ลิขิตรักเก็บตก (พิริตา) เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อมE-Book
‘หวาย’ หรือ ‘วาสุรีย์’ เจ้าของสวนกล้วยไม้วาสุรีย์ ได้ให้การช่วยเหลือชายหนุ่มต่างชาติที่ถูกทำร้ายปางตายคนหนึ่ง
เขาฟื้นขึ้นมาพร้อมกับอาการความจำเสื่อม ด้วยความเห็นใจเธอจึงตัดสินใจรับภาระดูแลเขาต่อจนกว่าจะรู้ว่าเขาเป็นใคร
และในที่สุดชายชาวต่างชาติหน้ารกที่มีชื่อใหม่หมาดว่า ‘บักสีดา’ ก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของสวนกล้วยไม้วาสุรีย์
ท่ามกลางความสงสัยในที่มาที่ไปของเขา ชายหนุ่มกลับเป็นขวัญใจของคนงานด้วยกันได้ไม่ยาก
ระหว่างนั้นสวนกล้วยไม้วาสุรีย์กลับมีภัยถาโถมรอบด้าน ‘บักสีดา’ จึงกลายเป็นเรี่ยวแรงกำลังสำคัญให้กับหญิงสาวและสวนวาสุรีย์โดยไม่รู้ตัว และก็เช่นกัน... ความเป็นมาของเขายังคงเต็มไปด้วยความมืดดำ อีกทั้งไม่รู้ว่า ‘ภัย’ ที่กำลังเกิดขึ้นกับสวนวาสุรีย์นั้นเกี่ยวข้องกับเขาหรือไม่อย่างไร? เขาเป็นใคร? มาจากไหน?
ปริศนาที่เป็นป้ายติดหน้าผากของเขาจะถูกปลดออกไปได้อย่างไร และที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือทั้งคู่จะฝ่าอันตรายจากผู้ไม่หวังดีไปได้หรือไม่? โปรดตามลุ้นเรื่องราวความรักซ่อนเงื่อน ที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ตื่นเต้น ได้ใน ‘ลิขิตรักเก็บตก’ เร็วๆ นี้!!!




Tags: หวาย แวนด้า กล้วยไม้ สายลับ ฝรั่ง ขี้นก บักสีดา FSB KGB รัสเซีย นครนายก เมมโมรี่การ์ด

ตอน: บทที่ 2 หญิงไทยใจนักเลง




##เปิดจองนิยายรัก 2 เรื่อง 2 รส##
‘ลิขิตรักเก็บตก’
มี 2 เล่มจบ ราคาเล่มละ 339 บ.
2 เล่มลดเหลือ 670 บ.
‘ฝากรักไว้ในสายหมอก’
ราคา 369 บ. ลดเหลือ 360 บ.
*พิเศษ!! สั่งซื้อ 3 เล่ม ในราคาเพียง 999 บ. เท่านั้น*
สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้
ทางอินบ็อกเฟส : pirita ametrine
หรือในเพจ ‘พิริตา อเมทริน นักเขียน’
Email: kanplu@windowslive.com
โทร.0626656247 หรือทางไลน์ ID: pirita-ametrine
วันนี้-20 สิงหาคม นี้ เท่านั้น!!




บทที่ 2 หญิงไทยใจนักเลง

“คุณหวายว่าฝรั่งคนนี้ น่าจะเป็นคนประเทศไหนครับ” เจิดตั้งคำถามเมื่อขึ้นมานั่งบนรถกระบะที่เจ้านายสาวเป็นคนขับเสร็จสรรพ และกำลังจะพากันออกจากโรงพยาบาล

“ก็ไม่รู้สิเจิด แม้เขาจะพูดได้แค่ภาษาอังกฤษแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนอังกฤษนี่ เขาอาจจะมาจากที่ไหนสักแห่งที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักก็ได้” หญิงสาวตอบไปตามความคิด

“ถ้าอย่างนั้น... ถ้าเขาจำอะไรไม่ได้ไปตลอดชีวิตไม่แย่เหรอครับเนี่ย” เจิดเปรยขึ้นด้วยสีหน้าครุ่นคิดมากกว่าจะตั้งคำถาม วาสุรีย์ปรายตามองลูกน้องยิ้มๆ

“คงไม่ขนาดนั้นหรอกน่าเจิด บางทีพออาการทางร่างกายหายสนิทความจำเขาอาจจะกลับคืนมาก็ได้ แล้วอีกอย่างฉันว่าทางตำรวจเองก็คงให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่อยู่แล้วล่ะ”

“แต่ผมว่านะคุณหวาย จากสภาพบาดแผลของเขานี่ไม่ใช่เล่นๆ นะครับ คิดว่าคนทำคงกะเอาให้ตาย ผมว่าบางทีเขาอาจจะเป็นคนร้าย เป็นพวกมาเฟีย พวกค้ายาเสพติด หักหลังกันเองแล้วฆ่าปิดปาก ไม่ก็พวกมือปืน นักฆ่า... ”

