ปิ่นใจกะรัตพลอย (ชุด ลูกไม้ลายหงส์)
แม้จะต้องปะทะลมฝนรุนแรงขนาดไหน เธอก็ยังนับเป็นหงส์เหินที่งามสง่า แต่ใครจะคิดว่าสักวันนึง...ลมปากคนจะหักปีกหงส์ได้จริงๆ...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: Chapter 9 : คำพิพากษา
แดดยามสายลอดผ่านผ้าม่านโปร่งสีขาวให้ความรู้สึกชวนฝันระคนอบอุ่นไปในเวลาเดียวกัน ผ้าห่มหนากับที่นอนนุ่มยวบลงไปกว่าสองนิ้วทำให้ร่างบางบนเตียงดูคล้ายถูกโอบกอดไว้ด้วยเมฆนุ่มๆ บนท้องฟ้าก็ไม่ปาน เมื่อเปลือกตาบางเริ่มรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่ทอแสงลอดม่านเข้ามาจึงเริ่มปรือตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน ทว่าความเข้มแสงที่ไม่คุ้นเคยกลับเสียดแทงม่านตาเธอเสียจนต้องรีบยกมือขึ้นขยี้ตาตัวเอง โดยไม่ทันสังเกตว่าเจ้าของน้ำเสียงคล้ายคุณแม่เจ้าระเบียบที่กำลังจะดังขึ้นในวินาทีต่อจากนี้ ได้นั่งกอดอกรอเทศนาเธอมาสองชั่วโมงกว่าแล้ว
“จะไม่ตื่นมากินก็ตามใจ” น้ำผึ้งพระจันทร์เอ่ยเสียงแข็ง ขณะที่สายตาเอาเรื่องก็ยังจับจ้องอยู่บนเรือนร่างบางระหงที่ยังนอนขดอยู่บนเตียงเป็นแมวเซาไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างไม่วางตา
เพียงน้ำพลอยแสร้งหลับต่อได้อีกไม่นาน ก็ต้องยอมแพ้ให้กับเสียงท้องร้องโครกครากของตัวเองในที่สุด จึงค่อยๆ ยันร่างตัวเองลุกขึ้นจากเตียงพลางทำท่ากระมิดกระเมี้ยนแก้เก้อ เพราะพอจะเริ่มระลึกได้รางๆ แล้วว่าเมื่อวานตัวเองได้ทำเรื่องชวนอกสั่นขวัญแขวนแค่ไหนมา
“ฉันกลับมาได้ยังไง” เพียงน้ำพลอยเอ่ยถามออกไปด้วยเสียงแหบแห้งเล็กน้อย ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำจากคนร่างเล็กหน้าดุข้างเตียงมาดื่มแก้กระหาย
“จะได้ยังไงล่ะ ก็คุณฟรานนั่นแหละหิ้วกลับมา” น้ำผึ้งพระจันทร์ตอบด้วยเสียงฉุนเฉียวนิดๆ
‘แสดงว่ายังไม่ตาย’
เพียงน้ำพลอยลอบคิดอยู่ในใจก่อนจะยกน้ำขึ้นดื่มอีกอึก ดวงตากลมโตวาววับหลุบต่ำลง ท่าทางคล้ายเด็กหญิงตัวน้อยที่ทนทุกข์ด้วยพิษรู้สึกผิด ทว่าหากพินิจให้ดีโดยรวมทั้งใบหน้าสวยหวานนั้นแล้วก็จะเห็นว่า ท่าทางแบบนั้นออกจะคล้ายคนมีไฟแค้นสุมทรวงจนไม่อยากจะเอ่ยออกมาเสียมากกว่า
“ฟื้นแล้วเหรอครับคุณน้ำพลอย อาหารเช้าครับ” ประมุขมาเฟียหนุ่มซึ่งไม่รู้ว่าเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ประคองถาดอาหารเช้าด้วยสองมือมาวางลงบนโต๊ะเหล็กสูงมีล้อเลื่อนข้างเตียงพลางส่งยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งไขว่ห้างบนโซฟากำมะหยี่สีเขียวแก่ตัวหนึ่งที่มุมห้อง
“ขอบคุณค่ะ” เพียงน้ำพลอยเอ่ยขอบคุณเจ้าบ้านผู้ใจดีสั้นๆ แล้วก้มหน้าลงมองอาหารไทยหน้าตาน่าทานสองสามอย่างบนถาดซึ่งคาดว่าจะเป็นฝีมือเพื่อนรักของเธอนั่นเอง เธอจึงรีบลุกจากเตียง วิ่งผลุบหายเข้าไปล้างหน้าแปรงฟันในห้องน้ำ แล้วกลับออกมาด้วยใบหน้าสดใสกว่าเดิม จากนั้นก็ตั้งท่าลงมือทานอาหารเช้าบนเตียงอย่างลิงโลด
“นี่ไม่คิดจะถามถึงเขาสักคำเลยเหรอ” น้ำผึ้งพระจันทร์เอ่ยถามเสียงเขียว เมื่อเห็นว่าเพื่อนรักของตัวเองเอาแต่ทำท่าชื่นมื่นกับของกินตรงหน้าราวกับคนหลงทางแล้วเจอเพื่อนเก่า แต่กลับไม่มีแก่ใจจะถามถึงผู้มีพระคุณที่อุ้มตัวเองกลับมาส่งถึงเตียงเลยสักคำ
ใจจืดใจดำเกินไปแล้ว…
“เขาไหน?” เพียงน้ำพลอยถามกลับพลางตักกับราดข้าวเข้าปาก พร้อมกันนั้นยังพยักหน้าหงึกๆ ให้กับรสชาติอาหารไปเรื่อยเปื่อย ทำเอาน้ำผึ้งพระจันทร์ชักฉุนแทนคนเจ็บขึ้นมาตงิดๆ
เพื่อนเธอคนนี้กลายเป็นใจจืดใจดำขนาดนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน จริงอยู่ว่าภายใต้ท่าทางเรียบร้อยราวกับผ้าพับไว้นั้น เจ้าตัวออกจะหัวรั้นอยู่สักหน่อย ใจแข็งอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่คนไม่มีน้ำใจแน่นอน แม้ภายนอกจะดูเหมือนคนหัวอ่อน ใครว่าอย่างไรก็เป็นต้องเห็นดีเห็นงามตามนั้นคล้ายคนไม่มีความคิดอ่าน ทว่าเธอกลับรู้ดีว่าเพื่อนเธอคนนี้นับเป็นคนเยือกเย็นและเฉียบขาดไม่น้อยคนหนึ่ง ที่เห็นประนีประนอมอ่อนข้อให้ ก็เป็นเพราะนั่นยังไม่ถึงขอบเขตที่เจ้าตัวตั้งเอาไว้ จึงคร้านจะไปยี่หระให้มากความก็เท่านั้น แต่หากเรื่องไหนเลยเถิดเกินกว่าจะปล่อยผ่าน ก็อย่าหวังว่าจะได้ยินคำว่า ‘อะไรก็ได้’ จากเจ้าตัวเด็ดขาด
เธอเป็นเพียงคนที่รู้กาลเทศะ รู้จักแยกแยะหนักเบา...แต่หาใช่กุลสตรีแสนเรียบร้อยในห้องหอที่ไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะจับไก่...
ที่สำคัญ...เธอเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเอง...หาใช่สาวน้อยไร้เดียงสา…
ที่เห็นๆ กันทำนองที่ว่า ‘คุณหนูเพียงน้ำพลอย’ เป็นกุลสตรีทุกกระเบียด เรียบร้อยราวกับผ้าพับไว้นั้น
ไม่ใช่ว่าไม่จริง...แต่มันไม่ใช่ทั้งหมด...
นั่นคือเพียงน้ำพลอยที่เธอคิดว่าตัวเองรู้จักดีมาโดยตลอด แต่ทุกอย่างมันดันกลับตาลปัตรไปเสียหมด เมื่อมี ‘ฟราน’ เพื่อนรักของสามีเธอมาเป็นตัวแปรร่วม
ทั้งที่เคยใจเย็น พออยู่กับฟรานกลับกลายเป็นคนใจร้อนยิ่งกว่าเธอเสียอีก
ทั้งที่ไม่เคยแม้แต่จะตวาดเสียงดัง พอคุยกับฟรานกลับพูดด้วยน้ำเสียงปกติได้ไม่เกินหนึ่งนาที
แม้จะไม่จัดเป็นคนอ่อนแอ แต่ปกติแล้วมักเป็นพวกนิยมใช้สมองไม่นิยมใช้แรง เมื่อคืนกลับไปทำเรื่องบ้าระห่ำอะไรกันมาจนฟรานเลือดโชกกลับมาทั้งตัว
ใจจริงเธอก็อยากจะซักไซ้ไล่เรียงคนต้นเรื่องอีกคนให้รู้เรื่องอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่ติดว่าหลังจากเขาวางเพื่อนเธอลงบนเตียงแล้ว ตัวเองก็ล้มพับหมดสติไป แม้กระทั่งตอนที่หมอประจำตระกูลเหวินมาทำแผลตามเนื้อตัวให้ เอากระสุนออกให้สองนัด คนร่างสูงคนนั้นก็ยังไม่รู้สึกตัวขึ้นมาสักนิดจนกระทั่งตอนนี้ เธอจึงได้แต่มารอไถ่ถามความให้รู้เรื่องเอากับคนใจดำตรงหน้านี้
“ใจแกนี่มันทำด้วยอะไรห้ะ เขาช่วยแกไว้จนตัวเองเจ็บขนาดนั้น แกยังมีหน้ามาถามอีกว่าเขาไหน” น้ำผึ้งพระจันทร์ถามเสียงฉุน ก่อนจะเอื้อมไปใช้นิ้วชี้จิ้มลงไปที่ตำแหน่งหัวใจของเพื่อนแรงๆ
“ก็แกบอกเองว่าเขาเป็นคนพาฉันกลับมา ก็แสดงว่ายังไม่ตาย จะให้ฉันถามอะไรอีก” เพียงน้ำพลอยตอบด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย พลางกลอกตามองทางอื่นไปเรื่อย
“ก็ถามอะไรก็ได้ที่ชวนให้รู้สึกว่าแกสำนึกบุญคุณเขาหน่อย” น้ำผึ้งพระจันทร์กระแทกเสียงเอ็ด คล้ายกับดุลูกชายตัวเล็กของตัวเองก็ไม่ปาน
“แกได้คุยกับเขาแล้ว ก็แสดงว่าเขายังพูดได้ ก็ไม่น่าเป็นอะไรมากแล้วนี่” เพียงน้ำพลอยยังคงตอบคล้ายพูดเรื่องฟ้าฝนรั่วไม่ถูกเวลาอยู่เช่นเดิม มือไม้เริ่มตักโน่นตักนี่เข้าปาก ทำเอาคนเดือดร้อนจะให้เพื่อนสำนึกบุญคุณยิ่งเดือดพล่านเข้าไปใหญ่ จนถึงกับเอื้อมไปแย่งช้อนส้อมในมือมาถือไว้เสียเอง
“อะไรของแก ทำมาแล้วไม่ให้ฉันกินจะทำมาทำไม” เพียงน้ำพลอยเริ่มฉุนขึ้นมาบ้างเมื่อเห็นว่าตัวเองถูกคุกคามเสรีภาพทางการกิน
เธออดรู้สึกขึ้นมาบ้างไม่ได้ว่ามันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลยที่ตัวเองต้องมาถูกตำหนิติเตียนอยู่ฝ่ายเดียว ทั้งที่คนถูกขู่กรรโชกก็คือเธอ คนพลอยเดือดร้อนเพราะการทำอะไรไม่คิดก็คือเธอ คนถูกหลอกปั่นหัวจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดก็คือเธอ แต่เธอกลับยังต้องรู้สึกผิดอีกงั้นเหรอ!
