The D.O.L.L.S โศกนาฏกรรมปีศาจตุ๊กตามหาเวท SEASON 2
"นักขายความฝันผู้เลือดร้อน & นักโทษประหารผู้เริงร่า & หัวขโมยผู้เย็นชา"
ต่างถิ่น ต่างความคิด ต่างอาชีพ ต่างนิสัย ต่างจุดมุ่งหมาย ต่างเผ่าพันธุ์
กลับต้องมาอยู่ด้วยกันเพราะเหตุบางอย่าง... The D.O.L.L.S

ตุ๊กตาปีศาจมีลักษณะรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ

ถ้าอย่างนั้น...จะรู้ได้อย่างไร?
...เป็นปีศาจ...หาใช่มนุษย์ไม่...

ระวังไว้ให้ดี...ทุกอย่างอาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา...

...ที่ใครบางคนสร้างขึ้นเท่านั้น...

สงครามระหว่างผู้มีพลังเวทกับมนุษย์ธรรมดา
ใครจะอยู่รอดเป็นผู้กำชัยชนะ!?


- ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านจากใจจริง -

แผนที่นครเซ็นทรัม http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/map122e1.jpg
Tags: ตุ๊กตา,ปีศาจ,คำสาป,เวทมนตร์,สงคราม,แฟนตาซี,ผู้ใช้เวท,มนุษย์,โศกนาฏกรรม,mystery

ตอน: Episode 37 : || จุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง ||



EPISODE 37

จุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง



แคลรีลถอนหายใจเบาๆ ยามนึกถึงสิ่งที่ท่านเจ้าเผ่าบอกกับเธอ การเตรียมพร้อมไว้ก่อนเป็นสิ่งดี แต่พอคิดว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกชายตัวน้อยๆ ของเธอแล้ว ร่างกายมันก็พาลจะไร้เรี่ยวแรงไปเสียหมด เธอไม่อยากทำแบบนี้เลย โดยเฉพาะกับมิลอง แต่หน้าที่ขอผู้เฝ้าประตูทำให้เธอไม่มีทางเลือกอื่น เธอจำเป็นที่จะต้องปกป้องชีวิตของชนเผ่ามายา



“เขาจะมาแน่ คืนนี้” เสียงเรียบของท่านเมอีมห์กล่าวบอก สีหน้าเคร่งเครียดขณะเพ่งสายตามองเข้าไปในความมืดเบื้องหน้า พวกเธอทั้งสองกำลังแอบซ่อนตัวอยู่หลังกองไม้เหลือใช้ ซึ่งอยู่ห่างจากตึกสูงที่ใช้เป็นหอประชุมประจำเดือนมาประมาณสิบเมตรเท่านั้น



“...ท่านทราบได้จากพลังของเขาเหรอคะ” แคลรีลเอ่ยถาม “พลังทำนายอนาคตของมิลอง...”



“ใช่ พลังทำนายของมิลองจะเกิดขึ้นในขณะที่เขากำลังหลับ สิ่งที่เขาทำนายก็คือความฝันของเขา แต่พอตื่นมาแล้วเขาจะจำความฝันนั้นไม่ได้ ทำให้มิลองไม่สามารถรับรู้อนาคตที่ตัวเองทำนาย มีเพียงผู้ดูความฝันนั้นเท่านั้นที่จะรู้อนาคต และข้าก็คอยเฝ้าดูความฝันของเขาเกือบทุกคืน นับตั้งแต่คืนแรกที่ข้ารู้ว่ามิลองมีพลังในการทำนายอนาคต”



เมอีมห์หลับตาลงพลางนึกย้อนไปในอดีตเมื่อหกปีก่อน เธอมีหน้าที่ในการตรวจตราความฝันของเด็กแรกเกิดทุกคนในเผ่า เพื่อหาดูผู้มีพลังทำนายซึ่งจะเกิดมาในทุกๆ ร้อยปี พลังทำนายนั้นนับว่าเป็นพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่เวทธาตุบริสุทธิ์ และผู้ครอบครองพลังนี้ก็จะถือว่าเป็นผู้ที่ทรงพลังสูงสุดในรอบร้อยปี



หากแต่...



ในคืนนั้น เมอีมห์ใช้พลังดูความฝันของหลานชายที่น่ารักของเธอ แวบแรกของความรู้สึกในขณะนั้นคือความปลื้มปิติที่มิลองได้เป็นผู้ครอบครองพลังทำนายอันยิ่งใหญ่ แต่พอผ่านไปได้สักพัก เธอก็ได้รู้ว่าพลังทำนายนั้นมีอะไรบางอย่างแปลกไปจากเดิม มันไม่ใช่พลังทำนายอนาคตอันยาวไกลของเผ่า แต่มันเป็นพลังทำนายความตายที่กำลังจะเกิดในอีกไม่ช้า ในความฝันที่เธอเห็นเมื่อตอนนั้นก็คือความตายของชายคนหนึ่ง เขาถูกกำหนดเอาไว้ว่าจะต้องตายในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ด้วยความตกใจเธอจึงรีบไปบอกชายคนนั้นเพราะความหวังดี หลังจากได้ฟังคำบอกของเธอ ชายคนนั้นก็เศร้าเสียใจและเกิดคลุ้มคลั่งไล่ฆ่าคนในเผ่า พร่ำบอกแต่ว่าเขาไม่อยากตายคนเดียว ทำให้เมอีมห์ได้รับรู้ถึงความอันตรายของพลังทำนายนี้ทันที และแน่ใจว่าสักวันหนึ่งจะต้องเหตุการณ์ที่จะทำให้เธอต้องเลือกทางเดินให้กับหลานชายตนเอง



