ความรู้สึกอัดอั้นที่เก็บกักมาตลอดทั้งวันค่อยๆ เบาบางลงจนเธอรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย อาการศีรษะหนักอึ้งจนรู้สึกวิงเวียนคลื่นไส้ทุเลาลงกว่าครึ่ง กลายเป็นความรู้สึกเหลือเชื่อเสียมากกว่า ที่คนเก็บกดอย่างเธอ จู่ๆ ก็เผยสิ่งที่อยู่ในใจให้เขาฟังจนหมดเปลือก แต่ถึงยังไงก็ได้พูดออกไปแล้ว ขอแค่เขาไม่เอาไปพูดมากอีกต่อหนึ่ง เธอก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองจะเสียหายเพิ่มขึ้นกว่าเดิมสักเท่าไหร่ ยังไงเสียเรื่องพวกนั้นก็ลงหนังสือพิมพ์ให้รู้กันทั้งประเทศไปแล้ว รู้เพิ่มอีกสักคนก็ไม่เห็นจะเป็นไร
เพียงน้ำพลอยค่อยๆ ประคองเขาลุกขึ้นช้าๆ จากนั้นก็ยกแขนข้างหนึ่งของเขามาพาดกับคอตัวเอง พร้อมกับใช้แขนข้างหนึ่งเอื้อมไปประคองร่างหนักๆ ของเขาเอาไว้ การกระทำโดยไม่บอกไม่กล่าวของเธอในชั่ววินาทีนั้น ทำให้ฟรานตะลึงงันไปในชั่วขณะ เพราะไม่คิดว่าเธอจะพยุงเขาออกไปจากที่นี่จริงๆ ถึงแม้เทียบกับน้ำผึ้งพระจันทร์แล้วเธอจะยังสูงกว่ามาก แต่หากพิจารณาถึงความเปราะบางแล้ว เขากลับเห็นว่าเธอเปราะบางกว่ายัยแม่มดมาเฟียนั่นหลายขุมนัก ทว่าเธอกลับไม่พูดพร่ำทำเพลงยกแขนเขาพาดคอแล้วพาเขาออกเดินทันที เขายอมรับว่าน้ำใจของเธอทำเอาเขาประหลาดใจอยู่ไม่น้อย แต่ไอ้ครั้นจะให้บอกเธออย่างเกรงอกเกรงใจว่าเขาเดินเองไหว มันก็ออกจะผิดวิสัยเขาเกินไปแล้ว...
“แค่กๆๆ ผมคงเดินไม่ไหวแล้วล่ะคุณ” ฟรานแสร้งเทน้ำหนักตัวไปหาคนร่างบางทั้งตัว พร้อมกับออกแรงไอหนักๆ อีกสองสามที แล้วเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงเบาหวิว
“ก็...ก็แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ” เพียงน้ำพลอยถามต่อ เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าควรช่วยเขายังไงอีก ตอนแรกเธอคิดว่า แค่ช่วยพยุงเขาออกไปที่นี่ก็นับว่าตัวเองได้ช่วยเขาอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่ถ้าจะต้องให้เธอช่วยมากกว่านี้ เธอเองก็คงจนปัญญาแล้วจริงๆ
“คุณแบกผมทีสิ”