“ฉันยังไม่ได้คุยกับเขาสักคำ เขาวางแกลงบนเตียงเสร็จก็เดินกลับห้องไป ตอนฉันกับคุณหยางหลงเข้าไปดูก็เห็นเขากองอยู่กับพื้นแล้ว จนตอนนี้ ‘ยั ง ไ ม่ ฟื้ น เ ล ย’ ” น้ำผึ้งพระจันทร์จงใจกระแทกเสียงในประโยคสุดท้ายเพื่อให้คนตรงหน้ารู้สึกตัวขึ้นมาบ้าง ขณะที่ดวงตากลมโตสีม่วงเข้มก็ยังมองขวางอยู่เช่นเดิม ซึ่งก็ดูจะได้ผลดีไม่น้อย เพราะดวงตาดำขลับดุจไข่มุกงามคู่นั้นเริ่มสั่นไหวขึ้นเล็กน้อยแล้ว
‘เขาเจ็บขนาดนั้นเลยเหรอ...’
“เขาเลือดท่วมตัว ยืนแทบไม่อยู่ ส่วนแก...นอกจากเหนื่อยกับหิวจนเป็นลมแล้ว ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน ต้องเดาให้ยากมั้ยว่าใครช่วยใคร” น้ำผึ้งพระจันทร์อธิบายขยายความต่อเพราะรู้ดีว่าเพื่อนรักกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ อีกฝ่ายคงกำลังคิดว่าที่เธอเรียกร้องความยุติธรรมให้คนร่างสูงปาวๆ ในฐานะที่เขาเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเอาไว้นั้น คงเป็นเพราะเธอได้รู้เรื่องเสร็จสรรพจากคนต้นเรื่องอีกคนแล้ว โดยหารู้ไม่ว่าเธอก็แค่จับสิ่งที่เห็นมาปะติดปะต่อกัน แล้วพิจารณาจากสิ่งที่เห็นเท่านั้นเอง
สิ้นเสียงเอาเรื่องกับสายตาขวางๆ ของยัยแม่มด เพียงน้ำพลอยที่เพิ่งใจอ่อนยวบลงเล็กน้อยก็พลันเดือดพล่านขึ้นมาอีกครั้ง เรื่องคราวนี้เขานับเป็นคนช่วยชีวิตเธอไว้ เธอย่อมไม่มีวันลืมอยู่แล้ว ยิ่งกับเรื่องที่เขาสรรหาวิธีสารพัดสารเพมาหลอกปั่นหัวเธอ เธอยิ่งไม่มีวันลืมเข้าไปใหญ่ ถ้าจะคิดเปรียบเทียบกับความผิดที่ว่าเธอแสร้งเห็นบุญคุณเขาเป็นเรื่องเล็ก มันก็อาจจะผิดจริงอย่างที่ว่า แต่เธอใช่คนผิดคนเดียวเสียทีไหน ถึงเธอผิดเขาก็ผิดเหมือนกันนั่นแหละ!
“แล้วทำไมแกไม่ถามฉันสักคำ ว่าฉันไปตกอยู่ในสภาพนั้นได้ยังไง... ทำไมไม่ถามสักคำ ว่าเพื่อจะปั่นหัวฉันหมอนั่นทำอะไรลงไปบ้าง ทำไมไม่ถามสักคำ ว่าที่หนีตายอุตลุดซะขนาดนั้นมันเป็นเพราะใคร... แล้วทำไมไม่ถามสักคำ ว่าสุดท้ายทำยังไงถึงหนีรอดมาได้... ถ้าแกถาม ฉันจะได้ถามแกต่อ ว่าใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายติดค้าง!!!” เพียงน้ำพลอยตวาดสุดเสียงยาวเหยียดแทบไม่หยุดหายใจ ดวงตากลมโตดุจไข่มุกดำวาวโรจน์ด้วยไฟโทสะ เหลือเพียงแค่เอื้อมมือมาบีบคอคนฟังให้ตายตกไปพร้อมกันเท่านั้นที่ยังไม่ได้ทำ ทำเอาน้ำผึ้งพระจันทร์กับเหวินหยางหลงที่ฟังภาษาไทยออกแค่งูๆ ปลาๆ ได้แต่นั่งนิ่งปากอ้าตาค้าง เพราะไม่คิดว่าคนเยือกเย็นอย่างคนตรงหน้าจะเดือดเสียจนปรอทแตกเข้าจริงๆ ชั่ววินาทีนั้น น้ำผึ้งพระจันทร์จึงเริ่มคิดไปถึงคำไหว้วานที่ตัวเองฝากฝังเอาไว้กับฟรานก่อนจะออกไปจัดการธุระนอกบ้านขึ้นมา
คงไม่ใช่ว่าคนร่างสูงคนนั้นถือเอาคำไหว้วานของเธอเป็นที่ตั้ง แล้วใช้วิธีพิเรนทร์ๆ เพราะคิดว่าจะทำให้เพื่อนเธออารมณ์ดีขึ้นมาหรอกนะ...
“ไงล่ะ ทำไมไม่ถาม” เพียงน้ำพลอยถามจี้ต่อเสียงเขียว
“ก็...ฉันพอจะได้คำตอบแล้วไง” น้ำผึ้งพระจันทร์แก้ตัวเสียงอ้อมแอ้ม ก่อนจะยื่นช้อนส้อมในมือที่ยึดมาคืนให้เพื่อนผู้หิวโหยแต่โดยดี
คงจะเป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆ ...ว่าคนร่าเริงเวลาร้องไห้จะน่าสงสารที่สุด คนเงียบเวลาโมโหจะน่ากลัวที่สุด...
และแน่นอนว่าคนเยือกเย็น เวลาเดือดขึ้นมาไฟโทสะจะยิ่งเผาคนตายได้น่าอเนจอนาถที่สุด...
น้ำเสียงที่เคยหวานกังวานใสของเพื่อนเธอนั้น ตอนตวาดบันดาลโทสะขึ้นมาแล้วน่ากลัวได้ขนาดนี้จริงๆ เล่นเอาคนที่จัดว่าจิตแข็งอย่างเธอใจกระตุกวูบ น้ำตาแทบคลอเบ้าเลยทีเดียว
“ตะ...แต่ตอนนี้เขาเจ็บมากเลยนะ เจ็บจนไม่ได้สติเลย” น้ำผึ้งพระจันทร์แสร้งเอ่ยโน้มน้าวให้อีกฝ่ายร่วมเห็นใจบุคคลที่สามด้วยกันสุดฤทธิ์ ก่อนจะหันไปหาแนวร่วมอีกคนที่นั่งอยู่มุมห้อง พลางกระพริบตาปริบๆ เป็นสัญญาณให้เขาช่วยเหลือ
“ใช่ครับ ยังไม่ฟื้นเลย” หยางหลงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักใจเล็กน้อย พร้อมกันนั้นก็ตีสีหน้าวิตกกังวลขึ้นอย่างแนบเนียน
“น่าเสียดาย ไม่ยักกะตายไปซะ” เพียงน้ำพลอยงึมงำอยู่คนเดียวจนคล้ายจะเป็นเสียงกระซิบ ทว่าข้างในกลับรู้สึกคล้ายกับตัวเองถูกผลักลงจากที่สูงยังไงยังงั้น ใจที่เดือดพล่านราวกับหม้อน้ำมันเมื่อครู่ดิ่งวูบลงจนพาลให้พูดอะไรไม่ออกไปในชั่วขณะ
“ใจคอแกไม่คิดจะไปดูดำดูดีเขาหน่อยรึไง” เมื่อเห็นว่าใจคนเริ่มสั่นไหว น้ำผึ้งพระจันทร์จึงรีบยื่นหน้าเข้าไปหยั่งเชิงใกล้ๆ
บอกตามตรง เธอรู้สึกยังไงๆ กับพ่อทหารหนุ่มรูปงามนั่นชอบกล หากเพื่อนเธอกับเขาคิดจะรักจะชอบกันเพราะหลงรูปมันก็อีกเรื่อง หรือถ้าจะคบกันเพราะหน้าที่การงานนั่นก็ยังเป็นอีกเรื่อง เท่าที่เธอรู้เขาคนนั้นแทบไม่มีข้อเสียอะไรเลยสักอย่าง ทั้งยศ ศักดิ์ รูป ทรัพย์ เรียกได้ว่าครบเครื่องเสียจนหาได้ยาก ยิ่งพอคิดว่าเขาเป็นคนที่อยู่เคียงข้างเพียงน้ำพลอยในวันที่อ่อนแอที่สุด เสมอต้นเสมอปลายมาจนถึงทุกวันนี้ เขายิ่งคู่ควรแก่การรักษาไว้เป็นคู่ชีวิตเข้าไปใหญ่ แต่ไม่รู้ทำไมเธอถึงได้รู้สึกว่า ภายใต้รูปทองแสนแข็งแกร่งที่ฉาบเคลือบอยู่นั้นข้างในจะกลวงโหวงเสียจนน่าสะพรึง แต่นอกจากความรู้สึกนึกคิดตามสัญชาตญาณแล้ว เธอกลับไม่มีหลักฐานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง ถึงได้ยังเงียบกริบไร้ท่าทีต่อต้านอยู่อย่างนี้ เพราะเหนือสิ่งอื่นใดแล้วนี่ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเพื่อน จะให้เธอทำให้คนสองคนเลิกกันเพียงเพราะความคิดของตัวเองก็คงไม่ใช่เรื่องสักเท่าไหร่
หากแม้ภายนอกจะไม่ต่อต้าน แต่ในใจมันก็ออกจะห้ามกันยากอยู่สักหน่อย เธอจึงมีอคติกับนายเสาร์อาทิตย์อะไรนั่นอยู่สามส่วนมาโดยตลอด พอสบโอกาสจึงอดไม่ได้ที่จะเสนอทางเลือกที่ดีกว่าให้เพื่อนรัก
เธอก็แค่เสนอเท่านั้น...ไม่ได้ยุให้ใครเขาเลิกกันสักหน่อย จะนับว่าทำบาปได้ยังไง...
