The D.O.L.L.S โศกนาฏกรรมปีศาจตุ๊กตามหาเวท SEASON 2
"นักขายความฝันผู้เลือดร้อน & นักโทษประหารผู้เริงร่า & หัวขโมยผู้เย็นชา"
ต่างถิ่น ต่างความคิด ต่างอาชีพ ต่างนิสัย ต่างจุดมุ่งหมาย ต่างเผ่าพันธุ์
กลับต้องมาอยู่ด้วยกันเพราะเหตุบางอย่าง... The D.O.L.L.S
ตุ๊กตาปีศาจมีลักษณะรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ
ถ้าอย่างนั้น...จะรู้ได้อย่างไร?
...เป็นปีศาจ...หาใช่มนุษย์ไม่...
ระวังไว้ให้ดี...ทุกอย่างอาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา...
...ที่ใครบางคนสร้างขึ้นเท่านั้น...
สงครามระหว่างผู้มีพลังเวทกับมนุษย์ธรรมดา
ใครจะอยู่รอดเป็นผู้กำชัยชนะ!?
- ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านจากใจจริง -
แผนที่นครเซ็นทรัม http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/map122e1.jpg
ต่างถิ่น ต่างความคิด ต่างอาชีพ ต่างนิสัย ต่างจุดมุ่งหมาย ต่างเผ่าพันธุ์
กลับต้องมาอยู่ด้วยกันเพราะเหตุบางอย่าง... The D.O.L.L.S
ตุ๊กตาปีศาจมีลักษณะรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ
ถ้าอย่างนั้น...จะรู้ได้อย่างไร?
...เป็นปีศาจ...หาใช่มนุษย์ไม่...
ระวังไว้ให้ดี...ทุกอย่างอาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา...
...ที่ใครบางคนสร้างขึ้นเท่านั้น...
สงครามระหว่างผู้มีพลังเวทกับมนุษย์ธรรมดา
ใครจะอยู่รอดเป็นผู้กำชัยชนะ!?
- ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านจากใจจริง -
แผนที่นครเซ็นทรัม http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/map122e1.jpg
Tags: ตุ๊กตา,ปีศาจ,คำสาป,เวทมนตร์,สงคราม,แฟนตาซี,ผู้ใช้เวท,มนุษย์,โศกนาฏกรรม,mystery
ตอน: Episode 39 : || ผ่านรูกุญแจ ||
EPISODE 39
ผ่านรูกุญแจ
มิเวลอดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้เมื่อได้มายืนอยู่เบื้องหน้าบานประตูศักดิ์สิทธิ์อีกหน โดยที่เวลานี้เธอมาพร้อมกับความหวังว่าจะได้พบกับมิลองอีกครั้ง เด็กสาวมองบานประตูขนาดมหึมาตรงหน้าอย่างคาดหวัง ขอให้วันนี้เป็นวันที่เธอรอคอย วันที่เธอจะได้เห็นหน้าน้องชาย...
ผิดกับเอเวนที่เดินตามมาหลังสุดด้วยความรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย เขาหันกลับไปมองเคอาร์ที่ยังพอให้เห็นอยู่ไกลๆ อย่างครุ่นคิด ตอนนี้เขาแทบไม่เหลือพลังเวทแล้ว เนื่องจากใช้พลังหมดไปกับการรักษาเจ้าตัวแคปซูล แถมยังต้องใช้เวทตาข่ายไฟฟ้ากักตัวพวกดีเฟนเอาไว้อีกด้วย แค่เค้นพลังที่เหลืออยู่ให้กางเขตอาคมเอาไว้ได้ก็เต็มที่แล้ว คงต้องใช้เวลาเกือบสามวันเป็นอย่างต่ำถึงจะสามารถฟื้นฟูพลังเวทให้กลับมาได้เท่าสักครึ่งหนึ่งของพลังเวททั้งหมด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อยากบอกมิเวลให้เธอต้องเป็นกังวล ความจริงแล้วเขาอยากรอให้ตัวเองฟื้นพลังมากกว่านี้ก่อนแล้วค่อยใช้แผนที่ต้องคำสาป แต่ท่าทางตื่นเต้นดีใจของมิเวลที่อยากเจอน้องชายเร็วๆ ทำให้เอเวนตัดสินใจไม่แย้งอะไร
อย่างน้อยเขาก็กางเขตอาคมเอาไว้แล้วสองชั้น และพวกเขาก็แค่ลองใช้แผนที่เป็นสื่อกลางผ่านประตูศักดิ์สิทธิ์ เท่านั้น คงไม่น่ามีอันตรายอะไรล่ะมั้ง
ผู้รับบทเป็นร่างสังเวยหันไปมองคนโน้นทีคนนี้ทีอย่างสนใจ มิเวลดูตื่นเต้นกว่ายามปกติ ส่วนเอเวนก็ดูเคร่งเครียดเหมือนปกติ บางทีเขาควรจะทำอะไรให้น้อยกว่าปกติ จะได้ดูเข้าพวกกับคนอื่น
วอลเงยหน้ามองบานประตูเบื้องหน้าที่สูงเลยระดับหมอกขึ้นไปอีกด้วยความรู้สึกทึ่ง เขาต้องยืนต่อตัวกันกี่คนล่ะเนี่ยถึงจะสูงจนทะลุหมอกแบบนั้นได้ จากนั้นก็กวาดสายตาสำรวจทะเลหมอกรอบตัวอย่างตื่นเต้น มิเวลเคยเล่าให้ฟังว่ามีทะเลหมอกแต่ไม่เคยได้เห็นของจริงมาก่อน ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในดงปุยนุ่นเลย ถ้าเอาน้ำตาลมาโรย เขาอาจจะได้เมนูอาหารเช้าแบบใหม่
“เจ้ารู้สึกอะไรเป็นพิเศษบ้างมั้ย” มิเวลหันมาเอ่ยถามเด็กหนุ่มผู้เป็นตัวแปรสำคัญในภารกิจครั้งนี้ ในเมื่อวอลเป็นร่างสังเวยของแผนที่ บางทีการมาอยู่ใกล้กับประตูอาจจะทำให้มีปฏิกิริยาอะไรบ้างก็ได้
คนถูกถามละสายตาจากทะเลหมอกไปยังร่างเล็กที่ยืนห่างออกไปไม่ไกล กระพริบตาปริบๆ ขณะคิดถึงคำตอบของคำถามนั้น
“ข้ารู้สึกหิว”
เด็กสาวกลอกตาด้วยความเซ็งทันที เธอผิดเองที่ไปถามคำถามมีสาระกับคนไร้สาระอย่างเจ้าบ้านี่
“เจ้าบอกว่าต้องเอาเพชรไปทาบที่รูกุญแจถึงจะเป็นการเปิดทางเข้า...” เสียงเรียบของเอเวนเรียกความสนใจจากเพื่อนอีกสองคนให้หันไปมอง เด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีอำพันเดินเข้าไปใกล้ประตูศักดิ์สิทธิ์ แล้วเพ่งสายตาจ้องเขม็งไปที่รูกุญแจ คิ้วได้รูปขมวดเข้ากันอย่างครุ่นคิด “ถ้างั้นเจ้าลองให้เจ้าตัวแคปซูลให้มาแตะที่รูกุญแจดูได้มั้ย”
“ข้าก็อยู่ด้วยนา” เจ้าของฉายาร้องท้วงด้วยความน้อยใจ เอเวนใจร้าย ทำอย่างกับว่าเขาไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้งั้นแหละ
แต่บุรุษน้ำแข็งก็ยังคงทำเมินต่อไป เขาไม่อยากเห็นเจ้าตัวแคปซูลที่เป็นเหมือนสิ่งตอกย้ำถึงสภาพไร้พลังของตัวเองในขณะนี้ สายตานิ่งเฉยมองตามมิเวลเดินเข้าไปหาเจ้าตัวแคปซูลแล้วลากอีกฝ่ายให้มาที่รูกุญแจด้วยกัน
ฝ่ามือขาวซีดลองวางทาบไปที่รูกุญแจตามข้อเสนอของเอเวนอย่างตื่นเต้น ทีแรกเด็กหนุ่มนึกว่ามันจะให้ความรู้สึกเย็นๆ สมกับเป็นเหล็ก แต่ผิดคาดแฮะ รูกุญแจนี่อุ่นกว่าที่คิด
แถมยัง...
