ลิขิตรักเก็บตก (พิริตา) เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อมE-Book
‘หวาย’ หรือ ‘วาสุรีย์’ เจ้าของสวนกล้วยไม้วาสุรีย์ ได้ให้การช่วยเหลือชายหนุ่มต่างชาติที่ถูกทำร้ายปางตายคนหนึ่ง
เขาฟื้นขึ้นมาพร้อมกับอาการความจำเสื่อม ด้วยความเห็นใจเธอจึงตัดสินใจรับภาระดูแลเขาต่อจนกว่าจะรู้ว่าเขาเป็นใคร
และในที่สุดชายชาวต่างชาติหน้ารกที่มีชื่อใหม่หมาดว่า ‘บักสีดา’ ก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของสวนกล้วยไม้วาสุรีย์
ท่ามกลางความสงสัยในที่มาที่ไปของเขา ชายหนุ่มกลับเป็นขวัญใจของคนงานด้วยกันได้ไม่ยาก
ระหว่างนั้นสวนกล้วยไม้วาสุรีย์กลับมีภัยถาโถมรอบด้าน ‘บักสีดา’ จึงกลายเป็นเรี่ยวแรงกำลังสำคัญให้กับหญิงสาวและสวนวาสุรีย์โดยไม่รู้ตัว และก็เช่นกัน... ความเป็นมาของเขายังคงเต็มไปด้วยความมืดดำ อีกทั้งไม่รู้ว่า ‘ภัย’ ที่กำลังเกิดขึ้นกับสวนวาสุรีย์นั้นเกี่ยวข้องกับเขาหรือไม่อย่างไร? เขาเป็นใคร? มาจากไหน?
ปริศนาที่เป็นป้ายติดหน้าผากของเขาจะถูกปลดออกไปได้อย่างไร และที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือทั้งคู่จะฝ่าอันตรายจากผู้ไม่หวังดีไปได้หรือไม่? โปรดตามลุ้นเรื่องราวความรักซ่อนเงื่อน ที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ตื่นเต้น ได้ใน ‘ลิขิตรักเก็บตก’ เร็วๆ นี้!!!




Tags: หวาย แวนด้า กล้วยไม้ สายลับ ฝรั่ง ขี้นก บักสีดา FSB KGB รัสเซีย นครนายก เมมโมรี่การ์ด

ตอน: บทที่ 4 บักสีดาขี้นก


##เปิดจองนิยายรัก 2 เรื่อง 2 รส##
‘ลิขิตรักเก็บตก’
มี 2 เล่มจบ ราคาเล่มละ 339 บ.
2 เล่มลดเหลือ 670 บ.
‘ฝากรักไว้ในสายหมอก’
ราคา 369 บ. ลดเหลือ 360 บ.
*พิเศษ!! สั่งซื้อ 3 เล่ม ในราคาเพียง 999 บ. เท่านั้น*
สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้
ทางอินบ็อกเฟส : pirita ametrine
หรือในเพจ ‘พิริตา อเมทริน นักเขียน’
Email: kanplu@windowslive.com
โทร.0626656247 หรือทางไลน์ ID: pirita-ametrine
วันนี้-20 สิงหาคม นี้ เท่านั้น!!




เย็นวันนั้น เจ้าของร่างโปร่งบางสมส่วนออกสำรวจโรงเรือนกล้วยไม้ ซึ่งเป็นกิจวัตรที่เธอจะทำสัปดาห์ละครั้ง และจะใช้เวลาก่อนเลิกงานเสียเป็นส่วนใหญ่ จนกระทั่งถึงโรงเรือนด้านหนึ่งเป็นที่สุดท้าย ภายในโรงเรือนขนาดใหญ่และยาว มุงหลังคาด้วยซาแลนสีดำ

กล้วยไม้กำลังออกดอก เรียงรายกันเป็นแถวแนวไปตามโครงสร้างของโรงเรือน และมีระดับความสูงต่ำลดหลั่นไปตามความต้องการแสงที่ต่างกันของกล้วยไม้แต่ละสายพันธุ์ พรั่งพร้อมด้วยระบบจ่ายน้ำที่ถูกออกแบบมาอย่างดี

หญิงสาวก้าวไปตามช่องทางเดิน คนงานต่างกำลังทำงานของตนอย่างตั้งอกตั้งใจ วาสุรีย์ได้ทักทายสอบถามเรื่องงานในโรงเรือนกับพวกคนงานตามปกติ จนกระทั่งเสร็จสิ้นกลับรู้สึกแปลกใจที่ไม่เห็นลุงสม

“พี่อรคะ เห็นลุงสมไหมคะ ตั้งแต่เดินตรวจโรงเรือนหวายยังไม่เห็นลุงสมเลย” หญิงสาวถามคนงานหญิงที่อยู่ใกล้ เพราะปกติตอนเย็นๆ อย่างนี้เธอจะต้องเจอลุงสมไม่โรงเรือนใดก็โรงเรือนหนึ่ง

“อ๋อ... ลุงสมเมื่อกี้ก็อยู่นี่แหล่ะค่ะคุณหวาย แต่ตอนนี้พาพวกผู้ชายไปขนของที่โรงเก็บของ ไปเตรียมไว้ปลูกกล้วยไม้ชุดใหม่น่ะค่ะ”

