The D.O.L.L.S โศกนาฏกรรมปีศาจตุ๊กตามหาเวท SEASON 2
"นักขายความฝันผู้เลือดร้อน & นักโทษประหารผู้เริงร่า & หัวขโมยผู้เย็นชา"
ต่างถิ่น ต่างความคิด ต่างอาชีพ ต่างนิสัย ต่างจุดมุ่งหมาย ต่างเผ่าพันธุ์
กลับต้องมาอยู่ด้วยกันเพราะเหตุบางอย่าง... The D.O.L.L.S
ตุ๊กตาปีศาจมีลักษณะรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ
ถ้าอย่างนั้น...จะรู้ได้อย่างไร?
...เป็นปีศาจ...หาใช่มนุษย์ไม่...
ระวังไว้ให้ดี...ทุกอย่างอาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา...
...ที่ใครบางคนสร้างขึ้นเท่านั้น...
สงครามระหว่างผู้มีพลังเวทกับมนุษย์ธรรมดา
ใครจะอยู่รอดเป็นผู้กำชัยชนะ!?
- ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านจากใจจริง -
แผนที่นครเซ็นทรัม http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/map122e1.jpg
ต่างถิ่น ต่างความคิด ต่างอาชีพ ต่างนิสัย ต่างจุดมุ่งหมาย ต่างเผ่าพันธุ์
กลับต้องมาอยู่ด้วยกันเพราะเหตุบางอย่าง... The D.O.L.L.S
ตุ๊กตาปีศาจมีลักษณะรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ
ถ้าอย่างนั้น...จะรู้ได้อย่างไร?
...เป็นปีศาจ...หาใช่มนุษย์ไม่...
ระวังไว้ให้ดี...ทุกอย่างอาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา...
...ที่ใครบางคนสร้างขึ้นเท่านั้น...
สงครามระหว่างผู้มีพลังเวทกับมนุษย์ธรรมดา
ใครจะอยู่รอดเป็นผู้กำชัยชนะ!?
- ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านจากใจจริง -
แผนที่นครเซ็นทรัม http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/map122e1.jpg
Tags: ตุ๊กตา,ปีศาจ,คำสาป,เวทมนตร์,สงคราม,แฟนตาซี,ผู้ใช้เวท,มนุษย์,โศกนาฏกรรม,mystery
ตอน: Episode 36 : || กลัว ||
EPISODE 36
กลัว
มิลองหายตัวไปสองวันแล้ว และเธอก็กำลังจะเป็นบ้าตายเพราะความเป็นห่วง นี่เขาไปทำอะไรอยู่ที่ไหนกันแน่นะ ทำไมถึงไม่ยอมกลับบ้าน แต่ความกังวลใจก็ต้องเพิ่มมากขึ้นเมื่อเธอไปขอความเห็นจากท่านพ่อ เวเธอร์ทำเพียงแค่พยักหน้าน้อยๆ เป็นการรับรู้ แล้วยกเรื่องการฝึกดาบของเธอขึ้นมาพูดต่อเหมือนไม่ได้สนใจการหายตัวไปของมิลองเลยสักนิด ปฏิกิริยาเฉยเมยที่ได้รับจากผู้เป็นพ่อทำให้มิเวลต้องกลั้นความเสียใจเอาไว้ เธออยากจะร้องไห้เหลือเกิน
“ท่านแม่...ทำไมทั้งท่านย่าและท่านพ่อถึงต้องทำเย็นชากับมิลองด้วยล่ะ” เสียงพึมพำเอ่ยถามอย่างเศร้าๆ รู้สึกกลัวในคำตอบของอีกฝ่ายจับใจ
“ลูกอาจจะยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจ” คำตอบที่ไม่มีอะไรต่างไปจากเดิม แม้จะได้รับรอยยิ้มอ่อนโยนจากผู้เป็นแม่ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด
“ท่านแม่ตอบข้าแบบนี้อีกแล้ว ข้าขอร้อง...” เด็กหญิงกำมือแน่น ก้มมองพื้นพร้อมกับพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา เธอต้องเข้มแข็งเข้าไว้ จะมาร้องไห้ขี้แยแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด มิเวลเงยหน้าขึ้น มองคนตรงหน้าด้วยสายตาแน่วแน่ น้ำเสียงมั่นใจกล่าวคำสัญญากับตัวเอง “ข้าเป็นพี่สาว ข้าต้องปกป้องมิลอง ข้าอยากปกป้องเขา”
แคลรีลมีอาการลังเลน้อยๆ เมื่อเห็นสายตายึดมั่นในคำพูดตัวเองของมิเวล ใช่ว่าเธออยากจะปิดเป็นความลับกับผู้เป็นลูก แต่ทั้งเวเธอร์และเธอเองต่างก็มีความเห็นตรงกันว่าบางที มิเวลอาจจะยังเด็กเกินไปที่จะสามารถเข้าใจเรื่องสำคัญบางอย่างได้
‘ข้าเป็นพี่สาว ข้าต้องปกป้องมิลอง ข้าอยากปกป้องเขา’
แต่ความเป็นแม่ก็ทำให้เธอทนเห็นสีหน้าเจ็บปวดของลูกทั้งสองไม่ไหวแล้ว เพราะฉะนั้นเธอคงไม่สามารถปิดเรื่องนี้เป็นความลับได้อีกต่อไป เปลือกตาทั้งสองปิดลงพร้อมกับกล่าวคำขอโทษในใจให้กับท่านเจ้าเผ่า
“น้องชายของลูก...มีพลังที่ท่านเมอีมห์หวั่นเกรง” เสียงแผ่วเบาเอ่ยตอบคล้ายรำพึงรำพัน ลืมตาขึ้นอีกครั้ง มองร่างน้อยตรงหน้าด้วยสายตาเคร่งเครียด
คนฟังขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างงุนงง ลองทบทวนความเข้าใจในหัวอีกหน หมายความว่าท่านย่าไม่ชอบมิลองเพราะเขามีพลังน่ากลัวงั้นหรือ
“พลัง...อะไร...เหรอคะ”
ท่านแม่ไม่ตอบในทันที ท่าทางกระสับกระส่ายเหมือนไม่แน่ใจว่าจะบอกเธอดีมั้ย อาการหลบสายตาของอีกฝ่ายทำให้เธอรู้สึกตื่นกลัวที่จะรับรู้ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก มิลองมีพลังอะไรกัน ทำไมถึงกับทำให้ท่านแม่แสดงสีหน้าเป็นกังวลได้ขนาดนี้
“...น้องของลูก...มีพลังในการทำนายอนาคต” เสียงเครียดเอ่ยตอบ ไม่หลงเหลือรอยยิ้มใดๆ บนใบหน้าอ่อนโยน นอกจากความกังวลในสายตา แต่คำเฉลยนี้ก็ยังไม่สามารถไขข้อข้องใจของเธอได้อยู่ดี ในทางกลับกันมันยิ่งทำให้เธองุนงงมากขึ้นไปอีก
“ทำนายอนาคต...ก็ดีแล้วนี่คะ!” เด็กหญิงรีบแย้งทันที แทนที่จะรู้สึกหวาดกลัวในพลังของมิลอง เธอกลับยิ่งรู้สึกชื่นชอบและคิดว่าเป็นพลังที่ดีเสียอีก “เวลาจะเกิดเรื่องร้ายแรงอะไร เราจะได้หาทางป้องกันได้”
แคลรีลส่ายหน้าไปมาอย่างไม่เห็นด้วยในความคิดของลูกสาว ก่อนจะใช้สองมือจับไหล่น้อยๆ ของอีกฝ่ายไว้แน่น สายตาจริงจังมองลึกเข้าไปในนัยน์ตากลมโตสีแดงเพลิงคู่สวยซึ่งมีความสงสัยฉายอยู่อย่างเด่นชัด
“นั่นเป็นเพียงความคิดผิวเผินเท่านั้นมิเวล ถ้าเป็นการทำนายในระยะยาว แม่ก็คงจะเห็นด้วยกับลูก แต่พลังของมิลองไม่ได้เป็นเช่นนั้น พลังของเขาคือการทำนายอนาคตของความตายที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า ซึ่งก็คือระยะเวลาประมาณไม่กี่อาทิตย์ หรืออาจจะไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ”
คำอธิบายของอีกฝ่ายไม่ได้ทำให้เธอเข้าใจอะไรมากขึ้น มิเวลยังคงยึดมั่นในความคิดของตัวเองว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ทำนายอนาคตได้ก็ถือว่าดีแล้วนี่ สามารถรับรู้ปัญหาและสิ่งต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ แล้วก็หาทางป้องกันหรือรับมือได้ด้วย ไม่เห็นจะเกี่ยวกับระยะเวลาตรงไหนเลย
“ข้าไม่เข้าใจ...“ เสียงแผ่วเบาพึมพำกับตัวเอง ปรากฏภาพของเด็กๆ เผ่ามายาช่วยกันรุมรังแกมิลองขึ้นในหัว รวมทั้งภาพของท่านย่ากำลังมองเขาด้วยสายตารังเกียจฉายสลับกันไปมาไม่หยุด ร่างเล็กกัดริมฝีปากจนได้รสเลือดอ่อนๆ กำมือแน่นด้วยความรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจ เพราะเพียงแค่น้องชายของเธอมีพลังในการทำนายอนาคต ก็เลยต้องทนแบกรับความทรมานความเจ็บปวดมากมายอย่างงั้นเหรอ ช่างไม่ยุติธรรม ไม่ยุติธรรมเลยสักนิดเดียว พลังของมิลองแย่ตรงไหนกัน ทำไมทุกคนถึงต้องทำร้ายเขาด้วย เธอไม่เข้าใจเลย
“ลูกคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากคนคนหนึ่งได้รู้ว่าตัวเองกำลังจะตายในอีกไม่กี่ชั่วโมง” คำถามประหลาดจากผู้เป็นแม่ คนถูกถามขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความงุนงง
“เอ๋?”