เมอีมห์เฝ้ามองความฝันของผู้เป็นหลานอยู่เกือบทุกคืน ใช้พลังธาตุบริสุทธิ์ของเธอสำรวจพลังของมิลอง แล้วก็ได้รับรู้ว่ามีพลังมหาศาลอีกอย่างหนึ่งซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ร่างน้อยๆ นี้ พลังนั้นช่างน่ากลัวและน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าการทำนายความตายเสียอีก ท่านเจ้าเผ่าร่ำไห้เงียบๆ ด้วยความเสียใจขณะมองเด็กชายนอนหลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ เธอเจ็บปวดเหลือเกินที่ได้รู้ว่าทางเดินของมิลองนั้นจะเต็มไปด้วยการแย่งชิง ความทุกข์ และความตายอย่างแน่นอน เพราะพลังของเขาจะกลายเป็นที่ต้องการของคนกลุ่มหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็จะเป็นที่รังเกียจของคนอีกกลุ่มด้วยเช่นกัน



เวลาที่เธอต้องตัดสินใจมาถึงแล้ว แต่ด้วยความรักที่มีมากเกินไปจึงทำให้เมอีมห์เลือกที่จะกำจัดมิลองไม่ลง และผลจากการตัดสินใจนี้ก็กำลังจะทำให้เผ่ามายาถึงคราต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมในเร็ววัน



เมื่อห้าวันก่อน เธอเข้าไปตรวจดูความฝันของหลานชายเหมือนอย่างเคย แต่แล้วภาพที่ได้เห็นในความฝันก็ทำให้เธอรู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งร่าง ความตายของชนเผ่ามายาจำนวนมากกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ และผู้ที่เล่นบทบาทเป็นยมฑูตก็คือมิลอง มันเป็นความผิดของเธอที่เย็นชาต่อมิลอง เธอไม่ได้เกลียดเขา เธอรักเขาเสียด้วยซ้ำ แต่เพราะความจริงที่รับรู้ทำให้เธอไม่สามารถทำเหมือนไม่รู้อะไรเลยได้ เมอีมห์รู้ดีว่าเด็กชายเจ็บปวดที่ได้รับการปฏิบัติไม่เหมือนเด็กคนอื่นๆ และความเจ็บปวดนั้นก็ค่อยๆ ทับถมกันมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็กลายเป็นความเกลียดชัง



บางที เธออาจจะตัดสินใจผิดพลาดไป ที่ไม่ฆ่าเขาเสียตั้งแต่ตอนนั้น...



“มาแล้ว!” เสียงตะโกนของแคลรีลเรียกสติของท่านเจ้าเผ่าให้กลับคืนมาจากภวังค์ เมอีมห์ลืมตาขึ้นพร้อมกับร่ายเวทเกราะป้องกันขึ้นมา ต้านพลังสีดำที่พุ่งโจมตีเข้ามาได้ทันพอดิบพอดี กองเศษไม้ที่เคยเป็นสิ่งกำบังระเบิดตูม ไฟลุกโชนกลายเป็นเพลิงไหม้ขนาดใหญ่ เกราะป้องกันถูกเคลื่อนย้ายให้หลบมาอีกด้าน แต่แล้วก็ถูกพลังสีดำของศัตรูตามมาโจมตีใส่อีกระลอก



พลังสีดำถอยกลับไปรวมอยู่กับร่างหนึ่งซึ่งถูกพลังนั้นปกคลุมไปทั่วทั้งตัว เมอีมห์เพ่งสายตามองร่างนั้นด้วยความรู้สึกแปลกๆ ร่างสีดำนั่นดูเหมือนเงาคนมากกว่าที่จะเป็นคนจริงๆ และในไม่ช้า ร่างดังกล่าวก็ก้าวมายืนตรงจุดที่ได้รับแสงสว่างจากคบไฟใกล้ๆ เป็นการยืนยันอย่างชัดเจนว่าร่างสีดำตรงหน้าพวกเธอนั้นไม่ใช่มนุษย์



แคลรีลเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่ามีร่างน้อยๆ ยืนอยู่ด้านหลังเงาสีดำตรงหน้า เด็กคนนั้น...



“มิลอง! รีบมะ...” ด้วยความเป็นห่วงจึงตะโกนเรียกอีกฝ่ายสุดเสียง แต่แล้วเสียงของเธอกลับได้ขาดหายไปหลังจากที่ได้เห็นรอยยิ้มเย็นของเด็กชาย ความรู้สึกเย็นวาบแผ่ไปทั่วทั้งร่าง สายตาตกตะลึงมองผู้เป็นลูกด้วยความงุนงง นี่มันอะไรกัน ทำไมมิลองถึงยิ้มแบบนั้น รอยยิ้มนั่นมันทำให้เธอรู้สึก...กลัว



“ยอดจริงๆ เป็นอย่างที่ลูเวียดบอกเลย” น้ำเสียงสนุกสนานพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น แคลรีลทวนชื่อนั้นในใจอย่างสงสัย ลูเวียด? ใครกัน?