“เหรอคะ เดี๋ยวหวายไปดูหน่อยดีกว่า จะได้ดูของด้วย” เธอว่าอย่าง

ร่าเริง ก่อนจะก้าวไปยังอีกด้านที่เป็นจุดหมาย

โรงเก็บของเป็นโรงเรือนขนาดใหญ่มีทั้งพื้นที่โปร่งโล่ง และห้องมิดชิดอยู่ในที่เดียวกัน เป็นที่เก็บของทุกสิ่งอย่างเกี่ยวกับกล้วยไม้ ขณะนี้มีคนงานชายกำลังช่วยกันขนวัสดุสำหรับปลูกกล้วยไม้ มีทั้งกระถาง เปลือก-กาบมะพร้าวอัด ถ่านไม้ ฯลฯ ใส่รถกระบะคันเก่า วาสุรีย์ก้าวเข้าไปด้านในพบลุงสมกำลังควบคุมการทำงานอยู่พอดี

“ลุงสมคะ มีปุ๋ยหรือยาอะไรที่ต้องสั่งเพิ่มเติมไหมคะ” หญิงสาวถาม ลุงสมหันมา

“คุณหนู มีวิตามินกับปุ๋ยเม็ดครับ แต่พวกยาคุณหนูลองมาดูเองแล้วค่อยตัดสินใจก็ได้ครับ” ก่อนคนงานเก่าแก่จะเดินนำไปยังห้องที่อยู่ด้านในโรงเรือน ซึ่งเป็นที่เก็บของที่มีบรรจุภัณฑ์ขนาดเล็ก จำพวกยา สารเร่ง และวิตามิน ฯลฯ เพื่อให้เจ้านายสาวตรวจสอบดู

วาสุรีย์ใช้เวลาในการตรวจสอบของที่ต้องสั่งไม่กี่นาที โดยมีลุงสมคอยแจกแจงอธิบาย พร้อมให้คำปรึกษาไปในตัวด้วย เพราะแม้ว่าจะทำงานมาเป็นปีๆ แล้ว แต่หญิงสาวก็ยังต้องคอยเรียนรู้ทุกอย่างจากลุงสมและคนงานอีกไม่น้อย ค่าที่เธอเองไม่ได้รับผิดชอบงานเพียงด้านเดียว

จากนั้นจึงพากันออกมาด้านนอก วาสุรีย์ต้องชะงักเท้าเมื่อเห็นคนตัวโตที่กำลังช่วยคนงานลำเลียงของขึ้นรถกระบะอย่างขมีขมัน แม้เขาจะงกๆ เงิ่นๆ แต่ก็ดูตั้งใจไม่น้อย

ร่างสูงใหญ่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตพอดีตัว และกางเกงขาก๊วยสีทึม ซึ่งเป็นของเก่าบิดาเธอที่ชอบใส่ตอนมีชีวิตอยู่ เนื่องจากเป็นผ้าฝ้ายใส่สบาย บนศีรษะสวมหมวกสานปีกกว้าง มีผ้าขาวม้าคาดเอว นอกจากเสื้อผ้าที่เธอให้เขาแล้ว

‘แอกเซสซอรี่’ นอกเหนือจากนั้นคงเป็นอภินันทนาการจากลุงสมนั่นเอง

“แล้วคนงานใหม่เป็นยังไงบ้างคะ” หญิงสาวถามลุงสม

สายตายังคงจับจ้องคนงานใหม่อย่างสังเกต ท่ามกลางคนงานชายสี่-ห้าคน ด้วยสรีระสูงใหญ่เกินมาตรฐานชายไทย รูปลักษณะที่แตกต่างทำให้เขาดูโดดเด่นกว่าเพื่อน ลุงสมเองก็มองตามด้วยรอยยิ้มเช่นกัน

“บักสีดามันตั้งใจดีครับ หน่วยก้านก็ดี เสียอยู่อย่างเดียวพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่องนี่แหล่ะครับคุณหนู กว่าจะเข้าใจเล่นเอาเมื่อยมือไปเลย” ลุงสมว่าพลางหัวเราะ

วาสุรีย์พลอยอดหัวเราะไปด้วยไม่ได้ เมื่อคิดถึงวิธีสื่อสารของลุงสม และบรรดาคนงานกับชายหนุ่มนิรนามคนนี้ ไม่ใช่สิ... ตอนนี้เขาไม่ใช่คนนิรนามแล้ว แต่เขาชื่อบักสีดาต่างหาก แล้วเจิดยังใจดีต่อคำว่า ‘ขี้นก’ ให้ฟรีๆ อีกด้วย หญิงสาวคิดอย่างขันๆ ก่อนลุงสมจะมองนาฬิกาข้อมือ

“อีกเยอะไหมพวกเอ็ง” แล้วตะโกนถามคนงานที่ทำงานอยู่

“เหลือรอบนี้รอบสุดท้ายแล้วลุง” ใครคนหนึ่งตอบมา

“ถ้าอย่างนั้นเสร็จแล้วก็กลับกันได้เลยนะ” ลุงสมบอก คนงานรับคำ แล้วก็รีบทำงานกันต่อไป

“ฝากลุงด้วยนะคะ เดี๋ยวหวายจะกลับเข้าออฟฟิศเลย” หญิงสาวเอ่ยเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว

“ครับคุณหนู ไม่ต้องห่วง ลุงจะตรวจดูความเรียบร้อยแถวนี้ต่ออีกสักหน่อย แล้วถึงจะกลับ” วาสุรีย์จึงก้าวออกจากโรงเก็บของไปตามทางเดินที่ทอดไปสู่ด้านหน้า

“เฮ้... คุณ” เสียงตะโกนตามหลังเมื่อเธอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ทำให้

