ปิ่นใจกะรัตพลอย (ชุด ลูกไม้ลายหงส์)
แม้จะต้องปะทะลมฝนรุนแรงขนาดไหน เธอก็ยังนับเป็นหงส์เหินที่งามสง่า แต่ใครจะคิดว่าสักวันนึง...ลมปากคนจะหักปีกหงส์ได้จริงๆ...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: Chapter 8 : กรรมสนอง
‘ทุกคนมีสามชีวิต ชีวิตในที่สาธารณะ ชีวิตในโลกส่วนตัว และชีวิตลับ’
-กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ นักเขียนชาวโคลัมเบีย-
นัยน์ตาดำขลับดุจหมาป่าหิวกระหายสุดจะหยั่งรู้ได้ถึงความลึกล้ำ ความอดทนที่ผูกติดกับสามัญสำนึกเริ่มคืบคลานเข้าใกล้จุดสิ้นสุดขึ้นทุกที ความปรารถนาร้อนระอุที่ถูกปลุกปั่นพวยพุ่งอยู่ในร่างอย่างเดือดดาลแต่ไร้ทางปลดปล่อย ได้แต่เผาผลาญฟางเส้นบางไปเรื่อยๆ จนใกล้ขาดอยู่รอมร่อ ขณะที่ลำแขนหนาซึ่งยันกำแพงฝั่งตรงข้ามมาระยะหนึ่งก็เริ่มจะทรยศต่อความอดทนอันน้อยนิดของเขาเข้าแล้ว ยิ่งเขาตั้งใจจะยันเอาไว้เท่าไหร่ มันก็ยิ่งอ่อนแรงลงเรื่อยๆ เท่านั้น
“คุณยังไหวรึเปล่า” เพียงน้ำพลอยกระซิบถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ดวงตากลมคู่นั้นสั่นระริกเล็กน้อย ฉายแววความเป็นห่วงออกมาอย่างไม่ปิดบัง มือบางราวเครื่องแก้วใสเอื้อมขึ้นมาประคองลำแขนหนาโชกเลือดซึ่งอยู่ห่างจากข้างแก้มเธอไม่ถึงหนึ่งนิ้ว ทว่าเพียงแค่มือบางๆ นั้นยกขึ้นสัมผัส เจ้าของร่างเปื้อนเลือดคลุกฝุ่นก็สะท้านเฮือกไปทั้งตัว ทำเอาเธอเผลอนึกไปว่าตัวเองทำเขาเจ็บจนสะดุ้ง นัยน์ตาดำขลับจึงหม่นแสงลงด้วยความใจเสีย ชวนให้คนมองอดปวดแปลบอยู่ในอกไม่ได้
ทั้งที่เห็นท่าทีใจเสียของเธออยู่เต็มสองตา เขากลับทำได้แค่หลับตาข่มกลั้นอารมณ์พลุ่งพล่านของตัวเองเอาไว้ แล้วกู่ก้องร้องตะโกนเหน็บแนมหญิงสาวตรงหน้าอยู่ในใจ
ไหนว่าเคยคบหาผู้ชายมาแล้วถึงสองคน...ทำไมถึงสมองทึบได้ขนาดนี้นะ!
ช่วงเวลาแบบนี้ เธอสมควรจะเข้ามาใกล้เขาหรือไงกัน!
“อ๊ะ...อ๊าาา!!”
ฟรานไม่ตอบคำ แต่ปล่อยให้เสียงครวญครางของคู่รักแสนเร่าร้อนหลังกำแพงไม้อัดกลืนกินสติไปเรื่อยๆ ส่วนตัวเองก็ตั้งใจใช้แรงที่เหลือติดตัวอยู่ยันผนังไว้จนสุดความสามารถ เขาจะเสียสมาธิจนเผลอผ่อนแรงไม่ได้ ไม่อย่างนั้นร่างทั้งร่างของเขาเป็นได้นาบติดกับเธอตั้งแต่ช่วงบนจดช่วงล่าง ความปรารถนาที่ระงับเอาไว้มาโดยตลอดคงได้ระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ และสุดท้ายคงไม่พ้นได้ฉีกทึ้งหน้ากากสุภาพบุรุษ แล้วกางกรงเล็บขย้ำเหยื่อตรงหน้าไม่ต่างจากหมาป่าหิวโซแน่
เขาพยายามรวบรวมสติที่เหลืออยู่ควานหาทางรอดในสมองออกมาสักทาง ด้วยรู้ดีว่าตัวเองไม่ใช่คนมีความอดทนมากนัก แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่คนเลวทรามต่ำช้าถึงขั้นจะข่มเหงน้ำใจผู้หญิง เพราะฉะนั้นทางที่ดีที่สุดก็คือรีบพาเธอออกไปจากสถานการณ์ล่อแหลมตรงนี้เสีย ทว่าพอคิดมาถึงชั้นนี้ เขากลับไม่มีหนทางที่พอจะได้คุ้มเสียอยู่บ้างเลย ชายฉกรรจ์จากกองกำลังติดอาวุธสมควรตายนั่นก็ยังเดินลาดตระเวนเพ่นพ่านเต็มถนนไปหมด จะลากออกไปทั้งอย่างนี้ก็คงมีแต่พากันไปตายเท่านั้น ที่สำคัญ ตัวเขาในตอนนี้ก็เสียเลือดไปมาก อ่อนแรงลงกว่าเมื่อสองชั่วโมงก่อนหน้าไม่น้อย หากเขาเกิดสิ้นบุญเก่าตกตายขึ้นมา หญิงสาวร่างบางตรงหน้าก็คงไม่พ้นต้องไปเป็นเพื่อนเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้น เขาต้องหาสักทางส่งเธอออกไปจากตรงนี้ก่อน ส่วนที่เหลือก็เห็นจะต้องพึ่งโชคของเขาแล้ว...
“ฟังนะ เราหลบอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน อีกเดี๋ยวพวกมันต้องเจอเราแน่ แต่ถึงไม่เจอผมก็...” ฟรานเกือบพลั้งเผลอบอกเหตุผลลับสุดยอดของตัวเองให้เธอฟังในวินาทีสุดท้ายนั้นไปแล้ว ว่าทำไมเขาถึงยอมให้เธอหลบอยู่ที่นี่กับเขานานกว่านี้ไม่ได้
เขาอยากจะกัดลิ้นตัวเองให้ตายเสียตรงนั้นจริงๆ เรื่องอื่นมีไม่พูด จะพูดถึงเรื่องแบบนั้นขึ้นมาทำไม... หรือเขาเสียเลือดมากจนสติเริ่มเลื่อนเปื้อนไปแล้ว ถึงได้พูดทุกสิ่งที่คิดออกมาราวกับน้ำไหล ไร้ซึ่งความยับยั้งชั่งใจทั้งปวงอย่างกับคนฟั่นเฟือนมากตัณหา
แต่จะโทษเขาคนเดียวก็ออกจะผลักความรับผิดชอบกันเกินไปแล้ว ท่ามกลางสติที่ใกล้จะหลุดลอย สถานการณ์ทางกายภาพที่จวนจะแนบชิดติดกันไปทั่วทั้งร่าง ลมหายใจร้อนระอุเผาผลาญความยับยั้งชั่งใจไปกว่าครึ่ง เสียงครวญครางเร่าร้อนพร้อมแรงกระแทกกระทั้นจากด้านหลังที่เพิ่มมากขึ้นทุกที กับสัมผัสนุ่มละมุนที่เธอเพียรพยายามจะเอื้อมมาหาเขาให้ได้อีก เขายังพอพูดจารู้เรื่องได้ขนาดนี้ ก็นับว่าเป็นสุภาพบุรุษจนเหลือจะกล่าวแล้ว
“ก็อะไร” เมื่อเห็นว่าเขาเอาแต่มองแล้วทำท่าอ้ำๆ อึ้งๆ เพียงน้ำพลอยจึงเอ่ยถามต่อขึ้นทันที จะว่าไปแล้วเธอก็อดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ในชั่วขณะ ว่าเขาคิดอะไรอยู่ในใจกันแน่ ถึงได้เปลี่ยนสีหน้าทุกวินาทีขนาดนี้ เดี๋ยวหน้าเขียว เดี๋ยวหน้าซีด เดี๋ยวหน้าแดง ไปๆ มาก็กัดริมฝีปากตัวเองเสียอย่างกับไม่กลัวว่าเลือดจะไหลซิบออกมา
“ก็เสียเลือดมากจนเริ่มจะทนไม่ไหวแล้วไง ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปมีแต่จะกอดคอกันตายเท่านั้น” ฟรานพ่นความจริงกึ่งหนึ่งออกจากปากไปอย่างเป็นธรรมชาติ ไร้วี่แววของคนเก็บงำความลับโดยสิ้นเชิง
“แล้วจะเอายังไง” เพียงน้ำพลอยเอ่ยถามต่อด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เห็นได้ชัดว่าถูกเขาเบี่ยงเบนความสนใจได้สำเร็จ
“เราคงต้องแยกกันหนี ผมจะล่อพวกมันไปทางอื่น คุณรอจนแน่ใจว่าพวกมันไปหมดแล้วค่อยหนีออกไป อ้อ แล้วจะดีมากถ้าคุณหนีไปให้ไกลสักหน่อย แล้วค่อยโทรเรียกเพื่อนคุณมารับ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นไม่ต้องย้อนกลับมา โทรศัพท์คุณเริ่มแบตอ่อนแล้ว นี่โทรศัพท์ผม นี่กระเป๋าตังค์ผม แล้วนี่ปืน เผื่อจำเป็น” ฟรานเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ริมฝีปากที่เคยมีสีระเรื่อซีดเซียวจนใกล้ม่วงคล้ำขึ้นทุกที ทว่าก็ยังไม่วายยัดข้าวของใส่มือเธอทีละอย่างสองอย่าง
“แล้วคุณจะไหวเหรอ...ดะ...เดี๋ยว คุณบอกว่าโทรศัพท์คุณแบตหมดไม่ใช่เหรอ” เพียงน้ำพลอยเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงสั่นไหว ทว่าก็จนใจที่สมองเธอเกิดรับรู้ได้ถึงกลิ่นตุๆ ขึ้นมากะทันหัน จึงอดไม่ได้ที่จะโพล่งออกไปในทันที
“โธ่คุณ!! เอาทีละเรื่องได้มั้ย” ฟรานสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกจับพิรุธได้ ก่อนจะแสร้งทำท่าโมโหฮึดฮัดกลบเกลื่อน
บางทีนี่อาจถือเป็นความโชคดีเล็กๆ ในความโชคร้ายของเขา ที่ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ความตายอยู่ใกล้ยิ่งกว่าปลายจมูก ไม่มีเวลาให้เธอมาพิพากษาโทษเขา เขาจึงถือว่าเลื่อนเวลาชำระโทษไปได้อีกสักหน่อย
“ก็...” เพียงน้ำพลอยเริ่มสับสนจนไม่รู้ว่าควรเอ่ยอะไรออกไปก่อนดี แม้จะรู้ดีว่าเขาพูดถูก ยังไงเสียลำดับความสำคัญเรื่องความเป็นความตายก็ต้องมาก่อนเป็นอันดับแรกอยู่แล้ว ส่วนเรื่องอื่นย่อมตกเป็นเรื่องรองไปโดยปริยาย แต่จะให้เธอทำยังไง ในเมื่อเธอดันรู้เข้าแล้วว่าเขาโกหก จะให้เธอห้ามสมองตัวเองไม่ให้พาลคิดไปถึงเรื่องอื่นๆ ที่เขาอาจจะหลอกเธอไว้อีกก็คงไม่ง่ายนัก ซ้ำเดิมทีเธอก็ไม่ใช่คนว่าง่ายอยู่แล้ว จะให้เปลี่ยนมาเป็นคนหัวอ่อนกับคนที่หลอกลวงตัวเองไว้ภายในเสี้ยวนาที... มันยิ่งไม่ง่ายเข้าไปใหญ่…
“จะมาก็อะไรล่ะ เข้าไป! เขยิบเข้าไป!” ฟรานไม่พูดเปล่า แต่ออกแรงดันหญิงสาวร่างบางเข้าไปในตรอกให้ลึกขึ้นกว่าเดิม จากนั้นก็เตรียมพุ่งตัวออกไปจากตรอกแคบๆ ชวนอึดอัดนั้นทันที
ในชั่ววินาทีที่เพียงน้ำพลอยคิดจะวิ่งตามไปคว้าตัวเขาไว้นั้นเอง ร่างสูงโปร่งโชกเลือดก็วิ่งฉิวออกไปแล้ว มือบางๆ ของเธอจึงคว้าได้แต่เพียงลมอุ่นๆ ติดกลับมาเท่านั้น สมองที่ขาวโพลนไปเกือบสามวินาทีจึงสั่งการให้เท้าทั้งสองข้างของเธอถอยหลังกลับมาทีละนิดตามคำที่คนร่างสูงสั่งเอาไว้ก่อนออกไป
เขาวิ่งได้เร็วออกขนาดนั้น ที่ให้เธอถูลู่ถูกังลากเขามาถึงที่นี่ เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ทั้งที่เธอรู้สึกผิดแทบเป็นแทบตายกับความคิดที่ว่าตัวเองอาจเป็นสาเหตุให้เขาต้องเจ็บตัว พยายามแบกคนตัวโตอย่างเขาขึ้นหลังอย่างไม่คิดชีวิต พุ่งชนโน่นที กระแทกนี่ทีไม่ต่างแมลงวันไม่มีหัว ก็ยังไม่ล้มเลิกความคิดจะช่วยเหลือเขา แต่เขาก็ยังหลอกให้เธอลากเขามาถึงนี่ได้ลงคอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการโทรศัพท์เรียกคนมาช่วยที่เขาเผยพิรุธคำโตออกมาเองกับปาก ถ้าเขาไม่คิดเอาลูกไม้พรรค์นี้มาหลอกปั่นหัวเธอ ป่านนี้เธอกับเขาก็คงกลับไปถึงคฤหาสน์มังกรมุกอย่างปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องมาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายแบบนี้
เรื่องสำคัญขนาดนี้ยังหลอกกันได้อย่างไม่สะทกสะท้าน นับประสาอะไรกับเรื่องอื่น...