เสียงระเบิดตูมดังขึ้นข้างหลัง แคลรีลรีบหันไปมองด้วยความตกใจทันควัน เกราะป้องกันของท่านเมอีมห์สามารถสลายพลังสีดำที่โจมตีเข้ามาได้ แต่เบื้องหลังพลังสีดำนั่น พวกเธอก็ได้เห็นร่างน้อยๆ อีกร่างหนึ่งซึ่งยืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก ใบหน้าหมองของอีกฝ่ายปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ ที่ให้ความรู้สึกน่ารังเกียจอย่างบอกไม่ถูก



“เจ้าคือลูเวียดสินะ” เมอีมห์กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ มองเจ้าของชื่อดังกล่าวด้วยสายตาเคร่งขรึม “ร่างนั้น...ร่างปลอมล่ะสิ”



เด็กชายหัวเราะน้อยๆ อย่างรู้สึกชอบใจ แสยะยิ้มกว้างรับคำกล่าวของท่านเจ้าเผ่าด้วยความยินดี “สมกับเป็นท่านเจ้าแห่งเผ่ามายา สายตาเฉียบคมมองทะลุกระทั่งร่างปลอมของข้า”



เมอีมห์ไม่พูดอะไรต่ออีก ในเมื่อเป็นร่างปลอม ชื่อก็อาจจะเป็นชื่อปลอมด้วยเหมือนกัน



ลูเวียดเดินไปยืนข้างๆ มิลองพร้อมกับหันมาส่งยิ้มน้อยๆ ให้พวกเธอทั้งสอง เมอีมห์มองเด็กชายตรงหน้าด้วยใบหน้าเรียบสนิท คำทำนายเป็นสิ่งที่ขัดขืนไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็อยากจะลอง เธอจะทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องหลานชายให้ได้



“แคลรีล” น้ำเสียงเรียบหันไปกล่าวกับคนข้างกาย พร้อมกับพยักหน้าน้อยๆ เป็นการให้สัญญาณว่าถึงเวลาแล้ว



ผู้เฝ้าประตูพยักหน้ารับ เบือนสายตาเจ็บปวดไปยังร่างน้อยของผู้เป็นลูกอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหลับตาลงพร้อมด้วยหยดน้ำตาที่ไหลรินออกมา



“แม่ขอโทษนะลูก...” เสียงสั่นเครือกล่าวพึมพำ แล้วร่ายเวทต้องห้ามที่มีแต่ผู้เฝ้าประตูเท่านั้นที่ใช้ได้ เธอร่ายเวทนี้เพื่อปกป้องทุกคนในเผ่า รวมถึงลูกชายของเธอด้วยเช่นกัน



ปรากฏแสงวูบวาบพุ่งออกมาจากกลางอกของแคลรีล ตรงเข้าไปพันธนาการมิลองจนเขามีสภาพกลายเป็นเหมือนดักแด้ได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว ลูเวียดมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสายตาตื่นตกใจ พร้อมกับรีบร่ายเวททำลายเวทของเธอทิ้งอย่างร้อนรน เด็กชายกัดฟันกรอดอย่างเจ็บแค้น เขาประมาทเกินไป!



“ไม่สำเร็จหรอก!” เสียงทรงพลังตะโกนก้อง เมอีมห์กำมือเข้าหากันแน่น พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่แสดงความรู้สึกโกรธแค้นในใจออกมา สายตาเย็นชามองท่าทีร้อนใจของศัตรู ลูเวียดร่ายเวทโจมตีเข้าใส่เวทของแคลรีลติดต่อกันไม่หยุด แต่ไม่ว่าจะทำยังไงเวทที่ปกคลุมร่างของมิลองอยู่ก็ไม่ปรากฏแม้แต่รอยร้าว



เมอีมห์ลอบยิ้มเย็นด้วยความรู้สึกพึงพอใจขณะมองใบหน้าเกรี้ยวโกรธของอีกฝ่าย มั่นใจว่ามันไม่มีทางทำลายพลังเวทต้องห้ามของเผ่ามายาได้อย่างแน่นอน เพราะพลังนี้คือพลังของเจ้าเผ่าในอดีตหลายสิบคนที่เก็บรวบรวมเข้าด้วยกัน แล้วผนึกเอาไว้ในร่างของผู้เฝ้าประตู เพราะฉะนั้นพลังของลูเวียดในตอนนี้ยังคงไม่มากพอสำหรับการทำลายพลังต้องห้ามของเผ่ามายาได้



“แก...!” เสียงต่ำเล็ดรอดไรฟันด้วยความแค้น ลูเวียดกัดฟันกรอดพร้อมกับกำหมัดแน่น อารมณ์โกรธกำลังปะทุจนแทบจะระเบิดออกมาได้ในอีกไม่กี่วินาที แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องอดทนเข้าไว้ ต้องอดทน เด็กชายพร่ำบอกกับตัวเองในใจว่ามันยังไม่จบแค่นี้ พวกมันก็แค่กักตัวมิลองของเขาเอาไว้ในดักแด้นั่นเท่านั้น และเขาเองก็รู้จุดอ่อนของพลังประเภทนี้ดี เพราะฉะนั้นมันยังไม่จบ!