“เขาก็คงอยากจะเจ็บเจียนตายล่ะมั้ง ตอนฉันคิดจะโทรให้แกไปช่วย เขายังโกหกหน้าตายบอกว่าโทรศัพท์ตัวเองแบตหมด เลยต้องหนีหัวซุกหัวซุนกันจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ตอนนี้ก็คงสมใจเขาแล้ว จะให้ฉันไปดูอะไรเขาอีก” เพียงน้ำพลอยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ซึ่งก็ไม่ใช่เย้ยหยันใครที่ไหน นอกจากตัวเธอเองนั่นแหละที่โง่งมให้เขาหลอก นี่ก็นับว่าเธอไว้หน้าตัวเองเท่าไหร่แล้ว ที่ไม่เอ่ยถึงเรื่องที่เธอทำตัวเป็นแมลงไร้หัว แบกไดโนเสาร์ทั้งตัววิ่งชนต้นไม้ทั่วทั้งสี่ทิศ
“เหลวไหล เขาจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร จริงมั้ยคะ” พอเรื่องมาถึงขั้นนี้น้ำผึ้งพระจันทร์กลับไม่ค่อยเข้าใจนัก จึงได้แต่ถามกลับไปอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แล้วหันกลับไปขอความเห็นจากสามีร่างสูง
“ผมคงบอกได้แค่ว่า ถ้าคนของมังกรมุกไปโผล่ที่นั่น มันคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่” หยางหลงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมปราศจากการเสแสร้ง ทำเอาน้ำผึ้งพระจันทร์ที่คาดหวังว่าจะได้รับการสนับสนุน แต่กลับได้รับรู้เรื่องแปลกใหม่ที่ตัวเองไม่เคยรู้มาก่อน เปลี่ยนสีหน้าจากอ่อนโยนเป็นแข็งขึงขึ้นมาในทันที เดี๋ยวนี้สามีเธอกล้าหาญชาญชัยขึ้นขนาดนี้เชียวเหรอ ถึงขนาดกล้ามีความลับกับเธอ ซ้ำจนตอนนี้ก็ยังทำเป็นน้ำท่วมปาก จะพูดอะไรก็ไม่ยอมพูดออกมาให้มันรู้เรื่อง
“ไม่ค่อยดียังไงคะ” เพียงน้ำพลอยถามต่อ แม้บนใบหน้าจะยังมีแววฉุนเฉียวอยู่เล็กน้อย ทว่าก็ถือว่าเบาบางลงกว่าเมื่อนาทีก่อนมาก
“เอาเป็นว่ามันไม่ดีกับฟราน และโดยเฉพาะกับคุณ...ผมบอกคุณได้เท่านี้จริงๆ” จบคำคนเป็นประมุขมาเฟียก็ส่งยิ้มบางๆ ให้เพื่อนสาวร่างบางของภรรยา แล้วเดินออกจากห้องไปเสียดื้อๆ โดยไม่สนใจเสียงร้องเรียกตามหลังของภรรยาแม้แต่น้อย
เพียงน้ำพลอยหลุบตาลงมองฝ่ามือตัวเองอย่างไม่ตั้งใจ แล้วพลันนึกไปถึงเจ้าของฝ่ามือหนาคู่นั้นที่รับมีดสั้นคมกริบแทนเธอไว้ด้วยมือเดียวขึ้นมา หากบอกว่าตัวเองไม่อยากรู้อยากเห็นเหตุผลที่คนเป็นมาเฟียทิ้งเอาไว้เลยสักนิดก็คงโกหก เธอยอมรับว่าตัวเองอยากรู้อยู่บ้างว่าเขามีเหตุผลอะไรใหญ่หลวงนักหนาถึงได้ยอมตายแต่ไม่ยอมให้เพื่อนมาช่วย คนหน้าไม่อายพรรค์นั้นคงไม่น่ามีเหตุผลเรื่องรักษาหน้าตัวเองอยู่ในหัว แต่ครั้นจะคิดว่าจ่าฝูงมังกรนั่นขวัญกล้าถึงขนาดรวมหัวกับเพื่อนคู่หูหลอกปั่นหัวเธออีกครั้ง ก็ดูไม่น่าเป็นไปได้เข้าไปใหญ่ เพราะครั้งนี้มียัยแม่มดน้ำผึ้งพิษรู้เห็นด้วย ซึ่งดูจากสีหน้าท่าทางเพื่อนแล้ว เธอก็พอจะมั่นใจได้แปดเก้าส่วนว่าเจ้าตัวไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยจริงๆ
“เอาล่ะๆ ไม่ว่ามันจะเป็นเหตุผลพรรค์ไหน เขาก็คงถือเป็นผู้มีพระคุณของแกได้ล่ะมั้ง ใจคอจะไม่ไปดูเขาจริงๆ รึไง” น้ำผึ้งพระจันทร์คร้านจะไขปริศนาชวนปวดหัวเต็มทน จึงตั้งใจว่าจะไปเค้นเหตุผลลึกลับที่สามีเธอเอาแต่อึกอักพูดครึ่งไม่พูดครึ่งนั้นทีหลัง ตอนนี้คงต้องอาศัยความเชื่อใจที่ชักจะสั่นคลอนต่อฟรานมาต่อรองกับเพื่อนหัวรั้นของตัวเองไปก่อน
“ถ้าเขามีเหตุผลที่ฟังขึ้นจริง ฉันก็ไม่ถือสาหรอก แต่ถึงยังไงมันก็คนละเรื่องกับที่เขาปั่นหัวฉัน” เพียงน้ำพลอยเริ่มต้นชำระความอย่างใจกว้าง ก่อนจะเอ่ยสรุปประเด็นอย่างรวบรัด ทว่าได้ใจความถึงที่สุด
“แต่ที่เขาช่วยแกไว้ก็ถือเป็นคนละเรื่อง...หรือมันไม่จริง...” น้ำผึ้งพระจันทร์สวนกลับไปในทันที
“...” เพียงน้ำพลอยยอมรับว่าเธอจนต่อเหตุผลในที่สุด เดิมทีเธอตั้งใจว่าจะไปขอบคุณเขาดีๆ สักครั้ง ส่วนเรื่องที่เขาปั่นหัวเธอจนทำให้เธอพลอยซวยไปด้วยนั้น เธอจะถือว่าหักลบกับเขาได้ช่วยชีวิตเธอไว้ ก็ขอให้จบสิ้นกันที่ตรงนี้ ต่อไปก็ต่างคนต่างอยู่ จะได้ไม่มีเรื่องมีราวจนเกิดฆ่ากันตายขึ้นมาอีก หากพอคิดถึงใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด น้ำเสียงแหบพร่าคล้ายคนหมดแรงยืน ริมฝีปากเขียวคล้ำ กับเปลือกตาหนาที่ใกล้จะปิดลงบดบังนัยน์ตาสีเขม่าควันคู่นั้น เธอก็เริ่มไม่แน่ใจนักว่าที่ตัวเองยอมจนแต้มกระทั่งโอนอ่อนตามยัยแม่มด เป็นเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายพูดจามีเหตุผลพอใช้ หรือเป็นเพราะแรกเริ่มเดิมทีเธอก็คิดแบบนั้นอยู่แล้วกันแน่
หลังจากทานอาหารเช้าในตอนเกือบเที่ยงเสร็จ เพียงน้ำพลอยก็จัดการพาตัวเองไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ก่อนจะลงไปทำอาหารอ่อนๆ กับกับข้าวง่ายอีกสองสามอย่างให้คนป่วยเพื่อแสดงน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่พึงมี หากก็จนใจที่เรื่องของความรู้สึก เธอมักจะไม่ค่อยมีเหตุผลตามสมองมาแต่ไหนแต่ไร แม้บางส่วนในใจจะยอมรับเขาเป็นผู้มีพระคุณคนหนึ่ง ทว่าอีกส่วนกลับคัดค้านหัวชนฝา ตีอกชกหัวอยู่กับข้อขัดแย้งที่ว่าเขาหลอกปั่นหัวเธอสารพัดสารเพ แต่เธอกลับต้องค้อมศีรษะเข้าไปขอบคุณเขา เธอจึงอดคิดไม่ได้ว่า แล้วอย่างนี้มันจะต่างอะไรกับการที่เธอเข้าไปขอบคุณเขาที่เขาหลอกเธอกันล่ะ
ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย...
ร่างบางระหงในชุดเดรสแขนกุดสีพีชอ่อนยาวระเข่าค่อยๆ ประคองถาดอาหารในมือมาหยุดอยู่ที่หน้าพักรับรองแขกของคฤหาสน์มังกรมุก ซึ่งทั้งปีทั้งชาติก็มีแค่เขาคนเดียวที่ยึดครองจนกลายเป็นสมบัติส่วนตัวไปแล้ว มือบางอีกข้างหนึ่งยกขึ้นเคาะประตูพอเป็นมารยาทสองสามครั้ง เมื่อไม่ได้ยินเสียงขานรับจึงถือวิสาสะบิดเปิดประตูเข้าไปเสียเอง เพราะคิดว่าคนป่วยคงจะหลับอยู่ หรือไม่ก็คงไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะร้องตอบเธอได้ และทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้อง ดวงตากลมโตก็สบเข้ากับร่างสูงบนเตียงซึ่งยังนอนหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียงตามที่คาดจริงๆ หากสิ่งที่ผิดคาดอยู่สักหน่อยก็คือ ช่วงลาดไหล่หนาที่โผล่พ้นผ้าห่มนวมสีขาวนั้นเปล่าเปลือย มีเพียงกล้ามเนื้อไหล่แน่นๆ เท่านั้นปกปิดร่างกาย เพียงน้ำพลอยจึงรีบกลืนน้ำลายลงคอหลายอึกติดกัน เพื่อเตรียมใจรับสภาพที่จะต้องนั่งคุยกับเขาในสภาพเปลือยท่อนบน จะได้ไม่หน้าแดงหูแดงให้เขาล้ออีก
เพียงน้ำพลอยเดินเข้าไปในห้องอย่างเบาฝีเท้าที่สุด เพราะกลัวว่าการมาของตัวเองจะรบกวนเวลาพักผ่อนของคนป่วยเข้า ดวงตาคู่สวยค่อยๆ ช้อนขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาดุจหยกสลักที่ซีดเซียวลงไปกว่าครึ่ง เปลือกตาหนาหลับพริ้มลงบดบังนัยน์ตาดำสนิทแสนลึกล้ำคู่นั้น รูปร่างสูงโปร่งกับกล้ามเนื้อแน่นภายใต้ผ้าห่มนวมผืนหนาสีขาวสะอาดตา นอนตะแคงอยู่บนเตียงนิ่งราวกับรูปปั้น ทว่าหากเพ่งพิศองค์ประกอบบนใบหน้านั้นรวมกันแล้ว กลับดูมีชีวิตชีวาราวกับเด็กชายตัวแสบวัยกำลังซนกำลังหลับไหลไม่มีผิด
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ก้าวเข้าไปใกล้เตียงหลังใหญ่อีกก้าว ร่างสูงโปร่งไร้อาภรณ์ปกปิดก็พลันผุดลุกขึ้นยกปืนจ่อหน้าเธอทันที นัยน์ตาดำสนิทแสนดุดันดุจหมาป่าหนุ่มกระหายเลือด กับอายสังหารที่พวยพุ่งออกมาจากกระบอกปืน ทำเอาร่างทั้งร่างสะดุ้งเฮือกจนสุดตัว เท้าบางชะงักค้างไปในทันที ดวงตากลมเบิกโพลงอย่างตื่นตระหนก ใบหน้าสวยหวานซีดเผือดจนคล้ายกระดาษขาวขึ้นทุกที ไม่มีแม้แต่ถ้อยคำจะเอื้อนเอ่ยออกไป
เมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่ไม่ใช่ใครที่ไหน ใบหน้าหล่อเหลาจึงแข็งค้างไปชั่วขณะ รีบดึงปืนในมือกลับมาวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียงพลางรีบเอ่ยขอโทษหญิงสาวตรงหน้า แม้น้ำเสียงที่เอ่ยออกไปจะยังเย็นชืดผิดวิสัยเจ้าตัวไปสักหน่อยก็เถอะ
“โทษที...ไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณตกใจ”
เมื่อเห็นว่าคนร่างบางยังคงตื่นตระหนกเสียจนหายใจไม่ทั่วท้อง ฟรานจึงรีบเบี่ยงประเด็นไปหาประเด็นอื่นทันที แต่บังเอิญที่ประเด็นนั้นชวนให้เขาอมยิ้มออกมาได้โดยไม่ต้องครุ่นคิดเลยแม้แต่น้อย
“คุณ...ทำมาให้ผมเหรอ...”
เพียงน้ำพลอยไม่ตอบคำ แต่ทำใจกล้าก้าวเข้าไปหาคนร่างสูงบนเตียงช้าๆ ดวงตากลมหลุบต่ำลงไม่กล้าเงยขึ้นสบนัยน์ตายิ้มโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยวของเขา มือบางค่อยๆ วางถาดอาหารลงบนโต๊ะเล็ก ข้างเตียงราวกับไม่รู้มาก่อนว่าบนโต๊ะตัวนั้นมีปืนสีดำทะมึนวางอยู่ ใช้ขอบถาดอาหารดันมันไกลจนติดผนัง ในใจเริ่มใคร่ครวญถึงสิ่งที่ตัวเองควรทำเป็นลำดับต่อไป
หากเธอหันหลังเดินออกจากห้องไปตอนนี้มันจะดูเสียมารยาทเกินไปรึเปล่านะ... อันที่จริงแล้วเธอก็ไม่ได้กลัวปืนผาหน้าไม้เหมือนพวกผู้หญิงเปราะบางนักหรอก เพียงแต่เธอออกจะไม่ค่อยชินที่มันมาจ่ออยู่บนหน้าตัวเองเท่านั้น
แต่เธอดันมาที่นี่เพื่อขอบคุณเขาดีๆ สักคำนี่สิ...จะกลับออกไปทั้งที่ยังไม่พูดได้ยังไง...