“จะต้องเกิดอาการคลุ้มคลั่งและความโกลาหลวุ่นวายแน่นอน แล้วถ้ามีคนสองคนเป็นเพื่อนรักกัน คนหนึ่งเกิดได้รู้ว่าในอีกสองวันข้างหน้านี้จะถูกเพื่อนรักฆ่าตาย ลูกคิดว่าเขาจะทำอย่างไร”
“ทำอย่างไรน่ะเหรอ...” เด็กหญิงทวน ในหัวเต็มไปด้วยสีขาวโพลนจนเธอคิดอะไรไม่ออก
“เขาก็ต้องรีบฆ่าอีกคนก่อนจะถูกฆ่า และการกระทำนั้นก็จะเป็นการเปลี่ยนอนาคตที่ทำให้ส่งผลกระทบรุนแรงตามมา”
“แล้วยังไง...เปลี่ยนอนาคตได้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง” เสียงเย็นแย้งกลับไป พร้อมกับเบือนสายตาหนีมองไปทางอื่นอย่างหงุดหงิด แต่แล้วก็ถูกผู้เป็นแม่ใช้มือสองข้างจับคางของเธอให้หันกลับไปมองสบตาด้วยอีกครั้ง
“ถ้าคนที่ควรจะถูกฆ่าในตอนแรกเกิดเป็นคนไม่ดีหรือฆาตกรขึ้นมาล่ะ แล้วอีกคนก็รับรู้ความจริงข้อนั้น จึงตัดสินใจที่จะฆ่าอีกฝ่ายก่อน แต่แล้วพลังหยั่งรู้อนาคตของมิลองก็ทำให้คนที่ไม่ควรตายนั้นกลับกลายมาเป็นเหยื่อแทน เป็นผลให้ฆาตกรมีชีวิตอยู่ต่อไปและคร่าชีวิตผู้อื่นอีกมากมาย ลูกคิดว่าแบบนี้ดีอย่างนั้นหรือ”
แววตาของเด็กหญิงสั่นวูบ พยายามปฏิเสธความจริงที่ว่าเธอเริ่มจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว มิเวลมองสีหน้าเจ็บปวดของผู้เป็นแม่ด้วยสายตาสับสน เธอควรจะเชื่อใครดี ตัวเอง หรือ ท่านแม่?
“อนาคต...เป็นสิ่งน่ากลัวมากนะ รู้มั้ยลูก”
หยดน้ำใสๆ ค่อยๆ ไหลรินออกมาอย่างห้ามไม่ได้ รอยยิ้มเศร้าสร้อยจากท่านแม่ทำให้เธอกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป แคลรีลดึงร่างน้อยๆ ของผู้เป็นลูกเข้ามากอด พร้อมกับกระชับอ้อมกอดแน่นเพื่อปลอบประโลม น้ำเสียงเศร้าๆ เอ่ยพึมพำด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบในจิตใจ
“...บางครา...การไม่รู้อะไรเลยอาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดก็ได้นะ”
++++++++++
“...ข้าขออภัยจริงๆ” เสียงพึมพำกล่าวขอโทษ แคลรีลไม่อาจสบตากับอีกฝ่ายตรงๆ ได้เพราะความรู้สึกผิดที่เกาะกุมอยู่ในใจ
“เจ้าบอกมิเวลเรื่องพลังของมิลองทั้งหมดเลยรึ” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยถามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เหมือนกับว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เมอีมห์คาดการณ์เอาไว้อยู่แล้วว่าแคลรีลคงจะอดทนเห็นสีหน้าเจ็บปวดของมิเวลอีกต่อไปไม่ไหวอย่างแน่นอน แต่แล้วท่านเจ้าเผ่าก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ด้วยความแปลกใจเมื่ออีกฝ่ายส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“ข้าบอกแค่เรื่องพลังรับรู้อนาคตความตายเท่านั้น”
“หมายความว่าเจ้ายังไม่ได้บอกเรื่องพลังนั่นของเขาหรือ” เมอีมห์ถามย้ำเพื่อความแน่ใจ พอจะเดาได้คร่าวๆ ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด
“ไม่ได้บอกค่ะ ข้ากลัวว่ามิเวลจะรู้สึกเจ็บไปมากกว่านี้...” น้ำเสียงเรียบแผ่วเบาลงตรงช่วงท้าย หลุบสายตาลงต่ำพลางครุ่นคิดถึงใบหน้าเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาของเด็กหญิง ยามเห็นน้ำตาของลูกน้อยทั้งสองทีไร ในใจมันจะรู้สึกบีบอัดแน่นจนทนแทบไม่ไหว
“เหมือนกับที่เจ้าเจ็บสินะ” เมอีมห์กล่าวเรียบๆ ขณะมองสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย
“มิเวลคงกำลังไม่ยอมรับว่าพลังของมิลองนั้นอันตราย”
“เจ้าเองก็ไม่อยากยอมรับด้วยเหมือนกันใช่มั้ย” เจ้าเผ่ามายาเอ่ยถามแทบจะในทันที เรียกอาการสะดุ้งน้อยๆ จากคนถูกถาม คำถามของเมอีมห์ช่างเสียดแทงใจของเธอเหลือเกิน
“ข้า...”
