ลิขิตรักเก็บตก (พิริตา) เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อมE-Book
‘หวาย’ หรือ ‘วาสุรีย์’ เจ้าของสวนกล้วยไม้วาสุรีย์ ได้ให้การช่วยเหลือชายหนุ่มต่างชาติที่ถูกทำร้ายปางตายคนหนึ่ง
เขาฟื้นขึ้นมาพร้อมกับอาการความจำเสื่อม ด้วยความเห็นใจเธอจึงตัดสินใจรับภาระดูแลเขาต่อจนกว่าจะรู้ว่าเขาเป็นใคร
และในที่สุดชายชาวต่างชาติหน้ารกที่มีชื่อใหม่หมาดว่า ‘บักสีดา’ ก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของสวนกล้วยไม้วาสุรีย์
ท่ามกลางความสงสัยในที่มาที่ไปของเขา ชายหนุ่มกลับเป็นขวัญใจของคนงานด้วยกันได้ไม่ยาก
ระหว่างนั้นสวนกล้วยไม้วาสุรีย์กลับมีภัยถาโถมรอบด้าน ‘บักสีดา’ จึงกลายเป็นเรี่ยวแรงกำลังสำคัญให้กับหญิงสาวและสวนวาสุรีย์โดยไม่รู้ตัว และก็เช่นกัน... ความเป็นมาของเขายังคงเต็มไปด้วยความมืดดำ อีกทั้งไม่รู้ว่า ‘ภัย’ ที่กำลังเกิดขึ้นกับสวนวาสุรีย์นั้นเกี่ยวข้องกับเขาหรือไม่อย่างไร? เขาเป็นใคร? มาจากไหน?
ปริศนาที่เป็นป้ายติดหน้าผากของเขาจะถูกปลดออกไปได้อย่างไร และที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือทั้งคู่จะฝ่าอันตรายจากผู้ไม่หวังดีไปได้หรือไม่? โปรดตามลุ้นเรื่องราวความรักซ่อนเงื่อน ที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ตื่นเต้น ได้ใน ‘ลิขิตรักเก็บตก’ เร็วๆ นี้!!!




Tags: หวาย แวนด้า กล้วยไม้ สายลับ ฝรั่ง ขี้นก บักสีดา FSB KGB รัสเซีย นครนายก เมมโมรี่การ์ด

ตอน: ​บทที่ 3 คนหน้าแปลกหรือคนแปลกหน้า



##เปิดจองนิยายรัก 2 เรื่อง 2 รส##
‘ลิขิตรักเก็บตก’
มี 2 เล่มจบ ราคาเล่มละ 339 บ.
2 เล่มลดเหลือ 670 บ.
‘ฝากรักไว้ในสายหมอก’
ราคา 369 บ. ลดเหลือ 360 บ.
*พิเศษ!! สั่งซื้อ 3 เล่ม ในราคาเพียง 999 บ. เท่านั้น*
สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้
ทางอินบ็อกเฟส : pirita ametrine
หรือในเพจ ‘พิริตา อเมทริน นักเขียน’
Email: kanplu@windowslive.com
โทร.0626656247 หรือทางไลน์ ID: pirita-ametrine
วันนี้-20 สิงหาคม นี้ เท่านั้น!!



​บทที่ 3 คนหน้าแปลกหรือคนแปลกหน้า


หลังจากนั้น วาสุรีย์ก็พาชายหนุ่มความจำเสื่อมเข้ามาอยู่ในสวนกล้วยไม้วาสุรีย์ โดยให้พักกับครอบครัวของเจิด และให้เจิดคอยดูแลเขาไปในตัว แม้ร่างกายของเขาจะแข็งแรงดีแล้ว แต่ทางด้านพยาบาลเกศราก็ได้จัดยาที่ชายหนุ่มยังต้องกินอย่างต่อเนื่องมาให้ ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขาตอนนี้จึงมีเพียงยาถุงหนึ่งเท่านั้นที่เป็นสมบัติติดตัว

“เป็นยังไงบ้างคะ พอจะอยู่ได้ไหมที่บ้านพักคนงาน” หญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงชุดรับแขกในห้องโถงของบ้านถามขึ้น เมื่อชายหนุ่มตามเจิดเข้ามาในบ้านตามที่สั่ง ขณะเจิดเข้าไปหามารดาในครัว ปล่อยให้เจ้านายสาวคุยธุระกับคนตัวโตเพียงลำพัง