ที่แท้ยังมีเรื่องอะไรที่เขาพูดจริงอยู่บ้าง!
หรือเขาคิดว่าเธอโง่นักหนา อยากจะหลอกปั่นหัวเล่นยังไงก็ได้...
เมื่อคืนวานก็ขู่แบล็กเมลเธอ จนเธอต้องตกกระไดพลอยโจนไปอยู่ในสภาพล่อแหลม วันนี้ก็กระชากโทรศัพท์เธอไปเป็นตัวประกัน บังคับให้เธอบอกความลับ บังคับให้เธอทำโน่นทำนี่ จนตอนนี้ก็มาหลอกให้เธอตกอยู่ในอันตรายอีก
ไม่ต้องย้อนกลับมางั้นเหรอ... ต้องรอให้เขาบอกด้วยหรือไง...
ไม่ว่าจะย้อนกลับมาช่วยคนเป็น หรือกลับมาเก็บศพคนตาย จ้างให้เธอก็ไม่กลับมาทั้งนั้น!
เพียงน้ำพลอยข่มโทสะที่ปะทุขึ้นจนเดือดพล่านไปทั้งร่างเอาไว้ แล้วพยายามคิดถึงเหตุผลให้มาก ระลึกถึงมโนธรรมที่ตกตะกอนลึกลงไปจนสุดขั้วหัวใจขึ้นมา จะอย่างไรเสียตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องที่ผ่านไปแล้ว เรื่องสำคัญที่สุดก็คือต้องหนีออกจากที่นี่ให้ได้ก่อน แล้วค่อยตามคนมาช่วยเขา
เธอจะปล่อยให้เขาตายไม่ได้...แม้ว่าเขาจะสมควรตายแค่ไหนก็ตาม...
ดวงตากลมโตดุจไข่มุกดำเม็ดงามจ้องไปที่ปากทางเบื้องหน้าอย่างระมัดระวัง พร้อมกันนั้นก็ค่อยๆ ย่องไปชะโงกหน้าสังเกตผู้คนบนท้องถนนทั้งซ้ายขวา ก่อนจะเห็นว่าท่าทีตื่นตระหนกของคนเริ่มเบาบางลง เป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจจะวิ่งห่างออกไปไกลพอสมควรแล้ว
หากจะกล่าวถึงโอกาสในการหลบหนีล่ะก็ เกรงว่าคงไม่มีโอกาสไหนเหมาะเจาะไปมากกว่านี้อีก
ร่างบางระหงสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อเรียกขวัญกำลังใจครั้งสุดท้าย แม้จะผิดคาดไปสักหน่อยที่กำลังใจไม่ใคร่เข้าร่าง แต่เป็นกลิ่นอับชวนคลื่นเหียนเข้าแทรกทั่วทุกสรรพางค์แทน หากถึงอย่างนั้นก็ถือว่าเป็นสัญญาณเอาฤกษ์เอาชัยที่ไม่เลว สิ้นเสียงปล่อยลมหายใจ สองขาเรียวยาวจึงวิ่งออกจากตรอกแคบๆ เลี้ยวไปทางซ้ายอย่างสุดฝีเท้าทันที มือซ้ายกำกระเป๋าเงินหนังสีดำของเขา ส่วนมือขวากำโทรศัพท์เขาเอาไว้ พยายามใคร่ครวญขณะที่สองเท้าทำงานอย่างหนักหน่วงว่า ที่เขาบอกไว้ว่าให้วิ่งไปไกลสักหน่อยค่อยโทรหาน้ำผึ้งพระจันทร์มารับนี่...จะต้องไกลแค่ไหนถึงจะนับว่าไกลได้...
ทว่ายังไม่ทันจะได้คิดออก ภาพบางอย่างที่เธอแน่ใจว่ามันถูกไฟโทสะเผาจนมอดไปแล้วก็วนกลับมาฉายซ้ำในหัวเธออีกครั้ง ซ้ำร้ายยังมาจำเพาะเจาะจงฉายเอาในช่วงเวลาสำคัญอย่างนี้ด้วย
ภาพใบหน้าขาวซีดราวกับกระดาษ ริมฝีปากแห้งผากเขียวคล้ำจนหน้ากลัว โลหิตสีแดงฉานที่ย้อมเสื้อสีดำสนิทของเขาให้ดำทะมึนขึ้นกว่าเดิมไปเกือบครึ่งร่าง...
แม้จะไม่มั่นใจเลยสักนิดว่าภาพที่ปรากฏขึ้นในหัวตอนนี้จะไม่ใช่สิ่งที่เขาเสแสร้งแกล้งทำขึ้น แต่ขาทั้งข้างของเธอกลับไม่ยอมวิ่งไปข้างหน้าแม้แต่ครึ่งก้าว เอาแต่หยุดยืนอยู่อย่างนั้น รู้ตัวอีกทีเสียงเบรกเสียงแตรก็ดังลั่นถนน ชั่ววินาทีนั้นเอง เธอถึงได้รู้ว่าตัวเองยืนอยู่กลางสี่แยกไฟแดง และน่าจะยืนอยู่ตรงนี้มาได้สักพักแล้ว ยวดยานพาหนะทุกชนิดถูกเหนี่ยวรั้งไว้ด้วยกลไกขั้นสุดท้ายไม่ให้พุ่งชนเธอจนดับอนาถ และแน่นอนว่ากลไกเหล่านั้นค่อนข้างจะสวนทางกับใจคนขับอย่างสิ้นเชิง แค่เธออ่านปากพวกเขาผ่านๆ ยังพอจะจับความหมายได้แล้วว่า พวกเขาทั้งสบถทั้งบริภาษไปถึงบรรพบุรุษเจ็ดชั่วโคตรของเธอเจ็บแสบแค่ไหน
จะให้ถอยหลังกลับมาอยู่ในทางเท้าเหมือนเดิมนั้นไม่ใช่เรื่องยากเย็นนัก แต่หลังจากถอยกลับมาแล้วจะให้วิ่งไปทางไหน กลับสร้างความลำบากให้เธอไม่น้อย
นับแต่วินาทีที่เธอรู้ว่าถูกเขาหลอกปั่นหัวเข้าให้ เธอก็ไม่กล้าจะวางตัวเองไว้ในฐานะของคนที่มีความคิดความอ่านอีก ฉะนั้นในตอนนี้ ต่อให้เป็นการตัดสินใจของเธอเอง เธอก็ยังมองว่ามันเป็นสิ่งที่เชื่อยากเต็มทน
แต่ว่า...สีหน้าเจ็บปวดทรมานของคนคงไม่ใช่สิ่งที่หลอกกันได้ง่ายๆ
ถ้าเขาหลอก...อย่างดีเธอก็แค่โกรธจนลงมือทุบตีเขาสองสามครั้ง ถึงเจ็บถึงคันก็คงไม่ถึงตาย
แต่ถ้าเขาไม่ได้หลอกล่ะก็...
ยังไม่ทันที่เสียงถกเถียงกับตัวเองในหัวจะได้เงียบลง เพียงน้ำพลอยก็หันหลังวิ่งกลับไปยังทิศทางที่จากมาอย่างสุดฝีเท้า ทั้งๆ ที่เพิ่งประกาศกร้าวออกมาหยกๆ ว่าเป็นตายยังไงก็จะไม่กลับมาช่วยเขา แต่พอผ่านไปไม่ถึงห้านาที เธอกลับวิ่งหน้าตั้งมาช่วยเขาเสียแล้ว คิดแล้วก็ชวนให้สมเพชเวทนาศักดิ์ศรีตัวเองอยู่ไม่น้อย ทว่าในฐานะของเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก เธอคงทำใจจืดใจดำถึงขั้นนั้นไม่ลง แม้การตามคนมาช่วยเขาทีหลังจะนับว่าเป็นการช่วยเหลือเขาเหมือนกัน แต่เธอกลับวางใจไม่ลง อดคิดไม่ได้ว่าตอนที่คนของมังกรมุกมาถึง อาจจะรั้งชีวิตคนไว้ไม่ทันแล้ว
เธอจำได้ไม่ถนัดนักว่าตัวเองเคยวิ่งเร็วขนาดนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ น่าจะเป็นตอนประถมที่เคยวิ่งแข่งสี่คูณร้อยเมตรในงานกีฬาสี ไม่สิ...เธอไม่เคยลงแข่งกีฬาอะไรเลยสักอย่างต่างหาก ที่พอจะนึกออกก็คงมีแค่ประกวดเด็กหญิงมารยาทงามในงานโรงเรียนเท่านั้น หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ชั่วชีวิตนี้เธอไม่เคยต้องมาออกแรงทำอะไรอย่างนี้มาก่อน และต่อให้นึกย้อนไปอีกสามชาติก็คงไม่มีอยู่ดี
ดวงตากลมกวาดมองไปตามท้องถนนเพื่อหาร่องรอยของเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วน ขณะเดียวกันก็ใคร่ครวญถึงวิธีการช่วยเขาออกมาจากการไล่ล่าบ้าระห่ำนั่น เธอรู้ดีว่าตัวเองไม่มีกำลังมากนัก เพราะฉะนั้นหากคิดจะช่วยเขา ต้องใช้สมองให้มากสักหน่อย จะอาศัยแค่ความกล้าบ้าบิ่นอย่างเดียวคงไม่พอ ดีไม่ดี ช่วยคนไม่ได้ เธอยังจะกลายไปเป็นภาระเขาอีก เธอไม่อยากจะพัวพันกับเขามากไปกว่านี้แล้ว เกิดไปติดหนี้บุญคุณอะไรเขาเข้า ใช้หัวแม่เท้าคิดก็ยังรู้ว่าคนพรรค์นั้นจะต้องอ้างบุญคุณช่วยชีวิตมาเอาเปรียบเธอในภายหลัง ซึ่งเธอไม่มีวันยอมให้มันเป็นแบบนั้นแน่
เขาต่างหากที่สมควรจะต้องรู้สึกติดค้างเธอ!