หญิงสาวชะงักเท้า และหันไปทางเจ้าของเสียงที่วิ่งตามมา

“อ้าว คุณ... เป็นยังไงบ้างคะกับการทำงาน” เจ้าของดวงหน้างามยิ้มให้เขาพลางถาม เหมือนที่เธอชอบคุยกับคนงานทั่วไป

“สนุกดีครับ ผมรู้สึกได้ว่าในชีวิตของผมไม่เคยทำงานแบบนี้มาก่อน มันตื่นเต้นและสนุกดีที่ได้เรียนรู้” เขาบอกอย่างกระตือรือร้น ดวงตามีแววแห่งความสุขไม่น้อย

“ฉันยินดีที่คุณรู้สึกอย่างนั้นนะคะ อ้อ... แล้วที่คุณไปบ่อน้ำกับเจิดล่ะคะ พอจะคิดอะไรออก จำอะไรได้บ้างไหมคะ” หญิงสาวถามเมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้ถึงเรื่องนี้ แต่คนตัวโตกลับส่ายหน้า

“ยังครับ บางทีอาจต้องใช้เวลามากกว่านี้ ผมขอไปที่นั่นกับเจิดบ่อยๆ ได้ไหมครับ” ก่อนจะขออนุญาตในตอนท้าย

“อ๋อ... ได้สิคะ เอาเป็นว่าฉันมอบหน้าที่ให้คุณเป็นผู้ช่วยเจิดก็แล้วกัน” วาสุรีย์ว่าอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะที่เขาพยายามทำงานนี่ก็เป็นเรื่องเกินคาดหวังแล้ว ขณะคนงานที่เลิกงานเดินผ่านไปมาโบกมือทักทายเธอและเขา

“ไปก่อนนะบักสีดา” ใครคนหนึ่งโบกมือลา บักสีดาฉีกยิ้มกว้างโบกมือ พร้อมบอกลาตอบเป็นภาษาไทยแปร่งๆ อย่างคนมีมนุษย์สัมพันธ์เป็นเลิศ

“ดูคุณจะเป็นที่สนใจของคนที่นี่นะคะ แล้วคุณก็คงยอมรับชื่อที่พวกเขาตั้งให้แล้ว”

“พวกเขาน่ารักดี และคงคิดว่าผมแปลกประหลาด” ชายหนุ่มว่าอย่างไม่ทุกข์ร้อนเท่าไหร่ ออกจะยินดีด้วยซ้ำ ก่อนที่หน้ารกๆ นั้นจะฉายแววครุ่นคิด “เออ... จริงสิคุณ ว่าแต่ชื่อผมหมายความว่ายังไงเหรอครับ” คำถามของเขาทำให้วาสุรีย์นิ่งคิดไปนิดหนึ่ง ก่อนว่า

“มันเริ่มจากที่คนไทยเรียกชาวต่างชาติทางฝั่งยุโรปตัวโตๆ อย่างคุณว่า ‘ฝรั่ง’ คุณพอจะเคยได้ยินบ้างไหมคะ” ชายหนุ่มมีสีหน้าครุ่นคิดจริงจัง

“อืม... ไม่รู้สินะ บางทีผมอาจจะเคยได้ยินเรื่องของเมืองไทยมาบ้างก็ได้ เพียงแต่ตอนนี้จำไม่ได้ ว่าแต่ทำไมเขาไม่เรียกผมว่าฝรั่งล่ะ” คำถามที่เต็มไปด้วยความสงสัย ใสซื่อ และกระหายใคร่รู้นั้นทำให้หญิงสาวต้องอธิบายตามที่เคยได้ยินมา

เธอรู้คร่าวๆ มาว่าคำว่า ‘ฝรั่ง’ ที่คนไทยเรียกชาวต่างชาติทางยุโรปนั้น บางความคิดเห็นก็ว่าคนไทยอ้างถึง ‘ชาวโปรตุเกส’ ก่อนเป็นชาติแรก โดยอ้างตามล่ามเปอร์เซียที่เรียกพวกยุโรปรวมๆ กันว่า ‘ฟรังงิ’

โดยเพี้ยนมาจากคำว่า ‘แฟรงค์’ ซึ่งเป็นชนเผ่าบรรพบุรุษของชาวฝรั่งเศส คนไทยเรียกพวกยุโรปด้วยศัพท์เปอร์เซียโดยเพี้ยนเป็นสำเนียงไทยๆ ว่า ‘ฝรั่ง’ วาสุรีย์ไม่รู้ว่าจริงแท้แค่ไหน แต่มันเป็นที่มาที่ไปชัดเจนที่สุดเท่าที่เธอพอจะรู้

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับบักสีดาที่พวกเขาเรียกผมละครับ” แม้ความจำจะเสื่อม แต่ต่อมความสงสัยและอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ฝ่อตามไปด้วย ชายหนุ่มจึงถามอย่างใคร่รู้ระคนไม่เข้าใจอยู่ครามครัน

“คือคำว่าฝรั่งในภาษาไทย มันไปพ้องเสียงกับชื่อผลไม้ชนิดหนึ่ง แล้วผลไม้ชนิดนี้ทางภาคอีสานเรียกว่า บักสีดา นั่นก็คือที่มาของชื่อคุณไง” มาถึงตอนนี้เขาพยักหน้าหงึกหงัก

“ผมพอเข้าใจแล้วล่ะ ตกลงบักสีดากับฝรั่งในภาษาไทยมันคือความหมายเดียวกัน แต่ทำไมบางคนก็ต่อท้ายว่า ‘ขี้นก’ มันหมายความว่ายังไงกัน” ตอนท้ายลูกคุณช่างสงสัยยังคงตั้งหน้าตั้งตาซักอย่างไม่เข้าใจอีก นั่นทำให้คนตอบทั้งอ่อนใจและขำในคราวเดียวกัน