“ไม่มีปัญหาครับเรื่องนั้น ว่าแต่คุณเถอะ ทำอย่างนี้บ่อยเหรอครับ” เจ้าของใบหน้ารกรื้นนั่งลงตรงข้าม พลางถามกลับด้วยสีหน้าจริงจัง

“หมายถึง?... ” วาสุรีย์มีสีหน้างุนงงเล็กน้อย

“ก็ให้คนแปลกหน้ามาอาศัยอยู่ที่นี่น่ะสิครับ” หญิงสาวถึงบางอ้อ ก่อนจะยิ้มให้เขา

“ไม่หรอกค่ะ จะว่าไปคุณเป็นคนแรกนะคะ แล้วก็เป็นคนแรกด้วยที่ตื๊อจนฉันปฏิเสธไม่ลงอย่างนี้ เอ๊ะ... หรือว่าที่ถามนี่จะเปลี่ยนใจ? ก็ได้นะคะ” ตอนท้ายเธอแกล้งแหย่เข้าให้ และก็ได้ผลคนตัวโตหน้ารกรีบส่ายหน้า โบกมือว่อนปฏิเสธในทันที

“โอ๊ะ!...ไม่ใช่ครับ ไม่เปลี่ยนใจหรอกครับ ผมแค่แปลกใจที่คุณมีน้ำใจแม้แต่กับคนที่ไม่รู้ที่มาที่ไปอย่างผม ผมไม่แน่ใจว่าถ้าไปเจอคนอื่นจะได้รับความช่วยเหลืออย่างคุณไหม” ท่าทางน้ำเสียงของเขาดูเจี่ยมเจี๊ยมน่าสงสาร

“อย่าคิดมากเลยค่ะ อะไรที่พอช่วยเหลือกันได้ไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็ต้องช่วยกันไป” หญิงสาวจึงปลอบใจไป นั่นทำให้เขายิ้มตอบพร้อมพร่ำขอบคุณ

“ขอบคุณมากๆ เลยนะครับ แต่คุณพูดภาษาอังกฤษได้ชัดเจนมากเลยนะครับ” ก่อนจะตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการใช้ภาษาของเจ้าของบ้านในตอนท้าย

“ฉันเคยไปเรียนต่างประเทศมาก่อนน่ะค่ะ คุณก็เหมือนกัน ฉันคิดว่าสำเนียงภาษาอังกฤษของคุณอาจจะทำให้รู้ที่มาที่ไปของคุณก็ได้นะคะ” วาสุรีย์ว่าไปตามความคิด

“ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดีน่ะสิครับ ผมเองก็อยากรู้เรื่องของตัวเองเหมือนกัน” มาตอนนี้ดวงตาคู่สีน้ำตาลเหลื่อมเขียวมีแววสลดลง จนคนมองรู้สึกเห็นใจ

“อย่าคิดอะไรมากเลยค่ะ คุณอยู่ที่นี่ก็ทำใจให้สบายนะคะ เดี๋ยวเมื่อถึงเวลาก็จะรู้สิ่งที่อยากรู้เองแหล่ะค่ะ อ้อ... ที่ฉันเรียกคุณมานี่ก็เพราะจะเอาเสื้อผ้านี่ให้คุณ” หญิงสาวหันไปคว้ากล่องกระดาษที่เตรียมไว้บนพื้นด้านข้างมาส่งให้ชายหนุ่มรับไปดู

“เสื้อผ้านี่เป็นของใครหรือครับ” ก่อนจะถามอย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นเสื้อผ้าที่อยู่ในนั้น

“ของคุณพ่อฉันเองค่ะ ท่านเสียไปแล้ว ท่านอาจจะตัวไม่ใหญ่เท่าคุณ แต่คุณพ่อท่านชอบใส่เสื้อผ้าตัวใหญ่ ฉันคิดว่าคุณคงจะใส่ของท่านได้” คำเฉลยนั้นทำให้คนตัวโตพยักหน้ารับรู้ พลางเอาเสื้อผ้าฝ้ายตัวหนึ่งมาทาบกับตัวเขา และเห็นว่าพอเหมาะพอดีเลยทีเดียว “อ้อ... พวกของใช้ต่างๆ

นอกเหนือจากนี้ ป้าแจ้มจะเป็นคนจัดการให้ คุณขาดเหลืออะไรก็บอกป้าแจ้มได้เลยนะคะ ไม่ต้องเกรงใจ แกจะดูแลคุณเหมือนคนในครอบครัวเลยล่ะค่ะ”