สองขาที่ทำงานอย่างหนักหน่วงเริ่มเหนื่อยล้าลงเรื่อยๆ จนรู้สึกเหมือนเท้าทั้งสองข้างแขวนลูกตุ้มเหล็กขนาดมหึมาเอาไว้ก็ไม่ปาน ใกล้จะล้มคะมำไปข้างหน้าทุกครั้งที่ฝ่าเท้าข้างหนึ่งสัมผัสพื้น ทว่าสัญชาตญาณเอาตัวรอดกลับยังทำงานได้อย่างแจ่มชัดดีเยี่ยม ถึงสติจะใกล้พร่าเลือน แต่สองขาก็ยังคงวิ่งต่อไปอยู่อย่างนั้น
เธอวิ่งผ่านมาห้าถนนแล้ว ผ่านตรอกเดิมที่เคยซ่อนตัวอยู่กับเขามาสามถนนเห็นจะได้ แต่เธอกลับไม่เห็นเงาร่างสูงโปร่งโชกเลือดของเขาเลยแม้แต่เศษเสี้ยว ความกลัวเริ่มครอบงำหัวใจเต้นระส่ำของเธอทีละนิด แม้จะพยายามข่มกลั้นความคิดแสนอัปมงคลนั้นเอาไว้ แต่มันก็ยังดื้อรั้นจะร้องตะโกนให้เธอฟังข้อสันนิษฐานของมันอยู่นั่นแหละ ลำบากเธอต้องโต้เถียงกับมันอย่างเดือดดาลถึงสิ่งที่เธอเชื่อมั่นอยู่ในใจ
เธอเคยได้ยินว่าคนสมควรตายมักอายุยืน เพราะฉะนั้น เธอไม่มีวันเชื่อหรอกว่าคนแบบนั้นจะหายไปจากโลกนี้ได้ง่ายๆ
ทันใดนั้นเอง หางตาคมก็เหลือบไปเห็นร้านขายของเล่นเก่าๆ ร้านหนึ่งที่หัวมุมถนน มีเจ้าของร้านวัยชราที่แก่หง่อมจนเดาอายุไม่ได้สวมเสื้อเชิ้ตเนื้อผ้าทิ้งตัวสีขาวแต่มีคราบเหลืองเข้าในกางเกงเอวสูง กำลังออกแรงดึงประตูเหล็กกรังสนิมเข้าหากันด้วยท่าทางงกๆ เงิ่นๆ เหนือป้ายร้านมีผ้าใบสีเขียวจัดยื่นออกมาเป็นกันสาด และด้วยมุมมืดๆ อับๆ นั้นเอง ทำให้เธอมองไม่เห็นแม้แต่ชื่อร้านหรือใบหน้าเจ้าของร้าน หน้าร้านวางของเล่นบางส่วนระเกะระกะล้นทะลักออกมาจากในร้าน คาดว่าคงยังเก็บเข้าไปในร้านไม่หมดนั่นเอง ในบรรดาของที่วางล้นออกมานั้น ร้อยละเก้าสิบเป็นของเล่นที่ไม่ได้รับความนิยมแล้วทั้งสิ้น ทั้งกลองสะบัดอันจิ๋วสีแดง หุ่นกระบอก หรือแม้แต่ลูกแก้วหลากสี หากให้เธอประเมินในสายตาของคนค้าขายแล้วล่ะก็ ร้านค้าร้านนี้นอกจากเปิดเพื่อระลึกความหลังของเจ้าของร้านกับคนรุ่นเก่าบางกลุ่มแล้ว หากำไรเป็นกอบเป็นกำอะไรไม่ได้เลยสักนิด
แต่ใครเล่าจะคิดว่าในช่วงเวลาคับขันที่สุด สิ่งที่ผุดขึ้นมาในความคิดก็เป็นของเก่าๆ ในความทรงจำนี่แหละ...
เพียงน้ำพลอยขุดแรงที่ซุกซ่อนอยู่ในทุกส่วนของร่างกายออกมาใช้จนหยดสุดท้าย สาวเท้าวิ่งเข้าไปร้านของเล่นตรงมุมถนนเบื้องหน้าอย่างสุดชีวิต และเพียงไม่กี่วินาที ความเร็วสูงสุดจากฝีเท้ามนุษย์ก็ส่งให้ร่างบางระหงพุ่งถลาเข้าใส่ประตูเหล็กเก่าๆ อย่างจัง ทว่าก็ยังโชคดีที่ประตูเหล็กโกโรโกโสนั้นยังพอจะหยุดยั้งกายหยาบของคนได้อยู่บ้าง เพียงน้ำพลอยจึงไม่ได้ทะลุผ่านมันไป ได้แต่ยกมือขึ้นแกะตัวเองออกจากประตูสนิมกรังเท่านั้น
และทันทีที่ตั้งสติได้ เพียงน้ำพลอยก็ก้มลงอุ้มโถใส่ลูกแก้วหลากสีบนพื้นขึ้นมาสองโถ ก่อนจะลั่นวาจาออกไปอย่างเฉียบขาดเพียงคำเดียว
“เหมา!” จบคำเธอก็ไม่รอให้อีกฝ่ายถามตอบอะไรให้พิรี้พิไร รีบควักธนบัตรใบใหญ่ที่สุดในกระเป๋าหนังสีดำที่เขาทิ้งไว้ให้ ออกมายัดใส่มือเหี่ยวย่นของเถ้าแก่สูงวัย แล้วรีบพุ่งออกจากร้านมาทันทีโดยไม่คิดสนใจเงินทอน หรือเสียงร้องเรียกตามหลังที่ไม่ได้ดังไปกว่าเสียงกระซิบสักเท่าไหร่ของชายร่างแก่หง่อม
ตอนนี้ก็เหลือแค่หาเขาให้เจอเท่านั้น... ไม่รู้เขาล่อพวกนั้นไปถึงไหนกัน เธอวิ่งหามาห้าถนนแล้วก็ยังไม่เจออีก
หรือว่า...
ไม่สิ...คนเป็นก็ต้องเห็นคน คนตายก็ต้องเห็นศพ!
ไม่ถึงชั่วอึดใจ ขาทั้งสองข้างก็พาเธอมาถึงทางสามแพร่งที่ปลายถนนเส้นที่ห้า เธอตัดสินใจเลี้ยวเข้าไปในทางแยกขวามือก่อน ในใจเพียงแค่คิดว่าเลือกวิ่งไปทางไหนก่อนก็ได้สักทาง ถ้าไม่เจอจะได้รีบวิ่งไปดูอีกทางที่เหลือ แต่ใครจะคิดว่าวิ่งไปจนสุดทางจะเป็นซอยตันที่สองฝั่งปิดล้อมด้วยอพาร์ทเม้นท์โทรมๆ สองหลัง และตรงสุดซอยนั้นเอง...มีแมวขโมยร่างสะบักสะบอมตัวหนึ่งกำลังถูกล้อมไว้ด้วยกำแพงมนุษย์อาวุธครบมือเกือบยี่สิบชีวิต
ร่างสูงโปร่งในเสื้อเชิ้ตสีดำเปียกโชกเลือดไปกว่าครึ่งร่าง ทำให้สีดำของผ้ายิ่งดำสนิทขึ้น ขับให้ผิวขาวซีดของเขาดูซีดเซียวขึ้นกว่าเดิม ริมฝีปากเขียวคล้ำจนเกือบจะเป็นสีม่วงมีรอยช้ำเลือดช้ำหนองอยู่ที่มุมปาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงส่วนอื่นของใบหน้าที่เปื้อนรอยถลอก เปรอะฝุ่นดิน และย้อมอาบเลือดไปเกือบทั้งหน้า น้ำหนักตัวเทเอนไปที่ขาข้างหนึ่งจนแทบไม่ต่างจากกระต่ายขาเดียว ดูไปแล้วไม่ได้ใกล้เคียงกับคนที่ขับรถเฟอร์รารี่คันหรูพาเธอมาที่นี่เมื่อตอนกลางวันเลยแม้แต่น้อย มีเพียงเสื้อผ้าชุดเดิมเท่านั้น ที่ทำให้เธอแน่ใจได้ว่าตัวเองไม่ได้หาเรื่องใส่ตัวมายุ่งกับหนี้แค้นของอันธพาลเจ้าถิ่นเข้า
เห็นสภาพไม่ต่างจากศพยืนได้ของเขาแล้ว เธอไม่อยากจะคิดเลยว่าหากตัวเองหนีไปก่อนจริงๆ แล้วค่อยเรียกคนมาช่วยเขาทีหลัง เขาจะต้องตกอยู่ในสภาพไหนกัน...
‘เราคงต้องแยกกันหนี ผมจะล่อพวกมันไปทางอื่น คุณรอจนแน่ใจว่าพวกมันไปหมดแล้วค่อยหนีออกไป อ้อ แล้วจะดีมากถ้าคุณหนีไปให้ไกลสักหน่อย แล้วค่อยโทรเรียกเพื่อนคุณมารับ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นไม่ต้องย้อนกลับมา โทรศัพท์คุณเริ่มแบตอ่อนแล้ว นี่โทรศัพท์ผม นี่กระเป๋าตังค์ผม แล้วนี่ปืน เผื่อจำเป็น’
ถึงตอนนี้เพียงน้ำพลอยถึงได้รู้ว่า คำสั่งเสียพวกนั้นเขาไม่ได้เอ่ยถึงตัวเขาเองเลยสักนิด แม้แต่ปืนกระบอกเดียวที่มีอยู่ก็ยังยัดใส่มือเธออย่างไม่ลังเล โดยไม่ถามเธอสักคำว่าเธอยิงปืนเป็นรึเปล่า บอกเพียงแค่ให้เธอหนีไปให้ได้เท่านั้น เธออยากจะคิดในแง่ดีว่า เขาก็แค่ไม่ได้เอ่ยถึงหนทางที่อยู่ในใจของตัวเองเท่านั้น ไม่ใช่ว่าไม่มีมันจริงๆ สักหน่อย แต่ดูจากสถานการณ์ตรงหน้าแล้วมันยากจะเชื่อเหลือเกิน ที่รออยู่ข้างหลังเขาเป็นกำแพงสูงไม่มีแม้แต่รูให้สุนัขลอด สองข้างเป็นอพาร์ทเม้นท์โกโรโกโสสองหลัง ด้านหน้าเป็นกองทัพมือสังหารเกือบยี่สิบชีวิตที่ล้อมเขาเอาไว้เป็นครึ่งวงกลม
แค่ดูก็รู้ว่าทางรอดทุกทางของเขาถูกปิดตายหมดแล้ว นอกเสียจากว่าเขาจะมีปีกบินได้เท่านั้น!
แต่สภาพดูไม่จืดอย่างนั้นจะเอาปีกที่ไหนมาบิน ลำพังแค่ยืนก็ยังแทบจะไม่อยู่แล้ว
เพียงน้ำพลอยกลืนความกลัวห้วงสุดท้ายที่พุ่งขึ้นมากะทันหันลงคอไป ก่อนจะยกปืนสั้นกระบอกหนึ่งที่เหน็บอยู่ข้างเอวขึ้นมา เล็งไปที่ท่อประปาที่ต่อลอยขึ้นมาบนพื้นดินหน้าอพาร์ทเม้นท์หลังขวามือ ก่อนจะลั่นไกออกไปอย่างแม่นยำสองนัดติดกัน จากนั้นก็หันทิศทางปืนไปยังท่อประปาอีกฝั่งหนึ่งทางซ้ายมือ เพื่อลั่นไกออกไปอีกสองนัดทันที
ปังง!!! ปังง!! ปังง!!! ปังง!!
ซ่าาาาาาาาาา!!!!!!
เสียงปืนสองนัดดังลั่นสนั่นไปทั่วตรอกซอย ทว่าก่อนที่กองกำลังอาวุธครบมือจะได้หันมาสนใจเจ้าของเสียงปืน กระแสน้ำหนักๆ จากสองข้างทางก็พุ่งขึ้นเป็นน้ำพุสายมหึมา โถมสาดซัดชายฉกรรจ์หลายสิบชีวิตจนหันซ้ายหันขวากันจ้าละหวั่น ผลักคนข้างๆ ยกมือปัดป่ายสายน้ำเป็นพัลวัน และชั่ววินาทีนั้นเอง เพียงน้ำพลอยก็เปิดฝาโถลูกแก้วสองโถแล้วเทกราดลงบนพื้นถนน ปล่อยให้ลูกแก้วนับร้อยลูกไหล่บ่าไปสร้างความโกลาหลให้กับมือสังหารเดนตายตรงหน้า
เธออยากจะรู้นักว่า กระสุนมันจะยิงออกมาได้ยังไง ในเมื่อคนยิงยังยืนไม่อยู่!!
