The D.O.L.L.S โศกนาฏกรรมปีศาจตุ๊กตามหาเวท SEASON 2
"นักขายความฝันผู้เลือดร้อน & นักโทษประหารผู้เริงร่า & หัวขโมยผู้เย็นชา"
ต่างถิ่น ต่างความคิด ต่างอาชีพ ต่างนิสัย ต่างจุดมุ่งหมาย ต่างเผ่าพันธุ์
กลับต้องมาอยู่ด้วยกันเพราะเหตุบางอย่าง... The D.O.L.L.S

ตุ๊กตาปีศาจมีลักษณะรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ

ถ้าอย่างนั้น...จะรู้ได้อย่างไร?
...เป็นปีศาจ...หาใช่มนุษย์ไม่...

ระวังไว้ให้ดี...ทุกอย่างอาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา...

...ที่ใครบางคนสร้างขึ้นเท่านั้น...

สงครามระหว่างผู้มีพลังเวทกับมนุษย์ธรรมดา
ใครจะอยู่รอดเป็นผู้กำชัยชนะ!?


- ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านจากใจจริง -

แผนที่นครเซ็นทรัม http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/map122e1.jpg
Tags: ตุ๊กตา,ปีศาจ,คำสาป,เวทมนตร์,สงคราม,แฟนตาซี,ผู้ใช้เวท,มนุษย์,โศกนาฏกรรม,mystery

ตอน: Episode 38 : || ข้อสันนิษฐาน ||

EPISODE 38

ข้อสันนิษฐาน



เวลาพลบค่ำวนเวียนมาถึงอีกครั้งหนึ่ง รถเคอาร์ยังคงจอดนิ่งสงบอยู่บริเวณหน้าประตูศักดิ์สิทธิ์ เสียงลอบถอนหายใจเบาๆ ดังมาจากเด็กสาวผู้เป็นเจ้าของห้อง นัยน์ตาสีแดงเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่างพลางคิดถึงจุดเริ่มต้นการเดินทางของตัวเอง ความตั้งใจที่จะพาตัวมิลองกลับมาทำให้เธอคิดแหกกฏหนีออกจากเผ่ามายา แต่ก็ถูกท่านย่าจับได้เสียก่อน ทีแรกเธอนึกว่าจะถูกลงโทษรุนแรงแล้วเสียอีก แต่ท่านย่ากลับมอบเพชรสีแดงซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการผ่านประตูศักดิ์สิทธิ์ให้กับเธอ พร้อมทั้งยังอวยพรขอให้เธอโชคดี ทำให้ในตอนนั้น เธอได้รับรู้ความรู้สึกแท้จริงที่มีต่อมิลองของท่านเจ้าเผ่า ท่านย่าเอง...ก็คงจะเสียใจเรื่องมิลองไม่น้อยเหมือนกัน



การได้เล่าความรู้สึกและระบายสิ่งอัดอั้นภายในจิตใจออกมานั้นทำให้มิเวลรู้สึกดีขึ้นมาก ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้เธอคงจะเก็บปัญหาความทุกข์ต่างๆ ไว้กับตัวเองมากเกินไป เพราะเอาแต่คิดว่ามันเป็นปัญหาของเธอคนเดียว ต้องแก้ไขมันด้วยตัวเอง ซึ่งจริงๆ แล้วกลับกลายเป็นข้ออ้างที่เธอสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเองจากการเชื่อใจคนอื่นต่างหาก



เด็กสาวหมุนตัวกลับ เดินออกห่างจากหน้าต่าง ตรงไปที่เตียงพร้อมกับล้มตัวลงนอน ยิ้มน้อยๆ ด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย การมีเพื่อนที่สามารถเชื่อใจและปรึกษาหารือได้มันดีอย่างนี้นี่เอง



เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ ใบหน้างามเหลือบสายตาไปมอง ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นอน เดินตรงไปยังประตูพร้อมด้วยอาการเบ้ปากน้อยๆ อย่างรู้สึกขัดใจ เธอกำลังอยากจะนอนพักสักหน่อย มีอะไรอีกล่ะเนี่ย