“สิ่งที่พวกแกทำไปมันก็แค่เป็นการยืดเวลาเท่านั้น พลังนี่มันไม่ยืนยาวนานนักหรอก สักวันมันก็ต้องสลายหายไป และเมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าก็จะมารับเขาไปอย่างแน่นอน!” น้ำเสียงมั่นใจกล่าวประกาศอย่างผู้อยู่เหนือกว่า ส่งรอยยิ้มเหี้ยมให้กับบุคคลทั้งสองเป็นการอำลา ก่อนจะร่ายเวทหายตัวไปอย่างรวดเร็ว



แคลรีลทรุดตัวลงด้วยความอ่อนแรง เธอใช้พลังไปจนเกือบหมดจึงทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย รวมทั้งความกังวลภายในใจที่กำลังทวีเพิ่มขึ้นจนน่ากลัว ลูเวียดพูดถูกแล้ว สิ่งที่เธอทำไปในวันนี้นั้นเป็นเพียงแค่การยืดเวลา ซึ่งเธอเองก็บอกไม่ได้ว่าพลังหยุดเวลานี้จะคงอยู่ไปยาวนานสักแค่ไหน และหลังจากนั้นจะเป็นเช่นไร ไม่เคยมีผู้เฝ้าประตูคนไหนเคยใช้เวทนี้มาก่อน ดังนั้นมันจึงทรงพลังและมีเพียงความลึกลับเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงคาดหวังว่ามันจะสามารถช่วยมิลองได้



เมอีมห์เก็บเรื่องของมิลองไว้เป็นความลับกับคนในเผ่า ทำให้คนอื่นๆ เชื่อว่าเขาหนีออกจากบ้าน ฆ่าตัวตาย หรือไม่ก็ถูกฆ่าตาย แต่จริงๆ แล้วเธอไม่จำเป็นต้องกุเรื่องหรือพูดถึงมิลองเลยด้วยซ้ำ เนื่องจากเดิมทีคนอื่นๆ ก็ไม่ได้สนใจเขาอยู่แล้ว



ลูเวียดหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ว่าเมอีมห์จะพยายามใช้เวทแกะรอยตามหาเด็กชายเจ้าของนามนั้นสักเท่าไหร่ แต่สิ่งที่พบเจอกลับมีแต่ความว่างเปล่าเท่านั้น และเมื่อเป็นเช่นนั้น คำประกาศิตก่อนจากลาของอีกฝ่ายก็ยิ่งสร้างความกังวลให้กับทั้งสอง แต่ ณ เวลานี้ไม่มีอะไรอย่างอื่นที่พวกเธอสามารถท้ำอีกแล้ว เหลือเพียงแค่การรอคอยวันเวลาให้ผ่านพ้นไปเท่านั้น



และเวลา...ก็ช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน



ร่างของมิลองถูกผนึกให้อยู่ในเวทหยุดเวลา ออกมาไม่ได้ และไม่มีใครสามารถเข้าไปข้างในได้ด้วยเช่นกัน แม้ว่าจะไม่ได้ยินเสียงหรือปฏิกิริยาตอบรับจากมิลองกลับมาเลยก็ตาม แต่มิเวลก็ยังคงเชื่อว่าคนที่อยู่ในดักแด้นั้นได้ยินสิ่งที่เธอพูด เพราะฉะนั้นเธอจึงมักขัดคำสั่งของท่านย่า และใช้เวลาช่วงเย็นไปนั่งพูดคุยกับเขาอยู่เป็นประจำ จนกระทั่งเวลาได้ผ่านไปหนึ่งปี... สองปี... ห้าปี... หกปี...



วันนั้น... เป็นวันธรรมดาวันหนึ่งที่เหมือนกับวันอื่นๆ มิเวลใช้เวลาช่วงเช้าไปกับการฝึกดาบ และต่อด้วยการฝึกดาบ หลังจากนั้นก็ยังคงฝึกดาบต่อจนถึงตอนเย็น เด็กสาวตัดสินใจหยุดพักและไปที่หอประชุมเหมือนเคย เดินขึ้นบันไดไปยังห้องใต้หลังคา มิลองอยู่ที่นั่น นอนสงบอยู่ในดักแด้มาตั้งแต่หกปีก่อน เธอจะนั่งพูดคุยเล่าเรื่องประจำวันให้เขาฟัง ซึ่งบางครั้งก็เหมือนกับการระบายอารมณ์มากไปหน่อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการฝึกดาบ หรือการดวลกับท่านพ่อ ทำให้เธอชักจะกังวลว่าเขาอาจจะรำคาญเธอหรือเปล่า ดังนั้นเธอจึงต้องขอโทษเขาทุกครั้งหลังจากเผลอบ่นอะไรไร้สาระออกไป แล้วจากนั้นถึงค่อยเดินทางกลับบ้าน



และในวันนี้เธอก็คิดเอาไว้ว่ามันจะเหมือนกับวันก่อนๆ ด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นการใช้เหตุผลที่ผิดสิ้นดี เพราะความเป็นมาในอดีตไม่สามารถคาดเดาได้ว่าอนาคตจะต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป



มิเวลเปิดประตูเข้าห้องใต้หลังคาด้วยความรู้สึกสบายๆ เหมือนทุกๆ วัน แต่ความว่างเปล่าของห้องใต้หลังคาก็ทำให้เด็กสาวต้องรู้สึกใจหายวาบ ยืนตัวแข็ง มองภาพตรงหน้าด้วยสายตาตกตะลึง ในหัวเกิดคำถามมากมายแต่ก็รู้สึกมึนชาจนคิดอะไรไม่ออก มิลองหายไป เขาหายไปไหน เกิดอะไรขึ้น ขาทั้งสองข้างรีบวิ่งกลับไปที่บ้านทันทีที่ตั้งสติได้ มือขวากระชากประตูเปิดออกสุดแรงพร้อมด้วยเสียงร้องตะโกนลั่น



“มิลอง! มิลองหายไป!”