“หะ...เห้ยๆๆ อะไรวะ!!! เห้ยย!!” เสียงร้องโวยวายดังอึงอลกับเสียงบั้นท้ายจ้ำเบ้าดังตามมาติดๆ กัน ทำให้เพียงน้ำพลอยยิ้มพรายออกมาด้วยความพอใจ ทว่าก็ต้องหุบยิ้มลงในเสี้ยววินาทีต่อมา เมื่อนึกได้ว่ายังไม่เห็นเงาของคนๆ นั้นฝ่าวงล้อมออกมาเลย
หรือว่าเขาเองก็ล้มก้นจ้ำเบ้าอยู่ในนั้นไปแล้ว
สวรรค์...เธอเปิดทางให้เขาขนาดนี้แล้ว เขาจะยังหนีออกมาไม่ได้อีกงั้นเหรอ!
ทว่าชั่วเสี้ยวอึดใจนั้นเอง ร่างบางระหงที่กำลังยืนชะเง้อคอรอคอยการปรากฏตัวของคนเลือดท่วมตัวในวงล้อม ก็ถูกวัตถุหนักๆ จากเหนือศีรษะโถมลงมาทับจนล้มครืนลงไปกองอยู่กับพื้น มือบางออกแรงทั้งผลักวัตถุปริศนาออกจากตัวทั้งยันตัวเองลุกจากพื้นในเวลาเดียวกัน ก่อนจะเห็นว่าสิ่งที่ตัวเองผลักจนกระเด็นไปไกลเป็นโยชน์นั้น ไม่ใช่ตู้เย็นผุพังของบ้านไหนตกลงมา แต่เป็นร่างสะบักสะบอมดูไม่จืดที่เธอเฝ้ารออยู่นั่นเอง
“นะ...นี่คุณมาจากทางไหนเนี่ย” เพียงน้ำพลอยถลาไปพยุงเขาลุกขึ้น พลางหันซ้ายหันขวามองหาทิศทางที่พอจะเป็นไปได้ว่าเขาวิ่งจากมา แต่จนแล้วจนรอดก็ยังคิดไม่ออกว่าเขาวิ่งมาจากทางไหน เธอที่เฝ้าอยู่ปากทางถึงได้มองไม่เห็น
ทางเดียวที่คิดออกซึ่งเป็นไปได้มากที่สุด และเป็นไปไม่ได้มากที่สุดในเวลาเดียวกันก็คือ...
เขากระโดดลงมาจากระเบียงด้านบน!
ฟรานไม่ตอบคำถามแต่รีบยันตัวเองลุกขึ้นตามแรงฉุดของเธอ แล้วตั้งท่าจะลากเธอหนีตายอีกครั้ง ทว่ายังไม่ทันจะออกวิ่งไปถึงสามก้าวดี เสียงสบถหยาบคายที่ดังแทรกเสียงสายน้ำขนาดมหึมาไล่ตามหลังก็เรียกให้เพียงน้ำพลอยหันกลับไปมองอย่างอดใจไม่อยู่
และในเสี้ยววินาทีเดียวกันนั้นเอง วัตถุมีคมแผ่อายสังหารเย็นเยียบก็กรีดสายน้ำแหวกอากาศพุ่งตรงมาหาเธอ หมายจะเจาะทะลวงกลางหน้าผากเธอให้ดับสิ้นในคราวเดียว เพียงน้ำพลอยแข็งทื่อไปทั่วทั้งร่าง รู้สึกคล้ายกับเห็นมีดสั้นนั้นค่อยๆ เคลื่อนที่เข้ามาใกล้ใบหน้าตัวเองอย่างช้าๆ หากทั้งที่มันคืบคลานมาช้าถึงปานนั้น เธอกลับขยับเขยื้อนหนีไปไหนไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว ไอเย็นยะเยือกปริศนาจากปลายคมมีดแผ่ลามมาครอบคลุมตัวคนชวนให้ไรขนอ่อนๆ บริเวณท้ายทอยลุกซู่ขึ้นตั้งแต่ปลายมีดยังไม่เฉียดกรายมาถึง
ยิ่งมันพุ่งเข้ามาใกล้เท่าไหร่ เพียงน้ำพลอยก็ยิ่งรู้สึกว่าแรงเสียดทานจากอากาศเริ่มจะน้อยลงทุกที มันถึงได้พุ่งเข้ามาเร็วขึ้นเป็นเท่าตัว ราวกับอดใจจะดื่มเลือดจากกะโหลกเธอไม่ไหวแล้ว
ดวงตากลมโตเบิกโพลงจนคล้ายจะถลนออกจากเบ้า สมองที่เคยฉับไวขาวโพลนไปชั่วขณะ จนกระทั่งปลายมีดคมกริบพุ่งมาอยู่ตรงหน้าจนห่างจากหว่างคิ้วเธอไม่ถึงหนึ่งนิ้วดี ร่างแข็งทื่อของเธอถึงได้สะท้านเฮือกจนสุดตัว ทว่าทันใดนั้นเอง คมมีดที่ควรจะปักฉึกเข้ากลางหน้าผากเธออย่างจังกลับหยุดชะงักอยู่กลางอากาศ ทำเอาวิญญาณที่หนีเตลิดไปของเธอหวนคืนสู่ร่างแทบไม่ทัน
เส้นประสาทที่เปลือกตาบางเริ่มมีความรู้สึกขึ้นทีละนิด เธอจึงกระพริบตาถี่ๆ ต่อกันอีกหลายครั้งเพื่อปรับสายตาให้มองภาพตรงหน้าให้กระจ่างชัด หากแต่สิ่งที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้านั้นกลับทำให้เธอแทบตาถลนออกจากเบ้าเข้าจริงๆ เมื่อเห็นว่าใบมีดคมกริบยาวเท่าฝ่ามือถูกมือหนาของคนร่างสูงกำเอาไว้แน่น เพียงน้ำพลอยจึงค่อยๆ เบือนหน้าขึ้นไปมองใบหน้าขาวซีดของเขา ก่อนจะเห็นว่าสีหน้าเขายังคงเรียบเฉยอยู่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้ว่าโลหิตข้นคลั่กที่ไหลออกมาจากง่ามนิ้วทั้งห้านั้นจะสวนทางกับสีหน้าเยือกเย็นของเขาโดยสิ้นเชิงก็ตาม
เมื่อมือหนาชุ่มเลือดคลายออก ใบมีดคมกลับยังฝังติดอยู่กับแพนิ้วทั้งสี่ ฟรานจึงใช้มืออีกข้างกระชากมันออกมาอย่างไม่ใยดีนัก แล้วซัดมันกลับไปยังทิศทางที่มันจากมาโดยไม่เหลือบกลับไปมองแม้แต่หางตา ขณะที่เพียงน้ำพลอยนั้นประสาทตื่นตัวจนถึงขั้นสุด มองเห็นอย่างชัดเจนว่ามีดสั้นเล่มนั้นพุ่งกลับไปปักเข้ากลางหน้าผากของชายร่างหนาผู้เป็นเจ้าของมีดจนมิดด้าม ร่างหนาร่างนั้นค่อยๆ ทรุดตัวลงบนแอ่งน้ำกลางถนนทั้งที่ดวงตาแดงฉานทั้งสองข้างยังเบิกโพลงอยู่ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้เห็นอะไรไปมากกว่านี้ มือหนาอีกข้างของเขาก็ฉุดเธอออกวิ่งไปจากสงครามกลางเมืองทันที
เธอวิ่งตามแรงฉุดของเขาอย่างสุดกำลัง ทว่าก็จนใจที่ช่วงขาเธอยังสั้นกว่าเขาอยู่ดี ต่อให้วิ่งจนสุดชีวิตเท่าไหร่ก็ยังช้ากว่าเขาอยู่วันยังค่ำ ใบหูจึงพอจะได้ยินเสียงร้องบริภาษที่ตามหลังมาอยู่แว่วๆ หากก็ได้ยินไม่ถนัดนัก คาดว่าน่าจะเป็นการขุดบรรพบุรุษสิบแปดชั่วรุ่นออกมาด่ากราด หรือไม่ก็คงเป็นคำสบถอย่างหยาบคายนั่นแหละ
โดยไม่ได้เอะใจเลยสักนิดว่า มือหนาที่ฉุดกระชากเธอออกวิ่งนั้น ถึงกับเย็นเยียบไปชั่วขณะเมื่อได้ยินคำๆ นั้นดังลั่นขึ้น...
เพียงไม่ถึงอึดใจ เขาก็พาเธอวิ่งมาจนถึงหน้าถนนใหญ่จนได้ เพียงน้ำพลอยหอบจนตัวโยน แม้แต่ขนตาก็ยังชุ่มไปด้วยเหงื่อจนหนักอึ้งเกินกว่าจะลืมตา ครั้นพอคิดจะร้องบอกให้เขาหยุดพักสักหน่อย ก็มีเพียงเสียงหอบแฮ่กของตัวเองบอกเล่าเรื่องราวขึ้นแทน พอรู้ตัวอีกทีก็ถูกเขาจับยัดเข้าไปในรถแท็กซี่คันหนึ่งเสียแล้ว
“พอลล็อค แพ็ธ” สิ้นเสียงเอ่ยบอกที่หมายกับคนขับเพียงสั้นๆ ของเขา เพียงน้ำพลอยก็ไม่แน่ใจนักว่าเขาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก หรือสติเธอพร่าเลือนจนฟังอะไรไม่ได้ศัพท์แล้วกันแน่
เธอรู้เพียงแต่ว่า ในรถแท็กซี่ที่เปิดแอร์เย็นเฉียบจนเสียดกระดูกนั้น ตัวเองไม่ได้หนาวเหน็บสักเท่าไหร่ ก่อนจะก็รู้สึกคล้ายกับเขาเอ่ยถามอะไรออกมาอีกสองสามคำ เธอจึงส่งเสียงอือออตอบเขาอยู่ในลำคอ ทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังพ่นเรื่องอะไรออกมาให้ฟัง
หลังจากนั้น ร่างกายที่ถูกใช้งานอย่างหนักหน่วงมาตลอดหลายชั่วโมงก็ไม่อาจเหนี่ยวรั้งสติที่พร่าเลือนจนถึงขีดสุดไว้ได้อีก ได้แต่ปล่อยให้ทุกสิ่งดำดิ่งลงสู่ความมืดมิดแต่โดยดี เปลือกตาบางหลับพริ้มลงอย่างเหนื่อยอ่อน แม้แต่ศีรษะน้อยๆ ของเธอล้มลงหนุนตักอุ่นของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ คาดว่าเจ้าตัวเองก็คงไม่รู้เลยสักนิด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงน้ำเสียงแหบพร่าทุ้มต่ำที่ถูกกองไว้แต่เพียงหน้าประตูนิทรา ไม่ได้ผ่านเข้าสู่โสตประสาทของเธอแม้แต่ครึ่งคำ
ร่างสูงเอ่ยขึ้นพลางใช้มือข้างที่ยังสะอาดอยู่ปัดปอยผมปอยหนึ่งที่ตกลงมาระใบหน้าแดงระเรื่อออกอย่างอ่อนโยน ก่อนจะใช้สันนิ้วชี้เคาะที่ปลายจมูกเชิดรั้นนั้นเบาๆ
“บ้าเลือดชะมัดเลย...”