“พอๆๆ ไม่ต้องเดาแล้วเจิด เดาแต่ละอย่างไม่สร้างสรรค์เอาเสียเลยนะเราน่ะ” คนเป็นเจ้านายรีบเบรก ก่อนที่เจิดจะลากอาชีพน่าหวาดหวั่นมารองรับความน่าจะเป็นในความคิดของตนอีกหลายกระบุงโกย

“อ้าว... ก็มันจริงนี่ครับคุณหวาย เห็นในหนังในละครไหมล่ะครับ” แต่ก็ไม่วายท้วงสีหน้าเครียด วาสุรีย์ส่ายหน้า

“แล้วทำไมไม่เดาบ้างล่ะว่าเขาอาจจะเป็นทหาร ตำรวจ เป็นพลเมืองดีที่ถูกคนร้ายตามล่าอะไรอย่างนั้น” หญิงสาวว่าอย่างเห็นขันมากกว่าจริงจัง

“แหม... นั่นก็เป็นไปได้เหมือนกันครับ แต่บังเอิญผมคิดได้แต่แง่ร้ายนี่ครับ แต่ถ้าเป็นอย่างที่ผมว่าจริงคงแย่นะครับคุณหวาย เพราะเราช่วยคนร้าย” คนคิดได้แต่ในแง่ร้ายไม่วายจะวิตกจริต

“ไม่หรอก ถ้าเขาเป็นคนร้ายจริงก็ดีน่ะสิ ตำรวจจะได้จับตัวง่ายๆ แต่จะเป็นใครก็ช่างเถอะ ไม่เกี่ยวกับเราซักหน่อย เราช่วยเหลือเขาเต็มที่แล้ว ที่เหลือก็แล้วแต่บุญแต่กรรมของเขาเองก็แล้วกัน เราทำหน้าที่ของเราดีที่สุดแล้ว” วาสุรีย์ว่าตามความคิดของตัวเอง โดยไม่เฉลียวใจสักนิดว่าสิ่งที่ตนคิดว่าทำดีที่สุดแล้วนั้น จะมาข้องเกี่ยวกันอีกในภายหลัง

“โอ้โหเฮะ! แหมคุณหวายนี่นอกจากจะสวยแล้วยังน้ำใจงาม ใจกว้าง สมกับเป็น ‘หญิงไทยใจนักเลง’ เสียจริงๆ ผมละเชื่อเลย มิน่า... สารวัตรพันธุ์ถึงมองคุณหวายราวกับจะกลืนกิน” พอเลิกวิตกจริตได้ลูกน้องก็เปลี่ยนโหมดมาแซวเจ้านายสาวหน้าระรื่น

“นี่เจิด พูดให้ดีๆ นะ หรืออยากให้หญิงไทยใจนักเลงเขกกะบาลเอาซักที แล้วตามด้วยหักเงินเดือนยี่สิบเปอร์เซ็นต์” เจ้าของฉายา หญิงไทยใจนักเลง แกล้งทำหน้าดุ

“โอ๊ะ! อย่านะครับ แซวเล่นแค่นี้ ทำเป็นมีน้ำโห ฟังเพลงดีกว่า” เจิดรีบร้อง พลางหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาพร้อมหูฟัง ก่อนจะเปิดเพลงและร้องตามอย่างไม่สนใจใคร วาสุรีย์ปรายตามองลูกน้องคนสนิทแล้วส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม

*-*-*-*-*-*

หลังจากนั้นไม่กี่วัน บ่ายวันหนึ่งขณะที่วาสุรีย์กำลังทำงานอยู่ในออฟฟิศ โทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นเกศรา หญิงสาวจึงรีบกดรับ

“ว่าไงยัยเกศ มีอะไรหรือเปล่า”

“ยัยหวายเกิดเรื่องใหญ่แล้ว ฝรั่งคนนั้นหายตัวไปจากโรงพยาบาล” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกนั้น ส่งผลให้คนฟังพลอยตกอกตกใจไปด้วย

“อะไรนะเกศ! หายไปได้ยังไงกัน” วาสุรีย์ถามด้วยความรวดเร็ว

“ฉันก็ไม่รู้ พวกฉันตามหาจนทั่วแล้วก็ไม่เจอ นี่พึ่งไปดูกล้องวงจรปิดมา เห็นว่าออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว” คำบอกเล่านั้นไม่กระจ่างในความรู้สึกของคนฟังสักนิด