ประตูแง้มเปิดออก เผยให้เห็นเจ้าของใบหน้าคมผู้คงสีหน้าให้เรียบเฉยอยู่เสมอ นัยน์ตาสีอำพันคู่สวยมองสบสายตาด้วยสายตานิ่งๆ เช่นเคย เด็กสาวขยับตัวหลบเพื่อเปิดทางให้คนตรงหน้าเข้ามาในห้อง แต่แล้วก็ต้องเลิกคิ้วน้อยๆ อย่างสงสัยเมื่อเห็นร่างสูงยังยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน



“ไม่เข้ามาเหรอ” เสียงงุนงงเอ่ยถาม



“คุยตรงนี้ก็ได้ ข้าจะมาถามว่าเจ้ามีความรู้เกี่ยวกับประตูศักดิ์สิทธิ์มากแค่ไหน”



คนถูกถามขมวดคิ้วเข้าหากัน พยายามเค้นเอาข้อมูลในหัวทุกอย่างที่เกี่ยวกับประตูศักดิ์สิทธิ์ออกมา แต่แล้วก็ต้องกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก กลอกตาไปมาอย่างรู้สึกถึงความไร้ประโยชน์ของตัวเอง กระแอมเสียงน้อยๆ แล้วจึงเอ่ยตอบไปตามความจริง



“...แค่...เป็นทางเข้าออก”



เอเวนถอนหายใจเบาๆ เนื่องจากคำตอบของเด็กสาวนั้นตรงตามที่เขาคิดเอาไว้ไม่มีผิด สมกับเป็นพวกนอกคอกของเผ่ามายา ไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ



“ข้าพอจะรู้สองสามเรื่องเกี่ยวกับบานประตูนี่อยู่บ้าง แล้วก็คิดว่ามันน่าจะมีผลกับเส้นทางไปหมู่บ้านฟรอซเซล รวมทั้งนครสาบสูญด้วย แต่ก็ยังไม่แน่ใจ”



“เจ้ากำลังจะบอกว่า ไม่จำเป็นต้องผ่านเผ่ามายางั้นเหรอ” น้ำเสียงเคร่งเครียดเอ่ยถาม ความจริงแล้วมีเพียงแค่ทะเลหมอกเท่านั้นที่โอบล้อมเกาะเอาไว้ เธอกำลังสงสัยอยู่พอดีว่าหมู่บ้านฟรอซเซลมีหุบเขาและทะเลสาปตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมเธอถึงไม่เคยเห็นมาก่อนเลย



“เจ้าใช้เพชรเป็นสื่อกลางในการผ่านโพรงกุญแจเข้าไป บางที...วิธีการไปนครสาบสูญก็อาจจะต้องใช้อะไรสักอย่างเป็นสื่อกลางด้วยเหมือนกัน” เอเวนวิเคราะห์ความเป็นไปได้ให้อีกฝ่ายฟังคร่าวๆ เขาไม่คิดว่าหมู่บ้านฟรอซเซลคือเส้นทางผ่านไปยังนครสาบสูญ เนื่องจากมีลักษณะภูมิประเทศเป็นเกาะ เป็นไปไม่ได้ที่คนในเผ่ามายาจะไม่รู้เรื่องนครสาบสูญ นอกเสียจากว่าจะถูกเวทมายาซ่อนเอาไว้ แต่ชนเผ่ามายานั้นเชี่ยวชาญเรื่องธาตุบริสุทธิ์มากทีเดียว ทำให้เรื่องมีใครมาร่ายเวทมายาแอบซ่อนสถานที่ต้องห้ามจากพวกเขาเอาไว้นั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่ อีกทั้งเวทเขตอาคมของเผ่ามายาเองก็ยังมีพลังมหาศาลเกินกว่าที่คนนอกจะสามารถฝ่าเข้าไปได้ง่ายๆ