“ทำไมมันยวบๆ หยึยๆ แปลกๆ” วอลหันไปถามคนใกล้ตัวที่สุดอย่างสงสัย
“อะไรคือยวบๆ หยึยๆ” มิเวลขมวดคิ้วด้วยความฉงน ไม่เข้าใจว่าเจ้าบ้าวอลพูดภาษาอะไร
เด็กหนุ่มไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกตัวเองยังไง เขารู้สึกเหมือนกับว่ารูกุญแจนี่มันยวบไปตามแรงกดของเขาได้ยังไงไม่รู้ ซึ่งมันไม่น่าเป็นไปได้หรือเปล่า ดังนั้นเขาจึงออกแรงดันฝ่ามือตัวเอง แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่ารูกุญแจถูกผลักจนจมหายเข้าไปในบานประตู
เสียงถอนหายใจเบาๆ ดังมาจากคนข้างกาย
“ข้าลืมไปว่าเจ้าไม่มีพลังเวท” เด็กสาวกลืนน้ำลายเหนียวลงคอเมื่อเห็นผลลัพธ์ของการพยายามผ่านรูกุญแจ ดูเหมือนว่าจะใช้วิธีนี้ไปนครสาบสูญไม่ได้ซะแล้ว “สำหรับคนไม่มีพลังเวท บานประตูกับรูกุญแจก็เป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้นแหละ”
มิเวลเดินถอยห่างออกมาจากบานประตู พยายามข่มความรู้สึกผิดหวังที่กำลังโถมกระหน่ำเข้าใส่อย่างรุนแรง สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลวจนได้ เธออุตส่าห์ดีใจที่จะได้เจอกับมิลอง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ต้องบอกกับตัวเองว่าไม่ควรคิดในแง่ลบเพราะว่ามันยังไม่จบแค่นี้ ต่อให้ไม่ใช่วันนี้ก็ยังมีวันอื่น ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่เธอก็ไม่มีวันยอมแพ้หรอก ยังไงเธอก็จะต้องหาวิธีไปนครสาบสูญให้ได้
“ว้าว เจ๋งดีนะ ลวงได้แม้กระทั่งความรู้สึกด้วย” เสียงร่าเริงของวอลตะโกนไล่หลังมา ไม่รู้ว่าทำไมท่าทางสดใสของเขาถึงทำให้เธอรู้สึกฉุนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ลวงความรู้สึกอะไร ไม่ใช่เวทมายาซะหน่อย...” นัยน์ตาสีแดงตวัดกลับไปมองคนที่อยู่ข้างหลัง วอลยังคงใช้ฝ่ามือวางทาบอยู่กับรูกุญแจ แต่แล้วเด็กสาวก็ต้องผิดสังเกตเมื่อเห็นว่ามีแสงสว่างแปลกๆ ออกมาจากร่างของเขา แถมยังค่อยๆ เรืองแสงขึ้นทีละนิดอีกด้วย
ไม่ใช่แค่มิเวลเท่านั้นที่สังเกตเห็นถึงความผิดปกตินี้ เอเวนจ้องเขม็งไปที่เจ้าตัวแคปซูลไม่วางตา เขาเองก็เห็นว่าร่างของอีกฝ่ายมีอะไรบางอย่างผิดปกติด้วยเช่นกัน แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรถึงได้ถอยออกมาคอยดูท่าทีไว้ก่อน
“ไม่รู้เหมือนกัน ข้าแค่รู้สึกว่ามัน...” วอลพยายามอธิบายความรู้สึกของตัวเองให้กับเพื่อนอีกสองคน เขาไม่รู้ว่าตัวเองคิดไปเองหรือเปล่า เพราะว่ามันอุ่นขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งตอนนี้เขารู้สึกว่ามัน “ร้อน...”
มิเวลวิ่งกลับเข้าไปหาวอลด้วยความเป็นห่วง เห็นว่าร่างของเขามีแสงส่องสว่างออกมามากขึ้นจนน่าตกใจ แถมยังมีควันไหม้ลอยออกมาจากบริเวณฝ่ามือของเขาที่ทาบอยู่กับรูกุญแจอีกด้วย
“ทำไม...” เด็กสาวพึมพำออกมาด้วยความงุนงงว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเจ้าบ้านี่ยังไม่เลิกเผามือตัวเองเลยนี่นา จึงพยายามดึงมือของเขาให้ออกห่างจากรูกุญแจ “ปล่อยมือสิเจ้าบ้า!”
แต่ไม่ว่าจะออกแรงดึงเท่าไหร่ มือของวอลก็ไม่หลุดออกมา ด้วยความเป็นห่วงว่ามือของเจ้าบ้าวอลจะเกรียมไปมากกว่านี้ มิเวลจึงตัดสินใจถ่ายพลังเวทตัวเองให้ไหลผ่านเข้าไปยังฝ่ามือของวอลเพื่อเป็นเกราะคุ้มกันมือของเขาเอาไว้
เด็กสาวเงยหน้ามองคนข้างกาย ตั้งใจจะถามเขาว่าทำไมถึงไม่ยอมปล่อยมือซะที แต่แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมีสีหน้าเลื่อนลอยเหมือนคนตกอยู่ในภวังค์บางอย่าง ใบหน้างามขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัยว่าเขาเป็นอะไรไป
“วอล...”
ทันใดนั้นเองร่างของวอลก็กระตุกรุนแรง ทำให้มิเวลตกใจจนชะงักการถ่ายพลังเวทของตัวเองเอาไว้แค่นั้น แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ส่งเสียงเรียกเขาซ้ำอีกครั้ง จู่ๆ ก็มีสายลมพุ่งพรวดออกมาจากรูกุญแจซึ่งเชื่อมอยู่กับมือของเด็กหนุ่ม มิเวลเบิกตากว้างมองสายลมดังกล่าวด้วยความตกตะลึง นี่มันเกิดอะไรขึ้น
หรือว่า...
“เอเวน!” เด็กสาวหันไปตะโกนเรียกเอเวนอย่างมีความหวัง ขอให้เป็นอย่างที่เธอคิดทีเถอะ
บุรุษน้ำแข็งเข้ามายืนอยู่ข้างๆ มิเวลตั้งแต่ตอนที่เห็นเด็กสาววิ่งลิ่วเข้าไปหาเจ้าตัวแคปซูลตั้งแต่ทีแรกแล้ว เดิมทีเขาตั้งใจว่าจะคอยจับตาดูเจ้าตัวแคปซูลอยู่ห่างๆ แต่ในเมื่อมิเวลดันหุนหันพลันแล่นเข้าไปแบบนั้น เขาจึงต้องวิ่งตามมาด้วยอีกคนอย่างช่วยไม่ได้
ดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว เอเวนพอจะเดาต่อได้ว่าเจ้าตัวแคปซูลคงเป็นทางเชื่อมไปยังนครสาบสูญ แต่ตอนนี้เขาไม่อยากไปที่นั่น ไม่ใช่ในเวลาที่เขาแทบไม่เหลือพลังเวทแบบนี้
เด็กหนุ่มอ้าปากตั้งใจจะบอกมิเวล แต่เมื่อได้เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความหวังของเธอแล้ว...
เขาก็พูดไม่ออก
นัยน์ตาสีอำพันก้มมองมือของเด็กสาวที่ยื่นส่งมาให้เขาด้วยความลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะตัดสินใจจับมือเล็กนั้นเอาไว้มั่น แล้วค่อยๆ เบือนสายตาขึ้นมองใบหน้างามที่ส่งรอยยิ้มมาให้
สายลมโอบล้อมทั้งสามคนเอาไว้ ก่อนทั้งหมดจะโดนสูบหายเข้าไปในโพรงกุญแจของบานประตูศักดิ์สิทธิ์ ทิ้งให้เหลือแต่เพียงความว่างเปล่าและความเงียบงัน
ว่ากันว่าแผนที่ต้องคำสาปเขียนขึ้นโดยนักบวชคนหนึ่งซึ่งภายหลังถูกกล่าวว่าเป็นคนบาป... เอเวนจำข้อความที่เขียนระบุอยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์ได้อย่างแม่นยำ ไม่มีใครรู้ว่าสถานที่ต้องห้ามทั้งห้าแห่งนั้นอยู่ที่ไหน ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อเรียกของสถานที่พวกนั้นด้วยซ้ำ ข้อมูลนี้จึงถือว่าเป็นเพียงตำนานที่ไม่มีมูลความจริง จนกระทั่งมีข่าวลือว่ามีแผนที่ต้องคำสาปปรากฏขึ้นจริงในหมู่ผู้ใช้เวทและมีชื่อของสถานที่ต้องห้ามกระจายไปทั่ว ทำให้มีคนจำนวนมากขวนขวายที่จะครอบครองมัน บางคนหวังครอบครองเพื่อชื่อเสียงเงินทอง บางคนต้องการพิสูจน์ความสามารถ หรือบางคนก็แค่อยากรู้ประวัติศาสตร์
เขาเองก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นที่ต้องการแผนที่ต้องคำสาปเพื่อจุดประสงค์อย่างหนึ่ง...