วาสุรีย์บอกต่อ เพราะได้คุยกับป้าแจ้มเอาไว้แล้ว

“ขอบคุณมากนะครับ คุณเป็นคนมีน้ำใจมาก ผมไม่รู้จะตอบแทนคุณยังไงดี” เขาว่า ดวงตาที่มองเจ้าของร่างโปร่งบางสมส่วนมีแววขอบคุณระคนชื่นชมไม่มีปิดบัง

“บอกแล้วไงคะว่าไม่เป็นไร แต่ถ้าคุณอยากจะตอบแทนฉันจริงๆ ก็แค่อย่าทำตัวเป็นปัญหาเท่านั้นก็พอ” หญิงสาวหมายความตามนั้นจริงๆ

เธอไม่ได้คาดหวังอะไรในตัวคนที่จำอะไรไม่ได้แม้แต่ชื่อของตัวเองคนนี้ นอกจากช่วยเหลือกันเท่าที่จะทำได้ เพราะความเป็นคนมีน้ำใจ ช่วยเหลือทุกคนที่เดือดร้อนเป็นที่รู้กันในหมู่คนงาน เพื่อนฝูง คนรอบข้าง วาสุรีย์จึงเป็นที่รักของคนงานทุกคน สิ่งเหล่านี้หญิงสาวคงได้มาจากครอบครัวของเธอนั่นเอง

“รับรองผมจะไม่ทำให้คุณเดือดร้อนเลย ว่าแต่ถ้าผมอยากช่วยงานคุณเป็นการตอบแทนบ้างล่ะครับ พอจะมีงานอะไรที่เหมาะกับผมให้ทำบ้างไหม” นอกจากจะซาบซึ้งใจแล้ว คนตัวโตยังกระตือรือร้นอย่างเห็นได้ชัด นั่นทำให้

วาสุรีย์รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง

“อืมม์... ถ้าคุณตั้งใจแบบนั้นจริงๆ เดี๋ยวฉันจะให้ลุงสมเป็นคนพาไปทำงานก็แล้วกันนะคะ เอาเป็นว่าคุณเตรียมตัวเรียนรู้งานกับลุงสมก็แล้วกัน แล้วแกจะบอกคุณเองว่าจะต้องทำอะไรบ้าง” หญิงสาวบอกอย่างไม่ได้คิดว่าเขาจะจริงจังอะไร

คิดง่ายๆ เพียงแค่ว่าอย่างน้อยการทำงานอาจจะทำให้เจ้าตัวลดความเครียดเรื่องของตัวเองลงได้บ้างเท่านั้น ชายหนุ่มพร่ำขอบคุณอีกหลายครั้ง ก่อนจะขอตัวกลับไปยังบ้านพัก

*-*-*-*-*-*

ในค่ำคืน ขณะหญิงสาวกำลังอยู่ในห้วงนิทรา เสียงกริ่งหน้าประตูบ้านก็ดังขึ้นกลางดึก นั่นทำให้คนที่กำลังนอนหลับสบายอยู่บนห้องนอนชั้นสองต้องสะดุ้งตื่น และรีบลงมาข้างล่างในทันที

“คุณหวายครับ ฝรั่งนั่นแย่แล้วครับคุณหวาย” เจิดยืนอยู่หน้าประตูรายงาน ด้วยสีหน้าท่าทางตื่นตระหนก

“เขาเป็นอะไรเจิด” วาสุรีย์หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง

“ไม่รู้ครับ เขากุมหัว อาจจะปวดหัวก็ได้ครับ แต่ผมกับพ่อฟังเขาพูดไม่เข้าใจเลย คุณหวายช่วยไปดูหน่อยเถอะครับ” สิ้นคำ เจิดก็หันกลับไปยังด้านหลังที่เป็นบ้านพักคนงาน วาสุรีย์จึงรีบตามไปติดๆ

บ้านพักคนงานอยู่ทางด้านหลังบ้านของหญิงสาว เดินไปประมาณยี่สิบเมตรก็เป็นที่ตั้งของห้องแถวชั้นเดียว ที่มีทั้งปูนและไม้หลายหลัง แต่ละหลังจะกั้นเป็นห้องๆ มาตอนนี้มีคนงานพักอยู่เพียง 4 ครอบครัวเท่านั้น หนึ่งในนั้นคือครอบครัวของลุงสมนั่นเอง