ชั่วขณะที่ริมฝีปากบางกำลังจะเอ่ยคำสองคำให้จบสิ้นกันไปนั้นเอง ร่างสูงเปลือยท่อนบนก็ขยับท่าทางกึ่งนั่งกึ่งนอนของตัวเองให้เข้าที่ ชายผ้าห่มนวมที่เดิมก็ปกคลุมร่างทั้งร่างได้ไม่มิดอยู่แล้วจึงเลิกขึ้นตามแรงขยับตัว เผยให้เห็นต้นขาแน่นขาวโพลนชวนให้หายใจติดขัดโผล่ลอดผ้านวมออกมา ซ้ำร้ายผ้าห่มผืนใหญ่แต่ไร้ประโยชน์ก็ยังทำท่าจะเลิกสูงขึ้นไปกว่าเดิมอีกด้วย!
ในวินาทีนั้นเธอถึงได้รู้ว่า ที่เห็นว่าเปลือยท่อนบนนั้นเป็นแค่ความจริงบางส่วน ความจริงทั้งหมดก็คือ คนหน้าไม่อายนี่ไม่ใส่เสื้อผ้าเลยสักชิ้นต่างหาก!
“นี่คุณ!! ถ้าคุณไม่สะดวก ไว้ค่อยคุยกันก็ได้” เพียงน้ำพลอยเอ่ยเสียงดังกลบเกลื่อนอาการอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีของตัวเอง พลางยกฝ่ามือบังใบหน้าเพื่อปิดกั้นทัศนียภาพอุจาดตาบนเตียง จากนั้นก็ตั้งท่าจะเดินออกจากห้องไป เพื่อให้เขาได้จัดการธุระของตัวเองให้เสร็จก่อน
คนพรรค์ไหนกันถึงได้นอนแก้ผ้าอยู่ในบ้านคนอื่นหน้าตาเฉยแบบนี้! ซ้ำยังไม่ล็อกประตูอีก!
เมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะเดินหนีไปอย่างปากว่าจริงๆ คนร่างสูงจึงรีบเอื้อมมือไปคว้าข้อมือบางๆ นั้นไว้จนคนไม่ทันตั้งตัวเซถลากลับลงมานั่งประจันหน้ากับเขาบนเตียง
“ตอนเด็กๆ ไม่ตั้งใจเรียนหรือไง ถึงได้ไม่รู้ว่าคนเราใช้ฝ่ามือปิดแผ่นฟ้าไม่ได้หรอก” ฟรานเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่าชวนเลือดลมสูบฉีด ดวงตาที่เคยโค้งลงเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวฉายแววเจ้าเล่ห์กรุ้มกริ่มไปทั่วทั้งตา ทำเอาเพียงน้ำพลอยแทบอยากจะกระทืบเท้าเร่าๆ ระบายโทสะ ที่เขาถือโอกาสทำรุ่มร่ามกับเธอ ทั้งยังพูดจาทะลึ่งตึงตังไม่อายฟ้าดินอีก
“ปิดแผ่นฟ้าคงไม่ได้หรอก แต่บีบคอคนคงพอได้” เพียงน้ำพลอยทำใจกล้าเชิดหน้าขึ้นตอกกลับคนยั่วโทสะด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ เพราะรู้ดีว่าหากเธอยิ่งลนลาน เขาก็จะยิ่งฉวยโอกาสแกล้งเธออย่างนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งไม่รู้ว่าการกลั่นแกล้งที่ว่านั้นจะไปสิ้นสุดที่ขั้นไหน แต่ที่รู้แน่ก็คือ คนเสียหายย่อมเป็นเธออย่างไม่ต้องสงสัย
“อำมหิตเหมือนกันนะคุณเนี่ย” ฟรานแสร้งตีสีหน้าหวาดกลัวหญิงสาวตรงหน้า ทว่ามือหนากลับไม่ยักขลาดกลัวตามเจ้าของ ยังคงพันธนาการข้อมือขาวบางของคนอำมหิตอยู่อย่างนั้น จนเธอต้องสะบัดแรงๆ อีกครั้ง เขาถึงได้รู้ตัวว่าควรปล่อยให้เธอเป็นอิสระได้แล้ว
“ก็คุณบอกว่าผมสะดวกเมื่อไหร่ค่อยคุยกันอีกที ผมเลยจะบอกคุณว่าผมสะดวกตอนนี้...ก็เท่านั้น...” ฟรานรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน เมื่อเห็นว่าเธอยังทำตาขวางอยู่
เธออยากจะรู้นักว่าสภาพแบบไหนกันที่เขาบอกว่าสะดวก หรือเธอสมควรอยู่คุยกับผู้ชายเปลือยกายล่อนจ้อนบนเตียงสองต่อสองโดยสะดวกใจงั้นเหรอ!
ขณะเดียวกันนั้น เพียงน้ำพลอยก็กวาดตามองเขาทั้งร่างพลางลอบพิจารณาถึงความสาหัสของอาการเขาอยู่ในใจ แม้บนแผงอกแกร่งเปล่าเปลือยกับหน้าท้องแข็งเต็มไปด้วยลอนกล้ามเนื้อนั้นจะมีผ้าพันแผลซึมเลือดอยู่หลายจุด จนเรียกได้ว่าหากนำมาต่อกันคงพอจะพันรอบตัวเธอได้ทั้งร่างหนึ่งรอบพอดี แต่เขาก็ยังนับว่ามีเรี่ยวมีแรงดีไม่น้อย ถึงสามารถดึงเธอลงมานั่งบนเตียงด้วยมือข้างเดียวอย่างสบายๆ ฉะนั้นที่ยัยแม่มดพูด คงไม่พ้นคูณร้อยคูณพันอย่างไม่ต้องสงสัย
“งั้นก็ช่างเถอะ ถ้าแม้แต่คนป่วยคุณก็ยังคิดอกุศลได้ลง” ฟรานแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงน่าสงสารเสียเต็มประดา ก่อนจะล้มตัวลงนอนตะแคง หันหน้าหนีหญิงสาวร่างบางที่ยังนั่งอยู่ข้างกาย
เพียงน้ำพลอยนึกขอบคุณในโชคชะตาที่เธอไม่ได้เกิดเป็นมังกรหรืออะไรเทือกนั้น ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้พ่นไฟเผาตายทั้งเป็นได้แน่ ตั้งแต่เธอก้าวเข้ามาในห้องนี้ เขาต่างหากที่เป็นฝ่ายไร้มารยาทกับเธอ แต่ตอนนี้เพื่อให้เธออยู่ต่อให้เขาได้ปั่นหัวเล่น เขาถึงกับใส่ความว่าเธอเป็นผู้หญิงมักมาก ฝักใฝ่ในกามารมณ์ได้กระทั่งคนเจ็บออดๆ แอดๆ
เรื่องเก่ายังไม่ทันชำระความ...ก็สร้างเรื่องใหม่ขึ้นมาให้เธอจดบัญชีแค้นแทบไม่ทัน
ช่างขยันจุดไฟแค้นเสียจริงๆ...
“ฉันมาคิดบัญชีเรื่องเก่า ไม่ได้มาให้คุณปั่นหัวใหม่อีกรอบ” น้ำเสียงเย็นเยียบเสียดกระดูกเอ่ยขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ คนเสแสร้งแกล้งน้อยใจจึงหมดทางหนี ทำได้แค่ค่อยๆ พลิกตัวกลับมาหาโจทก์เก่าเจ้าของดวงหน้าสวยหวานช้าๆ แล้วยันตัวลุกขึ้นนั่งดังเดิม
กล่าวโดยสัตย์จริงแล้ว เขาเองก็กำลังไม่สบายใจเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ไม่ว่าจะมองมุมไหนเขาก็ดูจะเป็นฝ่ายที่ทำเกินไปจริงๆ ยังไม่นับเรื่องก่อนหน้านี้ที่เธอถูกสังคมครหาว่าใช้อำนาจบาตรใหญ่รังแกคนอื่น ซึ่งเขาเองก็นับว่ามีเอี่ยว และออกจะมีเอี่ยวเป็นส่วนใหญ่เสียด้วย ถ้าวันนั้นเขาใจเย็นกว่านี้สักหน่อย ไม่ใช้วิธีพิเรนทร์แกล้งแม่พิธีกรปากเปราะเพื่อให้เธอหลุดพ้นจากการสัมภาษณ์ไร้มารยาท เธอก็อาจไม่โดนคนกล่าวหาอย่างรุนแรงจนลามไปขุดเรื่องส่วนตัวอื่นๆ ด้วยอย่างนี้ ยิ่งคิดไปถึงว่าเรื่องที่ถูกขุดขึ้นมานั้นมีผลกับเธอมากแค่ไหน ใจทั้งดวงของเขาก็ราวถูกบีบรัดด้วยความรู้สึกผิดเสียจนหายใจไม่ออก
ถึงแม้ที่ทำไปทั้งหมด ทั้งปลอมเป็นช่างแต่งหน้าในห้องสัมภาษณ์วันนั้น ทั้งลากเธอออกไปปั้นเครื่องเคลือบข้างนอก จะเป็นเจตนาดีอยากให้เธอสบายใจล้วนๆ แต่ผลที่ตามมากลับสร้างความเสียหายให้เธออย่างมหาศาล หลังจากฟื้นขึ้นมาแล้วฟังหยางหลงสวดไปสามรอบติดกัน เขาจึงคิดว่าอยากจะทำอะไรสักอย่างให้เธอเป็นการไถ่โทษ เพียงแต่ยังคิดไม่ออกว่าเธอต้องการความช่วยเหลืออะไรเท่านั้น ไอ้ครั้นจะจัดการทำลายข่าวลือหาความจริงไม่ได้พวกนั้นให้เธอ คนพวกนั้นก็คงไม่วายจะหาว่าเป็นฝีมือเธออีก ไปๆ มาๆ ก็จะกลายเป็นสร้างความเดือดร้อนให้เธออีกจนได้
พอได้ยินเธอเอ่ยชำระบุญคุณทวงคืนความแค้นขึ้นมา เขาจึงเริ่มคิดไปถึงหลักการลูกผู้ชายกล้าทำกล้ารับที่ตัวเองได้ประกาศกร้าวออกมาก่อนหน้านี้
จะไถ่โทษยังไง ก็คงต้องยอมรับผิดก่อนสินะ...
“ขอโทษ” นัยน์ตาคมสีเขม่าควันหลุบต่ำลงไม่ต่างจากเด็กชายตัวเล็กเพิ่งทำแจกันแตก พร้อมกันนั้นก็เอ่ยคำขอโทษออกมาอย่างไม่ถือตัว ฟังรวมกับสีหน้าท่าทางแล้วดูจริงใจไม่น้อย ซึ่งนั่นออกจะผิดจากที่เพียงน้ำพลอยคาดอยู่สักหน่อย เดิมทีเธอคิดว่าเขาจะไม่ยอมรับผิด เฉไฉไปเรื่อย หรือไม่ก็คงขอโทษอย่างขอไปทีเสียอีก
“ไม่ง่ายไปหน่อยหรือไง” เพียงน้ำพลอยเชิดคางกล่าวอย่างเอาเรื่อง เพราะรู้ดีถึงฤทธิ์มารยาสาไถยของเขาดี เขาหน้าด้านหน้าทนถึงกับหลอกให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนึงแบกตัวเองขึ้นหลัง ไหนจะเรื่องอื่นๆ ที่ไม่รู้อันไหนจริงอันไหนเท็จอีก คนที่ทำได้ถึงขนาดนั้น...ยังจะมีอะไรทำไม่ได้อีกกัน...
“แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ” ร่างสูงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็กชายสำนึกผิดเช่นเดิม แววตาเจ้าเล่ห์คู่นั้นหายวับไปชั่วขณะ เหลือเพียงแต่การยอมจำนนให้อีกฝ่ายเป็นผู้ถือไพ่เหนือกว่าแต่โดยดี
ชั่วชีวิตนี้ใช่ว่าเขาไม่เคยขอโทษใคร...แต่ขอโทษแล้วยอมจำนนอยู่ใต้อำนาจคนอื่นจริงๆ แบบนี้ ถึงขนาดให้ชี้นกบอกนกชี้ไม้บอกไม้ ตั้งแต่เกิดมาเขาก็เพิ่งจะเคยทำเป็นครั้งแรก...