“แสดงว่าเราต้องหาสิ่งของที่เป็นสื่อกลางในการผ่านรูกุญแจเข้าไปสินะ” เด็กสาวสรุปตามความเข้าใจ พลางครุ่นคิดถึงสิ่งของที่ว่านั่น แต่ก็ไม่รู้อีกอยู่ดีนั่นแหละว่ามันคืออะไร และจะหาได้จากที่ไหน



“นั่นคือในกรณีที่เผ่ามายาของเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับสถานที่ต้องห้าม” เสียงเรียบกล่าว เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ พร้อมกับใช้สายตาคำถามมองสีหน้าตกตะลึงของมิเวลเหมือนจะขอความคิดเห็นจากเธอ



คนถูกถามทางสายตาได้แต่ยืนงงไปชั่วขณะ ก่อนจะรู้สึกได้ถึงไอร้อนค่อยๆ ปะทุเดือดขึ้นภายในร่างเพราะความโมโห นี่เจ้าบ้าเอเวนมันกำลังกล่าวหาเผ่ามายาของเธออยู่ใช่มั้ย



“ถ้าเผ่ามายารู้เรื่องนครสาบสูญจริง ข้าจะออกเดินทางให้วุ่นวายทำไม” น้ำเสียงเคืองๆ แย้งกลับไป แต่ก็ถูกอีกฝ่ายโต้กลับมาอย่างรวดเร็ว



“เจ้าไม่รู้ แต่ก็ใช่ว่าท่านเจ้าเผ่าจะไม่รู้เหมือนเจ้า” เอเวนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ถึงกับทำให้คนฟังต้องอ้าปากค้าง ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะคิดไปไกลไปถึงนั่น



“น้องชายของข้าถูกพาตัวไปที่นครสาบสูญเมื่อสองปีก่อน ถ้าเผ่ามายามีความเกี่ยวข้องกับสถานที่ต้องห้ามจริง ท่านย่าก็คงไปพาตัวเขากลับมาแล้ว” เด็กสาวพยายามข่มอารมณ์โกรธเอาไว้ไม่ให้ระเบิดออก จ้องเขม็งไปที่ใบหน้านิ่งสนิทด้วยสายตาเอาเรื่อง นี่เจ้าบ้าเอเวนมันตั้งใจจะหาเรื่องเธอจริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย แต่ในขณะที่กำลังส่งสายตาอาฆาตไปให้คนตรงหน้าอยู่นั่นเอง ร่างสูงก็ยกมุมปากขึ้นน้อยๆ อย่างขำขันในท่าทางโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงของเธอ ทำให้ใบหน้าโกรธขึงของเด็กสาวต้องกลายเป็นงุนงงในทันควัน



“ข้ารู้แล้วว่าเผ่ามายาของเจ้าไม่รู้เรื่องนครสาบสูญ เพราะไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะต้องนำแผนที่ต้องคำสาปไปให้กับคนนอกเผ่าอย่างเจ้าชายริชาร์ด” คนหน้าตายกล่าวเสียงเรียบ เด็กสาวขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด พลางส่งเสียงไม่พอใจออกมาอย่างรู้สึกขัดใจ เมื่อกี้เจ้าบ้าเอเวนตั้งใจจะแหย่เธอเล่นแน่ๆ แต่น่าเสียดายที่การเอาคืนคงต้องไปเข้าแถวรอโอกาสหน้า เพราะตอนนี้เรื่องนครสาบสูญต้องมาก่อน



“เจ้าสงสัยเรื่องที่เฟลนเวย์นำแผนที่ไปให้เจ้าชายริชาร์ดงั้นสิ”