เจิดนำเจ้านายสาวไปยังบ้านพักของตนกับครอบครัวที่อยู่ด้านหน้าสุด เจิดพักอยู่ห้องติดกับพ่อแม่เขา ในห้องนั้นมีลุงสมกับป้าแจ้มนั่งอยู่ข้างร่างใหญ่ บ่งบอกว่าครอบครัวนี้ได้พยายามดูแลชายหนุ่มอย่างเต็มที่แล้ว พอเห็นว่าไม่ไหวจริงๆ ถึงได้ไปตามเธอมา

“เป็นยังไงบ้างคะ ลุงสม ป้าแจ้ม” หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งข้างๆ คนทั้งสอง

มองร่างใหญ่ที่นอนคุดคู้อยู่บนเสื่อด้านหนึ่งของห้อง ดวงตาของเขาปรือ ใบหน้านิ่วเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เหงื่อเม็ดเป้งผุดพรายตามใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครานั้น และสองมือก็กุมศีรษะเอาไว้แน่น ราวกับจะทำให้ความเจ็บปวดที่กำลังถาโถมบรรเทาลงกระนั้น

“ก็อย่างที่เห็นนี่แหล่ะครับคุณหนู พวกลุงไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว” ลุงสมผู้ไม่เคยตื่นตระหนกกับอะไรง่ายๆ ตอบอย่างคนอับจนหนทางเต็มที วาสุรีย์จึงรีบเอื้อมมือไปแตะร่างนั้น แต่ก็ไม่รู้สึกถึงความร้อนรุม

“คุณคะ คุณปวดหัวเหรอคะ” ไม่มีเสียงตอบรับในทันที แต่เขากลับปรือตามอง ก่อนจะนิ่วหน้าและบีบหัวตัวเองอีกครั้ง “จริงสิคะ ยาล่ะคะ ทำไมไม่เอายาให้เขากิน” หญิงสาวมองหายา

“อยู่นี่ค่ะคุณหนู ป้ากับลุงแล้วก็ไอ้เจิดอ่านไม่ออกน่ะสิคะ ยาตั้งถุงเบ้อเร่อ มีแต่ภาษาฝรั่ง” ป้าแจ้มว่า พลางรีบส่งถุงพลาสติกใบหนึ่งที่มีโลโก้ของโรงพยาบาลติดอยู่ให้

ซึ่งด้านในเต็มไปด้วยยาถุงเล็กเกือบสิบถุง วาสุรีย์จึงรีบค้นหาก็ได้ยาจำพวกแก้ปวด ซึ่งเธอไม่รู้ว่าต้องกินร่วมกับยาชนิดไหนหรือไม่ แม้จะอ่านออกแต่ก็เป็นศัพท์เฉพาะทางการแพทย์ อีกทั้งไม่ได้บอกสรรพคุณละเอียดขนาดนั้น เธอจึงตัดสินใจจะให้เขาทานยาแก้ปวดก่อน

“ลุงกับเจิดช่วยพยุงเขาลุกขึ้นนั่งทีนะคะ หวายจะเอายาให้เขากินก่อน

เดี๋ยวจะโทร.หาเกศอีกทีว่าจะต้องกินยาอะไรอีก” หญิงสาวบอก ทั้งสองพ่อลูกก็รีบทำตาม

จนกระทั่งชายหนุ่มกินยาเสร็จแล้วนอนพักต่อ แต่ก็ยังมีอาการกระสับกระส่ายไม่หาย วาสุรีย์จึงรีบกดโทรศัพท์หาเพื่อนสาวที่เข้าเวรพอดี เธอถามเกศราถึงยาและอาการที่เขาเป็นอยู่

“ตายจริง นี่เขามีอาการแบบนี้อีกเหรอเนี่ย ฉันก็นึกว่าหายแล้วเสียอีก เขาเคยเป็นแบบนี้ตอนช่วงที่ฟื้นขึ้นมาใหม่ๆ หลายครั้งอยู่ โชคดีที่หมอจัดยาเอาไปเผื่อไว้ เธอให้ยาแก้ปวดไปแล้วใช่ไหม เดี๋ยวให้เขากินยาอีกสองตัวนะ ถ้าไม่ดีขึ้นให้พาตัวมาส่งโรง’บาลอีกที... ” แล้วพยาบาลเกศราก็บอกรายชื่อยาที่ต้องทานร่วมกัน วาสุรีย์จึงรีบทำตามอย่างรวดเร็ว