แอบเห็นด้วยกะเฮียฟรานนะ น้ำพลอยนี่เอาเข้าจริงก็บ้าเลือดไม่ต่างจากเจ้าจันทร์เลย มิน่าล่ะได้เป็นเพื่อนกัน 55555555
พาร์ทที่เหลือภายในสองสามวันนี้น้าา
อย่าลืมเม้นท์+จิ้มโหวตเป็นกำลังใจให้เค้าด้วยน้าา^^
เรื่องนี้ยังเม้นท์น้อยเหลือเกินน เล่นเอาคนเขียนท้อแท้เลยยTT
-กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ นักเขียนชาวโคลัมเบีย-
นัยน์ตาดำขลับดุจหมาป่าหิวกระหายสุดจะหยั่งรู้ได้ถึงความลึกล้ำ ความอดทนที่ผูกติดกับสามัญสำนึกเริ่มคืบคลานเข้าใกล้จุดสิ้นสุดขึ้นทุกที ความปรารถนาร้อนระอุที่ถูกปลุกปั่นพวยพุ่งอยู่ในร่างอย่างเดือดดาลแต่ไร้ทางปลดปล่อย ได้แต่เผาผลาญฟางเส้นบางไปเรื่อยๆ จนใกล้ขาดอยู่รอมร่อ ขณะที่ลำแขนหนาซึ่งยันกำแพงฝั่งตรงข้ามมาระยะหนึ่งก็เริ่มจะทรยศต่อความอดทนอันน้อยนิดของเขาเข้าแล้ว ยิ่งเขาตั้งใจจะยันเอาไว้เท่าไหร่ มันก็ยิ่งอ่อนแรงลงเรื่อยๆ เท่านั้น
“คุณยังไหวรึเปล่า” เพียงน้ำพลอยกระซิบถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ดวงตากลมคู่นั้นสั่นระริกเล็กน้อย ฉายแววความเป็นห่วงออกมาอย่างไม่ปิดบัง มือบางราวเครื่องแก้วใสเอื้อมขึ้นมาประคองลำแขนหนาโชกเลือดซึ่งอยู่ห่างจากข้างแก้มเธอไม่ถึงหนึ่งนิ้ว ทว่าเพียงแค่มือบางๆ นั้นยกขึ้นสัมผัส เจ้าของร่างเปื้อนเลือดคลุกฝุ่นก็สะท้านเฮือกไปทั้งตัว ทำเอาเธอเผลอนึกไปว่าตัวเองทำเขาเจ็บจนสะดุ้ง นัยน์ตาดำขลับจึงหม่นแสงลงด้วยความใจเสีย ชวนให้คนมองอดปวดแปลบอยู่ในอกไม่ได้
ทั้งที่เห็นท่าทีใจเสียของเธออยู่เต็มสองตา เขากลับทำได้แค่หลับตาข่มกลั้นอารมณ์พลุ่งพล่านของตัวเองเอาไว้ แล้วกู่ก้องร้องตะโกนเหน็บแนมหญิงสาวตรงหน้าอยู่ในใจ
ไหนว่าเคยคบหาผู้ชายมาแล้วถึงสองคน...ทำไมถึงสมองทึบได้ขนาดนี้นะ!
ช่วงเวลาแบบนี้ เธอสมควรจะเข้ามาใกล้เขาหรือไงกัน!
“อ๊ะ...อ๊าาา!!”
ฟรานไม่ตอบคำ แต่ปล่อยให้เสียงครวญครางของคู่รักแสนเร่าร้อนหลังกำแพงไม้อัดกลืนกินสติไปเรื่อยๆ ส่วนตัวเองก็ตั้งใจใช้แรงที่เหลือติดตัวอยู่ยันผนังไว้จนสุดความสามารถ เขาจะเสียสมาธิจนเผลอผ่อนแรงไม่ได้ ไม่อย่างนั้นร่างทั้งร่างของเขาเป็นได้นาบติดกับเธอตั้งแต่ช่วงบนจดช่วงล่าง ความปรารถนาที่ระงับเอาไว้มาโดยตลอดคงได้ระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ และสุดท้ายคงไม่พ้นได้ฉีกทึ้งหน้ากากสุภาพบุรุษ แล้วกางกรงเล็บขย้ำเหยื่อตรงหน้าไม่ต่างจากหมาป่าหิวโซแน่
เขาพยายามรวบรวมสติที่เหลืออยู่ควานหาทางรอดในสมองออกมาสักทาง ด้วยรู้ดีว่าตัวเองไม่ใช่คนมีความอดทนมากนัก แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่คนเลวทรามต่ำช้าถึงขั้นจะข่มเหงน้ำใจผู้หญิง เพราะฉะนั้นทางที่ดีที่สุดก็คือรีบพาเธอออกไปจากสถานการณ์ล่อแหลมตรงนี้เสีย ทว่าพอคิดมาถึงชั้นนี้ เขากลับไม่มีหนทางที่พอจะได้คุ้มเสียอยู่บ้างเลย ชายฉกรรจ์จากกองกำลังติดอาวุธสมควรตายนั่นก็ยังเดินลาดตระเวนเพ่นพ่านเต็มถนนไปหมด จะลากออกไปทั้งอย่างนี้ก็คงมีแต่พากันไปตายเท่านั้น ที่สำคัญ ตัวเขาในตอนนี้ก็เสียเลือดไปมาก อ่อนแรงลงกว่าเมื่อสองชั่วโมงก่อนหน้าไม่น้อย หากเขาเกิดสิ้นบุญเก่าตกตายขึ้นมา หญิงสาวร่างบางตรงหน้าก็คงไม่พ้นต้องไปเป็นเพื่อนเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้น เขาต้องหาสักทางส่งเธอออกไปจากตรงนี้ก่อน ส่วนที่เหลือก็เห็นจะต้องพึ่งโชคของเขาแล้ว...
“ฟังนะ เราหลบอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน อีกเดี๋ยวพวกมันต้องเจอเราแน่ แต่ถึงไม่เจอผมก็...” ฟรานเกือบพลั้งเผลอบอกเหตุผลลับสุดยอดของตัวเองให้เธอฟังในวินาทีสุดท้ายนั้นไปแล้ว ว่าทำไมเขาถึงยอมให้เธอหลบอยู่ที่นี่กับเขานานกว่านี้ไม่ได้
เขาอยากจะกัดลิ้นตัวเองให้ตายเสียตรงนั้นจริงๆ เรื่องอื่นมีไม่พูด จะพูดถึงเรื่องแบบนั้นขึ้นมาทำไม... หรือเขาเสียเลือดมากจนสติเริ่มเลื่อนเปื้อนไปแล้ว ถึงได้พูดทุกสิ่งที่คิดออกมาราวกับน้ำไหล ไร้ซึ่งความยับยั้งชั่งใจทั้งปวงอย่างกับคนฟั่นเฟือนมากตัณหา
แต่จะโทษเขาคนเดียวก็ออกจะผลักความรับผิดชอบกันเกินไปแล้ว ท่ามกลางสติที่ใกล้จะหลุดลอย สถานการณ์ทางกายภาพที่จวนจะแนบชิดติดกันไปทั่วทั้งร่าง ลมหายใจร้อนระอุเผาผลาญความยับยั้งชั่งใจไปกว่าครึ่ง เสียงครวญครางเร่าร้อนพร้อมแรงกระแทกกระทั้นจากด้านหลังที่เพิ่มมากขึ้นทุกที กับสัมผัสนุ่มละมุนที่เธอเพียรพยายามจะเอื้อมมาหาเขาให้ได้อีก เขายังพอพูดจารู้เรื่องได้ขนาดนี้ ก็นับว่าเป็นสุภาพบุรุษจนเหลือจะกล่าวแล้ว
“ก็อะไร” เมื่อเห็นว่าเขาเอาแต่มองแล้วทำท่าอ้ำๆ อึ้งๆ เพียงน้ำพลอยจึงเอ่ยถามต่อขึ้นทันที จะว่าไปแล้วเธอก็อดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ในชั่วขณะ ว่าเขาคิดอะไรอยู่ในใจกันแน่ ถึงได้เปลี่ยนสีหน้าทุกวินาทีขนาดนี้ เดี๋ยวหน้าเขียว เดี๋ยวหน้าซีด เดี๋ยวหน้าแดง ไปๆ มาก็กัดริมฝีปากตัวเองเสียอย่างกับไม่กลัวว่าเลือดจะไหลซิบออกมา
“ก็เสียเลือดมากจนเริ่มจะทนไม่ไหวแล้วไง ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปมีแต่จะกอดคอกันตายเท่านั้น” ฟรานพ่นความจริงกึ่งหนึ่งออกจากปากไปอย่างเป็นธรรมชาติ ไร้วี่แววของคนเก็บงำความลับโดยสิ้นเชิง
“แล้วจะเอายังไง” เพียงน้ำพลอยเอ่ยถามต่อด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เห็นได้ชัดว่าถูกเขาเบี่ยงเบนความสนใจได้สำเร็จ
“เราคงต้องแยกกันหนี ผมจะล่อพวกมันไปทางอื่น คุณรอจนแน่ใจว่าพวกมันไปหมดแล้วค่อยหนีออกไป อ้อ แล้วจะดีมากถ้าคุณหนีไปให้ไกลสักหน่อย แล้วค่อยโทรเรียกเพื่อนคุณมารับ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นไม่ต้องย้อนกลับมา โทรศัพท์คุณเริ่มแบตอ่อนแล้ว นี่โทรศัพท์ผม นี่กระเป๋าตังค์ผม แล้วนี่ปืน เผื่อจำเป็น” ฟรานเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ริมฝีปากที่เคยมีสีระเรื่อซีดเซียวจนใกล้ม่วงคล้ำขึ้นทุกที ทว่าก็ยังไม่วายยัดข้าวของใส่มือเธอทีละอย่างสองอย่าง
“แล้วคุณจะไหวเหรอ...ดะ...เดี๋ยว คุณบอกว่าโทรศัพท์คุณแบตหมดไม่ใช่เหรอ” เพียงน้ำพลอยเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงสั่นไหว ทว่าก็จนใจที่สมองเธอเกิดรับรู้ได้ถึงกลิ่นตุๆ ขึ้นมากะทันหัน จึงอดไม่ได้ที่จะโพล่งออกไปในทันที
“โธ่คุณ!! เอาทีละเรื่องได้มั้ย” ฟรานสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกจับพิรุธได้ ก่อนจะแสร้งทำท่าโมโหฮึดฮัดกลบเกลื่อน
บางทีนี่อาจถือเป็นความโชคดีเล็กๆ ในความโชคร้ายของเขา ที่ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ความตายอยู่ใกล้ยิ่งกว่าปลายจมูก ไม่มีเวลาให้เธอมาพิพากษาโทษเขา เขาจึงถือว่าเลื่อนเวลาชำระโทษไปได้อีกสักหน่อย
“ก็...” เพียงน้ำพลอยเริ่มสับสนจนไม่รู้ว่าควรเอ่ยอะไรออกไปก่อนดี แม้จะรู้ดีว่าเขาพูดถูก ยังไงเสียลำดับความสำคัญเรื่องความเป็นความตายก็ต้องมาก่อนเป็นอันดับแรกอยู่แล้ว ส่วนเรื่องอื่นย่อมตกเป็นเรื่องรองไปโดยปริยาย แต่จะให้เธอทำยังไง ในเมื่อเธอดันรู้เข้าแล้วว่าเขาโกหก จะให้เธอห้ามสมองตัวเองไม่ให้พาลคิดไปถึงเรื่องอื่นๆ ที่เขาอาจจะหลอกเธอไว้อีกก็คงไม่ง่ายนัก ซ้ำเดิมทีเธอก็ไม่ใช่คนว่าง่ายอยู่แล้ว จะให้เปลี่ยนมาเป็นคนหัวอ่อนกับคนที่หลอกลวงตัวเองไว้ภายในเสี้ยวนาที... มันยิ่งไม่ง่ายเข้าไปใหญ่…
“จะมาก็อะไรล่ะ เข้าไป! เขยิบเข้าไป!” ฟรานไม่พูดเปล่า แต่ออกแรงดันหญิงสาวร่างบางเข้าไปในตรอกให้ลึกขึ้นกว่าเดิม จากนั้นก็เตรียมพุ่งตัวออกไปจากตรอกแคบๆ ชวนอึดอัดนั้นทันที
ในชั่ววินาทีที่เพียงน้ำพลอยคิดจะวิ่งตามไปคว้าตัวเขาไว้นั้นเอง ร่างสูงโปร่งโชกเลือดก็วิ่งฉิวออกไปแล้ว มือบางๆ ของเธอจึงคว้าได้แต่เพียงลมอุ่นๆ ติดกลับมาเท่านั้น สมองที่ขาวโพลนไปเกือบสามวินาทีจึงสั่งการให้เท้าทั้งสองข้างของเธอถอยหลังกลับมาทีละนิดตามคำที่คนร่างสูงสั่งเอาไว้ก่อนออกไป
เขาวิ่งได้เร็วออกขนาดนั้น ที่ให้เธอถูลู่ถูกังลากเขามาถึงที่นี่ เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ทั้งที่เธอรู้สึกผิดแทบเป็นแทบตายกับความคิดที่ว่าตัวเองอาจเป็นสาเหตุให้เขาต้องเจ็บตัว พยายามแบกคนตัวโตอย่างเขาขึ้นหลังอย่างไม่คิดชีวิต พุ่งชนโน่นที กระแทกนี่ทีไม่ต่างแมลงวันไม่มีหัว ก็ยังไม่ล้มเลิกความคิดจะช่วยเหลือเขา แต่เขาก็ยังหลอกให้เธอลากเขามาถึงนี่ได้ลงคอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการโทรศัพท์เรียกคนมาช่วยที่เขาเผยพิรุธคำโตออกมาเองกับปาก ถ้าเขาไม่คิดเอาลูกไม้พรรค์นี้มาหลอกปั่นหัวเธอ ป่านนี้เธอกับเขาก็คงกลับไปถึงคฤหาสน์มังกรมุกอย่างปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องมาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายแบบนี้
เรื่องสำคัญขนาดนี้ยังหลอกกันได้อย่างไม่สะทกสะท้าน นับประสาอะไรกับเรื่องอื่น...