“แคลรีล ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังเจ็บปวด แต่ข้าจำเป็นต้องทำแบบนี้ เจ้า...เข้าใจดีใช่มั้ย” น้ำเสียงจริงจังนั้นแอบแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวด แคลรีลรู้ดีว่าท่านเมอีมห์เองก็รู้สึกปวดร้าวเช่นเดียวกันกับเธอ แต่ก็มิอาจแสดงความรู้สึกออกมาให้ผู้อื่นเห็นได้เนื่องมาจากตำแหน่งและหน้าที่รับผิดชอบ บางที...ท่านย่าผู้แสนโหดร้ายในสายตาของเด็กทั้งสอง อาจจะเป็นคนที่เจ็บปวดมากที่สุดเลยก็ได้
“...ค่ะท่านเมอีมห์ ข้าเข้าใจดี พลังนั่น...”
++++++++++
“พลังของข้า...” เสียงสั่นเครือเอ่ยพึมพำอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เพิ่งจะได้ยินไปเมื่อครู่ ลูเวียดต้องอำเขาเล่นอย่างแน่นอน “ล้อเล่นใช่มั้ย...”
“ข้าไม่ได้ล้อเล่นสักหน่อย” คนถูกหาว่ากำลังล้อเล่นยกมุมปากขึ้นน้อยๆ อย่างรู้สึกขำขัน คิดไว้แล้วเชียวว่ามิลองของเขาต้องมีปฏิกิริยาตอบรับเช่นนี้ ขาทั้งสองก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยความเร็วคงที่ พวกเขากำลังอยู่ในระหว่างการคิดหาทางหลบหนี เดินเตร่ไปมาอยู่บนเนินเขาที่ไร้ผู้คน
“แต่...” เด็กชายเริ่มแสดงอาการลังเล ลอบมองคนข้างกายด้วยสายตาไม่มั่นใจว่าสิ่งที่เขาพูดมาต้องเป็นจริงหรือเรื่องหลอกกันแน่
“เจ้าตกลงจะไปกับข้า แต่เจ้าไม่คิดเหรอว่าไปจากเงียบๆ แบบนี้มันช่างไม่น่าตื่นเต้นเอาเสียเลย” ลูเวียดแสยะยิ้มน้อยๆ “เพราะฉะนั้นจึงต้องใช้พลังของเจ้าสร้างความสนุกสนานสักหน่อยยังไงละ”
“พลังที่ว่านั่น... ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก” ถึงจะปฏิเสธไปแบบนั้นก็จริง แต่ในใจกลับปะติดปะต่อความเป็นไปได้ทั้งหมดเข้าด้วยกันจนเขาเริ่มจะรู้สึกกลัวมากขึ้นทุกที แต่ดูเหมือนว่าลูเวียดจะไม่ได้สนใจคำปฏิเสธของเขาเลย
“เป็นไปได้สิ พลังสุดยอดของเจ้าทำให้พวกมันลิ้มรสความเจ็บปวดเหมือนกับเจ้าได้เชียวนะ” น้ำเสียงเริงร่าพูดอย่างตื่นเต้น ก่อนจะเว้นช่วงไปพักหนึ่ง แล้วกล่าวต่อด้วยเสียงเรียบๆ แต่แฝงไว้ด้วยพลังอำนาจอะไรบางอย่างที่สามารถครอบงำจิตใจของคนฟังได้เป็นอย่างดี “...เจ้าควรจะลองใช้มันดู”
ลองใช้... มิลองมองเพื่อนใหม่ด้วยสายตาเหม่อลอย ทุกอย่างจริงตามที่ลูเวียดพูด เขาควรจะลองใช้พลังนั่นดูสินะ ถ้าไม่ใช้แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าใช้ได้หรือไม่ได้ ลึกๆ ในหัวใจเขานั้นกำลังร่ำร้องขอภาวนาให้สามารถใช้พลังที่ว่านั่นได้ เขากำลังเฝ้ารอวันที่จะได้เห็นพวกมันเจ็บปวดเหมือนกับเขา และจะยอดเยี่ยมที่สุดหากสามารถทำให้พวกมันเจ็บยิ่งกว่าได้
ปรากฏรอยยิ้มเย็นบนใบหน้าของมิลอง ลูเวียดลอบมองรอยยิ้มนั้นด้วยความพึงพอใจ
“เรามาเริ่มต้นกันที่...” เสียงนุ่มเกริ่นขึ้นเบาๆ พร้อมกับชี้นิ้วไปยังบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ตรงตีนเขา เห็นหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนั้นกำลังเดินผ่านประตูออกมาข้างนอกพอดี ใบหน้าหมองแสยะยิ้มกว้าง “...ผู้หญิงคนนั้น”
มิลองพยักน้อยๆ เป็นการเข้าใจ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาเป้าหมายด้วยท่าทีสุขุม สีหน้าที่เคยเริงร่าเหมือนเด็กๆ เปลี่ยนเป็นเยือกเย็นจนน่ากลัว ราวกับเด็กชายไม่ใช่ ‘มิลอง’ คนเดิมอีกต่อไป ลูเวียดลอบยิ้มเย็นกับตัวเองพร้อมกับออกเดินตามอีกฝ่ายไปเงียบๆ พลางหัวเราะเบาๆ ในลำคออย่างรู้สึกชอบใจ
ยามพลบค่ำมักเป็นช่วงเวลาที่สัตว์ป่าทั้งหลายออกหากิน ดังนั้นจึงไม่ควรออกจากบ้านในเวลานี้เพราะว่ามันอันตราย แต่สำหรับเผ่ามายาที่ไม่มีสัตว์เวทชนิดใดแล้ว เวลาพลบค่ำจึงถือว่าเป็นช่วงเวลาปกติธรรมดาทั่วๆ ไป ผู้คนออกจากบ้านมาสังสรรค์ร่าเริงกันอย่างมีความสุข และโดยเฉพาะหญิงสาวผู้อาศัยอยู่ด้วยคนเดียวอย่างเธอ การออกจากบ้านทุกๆ คืนเพื่อไปหาเพื่อนๆ นั้นก็คือความสุขอย่างหนึ่งของเธอเช่นกัน
“เฮ้อ...” เสียงถอนหายใจเบาๆ พร้อมกับทำหน้ามุ่ยเล็กน้อย สองข้างทางเงียบเชียบไร้ผู้คนนั้นเป็นทางที่เธอเดินผ่านเป็นประจำทุกๆ คืออยู่แล้ว หญิงสาวทำปากขมุบขมิบเผลอพูดบ่นเรื่องหนักใจของตัวเองออกมาเพราะคิดว่าไม่มีใครกำลังฟังอยู่ แต่ความจริงแล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้น ร่างน้อยๆ ของเด็กชายทั้งสองกำลังเดินตามเธออยู่ข้างหลังโดยทิ้งระยะห่างเอาไว้พอสมควร และความเงียบสงัดก็ทำให้พวกเขาได้ยินทุกคำพูดจากปากของเธอ
“เจ้าโทมัสบ้านั่นเอาเงินข้าไปโดยไม่บอกกล่าวก่อนเลยด้วยซ้ำ แล้วยังจะมาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อีก ทำแบบนั้นมันตั้งใจจะหาเรื่องกันชัดๆ” เสียงบ่นไม่พอใจดังลอยมาให้เบาๆ พร้อมกับอาการกระทืบเท้าเล็กน้อยเหมือนเป็นการระบายอารมณ์
“จิตใจของมนุษย์ทุกคนจะมีรูปร่างเหมือนกับถ้วย และในถ้วยใบนั้นก็จะมีความมืดเก็บฝังเอาไว้อยู่ข้างใน เจ้าต้องดึงเอาความมืดนั่นออกมาให้ได้” เสียงกระซิบของลูเวียดดังขึ้นข้างๆ หู
มิลองหลับตาลง พยายามทำตามคำบอกโดยการส่งกระแสจิตเข้าไปในจิตใจของหญิงสาวตรงหน้าซึ่งมีรูปร่างเหมือนถ้วยเล็กๆ ไม่มีสีใบหนึ่ง ในถ้วยมีของเหลวสีขาวบรรจุอยู่ปริ่มๆ จนเกือบจะล้นออกมา แต่พอเขาพลิกด้านก้นถ้วยขึ้นมาก็จะพบกับของเหลวสีดำสนิทที่ถูกปกปิดอยู่ภายใต้ความบริสุทธิ์ เด็กชายถ่ายพลังของตัวเองเข้าไปในถ้วยใบนั้น กระตุ้นของเหลวสีดำด้านล่างให้แตกกระจาย บดบังพื้นที่สีขาวทั้งหมดจนมิด