“รอดูสักพักนะคะ ถ้าเขาไม่ดีขึ้นค่อยเอารถออกไปส่งโรงพยาบาล” หญิงสาวบอกกับสามพ่อแม่ลูก ที่คอยช่วยเธอพยุงคนตัวโตลุกขึ้นกินยาเพิ่ม

หลังจากนั้นไม่นาน อาการที่ชายหนุ่มเป็นอย่างหนักหน่วงเมื่อครู่ก็สงบลง และเขาก็หลับลงไปท่ามกลางการลุ้นระทึกของคนทั้งสี่ที่เฝ้าดูอยู่

“คุณหนูไปนอนเถอะค่ะ ให้ตาสมกับเจ้าเจิดมันเฝ้าให้ก็ได้” ป้าแจ้มบอก เมื่อเห็นว่าคงพอวางใจได้แล้ว

“ค่ะ ป้าแจ้ม ถ้ามีอะไรให้รีบไปตามฉันทันทีเลยนะเจิด” วาสุรีย์บอกเด็กหนุ่มในตอนท้าย

พอกลับมาถึงบ้านหญิงสาวกลับนอนไม่หลับเสียอย่างนั้น วาสุรีย์จึงไปยังห้องทำงานส่วนตัวชั้นล่าง ซึ่งห้องนี้เป็นอีกหนึ่งห้องทำงานของบิดา มาตอนนี้เธอก็ได้ใช้มันยามที่มีงานคั่งค้างจากออฟฟิศ และงานที่เกี่ยวกับเงินทองทั้งหลาย มักจะถูกนำกลับมาทำที่นี่เป็นประจำ

ร่างโปร่งบางสมส่วนทรุดตัวนั่งลงหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ เปิดดูแฟ้มที่วางอยู่ตรงหน้า มันเป็นรายงานเก่าๆ ที่บิดา มารดาได้ทำไว้เดือนต่อเดือน

วาสุรีย์มักเอามาศึกษาดูบ่อยๆ อีกใจก็คอยเงี่ยหูฟังว่าเจิดจะมากดกริ่งหน้าบ้าน และเธอก็เตรียมพร้อมที่จะไปโรงพยาบาลทันที แต่เวลาผ่านไปกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น หญิงสาวจึงต้องเป็นฝ่ายออกไปดูที่บ้านพักคนงานด้วยตัวเองอีกครั้ง

แต่พอไปถึงห้องที่เปิดโล่ง ก็เห็นเจิดกับลุงสมนอนหลับอยู่มุมหนึ่งของห้อง เจ้าของร่างใหญ่เองก็เหมือนจะหลับสนิทไม่มีทีท่าทุรนทุราย แต่วาสุรีย์ยังไม่วางใจ จึงก้าวเข้าไปในห้องก่อนจะยกมือแตะร่างใหญ่โตนั้น พอเห็นว่าเขาหายใจเป็นปกติแล้ว หญิงสาวจึงถอนหายใจโล่งอก ก่อนจะออกจากห้องและปิดประตูตามหลังอย่างเบามือ

*-*-*-*-*-*

ตอนเช้าหลังจากได้กาแฟแก้วหนึ่ง วาสุรีย์ก็รีบออกมายังโรงเรือนคัดแยกและจัดเตรียมกล้วยไม้ตัดดอกด้านหน้า คนงานมาทำงานกันแต่เช้าเช่นเดิม พร้อมเสียงหัวเราะ พูดคุย กระเซ้าเย้าหยอกกันดังอยู่เซ่งแซ่ คนงานเหล่านี้เมื่อเสร็จงานที่โรงเรือนนี้แล้ว ต่างก็จะแยกย้ายกันไปทำงานในโรงเรือนกล้วยไม้ด้านในต่อในตอนสาย

หญิงสาวก้าวเข้าไปด้านในโรงเรือน ใบหน้างามระบายยิ้มนิดๆ กับความสดใสงดงามของกล้วยไม้สกุลหวาย อย่างมาดามปอมปาดัวร์สีม่วงแดง และวอลเตอร์โอมายสีขาว แจกเกอ-ลีนโทมัสสีชมพู หรือจะเป็นสกุลออนซิเดียม เช่น โกลเด้นโชว์เวอร์