ไม่อาจพูดได้ว่าอยากทำหรือไม่อยากทำ... รู้เพียงแต่ว่าตัวเองคงไม่อาจยอมให้เธอโกรธอยู่อย่างนี้ได้...
“จะให้ตัวผมคุณก็คงไม่เอา” ฟรานพูดพลางแสร้งก้มหน้าก้มตาอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว
“ใช่ ไม่เอา” เพียงน้ำพลอยย้ำชัดทีละคำจนไม่ต่างจากการกระแทกเสียงนัก ในใจนึกชังลมหายใจตัวเองที่ถอนพรืดออกมาใส่เขาไม่กลายเป็นไฟบรรลัยกัลป์ไปเสีย
“แล้วคุณอยากได้อะไรล่ะ” เด็กชายฟรานถามต่อพลางส่งสายตาคล้ายอ้อนวอนกึ่งหนึ่งคล้ายเจียมตัวกึ่งหนึ่งให้คนถือไพ่เหนือกว่าไว้ในมือ
“ก็ไม่อยากได้อะไรมากหรอก แค่ต่อจากนี้ไปไม่ต้องเอาหน้าคุณมาให้ฉันเห็นอีกก็พอ ถ้าคุณทำได้ ที่ฉันเสี่ยงตายเมื่อวานก็เกินคุ้มละ” เสียงเย็นเยียบจับขั้วหัวใจกับสีหน้าว่างเปล่าไร้อารมณ์ความรู้สึก ทำเอาฟรานรู้สึกคล้ายกับใบหน้าถูกน้ำเย็นจัดสาดเข้าใส่อย่างจัง จะว่าเจ็บก็ไม่เชิง ออกจะคล้ายชาเสียมากกว่า พอผ่านไปได้สักสองวินาทีถึงเริ่มรู้สึกปวดหนึบๆ ขึ้นมา
“ที่ช่วยฉันไว้ ขอบคุณมาก แต่หวังว่าจะไม่ได้รับการช่วยเหลือจากคุณอีก” ไม่รอให้อีกฝ่ายมีโอกาสโต้แย้ง เพียงน้ำพลอยก็สาดน้ำเย็นอีกระลอกใส่ใบหน้าชาๆ ของคนร่างสูงด้วยสีหน้าท่าทางเช่นเดิม จบคำก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปทันที ทิ้งให้คนป่วยบนเตียงได้แต่มองตามแผ่นหลังบางห่างออกไปโดยปราศจากคำเหนี่ยวรั้ง
สิ้นเสียงปิดประตูห้องที่ดังเกินพอดี เสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้นเบาๆ กับตัวเองจนคล้ายเสียงพึมพำอยู่ในลำคอ
“ทำไมต้องพูดแรงขนาดนี้ด้วย...ใครจะไปรับได้...”
1 สัปดาห์ต่อมา...
อากาศช่วงบ่ายของฮ่องกงไม่ร้อนหรือเย็นจนเกินไปนัก ร่างบางระหงในเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งสีขาวบริสุทธิ์ กับกางเกงยีนส์สีเข้มจึงเดินทอดน่องเรื่อยเฉื่อยมาจนถึงสระว่ายน้ำด้านหลังคฤหาสน์ ตลอดทางที่เดินมา นอกจากบอดี้การ์ดในชุดสูทสีดำสนิทที่ไม่รู้จักมักคุ้นกัน กับ ‘คุณนโปเลียน’ แมวดำร่างอ้วนฉุสายพันธุ์ทิฟฟานี่ของยัยแม่มด เธอก็ไม่เจอใครเดินผ่านมาอีกเลย จึงนับว่าเธอได้อยู่บ้านคนเดียวอย่างสมบูรณ์แบบ เพราะครอบครัวมาเฟียพาเสี่ยวเวยหลงไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้า ส่วนใครอีกคนที่ควรจะเหลือติดบ้านนั้น ตั้งแต่เอาอาหารไปเยี่ยมไข้เขาที่ห้องคราวนั้น เธอก็ไม่ได้เห็นหน้ากวนโทสะของเขาอีกเลยแม้แต่เงา เธอจึงอนุมานว่าเขาคงจะกลับไปอยู่บ้านตัวเองแล้ว หรือไม่ก็คงไปเถลไถลที่อื่นอีกตามเคย ซึ่งก็นับว่าเขารักษาคำมั่นได้อย่างดีเยี่ยม
แม้มันจะให้ความรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าเงียบสงบดีไม่น้อย...
บางทีเธออาจจะแค่ไม่ชินเท่านั้น...
ร่างบางเดินฉิวไปยังเก้าอี้นอนริมสระว่ายน้ำ โดยมีคุณนโปเลียนที่เดินมาเป็นเพื่อนพักใหญ่ตามมาด้วย มือบางเอื้อมไปวางโทรศัพท์มือถือกับหนังสือเล่มหนึ่งไว้บนโต๊ะข้างเก้าอี้ แล้วตั้งท่าขยับตัวเอนลงนอนอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะเห็นว่าเพื่อนร่วมทางของเธอรีบเลียนแบบท่าทางของเธอ เตรียมตัวจะนอนบนเก้าอี้เช่นกัน รีบกระโดดพาร่างนุ่มนิ่มหนักเกือบเจ็ดกิโลของตัวเองขึ้นไปบนเก้าอี้นอนอีกตัวใกล้ๆ กันจนเกิดเสียงดังตุบ จากนั้นก็ยอบตัวลงนอนขดเท้าทั้งสี่ไว้ใต้ร่าง เหลือเพียงแค่ไม่มีโทรศัพท์ให้วางและไม่มีหนังสือให้อ่านอย่างเธอเท่านั้น
ริมฝีปากบางอมยิ้มบางๆ ให้กับท่าทางเฉลียวฉลาดไม่ต่างกับเจ้าของของเจ้าขนฟูข้างกาย ก่อนจะเอื้อมมือไปไปลูบหัวเกาคางให้อย่างคุ้นเคย อันที่จริงเธอกับคุณนโปเลียนก็ไม่ได้จัดว่าเป็นคนอื่นคนไกลกัน เธอเห็นมันมาตั้งแต่ตัวเท่าฝ่ามือ ทั้งยังเคยให้ของกินมันไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ จะดีจะชั่วมันก็ควรจะต้องสำนึกบุญคุณเธอบ้าง
ทว่าจนใจที่คนเลี้ยงเป็นอย่างไรสัตว์เลี้ยงก็ย่อมเป็นอย่างนั้น แมวดำตัวนี้จึงนิสัยเหมือนน้ำผึ้งพระจันทร์ไม่มีผิด ทั้งเย่อหยิ่ง ทั้งดื้อรั้น ยิ่งตอนนี้มีเหวินหยางหลงเป็นเจ้านายด้วยอีกคน ถึงเธอจะเห็นอยู่ชัดๆ ว่ามันไม่ได้เห็นประมุขมาเฟียคนนั้นเป็นเจ้านายเลยก็เถอะ แต่ออกจากคล้ายเพื่อนเล่นอีกคนเสียมากกว่า แต่นานวันเข้ามันกลับยิ่งซึมซับนิสัยเหวินหยางหลงเข้าไปทุกที กล่าวคือ ทุกวันนี้นอกจากกินกับนอนแล้วก็กวนประสาทคนอื่นไปเรื่อยๆ มันก็ไม่ทำประโยชน์ใดๆ เลยทั้งสิ้น แม้แต่เดินเข้าไปออดอ้อนฉอเลาะกับเจ้าของตามวิสัยแมวก็ยังไม่ทำเลยด้วยซ้ำ เธอจึงแปลกใจอยู่บ้าง ที่เห็นนายใหญ่อย่างคุณนโปเลียนลดตัวลงมาเดินเล่นเป็นเพื่อนในวันนี้
“วันนี้ไม่ไปตรวจงานเหรอคะนายใหญ่”
เมื่อเห็นท่าทางหยิ่งทะนงเกินสัตว์เลี้ยง เพียงน้ำพลอยจึงอดนึกสนุกพูดเหน็บมันขึ้นมาอย่างอารมณ์ดีไม่ได้ ซึ่งนายใหญ่ขนนุ่มก็วางมาดตอบเสียใหญ่โต เชิดคางหนีไม่ยอมร้องตอบเธอสักคำ
เธอเห็นเองกับตาว่ามันชอบเดินไปดูโน่นดูนี่จนทั่วคฤหาสน์ บางทีก็หาเจอได้ตามโรงรถที่มีรถราคาแพงหูฉี่จอดเรียงรายกันอยู่ บางทีก็เห็นขึ้นไปหลับอยู่บนบัลลังก์มังกรของเหวินหยางหลงโน่นล่ะ ไม่ว่าจะเจ้าของจะดุเสียงดังหรือจะลากมันลงมายังไง วันต่อมาก็ยังเห็นมันขึ้นไปนอนเล่นอยู่อย่างนั้น บัลลังก์มังกรของประมุขมาเฟียจึงแปรสถานะภาพไปไม่ต่างจากลังกระดาษไว้ให้แมวนอนเล่นไปเสียแล้ว ตามความเห็นเธอแล้ว มันอาจจะคิดว่าตัวเองนั่นแหละเป็นเจ้าของบ้าน ส่วนคนอื่นก็แค่ผู้อาศัย
“ได้ดิบได้ดีก็จะลืมกันแล้วรึไง” จบคำเพียงน้ำพลอยก็กดกำปั้นน้อยๆ ลงบนหัวมันสองสามทีอย่างหมั่นเขี้ยว แล้วหันไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตรวจดูกล่องอีเมลขาเข้าอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน เพื่อดูว่ามีใครติดต่อเรื่องงานกับเธอในช่วงที่เธอลาหยุดอยู่นี้บ้างรึเปล่า
หลายวันที่ผ่านมานี้เธอถูกยัยแม่มดสั่งกักบริเวณให้ชีวิตอยู่ในโลกความจริงอย่างเดียว ห้ามย่างกรายเข้าสู่โลกโซเชี่ยลแม้แต่ก้าวเดียวเด็ดขาด ยกเว้นติดต่อตามข่าวเรื่องงานทางอีเมลเท่านั้น แม้มันจะทำได้ยากในทางปฏิบัติอยู่บ้างแต่เธอก็ตั้งอกตั้งใจทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย เพราะคิดว่าในนั้นคงไม่มีอะไรน่าดูนัก ไม่แน่ว่าป่านนี้เรื่องราวอาจร้ายแรงขึ้นกว่าเดิมจนเธอเดินตลาดในเมืองไทยไม่ได้แล้วก็ได้ ซึ่งเธอเองก็จนใจจะไปแก้ไขความคิดคนทุกคนบนโลกนี้