“คำว่า ขี้นก หมายถึงฝรั่งพันธุ์หนึ่งของไทยค่ะ มันมีลักษณะผลเล็กๆ เนื้อบาง มีเมล็ดเยอะ ผลดิบจะมีรสฝาด พอแก่ก็จะนิ่ม มีไส้สีชมพู บ้างก็สีขาว แต่สมัยก่อนคนไม่นิยมกิน จึงมีแต่นกมาจิกกินแล้วก็ขับถ่ายออกมา เมล็ดก็งอกเติบโตเป็นฝรั่งต้นใหม่ คนก็เลยตั้งชื่อว่าฝรั่งขี้นก เมื่อก่อนมีอยู่ดาษดื่นทั่วไป ไม่มีค่า ไม่มีราคา คนจึงเอามาเปรียบกับชาวต่างชาติที่ไม่มีเงิน ดูซกมก เหมือนไม่มีอันจะกิน เพราะในสายตาคนไทย พวกชาวต่างชาติหรือที่เรียกว่าฝรั่งจะต้องรวย มีเงินเยอะน่ะค่ะ”

“แล้วผมก็เป็นคนต่างชาติที่มีโปรไฟล์ประมาณนั้นสินะครับ”

หญิงสาวไม่ได้ตอบรับในทันใด ด้วยแอบหวั่นว่าเขาจะไม่พอใจกับความหมายที่บอกไป แต่ไม่บอกก็ไม่ได้อีกนั่นแหล่ะในเมื่อมันเป็นเรื่องจริง และหากเขาไปได้ยินอะไรผิดจากนี้ก็อาจจะทำให้รู้สึกแย่เข้าไปใหญ่ ที่สุดจึงเอ่ยปากปลอบตามไป

“มันก็แค่คำเปรียบเปรยน่ะค่ะ แต่ความจริงแล้วฝรั่งขี้นกที่ว่ามีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายอย่างนับไม่ถ้วนเลยนะคะ แล้วตอนนี้ก็เป็นที่นิยมในหมู่คนรักสุขภาพอีกด้วย” แม้จะรู้ว่ามันไม่เกี่ยวกับประเด็นซักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่อยากให้คนตรงหน้ารู้สึกไม่ดี แต่เจ้าตัวกลับหัวเราะอวดฟันขาวเป็นระเบียบ

“คุณพูดจนผมรู้สึกดีขึ้นมาเลยนะเนี่ย แต่พูดก็พูดเถอะ ความหมายของฉายานี้อาจฟังดูไม่ดี แต่ความจริงผมว่าตอนนี้มันคงเข้ากับผมที่สุดแล้วล่ะ อา... ‘บักสีดาขี้นก’ ฟังดูอีกทีก็เข้าท่าดีนะคุณ” แทนที่เขาจะเคืองใจกับฉายานั้นแต่คนตัวโตกลับไม่อินังขังขอบเสียนี่

วาสุรีย์จึงแอบนึกชื่นชมเขาอยู่ในใจ ที่เข้าใจอะไรได้ง่ายๆ ไม่ว่าความเข้าใจนั้นจะมาจากความไม่รู้เรื่องรู้ราวเพราะความจำเสื่อม หรือมาจากจิตใจของเขาจริงๆ ก็ตาม

เพราะจะพูดไป เรื่องฉายานี้ไม่ค่อยมีชาวต่างชาติคนไหนยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานได้ง่ายๆ ค่าที่มันเหมือนเป็นการหมิ่นกันอยู่กรายๆ และเธอก็ไม่ได้อธิบายต่อว่าความจริงนิยามขี้นกนั้น อาจหมายถึงการที่ชาวต่างชาติคนนั้นนอกจากจะไม่ร่ำรวยมีฐานะแล้ว ยังกินความไปถึงพวกฝรั่งที่ไม่ทำมาหากิน บางทีก็ให้ผู้หญิงเลี้ยงไปโน่น

“แต่บางคนก็ว่าผมว่า บักสีดาหน้ารก ” เขายังไม่วายสงสัยกับความซับซ้อนของภาษาไทยอีก

“แล้วหน้าคุณรกไหมล่ะคะ” หญิงสาวถามด้วยรอยยิ้มขำ พลางจ้องหน้าคนข้างตัว นิ้วเรียวก็ชี้กราดไปทั่วใบหน้ารกๆ นั่น

แต่ทว่า... รอยยิ้มเพียงน้อยนิดเจือความขบขันที่แต่งแต้มดวงหน้างามของหญิงสาว ส่งผลให้ลมหายใจของคนมองถึงกับสะดุดขึ้นมาดื้อๆ เสียอย่างนั้น

เพราะดวงหน้ารูปไข่นั้นยิ่งดูงดงามและสว่างไสว ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเปล่งประกายสดใส รับกับแพขนตางอนยาว จมูกเล็กโด่งเข้ากับริมฝีปากหยักบางอย่างพอเหมาะพอเจาะ ชายหนุ่มเผลอจ้องมองราวกับกำลังประทับความงดงามนั้นเอาไว้ในหัวใจโดยไม่รู้ตัว

วาสุรีย์เองก็ถึงกับคลายรอยยิ้มลงเมื่อสบเข้ากับสายตาคู่คม พร้อมกับนิ่งงันอยู่อย่างนั้น ตรงข้ามกับหัวใจที่เริ่มสั่นไหวระรัวอย่างไร้เหตุผล เธอพึ่งสังเกตอย่างจริงจังว่านัยน์ตาสีน้ำตาลของเขานั้นเหลื่อมประกายเขียวนิดๆ มันดูสวยโดดเด่นภายใต้ใบหน้ารกรื้นไปด้วยหนวดเครานั้น