“จากนั้น...” ลูเวียดพูดกระซิบต่อไปเรื่อยๆ แสยะยิ้มขณะมองร่างของหญิงสาวกระตุกอย่างรุนแรง ล้มลงไปกับพื้นแล้วนอนแน่นิ่งหมดสติไป “...รวบรวมก้อนสีดำนั่นออกมา แล้วสร้างตุ๊กตาน้อยน่ารักขึ้นมาซะ”
คนฟังยิ้มเย็นรับคำสั่งนั้น พร้อมกับใช้พลังกระชากของเหลวสีดำในถ้วยให้ออกมาจากร่างของหญิงสาว ก้อนสีดำสนิทที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางร่วมเมตรผลุบออกจากบริเวณหน้าอก ล่องลอยอยู่กลางอากาศ ขยับม้วนตัวจนมีลักษณะบู้บี้ บิดเบี้ยวไปมาราวกับอะไรบางอย่างจำนวนมากกำลังจะพุ่งทะลุออกมาจากข้างใน
“พลังของเจ้าช่างแสนวิเศษ ไม่จำเป็นต้องพึ่งคริสตัลโลหิตของข้าก็สามารถสร้างตุ๊กตาแสนน่ารักได้มากมาย” เสียงพึมพำดังขึ้นที่ข้างหูอีกครั้ง เด็กชายสัมผัสความรู้สึกหลงใหลในน้ำเสียงของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน นัยน์ตาสีแสดเหลือบมองคนพูดเล็กน้อย เห็นประกายบางอย่างปรากฏวูบวาบอยู่ในแววตาของลูเวียด รอยยิ้มเย็นแสยะยิ้มกว้างขึ้นอีกด้วยความดีใจ ลูเวียดกำลังชื่นชอบพลังของเขา ลูเวียด ‘รัก’ พลังของเขา
ก้อนพลังสีดำสั่นไหวอย่างรุนแรง ก่อนจะค่อยๆ กลายร่างกลายเป็นอะไรสักอย่างที่มีรูปร่างเหมือนกับเงาของมนุษย์ไม่มีผิดเพี้ยน หากทว่าส่วนใบหน้ากลับว่างเปล่า ไม่มีทั้งดวงตา จมูก หรือแม้แต่ปาก มีเพียงผิวขรุขระสีดำสนิทห่อหุ้มอยู่ทั่วทั้งร่างเท่านั้น
เงามืดยืนตัวตรงนิ่ง น้อมส่วนศีรษะลงน้อยๆ ให้กับผู้เป็นเจ้านายของมัน
“นี่คือ...พลังของข้า...” มิลองพึมพำเบาๆ ขณะมองดูร่างผู้รับใช้ของตนเอง
“พลังของเจ้าคือการดึงจิตใจด้านมืดของมนุษย์ออกมาสร้างเป็นร่างใหม่ที่แสนวิเศษที่สุด...เยี่ยมยอดเลยใช่มั้ย” น้ำเสียงชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง สายตาหลงใหลไล่สายตามองเงามืดตรงหน้าด้วยความปิติ มิลองเป็นเด็กดีจริงๆ และในอีกไม่ช้าพลังนี้ก็จะกลายเป็นของเขา
“ลูเวียด แล้วข้าต้องทำยังไงต่อ ข้าอยากเห็นพลังของข้า” มิลองเริ่มถามอีกฝ่ายอย่างร้อนรน เบือนสายตาเลยร่างแน่นิ่งของหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายไปอย่างไม่สนใจ ไม่มีความสงสารหรือความเห็นใจในดวงตาสีแสดอีกต่อไป เหลืออยู่เพียงแค่ความสนุกสนานและความอยากรู้อยากลองเท่านั้น
“ใจเย็นสิมิลอง ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังตื่นเต้น แต่เจ้าต้องจัดการกับของเหลือเสียก่อน” ลูเวียดบอกยิ้มๆ พร้อมกับพเยิดหน้าไปทางร่างสลบไสลของหญิงสาว มิลองหันขวับไปมองร่างนั้นด้วยสายตาเรียบเฉยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมามองเขาเหมือนเดิม
“ของเหลือนั่นก็คือศพไม่ใช่เหรอ” น้ำเสียงเรียบๆ กล่าวอย่างไร้ความรู้สึก เรียกรอยยิ้มแสยะจากลูเวียดได้เป็นอย่างดี เยี่ยมยอด มิลองของเขานี่ช่างวิเศษอะไรอย่างนี้
“น่าเสียดายที่ข้าต้องบอกว่ามันยังไม่ใช่ศพหรอกนะ เจ้าต้องย้อมสีมันเพื่อที่จะทำให้ร่างนั้นไร้ชีวิตได้อย่างแท้จริง”
“ย้อมสี?” เด็กชายทวน ขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างไม่เข้าใจ
“ใช่แล้ว สิ่งที่เจ้าต้องทำนั้นก็แค่ย้อมสีของเหลวที่เหลือทั้งหมดให้กลายเป็นสีดำ แล้วดึงมันออกมารวมกับร่างผู้รับใช้ของเจ้าเท่านั้นเอง” ลูเวียดกล่าวคำอธิบายพร้อมกับเดินไปนั่งลงข้างๆ ร่างไร้สติของหญิงสาว เหมือนเป็นผู้ชมกำลังรอคอยการแสดงอันน่าตื่นเต้น “...และแน่นอน สิ่งสุดท้ายที่เจ้าต้องทำก็คือ ทำลายถ้วยใบนั้นซะ”
มิลองพยักหน้ารับคำสั่งอย่างเชื่อฟัง ก่อนจะเพ่งกระแสจิตเข้าไปในจิตใจของหญิงสาว ถ้วยใบเล็กเหลือของเหลวสีขาวอยู่เพียงแค่หนึ่งในสี่ของถ้วยเท่านั้น เป็นสิ่งยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าหญิงสาวผู้นี้มีความมืดอยู่ภายในจิตใจมากมายขนาดไหน มิลองลอบยิ้มเย็นด้วยความรู้สึกรังเกียจ พร้อมกับควบคุมพลังของตัวเองให้พุ่งกระโจนลงไปในถ้วย แล้วปล่อยสีดำแทรกซึมเข้าไปในสีขาว สีแห่งความบริสุทธิ์ถูกย้อมให้กลายเป็นสีดำสนิทได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว จากนั้นเด็กชายจึงใช้พลังกระชากของเหลวสีดำทั้งหมดให้ออกมาจากร่างของหญิงสาวสุดแรง ก้อนสีดำตรงเข้าไปรวมกับเงามืดและกลายเป็นหนึ่งเดียวกันในทันที
เมื่อพาชนะไร้สิ่งบรรจุ มันจึงไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป นัยน์ตาสีส้มหรี่ลงเล็กน้อย มองร่างว่างเปล่าด้วยความรู้สึกชิงชัง ก่อนจะตัดสินใจใช้พลังของตัวเองทำลายถ้วยใบเล็กของหญิงสาว จนกลายเป็นเพียงเศษขุยผงที่ค่อยๆ สลายหายไป
ลูเวียดมองร่างไร้ชีวิตของเหยื่อด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น เมื่อจิตใจถูกทำลาย ร่างกายจึงเป็นเพียงร่างเปล่าๆ ที่ไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป
“เยี่ยมมากมิลอง เราไปต่อกันที่เหยื่อรายที่สองเลยดีกว่า” น้ำเสียงตื่นเต้นเอ่ยขึ้นพร้อมด้วยรอยยิ้มหวาน ปรบมือเปาะแปะอยู่พักหนึ่ง แล้วถึงค่อยเอ่ยถามคำถามที่เขาคาดเดาคำตอบเอาไว้ก่อนแล้ว “...อยากให้เป็นใครดีล่ะ”
คนถูกถามหันมามองเขาด้วยสายตาเย็นชา นัยน์ตาสีส้มฉายประกายกร้าววูบวาบขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เสียงต่ำเล็ดลอดไรฟันเอ่ยตอบด้วยความเคียดแค้น “...เมอีมห์”
ลูเวียดแสยะยิ้มเย็นด้วยความพอใจทันทีที่ได้ยินคำตอบนั้น
+++++++++
โปรดติดตามตอนต่อไป!