เธอยังต้องหายใจต่อไป...ซึ่งอากาศที่ใช้ก็ใช่ว่าจะเป็นลมปากคน ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า ในเมื่อตอนนี้เธอยังทำใจรับฟังมันไม่ได้ ก็ไม่ต้องฟังมันไปเสียเลยจะดีกว่า เอาไว้สักวันที่เธอฟังเรื่องพวกนั้นด้วยความรู้สึกที่เรียบง่ายกว่านี้ได้แล้ว ค่อยเปิดหูให้เสียงพวกนั้นไหลบ่าเข้ามาอีกที เธอยังแอบคิดขบขันปลอบใจตัวเองว่า บางทีพอถึงวันนั้นอาจไม่มีเสียงอะไรดังขึ้นเลยสักเสียงก็ได้
และทันทีที่นิ้วเรียวสวยสัมผัสไปยังเมนูกล่องข้อความทางด้านซ้ายมือของหน้าจอ ริมฝีปากบางก็ฉีกยิ้มกว้างเสียจนแก้มแทบปริ ซึ่งนับเป็นรอยยิ้มที่กว้างที่สุดในรอบหลายวันที่ผ่านมาเลยทีเดียว
“พ่อกับแม่เดาว่าหนูคงเช็คอีเมลก่อนอ่านไลน์แน่ๆ เลยส่งมาทางนี้แทน วันมะรืนเจอกันที่บ้านนะจ๊ะ อย่าเป่าเทียนก่อนแม่ล่ะ รักลูกจ้ะ”
ตั้งแต่เธอจำความได้ พ่อกับแม่ก็ไม่เคยลืมวันเกิดเธอเลยสักครั้ง อาจเป็นเพราะวันนั้นพวกท่านมีความทรงจำเลวร้ายจากการสูญเสียลูกสาวไปอีกคนก็เป็นได้ ทว่าทั้งที่เป็นอย่างนั้น พวกท่านกลับไม่เคยโยนความรู้สึกผิดบาปมาให้เธอเลยสักครั้ง เธอจำได้ว่าพวกท่านพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เพื่อรักษาความรู้สึกของเธอ หากก็จนใจที่เธอได้รู้เรื่องนี้จากพี่สาวของตัวเองเข้าจนได้
เธอในตอนนั้นยังเป็นแค่เด็กเก้าขวบ ทันทีที่ถูกพี่สาวตวาดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้น้องต้องตาย ก็ร้องไห้เสียงดัง วิ่งตึงตังจะไปถามพ่อกับแม่ให้รู้เรื่อง พวกท่านที่เพิ่งกลับมาจากบริษัทเห็นเธอร้องไห้จนพูดจาแทบฟังไม่ได้ศัพท์ก็รีบกอดเธอเอาไว้แน่นแล้วพูดปลอบเธอว่า เป็นเพราะท่านไม่ดีเอง ไม่มีอะไรเกี่ยวกับเธอทั้งนั้น อย่าได้ไปฟังคนอื่นพูดเหลวไหล คนอื่นจะพูดยังไง จะเข้าใจยังไงก็ได้ เพราะพวกเขาไม่รู้ แต่เธอจะต้องไม่เข้าใจผิด เพราะเธอเป็นคนในครอบครัว น้องไม่อยู่แล้วคือความจริงที่ต้องยอมรับ และสิ่งที่ต้องทำให้ได้ก็คือใช้ชีวิตต่อไปให้ดีที่สุดในฐานะของคนที่ยังอยู่
ในตอนนั้นเธอไม่ได้เข้าใจอะไรมากนัก รู้เพียงแค่พวกท่านบอกว่ามันไม่เกี่ยวกับเธอ ไม่ต้องไปฟังคนอื่นให้มากความ แต่พอโตมาถึงได้รู้ว่าช่วงเวลาเก้าปีก่อนที่ท่านจะได้พูดกับเธอในวันนั้น ท่านคงต้องทนทุกข์ทรมานอย่างสุดแสน และต้องผ่านการทำใจมาเป็นร้อยเป็นพันครั้ง ถึงได้พูดกับเธอด้วยสีหน้าท่าทางที่เยือกเย็นปานนั้น
เพื่อตอบแทนความพยายามของพวกท่าน เธอจึงตั้งใจเป็นลูกสาวที่สมบูรณ์พร้อมของพ่อกับแม่ ไม่เคยทำให้ท่านต้องหนักใจไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม ซึ่งเธอก็สัมผัสได้ว่าพวกท่านภูมิใจในตัวเธอไม่น้อย หากบางทีก็สัมผัสได้ว่าพวกท่านอยากจะชดเชยให้ลูกสาวที่จากไปตั้งแต่ยังไม่ลืมตาดูโลกอีกคน ไม่ว่าสิ่งใดที่ดีที่สุดย่อมต้องสรรหามาให้เธอกับพี่สาวได้ใช้กัน ใครต่อใครจึงพากันเรียกขานเธอเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยของอาณาจักรโรจน์รวีเตชานนท์ เธอเองก็ไม่ได้คิดว่ามันผิดไปจากความจริงนัก เพราะชั่วชีวิตที่เกิดมาเธอก็ไม่เคยต้องลำบากลำบนอะไรจริงๆ ซ้ำยังถูกประคบประหงมอยู่พอสมควรอีกด้วย ถ้าไม่ติดว่าตัวเธอเป็นคนดื้อเงียบ สรรหาอะไรนอกกรอบมาเล่นเพิ่มสีสันให้กับชีวิตบ้าง เธอก็คงได้กลายเป็นคุณหนูเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อตามสูตรเข้าจริงๆ
วันมะรืนพวกท่านจะกลับไปฉลองวันเกิดกับเธอที่บ้านเหมือนอย่างทุกปี ครอบครัวเธอจะได้อยู่กันพร้อมหน้า จะยังมีอะไรน่ายินดีกว่านี้อีกกัน ถ้าไม่เรื่องที่เธอติดต่อธิษฐ์ไม่ได้มาตั้งแต่วันที่ข่าวเสียหายของเธอหลุดออกมา เธอก็คงนับเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกได้แล้ว
ตั้งแต่ที่เธอหนีตายรอดกลับมาได้วันนั้น เธอก็โทรหาเขาทุกวันเพราะอยากจะรู้ว่าเขาเป็นยังไงบ้าง เดือดร้อนเพราะข่าวลือเสียๆ หายๆ ของเธอบ้างรึเปล่า แต่นอกจากเสียงตอบรับอัตโนมัติแล้ว เธอก็ไม่ได้ยินเสียงพูดคุยอื่นตอบกลับมาเลยสักครั้ง เธอโทรไปถามโรงแรมที่เขาพัก พนักงานที่นั่นก็บอกว่าเขาเช็คเอ้าท์ออกไปแล้ว
หากเป็นคนอื่นเธอคงสรุปได้แทบจะในทันทีว่า เขาก็แค่ผู้ชายคนนึงที่อยากจะตีตัวออกห่างจากผู้หญิงคนนึง เพราะทนกลิ่นฉาวโฉ่ของเธอไม่ไหว แต่กับอธิษฐ์เธอไม่เคยคิด...และยิ่งไม่วันจะคิดว่าเขาเป็นผู้ชายแบบนั้น เขาจับมือเธอผ่านเรื่องราวร้ายๆ มามากมาย ยอมอดทนรอจนกระทั่งเธอก้าวออกมาจากความโศกเศร้าในครั้งนั้น แล้วคบหากับเขาโดยปราศจากความรู้สึกผิด เขาไม่เคยแม้แต่จะเร่งรัด บีบคั้น หรือหายไปจากชีวิตเธอ ครั้งนี้เองก็เหมือนกัน เขาจะต้องมีเหตุด่วนอะไรสักอย่างแน่ถึงได้รับโทรศัพท์เธอไม่ได้ หรือบางทีเขาอาจจะติดราชการสำคัญก็ได้ วันมะรืนก็จะเป็นวันเกิดเธอแล้ว จะดีจะร้ายยังไงเขาจะต้องติดต่อกลับมาภายในสองสามวันนี้แน่
เพราะเขาคือพี่อธิษฐ์ของเธอ...เขาไม่มีวันทิ้งเธอไปเพราะคำครหาไร้สาระพวกนั้นแน่...
เมื่อคิดถึงขั้นนี้ เพียงน้ำพลอยจึงนึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้ยังไม่ทันได้ลองโทรเขาอีกครั้ง มือบางจึงเอื้อมไปกดเลือกรายชื่อผู้ติดต่อที่บันทึกเอาไว้ว่า ‘พี่อิฐ’ แล้วโทรออกทันที
“หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถ...”
เพียงไม่น้ำพลอยไม่รอให้เสียงตอบรับอัตโนมัติได้ทำหน้าที่ของมันจนจบก็กดวางสายทันที ในใจเริ่มรู้สึกเย็นเยียบยังไงชอบกล อดสังหรณ์ใจไม่ได้ว่าบางทีอาจจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นกับเขาก็ได้ กับคำครหาบนหน้าหนังสือพิมพ์พวกนั้น เธอเองก็ใช่ว่าจะมั่นใจไปเสียทั้งหมดว่ามันไม่จริง อย่างเรื่องที่ดวงเธอข่มคนอื่นจนเป็นอันต้องเดือดร้อนกันทุกรายนั้น แม้มันจะเหลือเชื่ออยู่สักหน่อย แต่หลักฐานก็มีให้เห็นมาไม่น้อยแล้ว จะให้เธอห้ามใจไม่ให้กลัวยังไงไหว แต่ที่ทำได้ตอนนี้ก็คงมีแค่หลับตาปลอบประโลมตัวเองอยู่ในใจเงียบๆ
กวินทร์ก็ทิ้งเธอไปแล้ว...สวรรค์คงไม่ใจร้ายถึงขั้นเอาพี่อธิษฐ์ของเธอไปด้วยอีกคนหรอก...