แคลรีลและเวเธอร์หันมามองเธอด้วยความตื่นตกใจ ทั้งสองรีบร่ายเวทหายตัวไปยังหอประชุมอย่างรวดเร็ว มิเวลวิ่งกลับไปยังหอประชุมอีกครั้งเพราะเธอใช้เวทหายตัวได้ไม่คล่อง แต่ความรู้สึกตื่นตระหนกก็ทำให้เธอทำอะไรไม่ถูกอยู่ดีหลังจากไปถึง ได้แต่ยืนรอท่านพ่อและท่านแม่ซึ่งหายเข้าไปในหอประชุมอยู่นานพอสมควร แต่แล้วทั้งคู่ก็กลับออกมาพร้อมกับความผิดหวัง เพราะมิลองไม่ได้อยู่ในนั้นอีกต่อไปแล้ว



แคลรีลมองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกเป็นกังวล ตอนนี้เริ่มมีคนมายืนรวมตัวกันเพราะความสงสัยมากขึ้นไปทุกทีแล้ว คงเป็นเพราะการกระจายข่าวเรียกท่านเมอีมห์ให้มาที่นี่อย่างแน่นอน และยิ่งมีคนมากเท่าไหร่ ความเสี่ยงก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น



“ท่านเจ้าเผ่ามาถึงแล้ว!” เสียงตะโกนโหวกเหวกดังมาจากในกลุ่มคนที่กำลังยืนมุงดูอยู่ หลายคนหลีกทางให้กับผู้ถูกกล่าวถึงได้เดินผ่านไป พร้อมกับน้อมตัวลงเล็กน้อยเพื่อเป็นการให้เกียรติ



ใบหน้าเคร่งเครียดของเมอีมห์มองไปยังหอประชุมเบื้องหน้าพักหนึ่ง ก่อนจะเบือนสายตาไปยังแคลรีลที่กำลังยืนอยู่หน้าประตูทางเข้า สีหน้าเจ็บปวดไม่ต่างจากเวเธอร์ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ กัน เมอีมห์หลับตาลงช้าๆ รับรู้สถานการณ์วิกฤตในขณะนี้ เสียงของลูเวียดเมื่อหกปีก่อนดังกึกก้องอยู่ในความทรงจำ



‘สิ่งที่พวกแกทำไปมันก็แค่เป็นการยืดเวลาเท่านั้น พลังนี่มันไม่ยืนยาวนานนักหรอก สักวันมันก็ต้องสลายหายไป และเมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าก็จะมารับเขาไปอย่างแน่นอน!’



หกปี... ช่างสั้นเสียจริง เมอีมห์ลืมตาขึ้นอีกครั้งด้วยความรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั่วทั้งร่าง เวทหยุดเวลาสลายไปแล้ว และต่อจากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็มิอาจรู้ได้



“นะ...นั่นมันอะไรน่ะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด พร้อมกับชี้นิ้วขึ้นไปบนฟ้า เรียกสายตาของทุกคนให้เงยหน้ามองตาม



มิเวลเหลือบสายตามองขึ้นไปด้านบน แล้วก็ต้องเบิกตากว้างขึ้นด้วยความตกใจ จ้องเขม็งไปยังร่างหนึ่งซึ่งกำลังนั่งอยู่ในท่าสบายๆ บนหลังคาสูงของหอประชุม สีหน้านิ่งสนิทไม่แสดงอารมณ์ใดๆ นัยน์ตาสีแสดมองต่ำลงมายังพื้นเบื้องล่างด้วยสายตาราบเรียบ



“มิลอง...” เด็กสาวพึมพำขณะมองร่างเจ้าของชื่อนั้น



เมอีมห์มองใบหน้าเรียบเฉยของมิลองด้วยสายตานิ่งสนิทแบบเดียวกันกับเขา พอเห็นร่างของหลานชายที่ดูเหมือนเด็กหนุ่มอายุสิบสองปีแล้ว เธอจึงได้รู้ว่าหลังจากเวทหยุดเวลาสลายไป ร่างกายของผู้ถูกเวทก็จะได้รับเวลาที่ถูกหยุดไว้ทั้งหมดกลับคืนมา แต่สำหรับจิตใจแล้วเธอไม่แน่ใจ เพราะมันมีความสลับซับซ้อนจนยุ่งเหยิง ซึ่งต่างจากร่างกายที่เติบโตขึ้นตามข้อกำหนดของธรรมชาติ