“จะบ้ารึไง!!!” สิ้นเสียงคนเจ็บเพียงน้ำพลอยก็สวนกลับเสียงลั่น เพราะไม่คิดว่าเขาจะคิดคำขอแบบนี้ออกมาได้ เขาตัวโตกว่าเธอตั้งเท่าไหร่กัน เธอจะเอาปัญญาที่ไหนมาแบกเขาออกไป
“ก็ผมเดินไม่ไหวแล้วนี่ หรือคุณ...จะทิ้งผมได้ลงคอ” ฟรานพยายามบีบเสียงให้อ่อนแรงลงเรื่อยๆ ขณะที่เปลือกตาซึ่งเคยเบิกกว้างก็พยายามปรือลงให้คล้ายคนใกล้หมดแรงจะยืนให้มากที่สุด
“อย่ามาตลกนะ ก่อนหน้านี้ฉันเห็นคุณวิ่งคะนองเป็นม้าศึก จะมาอ่อนระโหยโรยแรงอะไรเอาตอนนี้” เพียงน้ำพลอยโต้กลับเสียงแข็ง แม้จะเห็นว่าคนตรงหน้าดูโรยแรงมากจริงๆ ก็เถอะ
“ก็ผมใช้แรงไปจนหมดแล้วอ่ะ นี่ยืนก็จะยืนไม่อยู่แล้วเนี่ย” คนเจ็บแสร้งตอบด้วยเสียงที่เบาหวิวยิ่งกว่าเดิม
“โทรศัพท์ไงคุณ! โทรศัพท์! โทรเรียกเจ้าจันทร์มาช่วยสิ!” เพียงน้ำพลอยพูดพลางกระโดดไปมาอย่างลิงโลด เธออดลอบชื่นชมตัวเองอยู่ในใจไม่ได้ที่คิดอะไรดีๆ ออกได้สักที แม้จะโง่เง่าไปบ้างที่เพิ่งมาคิดออกเอาตอนนี้ แต่ก็ยังถือว่าทันกาลอยู่ ไม่ได้คิดออกตอนแบกเขาขึ้นหลังแล้วจริงๆ
ฟรานล้วงกระเป๋ากางเกงข้างหนึ่ง ท่าทางเหมือนกำลังควานหาโทรศัพท์ของเธอแต่หาไม่เจอ สักพักจึงได้ย้ายไปล้วงที่กระเป๋าอีกข้างเอาโทรศัพท์เครื่องบางของเธอออกมา จากนั้นก็เปิดหน้าจอให้เธอดูเอาเอง เมื่อเห็นว่าขีดสัญญาณที่คาดหวังเอาไว้ไม่ปรากฏขึ้นเลยสักขีด เปลือกตาบางคู่นั้นจึงค่อยๆ ปิดลงช้าๆ คล้ายกับกำลังระงับโทสะในใจอย่างสุดความสามารถ ทว่าเพียงชั่ววินาทีก็เบิกโพลงขึ้นอีกครั้งอย่างมีความหวัง
“แล้วของคุณล่ะ!! โทรศัพท์คุณน่ะ!!”
ฟรานล้วงกระเป๋ากางเกงอีกข้างเอาโทรศัพท์เครื่องบางของตัวเองขึ้นมากดให้เธอดูด้วยตัวเองอีกครั้ง ทว่าคราวนี้อย่าว่าแต่สัญญาณโทรศัพท์ร่อยหร่อเลย แม้แต่แสงจากโทรศัพท์ก็ยังไม่สาดส่องออกมาให้เธอเห็นทางรอดเลยแม้แต่น้อย เปลือกตาบางจึงได้แต่ปิดสนิทลงอีกครั้ง เพื่อใช้ความอดทนและความพยายามเฮือกสุดท้ายอันน้อยนิดที่เหลือติดร่าง ระงับไฟโทสะที่ชักจะโหมกระพือขึ้นเรื่อยๆ
“ผมลืมชาร์ตแบตน่ะ” ฟรานตอบด้วยท่าทางราวกับเด็กอนุบาลสารภาพบาปกับคุณประจำชั้น และแน่นอนว่ามันเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ...
ที่มันเปิดไม่ติด...ก็เพราะเขาปิดเครื่องมันเองนั่นแหละ...