เย็นวันเดียวกันนั้น เพียงน้ำพลอยตัดสินใจปรึกษาน้ำผึ้งพระจันทร์ผู้มีอำนาจกว้างขวางพอสมควร ว่าจะพอมีหนทางไหนบ้างที่สามารถตามสืบได้ว่าเขาทำอะไรอยู่ที่ไหน ตอนนี้เธออยู่ฮ่องกงตัวคนเดียว แม้อำนาจเรื่องเงินจะพอทำให้อะไรต่อมิอะไรสะดวกสบายเสียจนไม่ต่างจากอยู่ที่เมืองไทย แต่กับเรื่องหาคนๆ นึงซึ่งไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหนของประเทศนี้ หรือประเทศอื่น นอกจากน้ำผึ้งพระจันทร์แล้วเธอก็มองไม่เห็นใครที่เหมาะสมอีก ซึ่งเพื่อนรักของเธอก็ให้ความช่วยเหลืออย่างว่าง่าย ไม่มีท่าทีลำบากใจแต่อย่างใด ทำให้เธอเบาใจได้ส่วนหนึ่งว่าตัวเองคงไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้เพื่อนเท่าไรนัก
หนึ่งชั่วโมงต่อมา...เธอกำลังเก็บข้าวของสำหรับกลับเมืองไทยในวันพรุ่งนี้อยู่ในห้อง น้ำผึ้งพระจันทร์ก็เดินเข้ามาบอกเธอว่า เขาเจ้านายถูกเรียกตัวด่วนให้ไปทำธุระทางราชการ ส่วนรายละเอียดต่างๆ ยังไม่ทราบแน่ชัด หากเธออยากรู้จริงๆ น้ำผึ้งพระจันทร์รับปากว่าจะให้คนช่วยสืบต่อไปให้ คิดว่าไม่เกินสองสามชั่วโมงคงรู้เรื่อง ทำเอาเธอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก ยิ้มกว้างออกมาอย่างปลอดโปร่งสบายใจ แล้วปฏิเสธการช่วยเหลือของเพื่อนไป เพราะไม่อยากรบกวนกำลังคนของเพื่อนโดยใช่เหตุอีก เธอขอบคุณน้ำผึ้งพระจันทร์อย่างจริงใจสั้นๆ แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายไปใช้เวลาส่วนตัวกับครอบครัว ส่วนตัวเองก็เก็บข้าวของลงกระเป๋าต่อ แล้วตั้งใจว่าจะเข้านอนไวกว่าปกติสักหน่อย ตอนเช้าจะได้ตื่นไปสนามบินอย่างสดใส
ก่อนนอนคิดคำนวนไปถึงว่าอธิษฐ์จะกลับจากราชการทันงานวันเกิดของเธอหรือเปล่า... พ่อกับแม่เธอรู้ว่าอธิษฐ์ตามจีบเธอมาแรมปี แต่ไม่รู้ว่าเธอตกลงคบหาดูใจกับเขาอย่างเป็นทางการมาได้เดือนนึงแล้ว ฉะนั้นเธอควรจะเอ่ยปากกับพ่อแม่ว่ายังไงดีนะ...คิดทบทวนกลับไปกลับมาหลายตลบ เปลือกตาบางก็ทนความอ่อนล้าของร่างกายไม่ไหว ผล็อยหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน ปล่อยให้ความฝันในนิทราช่วยขบคิดทางออกแทน
วันต่อมา...น้ำผึ้งพระจันทร์กับเหวินหยางหลงมาส่งเธอด้วยตัวเองที่สนามบิน เธอเอ่ยขอบคุณเหวินหยางหลงสำหรับความช่วยเหลือและการดูแลของเขาตลอดช่วงเวลาที่เธออยู่ที่นี่ จากนั้นก็กอดร่ำลากับเพื่อนรักพอเป็นพิธี แต่ไม่ใคร่อาลัยอาวรณ์กันมากนัก เพียงมองหน้ายิ้มให้กันอย่างรู้ใจแล้วปล่อยมือจากกันแต่โดยดี เพราะรู้ดีมาแต่ไหนแต่ไรว่าระหว่างเธอกับเพื่อนคนนี้ ไม่เคยมีคำว่าจากกันชั่วนิรันดร์อยู่แล้ว จากกันวันนี้ก็ไม่แน่ว่าสักสองสามอาทิตย์ถัดมา ยัยแม่มดก็ต้องกลับไปดูร้านขนมที่เป็นหุ้นส่วนกันอยู่ ทั้งยังต้องพาเสี่ยวเวยหลงไปเยี่ยมคุณตาอีก เรียกได้ว่าต่อให้กอดกันให้มากกว่านี้ อีกไม่กี่อาทิตย์ก็คงต้องกอดกันอีกอยู่ดี
เพียงเวลาสองชั่วโมงนิดๆ เครื่องบินส่วนตัวของตระกูลโรจน์รวีเตชานนท์ก็พาคุณหนูคนเล็กร่อนลงยังพื้นสนามบินของเมืองไทย ร่างบางระหงใส่เดรสสั้นแขนกุดสีดำทับด้วยเสื้อโค้ทยาวสีกากี ใบหน้าขาวละเอียดดุจเครื่องแก้วถูกบดบังด้วยแว่นตากันแดดสำดำราคาแพงระยับ ผมยาวสลวยดุจน้ำหมึกช่วงปลายระกลางหลังหยักเป็นลอนใหญ่พริ้วเป็นคลื่นบางๆ ยามที่เจ้าตัวเคลื่อนไหว พร้อมกันนั้นรองเท้าส้นสูงราวสามนิ้วที่ยกร่างบางระหงให้ดูสูงสง่ายิ่งกว่าเดิมก็ส่งเสียงดังกริกๆ ยามที่เดินเหินบนพื้นแกรนิต
ใจหนึ่งเธออยากจะเดินออกจากประตูสนามบินให้เร็วที่สุดจะได้กลับบ้านตัวเองสักที ทว่าอีกใจหนึ่งกลับไม่อยากก้าวไปข้างหน้าแม้แต่ก้าวเดียว เพราะรู้ดีว่าทันทีที่พ้นประตูไปแล้วแสงแฟลชจากกล้องถ่ายภาพ ไมค์จากนักข่าว เสียงดังอึงอลชวนปวดหัวจะประเดประดังเข้ามาหาเธอขนาดไหน ต่อให้ระยะทางจากประตูสนามบินถึงประตูรถจะมีแค่ก้าวเดียว เธอก็ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตัวเองจะทนอาการแสบตาจนวิงเวียนศีรษะได้รึเปล่า
‘คุณลุงประวิทย์’ ผู้อาวุโสที่สุดของบ้าน ทั้งยังเป็นมือขวาคอยจัดการเรื่องที่บ้านให้กับคุณพ่อของเธอ ใช้อภิสิทธิ์พิเศษมารอรับเธอถึงด้านในอาคารผู้โดยสาร เธอยิ้มละไมพลางยกมือขึ้นไหว้ผู้อาวุโสตรงหน้าอย่างนอบน้อม หากชายสูงวัยกลับโค้งทำความเคารพเธอจนเกือบเก้าสิบองศา ซึ่งออกจะดูมากเกินกว่าปกติอยู่สักหน่อย เพียงน้ำพลอยจึงรีบเข้าไปพยุงเขาให้เงยหน้าขึ้นคุยกันดีๆ ทว่าทันทีที่เห็นหน้าเธอชัดๆ ดวงตาไร้ความมันวาวอย่างคนสูงวัยกลับรื้นไปด้วยน้ำตาคลอหน่วย เสียงสะอื้นในอกที่ใกล้จะเก็บกลั้นไม่อยู่ค่อยๆ ดังขึ้นทีละนิดจนคนกลั้นตัวโยนไปตามแรงสะอื้นฮั่ก
“อะไรกันคะ น้ำพลอยไปฮ่องกงแค่ไม่กี่วันเอง” เพียงน้ำพลอยแสร้งเอ่ยสัพยอกผู้อาวุโสตรงหน้า ราวกับคิดว่าท่านคิดถึงเธอจนน้ำหูน้ำตาไหล ทว่าน้ำเสียงที่เอ่ยออกมากลับสั่นเครือคล้ายกำลังเก็บกลั้นอารมณ์บางอย่างที่พุ่งปะทุขึ้นมากะทันหัน
นัยน์ตากลมโตดุจไข่มุกดำสั่นไหวขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกคล้ายกับตัวเองถูกคว้านท้องออกไปจนอวัยวะภายในกลวงโหวง หัวใจที่เคยสูบฉีดเลือดได้อย่างดีพลันบีบรัดแน่นจนเธอเริ่มหายใจไม่ออก ทั่วทุกสรรพางค์กายเย็นเยียบขึ้นมาจนเสียดกระดูก รู้สึกได้ด้วยลางสังหรณ์บางประการว่า คำพูดในวินาทีต่อไปของชายสูงวัยตรงหน้าจะเป็นถ้อยคำที่กำลังจะทำให้เธอล้มทั้งยืน
“คุณท่านกับคุณผู้หญิง...เสียแล้วครับคุณหนู...”
#นัดเอาไว้ผิดนัด เลื่อนนัดอีกทีก็ยังผิดนัดอีกTT #กราบเบญจางคประดิษฐ์ค่ะ เนื่องด้วยตั้งใจจะให้เรื่องมาถึงขอบเขตที่วางไว้เลยตัดใจยอมเลท เขียนให้ได้เท่าที่วางแพลนไว้ ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
#อีเฮียฟรานจะไปแล้วไปลับรึเปล่า จะเกิดอะไรขึ้นกับน้ำพลอยต่อไป อย่าลืมมาติดตามกันน้าาา
(ใบ้ให้ว่าตอนหน้าจะเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ฝากติดตามลุ้นกันด้วยน้า)
#เรื่องนี้ยังเม้นท์น้อยอยู่เลยย เห็นทีไรใจห่อเหี่ยวทุกทีเลยย
อย่าลืมเม้นท์+จิ้มโหวตเป็นกำลังใจให้เค้าด้วยน้าาา
“จะไม่ตื่นมากินก็ตามใจ” น้ำผึ้งพระจันทร์เอ่ยเสียงแข็ง ขณะที่สายตาเอาเรื่องก็ยังจับจ้องอยู่บนเรือนร่างบางระหงที่ยังนอนขดอยู่บนเตียงเป็นแมวเซาไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างไม่วางตา
เพียงน้ำพลอยแสร้งหลับต่อได้อีกไม่นาน ก็ต้องยอมแพ้ให้กับเสียงท้องร้องโครกครากของตัวเองในที่สุด จึงค่อยๆ ยันร่างตัวเองลุกขึ้นจากเตียงพลางทำท่ากระมิดกระเมี้ยนแก้เก้อ เพราะพอจะเริ่มระลึกได้รางๆ แล้วว่าเมื่อวานตัวเองได้ทำเรื่องชวนอกสั่นขวัญแขวนแค่ไหนมา
“ฉันกลับมาได้ยังไง” เพียงน้ำพลอยเอ่ยถามออกไปด้วยเสียงแหบแห้งเล็กน้อย ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำจากคนร่างเล็กหน้าดุข้างเตียงมาดื่มแก้กระหาย
“จะได้ยังไงล่ะ ก็คุณฟรานนั่นแหละหิ้วกลับมา” น้ำผึ้งพระจันทร์ตอบด้วยเสียงฉุนเฉียวนิดๆ
‘แสดงว่ายังไม่ตาย’
เพียงน้ำพลอยลอบคิดอยู่ในใจก่อนจะยกน้ำขึ้นดื่มอีกอึก ดวงตากลมโตวาววับหลุบต่ำลง ท่าทางคล้ายเด็กหญิงตัวน้อยที่ทนทุกข์ด้วยพิษรู้สึกผิด ทว่าหากพินิจให้ดีโดยรวมทั้งใบหน้าสวยหวานนั้นแล้วก็จะเห็นว่า ท่าทางแบบนั้นออกจะคล้ายคนมีไฟแค้นสุมทรวงจนไม่อยากจะเอ่ยออกมาเสียมากกว่า
“ฟื้นแล้วเหรอครับคุณน้ำพลอย อาหารเช้าครับ” ประมุขมาเฟียหนุ่มซึ่งไม่รู้ว่าเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ประคองถาดอาหารเช้าด้วยสองมือมาวางลงบนโต๊ะเหล็กสูงมีล้อเลื่อนข้างเตียงพลางส่งยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งไขว่ห้างบนโซฟากำมะหยี่สีเขียวแก่ตัวหนึ่งที่มุมห้อง
“ขอบคุณค่ะ” เพียงน้ำพลอยเอ่ยขอบคุณเจ้าบ้านผู้ใจดีสั้นๆ แล้วก้มหน้าลงมองอาหารไทยหน้าตาน่าทานสองสามอย่างบนถาดซึ่งคาดว่าจะเป็นฝีมือเพื่อนรักของเธอนั่นเอง เธอจึงรีบลุกจากเตียง วิ่งผลุบหายเข้าไปล้างหน้าแปรงฟันในห้องน้ำ แล้วกลับออกมาด้วยใบหน้าสดใสกว่าเดิม จากนั้นก็ตั้งท่าลงมือทานอาหารเช้าบนเตียงอย่างลิงโลด
“นี่ไม่คิดจะถามถึงเขาสักคำเลยเหรอ” น้ำผึ้งพระจันทร์เอ่ยถามเสียงเขียว เมื่อเห็นว่าเพื่อนรักของตัวเองเอาแต่ทำท่าชื่นมื่นกับของกินตรงหน้าราวกับคนหลงทางแล้วเจอเพื่อนเก่า แต่กลับไม่มีแก่ใจจะถามถึงผู้มีพระคุณที่อุ้มตัวเองกลับมาส่งถึงเตียงเลยสักคำ
ใจจืดใจดำเกินไปแล้ว…
“เขาไหน?” เพียงน้ำพลอยถามกลับพลางตักกับราดข้าวเข้าปาก พร้อมกันนั้นยังพยักหน้าหงึกๆ ให้กับรสชาติอาหารไปเรื่อยเปื่อย ทำเอาน้ำผึ้งพระจันทร์ชักฉุนแทนคนเจ็บขึ้นมาตงิดๆ
เพื่อนเธอคนนี้กลายเป็นใจจืดใจดำขนาดนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน จริงอยู่ว่าภายใต้ท่าทางเรียบร้อยราวกับผ้าพับไว้นั้น เจ้าตัวออกจะหัวรั้นอยู่สักหน่อย ใจแข็งอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่คนไม่มีน้ำใจแน่นอน แม้ภายนอกจะดูเหมือนคนหัวอ่อน ใครว่าอย่างไรก็เป็นต้องเห็นดีเห็นงามตามนั้นคล้ายคนไม่มีความคิดอ่าน ทว่าเธอกลับรู้ดีว่าเพื่อนเธอคนนี้นับเป็นคนเยือกเย็นและเฉียบขาดไม่น้อยคนหนึ่ง ที่เห็นประนีประนอมอ่อนข้อให้ ก็เป็นเพราะนั่นยังไม่ถึงขอบเขตที่เจ้าตัวตั้งเอาไว้ จึงคร้านจะไปยี่หระให้มากความก็เท่านั้น แต่หากเรื่องไหนเลยเถิดเกินกว่าจะปล่อยผ่าน ก็อย่าหวังว่าจะได้ยินคำว่า ‘อะไรก็ได้’ จากเจ้าตัวเด็ดขาด
เธอเป็นเพียงคนที่รู้กาลเทศะ รู้จักแยกแยะหนักเบา...แต่หาใช่กุลสตรีแสนเรียบร้อยในห้องหอที่ไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะจับไก่...