และดวงตาคู่นั้นนั่นเองที่กำลังสะกดเธอเอาไว้ในตอนนี้ จนแว่บหนึ่งหญิงสาวนึกอยากเห็นใบหน้าที่ปราศจากหนวดเคราของเขาขึ้นมาว่ามันจะน่าดูขนาดไหน แต่วาสุรีย์ก็ตกใจกับความคิดของตัวเอง

“เอ่อ ’โทษทีนะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะล้อคุณนะ” และก็รีบเอ่ยแก้เก้อเมื่อรู้สึกตัวขึ้นมา ชายหนุ่มจึงยกมือลูบใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราของตนแล้วหัวเราะ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่จะว่าไปคนไทยนี่ช่างสรรหาคำมานิยามได้ดีจริงๆ ” เขาว่ากลบเกลื่อนความรู้สึกบางอย่างที่กำลังก่อกวนอยู่ในใจเช่นกัน “แล้วนี่คุณกำลังจะไปไหน” ก่อนจะถามอย่างสนใจ

“อ๋อ... ฉันจะเข้าออฟฟิศต่ออีกสักครู่ คุณกลับบ้านพักได้เลยนะคะ”

“ให้ผมไปกับคุณนะครับ” คนตัวโตขันอาสา

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันไปเองได้”

“ผมไม่ได้หมายความว่าคุณไปเองไม่ได้ แต่หมายความว่าผมอยากมีเพื่อนที่คุยกันรู้เรื่อง แล้วผมก็มองไม่เห็นใครนอกจากคุณนี่แหล่ะ ได้ไหมครับ” วินาทีนี้ดวงตาคู่สีน้ำตาลเหลื่อมเขียวมีประกายวิ้ง อ้อนวอน

วาสุรีย์เข้าใจว่าการมาอยู่ผิดที่ผิดทางเป็นเรื่องแย่พออยู่แล้ว การไม่รู้จักแม้กระทั่งตัวเองยิ่งทำให้เขาน่าเห็นใจเข้าไปใหญ่ และมาตอนนี้เขาก็ยังอยู่ท่ามกลางคนที่พูดกันคนละภาษาอีกด้วย แววตาของเขาทำให้คนขี้ใจอ่อนอย่างเธอยากจะปฏิเสธได้

“ก็ได้ค่ะ” เพียงแค่นั้น หน้ารกๆ ของเขาก็สว่างไสวขึ้นมาทันที พร้อมพร่ำขอบคุณตามเคย

*-*-*-*-*-*

ชีวิตในสวนกล้วยไม้วาสุรีย์ ของชายหนุ่มผู้ที่ได้ชื่อใหม่หมาดว่า

‘บักสีดา’ นั้น เป็นไปอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ เพราะเขารู้สึกกระตือรือร้นกับการทำงานต่างๆ

ไม่ว่าจะเป็นการช่วยงานลุงสมในโรงเรือนแบบคนงานทั่วไป และเป็นผู้ช่วยเจิดรับผิดชอบเรื่องบ่อน้ำเชิงเขา ก่อนหน้านั้นชายหนุ่มชอบช่วงเวลาที่ได้ขึ้นไปดูบ่อน้ำที่สุด แต่เมื่อได้คลุกคลีทำงานร่วมกับคนงานนานวันเข้า เขากลับรู้สึกชอบทุกอย่างในสวนวาสุรีย์

ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าคนที่นี่ต่างทำงานกันด้วยความรัก รักในงานที่ทำ รักเพื่อนร่วมงาน และรักเจ้านาย แม้จะเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาแต่พวกเขาก็จริงใจ มีน้ำใจต่อกัน เขาจึงค่อนข้างผ่อนคลาย อบอุ่นใจ เมื่ออยู่ในสังคมแวดล้อมเช่นนี้ และปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความรู้สึกนี้มันครอบคลุมไปถึงเจ้านายสาวคนสวยผู้มากน้ำใจนั่นด้วย

อีกทั้งตัวเขาเองที่เคยเป็นความแปลกประหลาดของที่นี่ ที่ทุกคนต่างให้ความสนใจในตอนแรก ก็ลดน้อยลงกลายเป็นความคุ้นเคยเป็นกันเอง และเห็นใจที่เขามีชะตากรรมเช่นนี้ ตอนนี้ภาพของเขาจึงเป็นเพื่อนคนงานตัวโต หน้ารกที่ยิ้มแย้มอารมณ์ดี ซื่อๆ ไม่มีพิษภัยสำหรับคนงาน

เป็นลูกน้องเพียงคนเดียวของเจิดที่มักจะออกคำสั่งไร้สาระ สอนภาษาไทยเพี้ยนๆ ให้ รวมทั้งแกล้งอำเขาเป็นที่สนุกสนานเป็นเรื่องปกติ ที่สำคัญเขาเป็นคนไม่รู้หัวนอนปลายเท้าน่าสงสาร บางครั้งอาการปวดหัวก็กำเริบประปราย แต่มันไม่รุนแรงถึงขั้นไม่ได้สติเหมือนช่วงแรก และเขาก็สามารถจัดการหายามากินเองได้