“หรือคุณจะหนีออกไปก่อนก็ได้นะ ผมเข้าใจ ไม่โกรธคุณหรอก อีกสักสองสามคืนผมก็คงดีขึ้นเองนั่นแหละ” เมื่อเห็นหญิงสาวข้างกายยังคงขมวดคิ้วลังเล ฟรานจึงรีบเรียกคะแนนสงสารให้ตัวเองต่อ พูดไปก็ทำท่าก้มหน้าก้มตาสูดน้ำหูน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริงไปพลาง
“ลองดูก็ได้” หญิงสาวพูดคล้ายตัดรำคาญ ทว่าสีหน้าท่าทางกลับเคร่งเครียดเสียจนคนร้องขอได้แต่ทนทรมานกับการกลั้นเสียงหัวเราะ
จบคำเพียงน้ำพลอยก็ยกลำแขนหนาอีกข้างหนึ่งขึ้นพาดบนบ่าอีกข้างของตัวเองด้วย จากนั้นก็ยอบตัวต่ำลงให้คนร่างสูงโถมร่างขึ้นทับเธอทั้งตัว โดยหารู้ไม่ว่าคนเจ็บเจียนตายที่เธอกำลังช่วยเหลือจนสุดกำลังนี้ ยิ้มร่าเสียจนมุมปากเกือบจะแขวนที่ใบหูได้อยู่แล้ว อันที่จริงแล้ว ตอนนี้เขาชักจะกลัวมากกว่าละอายเสียแล้ว เกิดสักวันเธอรู้เข้าว่าเขาก็แค่เหนื่อยเพราะเสียเลือดมากไปหน่อย ไม่ได้เจ็บปางตายถึงขนาดนั้น เธอจะถลกหนังกระชากเอ็นเขากับมือรึเปล่า แต่ยังไงเรื่องราวมันก็เลยเถิดมาขนาดนี้แล้ว เอาไว้ให้วาระสุดท้ายของเขามาถึงจริงๆ ค่อยใช้หลักการลูกผู้ชายกล้าทำกล้ารับก็แล้วกัน ส่วนตอนนี้ก็ใช้หลักการกล้าคิดกล้าทำไปพลางๆ ก่อน
ด้วยน้ำหนักที่ไม่สมดุลจนเกินไป ทำให้ร่างบางที่รับน้ำหนักคนตัวโตทั้งร่างเซไปทั่วทั้งสี่ทิศ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังกัดฟันยกขาก้าวต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ ทว่าก้าวไปได้แค่สามสี่ก้าวทั้งคนแบกและคนถูกแบกก็ล้มระเนระนาดลงไปกองกับพื้น จากที่กัดฟันสู้ทนจึงกลายไม่อาจยั้งใจ ตวาดคนเจ็บที่ร่วงลงมาจากหลังอย่างสุดเสียง
“นี่คุณเป็นคนหรือไดโนเสาร์กันแน่ห้ะ!!! ทำไมถึงได้หนักขนาดนี้เนี่ย!!!!” เพียงน้ำพลอยตวาดพลางยกแขนขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก ผิวหน้าขาวละเอียดเปียกชุ่มเสียจนหยดลงมาบนแพขนตาเธอ พวงแก้มทั้งสองข้างแดงจัดจากการออกแรงอย่างหนัก
“ผมขอโทษคุณด้วยก็แล้วกันที่ตัวหนักขนาดนี้” ฟรานแสร้งก้มหน้าพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดอย่างสุดแสน ขณะที่เสียงหัวเราะลั่นในใจก็ยังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันที่จริงเขาก็ไม่ได้คิดจะให้เธอแบกเขาออกไปจริงๆ หรอก เพราะรู้ดีว่าแผ่นหลังบางๆ นั้นไม่มีทางแบกผู้ชายตัวโตทั้งคนออกจากแนวป่ายาวเกือบสองกิโลได้แน่ แค่เธอแบกเขาจนลอยจากพื้นได้เขาก็ปากอ้าตาค้างมากแล้ว แต่ที่ยังเล่นละครต่ออยู่อย่างนี้ เพราะอยากจะรู้ว่าเธอคิดจะทำยังไงกับเขาต่อไปเท่านั้นเอง