ที่แท้ยังมีเรื่องอะไรที่เขาพูดจริงอยู่บ้าง!
หรือเขาคิดว่าเธอโง่นักหนา อยากจะหลอกปั่นหัวเล่นยังไงก็ได้...
เมื่อคืนวานก็ขู่แบล็กเมลเธอ จนเธอต้องตกกระไดพลอยโจนไปอยู่ในสภาพล่อแหลม วันนี้ก็กระชากโทรศัพท์เธอไปเป็นตัวประกัน บังคับให้เธอบอกความลับ บังคับให้เธอทำโน่นทำนี่ จนตอนนี้ก็มาหลอกให้เธอตกอยู่ในอันตรายอีก
ไม่ต้องย้อนกลับมางั้นเหรอ... ต้องรอให้เขาบอกด้วยหรือไง...
ไม่ว่าจะย้อนกลับมาช่วยคนเป็น หรือกลับมาเก็บศพคนตาย จ้างให้เธอก็ไม่กลับมาทั้งนั้น!
เพียงน้ำพลอยข่มโทสะที่ปะทุขึ้นจนเดือดพล่านไปทั้งร่างเอาไว้ แล้วพยายามคิดถึงเหตุผลให้มาก ระลึกถึงมโนธรรมที่ตกตะกอนลึกลงไปจนสุดขั้วหัวใจขึ้นมา จะอย่างไรเสียตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องที่ผ่านไปแล้ว เรื่องสำคัญที่สุดก็คือต้องหนีออกจากที่นี่ให้ได้ก่อน แล้วค่อยตามคนมาช่วยเขา
เธอจะปล่อยให้เขาตายไม่ได้...แม้ว่าเขาจะสมควรตายแค่ไหนก็ตาม...
ดวงตากลมโตดุจไข่มุกดำเม็ดงามจ้องไปที่ปากทางเบื้องหน้าอย่างระมัดระวัง พร้อมกันนั้นก็ค่อยๆ ย่องไปชะโงกหน้าสังเกตผู้คนบนท้องถนนทั้งซ้ายขวา ก่อนจะเห็นว่าท่าทีตื่นตระหนกของคนเริ่มเบาบางลง เป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจจะวิ่งห่างออกไปไกลพอสมควรแล้ว
หากจะกล่าวถึงโอกาสในการหลบหนีล่ะก็ เกรงว่าคงไม่มีโอกาสไหนเหมาะเจาะไปมากกว่านี้อีก
ร่างบางระหงสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อเรียกขวัญกำลังใจครั้งสุดท้าย แม้จะผิดคาดไปสักหน่อยที่กำลังใจไม่ใคร่เข้าร่าง แต่เป็นกลิ่นอับชวนคลื่นเหียนเข้าแทรกทั่วทุกสรรพางค์แทน หากถึงอย่างนั้นก็ถือว่าเป็นสัญญาณเอาฤกษ์เอาชัยที่ไม่เลว สิ้นเสียงปล่อยลมหายใจ สองขาเรียวยาวจึงวิ่งออกจากตรอกแคบๆ เลี้ยวไปทางซ้ายอย่างสุดฝีเท้าทันที มือซ้ายกำกระเป๋าเงินหนังสีดำของเขา ส่วนมือขวากำโทรศัพท์เขาเอาไว้ พยายามใคร่ครวญขณะที่สองเท้าทำงานอย่างหนักหน่วงว่า ที่เขาบอกไว้ว่าให้วิ่งไปไกลสักหน่อยค่อยโทรหาน้ำผึ้งพระจันทร์มารับนี่...จะต้องไกลแค่ไหนถึงจะนับว่าไกลได้...
ทว่ายังไม่ทันจะได้คิดออก ภาพบางอย่างที่เธอแน่ใจว่ามันถูกไฟโทสะเผาจนมอดไปแล้วก็วนกลับมาฉายซ้ำในหัวเธออีกครั้ง ซ้ำร้ายยังมาจำเพาะเจาะจงฉายเอาในช่วงเวลาสำคัญอย่างนี้ด้วย
ภาพใบหน้าขาวซีดราวกับกระดาษ ริมฝีปากแห้งผากเขียวคล้ำจนหน้ากลัว โลหิตสีแดงฉานที่ย้อมเสื้อสีดำสนิทของเขาให้ดำทะมึนขึ้นกว่าเดิมไปเกือบครึ่งร่าง...
แม้จะไม่มั่นใจเลยสักนิดว่าภาพที่ปรากฏขึ้นในหัวตอนนี้จะไม่ใช่สิ่งที่เขาเสแสร้งแกล้งทำขึ้น แต่ขาทั้งข้างของเธอกลับไม่ยอมวิ่งไปข้างหน้าแม้แต่ครึ่งก้าว เอาแต่หยุดยืนอยู่อย่างนั้น รู้ตัวอีกทีเสียงเบรกเสียงแตรก็ดังลั่นถนน ชั่ววินาทีนั้นเอง เธอถึงได้รู้ว่าตัวเองยืนอยู่กลางสี่แยกไฟแดง และน่าจะยืนอยู่ตรงนี้มาได้สักพักแล้ว ยวดยานพาหนะทุกชนิดถูกเหนี่ยวรั้งไว้ด้วยกลไกขั้นสุดท้ายไม่ให้พุ่งชนเธอจนดับอนาถ และแน่นอนว่ากลไกเหล่านั้นค่อนข้างจะสวนทางกับใจคนขับอย่างสิ้นเชิง แค่เธออ่านปากพวกเขาผ่านๆ ยังพอจะจับความหมายได้แล้วว่า พวกเขาทั้งสบถทั้งบริภาษไปถึงบรรพบุรุษเจ็ดชั่วโคตรของเธอเจ็บแสบแค่ไหน
จะให้ถอยหลังกลับมาอยู่ในทางเท้าเหมือนเดิมนั้นไม่ใช่เรื่องยากเย็นนัก แต่หลังจากถอยกลับมาแล้วจะให้วิ่งไปทางไหน กลับสร้างความลำบากให้เธอไม่น้อย
นับแต่วินาทีที่เธอรู้ว่าถูกเขาหลอกปั่นหัวเข้าให้ เธอก็ไม่กล้าจะวางตัวเองไว้ในฐานะของคนที่มีความคิดความอ่านอีก ฉะนั้นในตอนนี้ ต่อให้เป็นการตัดสินใจของเธอเอง เธอก็ยังมองว่ามันเป็นสิ่งที่เชื่อยากเต็มทน
แต่ว่า...สีหน้าเจ็บปวดทรมานของคนคงไม่ใช่สิ่งที่หลอกกันได้ง่ายๆ
ถ้าเขาหลอก...อย่างดีเธอก็แค่โกรธจนลงมือทุบตีเขาสองสามครั้ง ถึงเจ็บถึงคันก็คงไม่ถึงตาย
แต่ถ้าเขาไม่ได้หลอกล่ะก็...
ยังไม่ทันที่เสียงถกเถียงกับตัวเองในหัวจะได้เงียบลง เพียงน้ำพลอยก็หันหลังวิ่งกลับไปยังทิศทางที่จากมาอย่างสุดฝีเท้า ทั้งๆ ที่เพิ่งประกาศกร้าวออกมาหยกๆ ว่าเป็นตายยังไงก็จะไม่กลับมาช่วยเขา แต่พอผ่านไปไม่ถึงห้านาที เธอกลับวิ่งหน้าตั้งมาช่วยเขาเสียแล้ว คิดแล้วก็ชวนให้สมเพชเวทนาศักดิ์ศรีตัวเองอยู่ไม่น้อย ทว่าในฐานะของเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก เธอคงทำใจจืดใจดำถึงขั้นนั้นไม่ลง แม้การตามคนมาช่วยเขาทีหลังจะนับว่าเป็นการช่วยเหลือเขาเหมือนกัน แต่เธอกลับวางใจไม่ลง อดคิดไม่ได้ว่าตอนที่คนของมังกรมุกมาถึง อาจจะรั้งชีวิตคนไว้ไม่ทันแล้ว
เธอจำได้ไม่ถนัดนักว่าตัวเองเคยวิ่งเร็วขนาดนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ น่าจะเป็นตอนประถมที่เคยวิ่งแข่งสี่คูณร้อยเมตรในงานกีฬาสี ไม่สิ...เธอไม่เคยลงแข่งกีฬาอะไรเลยสักอย่างต่างหาก ที่พอจะนึกออกก็คงมีแค่ประกวดเด็กหญิงมารยาทงามในงานโรงเรียนเท่านั้น หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ชั่วชีวิตนี้เธอไม่เคยต้องมาออกแรงทำอะไรอย่างนี้มาก่อน และต่อให้นึกย้อนไปอีกสามชาติก็คงไม่มีอยู่ดี
ดวงตากลมกวาดมองไปตามท้องถนนเพื่อหาร่องรอยของเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วน ขณะเดียวกันก็ใคร่ครวญถึงวิธีการช่วยเขาออกมาจากการไล่ล่าบ้าระห่ำนั่น เธอรู้ดีว่าตัวเองไม่มีกำลังมากนัก เพราะฉะนั้นหากคิดจะช่วยเขา ต้องใช้สมองให้มากสักหน่อย จะอาศัยแค่ความกล้าบ้าบิ่นอย่างเดียวคงไม่พอ ดีไม่ดี ช่วยคนไม่ได้ เธอยังจะกลายไปเป็นภาระเขาอีก เธอไม่อยากจะพัวพันกับเขามากไปกว่านี้แล้ว เกิดไปติดหนี้บุญคุณอะไรเขาเข้า ใช้หัวแม่เท้าคิดก็ยังรู้ว่าคนพรรค์นั้นจะต้องอ้างบุญคุณช่วยชีวิตมาเอาเปรียบเธอในภายหลัง ซึ่งเธอไม่มีวันยอมให้มันเป็นแบบนั้นแน่
เขาต่างหากที่สมควรจะต้องรู้สึกติดค้างเธอ!