เอเวนกระพริบตาถี่ๆ เพื่อให้สายตาปรับเข้ากับแสงสว่าง แล้วใช้มือยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง รู้สึกมึนงงเล็กน้อยว่าเขามานอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
เด็กหนุ่มเหลือบสายตาไปยังอีกสองร่างที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล มิเวลกับเจ้าตัวแคปซูลกำลังนอนไม่ได้สติ ทันใดนั้นเองเอเวนก็นึกออกว่าพวกเขาเพิ่งผ่านโพรงกุญแจของประตูศักดิ์สิทธิ์เข้ามา
นัยน์ตาสีอำพันรีบกวาดสายตามองไปรอบตัวทันที ภาพที่เห็นเบื้องหน้าทำให้บุรุษน้ำแข็งผู้มีสีหน้าจริงจังอยู่ตลอดเวลาแทบจะเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
นี่มัน...ที่ไหนกัน
ราวกับว่าเขากำลังอยู่ท่ามกลางสมรภูมิที่ไหนสักแห่ง รอบตัวเต็มไปด้วยซากปรักหักพังของบ้านเรือนที่ดูยังไงก็เหมือนกับว่าถูกพลังระเบิดทำลายไม่มีผิด ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ปราศจากร่องรอยของสิ่งมีชีวิต แถมยังเงียบงันเสียจนชวนให้รู้สึกวังเวง แม้กระทั่งพื้นก็แห้งหยาบจนกลายเป็นพื้นหิน ทัศนียภาพของที่นี่ทำให้เขานึกถึงเมืองไซโรนาสหลังถูกตุ๊กตาปิศาจโจมตี แต่ที่นี่ต่างกันตรงที่บ้านเรือนพวกนี้คงจะถูกทำลายมานานมากแล้ว ดูได้จากคราบฝุ่นเกาะตามจุดต่างๆ และลักษณะตัวบ้านที่มีชานพักยื่นออกมาและการใช้อิฐก่อสร้างซึ่งค่อนข้างโบราณ เขาเคยเห็นบ้านแบบนี้ในหนังสือสถาปัตยกรรมของพวกมนุษย์เมื่อหลายร้อยปีก่อน
นี่มันหมายความว่ายังไงกัน พวกเขาย้อนเวลามาในอดีตงั้นเหรอ?
เสียงขยับตัวเบาๆ ดังมาจากข้างหลัง เรียกให้เอเวนละความสนใจจากสภาพแวดล้อมไปยังคนตัวเล็กที่สุดแทน
มิเวลยันตัวเองลุกขึ้นนั่งด้วยความรู้สึกงงงวย นี่มันเกิดอะไรขึ้น เธอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ นัยน์ตาสีแดงเบือนไปมองเอเวนที่กำลังเดินใกล้เข้ามา ใบหน้าหล่อเหลามีสีหน้าเคร่งเครียดเหมือนอย่างเคย แต่แล้วเด็กสาวก็ต้องเบิกตากว้างทันทีที่นึกอะไรบางอย่างได้
ใช่แล้ว! พวกเธอเข้ามาในนครสาบสูญแล้วนี่นา
ร่างเล็กลุกพรวดยืนขึ้นทันทีด้วยความตื่นเต้น รีบกวาดสายตามองไปรอบๆ โดยพลัน เธอจะได้เจอกับมิลองแล้ว!
แต่แล้วสายตาก็ต้องหยุดอยู่แค่เด็กหนุ่มร่างสูง เมื่อฉากอันไร้ชีวิตที่อยู่เบื้องหลังเขาทำให้ความหวังในหัวใจเธอแทบพังทลายเป็นเสี่ยงๆ
“เอเวน...” เสียงเบาพึมพำเรียกชื่อคนตรงหน้า ภาวนาขอให้นี่เป็นเพียงแค่อีกหนึ่งความฝันเท่านั้น “ที่นี่...ที่ไหน”
คนถูกถามนิ่งเงียบไม่ตอบอะไร เขารู้ว่ามิเวลอยากเจอน้องชายแค่ไหน แต่ดูจากสภาพโดยรอบที่เหมือนกับซากศึกสงครามนี่แล้ว...เขานึกไม่ออกเลยว่ามิลองจะมาอยู่ในสถานที่แบบนี้ได้อย่างไร
มิเวลกัดปากตัวเองด้วยความรู้สึกเจ็บปวด เธอควรจะเข้ามาในนครสาบสูญได้แล้วสิ เพราะฉะนั้นมิลองต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งในนี้ เธอต้องออกตามหาเขา มิลองกำลังรอเธออยู่
“เจ้าจะไปไหนน่ะ” เอเวนรีบส่งเสียงเรียกเด็กสาวทันทีเมื่อเห็นร่างเล็กก้าวเดินดุ่ยๆ เข้าไปในซากบ้านปรักหักพังพวกนั้น
“ข้าจะไปตามหามิลอง” เสียงเด็ดขาดตะโกนตอบอย่างมุ่งมั่น เดินตรงดิ่งเข้าไปยังเศษอิฐที่กองสุมกันเป็นเนินสูงใหญ่ริมตอไม้แห้งตอหนึ่ง ตอนนี้เธอไม่อยากสนใจอะไรทั้งสิ้นนอกจากการตามหามิลองให้เจอ เขาต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งแน่นอน
“มิเวล” เด็กสาวทำเป็นไม่ได้ยินเสียงเรียกของเอเวน ก้าวขาฉับๆ มุ่งหน้าไปจนถึงเศษอิฐแล้วเริ่มใช้มือคุ้ยเศษอิฐพวกนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย
“มิเวล” ในที่สุดเอเวนก็ตามเข้ามาประชิดตัวพร้อมกับคว้าแขนของเธอเอาไว้ “ตั้งสติหน่อย”
ความรู้สึกเจ็บตรงแขนทำให้มิเวลเบ้หน้าอย่างไม่พอใจแล้วสะบัดแขนตัวเองให้หลุดออกจากการเกาะกุม ตั้งสติอะไรกันล่ะ เธอมีสติดีอยู่แล้วต่างหากถึงได้เพ่งสมาธิไปกับการตามหามิลอง ในเมื่อมันบอกเธอว่ามิลองอยูที่นี่ เพราะฉะนั้นเขาก็ต้องอยู่สิ
“มิเวล!” เสียงเรียกของเอเวนดังขึ้นอีกครั้ง เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ เขาจะมาห้ามเธอทำไม “เจ้ามองไปรอบๆ เจ้าคิดจริงเหรอว่ามิลองอยู่ที่นี่”
สีหน้าเจ็บปวดบนใบหน้างามทำให้เอเวนค่อนข้างแน่ใจว่ามิเวลเองก็คงจะคิดเหมือนกันกับเขา ถ้าหากที่นี่คือนครสาบสูญจริง มิลองก็คงไม่ได้อยู่ที่นี่ หรือไม่ก็เป็นไปได้ว่าสถานที่แห่งนี้จะไม่ใช่นครสาบสูญ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน ยังไงเธอก็คงต้องพบกับความผิดหวังที่ไม่ได้เจอมิลองอยู่ดี
“ข้า...” เสียงปวดร้าวหยุดลงแค่นั้นก่อนที่จะส่ายหน้าให้เอเวนเป็นคำตอบ ความผิดหวังช่างเป็นเสมือนคมมีดที่กรีดหัวใจของเธอเหลือเกิน โดยเฉพาะความหวังที่ไม่ต้องการพบกับความสิ้นหวัง
เสียงลอบถอนหายใจเบาๆ ดังมาจากร่างสูงข้างกาย ดูเหมือนว่ามิเวลจะได้สติกลับคืนมาแล้ว โล่งอกไปที เขานึกย้อนไปถึงตอนที่ร่างเล็กตรงหน้าเซื่องซึมไปเพราะเรื่องเพกัส ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเขาถึงรู้สึกไม่สบายใจหากต้องเห็นเธอตกอยู่ในสภาพนั้นอีกครั้ง
“ที่นี่อาจจะไม่ใช่นครสาบสูญก็ได้ มันต้องมีทางอื่นสิ เจ้าไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่ายๆ ไม่ใช่เหรอไง” เสียงจริงจังพูดอย่างเชื่อมั่นขณะมองลึกเข้าไปในดวงตาสีแดงคู่สวยที่บัดนี้กลับดูหมองลงอย่างน่าใจหาย
นัยน์ตาสีแดงเบือนขึ้นมามองสบตาด้วยเช่นกัน ทั้งสองประสานสายตากันอยู่พักใหญ่ จนในที่สุดใบหน้างามก็ค่อยๆ พยักหน้ารับเบาๆ