“เออๆ ลองดูอีกทีก็ได้” สิ้นเสียงตอบแบบปัดรำคาญ ฟรานก็ต้องปากอ้าตาค้างมากไปกว่าเดิมเป็นสองเท่า เพราะไม่คิดว่าเธอจะใจสู้ได้ขนาดนี้ แค่วิ่งมาตั้งไกลนี่ก็กินแรงผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนึงไปมากแล้ว นี่ยังต้องแบกเขาจนล้มระเนระนาดไปอีก แต่เธอกลับยังไม่เข็ด คิดจะแบกเขาขึ้นหลังอีกครั้งอย่างไม่ย่อท้อ และยังไม่ทันที่ฟรานจะได้เอ่ยปากยั้งเธอไว้ มือไม้บางราวกับเครื่องแก้วนั้นก็ประคองเข้าลุกขึ้น จัดท่าจัดทางแบกเขาขึ้นหลังอีกครั้ง หากครั้งนี้หนักหนาสาหัสกว่าเดิมมากนัก เพราะเธอไม่ได้ค่อยๆ เดินไปทีละก้าว หากแต่กลั้นใจวิ่งถลาไปข้างอย่างสุดแรงเกิดราวกับกระทิงวิ่งชนผ้าสีแดงโบกสะบัดยังไงยังงั้น แต่ก็ยังนับว่าโชคดีที่ผลออกมาไม่ต่างจากเดิมมากนัก ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องรู้สึกผิดไปชั่วชีวิตแน่ๆ ที่เธอล้มหน้าคว่ำจนเสียโฉม
“แป๊บนึงนะคุณ ขอฉันพักเดี๋ยว” สิ้นเสียงบอกกล่าวปนเสียงหอบหนัก ฟรานก็ได้แต่มองคนตรงหน้าตาเบิกโพลงอย่างเหลือเชื่อ ผ่านไปสองสามวินาทีจึงรีบบังคับตัวเองให้เอ่ยยั้งเธอไว้ ก่อนที่เธอจะจับเขาขึ้นหลังพาเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยยุทธวิธีการโผอีก
“คุณๆ ผมว่าพอเถอะ คุณช่วยประคองผมไปก็พอ”
“แล้วคุณจะเดินไหวเหรอ” เพียงน้ำพลอยเงยหน้าขึ้นถามด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะกลืนน้ำลายระงับอาการหอบแห้งดับกระหายในลำคออีกรอบ
“ผมพอจะมีแรงขึ้นมาบ้างแล้ว น่าจะพอเดินไหวแล้วล่ะ แต่คุณคงต้องช่วยประคอง...” ฟรานไม่ลืมแสร้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงโรยแรง จากนั้นก็เว้นช่วงท้ายประโยคหลังเอาไว้ คล้ายกำลังขอความเห็นใจจากอีกฝ่าย
“ก็ได้” เพียงน้ำพลอยรับคำอย่างว่าง่าย เพราะเห็นว่าเมื่อเทียบกับคำขอก่อนหน้าของเขาแล้ว หนทางนี้นับเป็นสวรรค์น้อยๆ ของเธอเลยทีเดียว