สองขาที่ทำงานอย่างหนักหน่วงเริ่มเหนื่อยล้าลงเรื่อยๆ จนรู้สึกเหมือนเท้าทั้งสองข้างแขวนลูกตุ้มเหล็กขนาดมหึมาเอาไว้ก็ไม่ปาน ใกล้จะล้มคะมำไปข้างหน้าทุกครั้งที่ฝ่าเท้าข้างหนึ่งสัมผัสพื้น ทว่าสัญชาตญาณเอาตัวรอดกลับยังทำงานได้อย่างแจ่มชัดดีเยี่ยม ถึงสติจะใกล้พร่าเลือน แต่สองขาก็ยังคงวิ่งต่อไปอยู่อย่างนั้น
เธอวิ่งผ่านมาห้าถนนแล้ว ผ่านตรอกเดิมที่เคยซ่อนตัวอยู่กับเขามาสามถนนเห็นจะได้ แต่เธอกลับไม่เห็นเงาร่างสูงโปร่งโชกเลือดของเขาเลยแม้แต่เศษเสี้ยว ความกลัวเริ่มครอบงำหัวใจเต้นระส่ำของเธอทีละนิด แม้จะพยายามข่มกลั้นความคิดแสนอัปมงคลนั้นเอาไว้ แต่มันก็ยังดื้อรั้นจะร้องตะโกนให้เธอฟังข้อสันนิษฐานของมันอยู่นั่นแหละ ลำบากเธอต้องโต้เถียงกับมันอย่างเดือดดาลถึงสิ่งที่เธอเชื่อมั่นอยู่ในใจ
เธอเคยได้ยินว่าคนสมควรตายมักอายุยืน เพราะฉะนั้น เธอไม่มีวันเชื่อหรอกว่าคนแบบนั้นจะหายไปจากโลกนี้ได้ง่ายๆ
ทันใดนั้นเอง หางตาคมก็เหลือบไปเห็นร้านขายของเล่นเก่าๆ ร้านหนึ่งที่หัวมุมถนน มีเจ้าของร้านวัยชราที่แก่หง่อมจนเดาอายุไม่ได้สวมเสื้อเชิ้ตเนื้อผ้าทิ้งตัวสีขาวแต่มีคราบเหลืองเข้าในกางเกงเอวสูง กำลังออกแรงดึงประตูเหล็กกรังสนิมเข้าหากันด้วยท่าทางงกๆ เงิ่นๆ เหนือป้ายร้านมีผ้าใบสีเขียวจัดยื่นออกมาเป็นกันสาด และด้วยมุมมืดๆ อับๆ นั้นเอง ทำให้เธอมองไม่เห็นแม้แต่ชื่อร้านหรือใบหน้าเจ้าของร้าน หน้าร้านวางของเล่นบางส่วนระเกะระกะล้นทะลักออกมาจากในร้าน คาดว่าคงยังเก็บเข้าไปในร้านไม่หมดนั่นเอง ในบรรดาของที่วางล้นออกมานั้น ร้อยละเก้าสิบเป็นของเล่นที่ไม่ได้รับความนิยมแล้วทั้งสิ้น ทั้งกลองสะบัดอันจิ๋วสีแดง หุ่นกระบอก หรือแม้แต่ลูกแก้วหลากสี หากให้เธอประเมินในสายตาของคนค้าขายแล้วล่ะก็ ร้านค้าร้านนี้นอกจากเปิดเพื่อระลึกความหลังของเจ้าของร้านกับคนรุ่นเก่าบางกลุ่มแล้ว หากำไรเป็นกอบเป็นกำอะไรไม่ได้เลยสักนิด
แต่ใครเล่าจะคิดว่าในช่วงเวลาคับขันที่สุด สิ่งที่ผุดขึ้นมาในความคิดก็เป็นของเก่าๆ ในความทรงจำนี่แหละ...
เพียงน้ำพลอยขุดแรงที่ซุกซ่อนอยู่ในทุกส่วนของร่างกายออกมาใช้จนหยดสุดท้าย สาวเท้าวิ่งเข้าไปร้านของเล่นตรงมุมถนนเบื้องหน้าอย่างสุดชีวิต และเพียงไม่กี่วินาที ความเร็วสูงสุดจากฝีเท้ามนุษย์ก็ส่งให้ร่างบางระหงพุ่งถลาเข้าใส่ประตูเหล็กเก่าๆ อย่างจัง ทว่าก็ยังโชคดีที่ประตูเหล็กโกโรโกโสนั้นยังพอจะหยุดยั้งกายหยาบของคนได้อยู่บ้าง เพียงน้ำพลอยจึงไม่ได้ทะลุผ่านมันไป ได้แต่ยกมือขึ้นแกะตัวเองออกจากประตูสนิมกรังเท่านั้น
และทันทีที่ตั้งสติได้ เพียงน้ำพลอยก็ก้มลงอุ้มโถใส่ลูกแก้วหลากสีบนพื้นขึ้นมาสองโถ ก่อนจะลั่นวาจาออกไปอย่างเฉียบขาดเพียงคำเดียว
“เหมา!” จบคำเธอก็ไม่รอให้อีกฝ่ายถามตอบอะไรให้พิรี้พิไร รีบควักธนบัตรใบใหญ่ที่สุดในกระเป๋าหนังสีดำที่เขาทิ้งไว้ให้ ออกมายัดใส่มือเหี่ยวย่นของเถ้าแก่สูงวัย แล้วรีบพุ่งออกจากร้านมาทันทีโดยไม่คิดสนใจเงินทอน หรือเสียงร้องเรียกตามหลังที่ไม่ได้ดังไปกว่าเสียงกระซิบสักเท่าไหร่ของชายร่างแก่หง่อม
ตอนนี้ก็เหลือแค่หาเขาให้เจอเท่านั้น... ไม่รู้เขาล่อพวกนั้นไปถึงไหนกัน เธอวิ่งหามาห้าถนนแล้วก็ยังไม่เจออีก
หรือว่า...
ไม่สิ...คนเป็นก็ต้องเห็นคน คนตายก็ต้องเห็นศพ!
ไม่ถึงชั่วอึดใจ ขาทั้งสองข้างก็พาเธอมาถึงทางสามแพร่งที่ปลายถนนเส้นที่ห้า เธอตัดสินใจเลี้ยวเข้าไปในทางแยกขวามือก่อน ในใจเพียงแค่คิดว่าเลือกวิ่งไปทางไหนก่อนก็ได้สักทาง ถ้าไม่เจอจะได้รีบวิ่งไปดูอีกทางที่เหลือ แต่ใครจะคิดว่าวิ่งไปจนสุดทางจะเป็นซอยตันที่สองฝั่งปิดล้อมด้วยอพาร์ทเม้นท์โทรมๆ สองหลัง และตรงสุดซอยนั้นเอง...มีแมวขโมยร่างสะบักสะบอมตัวหนึ่งกำลังถูกล้อมไว้ด้วยกำแพงมนุษย์อาวุธครบมือเกือบยี่สิบชีวิต
ร่างสูงโปร่งในเสื้อเชิ้ตสีดำเปียกโชกเลือดไปกว่าครึ่งร่าง ทำให้สีดำของผ้ายิ่งดำสนิทขึ้น ขับให้ผิวขาวซีดของเขาดูซีดเซียวขึ้นกว่าเดิม ริมฝีปากเขียวคล้ำจนเกือบจะเป็นสีม่วงมีรอยช้ำเลือดช้ำหนองอยู่ที่มุมปาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงส่วนอื่นของใบหน้าที่เปื้อนรอยถลอก เปรอะฝุ่นดิน และย้อมอาบเลือดไปเกือบทั้งหน้า น้ำหนักตัวเทเอนไปที่ขาข้างหนึ่งจนแทบไม่ต่างจากกระต่ายขาเดียว ดูไปแล้วไม่ได้ใกล้เคียงกับคนที่ขับรถเฟอร์รารี่คันหรูพาเธอมาที่นี่เมื่อตอนกลางวันเลยแม้แต่น้อย มีเพียงเสื้อผ้าชุดเดิมเท่านั้น ที่ทำให้เธอแน่ใจได้ว่าตัวเองไม่ได้หาเรื่องใส่ตัวมายุ่งกับหนี้แค้นของอันธพาลเจ้าถิ่นเข้า
เห็นสภาพไม่ต่างจากศพยืนได้ของเขาแล้ว เธอไม่อยากจะคิดเลยว่าหากตัวเองหนีไปก่อนจริงๆ แล้วค่อยเรียกคนมาช่วยเขาทีหลัง เขาจะต้องตกอยู่ในสภาพไหนกัน...
‘เราคงต้องแยกกันหนี ผมจะล่อพวกมันไปทางอื่น คุณรอจนแน่ใจว่าพวกมันไปหมดแล้วค่อยหนีออกไป อ้อ แล้วจะดีมากถ้าคุณหนีไปให้ไกลสักหน่อย แล้วค่อยโทรเรียกเพื่อนคุณมารับ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นไม่ต้องย้อนกลับมา โทรศัพท์คุณเริ่มแบตอ่อนแล้ว นี่โทรศัพท์ผม นี่กระเป๋าตังค์ผม แล้วนี่ปืน เผื่อจำเป็น’
ถึงตอนนี้เพียงน้ำพลอยถึงได้รู้ว่า คำสั่งเสียพวกนั้นเขาไม่ได้เอ่ยถึงตัวเขาเองเลยสักนิด แม้แต่ปืนกระบอกเดียวที่มีอยู่ก็ยังยัดใส่มือเธออย่างไม่ลังเล โดยไม่ถามเธอสักคำว่าเธอยิงปืนเป็นรึเปล่า บอกเพียงแค่ให้เธอหนีไปให้ได้เท่านั้น เธออยากจะคิดในแง่ดีว่า เขาก็แค่ไม่ได้เอ่ยถึงหนทางที่อยู่ในใจของตัวเองเท่านั้น ไม่ใช่ว่าไม่มีมันจริงๆ สักหน่อย แต่ดูจากสถานการณ์ตรงหน้าแล้วมันยากจะเชื่อเหลือเกิน ที่รออยู่ข้างหลังเขาเป็นกำแพงสูงไม่มีแม้แต่รูให้สุนัขลอด สองข้างเป็นอพาร์ทเม้นท์โกโรโกโสสองหลัง ด้านหน้าเป็นกองทัพมือสังหารเกือบยี่สิบชีวิตที่ล้อมเขาเอาไว้เป็นครึ่งวงกลม
แค่ดูก็รู้ว่าทางรอดทุกทางของเขาถูกปิดตายหมดแล้ว นอกเสียจากว่าเขาจะมีปีกบินได้เท่านั้น!
แต่สภาพดูไม่จืดอย่างนั้นจะเอาปีกที่ไหนมาบิน ลำพังแค่ยืนก็ยังแทบจะไม่อยู่แล้ว
เพียงน้ำพลอยกลืนความกลัวห้วงสุดท้ายที่พุ่งขึ้นมากะทันหันลงคอไป ก่อนจะยกปืนสั้นกระบอกหนึ่งที่เหน็บอยู่ข้างเอวขึ้นมา เล็งไปที่ท่อประปาที่ต่อลอยขึ้นมาบนพื้นดินหน้าอพาร์ทเม้นท์หลังขวามือ ก่อนจะลั่นไกออกไปอย่างแม่นยำสองนัดติดกัน จากนั้นก็หันทิศทางปืนไปยังท่อประปาอีกฝั่งหนึ่งทางซ้ายมือ เพื่อลั่นไกออกไปอีกสองนัดทันที
ปังง!!! ปังง!! ปังง!!! ปังง!!
ซ่าาาาาาาาาา!!!!!!
เสียงปืนสองนัดดังลั่นสนั่นไปทั่วตรอกซอย ทว่าก่อนที่กองกำลังอาวุธครบมือจะได้หันมาสนใจเจ้าของเสียงปืน กระแสน้ำหนักๆ จากสองข้างทางก็พุ่งขึ้นเป็นน้ำพุสายมหึมา โถมสาดซัดชายฉกรรจ์หลายสิบชีวิตจนหันซ้ายหันขวากันจ้าละหวั่น ผลักคนข้างๆ ยกมือปัดป่ายสายน้ำเป็นพัลวัน และชั่ววินาทีนั้นเอง เพียงน้ำพลอยก็เปิดฝาโถลูกแก้วสองโถแล้วเทกราดลงบนพื้นถนน ปล่อยให้ลูกแก้วนับร้อยลูกไหล่บ่าไปสร้างความโกลาหลให้กับมือสังหารเดนตายตรงหน้า
เธออยากจะรู้นักว่า กระสุนมันจะยิงออกมาได้ยังไง ในเมื่อคนยิงยังยืนไม่อยู่!!