EPISODE 36
กลัว
มิลองหายตัวไปสองวันแล้ว และเธอก็กำลังจะเป็นบ้าตายเพราะความเป็นห่วง นี่เขาไปทำอะไรอยู่ที่ไหนกันแน่นะ ทำไมถึงไม่ยอมกลับบ้าน แต่ความกังวลใจก็ต้องเพิ่มมากขึ้นเมื่อเธอไปขอความเห็นจากท่านพ่อ เวเธอร์ทำเพียงแค่พยักหน้าน้อยๆ เป็นการรับรู้ แล้วยกเรื่องการฝึกดาบของเธอขึ้นมาพูดต่อเหมือนไม่ได้สนใจการหายตัวไปของมิลองเลยสักนิด ปฏิกิริยาเฉยเมยที่ได้รับจากผู้เป็นพ่อทำให้มิเวลต้องกลั้นความเสียใจเอาไว้ เธออยากจะร้องไห้เหลือเกิน
“ท่านแม่...ทำไมทั้งท่านย่าและท่านพ่อถึงต้องทำเย็นชากับมิลองด้วยล่ะ” เสียงพึมพำเอ่ยถามอย่างเศร้าๆ รู้สึกกลัวในคำตอบของอีกฝ่ายจับใจ
“ลูกอาจจะยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจ” คำตอบที่ไม่มีอะไรต่างไปจากเดิม แม้จะได้รับรอยยิ้มอ่อนโยนจากผู้เป็นแม่ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด
“ท่านแม่ตอบข้าแบบนี้อีกแล้ว ข้าขอร้อง...” เด็กหญิงกำมือแน่น ก้มมองพื้นพร้อมกับพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา เธอต้องเข้มแข็งเข้าไว้ จะมาร้องไห้ขี้แยแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด มิเวลเงยหน้าขึ้น มองคนตรงหน้าด้วยสายตาแน่วแน่ น้ำเสียงมั่นใจกล่าวคำสัญญากับตัวเอง “ข้าเป็นพี่สาว ข้าต้องปกป้องมิลอง ข้าอยากปกป้องเขา”
แคลรีลมีอาการลังเลน้อยๆ เมื่อเห็นสายตายึดมั่นในคำพูดตัวเองของมิเวล ใช่ว่าเธออยากจะปิดเป็นความลับกับผู้เป็นลูก แต่ทั้งเวเธอร์และเธอเองต่างก็มีความเห็นตรงกันว่าบางที มิเวลอาจจะยังเด็กเกินไปที่จะสามารถเข้าใจเรื่องสำคัญบางอย่างได้
‘ข้าเป็นพี่สาว ข้าต้องปกป้องมิลอง ข้าอยากปกป้องเขา’
แต่ความเป็นแม่ก็ทำให้เธอทนเห็นสีหน้าเจ็บปวดของลูกทั้งสองไม่ไหวแล้ว เพราะฉะนั้นเธอคงไม่สามารถปิดเรื่องนี้เป็นความลับได้อีกต่อไป เปลือกตาทั้งสองปิดลงพร้อมกับกล่าวคำขอโทษในใจให้กับท่านเจ้าเผ่า
“น้องชายของลูก...มีพลังที่ท่านเมอีมห์หวั่นเกรง” เสียงแผ่วเบาเอ่ยตอบคล้ายรำพึงรำพัน ลืมตาขึ้นอีกครั้ง มองร่างน้อยตรงหน้าด้วยสายตาเคร่งเครียด
คนฟังขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างงุนงง ลองทบทวนความเข้าใจในหัวอีกหน หมายความว่าท่านย่าไม่ชอบมิลองเพราะเขามีพลังน่ากลัวงั้นหรือ
“พลัง...อะไร...เหรอคะ”
ท่านแม่ไม่ตอบในทันที ท่าทางกระสับกระส่ายเหมือนไม่แน่ใจว่าจะบอกเธอดีมั้ย อาการหลบสายตาของอีกฝ่ายทำให้เธอรู้สึกตื่นกลัวที่จะรับรู้ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก มิลองมีพลังอะไรกัน ทำไมถึงกับทำให้ท่านแม่แสดงสีหน้าเป็นกังวลได้ขนาดนี้
“...น้องของลูก...มีพลังในการทำนายอนาคต” เสียงเครียดเอ่ยตอบ ไม่หลงเหลือรอยยิ้มใดๆ บนใบหน้าอ่อนโยน นอกจากความกังวลในสายตา แต่คำเฉลยนี้ก็ยังไม่สามารถไขข้อข้องใจของเธอได้อยู่ดี ในทางกลับกันมันยิ่งทำให้เธองุนงงมากขึ้นไปอีก
“ทำนายอนาคต...ก็ดีแล้วนี่คะ!” เด็กหญิงรีบแย้งทันที แทนที่จะรู้สึกหวาดกลัวในพลังของมิลอง เธอกลับยิ่งรู้สึกชื่นชอบและคิดว่าเป็นพลังที่ดีเสียอีก “เวลาจะเกิดเรื่องร้ายแรงอะไร เราจะได้หาทางป้องกันได้”
แคลรีลส่ายหน้าไปมาอย่างไม่เห็นด้วยในความคิดของลูกสาว ก่อนจะใช้สองมือจับไหล่น้อยๆ ของอีกฝ่ายไว้แน่น สายตาจริงจังมองลึกเข้าไปในนัยน์ตากลมโตสีแดงเพลิงคู่สวยซึ่งมีความสงสัยฉายอยู่อย่างเด่นชัด
“นั่นเป็นเพียงความคิดผิวเผินเท่านั้นมิเวล ถ้าเป็นการทำนายในระยะยาว แม่ก็คงจะเห็นด้วยกับลูก แต่พลังของมิลองไม่ได้เป็นเช่นนั้น พลังของเขาคือการทำนายอนาคตของความตายที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า ซึ่งก็คือระยะเวลาประมาณไม่กี่อาทิตย์ หรืออาจจะไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ”
คำอธิบายของอีกฝ่ายไม่ได้ทำให้เธอเข้าใจอะไรมากขึ้น มิเวลยังคงยึดมั่นในความคิดของตัวเองว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ทำนายอนาคตได้ก็ถือว่าดีแล้วนี่ สามารถรับรู้ปัญหาและสิ่งต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ แล้วก็หาทางป้องกันหรือรับมือได้ด้วย ไม่เห็นจะเกี่ยวกับระยะเวลาตรงไหนเลย
“ข้าไม่เข้าใจ...“ เสียงแผ่วเบาพึมพำกับตัวเอง ปรากฏภาพของเด็กๆ เผ่ามายาช่วยกันรุมรังแกมิลองขึ้นในหัว รวมทั้งภาพของท่านย่ากำลังมองเขาด้วยสายตารังเกียจฉายสลับกันไปมาไม่หยุด ร่างเล็กกัดริมฝีปากจนได้รสเลือดอ่อนๆ กำมือแน่นด้วยความรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจ เพราะเพียงแค่น้องชายของเธอมีพลังในการทำนายอนาคต ก็เลยต้องทนแบกรับความทรมานความเจ็บปวดมากมายอย่างงั้นเหรอ ช่างไม่ยุติธรรม ไม่ยุติธรรมเลยสักนิดเดียว พลังของมิลองแย่ตรงไหนกัน ทำไมทุกคนถึงต้องทำร้ายเขาด้วย เธอไม่เข้าใจเลย
“ลูกคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากคนคนหนึ่งได้รู้ว่าตัวเองกำลังจะตายในอีกไม่กี่ชั่วโมง” คำถามประหลาดจากผู้เป็นแม่ คนถูกถามขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความงุนงง
“เอ๋?”