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ ในที่สุดเพียงน้ำพลอยก็หิ้วปีกเพื่อนร่วมชะตากรรมร่างสูงมาถึงถนนใหญ่ แม้จะทุลักทุเลไปบ้าง แต่อย่างน้อยก็ถือว่ารอดตายมาจนได้ จากที่เขาบอก ขอเพียงเธอลากเขาเดินตามถนนนี้ไปทางขวา ตรงไปเรื่อยๆ สักประมาณหนึ่งกิโลก็จะเจอบ้านคน พอถึงตรงนั้นแล้วก็จะหารถกลับคฤหาสน์มังกรมุกได้ ส่วนรถที่จอดทิ้งไว้ที่บ้านหลังนั้น ตอนนี้ยังเสี่ยงเกินกว่าจะกลับไปเอา คงต้องรอให้กลับไปถึงคฤหาสน์มังกรมุกเสียก่อน แล้วค่อยให้เหวินหยางหลงส่งคนมาขับกลับไป
เพียงน้ำพลอยเริ่มสังเกตเห็นว่าสีหน้าเขาไม่ค่อยดีนัก ยิ่งช่วงที่เพิ่งพ้นเขตป่าไม้รกๆ นั่น ริมฝีปากเขาซีดลงอย่างเห็นได้ชัด เปลือกตาคู่นั้นก็ใกล้จะเหนี่ยวรั้งไว้ไม่อยู่เข้าไปทุกทีแล้ว มีเพียงเสียงหอบหายใจหนักๆ เท่านั้นที่ทำให้เธอรู้เขาไม่ได้หล่นหายไปกลางทาง เธอกึ่งพยุงกึ่งลากเขามาจนถึงเขตบ้านคนตามที่เขาพูดจนได้ จากที่เห็นบ้านเรือนบางตา เมื่อเดินไปเรื่อยๆ ก็เริ่มจะเห็นหนาตาขึ้น กระทั่งเห็นร้านค้า ร้านอาหารที่ตั้งอยู่ริมทางในที่สุด เธอคิดว่าตัวเองจำได้ไม่ผิด เส้นทางนี้เป็นเส้นทางก่อนจะเข้าไปในตรอกแคบๆ นั่น คาดว่าคงเป็นเส้นทางที่อ้อมวนถึงกันเป็นวงกลมนั่นเอง
เธอพยุงร่างโชกเลือดของเขาเดินตามฟุตบาทไปเรื่อยๆ ใจหนึ่งก็อยากจะเร่งเดินให้พ้นสายตาอยากรู้อยากเห็นของคนบนท้องถนน แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากฝืนร่างกายเขาจนเกินไป จึงได้แต่ทำเป็นมองไม่เห็นสายตาสอดรู้ของผู้คน บ้างก้มหน้ามองพื้น บ้างเงยหน้ามองฟ้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้น ทว่าการทำอย่างนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นทางเลือกที่ดีอะไร เพราะไม่แน่ว่าพวกที่ไล่ล่าเธอกับเขาอาจจะมาดักรออยู่แถวนี้ก็ได้ พวกมันรู้ว่าเขาถูกยิง ถึงยังไงเสียก็ต้องหาหมอรักษา ซึ่งคลินิกหรือร้านยาที่ใกล้ที่สุด ก็คงไม่พ้นต้องเป็นละแวกนี้
ทันใดนั้นเอง ร่างสูงที่เธอเป็นฝ่ายพยุงมาโดยตลอดก็ลดมือที่พาดกับไหล่ลงโอบเอวเธอ แล้วดันเธอเข้าไปในซอกเล็กๆ ระหว่างร้านอาหารกับบาร์แห่งหนึ่งถลภายในชั่วเสี้ยววินาที ชั่วขณะที่เธอกำลังจะอ้าปากถาม เขาก็ยกนิ้วชี้ขึ้นจรดริมฝีปากอย่างอ่อนแรง ก่อนจะหันหน้าไปทางถนนใหญ่ที่เธอกับเขาหอบหิ้วกันมาเมื่อครู่ เธอถึงได้รู้ว่า ที่แท้สัญชาตญาณเธอก็แม่นเอาการอยู่เหมือนกัน พวกมันมาดักรออยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำสี่ห้าคนเดินสำรวจไปจนทั่วถนน บางคนถึงกับชะโงกหน้าไปตรวจดูใบหน้าคนบนท้องถนนใกล้ๆ อย่างไร้มารยาท