นอกจากนี้ยังมีพวกสกุลแวนด้า หรือราชินีกล้วยไม้อย่างแคทลียาดอกใหญ่หลากสีสัน บางสกุล บางชนิดก็มีกลิ่นหอม ต่างช่วยแต่งแต้มสีสันสร้างบรรยากาศให้โรงเรือนแห่งนี้สดชื่น มีชีวิตชีวายิ่งขึ้น มันเป็นความสุขที่เธอสัมผัสได้ในทุกเช้า

กล้วยไม้ของสวนวาสุรีย์ไม่ว่าจะเป็นพันธุ์แท้หรือลูกผสม ล้วนแล้วแต่ขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพ สมบูรณ์ทั้งความยาวของช่อ ทั้งจำนวนดอก แถมยังรักษาความสดได้นาน มันเป็นความภาคภูมิใจมาตั้งแต่รุ่นตายาย และบิดามารดาของหญิงสาวเลยทีเดียว

เมื่อรถบริษัทส่งออกกล้วยไม้เข้ามาจอดเทียบหน้าโรงเรือน ของก็พร้อมสำหรับการลำเลียงขึ้นรถพอดี และพอขั้นตอนการขนย้ายดอกกล้วยไม้ส่งนอกเสร็จ ก็เป็นคิวรถกระบะของสวนวาสุรีย์เอง วันนี้ลุงสมนำรถมาจอดเพียงคันเดียว หลังจากรู้ว่าดอกกล้วยไม้ที่ต้องเอาไปส่งในตัวอำเภอมีไม่มากนัก

แต่ที่ทำให้วาสุรีย์และคนงานพากันแปลกใจก็คือ เจ้าของร่างสูงใหญ่ที่ลงมาจากกระบะด้านหลังของรถพร้อมกับเจิดนั่นเอง มาตอนนี้เขาดูปกติดีทุกอย่างราวกับว่าเมื่อคืนไม่ได้เป็นอะไรเลยด้วยซ้ำ

“ลุงคะ นี่... ” หญิงสาวมองคนตัวโต และลุงสมสลับกันไปมา คนงานเก่าแก่จึงยิ้มน้อยๆ

“อ๋อ... เจ้าบักสีดามันอยากมาช่วยงาน ลุงก็เลยพามันมาตามที่คุณหนูเคยสั่งไว้ยังไงล่ะครับ” แล้วจึงอธิบายอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่โต แต่คนฟังกลับไม่ได้ใส่ใจประเด็นนั้น เพราะสรรพนามที่ลุงสมเรียกคนตัวโตหน้ารกสะดุดใจยิ่งกว่า

“บักสีดา? ” วาสุรีย์ทวนคำหน้าเหวอ พลางมองคนที่ถูกเรียกว่า

‘บักสีดา’ ซึ่งกำลังก้าวเข้ามาหาเธอกับลุงสม ด้วยรอยยิ้มกว้างขวางในแบบของเขา

“ฮ่าๆๆ ก็มันจำไม่ได้ว่าตัวเองชื่ออะไร จะเรียกไอ้ฝรั่งก็กะไรอยู่ ลุงก็เลยเรียกมันบักสีดาเสียเลย” ลุงสมเล่าอย่างขำๆ

“บักสีดาขี้นกเสียด้วยซิครับ คุณหวาย” เจิดที่กำลังจะเดินผ่านเข้าไปในโรงเรือนแซวมาอย่างอดปากไม่ได้ตามนิสัย

“เอ่อ... เรื่องชื่อตามแต่ลุงเถอะค่ะ แต่ว่าเขาไม่เป็นไรแล้วเหรอคะ” พอหายข้องใจหญิงสาวจึงถามถึงอาการของคนตัวโต เนื่องจากตอนเช้าเธอเองก็ไม่ได้แวะไปดูเขา เพราะคิดว่าถ้าไม่มีใครมาตามเขาคงไม่เป็นไร

“ไม่เห็นมันว่าอะไรนี่ครับ ตื่นขึ้นมาไม่มีท่าทีปวดหัวอีกเลย แถมยังกระตือรือร้นอาสาจะทำงานอีก ลุงคิดว่าคงไม่เป็นอะไรแล้วล่ะครับ” ลุงสมว่า เจ้าของร่างสูงใหญ่เกินมาตรฐานชายไทยก็ก้าวเข้ามาสู่วงสนทนาพอดี

“คุณหายแล้วเหรอคะ รู้สึกปวดหัวหรือเป็นอะไรอีกหรือเปล่า เดี๋ยวลุงสมเอาของไปส่ง คุณไปด้วยดีกว่านะคะ จะได้แวะตรวจที่โรงพยาบาลอีกที” หญิงสาวถามและจัดแจงในคราวเดียวกัน แต่เขาโบกมือเป็นการปฏิเสธ