“ออกไปได้ยังไง มีใครมารับหรือเปล่า” หญิงสาวจึงซักต่อ

“ไม่นะ ภาพจากกล้องวงจรปิดเห็นออกไปคนเดียว ตอนนั้น ร.ป.ภ ก็ไม่ได้สังเกตด้วย แจ้งตำรวจแล้วก็ช่วยกันตามตัวไปทั่วทั้งอำเภอก็ยังไม่เจอ ไม่รู้หายไปไหน”

“ตายจริง แล้วนี่จะทำยังไงต่อล่ะ” มาตอนนี้วาสุรีย์อดวิตกตามเพื่อนไม่ได้

“ก็ต้องให้เป็นหน้าที่ของพี่พันธุ์กับพวกตำรวจต่อไปนั่นแหล่ะ ฉันแค่โทร.มาบอกเธอเท่านั้นเอง แค่นี้ก่อนนะ” เกศราบอกด้วยน้ำเสียงร้อนรนไม่หาย

“โอเค.ถ้ามีอะไรคืบหน้าก็โทร.มาบอกฉันด้วยก็แล้วกันนะเกศ”

หลังวางสายจากเพื่อนวาสุรีย์ก็นั่งนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่งด้วยความครุ่นคิด แน่นอนว่าเธอรู้สึกตกใจ แต่ก็คิดไม่ออกว่าผู้ชายคนนั้นจะไปไหน ยิ่งในสภาพอย่างนั้นด้วยแล้ว

ที่น่าหวั่นใจก็คือกลัวกลุ่มคนที่ทำร้ายเขาจะกลับมาลักพาตัวไป แต่ก็นั่นแหล่ะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเธอก็ทำหน้าที่พลเมืองดีอย่างดีที่สุดแล้ว

หญิงสาวบอกกับตัวเอง ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อ

แต่เพียงครู่เดียว เสียงมอเตอร์ไซค์แสบแก้วหูของลูกน้องตัวแสบก็ดังมาจอดหน้าร้าน เสียงนั้นเสียดแทงเข้ามาถึงในห้องทำงานส่วนตัวของวาสุรีย์ และพอเดาได้ว่าถ้าเจิดมาที่นี่คงหนีไม่พ้นมีธุระอะไรสักอย่างกับเธอเป็นแน่

“นี่ เมื่อไหร่จะเปลี่ยนท่อมอเตอร์ไซด์ให้มันเหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาซักทีนะเจิด” หญิงสาวที่เตรียมคำบ่นเงยหน้าขึ้นมาก็แจกจ่ายให้ลูกน้องจอมกวนทันที แต่เจิดกลับรีบยกมือขึ้นสองข้างราวกับปางห้ามมาร

“เดี๋ยวครับคุณหวาย อย่าพึ่งเทศนา ผมมีเรื่องด่วนจะมารายงาน” ว่าพลางหายใจหอบ หน้าตาตื่น

“มีอะไร” คนเป็นเจ้านายรู้สึกแปลกใจกับท่าทีนั้นไม่น้อย

“ฝรั่งคนนั้นครับ ฝรั่งที่เราช่วยคราวก่อน... ”

“ทำไม เจิดเจอเขาเหรอ เขาอยู่ไหน” เจิดยังพูดไม่ทันจบวาสุรีย์ก็สวนกลับทันที พร้อมกับพรวดพราดลุกขึ้น

“เขาอยู่ที่ศาลาข้างบ่อน้ำที่เดิมครับ คุณหวาย”

“อะไรนะ ทำไมมาอยู่ตรงนั้นได้ หรือว่าเขาถูกทำร้ายอีก” หญิงสาวอดคิดไปในทางเลวร้ายไม่ได้

“ปละ...เปล่าครับ เขาไม่ได้เป็นอะไร แต่มาอยู่ที่บ่อเฉยๆ ผมพยายามจะถามเขาแต่เขาพูดไม่รู้เรื่องเลย” เจิดทำหน้าเหนื่อยใจในตอนท้าย

“ตกลงเขาพูดไม่รู้เรื่องหรือเราฟังภาษาเขาไม่ออกกันแน่” นั่นทำให้

วาสุรีย์อดถามพร้อมอมยิ้มไม่ได้ ลูกน้องคนสนิทเกาหัวแกรกๆ ขัดเขิน

“แฮ่ๆ ก็อย่างนั้นแหล่ะครับ ผมก็เลยรีบมาตามคุณหวายเนี่ย”

“ถ้าอย่างนั้นเจิดไปกับฉัน ตอนนี้ทางโรง’บาลกำลังตามหาตัวเขาให้วุ่นเลย” หญิงสาวว่า ก่อนจะหุนหันออกจากห้องทำงาน และรีบกดโทรศัพท์มือถือเพื่อส่งข่าวบอกเกศราไปด้วยพร้อมกัน