ชั่วขณะที่เสื้อแจ็คเก็ตสีดำของชายฉกรรจ์คนหนึ่งเคลื่อนไหวจนเผยให้เห็นด้ามอาวุธดำเมี่ยมที่เหน็บอยู่ข้างเอว เพียงน้ำพลอยก็รู้สึกว่าลำคอของตัวเองแห้งผากขึ้นมายังไงชอบกล ใบหน้าที่ชุ่มเหงื่ออยู่แล้วผุดเหงื่อเย็นๆ ขึ้นมาอีกหลายเม็ดจนอยากจะยกมือขึ้นปาดมันออก ทว่าก็จนใจที่ซอกเล็กๆ ที่ว่านี้ แม้แต่อากาศหายใจก็ยังมีให้เธอไม่เพียงพอด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการขยับเขยื้อนร่างกายสักส่วนเดียว
พื้นที่กว้างเพียงสองฟุตนั้นเพียงพอจะเป็นที่ซ่อนสำหรับคนๆ เดียว แต่เขากับเธอกลับเข้าไปอยู่ถึงสองคน ร่างทั้งสองร่างจึงแนบชิดสนิทกันแทบทุกส่วนอย่างไม่มีทางเลือก ตำแหน่งของริมฝีปากได้รูปตรงกับลูกผมบางๆ ของเธอพอดี ลมหายใจร้อนระอุเป่ารดหน้าผากเธอเสียจนรู้สึกร้อนไปทั่วทั้งร่าง แผงอกแกร่งนั้นกระเพื่อมไหวหนักขึ้นตามห้วงหายใจที่ลึกขึ้นทุกขณะ มือหนาทั้งสองข้างยังคงประคองเอวคอดนั้นไว้ไม่ผละไปไหน ดวงตากลมโตดุจไข่มุกดำจึงค่อยๆ ช้อนขึ้นมองเขา หมายจะส่งสารบอกให้เขาละมือจะเอวเธอสักที ทว่านั่นกลับเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ เพราะไอร้อนที่พวยพุ่งออกมาจากนัยน์ตาดำสนิทคู่นั้นที่เธอเพียรพยายามหลบเลี่ยงมาตลอดทั้งวันได้ปะทุขึ้นมาในแววตาเขาอีกครั้งแล้ว
ชั่วขณะหนึ่ง เธออดสงสัยไม่ได้ว่านัยน์ตาลึกล้ำคู่นั้นมีก้นบึ้งอยู่บ้างรึเปล่า ที่เห็นว่าลึกล้ำนี้มันลึกสักเท่าไหร่กัน แต่ไม่ว่าจะมองเท่าไหร่เธอก็ยังไม่มีวี่แววจะได้คำตอบ ซ้ำยังรู้สึกว่าตัวเองถูกเปลวไฟประหลาดในแววตาเขาลามเลียจนทั่วร่าง หัวใจที่วันนี้เต้นไม่ใคร่เป็นจังหวะนักก็ยิ่งรัวกระหน่ำเสียจนเธอได้ยินมันอย่างชัดเจน ราวกับว่าไออุ่นที่แผ่ซ่านมาจากร่างหนาของเขากับเปลวไฟประหลาดที่พวยพุ่งมาจากสายตาเขา ทำให้มันอารมณ์ดีเสียจนหยุดกระโดดโลดเต้นอย่างออกนอกหน้าไม่ได้
วินาทีที่เธอตัดสินใจว่าจะดึงมือเขาออกจากเอวเสียเองนั้น ลำแขนหนาทั้งสองข้างของเขาก็ย้ายขึ้นไปยันกำแพงที่แผ่นหลังเธอแนบสนิทอยู่ เสียงฝ่ามือปะทะปูนแข็งๆ ดังปั่ก! ทำเอาเธอสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย สภาพการณ์ตอนนี้จึงไม่ต่างจากเขากำลังกักขังเธอไว้ด้วยลำแขนของตัวเอง เธอได้แน่ยืนนิ่งๆ มองเขาด้วยความสับสันอยู่ชั่วขณะ เพราะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ จนกระทั่งเห็นสีหน้าเขียวคล้ำของเขา กับเสียงครวญครางที่สอดประสานกันอย่างเสียวซ่านลอยมาจากด้านหลังกำแพงไม้อัดที่เขาพิงอยู่ สมองอันเชื่องช้าของเธอถึงได้เริ่มประมวลผลอะไรได้บ้าง