“เฮ้ย! บักสีดา ไปกินข้าวกันเถอะว่ะ” เจิดออกปากชวนในตอนพักเที่ยงของวันหนึ่ง ขณะพยายามจะกอดคอคนตัวสูงแต่ก็ทุลักทุเลเต็มที คนตัวโตก้มมองหน้าเจิดงงๆ เขาจึงชี้นาฬิกาข้อมือ ก่อนจะทำท่ากินข้าว

“โอเค.” บักสีดาของสวนกล้วยไม้วาสุรีย์รับคำด้วยรอยยิ้ม เจิดจึงเดินนำไปยังศาลาพักร้อนที่อยู่ด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รวมตัวกันของคนงานเพื่อทานข้าวกลางวัน

ที่ศาลาหลังใหญ่มีคนงานชายหญิงประมาณสิบกว่าคน นั่งพูดคุยกันอยู่ด้านใน พวกผู้หญิงสาม-สี่คนล้อมวงตำส้มตำ กลิ่นปลาร้าโชยมาเชิญชวนน้ำลายสอ

“อ้าว ไอ้เจิด เอ็งไม่กลับไปกินข้าวบ้านเอ็งเรอะ” ผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มถามขึ้น

เพราะปกติเจิดและครอบครัวจะกินข้าวกันที่บ้านใหญ่กับเจ้านายสาว ไม่ก็บ้านพักของเขา ศาลาแห่งนี้เป็นที่กินข้าวเฉพาะพวกคนงานที่ทำงานอยู่ในโรงเรือนกล้วยไม้ด้านในมากกว่า และเจิดก็รู้ว่าหากร่างกายต้องการอาหารรสแซ่บ!! ต้องแวะมาที่นี่เท่านั้น

“ผมตามกลิ่นปลาร้ามาน่ะสิพี่หวี ขอผมกับบักสีดาจกส้มตำปลาร้าด้วยคนเถอะนะ หูยยย ได้กลิ่นแล้วน้ำยายไหย... ” เจิดทำจมูกฟุดฟิด และปาดน้ำลายไปพลาง

“แหม... ไอ้นี่ตลกแด... อยากกินทำไมไม่ให้แม่เอ็งตำให้วะ” คนงานหญิงคนนั้นว่าอย่างหมั่นไส้

“โอ๊ย! อย่างแม่ไม่ไหวหรอกพี่ ตำเป็นแต่ไทยใส่ปูอย่างที่คุณหวายชอบกิน ปลาร้า ปลาแดกเร้อ! ไม่ได้กินซะหรอก น่าพี่หวีอย่างกหน่อยเลย เอางี้ดีกว่าผมจะเป็นไก่ย่างเอง ’โอป่ะ” แล้วก็ยื่นข้อเสนอที่คิดว่าคงไม่มีใครปฏิเสธได้

“ก็ได้ รีบไปซื้อมาเลย ข้าจะตำรอ” คนงานหญิงคนนั้นทำท่าเหมือนจำใจเสียเต็มประดา แต่ทว่าแอบยิ้ม

“บักสีดา เอ็งอยู่ที่นี่นะ ข้าไปซื้อไก่ย่างที่หมู่บ้านแป๊บเดียวมา” เจิดหันไปบอกเพื่อต่างไซด์ ต่างวัย และต่างภาษาพร้อมภาษามือ คนฟังพยายามทำความเข้าใจ ก่อนจะถูกสาวใหญ่คนหนึ่งมาดึงแขนไปนั่งล้อมวงด้วย

“มารอมันอยู่นี่แหล่ะบักสีดา ไม่ต้องตามมันไปหรอก เอ็งมาช่วยข้าเด็ดพริกนี่ดีกว่า” นางว่า พลางจัดแจงให้งานชายหนุ่มทำเสร็จสรรพเมื่อเจิดผละจากไป

จากนั้นเพียงไม่นาน อาหารกลางวันก็วางเรียงรายบนเสื่อ มีทั้งส้มตำ ไก่ย่าง แกงต่างๆ และป่น ที่มีผักสดจิ้ม คนงานต่างนั่งล้อมวงกินข้าวกลางวัน พร้อมแขกไม่ได้รับเชิญสองคน

“บักสีดา ลองนี่หน่อย อร่อยแซ่บเว่อร์” เจิดว่า พลางตักส้มตำปลาร้ากลิ่นหอมหวนส่งให้ลูกน้องตัวโต ที่ทำจมูกฟุดฟิด

ก่อนจะรับเอามาส่งเข้าปาก พอเข้าไปอยู่ในปากเท่านั้นแหล่ะบักสีดาแทบสำลัก น้ำตาคลอ หน้าแดงด้วยความเผ็ดร้อนที่ลิ้นปากได้สัมผัส เจิดเห็นดังนั้นแทนที่จะเห็นใจหรือรู้สึกผิด แต่กลับหัวเราะขำสะใจ เพราะนั่นแหล่ะเจตนาตั้งแต่แรกของมัน คือ... ได้แกล้ง

“อย่าคายนะโว้ย! ห้ามคาย กลืนเข้าไปเลย ไม่งั้นไม่หายเผ็ดหรอก”

แม้จะไม่ค่อยเข้าใจที่เจิดบอก แต่ด้วยท่าทางที่เจิดสื่อสาร อีกทั้งสายตาคนงานที่มองมาอย่างลุ้นๆ แกมคาดหวัง โดยไม่ต้องเอ่ยออกมา ทำให้เขาต้องรีบกลืนอาหารกลิ่นและรสจัดนั้นอย่างรวดเร็ว