*-*-*-*-*-*

เมื่อรถแล่นฝ่าถนนลูกรังไปถึงบ่อน้ำ ที่ศาลามีร่างสูงใหญ่อยู่ในชุดสีฟ้าอ่อนของโรงพยาบาล รอบศีรษะยังมีผ้าก๊อซสีขาวพันอยู่ เขาหันมามองทันทีที่รถจอดตรงลานด้านล่าง

“คุณจำฉันได้ไหมคะ ฉันเคยไปเยี่ยมคุณที่โรงพยาบาลวันนั้นไงคะ”

วาสุรีย์ถามเป็นภาษาอังกฤษทันทีที่เข้าไปใกล้ เขาส่งรอยยิ้มกว้างมาให้ ขณะลุกขึ้นจากที่นั่ง

“จำได้สิ ผมจำได้ ก็คุณเป็นคนช่วยชีวิตผมเอาไว้นี่ครับ” ดวงตาคู่สีน้ำตาลเหลื่อมเขียวเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจราวกับเด็กๆ หญิงสาวจึงส่งยิ้มให้เขาบ้าง

“แล้วนี่คุณมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงกันคะ” ก่อนถาม และผายมือให้เขานั่งลงที่เดิม เธอกับเจิดก็นั่งลงตรงกันข้าม

“แรกๆ ผมก็เดินมา แล้วก็โบกรถต่อ จนมาถึงนี่แหล่ะครับ” เจ้าของร่างสูงใหญ่บอกเล่าด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย เหมือนไม่ได้ทำเรื่องผิดอันใด แต่นั่นกลับทำให้คนฟังหูผึ่ง

“ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าคุณจำได้แล้วเหรอคะ ถึงมาที่นี่ถูก คุณจำทุกอย่างได้แล้วใช่ไหมคะ” เจ้าของดวงหน้างามร้องอย่างตื่นเต้น แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าช้าๆ

“ผมจำได้แค่ที่นี่เท่านั้น นอกนั้นผมจำอะไรไม่ได้เลย ผมก็เลยพยายามกลับมาที่นี่เผื่อว่าจะทำให้ผมจำอะไรได้ เพิ่มเติม แต่... ” เขาผายมืออย่างอ่อนล้า ดวงตาคู่คมนั้นเต็มไปด้วยความสับสน

“ช่างเถอะค่ะ ฉันว่าตอนนี้คุณคงยังไม่หายดี กลับไปโรงพยาบาลก่อนเถอะนะคะ ตอนนี้ทางโน้นกำลังตามหาคุณให้วุ่นเลย เดี๋ยวฉันจะให้คนไปส่ง” หญิงสาวเห็นท่าทางนั้นจึงบอกเขาไปอย่างเห็นใจ ซึ่งชายหนุ่มหน้ารกก็ได้แต่พยักหน้าอย่างว่าง่าย

*-*-*-*-*-*

จากนั้นมาอีกหลายวัน วาสุรีย์ยังใช้ชีวิตในสวนกล้วยไม้ของเธอตามปกติ แต่เช้าวันหนึ่งกลับได้รับโทรศัพท์จากเกศราว่าหนุ่มฝรั่งหน้ารกคนนั้นได้หายไปจากโรงพยาบาลอีกครั้ง ทางตำรวจพากันตามหาไปทั่วก็ยังไม่พบ

ทั้งเกศราและวาสุรีย์ต่างก็ฉุกคิดได้เหมือนกันว่า บางทีชายหนุ่มต่างชาติคนนั้นอาจจะกลับไปยังบ่อน้ำก็เป็นได้ นั่นทำให้วาสุรีย์กับเจิดพากันขึ้นไปดูในทันที

แล้วก็ไม่ผิดจากที่คาดไว้ เพราะเจ้าของร่างสูงใหญ่ราวกับยักษ์ปักหลั่น หน้ารกราวกับมหาโจรที่อยู่ในชุดของโรงพยาบาล เดินเตร่ไปมาบนสันของบ่อน้ำอย่างสบายอกสบายใจ นั่นทำให้วาสุรีย์ต้องถอนหายใจโล่งอก และเขาก็หันมายิ้มให้เธอกับเจิดทันทีที่คนทั้งคู่ไปถึง

“ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่อีกล่ะคะ รู้ไหมคะ ทุกครั้งที่คุณหายตัวไปจากโรงพยาบาลทุกคนตามหาคุณให้วุ่นวายไปหมด” หญิงสาวอดบ่นไม่ได้เมื่อเข้าไปใกล้ “อย่าบอกนะว่าคุณจำที่นี่ได้ แล้วก็โบกรถมาเหมือนคราวก่อน” คนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครารุงรังยิ้มกว้าง อวดฟันขาวสวยเป็นระเบียบอย่างไม่ทุกข์ร้อน เป็นการยอมรับอยู่ในที

“ผมว่าสงสัยมันจะจำที่นี่ฝังใจนะคุณหวาย หรือว่าจิตมันตกที่นี่ก็เลยไม่ยอมไปผุดไปเกิด” เจิดว่าเข้าไปนั่น