นั่นสินะ... อย่าเพิ่งหมดหวังเพียงแค่นี้
มิเวลเดินนำคนตัวสูงกว่ากลับไปหาเพื่อนร่วมทางอีกคนที่ยังคงนอนสลบไสลอยู่กับพื้น ระหว่างนั้นก็เหลือบมองเอเวนที่กำลังเดินตามหลังเธอมาติดๆ ด้วยความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างประหลาด ถ้าเขาไม่วิ่งมาตาม เธอก็คงจะคุ้ยกองเศษอิฐพวกนั้นต่อไป... จะว่าไปแล้ว คำพูดของเขานั้นเป็นกำลังใจให้เธอได้ดีเหลือเกิน
‘ข้าทำให้เข้าอีกเมื่อไหร่ก็ได้... เพราะเจ้าไม่ได้อยู่คนเดียว’
จู่ๆ ภาพดอกไม้น้ำแข็งในความทรงจำก็ปรากฏซ้อนทับกับภาพเอเวนในปัจจุบัน พร้อมกับที่นัยน์ตาสีอำพันได้เหลือบมาประสานสายตาด้วยโดยบังเอิญ ทำให้เด็กสาวต้องรีบหันหน้าหนีกลับมาแทบจะไม่ทัน รู้สึกตกใจราวกับเด็กที่ถูกจับได้ว่าทำอะไรผิด แต่ไม่ทันไรก็ต้องใช้สองมือตบแก้มตัวเองดังป้าบด้วยความไม่เข้าใจตัวเอง นี่มันอะไรกันเนี่ย เธอจะหลบสายตาของเอเวนทำไม แล้วยังความรู้สึกร้อนผ่าวแปลกๆ ตรงแก้มนี่อีก
เพราะเจ้าบ้าเอเวนเคยพูดแปลกๆ แท้ๆ เลย เธอถึงต้องมาปวดหัวอยู่แบบนี้ เพราะฉะนั้นเธอต้องลืมไปซะ
มิเวลสะบัดหน้าแรงๆ สองสามทีเพื่อไล่ความความทรงจำไร้สาระให้ออกไปจากหัว ทำให้เที่เดินเอเวนตามหลังอยู่ขมวดคิ้วอย่างงุนงงว่าคนตรงหน้าเป็นอะไรไป
แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยถามอะไร นัยน์ตาสีอำพันก็เหลือบไปเห็นร่างหนึ่งในชุดคลุมสีทึบปรากฏกายอยู่ใกล้ๆ กับเด็กหนุ่มเจ้าของเส้นผมสีเงิน เจ้าตัวแคปซูลยังคงนอนแน่นิ่ง ไม่ขยับเขยื้อน ไม่แน่ใจว่าถูกเจ้าชุดคลุมเล่นงานหรือว่ายังไม่ตื่นตั้งแต่แรกอยู่แล้วกันแน่ เอเวนกระชับดาบที่เอวแน่นทันที สายตาเย็นชาจ้องร่างปริศนาตรงหน้าเขม็งอย่างระแวดระวัง ใบหน้าเคร่งขรึมปรากฏร่องรอยของความกังวล หากเจ้าชุดคลุมเป็นศัตรู เขาคงต้องรับมือหนักแน่ในเมื่อตอนนี้เขาแทบไม่เหลือพลังเวทอยู่เลย
ส่วนมิเวลผู้ใจร้อน เมื่อตวัดสายตาไปเห็นคนแปลกหน้าเด็กสาวก็ชักดาบแห่งไฟออกมาประชันหน้ากับอีกฝ่ายทันทีอย่างไม่เกรงกลัว
“เจ้าเป็นใคร” เสียงห้วนตะโกนถามอย่างเอาเรื่อง ช่างได้จังหวะดีเสียจริง ตอนนี้เธอกำลังอารมณ์ไม่ดีจากทั้งเรื่องมิลองแล้วก็เจ้าบ้าเอเวนอยู่พอดี
ร่างในชุดคลุมขยับตัวเล็กน้อยก่อนที่จะมีเสียงสะท้อนดังกึกก้องขึ้นจากทั่วทุกทิศ
‘พวกเจ้าออกไปจากที่นี่ซะ พวกเจ้าไม่ควรเข้ามาที่นี่’
มิเวลเผลอมองไปรอบๆ อย่างงงงวยว่าเสียงของอีกฝ่ายดังมาจากทางไหน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็รีบหันกลับมาจ้องร่างตรงหน้าโดยไว ยังไม่ทันจะได้รู้เรื่องอะไรเลย ก็มาไล่ให้ออกไปแล้วงั้นเหรอ ใครจะไปบ้ายอมทำตามกันล่ะ
เด็กสาวกำชับดาบในมือแน่น ชี้ปลายดาบแหลมคมไปยังคนตรงหน้า แล้วตัดสินใจเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาเองอย่างท้าทาย แต่นัยน์ตาสีแดงก็อดเหลือบไปมองยังวอลที่ยังคงนอนสลบอยู่กับพื้นด้วยความกังวลไม่ได้ หวังว่าเจ้าบ้าวอลคงจะแค่นอนหลับเฉยๆ ไม่ได้ถูกคนตรงหน้าฆ่าตายไปแล้วหรอกนะ
ทันใดนั้นเองจู่ๆ ความรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกเข็มพันเล่มทิ่มแทงไปทั่วทั้งร่างก็โถมกระหน่ำเข้าใส่อย่างฉับพลัน ทำให้เด็กสาวต้องงอตัวลงด้วยความเจ็บปวด ใช้ดาบปักยันกับพื้นเอาไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองล้มลงไป
ความรู้สึกแบบนี้...
ไม่จริง...
ร่างในชุดคลุมยืนมองเด็กสาวผมแดงนิ่งๆ แต่จิตสังหารอันแรงกล้าที่พุ่งตรงเข้ามาจากอีกทิศก็ทำให้เธอต้องรีบกระโดดหลบไปอีกทาง พอดีกับที่ดาบเงินได้ตวัดผ่านพ้นร่างของเธอไปอย่างฉิวเฉียด
มนุษย์ธรรมดา?
ร่างปริศนาหันไปมองเด็กหนุ่มผมน้ำเงินที่อยู่ทางซ้ายมืออย่างวิเคราะห์ เธอสัมผัสไอเวทจากอีกฝ่ายไม่ได้ แสดงว่าต้องเป็นมนุษย์ธรรมดา แต่ทำไมเจ้าเด็กนี่ถึงต้านพลังเขตอาคมของเธอได้
เอเวนจับดาบให้มั่นแล้วพุ่งตัวเข้าใส่ศัตรูอีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะฟาดฟันดาบกี่ท่วงท่าเจ้าร่างชุดคลุมก็ขยับหลบได้หมดอย่างง่ายดาย ทำให้เด็กหนุ่มเกือบกัดฟันกรอดด้วยความร้อนรนทั้งที่มันไม่ใช่นิสัยของเขาเลย แต่ตอนนี้เขากำลังเจอกับวิกฤตหนัก เนื่องจากเขาไม่เหลือพลังเวทพอที่จะทำลายเขตอาคมพลังมหาศาลขนาดนี้ได้ เพราะฉะนั้นก็เหลือแค่ทางเดียวคือต้องล้มคู่ต่อสู้ให้ได้เท่านั้น แต่เขาไม่ค่อยถนัดดาบเท่าไหร่ แต่ก็ไม่อยากเสี่ยงใช้พลังเวทที่แทบไม่มีเหลืออยู่นอกจากจะเป็นเหตุฉุกเฉินจริงๆ
หรือว่าจะเป็นตอนนี้...
ร่างปริศนากระโดดตีลังกาหลบฝีดาบของเอเวนได้อีกครั้ง
“ข้าขอเตือน! ออกไปจากที่นี่ซะ!”
สายตาเย็นยะเยือกจ้องไปที่ศัตรูตรงหน้าอย่างไม่สนใจคำเตือนนั่น แล้วกระชับดาบเงินอีกหน ถีบตัวเองพุ่งใส่อีกฝ่ายด้วยความเร็วสูง
“เอเวน!”
ร่างเล็กวิ่งเข้ามากางแขนขวางเอาไว้ทำให้ผู้เป็นเจ้าของชื่อต้องหยุดชะงัก ปลายดาบหยุดค้างก่อนที่จะเฉือนผิวขาวนวลของเด็กสาวตรงหน้าได้ทันฉิวเฉียด ใบหน้าหล่อเหลาขมวดคิ้วเข้าหากัน มองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ มิเวลจะวิ่งเข้ามาขวางเขาไว้ทำไม
เด็กสาวค่อยๆ ละสายตาจากเพื่อนร่วมทางไปยังร่างปริศนาในชุดคลุมซึ่งอยู่ด้านหลัง เธอเข้าใจดีว่าตอนนี้เอเวนคงต้องมีคำถามผุดขึ้นในหัวเต็มไปหมดแน่ๆ เพราะเธอเองก็มีคำถามมากมายเช่นกัน หากที่นี่คือนครสาบสูญจริง เธอก็ไม่คิดเลยว่าใครคนนั้นจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับที่แห่งนี้ สถานที่ที่ ‘มัน’ ลักพาตัวมิลอง น้องชายผู้เป็นที่รักของเธอไป...