เจิดหัวเราะตัวโยน ปรบไม้ปรบมือกับท่าทางของบักสีดา แต่ยัง... ยังไม่รู้สึกสาแก่ใจ จึงตักให้อีกช้อน แต่ดูท่าคนตัวโตจะไม่ไหวเสียแล้ว เพราะเขาส่ายหน้าพรืด ก่อนที่น้ำเปล่าจะถูกส่งมาให้

“นี่กินน้ำก่อน ข้าว่าแล้วว่าเอ็งกินรสจัดไม่ได้ ไอ้เจิดเอ็งก็ไปแกล้งมัน” หญิงคนงานคนหนึ่งบ่นว่าเจิด

“นั่นสิ เดี๋ยวบักสีดามันโมโหกระทืบเอ็งขึ้นมาข้าไม่ห้ามหรอกนะโว้ย” ชายคนงานด้วยกันว่าบ้าง

“โห... บักขี้นกนี่มันไม่กล้าหรอกพี่ ผมเป็นลูกพี่มัน” เจิดว่าพลางตบไหล่ของชายหนุ่ม “ใช่ไหมวะ ไอ้น้อง” พร้อมพยักพเยิดกับลูกน้องตัวโตที่น้ำตาคลอเบ้า ยกมือเช็ดน้ำมูก หน้าแดงเพราะฤทธิ์ส้มตำอย่างอวดโอ่

ตอนนี้ชายหนุ่มหูอื้อเกินกว่าจะได้ยินอะไรถนัด ไม่น่าเชื่ออาหารที่เรียกว่า ส้มตำ แค่ช้อนเดียว อ้อ... พูนๆ ด้วย กลับทำให้เขาร้อนวูบวาบไปทั้งตัว แม้ว่ามันจะรู้สึกได้ถึงความอร่อย แต่รสชาติราวกับระเบิดเผ็ดร้อนกลับทำให้ต่อมรับรสของเขาฝ่อไปเสียหมด

นี่แสดงว่าเขาคงไม่เคยกินอาหารประเภทนี้มาก่อน แม้จะมาอยู่ที่สวนวาสุรีย์เป็นเวลาหลายอาทิตย์แล้ว แต่บักสีดาก็ไม่เคยกินอาหารแปลกๆ อย่างที่อยู่ตรงหน้าเหล่านี้เลย เขาตักชิมทุกอย่างแล้วรสชาติก็จัดจ้านไปเสียทุกเมนูทีเดียว

ช่างแตกต่างจากอาหารที่เขาเคยกินตลอดหลายวันมานี้ เพราะทุกอย่างที่ป้าแจ้มปรุงมักเป็นอาหารจืดๆ กินง่าย หากมีส่วนผสมของพริกก็แค่พอได้รสนิดหน่อย ไม่ได้กะเอากันให้ท้องไร้ภูมิต้านทานแบบเขาพังกันไปข้างหนึ่งอย่างนี้

ชายหนุ่มจึงตั้งหน้าตั้งตาจิบน้ำเย็นอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อระงับความร้อนวูบวาบตั้งแต่ปาก ลิ้น จนไปถึงลำไส้ในตอนนี้ เขาไม่อยากคิดถึงตอนออกเลยว่าจะลำบากประตูบานนั้นขนาดไหน

“กินไม่ได้ก็ไม่ต้องไปฝืนกินหรอกบักสีดาเอ๊ย! กินไก่ย่างนี่ก็แล้วกัน” คนงานหญิงคนเดิมว่าด้วยนึกสงสารปนขำ

พลางหยิบไก่ย่างขาหนึ่งมาส่งให้เขา แล้วตามด้วยข้าวเหนียว ข้าวเหนียวนี่ก็เป็นอีกอย่างที่เขาพึ่งเคยกิน พอชายหนุ่มส่งมันเข้าปากและอมไว้ก็รู้สึกถึงรสหวานกว่าข้าวสวยที่เคยกิน เขาจึงละเลียดข้าวเหนียวมากกว่าไก่ย่างเสียอีก

*-*-*-*-*-*

ค่ำคืนนั้น วาสุรีย์ถูกปลุกขึ้นมากลางดึกด้วยเสียงกริ่ง เมื่อลงมาเปิดประตูก็เห็นว่าเป็นลุงสมนั่นเอง

“เกิดอะไรขึ้นหรือคะลุง ใครเป็นอะไรคะ” หญิงสาวเห็นหน้าตื่นๆ ของคนงานเก่าแก่จึงรีบถาม

“ก็ไอ้เจิดกับบักสีดามันน่ะสิ ท้องเสียทั้งคู่ คุณหนูพอจะมียาแก้ท้องเสียบ้างไหมครับ” ลุงสมบอกพร้อมถามในตอนท้าย

“มีค่ะ เดี๋ยวหวายไปเอาก่อนนะคะ แล้วจะตามไป” วาสุรีย์รีบกลับเข้ามาในบ้าน ควานหายาที่ต้องการแล้วจึงรีบตามลุงสมไปยังบ้านพักคนงานในทันที

ในห้องพักของเจิด ทั้งเจิดและเจ้าของร่างสูงใหญ่ต่างก็นอนกันคนละมุม ใบหน้าของทั้งคู่ซีดราวกับไก่ต้ม โดยมีป้าแจ้มนั่งอยู่ตรงกลาง นั่นเป็นเหตุให้หญิงสาวรีบก้าวเข้าไป

“นี่เข้าห้องน้ำกันไปกี่รอบแล้วคะ” ปากถาม มือก็แตะร่างของบักสีดาและเจิดเพื่อดูอุณหภูมิ