“เขายังไม่ตายนะเจิด อย่าพูดเป็นเล่นสิ” วาสุรีย์ทำเสียงและหน้าดุลูกน้อง

“แหม... ล้อเล่นหน่อยเดียวทำเป็นดุ แล้วนี่เราจะเอาไงดีครับคุณหวาย ดูทรงแล้วผมว่าเอาไปส่งเผลอก็ต้องกลับมาอีกแน่ๆ ” นั่นเป็นเรื่องที่หญิงสาวเองก็หวั่นใจอยู่เหมือนกัน

“เรื่องนั้นไว้ก่อนเถอะ เดี๋ยวโทร.หาพี่พันธุ์กับเกศก่อนก็แล้วกัน” วาสุรีย์ว่า ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา

“เดี๋ยวครับ คุณ... ” คนตัวโตรีบร้องขัดในทันที หญิงสาวหันมามองหน้าเขาฉงน “คือ... อย่าส่งตัวผมกลับไปโรงพยาบาลเลยนะครับ ตอนนี้แผลผมหายดีแล้วไม่จำเป็นต้องอยู่โรงพยาบาลอีก แล้วคุณพยาบาลก็บอกว่าทางตำรวจจะส่งผมไปอยู่ที่ไหนสักแห่ง ผมไม่อยากไป ผมไม่รู้จักใคร ไม่รู้ว่าไปแล้วจะถูกทำร้ายอีกหรือเปล่า ผมกลัว” น้ำเสียงท่าทางของเขาดูทั้งสับสน หวาดหวั่น อย่างไม่น่าเชื่อว่าจะได้เห็นจากคนตัวโตเป็นยักษ์ปักหลั่นเช่นนี้

“ถ้าคุณไม่ไป คุณจะอยู่ที่ไหนละคะ ฉันคิดว่าทางตำรวจคงหาที่อยู่ที่ดีที่สุดให้คุณอยู่แล้วล่ะค่ะ อย่ากลัวเลยนะคะ” วาสุรีย์พยายามปลอบ แต่เขาส่ายหน้าหวือปฏิเสธ

“ไม่! ยังไงผมก็ไม่ไปเด็ดขาด ถ้าตำรวจเก่งจริงทำไมตอนนี้ยังหาตัวคนที่ทำร้ายผมไม่ได้ล่ะครับ แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นใครอีกด้วย บางทีคนที่ทำร้ายผมอาจจะดักรออยู่ที่ไหนสักแห่งก็ได้” คำพูดของเขาและท่าทีหวาดหวั่นออกนอกหน้ายิ่งกว่าเดิมนั้น ทำให้หญิงสาวนิ่งคิด แน่นอนว่าเธอเห็นด้วยเต็มร้อย นั่นก็เป็นสิ่งที่เธอกับคนอื่นๆ กังวลอยู่เหมือนกัน

“งั้น... เอาอย่างนี้ดีไหมคะ ฉันจะช่วยตำรวจหาที่อยู่ที่ดีที่สุด ปลอดภัยที่สุดให้คุณ ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่ยอมให้คุณไปอยู่เด็ดขาด” วาสุรีย์ปลอบอีกครั้ง

แต่ก็เต็มไปด้วยความจริงจังจริงใจ เพราะอย่างน้อยเธอเป็นคนช่วยเขาก็น่าจะออกความคิดเห็นในเรื่องนี้ได้บ้าง และดูเหมือนเจ้าตัวเองก็ไว้วางใจที่จะพูดเรื่องนี้กับเธอเป็นอย่างมากด้วยเช่นกัน ทว่า... คนตัวโตกลับสั่นศีรษะพรืดอีกครั้ง

“ผมไม่อยากไปที่อื่น ให้ผมอาศัยอยู่กับพวกคุณได้ไหมครับ นอกจากพวกคุณกับที่นี่แล้ว ผมก็ไม่รู้สึกเป็นมิตรกับใครหรือที่ไหนเลย ได้โปรด... นึกว่าสงสารผมเถอะ” ว่าพลางทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าตรงหน้าของวาสุรีย์ ดวงตาฉายแววอ้อนวอน

“ว้าย!! อย่าทำอย่างนี้ค่ะ ลุกขึ้นเร็วเข้า” หญิงสาวรีบรั้งแขนเขาขึ้น แต่ร่างใหญ่โตนั้นกลับไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ยังคงปักหลักนิ่ง ส่งสายตาปริบๆ น่าสงสารมาที่เธอ เจิดอ้าปากค้างไปครู่หนึ่งกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า

“หา... คุณหวาย ไอ้หรั่งนี่กำลังขอคุณหวายแต่งงานเหรอครับ” เพราะความไม่รู้ภาษาที่สองหนุ่มสาวใช้สื่อสารกันจึงร้องขึ้นด้วยความตกใจ