“เด็กนั่น...มันเจ้าปิศาจนี่นา!” เด็กหนุ่มคนหนึ่งตะโกนเสียงดังทันทีหลังจากมองสำรวจอีกฝ่ายดูจนแน่ใจว่าเป็นใคร เขาจำดวงตาสีส้ม แล้วก็เส้นผมสีเดียวกันนั่นได้เป็นอย่างดี



เสียงตะโกนเรียกนัยน์ตาสีแสดให้ตวัดไปมองยังเจ้าของเสียงนั้น ใบหน้าเรียบสนิทปรากฏความรู้สึกงุนงงอยู่ชั่วครู่ ก่อนมือสองข้างจะเริ่มออกอาการสั่นระรัวจนควบคุมไม่ได้ เด็กหนุ่มยกมือของตัวเองขึ้นมามองดูด้วยความสงสัย แต่แล้วความรู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งร่าง พร้อมด้วยความทรงจำในอดีตที่ทะลักเข้ามาในหัวไม่หยุดก็ทำให้เขาแทบหยุดหายใจ



มิลองใช้มือซ้ายปิดใบหน้าเอาไว้ ส่วนมือขวาใช้ยันพื้นเพื่อดันร่างของตัวเองให้ลุกขึ้นยืน แสงจากดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้ากระทบเข้ากับร่างของเด็กหนุ่มจากทางด้านหลังพอดี ทำให้ส่วนใบหน้าของเขาถูกความมืดกลืนกินจนมองไม่เห็น แต่ไม่นานไฟคบเพลิงรอบหอประชุมก็ลุกพรึ่บเองโดยอัตโนมัติตามเวลาที่ตั้งไว้เหมือนทุกๆ วัน ทำให้พอมองเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มได้บ้างแม้ว่าจะไม่ชัดนักก็ตาม



เสียงผู้คนมากมายตะโกนเรียกว่าเขาเป็นปิศาจดังกึกก้องซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัว เด็กหนุ่มเลื่อนมือสั่นเทาทั้งสองข้างไปกุมขมับเพราะรู้สึกปวดหัวจนแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ลมหายใจติดขัด ยืนงอตัวพร้อมกับหลับตาแน่น สีหน้าบูดเบี้ยวด้วยความทรมาน ในใจตะโกนลั่นขอให้เสียงพวกนั้นหายไปเสียที



หลังจากมีคนตะโกนบอกว่าร่างบนหลังคาคือปิศาจที่หายไปร่วมหกปี เสียงพูดคุยในกลุ่มผู้คนก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ หลายคนพยักหน้าเห็นด้วยทันทีที่จำมิลองได้ บางคนถึงกับชี้นิ้วตะโกนไล่เขาให้ออกไปจากฟรอซเซลเดี๋ยวนี้ และเมื่อร่างของปิศาจยังคงยืนนิ่งอยู่ ผู้กล้าใจร้อนคนหนึ่งจึงร่ายเวทสร้างกระบองแสงขนาดยักษ์ขึ้นมา พร้อมกับบังคับให้มันพุ่งโจมตีเข้าใส่เด็กหนุ่ม มั่นใจเต็มร้อยว่าการโจมตีต้องประสบความสำเร็จเพราะเขาเห็นอีกฝ่ายมัวแต่ยืนหลับตาอยู่



เมอีมห์รีบร่ายเวทหยุดกระบองแสงเอาไว้ได้พร้อมกับทำลายมันทิ้งไป เผยให้เห็นว่าร่างที่เคยยืนนิ่งอยู่บนหลังคานั้นได้หายตัวไปแล้ว สายตาตื่นตระหนกของคนอื่นๆ รีบหันมองไปรอบตัวทันควัน รวมทั้งผู้เป็นเจ้าของเวทแสงเมื่อครู่นี้เองก็กำลังตกอยู่ในอาการแตกตื่นเช่นเดียวกัน และทันใดนั้นเอง...



“...อ๊ากกกกกก!!”



เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นในกลุ่มพวกเขา ก่อนจะมีเสียงร้องอีกหลายเสียงดังตามมาติดๆ กันจากทุกทิศทุกทาง ร่างไร้สติจำนวนเกือบสามสิบคนล้มลงกับพื้น พร้อมกับมีก้อนอะไรบางอย่างสีดำถูกกระชากออกมาจากหน้าอกของพวกเขา คนอื่นๆ ที่ยังคงสบายดีอยู่พากันเตลิดวิ่งหนีจนเกิดเป็นความโกลาหล มีทั้งเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจ และเสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดดังผสมกันจนมั่วไปหมด ก้อนสีดำจำนวนมากลอยเคว้งอยู่กลางอากาศอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะค่อยๆ เริ่มแปรสภาพกลายเป็นเงาดำมืดมีรูปร่างเหมือนคนกันทีละก้อนสองก้อน แต่แล้วก็มีก้อนพลังสีดำอีกก้อนถูกกระชากตามออกมาจากร่างไร้สติเหล่านั้นอีกครั้ง ตรงเข้าไปรวมกับพวกเงามืดทั้งหลาย