“จะต้องเกิดอาการคลุ้มคลั่งและความโกลาหลวุ่นวายแน่นอน แล้วถ้ามีคนสองคนเป็นเพื่อนรักกัน คนหนึ่งเกิดได้รู้ว่าในอีกสองวันข้างหน้านี้จะถูกเพื่อนรักฆ่าตาย ลูกคิดว่าเขาจะทำอย่างไร”
“ทำอย่างไรน่ะเหรอ...” เด็กหญิงทวน ในหัวเต็มไปด้วยสีขาวโพลนจนเธอคิดอะไรไม่ออก
“เขาก็ต้องรีบฆ่าอีกคนก่อนจะถูกฆ่า และการกระทำนั้นก็จะเป็นการเปลี่ยนอนาคตที่ทำให้ส่งผลกระทบรุนแรงตามมา”
“แล้วยังไง...เปลี่ยนอนาคตได้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง” เสียงเย็นแย้งกลับไป พร้อมกับเบือนสายตาหนีมองไปทางอื่นอย่างหงุดหงิด แต่แล้วก็ถูกผู้เป็นแม่ใช้มือสองข้างจับคางของเธอให้หันกลับไปมองสบตาด้วยอีกครั้ง
“ถ้าคนที่ควรจะถูกฆ่าในตอนแรกเกิดเป็นคนไม่ดีหรือฆาตกรขึ้นมาล่ะ แล้วอีกคนก็รับรู้ความจริงข้อนั้น จึงตัดสินใจที่จะฆ่าอีกฝ่ายก่อน แต่แล้วพลังหยั่งรู้อนาคตของมิลองก็ทำให้คนที่ไม่ควรตายนั้นกลับกลายมาเป็นเหยื่อแทน เป็นผลให้ฆาตกรมีชีวิตอยู่ต่อไปและคร่าชีวิตผู้อื่นอีกมากมาย ลูกคิดว่าแบบนี้ดีอย่างนั้นหรือ”
แววตาของเด็กหญิงสั่นวูบ พยายามปฏิเสธความจริงที่ว่าเธอเริ่มจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว มิเวลมองสีหน้าเจ็บปวดของผู้เป็นแม่ด้วยสายตาสับสน เธอควรจะเชื่อใครดี ตัวเอง หรือ ท่านแม่?
“อนาคต...เป็นสิ่งน่ากลัวมากนะ รู้มั้ยลูก”
หยดน้ำใสๆ ค่อยๆ ไหลรินออกมาอย่างห้ามไม่ได้ รอยยิ้มเศร้าสร้อยจากท่านแม่ทำให้เธอกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป แคลรีลดึงร่างน้อยๆ ของผู้เป็นลูกเข้ามากอด พร้อมกับกระชับอ้อมกอดแน่นเพื่อปลอบประโลม น้ำเสียงเศร้าๆ เอ่ยพึมพำด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบในจิตใจ
“...บางครา...การไม่รู้อะไรเลยอาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดก็ได้นะ”
++++++++++
“...ข้าขออภัยจริงๆ” เสียงพึมพำกล่าวขอโทษ แคลรีลไม่อาจสบตากับอีกฝ่ายตรงๆ ได้เพราะความรู้สึกผิดที่เกาะกุมอยู่ในใจ
“เจ้าบอกมิเวลเรื่องพลังของมิลองทั้งหมดเลยรึ” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยถามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เหมือนกับว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เมอีมห์คาดการณ์เอาไว้อยู่แล้วว่าแคลรีลคงจะอดทนเห็นสีหน้าเจ็บปวดของมิเวลอีกต่อไปไม่ไหวอย่างแน่นอน แต่แล้วท่านเจ้าเผ่าก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ด้วยความแปลกใจเมื่ออีกฝ่ายส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“ข้าบอกแค่เรื่องพลังรับรู้อนาคตความตายเท่านั้น”
“หมายความว่าเจ้ายังไม่ได้บอกเรื่องพลังนั่นของเขาหรือ” เมอีมห์ถามย้ำเพื่อความแน่ใจ พอจะเดาได้คร่าวๆ ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด
“ไม่ได้บอกค่ะ ข้ากลัวว่ามิเวลจะรู้สึกเจ็บไปมากกว่านี้...” น้ำเสียงเรียบแผ่วเบาลงตรงช่วงท้าย หลุบสายตาลงต่ำพลางครุ่นคิดถึงใบหน้าเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาของเด็กหญิง ยามเห็นน้ำตาของลูกน้อยทั้งสองทีไร ในใจมันจะรู้สึกบีบอัดแน่นจนทนแทบไม่ไหว
“เหมือนกับที่เจ้าเจ็บสินะ” เมอีมห์กล่าวเรียบๆ ขณะมองสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย
“มิเวลคงกำลังไม่ยอมรับว่าพลังของมิลองนั้นอันตราย”
“เจ้าเองก็ไม่อยากยอมรับด้วยเหมือนกันใช่มั้ย” เจ้าเผ่ามายาเอ่ยถามแทบจะในทันที เรียกอาการสะดุ้งน้อยๆ จากคนถูกถาม คำถามของเมอีมห์ช่างเสียดแทงใจของเธอเหลือเกิน
“ข้า...”
“แคลรีล ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังเจ็บปวด แต่ข้าจำเป็นต้องทำแบบนี้ เจ้า...เข้าใจดีใช่มั้ย” น้ำเสียงจริงจังนั้นแอบแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวด แคลรีลรู้ดีว่าท่านเมอีมห์เองก็รู้สึกปวดร้าวเช่นเดียวกันกับเธอ แต่ก็มิอาจแสดงความรู้สึกออกมาให้ผู้อื่นเห็นได้เนื่องมาจากตำแหน่งและหน้าที่รับผิดชอบ บางที...ท่านย่าผู้แสนโหดร้ายในสายตาของเด็กทั้งสอง อาจจะเป็นคนที่เจ็บปวดมากที่สุดเลยก็ได้
“...ค่ะท่านเมอีมห์ ข้าเข้าใจดี พลังนั่น...”
++++++++++
“พลังของข้า...” เสียงสั่นเครือเอ่ยพึมพำอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เพิ่งจะได้ยินไปเมื่อครู่ ลูเวียดต้องอำเขาเล่นอย่างแน่นอน “ล้อเล่นใช่มั้ย...”