“บ้าเหรอเจิด อีตานี่ขออาศัยอยู่กับเราต่างหากเล่า” หญิงสาวหันมาแหวใส่ลูกน้อง

“อ้าว... งั้นหรอกเหรอครับ แหม... ก็ใครจะไปรู้ ผมเห็นท่าทางแบบนี้ แล้วยังทำตาวิ้งๆ แบบนี้ ในละครมีแต่บทพระเอกขอนางเอกแต่งงานนี่นา” เจิดเกาหัวอ้อมแอ้มตอบ วาสุรีย์ไม่เสียเวลาต่อความ กลับหันมาทางคนตัวโตที่ยังไม่ยอมลุกขึ้นง่ายๆ

“ไม่ได้หรอกนะคะ เราไม่สามารถดูแลคนป่วยได้ อีกอย่างเราคงไม่สามารถดูแลเรื่องความปลอดภัยของคุณได้เหมือนกัน”

“บ้านคุณ หรือที่นี่มีคนร้ายอย่างนั้นหรือ” ชายหนุ่มถามหน้าซื่อ ดวงตาฉายแววประหลาดใจ

“เปล่าค่ะ ไม่ใช่ แต่... ” หญิงสาวพยายามปฏิเสธ ขณะสมองก็กำลังหาคำมาอธิบายอย่างลำบากยากเย็น

“ถ้าอย่างนั้นได้โปรดให้ผมอาศัยอยู่ด้วยเถอะนะครับ พลีส... ” คราวนี้คนตัวโตหน้ารกลงทุนกอดขาของวาสุรีย์พร้อมอ้อนวอน หญิงสาวตกใจกับการกระทำของเขาจนทำอะไรไม่ถูกไปครู่หนึ่ง แต่ทว่า...

“อยู่นี่เอง เกิดอะไรขึ้นเหรอหวาย” เสียงของสารวัตรทวิพันธุ์ ที่มากับลูกน้องและเกศราดังขึ้นแทรก

“ตายจริง ทำไมคุณไปนั่งอย่างนั้นคะ หวายเกิดอะไรขึ้น” เกศราถามอย่างงงงัน เมื่อเห็นภาพที่คนตัวโตกอดขาเพื่อนสาว และก็ปล่อยทันทีเมื่อเห็นกลุ่มคนที่เข้ามาใหม่

“คือ... ไอ้คุณหรั่งนี่สิคุณเกศ สารวัตร ขออยู่กับเราซะงั้น คุณหวายกับผมบอกว่าไม่ได้ๆ ก็ไม่ฟัง ลงทุนคุกเข่าอ้อนวอนอย่างที่เห็นนี่แหล่ะครับ” เจิดเล่า อีกทั้งไม่วายเอาตัวเองเข้าไปมีส่วนร่วม ให้คนมาใหม่เห็นว่าตนก็มีส่วนร่วมและฟังภาษาฝรั่งตัวโตนี่รู้เรื่อง แต่ตอนนี้ไม่มีใครสนใจประเด็นนั้น

“ไม่ได้นะครับคุณ คุณจะมาอยู่ที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด ผมกำลังหาที่ปลอดภัยสำหรับคุณอยู่” พ.ต.ต ทวิพันธุ์ รีบบอก

“ใช่ค่ะ ตอนนี้กลับไปพักที่โรงพยาบาลต่อเถอะนะคะ อีกไม่กี่วันก็น่าจะย้ายไปอยู่ในที่ปลอดภัยได้ และอาจจะรู้ที่มาที่ไปของคุณเร็วๆ นี้ก็ได้นะคะ” พยาบาลเกศราเองก็รีบเสริมทันทีเช่นกัน

“ผมจะไม่ไปไหนเด็ดขาด! ผมอยากอยู่ที่นี่ ถ้าที่นี่ปลอดภัยจริงก็ไม่ต้องส่งผมไปที่ไหนอีกแล้วล่ะครับ ผมสบายใจที่ได้อยู่ที่นี่ ผมคิดว่าบางทีการได้ขึ้นมาที่นี่บ่อยๆ อาจจะทำให้ผมจำอะไรได้บ้างก็ได้” คนตัวโตเล่นบทดื้อแพ่งเข้าให้

ทำเอาคนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็สบตากันไปมา ราวกับปรึกษากันทางจิตว่าจะทำอย่างไรดี และก็เป็นสุภาพบุรุษผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างสารวัตรทวิพันธุ์ที่ต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง

“ถึงยังไงคุณก็อยู่ที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด เอาละหมู่ หมวด เอาตัวไปได้แล้ว” พอลูกน้องติดตามสารวัตรหนุ่มกรูกันเข้ามา คนตัวโตรีบถลันเข้ากอดขาของ