“สี่-ห้ารอบแล้วครับคุณหนู” ลุงสมว่า

“ไม่รู้พวกมันพากันไปกินอะไรผิดสำแดงมาสิคะ ถึงได้เป็นอย่างนี้ สมน้ำหน้าข้ารอกินข้าวกลางวันกลับไม่เห็นแม้แต่เงา” ป้าแจ้มบ่นด้วยความโมโหแกมสะใจเล็กๆ โดยเฉพาะกับลูกชาย

“เดี๋ยวเอายาให้กินกันก่อนก็แล้วกันนะคะ แล้วก็ชงเกลือแร่ให้ดื่ม ถ้าไม่ดีขึ้นค่อยพาไปส่งโรงพยาบาล” หญิงสาวบอก

ก่อนจะช่วยลุงสมกับป้าแจ้มให้ยาและน้ำเกลือแร่กับคนท้องเสีย แต่ทว่าบักสีดากลับต้องวิ่งเข้าห้องน้ำอีกรอบ ระหว่างที่เขากำลังใช้ห้องน้ำอยู่นั้น เจิดก็ทะลึ่งพรวดขึ้น

“ไอ้บักสีดา เอ็งเสร็จหรือยังวะ ข้าไม่ไหวแล้ว ข้าศึกกำลังบุกอย่างหนัก” ว่าแล้วก็โซเซไปยังหน้าห้องน้ำ ก่อนที่ใครจะทันได้ท้วง เสียงและกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ก็ระเบิดขึ้นหน้าห้องน้ำนั่นเอง!!

“ไอ้เจิด ทำไมเอ็งไม่อั้นเอาไว้ก่อนวะ! ” ลุงสมร้องอย่างตกใจ พลางมองคุณหนูอย่างกริ่งเกรง เพราะลูกชายทำในสิ่งที่ไม่สมควรต่อหน้าเจ้านาย

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะลุงสม มันเป็นเรื่องเกินควบคุมจริงๆ ” วาสุรีย์ว่า พยายามกลั้นหายใจแทนการยกมือปิดจมูก เพราะไม่อยากให้ลุงสมกับป้าแจ้มรู้สึกแย่กว่านี้

ก่อนที่ประตูห้องน้ำจะเปิดออก ร่างใหญ่ของบักสีดาสะโหลสะเหลออกมา ลุงสมกับป้าแจ้มจึงรีบพยุงลูกชายเข้าไปในห้องน้ำต่อ สภาพของเจิดนั้นดูหนักหนากว่าบักสีดามากนัก จนหญิงสาวต้องตัดสินใจอะไรบางอย่าง

“ลุงสม ป้าแจ้มคะ หวายคิดว่าจะให้ป้ากับลุงดูแลสองคนนี้คงไม่ไหว อีกอย่างเจิดก็ท่าทางจะหนักกว่าบักสีดา เอาอย่างนี้ดีกว่านะคะ หวายจะให้

บักสีดาไปพักที่ห้องข้างล่าง หวายจะได้ช่วยดูแลเขาแทน”

“เอาอย่างนั้นเหรอคะคุณหนู” ป้าแจ้มชะเง้อคอออกมาจากห้องน้ำ ขณะกำลังช่วยกันทำความสะอาดให้ลูกชาย ที่ยังส่งเสียงโวยวายว่าแม่กับพ่อแตกตื่นเกินเหตุ เขายังดูแลตัวเองได้

“เอาอย่างนี้แหล่ะค่ะ ลุงกับป้าจะได้ดูแลเจิดอย่างเต็มที่ไงคะ รอดูอาการสักพักถ้าอาการเจิดยังไม่ดีขึ้นให้รีบบอกหวายเลยนะคะ”

วาสุรีย์สั่งเรื่องการกินยาและเกลือแร่เพิ่มเติมอีกนิดหน่อย ก่อนจะพยุงคนท้องเสียตัวโตไปบ้านหลังใหญ่ โดยไม่ลืมหยิบยาประจำตัวของเขาติดมือมาด้วย


**ลิงค์ E-Book 'ลิขิตรักเก็บตก' ค่าาา**
#Meb
เล่ม 1
https://www.mebmarket.com/index.php?action=
BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO
3M6NjoiNzEyOTE2IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M
เล่ม 2
https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=
YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3
M6NjoiNzEyOTE2IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiNTg2MjUiO30

#ookbee
เล่ม 1
http://www.ookbee.com/shop/BookInfo?pid=274409f7-13d0-4632-811d-bf78ed5a4645&affiliateCode=1168c15837084f8bbb5cf6fde0ca707d
เล่ม2
http://www.ookbee.com/shop/BookInfo?pid=897b2657-9548-401d-bb1b-76bf11bd35ef&affiliateCode=1168c15837084f8bbb5cf6fde0ca707d

#hytexts
https://www.hytexts.com/ebook/B012230-ลิขิตรักเก็บตก (เล่ม 1)
https://www.hytexts.com/ebook/B012231-ลิขิตรักเก็บตก (เล่ม 2)

#นายอินทร์ปัณณ์
เล่ม 1
https://naiin.com/product/detail/215446/
เล่ม 2
https://naiin.com/product/detail/215447/




กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 มิ.ย. 2560, 14:44:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 มิ.ย. 2560, 14:44:02 น.

จำนวนการเข้าชม : 844





<< ​บทที่ 3 คนหน้าแปลกหรือคนแปลกหน้า   บทที่ 5 เงื่อนงำที่ไม่เคยรู้ >>
สิรินดา 2 ก.ค. 2560, 09:01:37 น.
(^___^)


กานพลู 5 ก.ค. 2560, 20:45:39 น.
คุณสิรินดา ขอบคุณมากค่า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account