หากเป็นคนอื่นที่ไม่ได้คลุกคลีกันมาตั้งแต่เกิด เธอก็คงจะสัมผัสไม่ได้หรอก
ว่าใครเป็นคนร่ายเวทเขตอาคมนี้...
“...นี่มันหมายความว่ายังไงกันคะ... ท่านย่า”
นัยน์ตาสีแดงภายในชุดคลุมสั่นไหวเล็กน้อยด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่จะค่อยๆ เปิดผ้าคลุมออก เผยให้เห็นสีหน้าราบเรียบของเมอีมห์ เจ้าเผ่าแห่งเผ่ามายา แต่สายตากลับแฝงไว้ด้วยความเศร้าขณะมองผู้เป็นหลานตรงหน้า
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หนูมิเวลจะได้เจอกับมิลองมั้ยน้า...
ขอขอบคุณนักอ่านที่ยังคงติดตามอยู่นะฮับ /โค้ง ปลื้มมมมมมม แค่เข้ามาอ่าน ก็มีกำลังใจแล้ว
สู้ต่อ ลุยยย
ผ่านรูกุญแจ
มิเวลอดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้เมื่อได้มายืนอยู่เบื้องหน้าบานประตูศักดิ์สิทธิ์อีกหน โดยที่เวลานี้เธอมาพร้อมกับความหวังว่าจะได้พบกับมิลองอีกครั้ง เด็กสาวมองบานประตูขนาดมหึมาตรงหน้าอย่างคาดหวัง ขอให้วันนี้เป็นวันที่เธอรอคอย วันที่เธอจะได้เห็นหน้าน้องชาย...
ผิดกับเอเวนที่เดินตามมาหลังสุดด้วยความรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย เขาหันกลับไปมองเคอาร์ที่ยังพอให้เห็นอยู่ไกลๆ อย่างครุ่นคิด ตอนนี้เขาแทบไม่เหลือพลังเวทแล้ว เนื่องจากใช้พลังหมดไปกับการรักษาเจ้าตัวแคปซูล แถมยังต้องใช้เวทตาข่ายไฟฟ้ากักตัวพวกดีเฟนเอาไว้อีกด้วย แค่เค้นพลังที่เหลืออยู่ให้กางเขตอาคมเอาไว้ได้ก็เต็มที่แล้ว คงต้องใช้เวลาเกือบสามวันเป็นอย่างต่ำถึงจะสามารถฟื้นฟูพลังเวทให้กลับมาได้เท่าสักครึ่งหนึ่งของพลังเวททั้งหมด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อยากบอกมิเวลให้เธอต้องเป็นกังวล ความจริงแล้วเขาอยากรอให้ตัวเองฟื้นพลังมากกว่านี้ก่อนแล้วค่อยใช้แผนที่ต้องคำสาป แต่ท่าทางตื่นเต้นดีใจของมิเวลที่อยากเจอน้องชายเร็วๆ ทำให้เอเวนตัดสินใจไม่แย้งอะไร
อย่างน้อยเขาก็กางเขตอาคมเอาไว้แล้วสองชั้น และพวกเขาก็แค่ลองใช้แผนที่เป็นสื่อกลางผ่านประตูศักดิ์สิทธิ์ เท่านั้น คงไม่น่ามีอันตรายอะไรล่ะมั้ง
ผู้รับบทเป็นร่างสังเวยหันไปมองคนโน้นทีคนนี้ทีอย่างสนใจ มิเวลดูตื่นเต้นกว่ายามปกติ ส่วนเอเวนก็ดูเคร่งเครียดเหมือนปกติ บางทีเขาควรจะทำอะไรให้น้อยกว่าปกติ จะได้ดูเข้าพวกกับคนอื่น
วอลเงยหน้ามองบานประตูเบื้องหน้าที่สูงเลยระดับหมอกขึ้นไปอีกด้วยความรู้สึกทึ่ง เขาต้องยืนต่อตัวกันกี่คนล่ะเนี่ยถึงจะสูงจนทะลุหมอกแบบนั้นได้ จากนั้นก็กวาดสายตาสำรวจทะเลหมอกรอบตัวอย่างตื่นเต้น มิเวลเคยเล่าให้ฟังว่ามีทะเลหมอกแต่ไม่เคยได้เห็นของจริงมาก่อน ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในดงปุยนุ่นเลย ถ้าเอาน้ำตาลมาโรย เขาอาจจะได้เมนูอาหารเช้าแบบใหม่
“เจ้ารู้สึกอะไรเป็นพิเศษบ้างมั้ย” มิเวลหันมาเอ่ยถามเด็กหนุ่มผู้เป็นตัวแปรสำคัญในภารกิจครั้งนี้ ในเมื่อวอลเป็นร่างสังเวยของแผนที่ บางทีการมาอยู่ใกล้กับประตูอาจจะทำให้มีปฏิกิริยาอะไรบ้างก็ได้
คนถูกถามละสายตาจากทะเลหมอกไปยังร่างเล็กที่ยืนห่างออกไปไม่ไกล กระพริบตาปริบๆ ขณะคิดถึงคำตอบของคำถามนั้น
“ข้ารู้สึกหิว”
เด็กสาวกลอกตาด้วยความเซ็งทันที เธอผิดเองที่ไปถามคำถามมีสาระกับคนไร้สาระอย่างเจ้าบ้านี่
“เจ้าบอกว่าต้องเอาเพชรไปทาบที่รูกุญแจถึงจะเป็นการเปิดทางเข้า...” เสียงเรียบของเอเวนเรียกความสนใจจากเพื่อนอีกสองคนให้หันไปมอง เด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีอำพันเดินเข้าไปใกล้ประตูศักดิ์สิทธิ์ แล้วเพ่งสายตาจ้องเขม็งไปที่รูกุญแจ คิ้วได้รูปขมวดเข้ากันอย่างครุ่นคิด “ถ้างั้นเจ้าลองให้เจ้าตัวแคปซูลให้มาแตะที่รูกุญแจดูได้มั้ย”
“ข้าก็อยู่ด้วยนา” เจ้าของฉายาร้องท้วงด้วยความน้อยใจ เอเวนใจร้าย ทำอย่างกับว่าเขาไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้งั้นแหละ
แต่บุรุษน้ำแข็งก็ยังคงทำเมินต่อไป เขาไม่อยากเห็นเจ้าตัวแคปซูลที่เป็นเหมือนสิ่งตอกย้ำถึงสภาพไร้พลังของตัวเองในขณะนี้ สายตานิ่งเฉยมองตามมิเวลเดินเข้าไปหาเจ้าตัวแคปซูลแล้วลากอีกฝ่ายให้มาที่รูกุญแจด้วยกัน
ฝ่ามือขาวซีดลองวางทาบไปที่รูกุญแจตามข้อเสนอของเอเวนอย่างตื่นเต้น ทีแรกเด็กหนุ่มนึกว่ามันจะให้ความรู้สึกเย็นๆ สมกับเป็นเหล็ก แต่ผิดคาดแฮะ รูกุญแจนี่อุ่นกว่าที่คิด
แถมยัง...