“ไม่เป็นไรแล้ว ผมไม่เป็นไร เมื่อคืนนี้เป็นอาการที่เฉียบพลันไปหน่อย โชคดีที่คุณเอายาให้ผมกินทัน แต่เห็นหมอบอกว่ามันจะค่อยๆ หายไปเมื่อสมองผมกลับเข้าที่เข้าทาง” ชายหนุ่มหน้ารกว่าอย่างไม่เห็นสำคัญ ทว่าคนฟังกลับไม่มั่นใจ ยังคงจ้องเขาอย่างสำรวจตรวจตรา

“อ่า... ไม่เป็นไรแน่นะคะ” คนความจำเสื่อมหัวเราะกับท่าทางของเธอ ก่อนว่า

“แน่สิครับ ขอบคุณมากนะครับที่เป็นห่วง ผมโอเค.แล้ว แล้วตอนนี้ผมก็พร้อมที่จะทำงานแล้วด้วย” พลางทำท่ากระฉับกระเฉงเป็นการยืนยันถึงความสบายดี และพร้อมทำงาน

“เอ่อ ถ้าอย่างนั้นรบกวนลุงสมช่วยสอนงานคุณ... อ่า... บักสีดา ของลุงด้วยนะคะ” หญิงสาวเรียกชื่อที่ลุงสมกับเจิดตั้งให้อย่างกระดากปากไม่น้อย

“ไม่ต้องห่วงครับคุณหนู ลองบักสีดามันมีใจสู้อย่างนี้แล้ว เดี๋ยวลุงกับเจ้าเจิดจะสอนงานให้เองครับ”

ตอนสายของวันนั้นชายหนุ่มจึงได้ตามเจิดขึ้นไปยังบ่อน้ำบนเขา แม้จะมีปัญหาเรื่องภาษา แต่ทั้งคู่ก็พยายามสื่อสารกันอย่างสุดความสามารถ โดยใช้มือไม้ท่าทางคอยช่วย รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เดาสุ่มเอาบ้าง เจิดพา ‘บักสีดา’ ไปดูเครื่องสูบน้ำพลางสอนเป็นภาษาไทย

“เครื่องสูบน้ำนี่ปกติเวลาน้ำเยอะๆ เราไม่ต้องใช้ จะใช้แต่ตอนน้ำลดต่ำกว่าระดับที่ขีดเอาไว้ หรือในหน้าแล้ง แล้วก็ต้องขึ้นมาตรวจสอบทุกเช้า และตอนมีปัญหาระหว่างวันด้วย” คนฟังยิ้มเผล่ “เออ... จริงสิวะบักสีดา ข้าก็ลืมไปว่าเอ็งฟังไม่รู้เรื่อง เอาเป็นว่าดูๆ ข้าทำไปก่อนก็แล้วกันนะ ข้องใจอะไรก็ไปถามคุณหวายเอาเองก็แล้วกัน”

“คุณหวาย” ชายหนุ่มหน้ารกทวนคำเป็นภาษาไทยแปร่งๆ

“เออ... สิวะ พูดภาษาไทยได้คำหนึ่งแล้วนี่หว่า เดี๋ยวว่างๆ ข้าจะสอนคำใหม่ๆ ให้เอ็งก็แล้วกันนะ” เจิดตบหลังตบไหล่คนตัวสูงกว่าอย่างผู้ใหญ่ที่กำลังสั่งสอนเด็ก แม้ความสูงจะทำให้ลำบากหน่อยแต่เจิดก็บ่ยั่นเพราะนานๆ จะมี ‘ลูกน้อง’ อยู่ในปกครองที หรือจะพูดให้ถูกคือมีลูกน้องมาให้ ‘ข่ม’ นั่น

แหล่ะ

ส่วนคนฟังได้แต่ยิ้มรับ จะรู้เรื่องไม่รู้เรื่องยังไง แต่คิดว่ายิ้มเอาไว้ก่อนน่าจะปลอดภัยที่สุด จนกระทั่งเสร็จจากงานเจิดก็มาล้มตัวลงนอนตรงศาลา นั่นทำให้เจ้าของร่างใหญ่แปลกใจ

“แล้วนี่เราไม่รีบกลับกันเหรอ” ชายหนุ่มความจำเสื่อมถาม แน่นอนว่าเจิดฟังไม่ออก แต่ก็พอเดาได้