“ข้าไม่ได้ล้อเล่นสักหน่อย” คนถูกหาว่ากำลังล้อเล่นยกมุมปากขึ้นน้อยๆ อย่างรู้สึกขำขัน คิดไว้แล้วเชียวว่ามิลองของเขาต้องมีปฏิกิริยาตอบรับเช่นนี้ ขาทั้งสองก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยความเร็วคงที่ พวกเขากำลังอยู่ในระหว่างการคิดหาทางหลบหนี เดินเตร่ไปมาอยู่บนเนินเขาที่ไร้ผู้คน
“แต่...” เด็กชายเริ่มแสดงอาการลังเล ลอบมองคนข้างกายด้วยสายตาไม่มั่นใจว่าสิ่งที่เขาพูดมาต้องเป็นจริงหรือเรื่องหลอกกันแน่
“เจ้าตกลงจะไปกับข้า แต่เจ้าไม่คิดเหรอว่าไปจากเงียบๆ แบบนี้มันช่างไม่น่าตื่นเต้นเอาเสียเลย” ลูเวียดแสยะยิ้มน้อยๆ “เพราะฉะนั้นจึงต้องใช้พลังของเจ้าสร้างความสนุกสนานสักหน่อยยังไงละ”
“พลังที่ว่านั่น... ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก” ถึงจะปฏิเสธไปแบบนั้นก็จริง แต่ในใจกลับปะติดปะต่อความเป็นไปได้ทั้งหมดเข้าด้วยกันจนเขาเริ่มจะรู้สึกกลัวมากขึ้นทุกที แต่ดูเหมือนว่าลูเวียดจะไม่ได้สนใจคำปฏิเสธของเขาเลย
“เป็นไปได้สิ พลังสุดยอดของเจ้าทำให้พวกมันลิ้มรสความเจ็บปวดเหมือนกับเจ้าได้เชียวนะ” น้ำเสียงเริงร่าพูดอย่างตื่นเต้น ก่อนจะเว้นช่วงไปพักหนึ่ง แล้วกล่าวต่อด้วยเสียงเรียบๆ แต่แฝงไว้ด้วยพลังอำนาจอะไรบางอย่างที่สามารถครอบงำจิตใจของคนฟังได้เป็นอย่างดี “...เจ้าควรจะลองใช้มันดู”
ลองใช้... มิลองมองเพื่อนใหม่ด้วยสายตาเหม่อลอย ทุกอย่างจริงตามที่ลูเวียดพูด เขาควรจะลองใช้พลังนั่นดูสินะ ถ้าไม่ใช้แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าใช้ได้หรือไม่ได้ ลึกๆ ในหัวใจเขานั้นกำลังร่ำร้องขอภาวนาให้สามารถใช้พลังที่ว่านั่นได้ เขากำลังเฝ้ารอวันที่จะได้เห็นพวกมันเจ็บปวดเหมือนกับเขา และจะยอดเยี่ยมที่สุดหากสามารถทำให้พวกมันเจ็บยิ่งกว่าได้
ปรากฏรอยยิ้มเย็นบนใบหน้าของมิลอง ลูเวียดลอบมองรอยยิ้มนั้นด้วยความพึงพอใจ
“เรามาเริ่มต้นกันที่...” เสียงนุ่มเกริ่นขึ้นเบาๆ พร้อมกับชี้นิ้วไปยังบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ตรงตีนเขา เห็นหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนั้นกำลังเดินผ่านประตูออกมาข้างนอกพอดี ใบหน้าหมองแสยะยิ้มกว้าง “...ผู้หญิงคนนั้น”
มิลองพยักน้อยๆ เป็นการเข้าใจ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาเป้าหมายด้วยท่าทีสุขุม สีหน้าที่เคยเริงร่าเหมือนเด็กๆ เปลี่ยนเป็นเยือกเย็นจนน่ากลัว ราวกับเด็กชายไม่ใช่ ‘มิลอง’ คนเดิมอีกต่อไป ลูเวียดลอบยิ้มเย็นกับตัวเองพร้อมกับออกเดินตามอีกฝ่ายไปเงียบๆ พลางหัวเราะเบาๆ ในลำคออย่างรู้สึกชอบใจ
ยามพลบค่ำมักเป็นช่วงเวลาที่สัตว์ป่าทั้งหลายออกหากิน ดังนั้นจึงไม่ควรออกจากบ้านในเวลานี้เพราะว่ามันอันตราย แต่สำหรับเผ่ามายาที่ไม่มีสัตว์เวทชนิดใดแล้ว เวลาพลบค่ำจึงถือว่าเป็นช่วงเวลาปกติธรรมดาทั่วๆ ไป ผู้คนออกจากบ้านมาสังสรรค์ร่าเริงกันอย่างมีความสุข และโดยเฉพาะหญิงสาวผู้อาศัยอยู่ด้วยคนเดียวอย่างเธอ การออกจากบ้านทุกๆ คืนเพื่อไปหาเพื่อนๆ นั้นก็คือความสุขอย่างหนึ่งของเธอเช่นกัน
“เฮ้อ...” เสียงถอนหายใจเบาๆ พร้อมกับทำหน้ามุ่ยเล็กน้อย สองข้างทางเงียบเชียบไร้ผู้คนนั้นเป็นทางที่เธอเดินผ่านเป็นประจำทุกๆ คืออยู่แล้ว หญิงสาวทำปากขมุบขมิบเผลอพูดบ่นเรื่องหนักใจของตัวเองออกมาเพราะคิดว่าไม่มีใครกำลังฟังอยู่ แต่ความจริงแล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้น ร่างน้อยๆ ของเด็กชายทั้งสองกำลังเดินตามเธออยู่ข้างหลังโดยทิ้งระยะห่างเอาไว้พอสมควร และความเงียบสงัดก็ทำให้พวกเขาได้ยินทุกคำพูดจากปากของเธอ
“เจ้าโทมัสบ้านั่นเอาเงินข้าไปโดยไม่บอกกล่าวก่อนเลยด้วยซ้ำ แล้วยังจะมาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อีก ทำแบบนั้นมันตั้งใจจะหาเรื่องกันชัดๆ” เสียงบ่นไม่พอใจดังลอยมาให้เบาๆ พร้อมกับอาการกระทืบเท้าเล็กน้อยเหมือนเป็นการระบายอารมณ์
“จิตใจของมนุษย์ทุกคนจะมีรูปร่างเหมือนกับถ้วย และในถ้วยใบนั้นก็จะมีความมืดเก็บฝังเอาไว้อยู่ข้างใน เจ้าต้องดึงเอาความมืดนั่นออกมาให้ได้” เสียงกระซิบของลูเวียดดังขึ้นข้างๆ หู
มิลองหลับตาลง พยายามทำตามคำบอกโดยการส่งกระแสจิตเข้าไปในจิตใจของหญิงสาวตรงหน้าซึ่งมีรูปร่างเหมือนถ้วยเล็กๆ ไม่มีสีใบหนึ่ง ในถ้วยมีของเหลวสีขาวบรรจุอยู่ปริ่มๆ จนเกือบจะล้นออกมา แต่พอเขาพลิกด้านก้นถ้วยขึ้นมาก็จะพบกับของเหลวสีดำสนิทที่ถูกปกปิดอยู่ภายใต้ความบริสุทธิ์ เด็กชายถ่ายพลังของตัวเองเข้าไปในถ้วยใบนั้น กระตุ้นของเหลวสีดำด้านล่างให้แตกกระจาย บดบังพื้นที่สีขาวทั้งหมดจนมิด
“จากนั้น...” ลูเวียดพูดกระซิบต่อไปเรื่อยๆ แสยะยิ้มขณะมองร่างของหญิงสาวกระตุกอย่างรุนแรง ล้มลงไปกับพื้นแล้วนอนแน่นิ่งหมดสติไป “...รวบรวมก้อนสีดำนั่นออกมา แล้วสร้างตุ๊กตาน้อยน่ารักขึ้นมาซะ”
คนฟังยิ้มเย็นรับคำสั่งนั้น พร้อมกับใช้พลังกระชากของเหลวสีดำในถ้วยให้ออกมาจากร่างของหญิงสาว ก้อนสีดำสนิทที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางร่วมเมตรผลุบออกจากบริเวณหน้าอก ล่องลอยอยู่กลางอากาศ ขยับม้วนตัวจนมีลักษณะบู้บี้ บิดเบี้ยวไปมาราวกับอะไรบางอย่างจำนวนมากกำลังจะพุ่งทะลุออกมาจากข้างใน