“ใช่ ข้าสงสัย แผนที่อยู่กับเจ้าชายนานถึงสองปี ผู้ขายวิญญาณคงไม่เอาแผนที่ไปให้คนอื่นครอบครองนานถึงขนาดนั้นโดยไม่ได้รับผลตอบแทนอะไรแน่” ใบหน้าเคร่งขรึมหลุบสายตาลงต่ำพลางครุ่นคิด เขาสงสัยตั้งแต่เรื่องที่แผนที่ต้องคำสาปไปอยู่กับเฟลนเวย์ได้อย่างไร และทำไมถึงนำแผนที่ไปมอบให้ผู้อื่นโดยไม่บอกถึงวิธีการใช้มันด้วยซ้ำ เท่ากับว่าเฟลนเวย์นำแผนที่ต้องคำสาปไปให้เจ้าชายริชาร์ดครอบครองเฉยๆ ถึงสองปี ฟังดูไม่น่าเป็นไปได้ เพราะฉะนั้นเขาจึงมั่นใจว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างอยู่เบื้องหลังการกระทำอันแปลกประหลาดนี่



มิเวลมองร่างสูงจมอยู่กับความคิดของเขาอยู่พักหนึ่ง จะว่าไปสิ่งที่เอเวนบอกมานั้นมันก็น่าสงสัยอยู่ เด็กสาวขมวดคิ้วน้อยๆ ลองคิดเรื่องนี้ดูบ้างแล้ว เหตุผลที่เฟลนเวย์นำแผนที่ต้องคำสาปไปให้กับเจ้าชายริชาร์ดนั้นอาจจะมีอะไรบางอย่างแอบแฝงอยู่ก็ได้



“หรือว่า...จะเป็นไปได้มั้ยที่แผนที่ต้องคำสาปจะเกี่ยวข้องกับการผ่านโพรงกุญแจของประตูศักดิ์สิทธิ์” เอเวนเอ่ยเสียงครุ่นคิดบางทีเขาอาจจะมองข้ามอะไรบางอย่างไป แผนที่อาจจะเป็นมากกว่าสิ่งที่เอาไว้ใช้ดูเส้นทางก็ได้



มิเวลลองคิดตามข้อสงสัยของเด็กหนุ่ม เธอเคยคิดมาตลอดว่าแผนที่ต้องคำสาปคงมีลักษณะเป็นกระดาษ ไม่ใช่ลูกแก้วกลมดิ๊กแบบนี้ เพราะฉะนั้นการที่แผนที่จะกุมความสามารถในการผ่านโพรงกุญแจเอาไว้ด้วยนั้น มันก็ฟังดูเป็นไปได้มากเลยทีเดียว



“เจ้าหมายถึง...จะให้ลองใช้แผนที่เป็นสื่อกลางแทนเพชรงั้นเหรอ”



นัยน์ตาสีอำพันตวัดมองคนถามโดยที่ไม่พูดอะไร เขาไม่รู้ว่าแผนที่คือตัวแปรสำคัญแน่หรือเปล่า แต่มันก็มีความเป็นไปได้สูง เพราะดูเหมือนว่าแผนที่จะมีพลังบางอย่างในตัวของมันเอง ซึ่งเป็นคุณสมบัติหนึ่งของสิ่งของที่จะใช้เป็นสื่อกลางในการเคลื่อนย้ายสถานที่



ในเมื่อเอเวนนิ่งเงียบโดยไม่แย้งอะไร แสดงว่าคำตอบของเขาคือใช่แน่นอน มิเวลพยักหน้าน้อยๆ ให้คนตรงหน้าอย่างเข้าใจ เริ่มรู้สึกได้ถึงความหวังที่กำลังก่อตัวขึ้นอยู่ในอก ถ้าเป็นไปตามข้อสันนิษฐานของเอเวนล่ะก็ การไปนครสาบสูญก็จะอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมเท่านั้น อีกไม่นาน...อีกไม่นาน เธอก็จะได้พบกับมิลองแล้ว



มิลอง... น้องชายเพียงคนเดียวของเธอ... เธอคิดถึงเขาเหลือเกิน



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



เนื่องจากเจ้าเฟรเนร่าตัวน้อยยังไม่ไว้ใจว่าที่เจ้านายคนใหม่ของมัน แม้กระทั่งความเงียบสงบท่ามกลางธรรมชาติอันแสนร่มรื่นก็ไม่อาจทำให้มันรู้สึกปลอดภัย จนถึงกับยอมละสายตาไปจากเจ้าหนูผมเงินที่กำลังยืนห่างออกไปไม่กี่เมตรได้