กลุ่มคนที่ยืนรวมตัวกันในตอนแรกนั้น เวลานี้ได้กระจัดกระจายวิ่งหนีหายไปกันคนละทิศคนละทาง หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของร้านขายดอกไม้คนหนึ่งกำลังวิ่งหนีตายไปยังทิศตะวันตกเช่นเดียวกันกับอีกหลายๆ คน เสียงหายใจแรงเพราะความเหนื่อยเริ่มดังขึ้นทุกๆ ที หญิงสาวหันกลับไปมองข้างหลังบ้างเป็นระยะ เห็นเงามืดพวกนั้นพุ่งโจมตีใส่พวกที่วิ่งอยู่ไกลๆ แต่ละคนล้มลงทันทีพร้อมกับกลายเป็นผุยผงไป แผ่นหลังรู้สึกเย็นวาบด้วยความรู้สึกหวาดผวา หญิงสาวกลืนน้ำลายเหนียวลงคอก่อนจะหันกลับมายังทางข้างหน้า แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักด้วยความตกใจเมื่อเผชิญหน้ากับเงามืดสยองขวัญที่กำลังพุ่งตรงเข้ามา ร้องแผดเสียงลั่นด้วยความหวาดกลัว และเพียงแค่เสี้ยววินาที เธอก็รู้สึกหนาวเย็นยะเยือกไปทั่วทั้งร่าง พร้อมด้วยภาพเบื้องหน้าทั้งหมดได้กลายเป็นความมืดมิดโดยฉับพลัน สติดับวูบหายไปเช่นเดียวกับร่างกายและความรู้สึกทั้งปวง



ท่ามกลางความวุ่นวายและความหวาดกลัว ร่างหนึ่งยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่ขยับเขยื้อนไปไหนทั้งสิ้น รอบข้างเต็มไปด้วยร่างไร้ชีวิตร่วมครึ่งร้อยของเหล่าผู้ถูกทำลายจิตใจ หยดน้ำใสไหลรินออกมาจากดวงตาสีเพลิงทั้งสองข้างขณะมองไปรอบๆ ตัวด้วยสายตาเจ็บปวด เธอพอจะรู้ว่ามิลองเป็นคนสร้างเงามืดพวกนั้นขึ้นมาและบังคับให้พวกมันไล่ฆ่าผู้คน มิเวลไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน และยิ่งเธอพยายามมองหาเด็กหนุ่มมากเท่าไร เธอก็ยิ่งเห็นแต่ภาพของการสูญเสียครอบครัวไปมากเท่านั้น



“เยี่ยมมาก!” เสียงหนึ่งตะโกนลั่นพร้อมกับมีเสียงปรบมือดังเปาะแปะตามมา แต่สิ่งที่เรียกสายตาของเธอให้หันไปมองนั้นกลับเป็นเสียงหัวเราะขำขันอย่างสนุกสนาน นัยน์ตาสีแดงเบิกกว้างอย่างตกตะลึงเมื่อภาพของเด็กชายคนหนึ่งในความทรงจำปรากฏขึ้นซ้อนทับกับคนตรงหน้า



“ลู...เวียด” เสียงแหบพูดพำพึมชื่อของอีกฝ่ายอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง หลังจากผ่านมาหกปี เด็กชายเจ้าของใบหน้าหมองคนนั้นก็ยังคงมีรูปร่างและหน้าตาเหมือนกับในอดีตอย่างไม่มีผิดเพี้ยน



“ข้าดีใจจริงๆ ที่เจ้ายังจำชื่อข้าได้ โตขึ้นมากลายเป็นสาวสวยเชียวนะ” น้ำเสียงร่าเริงพูดยิ้มๆ ก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังอีกสามคนที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้นข้างหลังเด็กสาว



“เจ้า...!” เมอีมห์กัดฟันกรอดด้วยความโกรธ รีบร่ายเวทลมโจมตีใส่ศัตรูโดยไม่รอช้า แต่พลังบางอย่างเหมือนเกราะป้องกันใสๆ ของเด็กชายก็สามารถสลายพลังของเธอได้อย่างง่ายดาย ใบหน้าหมองยิ้มขำขันเมื่อเห็นสีหน้าตื่นตกใจของผู้ร่ายเวทโจมตี



“อย่าคิดว่าข้าจะเหมือนกับเมื่อหกปีก่อนสิ”



“แก! ไอ้ชั่ว!” เวเธอร์แผดเสียงตวาดลั่น ทำท่าจะร่ายเวทโจมตีด้วยอีกคน แต่กลับต้องหยุดชะงักเพราะถูกแคลรีลห้ามเอาไว้ เธอสัมผัสไอเวทมหาศาลจนน่าสยดสยองจากลูเวียดได้ พร้อมทั้งจิตสังหารรุนแรงที่ทำให้เธอรู้สึกหวาดหวั่นจนไม่กล้าขยับตัวแม้แต่นิดเดียว



“ข้ามาตามคำสัญญาที่ให้ไว้” สิ้นคำกล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้มเย็น ปรากฏร่างหนึ่งขึ้นข้างๆ ลูเวียดจากการใช้เวทหายตัว สายตาทั้งสี่มองตรงไปยังร่างนั้นด้วยความตกใจ ใบหน้าเรียบสนิทของผู้ตกเป็นเป้าสายตาแย้มรอยยิ้มสนุกสนานขึ้นทันทีพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ในลำคอ