วาสุรีย์ไว้แน่นอีกครั้ง

“ไม่นะ อย่า... ผมไม่ไป” คราวนี้ลงทุนใช้ใบหน้ารกๆ แนบกับขาของหญิงสาว

ราวกับว่าถ้าตนต้องไป ขาข้างนี้ของหญิงสาวก็ต้องไปด้วย ลูกน้องของสารวัตรทวิพันธ์เข้ามาดึงก็ไม่ยอมปล่อย เกิดการยื้อยุดฉุดกระชากกันขึ้น จนคนกลางตัวโยกไปเยกมา

“พอๆๆ เถอะค่ะ พี่พันธุ์คะ ตามใจเขาเถอะนะคะ” หญิงสาวอดรนทนไม่ได้ต้องร้องออกมาในที่สุด

“อะไรนะ ยัยหวาย” เกศรามองเพื่อนราวกับไม่เชื่อหูตัวเอง แน่นอนเรื่องความมีน้ำใจของเพื่อนนั้นพยาบาลสาวไม่กังขา แต่ว่าเรื่องนี้มันเกินจะเข้าใจได้

“หมายความว่ายังไงหวาย พี่ไม่เข้าใจ” สารวัตรหนุ่มเองก็อึ้งกับสิ่งที่หญิงสาวพูดออกมาเช่นกัน ก่อนจะบอกลูกน้องให้รามือ วาสุรีย์บอกให้คนตัวโตปล่อยมือจากขาของตนก่อน เขายอมทำตาม แต่ยังไม่ยอมลุกง่ายๆ

“คือ... ในฐานะที่หวายเป็นคนช่วยเขา ขอหวายมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องนี้บ้างสักนิดเถอะนะคะ” หญิงสาวเริ่มเจรจาอย่างจริงจัง เพราะยิ่งปล่อยเรื่องยืดเยื้อคนที่ต้องอยู่ไม่เป็นสุขก็คือเธอ ที่สำคัญดูเหมือนคนตัวโตหน้ารกนี่จะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เสียด้วย “ในเมื่อเขาอยากอยู่ที่นี่ ให้เขาอยู่ก็ได้ค่ะ” ในเมื่อต้องตัดสินใจอะไรสักอย่าง เธอก็อยากให้การตัดสินใจครั้งนี้ดีต่อทุกฝ่าย

“จะบ้าหรือไงยัยหวาย เขาเป็นใครก็ไม่รู้จะให้มาอยู่กับเธอได้ยังไง” แต่ทว่าเพื่อนรักกลับท้วงเสียงปรี๊ด วาสุรีย์จึงถอนหายใจก่อนอธิบาย

“ไม่ได้อยู่กับฉัน แต่อยู่ในสวนวาสุรีย์ที่มีคนงานเยอะแยะต่างหาก เราดูแลคนงานตั้งมากมายยังได้ นี่แค่คนๆ เดียวคงไม่เป็นไรหรอก แล้วอีกอย่างสวนวาสุรีย์ก็ไม่ได้มีอันตรายอะไร” หญิงสาวหันมาทางสารวัตรทวิพันธุ์ราวกับต้องการแรงสนับสนุน แต่เขากลับมีสีหน้ายุ่งยากใจ และมากกว่านั้นคือไม่พอใจอยู่เนืองๆ

“พี่ไม่เห็นด้วยเลยนะหวาย” สารวัตรหนุ่มโพล่งขึ้นอย่างที่ใจคิด ผู้ชายคนนี้เป็นใคร มาจากไหน? มีเรื่องราวดีร้ายติดตัวยังไงก็ยังไม่รู้ แล้วอย่างนี้เขาจะให้หญิงสาวที่หมายใจมาเสี่ยงได้ยังไงกัน

“โธ่... พี่พันธุ์คะ อย่ากังวลเลยค่ะ เขาอยู่ที่นี่ไม่นานอยู่แล้วนี่คะ พอได้เบาะแสอะไรเกี่ยวกับตัวเขาก็ต้องไปอยู่ดี บางทีอยู่ที่นี่อาจจะสบายใจและจำอะไรได้บ้างก็ได้นะคะ เพราะเขาบอกว่าที่นี่เป็นที่เดียวที่เขารู้สึกคุ้นเคยและจำได้ เอาอย่างที่หวายบอกเถอะค่ะ เขาอยู่ที่นี่พี่พันธุ์สามารถมาดูเมื่อไหร่ก็ได้นะคะ มีเรื่องอะไรก็ถึงพี่พันธุ์อย่างรวดเร็ว แล้วก็ไม่ต้องวุ่นวายหาที่พักใหม่ให้เขาอีกด้วย ถ้าพี่พันธุ์ห่วงก็ให้คนมาคอยดูเป็นระยะก็ได้นะคะ หวายรับรองว่ามีอะไรจะแจ้งให้พี่พันธุ์ทราบทันทีเลยค่ะ” วาสุรีย์พยายามชักแม่น้ำทั้งห้า และตั้งใจว่าหากยังไม่สำเร็จเธอก็พร้อมจะชักมาอีกเป็นสิบๆ สาย ให้ตำรวจหนุ่มยอมจนได้ พ.ต.ต.ทวิพันธ์นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง

แน่นอนว่าเขาไม่มีวันเห็นด้วย แต่สิ่งที่วาสุรีย์พยายามหว่านล้อมนั้นก็พอมีเหตุผล การที่ฝรั่งตัวใหญ่จำที่นี่ได้มันอาจเป็นเรื่องของจิตใต้สำนึกที่มีต่อที่นี่ก็ได้ อีกอย่างท่าทางก็ดูไม่มีอะไรเคลือบแฝงและน่าสงสัย นอกจากคนความจำเสื่อม จำอะไรไม่ได้ คิดนึกยังไงก็แสดงออกอย่างนั้น

ทวิพันธุ์มั่นใจว่าชายนิรนามคนนี้คงอยู่ที่นี่ไม่นานอย่างที่วาสุรีย์ว่า เพราะหากชายคนนี้จำอะไรไม่ได้ไปตลอดชีวิต ก็เป็นตัวเขาเองนี่แหล่ะจะพยายามหาทางสืบค้นหาที่มาที่ไปและส่งตัวกลับไปให้ได้ ที่สำคัญการที่ชายคนนี้อยู่ที่นี่ เขาคงสามารถเข้าออกสวนวาสุรีย์ได้ทุกเวลาที่ต้องการอย่างไม่ขัดเขิน

เพราะแม้ใครต่อใครจะรู้ว่าเขาสนใจในตัวของเจ้าของสวนวาสุรีย์มากแค่ไหน แต่ท่าทีที่ไม่ตอบรับของเธอก็ทำให้เขาพยายามรักษาระยะห่างกับ

วาสุรีย์เอาไว้ ด้วยกลัวจะทำให้ห่างจากเธอไปอีก

ถ้ายอมตามที่ชายความจำเสื่อมคนนี้ต้องการ คงมีเหตุผลหนักแน่นพอที่จะเข้านอกออกในสวนวาสุรีย์ได้ และบางทีหญิงสาวอาจจะใจอ่อนกับเขาในสักวันก็ได้ นั่นทำให้ พ.ต.ต.ทวิพันธุ์ตัดสินใจ

“เฮ้อ... ก็ได้ พี่เห็นแก่หวายหรอกนะ เอาเป็นว่าพี่จะระบุไปว่าสวน

วาสุรีย์เป็นที่พักพิงที่ปลอดภัยสำหรับเขาก็แล้วกัน พี่จะพยายามหาที่มาที่ไปของเขาให้เร็วที่สุด แล้วหวายก็อย่าลืมที่บอกล่ะ มีอะไรให้แจ้งพี่ได้ตลอดเวลา และทันทีด้วย”

ถ้อยคำของตำรวจหนุ่มทำให้เจ้าของดวงหน้างามยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ พลางหันไปบอกคนตัวโตที่มองอย่างเว้าวอน แล้วเขาก็ยิ้มกว้างอวดฟันขาวเป็นระเบียบทันทีเมื่อได้รับคำตอบที่ต้องการ


**ลิงค์ E-Book 'ลิขิตรักเก็บตก' ค่าาา**
#Meb
เล่ม 1
https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=
YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiNzE
yOTE2IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M
เล่ม 2
https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=Y
ToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiNzEyO
TE2IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiNTg2MjUiO30

#ookbee
เล่ม 1
http://www.ookbee.com/shop/BookInfo?pid=274409f7-13d0-4632-811d-bf78ed5a4645&affiliateCode=1168c15837084f8bbb5cf6fde0ca707d
เล่ม2
http://www.ookbee.com/shop/BookInfo?pid=897b2657-9548-401d-bb1b-76bf11bd35ef&affiliateCode=1168c15837084f8bbb5cf6fde0ca707d

#hytexts
https://www.hytexts.com/ebook/B012230-ลิขิตรักเก็บตก (เล่ม 1)
https://www.hytexts.com/ebook/B012231-ลิขิตรักเก็บตก (เล่ม 2)

#นายอินทร์ปัณณ์
เล่ม 1
https://naiin.com/product/detail/215446/
เล่ม 2
https://naiin.com/product/detail/215447/



กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 มิ.ย. 2560, 12:58:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 มิ.ย. 2560, 12:59:04 น.

จำนวนการเข้าชม : 838





<< บทที่ 1 สวนกล้วยไม้   ​บทที่ 3 คนหน้าแปลกหรือคนแปลกหน้า >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account