“เจ้ากินอาหารตามสบายเถอะ ข้าไม่แกล้งเจ้าหรอกน่า” น้ำเสียงสบายๆ เอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มแย้ม ไม่จำเป็นต้องมีความสามารถอ่านใจเด็กหนุ่มก็สามารถบอกได้ว่าตอนนี้เบย์คงกำลังหวาดระแวงเขาอยู่ “ดูอย่างควินัวสิ”



นัยน์ตาสีฟ้าทั้งสามหันขวับไปยังเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ที่อยู่ข้างหลัง ‘สัตว์เลี้ยง’ ของเจ้าหนูผมเงินกำลังกินวิญญาณต้นไม้อย่างเอร็ดอร่อย แถมยังทำทีเป็นว่าไม่สนใจอะไรสักนิด เบย์หรี่ตามองควินัวอย่างเย็นชาก่อนจะค่อยๆ ก้าวขาถอยหลังหนีห่างจากสองตัวอันตรายที่สุดสำหรับมัน



วอลถอนหายใจเบาๆ มองร่างน้อยๆ เดินถอยหลังไกลออกไปเรื่อยๆ ดวงตาสีฟ้าใสทั้งสามของเบย์จ้องเขม็งตรงมาที่เขาอย่างไม่ไว้ใจ จนในที่สุดร่างของมันก็ผลุบหายเข้าไปในเงามืด เด็กหนุ่มทำแก้มป่องพร้อมกับใช้เท้าเตะก้อนกรวดบนพื้นดินด้วยความผิดหวังที่ผูกมิตรไม่สำเร็จ อุตส่าห์ไปหาต้นไม้สวยๆ เพื่อที่จะพาเบย์ออกมากินข้าว เผื่อว่ามันจะเปิดใจยอมรับเขาขึ้นมาบ้างหลังได้กินอาหารอร่อยๆ ต่อให้ไม่ไว้ใจกันยังไงก็ไม่น่าถึงขนาดยอมอดอาหารขนาดนี้เลย เขากับควินัวไม่ได้น่ากลัวอะไรขนาดนั้นซะหน่อย



แต่...เขาก็เข้าใจดีว่าเบย์คงไม่ไว้ใจเขาง่ายๆ หรอก ตราบใดที่เขากับควินัวยังใช้พลังจิตควบคุมมันต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้



“วอล” เสียงเรียบของมิเวลเรียกให้ผู้เป็นเจ้าของชื่อหันไปมอง เด็กสาวกระโดดลงจากเคอาร์แล้วเดินตรงเข้ามาหาเขา สีหน้าของมิเวลดูเคร่งเครียดเหมือนกับมีเรื่องอะไรบางอย่างในใจ



“มีอะไรเหรอ”



“เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วเหรอไง ทำไมถึงมายืนอยู่ข้างนอกแบบนี้ล่ะ” ไม่ทันขาดคำนัยน์ตาสีแดงเพลิงก็เหลือไปเห็นควินัวที่โคนต้นไม้ใกล้ๆ ที่แท้ก็พาควินัวออกมาหาอาหาร...แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าบ้านี่ก็เพิ่งถูกดาบเสียบทะลุท้องไปเมื่อสองวันก่อน ฟื้นไข้มาได้ยังไม่ถึงวันเลยด้วยซ้ำ ไม่น่าออกมาเดินเตาะแตะอยู่แบบนี้ “ถ้าอยากพาควินัวออกมาหาอาหารก็มาบอกข้าสิ ข้าจะพามาให้เอง ตอนนี้เจ้าควรจะนอนพักนะ”



แต่คนถูกดุกลับยิ้มทะเล้นพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร



“ข้าบอกแล้วไงว่าหายดีแล้ว”



มิเวลทำหน้ามุ่ยทันทีให้กับคำตอบที่ออกจะขัดกับความเป็นจริงอย่างเห็นได้ชัดของอีกฝ่าย หายดีอะไรกันล่ะ สีหน้ายังดูอ่อนเพลียอยู่เลย แถมยังดูซีดเซียวอีกต่างหาก ถึงแม้ว่าเจ้าบ้าวอลจะตัวขาวซีดเป็นปกติอยู่แล้วก็เถอะ



แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากดุรอบสอง คนตรงหน้าก็รีบสวนคำถามขัดขึ้นมาเสียก่อน



“แล้วเจ้ามีเรื่องอะไรรึเปล่า” เสียงใสโพล่งถามพร้อมด้วยรอยยิ้มแห้งๆ อย่างกับกลัวว่าจะโดนเธอดุอีกหนอย่างนั้นแหละ



คนถูกถามหรี่ตามองเจ้าบ้าอย่างรู้ทัน คนตรงหน้าจงใจเปลี่ยนเรื่องแน่ๆ แล้วยังมีหน้ามายิ้มทะเล้นอีก เพราะเธอเป็นห่วงหรอกนะถึงได้มาถามเจ้ากี้เจ้าการเรื่องสุขภาพของเขา



ที่ผ่านมาเด็กสาวคิดมาโดยตลอดว่าวอลกับเอเวนเป็นแค่คนแปลกหน้าที่มีจุดประสงค์เดียวกันเท่านั้น แต่ในวันนี้เธอกลับรู้สึกว่าสองคนนี้ไม่ได้เป็นแค่นั้นอีกต่อไปแล้ว ทั้งคู่เป็นเพื่อน และเรียกได้ว่าเพื่อนคนแรกของเธอเลยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นเธอจึงอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงทั้งสองคนในฐานะเพื่อนร่วมโลกคนหนึ่ง



“ข้าจะมาคุยเรื่องแผนที่หน่อย” มิเวลยอมวางเรื่องสภาพร่างกายของคนตรงหน้าเอาไว้ก่อน แต่ก็รู้สึกเคืองไม่น้อยที่เจ้าตัวไม่คิดจะใส่ใจเรื่องของตัวเองบ้างเลย



“เจ้าจะใช้แผนที่เหรอ” เสียงกระตือรือร้นถามขึ้นโดยพลัน ท่าทางตื่นเต้นราวกับดีใจที่เธอจะใช้แผนที่ไม่มีผิด ทำให้เด็กสาวต้องถามสวนกลับไปอย่างเหลือเชื่อ



“เจ้าจะไม่แย้งบ้างเลยเหรอ” นี่เขาลืมไปแล้วหรือไงว่าตัวเองเป็นร่างสังเวย แล้วไอ้การเรียกใช้แผนที่มันก็ไม่ได้สนุกอะไรสักนิด เห็นได้จากท่าทางอ่อนแรงทุกครั้งของวอลหลังจากอ่านแผนที่เสร็จ หรือว่าเธอจะต้องตีหัวป้าบสักทีสองที เผื่อจะช่วยเรียกสติของเจ้าบ้าวอลได้มั่ง



“แต่เจ้าจำเป็นต้องใช้ใช่มั้ยล่ะ ไม่เป็นไรหรอก ข้าไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว” เสียงสดใสเอ่ยตอบพร้อมด้วยรอยยิ้มเริงร่าเช่นเคย



มิเวลอ้าปากจะแย้งกลับ แต่ก็คิดหาข้อโต้แย้งมาเถียงกลับไม่ออกจึงได้แต่กระแอมเสียงเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยพอใจ เธอไม่รู้ว่าตัวเองกำลังโกรธอะไรมากกว่ากัน ระหว่างโกรธเจ้าบ้าวอลที่ไม่เคยห่วงตัวเอง กับโกรธตัวเธอเองที่ไม่เอาไหนจนต้องพึ่งพาคนอื่นอยู่ร่ำไป



“ข้ากับเอเวนสันนิษฐานว่าอาจจะต้องใช้แผนที่เป็นสื่อกลางในการไปยังนครสาบสูญ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะใช้ยังไง... ถ้าเจ้า...รู้สึกดีขึ้นเมื่อไหร่ก็มาที่ห้องรวมแล้วกัน ข้าอยากขอดูแผนที่หน่อย” เสียงเรียบกล่าวห้วนเป็นพิเศษตามแบบฉบับคนไม่เคยชินกับการเอ่ยปากขอร้องคนอื่น