“ทำไมมันยวบๆ หยึยๆ แปลกๆ” วอลหันไปถามคนใกล้ตัวที่สุดอย่างสงสัย
“อะไรคือยวบๆ หยึยๆ” มิเวลขมวดคิ้วด้วยความฉงน ไม่เข้าใจว่าเจ้าบ้าวอลพูดภาษาอะไร
เด็กหนุ่มไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกตัวเองยังไง เขารู้สึกเหมือนกับว่ารูกุญแจนี่มันยวบไปตามแรงกดของเขาได้ยังไงไม่รู้ ซึ่งมันไม่น่าเป็นไปได้หรือเปล่า ดังนั้นเขาจึงออกแรงดันฝ่ามือตัวเอง แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่ารูกุญแจถูกผลักจนจมหายเข้าไปในบานประตู
เสียงถอนหายใจเบาๆ ดังมาจากคนข้างกาย
“ข้าลืมไปว่าเจ้าไม่มีพลังเวท” เด็กสาวกลืนน้ำลายเหนียวลงคอเมื่อเห็นผลลัพธ์ของการพยายามผ่านรูกุญแจ ดูเหมือนว่าจะใช้วิธีนี้ไปนครสาบสูญไม่ได้ซะแล้ว “สำหรับคนไม่มีพลังเวท บานประตูกับรูกุญแจก็เป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้นแหละ”
มิเวลเดินถอยห่างออกมาจากบานประตู พยายามข่มความรู้สึกผิดหวังที่กำลังโถมกระหน่ำเข้าใส่อย่างรุนแรง สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลวจนได้ เธออุตส่าห์ดีใจที่จะได้เจอกับมิลอง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ต้องบอกกับตัวเองว่าไม่ควรคิดในแง่ลบเพราะว่ามันยังไม่จบแค่นี้ ต่อให้ไม่ใช่วันนี้ก็ยังมีวันอื่น ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่เธอก็ไม่มีวันยอมแพ้หรอก ยังไงเธอก็จะต้องหาวิธีไปนครสาบสูญให้ได้
“ว้าว เจ๋งดีนะ ลวงได้แม้กระทั่งความรู้สึกด้วย” เสียงร่าเริงของวอลตะโกนไล่หลังมา ไม่รู้ว่าทำไมท่าทางสดใสของเขาถึงทำให้เธอรู้สึกฉุนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ลวงความรู้สึกอะไร ไม่ใช่เวทมายาซะหน่อย...” นัยน์ตาสีแดงตวัดกลับไปมองคนที่อยู่ข้างหลัง วอลยังคงใช้ฝ่ามือวางทาบอยู่กับรูกุญแจ แต่แล้วเด็กสาวก็ต้องผิดสังเกตเมื่อเห็นว่ามีแสงสว่างแปลกๆ ออกมาจากร่างของเขา แถมยังค่อยๆ เรืองแสงขึ้นทีละนิดอีกด้วย
ไม่ใช่แค่มิเวลเท่านั้นที่สังเกตเห็นถึงความผิดปกตินี้ เอเวนจ้องเขม็งไปที่เจ้าตัวแคปซูลไม่วางตา เขาเองก็เห็นว่าร่างของอีกฝ่ายมีอะไรบางอย่างผิดปกติด้วยเช่นกัน แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรถึงได้ถอยออกมาคอยดูท่าทีไว้ก่อน
“ไม่รู้เหมือนกัน ข้าแค่รู้สึกว่ามัน...” วอลพยายามอธิบายความรู้สึกของตัวเองให้กับเพื่อนอีกสองคน เขาไม่รู้ว่าตัวเองคิดไปเองหรือเปล่า เพราะว่ามันอุ่นขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งตอนนี้เขารู้สึกว่ามัน “ร้อน...”
มิเวลวิ่งกลับเข้าไปหาวอลด้วยความเป็นห่วง เห็นว่าร่างของเขามีแสงส่องสว่างออกมามากขึ้นจนน่าตกใจ แถมยังมีควันไหม้ลอยออกมาจากบริเวณฝ่ามือของเขาที่ทาบอยู่กับรูกุญแจอีกด้วย
“ทำไม...” เด็กสาวพึมพำออกมาด้วยความงุนงงว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเจ้าบ้านี่ยังไม่เลิกเผามือตัวเองเลยนี่นา จึงพยายามดึงมือของเขาให้ออกห่างจากรูกุญแจ “ปล่อยมือสิเจ้าบ้า!”
แต่ไม่ว่าจะออกแรงดึงเท่าไหร่ มือของวอลก็ไม่หลุดออกมา ด้วยความเป็นห่วงว่ามือของเจ้าบ้าวอลจะเกรียมไปมากกว่านี้ มิเวลจึงตัดสินใจถ่ายพลังเวทตัวเองให้ไหลผ่านเข้าไปยังฝ่ามือของวอลเพื่อเป็นเกราะคุ้มกันมือของเขาเอาไว้
เด็กสาวเงยหน้ามองคนข้างกาย ตั้งใจจะถามเขาว่าทำไมถึงไม่ยอมปล่อยมือซะที แต่แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมีสีหน้าเลื่อนลอยเหมือนคนตกอยู่ในภวังค์บางอย่าง ใบหน้างามขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัยว่าเขาเป็นอะไรไป
“วอล...”
ทันใดนั้นเองร่างของวอลก็กระตุกรุนแรง ทำให้มิเวลตกใจจนชะงักการถ่ายพลังเวทของตัวเองเอาไว้แค่นั้น แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ส่งเสียงเรียกเขาซ้ำอีกครั้ง จู่ๆ ก็มีสายลมพุ่งพรวดออกมาจากรูกุญแจซึ่งเชื่อมอยู่กับมือของเด็กหนุ่ม มิเวลเบิกตากว้างมองสายลมดังกล่าวด้วยความตกตะลึง นี่มันเกิดอะไรขึ้น
หรือว่า...
“เอเวน!” เด็กสาวหันไปตะโกนเรียกเอเวนอย่างมีความหวัง ขอให้เป็นอย่างที่เธอคิดทีเถอะ
บุรุษน้ำแข็งเข้ามายืนอยู่ข้างๆ มิเวลตั้งแต่ตอนที่เห็นเด็กสาววิ่งลิ่วเข้าไปหาเจ้าตัวแคปซูลตั้งแต่ทีแรกแล้ว เดิมทีเขาตั้งใจว่าจะคอยจับตาดูเจ้าตัวแคปซูลอยู่ห่างๆ แต่ในเมื่อมิเวลดันหุนหันพลันแล่นเข้าไปแบบนั้น เขาจึงต้องวิ่งตามมาด้วยอีกคนอย่างช่วยไม่ได้
ดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว เอเวนพอจะเดาต่อได้ว่าเจ้าตัวแคปซูลคงเป็นทางเชื่อมไปยังนครสาบสูญ แต่ตอนนี้เขาไม่อยากไปที่นั่น ไม่ใช่ในเวลาที่เขาแทบไม่เหลือพลังเวทแบบนี้
เด็กหนุ่มอ้าปากตั้งใจจะบอกมิเวล แต่เมื่อได้เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความหวังของเธอแล้ว...
เขาก็พูดไม่ออก
นัยน์ตาสีอำพันก้มมองมือของเด็กสาวที่ยื่นส่งมาให้เขาด้วยความลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะตัดสินใจจับมือเล็กนั้นเอาไว้มั่น แล้วค่อยๆ เบือนสายตาขึ้นมองใบหน้างามที่ส่งรอยยิ้มมาให้
สายลมโอบล้อมทั้งสามคนเอาไว้ ก่อนทั้งหมดจะโดนสูบหายเข้าไปในโพรงกุญแจของบานประตูศักดิ์สิทธิ์ ทิ้งให้เหลือแต่เพียงความว่างเปล่าและความเงียบงัน
ว่ากันว่าแผนที่ต้องคำสาปเขียนขึ้นโดยนักบวชคนหนึ่งซึ่งภายหลังถูกกล่าวว่าเป็นคนบาป... เอเวนจำข้อความที่เขียนระบุอยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์ได้อย่างแม่นยำ ไม่มีใครรู้ว่าสถานที่ต้องห้ามทั้งห้าแห่งนั้นอยู่ที่ไหน ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อเรียกของสถานที่พวกนั้นด้วยซ้ำ ข้อมูลนี้จึงถือว่าเป็นเพียงตำนานที่ไม่มีมูลความจริง จนกระทั่งมีข่าวลือว่ามีแผนที่ต้องคำสาปปรากฏขึ้นจริงในหมู่ผู้ใช้เวทและมีชื่อของสถานที่ต้องห้ามกระจายไปทั่ว ทำให้มีคนจำนวนมากขวนขวายที่จะครอบครองมัน บางคนหวังครอบครองเพื่อชื่อเสียงเงินทอง บางคนต้องการพิสูจน์ความสามารถ หรือบางคนก็แค่อยากรู้ประวัติศาสตร์
เขาเองก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นที่ต้องการแผนที่ต้องคำสาปเพื่อจุดประสงค์อย่างหนึ่ง...
เอเวนกระพริบตาถี่ๆ เพื่อให้สายตาปรับเข้ากับแสงสว่าง แล้วใช้มือยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง รู้สึกมึนงงเล็กน้อยว่าเขามานอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
เด็กหนุ่มเหลือบสายตาไปยังอีกสองร่างที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล มิเวลกับเจ้าตัวแคปซูลกำลังนอนไม่ได้สติ ทันใดนั้นเองเอเวนก็นึกออกว่าพวกเขาเพิ่งผ่านโพรงกุญแจของประตูศักดิ์สิทธิ์เข้ามา
นัยน์ตาสีอำพันรีบกวาดสายตามองไปรอบตัวทันที ภาพที่เห็นเบื้องหน้าทำให้บุรุษน้ำแข็งผู้มีสีหน้าจริงจังอยู่ตลอดเวลาแทบจะเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
นี่มัน...ที่ไหนกัน
ราวกับว่าเขากำลังอยู่ท่ามกลางสมรภูมิที่ไหนสักแห่ง รอบตัวเต็มไปด้วยซากปรักหักพังของบ้านเรือนที่ดูยังไงก็เหมือนกับว่าถูกพลังระเบิดทำลายไม่มีผิด ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ปราศจากร่องรอยของสิ่งมีชีวิต แถมยังเงียบงันเสียจนชวนให้รู้สึกวังเวง แม้กระทั่งพื้นก็แห้งหยาบจนกลายเป็นพื้นหิน ทัศนียภาพของที่นี่ทำให้เขานึกถึงเมืองไซโรนาสหลังถูกตุ๊กตาปิศาจโจมตี แต่ที่นี่ต่างกันตรงที่บ้านเรือนพวกนี้คงจะถูกทำลายมานานมากแล้ว ดูได้จากคราบฝุ่นเกาะตามจุดต่างๆ และลักษณะตัวบ้านที่มีชานพักยื่นออกมาและการใช้อิฐก่อสร้างซึ่งค่อนข้างโบราณ เขาเคยเห็นบ้านแบบนี้ในหนังสือสถาปัตยกรรมของพวกมนุษย์เมื่อหลายร้อยปีก่อน
นี่มันหมายความว่ายังไงกัน พวกเขาย้อนเวลามาในอดีตงั้นเหรอ?