“ข้าเหนื่อยว่ะ ขอพักแป๊บนึง นี่เอ็งอย่าบอกคุณหวายกับพ่อข้านะโว้ย! แล้วเอ็งจะนอนก็นอน ไม่นอนจะไปทำอะไรก็ไป” ว่าแล้วก็หลับตาลง ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็ไม่ได้ทักท้วงแต่อย่างใด เขากลับเดินไปอีกด้านหนึ่งอย่างเงียบๆ โดยที่เจิดไม่ได้สนใจเพราะตอนนี้ได้เข้าสู่ภวังค์งีบเสียแล้ว

ดวงตาคู่สีน้ำตาลเหลื่อมประกายเขียว กวาดมองไปทั่วพื้นดินและโขดหิน ราวกับกำลังมองหาอะไรสักอย่าง ก่อนจะหยิบกิ่งไม้แห้งมาเขี่ยไปตามทางเดินเท้าเล็กๆ ข้างลำธารที่แห้งเหือด ใบหน้ารกรื้นไปด้วยหนวดเคราเพราะไม่ได้รับการเอาใจใส่ดูเคร่งเครียดจนเห็นได้ชัด

เขาก้าวไปตามทางอย่างช้าๆ จนกระทั่งถึงบริเวณทางขึ้นเขาที่มีรอยลื่นไถลปรากฏจางๆ พร้อมกับคราบเลือดแห้งเกรอะกรังเป็นสีน้ำตาลติดตามใบไม้ที่หากไม่สังเกตดีๆ จะไม่รู้เลยว่าเป็นคราบเลือด และไม่เห็นร่องรอยที่เลือนรางเหล่านี้ สายตาคมกวาดมองอย่างถ้วนถี่ เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้จึงได้ยินเสียงของเจิดตะโกนขึ้นมาจากศาลา

“เฮ้ย! บักสีดาขี้นก เอ็งอยู่ไหนวะ” ชายหนุ่มจึงรีบเดินกลับไปทางเดิมพร้อมรอยยิ้มในแบบของเขา “เรากลับกันเถอะว่ะ โกโฮมน่ะ โกโฮม เข้าใจไหม? ”

“โอเค.โกโฮม” คนหน้ารกหัวเราะ พลางเดินตามเจิดที่ก้าวนำไปขึ้นรถกระบะคันเก่า

ก่อนที่รถจะแล่นปุเลงออกมาจากตรงนั้น ดวงตาคู่คมเหลือบมองไปยังจุดที่เขาสำรวจเมื่อครู่อย่างครุ่นคิดกังวล โดยที่เจิดไม่ได้สังเกตอะไร ได้แต่ชวนคุยในแบบไม่รู้เรื่องต่อไป


**ลิงค์ E-Book 'ลิขิตรักเก็บตก' ค่าาา**
#Meb
เล่ม 1
https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=
YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6Njoi
NzEyOTE2IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M
เล่ม 2
https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&dat
a=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6Njo
iNzEyOTE2IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiNTg2MjUiO30

#ookbee
เล่ม 1
http://www.ookbee.com/shop/BookInfo?pid=274409f7-13d0-4632-811d-bf78ed5a4645&affiliateCode=1168c15837084f8bbb5cf6fde0ca707d
เล่ม2
http://www.ookbee.com/shop/BookInfo?pid=897b2657-9548-401d-bb1b-76bf11bd35ef&affiliateCode=1168c15837084f8bbb5cf6fde0ca707d

#hytexts
https://www.hytexts.com/ebook/B012230-ลิขิตรักเก็บตก (เล่ม 1)
https://www.hytexts.com/ebook/B012231-ลิขิตรักเก็บตก (เล่ม 2)

#นายอินทร์ปัณณ์
เล่ม 1
https://naiin.com/product/detail/215446/
เล่ม 2
https://naiin.com/product/detail/215447/



กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 มิ.ย. 2560, 20:55:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 มิ.ย. 2560, 20:55:01 น.

จำนวนการเข้าชม : 947





<< บทที่ 2 หญิงไทยใจนักเลง   บทที่ 4 บักสีดาขี้นก >>
สิรินดา 26 มิ.ย. 2560, 07:57:29 น.
แวะมาทักทายค่ะ ขอให้ e-book ขายดี นะคะ


กานพลู 29 มิ.ย. 2560, 11:00:31 น.
ยินดีและขอบคุณมากค่าาา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account