กำแพงฝั่งที่เธอพิงอยู่เป็นกำแพงปูนซีเมนต์ ส่วนฝั่งเขาเป็นแค่ไม้อัดธรรมดาๆ แผ่นใหญ่แผ่นหนึ่ง เนื่องจากที่ด้านหลังเขานั้นเป็นบาร์เล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งสร้างห้องน้ำเอาไว้ด้านข้าง คาดว่าเจ้าของคงคิดจะใช้ไม้อัดแผ่นนี้กั้นอาณาเขตร้านตัวเองกับร้านอาหารข้างๆ อย่างง่ายๆ เพราะคงไม่คิดว่าจะมีใครมาพรอดรักกันอย่างดูดดื่มหน้าห้องน้ำ และถึงจะมีจริงก็คงไม่มีใครยัดตัวเองเข้ามาในซอกตรงกลางระหว่างกำแพงปูนกับกำแพงไม้อัดนี้ แต่บังเอิญที่ว่าวันนี้มันมีทั้งสองอย่างที่ว่านั้นพอดี
เพียงน้ำพลอยไม่รู้ว่าตัวเองควรเห็นใจเขา หรือเห็นใจตัวเองดีที่ต้องมาอยู่สถานการณ์ล่อแหลมแบบนี้ ข้างหลังนั่นก็ส่งเสียงครวญครางเสียจนคนอดใจหวิวไม่ได้ ข้างนอกนั่นก็พกปืนเดินหาคนกันให้ทั่ว ส่วนคนตรงหน้านี้ก็เริ่มจะสู้แรงคู่รักทรหดนั่นไม่ไหวเข้าไปทุกที ทุกทีที่สัมผัสรักอันดุเดือดเลือดพล่านนั่นกระแทกกระทั้นกำแพงไม้อัดแสนเปราะบาง ร่างสูงตรงหน้าเธอก็ยิ่งสีหน้าไม่ดีขึ้นเรื่อยๆ ฟันคมๆ ขบกัดริมฝีปากล่างจนห้อเลือด ขณะที่ใบหน้าซีดเผือดนั้นก็ยิ่งเขียวคล้ำผิดปกติขึ้นทุกที
“โอย...” น้ำเสียงไม่เชิงเหนื่อยอ่อน ไม่เชิงข่มกลั้น ทำให้เพียงน้ำพลอยได้แต่เงยหน้ามองเขาตาปริบๆ เพราะไม่รู้ว่าจะช่วยเขายังไงดี ผ้าพันแผลที่เธอใช้ห้ามเลือดให้เขาชั่วคราวก็เริ่มปรากฏสีแดงฉานชัดขึ้นเรื่อยๆ
เธอจึงอนุมานเอาเองว่าที่เขาเปล่งเสียงแบบนั้นออกมา ก็คงเป็นเพราะเจ็บแผลจนใกล้ทนไม่ไหวแล้วนั่นแหละ...
#อยากจะบอกว่า กรรมใดใครก่อค่ะเฮีย ไปหลอกเขาไว้ ตัวเองก็ต้องเผชิญชะตากรรมแบบนี้แหละ 5555
#ปั่นยันสว่างอีกตามเคยย เบลอถึงขีดสุด คำผิดกับสำนวนต่างดาวจะตามมาแก้ทีหลังนะคะ ตอนนี้ไรท์ขอตัวไปนอนก่อนน
#ขอเม้นท์+จิ้มโหวตเป็นกำลังใจให้กันหน่อยน้าา เรื่องนี้เงียบเหงาจริง เล่นเอาคนเขียนใจแป้วเลยยTT
พริมสิตางศุ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 มิ.ย. 2560, 13:05:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ก.ค. 2560, 03:26:19 น.
จำนวนการเข้าชม : 799
<< Chapter 6 : ยียวน | Chapter 8 : กรรมสนอง >> |