ไม่ต้องรอคำตอบนาน วอลชูนิ้วโป้งให้ทันทีอย่างแข็งขัน ท่าทางสดใสเสียจนมิเวลชักสงสัยแล้วว่าหรือเธออาจจะคิดมากเรื่องอาการของเขาไปเอง



“เจ้าจะดูตอนนี้เลยมั้ยล่ะ ควินัวใกล้จะอิ่มพอดี”



นัยน์ตาสีแดงตวัดไปมองควินัวที่ยังคงยืนกินวิญญาณต้นไม้อยู่เช่นเดิมตลอดไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี้ เธอไม่มีเฟรเนร่า จึงไม่มีทางรู้ได้ว่ามันรู้สึกอย่างไร ไม่แน่ว่าเจ้าสัตว์เวทตัวน้อยกับผู้ครอบครองของมันอาจจะใช้กระเพาะร่วมกัน เจ้าบ้าวอลถึงได้รู้ดีเหลือเกินว่าควินัวอิ่มหรือยัง



“ถ้าอาการเจ้าดีขึ้นแล้วจริงๆ...” เด็กสาวหันกลับไปมองวอลพลางวิเคราะห์สีหน้าของอีกฝ่าย เขายังดูอ่อนเพลียอยู่จริงๆ นั่นแหละ แต่อย่างน้อยก็ไม่มีอาการเหงื่อออกแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่แสดงอาการแพ้แดดเหมือนอย่างที่ผ่านมา หรือว่าร่างกายอาจจะเริ่มปรับตัวได้แล้วหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็คงจะดี



ใจจริงแล้วเธออยากให้เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายบอกเองมากกว่าว่าเจ็บป่วยอะไรตรงไหน แต่ดูจากนิสัยชอบอมพะนำแถมยังมุทะลุของเจ้าบ้าวอลแล้ว...



เป็นไปไม่ได้แหงๆ



“หายเป็นปลิดทิ้งแล้ว” เสียงมั่นใจกล่าวย้ำ พร้อมกับเสริมความน่าเชื่อถือให้ตัวเองด้วยการยกแขนสองข้างขึ้นมาตั้งท่าเตรียมพร้อมต่อสู้ ซึ่งไม่ได้มีความน่ากลัวเลยแม้แต่น้อยนิด แถมยังดูน่าขำมากกว่าน่าเกรงขามจนทำให้เธอหลุดขำพรืดออกมา



“เอาเป็นว่าข้ายอมเชื่อเจ้าก็ได้” มิเวลยกแขนขึ้นกอดอก ทำเป็นตีสีหน้าจริงจังระหว่างที่พยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้ เริ่มรู้สึกโล่งใจว่าตัวเองคงจะฟุ้งซ่านเรื่องอาการของเจ้าบ้าเกินไปจริงๆ นั่นแหละ “ถ้างั้นข้าไปเรียกเอเวนก่อนนะ”



“อื้อ”



เด็กสาวหมุนตัวเดินกลับมาที่รถเคอาร์ พอได้เห็นวอลกลับมาร่าเริงแบบนี้เธอก็ชักจะรู้สึกทึ่งกับเวทดึงพลังชีวิตอะไรนั่นของเอเวนขึ้นมาไม่น้อย เห็นทีคงจะต้องขอให้ผู้รอบรู้สอนใช้เวทนี้ให้ซะหน่อยแล้ว



++++++++++++++++++++++++++


ต่อแล้วฮับ หุหุ ใครรออยู่ โฮปเป็นปลื้มมมมมม T w T



โฮป
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 มิ.ย. 2560, 01:18:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 มิ.ย. 2560, 01:18:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 620





<< Episode 37 : || จุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง ||   Episode 39 : || ผ่านรูกุญแจ || >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account