“พลังของเจ้าช่างแสนวิเศษ ไม่จำเป็นต้องพึ่งคริสตัลโลหิตของข้าก็สามารถสร้างตุ๊กตาแสนน่ารักได้มากมาย” เสียงพึมพำดังขึ้นที่ข้างหูอีกครั้ง เด็กชายสัมผัสความรู้สึกหลงใหลในน้ำเสียงของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน นัยน์ตาสีแสดเหลือบมองคนพูดเล็กน้อย เห็นประกายบางอย่างปรากฏวูบวาบอยู่ในแววตาของลูเวียด รอยยิ้มเย็นแสยะยิ้มกว้างขึ้นอีกด้วยความดีใจ ลูเวียดกำลังชื่นชอบพลังของเขา ลูเวียด ‘รัก’ พลังของเขา
ก้อนพลังสีดำสั่นไหวอย่างรุนแรง ก่อนจะค่อยๆ กลายร่างกลายเป็นอะไรสักอย่างที่มีรูปร่างเหมือนกับเงาของมนุษย์ไม่มีผิดเพี้ยน หากทว่าส่วนใบหน้ากลับว่างเปล่า ไม่มีทั้งดวงตา จมูก หรือแม้แต่ปาก มีเพียงผิวขรุขระสีดำสนิทห่อหุ้มอยู่ทั่วทั้งร่างเท่านั้น
เงามืดยืนตัวตรงนิ่ง น้อมส่วนศีรษะลงน้อยๆ ให้กับผู้เป็นเจ้านายของมัน
“นี่คือ...พลังของข้า...” มิลองพึมพำเบาๆ ขณะมองดูร่างผู้รับใช้ของตนเอง
“พลังของเจ้าคือการดึงจิตใจด้านมืดของมนุษย์ออกมาสร้างเป็นร่างใหม่ที่แสนวิเศษที่สุด...เยี่ยมยอดเลยใช่มั้ย” น้ำเสียงชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง สายตาหลงใหลไล่สายตามองเงามืดตรงหน้าด้วยความปิติ มิลองเป็นเด็กดีจริงๆ และในอีกไม่ช้าพลังนี้ก็จะกลายเป็นของเขา
“ลูเวียด แล้วข้าต้องทำยังไงต่อ ข้าอยากเห็นพลังของข้า” มิลองเริ่มถามอีกฝ่ายอย่างร้อนรน เบือนสายตาเลยร่างแน่นิ่งของหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายไปอย่างไม่สนใจ ไม่มีความสงสารหรือความเห็นใจในดวงตาสีแสดอีกต่อไป เหลืออยู่เพียงแค่ความสนุกสนานและความอยากรู้อยากลองเท่านั้น
“ใจเย็นสิมิลอง ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังตื่นเต้น แต่เจ้าต้องจัดการกับของเหลือเสียก่อน” ลูเวียดบอกยิ้มๆ พร้อมกับพเยิดหน้าไปทางร่างสลบไสลของหญิงสาว มิลองหันขวับไปมองร่างนั้นด้วยสายตาเรียบเฉยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมามองเขาเหมือนเดิม
“ของเหลือนั่นก็คือศพไม่ใช่เหรอ” น้ำเสียงเรียบๆ กล่าวอย่างไร้ความรู้สึก เรียกรอยยิ้มแสยะจากลูเวียดได้เป็นอย่างดี เยี่ยมยอด มิลองของเขานี่ช่างวิเศษอะไรอย่างนี้
“น่าเสียดายที่ข้าต้องบอกว่ามันยังไม่ใช่ศพหรอกนะ เจ้าต้องย้อมสีมันเพื่อที่จะทำให้ร่างนั้นไร้ชีวิตได้อย่างแท้จริง”
“ย้อมสี?” เด็กชายทวน ขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างไม่เข้าใจ
“ใช่แล้ว สิ่งที่เจ้าต้องทำนั้นก็แค่ย้อมสีของเหลวที่เหลือทั้งหมดให้กลายเป็นสีดำ แล้วดึงมันออกมารวมกับร่างผู้รับใช้ของเจ้าเท่านั้นเอง” ลูเวียดกล่าวคำอธิบายพร้อมกับเดินไปนั่งลงข้างๆ ร่างไร้สติของหญิงสาว เหมือนเป็นผู้ชมกำลังรอคอยการแสดงอันน่าตื่นเต้น “...และแน่นอน สิ่งสุดท้ายที่เจ้าต้องทำก็คือ ทำลายถ้วยใบนั้นซะ”
มิลองพยักหน้ารับคำสั่งอย่างเชื่อฟัง ก่อนจะเพ่งกระแสจิตเข้าไปในจิตใจของหญิงสาว ถ้วยใบเล็กเหลือของเหลวสีขาวอยู่เพียงแค่หนึ่งในสี่ของถ้วยเท่านั้น เป็นสิ่งยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าหญิงสาวผู้นี้มีความมืดอยู่ภายในจิตใจมากมายขนาดไหน มิลองลอบยิ้มเย็นด้วยความรู้สึกรังเกียจ พร้อมกับควบคุมพลังของตัวเองให้พุ่งกระโจนลงไปในถ้วย แล้วปล่อยสีดำแทรกซึมเข้าไปในสีขาว สีแห่งความบริสุทธิ์ถูกย้อมให้กลายเป็นสีดำสนิทได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว จากนั้นเด็กชายจึงใช้พลังกระชากของเหลวสีดำทั้งหมดให้ออกมาจากร่างของหญิงสาวสุดแรง ก้อนสีดำตรงเข้าไปรวมกับเงามืดและกลายเป็นหนึ่งเดียวกันในทันที
เมื่อพาชนะไร้สิ่งบรรจุ มันจึงไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป นัยน์ตาสีส้มหรี่ลงเล็กน้อย มองร่างว่างเปล่าด้วยความรู้สึกชิงชัง ก่อนจะตัดสินใจใช้พลังของตัวเองทำลายถ้วยใบเล็กของหญิงสาว จนกลายเป็นเพียงเศษขุยผงที่ค่อยๆ สลายหายไป
ลูเวียดมองร่างไร้ชีวิตของเหยื่อด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น เมื่อจิตใจถูกทำลาย ร่างกายจึงเป็นเพียงร่างเปล่าๆ ที่ไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป
“เยี่ยมมากมิลอง เราไปต่อกันที่เหยื่อรายที่สองเลยดีกว่า” น้ำเสียงตื่นเต้นเอ่ยขึ้นพร้อมด้วยรอยยิ้มหวาน ปรบมือเปาะแปะอยู่พักหนึ่ง แล้วถึงค่อยเอ่ยถามคำถามที่เขาคาดเดาคำตอบเอาไว้ก่อนแล้ว “...อยากให้เป็นใครดีล่ะ”
คนถูกถามหันมามองเขาด้วยสายตาเย็นชา นัยน์ตาสีส้มฉายประกายกร้าววูบวาบขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เสียงต่ำเล็ดลอดไรฟันเอ่ยตอบด้วยความเคียดแค้น “...เมอีมห์”
ลูเวียดแสยะยิ้มเย็นด้วยความพอใจทันทีที่ได้ยินคำตอบนั้น
+++++++++
โปรดติดตามตอนต่อไป!
โฮป
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 มิ.ย. 2560, 01:45:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 มิ.ย. 2560, 01:45:23 น.
จำนวนการเข้าชม : 725
<< Episode 35 : || ตัวโชคร้าย || | Episode 37 : || จุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง || >> |