เสียงขยับตัวเบาๆ ดังมาจากข้างหลัง เรียกให้เอเวนละความสนใจจากสภาพแวดล้อมไปยังคนตัวเล็กที่สุดแทน
มิเวลยันตัวเองลุกขึ้นนั่งด้วยความรู้สึกงงงวย นี่มันเกิดอะไรขึ้น เธอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ นัยน์ตาสีแดงเบือนไปมองเอเวนที่กำลังเดินใกล้เข้ามา ใบหน้าหล่อเหลามีสีหน้าเคร่งเครียดเหมือนอย่างเคย แต่แล้วเด็กสาวก็ต้องเบิกตากว้างทันทีที่นึกอะไรบางอย่างได้
ใช่แล้ว! พวกเธอเข้ามาในนครสาบสูญแล้วนี่นา
ร่างเล็กลุกพรวดยืนขึ้นทันทีด้วยความตื่นเต้น รีบกวาดสายตามองไปรอบๆ โดยพลัน เธอจะได้เจอกับมิลองแล้ว!
แต่แล้วสายตาก็ต้องหยุดอยู่แค่เด็กหนุ่มร่างสูง เมื่อฉากอันไร้ชีวิตที่อยู่เบื้องหลังเขาทำให้ความหวังในหัวใจเธอแทบพังทลายเป็นเสี่ยงๆ
“เอเวน...” เสียงเบาพึมพำเรียกชื่อคนตรงหน้า ภาวนาขอให้นี่เป็นเพียงแค่อีกหนึ่งความฝันเท่านั้น “ที่นี่...ที่ไหน”
คนถูกถามนิ่งเงียบไม่ตอบอะไร เขารู้ว่ามิเวลอยากเจอน้องชายแค่ไหน แต่ดูจากสภาพโดยรอบที่เหมือนกับซากศึกสงครามนี่แล้ว...เขานึกไม่ออกเลยว่ามิลองจะมาอยู่ในสถานที่แบบนี้ได้อย่างไร
มิเวลกัดปากตัวเองด้วยความรู้สึกเจ็บปวด เธอควรจะเข้ามาในนครสาบสูญได้แล้วสิ เพราะฉะนั้นมิลองต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งในนี้ เธอต้องออกตามหาเขา มิลองกำลังรอเธออยู่
“เจ้าจะไปไหนน่ะ” เอเวนรีบส่งเสียงเรียกเด็กสาวทันทีเมื่อเห็นร่างเล็กก้าวเดินดุ่ยๆ เข้าไปในซากบ้านปรักหักพังพวกนั้น
“ข้าจะไปตามหามิลอง” เสียงเด็ดขาดตะโกนตอบอย่างมุ่งมั่น เดินตรงดิ่งเข้าไปยังเศษอิฐที่กองสุมกันเป็นเนินสูงใหญ่ริมตอไม้แห้งตอหนึ่ง ตอนนี้เธอไม่อยากสนใจอะไรทั้งสิ้นนอกจากการตามหามิลองให้เจอ เขาต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งแน่นอน
“มิเวล” เด็กสาวทำเป็นไม่ได้ยินเสียงเรียกของเอเวน ก้าวขาฉับๆ มุ่งหน้าไปจนถึงเศษอิฐแล้วเริ่มใช้มือคุ้ยเศษอิฐพวกนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย
“มิเวล” ในที่สุดเอเวนก็ตามเข้ามาประชิดตัวพร้อมกับคว้าแขนของเธอเอาไว้ “ตั้งสติหน่อย”
ความรู้สึกเจ็บตรงแขนทำให้มิเวลเบ้หน้าอย่างไม่พอใจแล้วสะบัดแขนตัวเองให้หลุดออกจากการเกาะกุม ตั้งสติอะไรกันล่ะ เธอมีสติดีอยู่แล้วต่างหากถึงได้เพ่งสมาธิไปกับการตามหามิลอง ในเมื่อมันบอกเธอว่ามิลองอยูที่นี่ เพราะฉะนั้นเขาก็ต้องอยู่สิ
“มิเวล!” เสียงเรียกของเอเวนดังขึ้นอีกครั้ง เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ เขาจะมาห้ามเธอทำไม “เจ้ามองไปรอบๆ เจ้าคิดจริงเหรอว่ามิลองอยู่ที่นี่”
สีหน้าเจ็บปวดบนใบหน้างามทำให้เอเวนค่อนข้างแน่ใจว่ามิเวลเองก็คงจะคิดเหมือนกันกับเขา ถ้าหากที่นี่คือนครสาบสูญจริง มิลองก็คงไม่ได้อยู่ที่นี่ หรือไม่ก็เป็นไปได้ว่าสถานที่แห่งนี้จะไม่ใช่นครสาบสูญ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน ยังไงเธอก็คงต้องพบกับความผิดหวังที่ไม่ได้เจอมิลองอยู่ดี
“ข้า...” เสียงปวดร้าวหยุดลงแค่นั้นก่อนที่จะส่ายหน้าให้เอเวนเป็นคำตอบ ความผิดหวังช่างเป็นเสมือนคมมีดที่กรีดหัวใจของเธอเหลือเกิน โดยเฉพาะความหวังที่ไม่ต้องการพบกับความสิ้นหวัง
เสียงลอบถอนหายใจเบาๆ ดังมาจากร่างสูงข้างกาย ดูเหมือนว่ามิเวลจะได้สติกลับคืนมาแล้ว โล่งอกไปที เขานึกย้อนไปถึงตอนที่ร่างเล็กตรงหน้าเซื่องซึมไปเพราะเรื่องเพกัส ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเขาถึงรู้สึกไม่สบายใจหากต้องเห็นเธอตกอยู่ในสภาพนั้นอีกครั้ง
“ที่นี่อาจจะไม่ใช่นครสาบสูญก็ได้ มันต้องมีทางอื่นสิ เจ้าไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่ายๆ ไม่ใช่เหรอไง” เสียงจริงจังพูดอย่างเชื่อมั่นขณะมองลึกเข้าไปในดวงตาสีแดงคู่สวยที่บัดนี้กลับดูหมองลงอย่างน่าใจหาย
นัยน์ตาสีแดงเบือนขึ้นมามองสบตาด้วยเช่นกัน ทั้งสองประสานสายตากันอยู่พักใหญ่ จนในที่สุดใบหน้างามก็ค่อยๆ พยักหน้ารับเบาๆ
นั่นสินะ... อย่าเพิ่งหมดหวังเพียงแค่นี้
มิเวลเดินนำคนตัวสูงกว่ากลับไปหาเพื่อนร่วมทางอีกคนที่ยังคงนอนสลบไสลอยู่กับพื้น ระหว่างนั้นก็เหลือบมองเอเวนที่กำลังเดินตามหลังเธอมาติดๆ ด้วยความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างประหลาด ถ้าเขาไม่วิ่งมาตาม เธอก็คงจะคุ้ยกองเศษอิฐพวกนั้นต่อไป... จะว่าไปแล้ว คำพูดของเขานั้นเป็นกำลังใจให้เธอได้ดีเหลือเกิน
‘ข้าทำให้เข้าอีกเมื่อไหร่ก็ได้... เพราะเจ้าไม่ได้อยู่คนเดียว’
จู่ๆ ภาพดอกไม้น้ำแข็งในความทรงจำก็ปรากฏซ้อนทับกับภาพเอเวนในปัจจุบัน พร้อมกับที่นัยน์ตาสีอำพันได้เหลือบมาประสานสายตาด้วยโดยบังเอิญ ทำให้เด็กสาวต้องรีบหันหน้าหนีกลับมาแทบจะไม่ทัน รู้สึกตกใจราวกับเด็กที่ถูกจับได้ว่าทำอะไรผิด แต่ไม่ทันไรก็ต้องใช้สองมือตบแก้มตัวเองดังป้าบด้วยความไม่เข้าใจตัวเอง นี่มันอะไรกันเนี่ย เธอจะหลบสายตาของเอเวนทำไม แล้วยังความรู้สึกร้อนผ่าวแปลกๆ ตรงแก้มนี่อีก
เพราะเจ้าบ้าเอเวนเคยพูดแปลกๆ แท้ๆ เลย เธอถึงต้องมาปวดหัวอยู่แบบนี้ เพราะฉะนั้นเธอต้องลืมไปซะ
มิเวลสะบัดหน้าแรงๆ สองสามทีเพื่อไล่ความความทรงจำไร้สาระให้ออกไปจากหัว ทำให้เที่เดินเอเวนตามหลังอยู่ขมวดคิ้วอย่างงุนงงว่าคนตรงหน้าเป็นอะไรไป
แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยถามอะไร นัยน์ตาสีอำพันก็เหลือบไปเห็นร่างหนึ่งในชุดคลุมสีทึบปรากฏกายอยู่ใกล้ๆ กับเด็กหนุ่มเจ้าของเส้นผมสีเงิน เจ้าตัวแคปซูลยังคงนอนแน่นิ่ง ไม่ขยับเขยื้อน ไม่แน่ใจว่าถูกเจ้าชุดคลุมเล่นงานหรือว่ายังไม่ตื่นตั้งแต่แรกอยู่แล้วกันแน่ เอเวนกระชับดาบที่เอวแน่นทันที สายตาเย็นชาจ้องร่างปริศนาตรงหน้าเขม็งอย่างระแวดระวัง ใบหน้าเคร่งขรึมปรากฏร่องรอยของความกังวล หากเจ้าชุดคลุมเป็นศัตรู เขาคงต้องรับมือหนักแน่ในเมื่อตอนนี้เขาแทบไม่เหลือพลังเวทอยู่เลย
ส่วนมิเวลผู้ใจร้อน เมื่อตวัดสายตาไปเห็นคนแปลกหน้าเด็กสาวก็ชักดาบแห่งไฟออกมาประชันหน้ากับอีกฝ่ายทันทีอย่างไม่เกรงกลัว
“เจ้าเป็นใคร” เสียงห้วนตะโกนถามอย่างเอาเรื่อง ช่างได้จังหวะดีเสียจริง ตอนนี้เธอกำลังอารมณ์ไม่ดีจากทั้งเรื่องมิลองแล้วก็เจ้าบ้าเอเวนอยู่พอดี
ร่างในชุดคลุมขยับตัวเล็กน้อยก่อนที่จะมีเสียงสะท้อนดังกึกก้องขึ้นจากทั่วทุกทิศ
‘พวกเจ้าออกไปจากที่นี่ซะ พวกเจ้าไม่ควรเข้ามาที่นี่’
มิเวลเผลอมองไปรอบๆ อย่างงงงวยว่าเสียงของอีกฝ่ายดังมาจากทางไหน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็รีบหันกลับมาจ้องร่างตรงหน้าโดยไว ยังไม่ทันจะได้รู้เรื่องอะไรเลย ก็มาไล่ให้ออกไปแล้วงั้นเหรอ ใครจะไปบ้ายอมทำตามกันล่ะ
เด็กสาวกำชับดาบในมือแน่น ชี้ปลายดาบแหลมคมไปยังคนตรงหน้า แล้วตัดสินใจเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาเองอย่างท้าทาย แต่นัยน์ตาสีแดงก็อดเหลือบไปมองยังวอลที่ยังคงนอนสลบอยู่กับพื้นด้วยความกังวลไม่ได้ หวังว่าเจ้าบ้าวอลคงจะแค่นอนหลับเฉยๆ ไม่ได้ถูกคนตรงหน้าฆ่าตายไปแล้วหรอกนะ
ทันใดนั้นเองจู่ๆ ความรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกเข็มพันเล่มทิ่มแทงไปทั่วทั้งร่างก็โถมกระหน่ำเข้าใส่อย่างฉับพลัน ทำให้เด็กสาวต้องงอตัวลงด้วยความเจ็บปวด ใช้ดาบปักยันกับพื้นเอาไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองล้มลงไป
ความรู้สึกแบบนี้...
ไม่จริง...
ร่างในชุดคลุมยืนมองเด็กสาวผมแดงนิ่งๆ แต่จิตสังหารอันแรงกล้าที่พุ่งตรงเข้ามาจากอีกทิศก็ทำให้เธอต้องรีบกระโดดหลบไปอีกทาง พอดีกับที่ดาบเงินได้ตวัดผ่านพ้นร่างของเธอไปอย่างฉิวเฉียด
มนุษย์ธรรมดา?
ร่างปริศนาหันไปมองเด็กหนุ่มผมน้ำเงินที่อยู่ทางซ้ายมืออย่างวิเคราะห์ เธอสัมผัสไอเวทจากอีกฝ่ายไม่ได้ แสดงว่าต้องเป็นมนุษย์ธรรมดา แต่ทำไมเจ้าเด็กนี่ถึงต้านพลังเขตอาคมของเธอได้
เอเวนจับดาบให้มั่นแล้วพุ่งตัวเข้าใส่ศัตรูอีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะฟาดฟันดาบกี่ท่วงท่าเจ้าร่างชุดคลุมก็ขยับหลบได้หมดอย่างง่ายดาย ทำให้เด็กหนุ่มเกือบกัดฟันกรอดด้วยความร้อนรนทั้งที่มันไม่ใช่นิสัยของเขาเลย แต่ตอนนี้เขากำลังเจอกับวิกฤตหนัก เนื่องจากเขาไม่เหลือพลังเวทพอที่จะทำลายเขตอาคมพลังมหาศาลขนาดนี้ได้ เพราะฉะนั้นก็เหลือแค่ทางเดียวคือต้องล้มคู่ต่อสู้ให้ได้เท่านั้น แต่เขาไม่ค่อยถนัดดาบเท่าไหร่ แต่ก็ไม่อยากเสี่ยงใช้พลังเวทที่แทบไม่มีเหลืออยู่นอกจากจะเป็นเหตุฉุกเฉินจริงๆ
หรือว่าจะเป็นตอนนี้...
ร่างปริศนากระโดดตีลังกาหลบฝีดาบของเอเวนได้อีกครั้ง
“ข้าขอเตือน! ออกไปจากที่นี่ซะ!”
สายตาเย็นยะเยือกจ้องไปที่ศัตรูตรงหน้าอย่างไม่สนใจคำเตือนนั่น แล้วกระชับดาบเงินอีกหน ถีบตัวเองพุ่งใส่อีกฝ่ายด้วยความเร็วสูง
“เอเวน!”
ร่างเล็กวิ่งเข้ามากางแขนขวางเอาไว้ทำให้ผู้เป็นเจ้าของชื่อต้องหยุดชะงัก ปลายดาบหยุดค้างก่อนที่จะเฉือนผิวขาวนวลของเด็กสาวตรงหน้าได้ทันฉิวเฉียด ใบหน้าหล่อเหลาขมวดคิ้วเข้าหากัน มองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ มิเวลจะวิ่งเข้ามาขวางเขาไว้ทำไม
เด็กสาวค่อยๆ ละสายตาจากเพื่อนร่วมทางไปยังร่างปริศนาในชุดคลุมซึ่งอยู่ด้านหลัง เธอเข้าใจดีว่าตอนนี้เอเวนคงต้องมีคำถามผุดขึ้นในหัวเต็มไปหมดแน่ๆ เพราะเธอเองก็มีคำถามมากมายเช่นกัน หากที่นี่คือนครสาบสูญจริง เธอก็ไม่คิดเลยว่าใครคนนั้นจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับที่แห่งนี้ สถานที่ที่ ‘มัน’ ลักพาตัวมิลอง น้องชายผู้เป็นที่รักของเธอไป...
หากเป็นคนอื่นที่ไม่ได้คลุกคลีกันมาตั้งแต่เกิด เธอก็คงจะสัมผัสไม่ได้หรอก
ว่าใครเป็นคนร่ายเวทเขตอาคมนี้...
“...นี่มันหมายความว่ายังไงกันคะ... ท่านย่า”
นัยน์ตาสีแดงภายในชุดคลุมสั่นไหวเล็กน้อยด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่จะค่อยๆ เปิดผ้าคลุมออก เผยให้เห็นสีหน้าราบเรียบของเมอีมห์ เจ้าเผ่าแห่งเผ่ามายา แต่สายตากลับแฝงไว้ด้วยความเศร้าขณะมองผู้เป็นหลานตรงหน้า
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หนูมิเวลจะได้เจอกับมิลองมั้ยน้า...
ขอขอบคุณนักอ่านที่ยังคงติดตามอยู่นะฮับ /โค้ง ปลื้มมมมมมม แค่เข้ามาอ่าน ก็มีกำลังใจแล้ว
สู้ต่อ ลุยยย
โฮป
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ก.ค. 2560, 00:01:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ก.ค. 2560, 01:18:42 น.
จำนวนการเข้าชม : 743
<< Episode 38 : || ข้อสันนิษฐาน || | Episode 40 : || อ้อมกอดที่โหยหา || >> |