“หะ...เห้ยๆๆ อะไรวะ!!! เห้ยย!!” เสียงร้องโวยวายดังอึงอลกับเสียงบั้นท้ายจ้ำเบ้าดังตามมาติดๆ กัน ทำให้เพียงน้ำพลอยยิ้มพรายออกมาด้วยความพอใจ ทว่าก็ต้องหุบยิ้มลงในเสี้ยววินาทีต่อมา เมื่อนึกได้ว่ายังไม่เห็นเงาของคนๆ นั้นฝ่าวงล้อมออกมาเลย
หรือว่าเขาเองก็ล้มก้นจ้ำเบ้าอยู่ในนั้นไปแล้ว
สวรรค์...เธอเปิดทางให้เขาขนาดนี้แล้ว เขาจะยังหนีออกมาไม่ได้อีกงั้นเหรอ!
ทว่าชั่วเสี้ยวอึดใจนั้นเอง ร่างบางระหงที่กำลังยืนชะเง้อคอรอคอยการปรากฏตัวของคนเลือดท่วมตัวในวงล้อม ก็ถูกวัตถุหนักๆ จากเหนือศีรษะโถมลงมาทับจนล้มครืนลงไปกองอยู่กับพื้น มือบางออกแรงทั้งผลักวัตถุปริศนาออกจากตัวทั้งยันตัวเองลุกจากพื้นในเวลาเดียวกัน ก่อนจะเห็นว่าสิ่งที่ตัวเองผลักจนกระเด็นไปไกลเป็นโยชน์นั้น ไม่ใช่ตู้เย็นผุพังของบ้านไหนตกลงมา แต่เป็นร่างสะบักสะบอมดูไม่จืดที่เธอเฝ้ารออยู่นั่นเอง
“นะ...นี่คุณมาจากทางไหนเนี่ย” เพียงน้ำพลอยถลาไปพยุงเขาลุกขึ้น พลางหันซ้ายหันขวามองหาทิศทางที่พอจะเป็นไปได้ว่าเขาวิ่งจากมา แต่จนแล้วจนรอดก็ยังคิดไม่ออกว่าเขาวิ่งมาจากทางไหน เธอที่เฝ้าอยู่ปากทางถึงได้มองไม่เห็น
ทางเดียวที่คิดออกซึ่งเป็นไปได้มากที่สุด และเป็นไปไม่ได้มากที่สุดในเวลาเดียวกันก็คือ...
เขากระโดดลงมาจากระเบียงด้านบน!
ฟรานไม่ตอบคำถามแต่รีบยันตัวเองลุกขึ้นตามแรงฉุดของเธอ แล้วตั้งท่าจะลากเธอหนีตายอีกครั้ง ทว่ายังไม่ทันจะออกวิ่งไปถึงสามก้าวดี เสียงสบถหยาบคายที่ดังแทรกเสียงสายน้ำขนาดมหึมาไล่ตามหลังก็เรียกให้เพียงน้ำพลอยหันกลับไปมองอย่างอดใจไม่อยู่
และในเสี้ยววินาทีเดียวกันนั้นเอง วัตถุมีคมแผ่อายสังหารเย็นเยียบก็กรีดสายน้ำแหวกอากาศพุ่งตรงมาหาเธอ หมายจะเจาะทะลวงกลางหน้าผากเธอให้ดับสิ้นในคราวเดียว เพียงน้ำพลอยแข็งทื่อไปทั่วทั้งร่าง รู้สึกคล้ายกับเห็นมีดสั้นนั้นค่อยๆ เคลื่อนที่เข้ามาใกล้ใบหน้าตัวเองอย่างช้าๆ หากทั้งที่มันคืบคลานมาช้าถึงปานนั้น เธอกลับขยับเขยื้อนหนีไปไหนไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว ไอเย็นยะเยือกปริศนาจากปลายคมมีดแผ่ลามมาครอบคลุมตัวคนชวนให้ไรขนอ่อนๆ บริเวณท้ายทอยลุกซู่ขึ้นตั้งแต่ปลายมีดยังไม่เฉียดกรายมาถึง
ยิ่งมันพุ่งเข้ามาใกล้เท่าไหร่ เพียงน้ำพลอยก็ยิ่งรู้สึกว่าแรงเสียดทานจากอากาศเริ่มจะน้อยลงทุกที มันถึงได้พุ่งเข้ามาเร็วขึ้นเป็นเท่าตัว ราวกับอดใจจะดื่มเลือดจากกะโหลกเธอไม่ไหวแล้ว
ดวงตากลมโตเบิกโพลงจนคล้ายจะถลนออกจากเบ้า สมองที่เคยฉับไวขาวโพลนไปชั่วขณะ จนกระทั่งปลายมีดคมกริบพุ่งมาอยู่ตรงหน้าจนห่างจากหว่างคิ้วเธอไม่ถึงหนึ่งนิ้วดี ร่างแข็งทื่อของเธอถึงได้สะท้านเฮือกจนสุดตัว ทว่าทันใดนั้นเอง คมมีดที่ควรจะปักฉึกเข้ากลางหน้าผากเธออย่างจังกลับหยุดชะงักอยู่กลางอากาศ ทำเอาวิญญาณที่หนีเตลิดไปของเธอหวนคืนสู่ร่างแทบไม่ทัน
เส้นประสาทที่เปลือกตาบางเริ่มมีความรู้สึกขึ้นทีละนิด เธอจึงกระพริบตาถี่ๆ ต่อกันอีกหลายครั้งเพื่อปรับสายตาให้มองภาพตรงหน้าให้กระจ่างชัด หากแต่สิ่งที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้านั้นกลับทำให้เธอแทบตาถลนออกจากเบ้าเข้าจริงๆ เมื่อเห็นว่าใบมีดคมกริบยาวเท่าฝ่ามือถูกมือหนาของคนร่างสูงกำเอาไว้แน่น เพียงน้ำพลอยจึงค่อยๆ เบือนหน้าขึ้นไปมองใบหน้าขาวซีดของเขา ก่อนจะเห็นว่าสีหน้าเขายังคงเรียบเฉยอยู่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้ว่าโลหิตข้นคลั่กที่ไหลออกมาจากง่ามนิ้วทั้งห้านั้นจะสวนทางกับสีหน้าเยือกเย็นของเขาโดยสิ้นเชิงก็ตาม
เมื่อมือหนาชุ่มเลือดคลายออก ใบมีดคมกลับยังฝังติดอยู่กับแพนิ้วทั้งสี่ ฟรานจึงใช้มืออีกข้างกระชากมันออกมาอย่างไม่ใยดีนัก แล้วซัดมันกลับไปยังทิศทางที่มันจากมาโดยไม่เหลือบกลับไปมองแม้แต่หางตา ขณะที่เพียงน้ำพลอยนั้นประสาทตื่นตัวจนถึงขั้นสุด มองเห็นอย่างชัดเจนว่ามีดสั้นเล่มนั้นพุ่งกลับไปปักเข้ากลางหน้าผากของชายร่างหนาผู้เป็นเจ้าของมีดจนมิดด้าม ร่างหนาร่างนั้นค่อยๆ ทรุดตัวลงบนแอ่งน้ำกลางถนนทั้งที่ดวงตาแดงฉานทั้งสองข้างยังเบิกโพลงอยู่ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้เห็นอะไรไปมากกว่านี้ มือหนาอีกข้างของเขาก็ฉุดเธอออกวิ่งไปจากสงครามกลางเมืองทันที
เธอวิ่งตามแรงฉุดของเขาอย่างสุดกำลัง ทว่าก็จนใจที่ช่วงขาเธอยังสั้นกว่าเขาอยู่ดี ต่อให้วิ่งจนสุดชีวิตเท่าไหร่ก็ยังช้ากว่าเขาอยู่วันยังค่ำ ใบหูจึงพอจะได้ยินเสียงร้องบริภาษที่ตามหลังมาอยู่แว่วๆ หากก็ได้ยินไม่ถนัดนัก คาดว่าน่าจะเป็นการขุดบรรพบุรุษสิบแปดชั่วรุ่นออกมาด่ากราด หรือไม่ก็คงเป็นคำสบถอย่างหยาบคายนั่นแหละ
โดยไม่ได้เอะใจเลยสักนิดว่า มือหนาที่ฉุดกระชากเธอออกวิ่งนั้น ถึงกับเย็นเยียบไปชั่วขณะเมื่อได้ยินคำๆ นั้นดังลั่นขึ้น...
เพียงไม่ถึงอึดใจ เขาก็พาเธอวิ่งมาจนถึงหน้าถนนใหญ่จนได้ เพียงน้ำพลอยหอบจนตัวโยน แม้แต่ขนตาก็ยังชุ่มไปด้วยเหงื่อจนหนักอึ้งเกินกว่าจะลืมตา ครั้นพอคิดจะร้องบอกให้เขาหยุดพักสักหน่อย ก็มีเพียงเสียงหอบแฮ่กของตัวเองบอกเล่าเรื่องราวขึ้นแทน พอรู้ตัวอีกทีก็ถูกเขาจับยัดเข้าไปในรถแท็กซี่คันหนึ่งเสียแล้ว
“พอลล็อค แพ็ธ” สิ้นเสียงเอ่ยบอกที่หมายกับคนขับเพียงสั้นๆ ของเขา เพียงน้ำพลอยก็ไม่แน่ใจนักว่าเขาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก หรือสติเธอพร่าเลือนจนฟังอะไรไม่ได้ศัพท์แล้วกันแน่
เธอรู้เพียงแต่ว่า ในรถแท็กซี่ที่เปิดแอร์เย็นเฉียบจนเสียดกระดูกนั้น ตัวเองไม่ได้หนาวเหน็บสักเท่าไหร่ ก่อนจะก็รู้สึกคล้ายกับเขาเอ่ยถามอะไรออกมาอีกสองสามคำ เธอจึงส่งเสียงอือออตอบเขาอยู่ในลำคอ ทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังพ่นเรื่องอะไรออกมาให้ฟัง
หลังจากนั้น ร่างกายที่ถูกใช้งานอย่างหนักหน่วงมาตลอดหลายชั่วโมงก็ไม่อาจเหนี่ยวรั้งสติที่พร่าเลือนจนถึงขีดสุดไว้ได้อีก ได้แต่ปล่อยให้ทุกสิ่งดำดิ่งลงสู่ความมืดมิดแต่โดยดี เปลือกตาบางหลับพริ้มลงอย่างเหนื่อยอ่อน แม้แต่ศีรษะน้อยๆ ของเธอล้มลงหนุนตักอุ่นของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ คาดว่าเจ้าตัวเองก็คงไม่รู้เลยสักนิด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงน้ำเสียงแหบพร่าทุ้มต่ำที่ถูกกองไว้แต่เพียงหน้าประตูนิทรา ไม่ได้ผ่านเข้าสู่โสตประสาทของเธอแม้แต่ครึ่งคำ
ร่างสูงเอ่ยขึ้นพลางใช้มือข้างที่ยังสะอาดอยู่ปัดปอยผมปอยหนึ่งที่ตกลงมาระใบหน้าแดงระเรื่อออกอย่างอ่อนโยน ก่อนจะใช้สันนิ้วชี้เคาะที่ปลายจมูกเชิดรั้นนั้นเบาๆ
“บ้าเลือดชะมัดเลย...”
แอบเห็นด้วยกะเฮียฟรานนะ น้ำพลอยนี่เอาเข้าจริงก็บ้าเลือดไม่ต่างจากเจ้าจันทร์เลย มิน่าล่ะได้เป็นเพื่อนกัน 55555555
พาร์ทที่เหลือภายในสองสามวันนี้น้าา
อย่าลืมเม้นท์+จิ้มโหวตเป็นกำลังใจให้เค้าด้วยน้าา^^
เรื่องนี้ยังเม้นท์น้อยเหลือเกินน เล่นเอาคนเขียนท้อแท้เลยยTT
พริมสิตางศุ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 มิ.ย. 2560, 17:45:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ก.ค. 2560, 03:25:22 น.
จำนวนการเข้าชม : 904
<< Chapter 7 : ฝุ่นตลบ | Chapter 9 : คำพิพากษา >> |