“มิลอง...” มิเวลพึมพำชื่อของอีกฝ่ายขณะมองรอยยิ้มกว้างนั่น นี่เขาเพิ่งจะฆ่าคนไปเองนะ เพราะอะไรกัน ทำไมถึงยังยิ้มได้อยู่อีก ทำไมถึงหัวเราะเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลยแบบนั้น



“เจ้าใช้พลังจนหมดไปกับการยืดเวลาได้หกปี... ทีแรกข้าไม่คิดว่ามันจะยาวนานขนาดนั้นหรอก แต่พอกลับไปหาข้อมูลนู่นนี่ดูแล้ว ข้าก็เดาว่าน่าจะใช้เวลาราวๆ หกปีนี่แหละ” น้ำเสียงเย้ยหยันกล่าวกับแคลรีล ก่อนจะหันไปทางเมอีมห์อย่างไม่สนใจใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาของผู้เฝ้าประตู “...ต้องบอกว่าเยี่ยมยอดจริงๆ”



ลูเวียดหมุนตัวกลับพร้อมกับร่ายเวทเกราะป้องกันครอบคลุมตัวเขาและมิลองเอาไว้ รับพลังโจมตีจากเวเธอร์รวมทั้งสลายมันให้หายไปได้ทันพอดี แต่ก่อนที่จะร่ายเวทหายตัว เสียงตะโกนลั่นของเด็กสาวก็เรียกให้เขาต้องหยุดชะงัก



“...เอาข้าไปแทนสิ! สลับข้ากับเขา!”



“มิเวล!” แคลรีลร้องลั่นด้วยความตื่นตระหนก พร้อมกับเดินมาดึงแขนของลูกสาว



เด็กสาวสะบัดแขนของผู้เป็นแม่ทิ้งไป เดินเข้าไปใกล้คนทั้งสอง ตอนนี้เธอไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว สายตาเจ็บปวดมองตรงไปยังน้องชายเพียงคนเดียวอย่างรู้สึกผิด มีแต่เธอที่ได้รับความสุขจากครอบครัว ในขณะที่มิลองต้องทนทุกข์ทรมาน มีแต่เธอเท่านั้นที่ได้รับความรักและความอบอุ่นจากคนรอบข้าง แล้วในตอนนี้... เขาก็กำลังจะสูญเสียสิ่งที่เรียกว่าครอบครัวไปตลอดกาล เธอไม่อยากให้เขาสูญเสียอะไรไปมากกว่านี้อีกแล้ว เพราะฉะนั้น ขอเพียงให้มิลองได้อยู่กับครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เธอก็ยินดีที่จะทำทุกอย่างเพื่อเขา



“รักน้องมากสินะเด็กน้อย...น่าสนใจจริงๆ” น้ำเสียงชื่นชมกล่าวพึมพำขณะไล่สายตามองสำรวจเด็กสาวตรงหน้าอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะร่ายเวทลอยตัว ขยับเข้าไปกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของอีกฝ่าย “ถ้าเจ้าอยากมาหาน้องชายมากนักละก็... มาที่นครสาบสูญสิ”



“ไม่ ข้าจะไปแทน...” มิเวลรีบแย้งขึ้นทันควัน แต่แล้วก็ถูกขัดด้วยเสียงเย็นแทบจะในทันที



“เจ้าไม่มีพลังที่ข้าต้องการ แต่ถ้าอยากจะมาหาน้องชาย ข้ายินดีต้อนรับเจ้า มิเวล” เด็กชายพูดยิ้มๆ พร้อมกับจับมือขวาของเด็กสาวขึ้นมา แล้วมอบจุมพิตเบาๆ ลงบนหลังมือของเธอ มิเวลรีบชักมือกลับด้วยความรู้สึกรังเกียจ ใบหน้างามปรากฏอารมณ์คุกรุ่นที่กำลังปะทุขึ้นภายในใจ เม้มปากแน่นสนิท พยายามอดกลั้นความรู้สึกเจ็บปวดอย่างสุดความสามารถ แต่ก็มิอาจห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลซึมออกมาได้ สายตากร้าวมองอีกฝ่ายอย่างตั้งใจเก็บรายละเอียดทุกอย่างที่เห็น ทั้งน้ำเสียงและวิธีการพูด ท่วงท่าการเคลื่อนไหว หน้าตา หรือไม่ว่าจะเป็นไอเวทสยองขวัญนี่ เธอไม่มีวันลืมศัตรูตรงหน้าโดยเด็ดขาด



ลูเวียดลอบยิ้มอย่างขำขันเมื่อเห็นปฏิกิริยาดังกล่าว ก่อนจะร่ายเวทพาพวกเขาทั้งสองหายตัวไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว เหลือทิ้งไว้เพียงความโศกเศร้าและความสูญเสียเท่านั้น ซึ่งกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของทางเดินที่เด็กสาวตัดสินใจเลือกเดิน น้องชายคือทุกสิ่งทุกอย่างของเธอ และเธอจะต้องหาทางพาเขากลับบ้าน กลับมาหาครอบครัวอีกครั้งให้จงได้



++++++++++++

โปรดติดตามตอนต่อไป!








โฮป
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 มิ.ย. 2560, 00:12:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 มิ.ย. 2560, 00:12:01 น.

จำนวนการเข้าชม : 743





<< Episode 36 : || กลัว ||   Episode 38 : || ข้อสันนิษฐาน || >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account