ที่สำคัญ...เธอเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเอง...หาใช่สาวน้อยไร้เดียงสา…
ที่เห็นๆ กันทำนองที่ว่า ‘คุณหนูเพียงน้ำพลอย’ เป็นกุลสตรีทุกกระเบียด เรียบร้อยราวกับผ้าพับไว้นั้น
ไม่ใช่ว่าไม่จริง...แต่มันไม่ใช่ทั้งหมด...
นั่นคือเพียงน้ำพลอยที่เธอคิดว่าตัวเองรู้จักดีมาโดยตลอด แต่ทุกอย่างมันดันกลับตาลปัตรไปเสียหมด เมื่อมี ‘ฟราน’ เพื่อนรักของสามีเธอมาเป็นตัวแปรร่วม
ทั้งที่เคยใจเย็น พออยู่กับฟรานกลับกลายเป็นคนใจร้อนยิ่งกว่าเธอเสียอีก
ทั้งที่ไม่เคยแม้แต่จะตวาดเสียงดัง พอคุยกับฟรานกลับพูดด้วยน้ำเสียงปกติได้ไม่เกินหนึ่งนาที
แม้จะไม่จัดเป็นคนอ่อนแอ แต่ปกติแล้วมักเป็นพวกนิยมใช้สมองไม่นิยมใช้แรง เมื่อคืนกลับไปทำเรื่องบ้าระห่ำอะไรกันมาจนฟรานเลือดโชกกลับมาทั้งตัว
ใจจริงเธอก็อยากจะซักไซ้ไล่เรียงคนต้นเรื่องอีกคนให้รู้เรื่องอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่ติดว่าหลังจากเขาวางเพื่อนเธอลงบนเตียงแล้ว ตัวเองก็ล้มพับหมดสติไป แม้กระทั่งตอนที่หมอประจำตระกูลเหวินมาทำแผลตามเนื้อตัวให้ เอากระสุนออกให้สองนัด คนร่างสูงคนนั้นก็ยังไม่รู้สึกตัวขึ้นมาสักนิดจนกระทั่งตอนนี้ เธอจึงได้แต่มารอไถ่ถามความให้รู้เรื่องเอากับคนใจดำตรงหน้านี้
“ใจแกนี่มันทำด้วยอะไรห้ะ เขาช่วยแกไว้จนตัวเองเจ็บขนาดนั้น แกยังมีหน้ามาถามอีกว่าเขาไหน” น้ำผึ้งพระจันทร์ถามเสียงฉุน ก่อนจะเอื้อมไปใช้นิ้วชี้จิ้มลงไปที่ตำแหน่งหัวใจของเพื่อนแรงๆ
“ก็แกบอกเองว่าเขาเป็นคนพาฉันกลับมา ก็แสดงว่ายังไม่ตาย จะให้ฉันถามอะไรอีก” เพียงน้ำพลอยตอบด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย พลางกลอกตามองทางอื่นไปเรื่อย
“ก็ถามอะไรก็ได้ที่ชวนให้รู้สึกว่าแกสำนึกบุญคุณเขาหน่อย” น้ำผึ้งพระจันทร์กระแทกเสียงเอ็ด คล้ายกับดุลูกชายตัวเล็กของตัวเองก็ไม่ปาน
“แกได้คุยกับเขาแล้ว ก็แสดงว่าเขายังพูดได้ ก็ไม่น่าเป็นอะไรมากแล้วนี่” เพียงน้ำพลอยยังคงตอบคล้ายพูดเรื่องฟ้าฝนรั่วไม่ถูกเวลาอยู่เช่นเดิม มือไม้เริ่มตักโน่นตักนี่เข้าปาก ทำเอาคนเดือดร้อนจะให้เพื่อนสำนึกบุญคุณยิ่งเดือดพล่านเข้าไปใหญ่ จนถึงกับเอื้อมไปแย่งช้อนส้อมในมือมาถือไว้เสียเอง
“อะไรของแก ทำมาแล้วไม่ให้ฉันกินจะทำมาทำไม” เพียงน้ำพลอยเริ่มฉุนขึ้นมาบ้างเมื่อเห็นว่าตัวเองถูกคุกคามเสรีภาพทางการกิน
เธออดรู้สึกขึ้นมาบ้างไม่ได้ว่ามันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลยที่ตัวเองต้องมาถูกตำหนิติเตียนอยู่ฝ่ายเดียว ทั้งที่คนถูกขู่กรรโชกก็คือเธอ คนพลอยเดือดร้อนเพราะการทำอะไรไม่คิดก็คือเธอ คนถูกหลอกปั่นหัวจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดก็คือเธอ แต่เธอกลับยังต้องรู้สึกผิดอีกงั้นเหรอ!
“ฉันยังไม่ได้คุยกับเขาสักคำ เขาวางแกลงบนเตียงเสร็จก็เดินกลับห้องไป ตอนฉันกับคุณหยางหลงเข้าไปดูก็เห็นเขากองอยู่กับพื้นแล้ว จนตอนนี้ ‘ยั ง ไ ม่ ฟื้ น เ ล ย’ ” น้ำผึ้งพระจันทร์จงใจกระแทกเสียงในประโยคสุดท้ายเพื่อให้คนตรงหน้ารู้สึกตัวขึ้นมาบ้าง ขณะที่ดวงตากลมโตสีม่วงเข้มก็ยังมองขวางอยู่เช่นเดิม ซึ่งก็ดูจะได้ผลดีไม่น้อย เพราะดวงตาดำขลับดุจไข่มุกงามคู่นั้นเริ่มสั่นไหวขึ้นเล็กน้อยแล้ว
‘เขาเจ็บขนาดนั้นเลยเหรอ...’
“เขาเลือดท่วมตัว ยืนแทบไม่อยู่ ส่วนแก...นอกจากเหนื่อยกับหิวจนเป็นลมแล้ว ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน ต้องเดาให้ยากมั้ยว่าใครช่วยใคร” น้ำผึ้งพระจันทร์อธิบายขยายความต่อเพราะรู้ดีว่าเพื่อนรักกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ อีกฝ่ายคงกำลังคิดว่าที่เธอเรียกร้องความยุติธรรมให้คนร่างสูงปาวๆ ในฐานะที่เขาเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเอาไว้นั้น คงเป็นเพราะเธอได้รู้เรื่องเสร็จสรรพจากคนต้นเรื่องอีกคนแล้ว โดยหารู้ไม่ว่าเธอก็แค่จับสิ่งที่เห็นมาปะติดปะต่อกัน แล้วพิจารณาจากสิ่งที่เห็นเท่านั้นเอง
สิ้นเสียงเอาเรื่องกับสายตาขวางๆ ของยัยแม่มด เพียงน้ำพลอยที่เพิ่งใจอ่อนยวบลงเล็กน้อยก็พลันเดือดพล่านขึ้นมาอีกครั้ง เรื่องคราวนี้เขานับเป็นคนช่วยชีวิตเธอไว้ เธอย่อมไม่มีวันลืมอยู่แล้ว ยิ่งกับเรื่องที่เขาสรรหาวิธีสารพัดสารเพมาหลอกปั่นหัวเธอ เธอยิ่งไม่มีวันลืมเข้าไปใหญ่ ถ้าจะคิดเปรียบเทียบกับความผิดที่ว่าเธอแสร้งเห็นบุญคุณเขาเป็นเรื่องเล็ก มันก็อาจจะผิดจริงอย่างที่ว่า แต่เธอใช่คนผิดคนเดียวเสียทีไหน ถึงเธอผิดเขาก็ผิดเหมือนกันนั่นแหละ!
“แล้วทำไมแกไม่ถามฉันสักคำ ว่าฉันไปตกอยู่ในสภาพนั้นได้ยังไง... ทำไมไม่ถามสักคำ ว่าเพื่อจะปั่นหัวฉันหมอนั่นทำอะไรลงไปบ้าง ทำไมไม่ถามสักคำ ว่าที่หนีตายอุตลุดซะขนาดนั้นมันเป็นเพราะใคร... แล้วทำไมไม่ถามสักคำ ว่าสุดท้ายทำยังไงถึงหนีรอดมาได้... ถ้าแกถาม ฉันจะได้ถามแกต่อ ว่าใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายติดค้าง!!!” เพียงน้ำพลอยตวาดสุดเสียงยาวเหยียดแทบไม่หยุดหายใจ ดวงตากลมโตดุจไข่มุกดำวาวโรจน์ด้วยไฟโทสะ เหลือเพียงแค่เอื้อมมือมาบีบคอคนฟังให้ตายตกไปพร้อมกันเท่านั้นที่ยังไม่ได้ทำ ทำเอาน้ำผึ้งพระจันทร์กับเหวินหยางหลงที่ฟังภาษาไทยออกแค่งูๆ ปลาๆ ได้แต่นั่งนิ่งปากอ้าตาค้าง เพราะไม่คิดว่าคนเยือกเย็นอย่างคนตรงหน้าจะเดือดเสียจนปรอทแตกเข้าจริงๆ ชั่ววินาทีนั้น น้ำผึ้งพระจันทร์จึงเริ่มคิดไปถึงคำไหว้วานที่ตัวเองฝากฝังเอาไว้กับฟรานก่อนจะออกไปจัดการธุระนอกบ้านขึ้นมา
คงไม่ใช่ว่าคนร่างสูงคนนั้นถือเอาคำไหว้วานของเธอเป็นที่ตั้ง แล้วใช้วิธีพิเรนทร์ๆ เพราะคิดว่าจะทำให้เพื่อนเธออารมณ์ดีขึ้นมาหรอกนะ...
“ไงล่ะ ทำไมไม่ถาม” เพียงน้ำพลอยถามจี้ต่อเสียงเขียว
“ก็...ฉันพอจะได้คำตอบแล้วไง” น้ำผึ้งพระจันทร์แก้ตัวเสียงอ้อมแอ้ม ก่อนจะยื่นช้อนส้อมในมือที่ยึดมาคืนให้เพื่อนผู้หิวโหยแต่โดยดี
คงจะเป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆ ...ว่าคนร่าเริงเวลาร้องไห้จะน่าสงสารที่สุด คนเงียบเวลาโมโหจะน่ากลัวที่สุด...
และแน่นอนว่าคนเยือกเย็น เวลาเดือดขึ้นมาไฟโทสะจะยิ่งเผาคนตายได้น่าอเนจอนาถที่สุด...
น้ำเสียงที่เคยหวานกังวานใสของเพื่อนเธอนั้น ตอนตวาดบันดาลโทสะขึ้นมาแล้วน่ากลัวได้ขนาดนี้จริงๆ เล่นเอาคนที่จัดว่าจิตแข็งอย่างเธอใจกระตุกวูบ น้ำตาแทบคลอเบ้าเลยทีเดียว
“ตะ...แต่ตอนนี้เขาเจ็บมากเลยนะ เจ็บจนไม่ได้สติเลย” น้ำผึ้งพระจันทร์แสร้งเอ่ยโน้มน้าวให้อีกฝ่ายร่วมเห็นใจบุคคลที่สามด้วยกันสุดฤทธิ์ ก่อนจะหันไปหาแนวร่วมอีกคนที่นั่งอยู่มุมห้อง พลางกระพริบตาปริบๆ เป็นสัญญาณให้เขาช่วยเหลือ
“ใช่ครับ ยังไม่ฟื้นเลย” หยางหลงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักใจเล็กน้อย พร้อมกันนั้นก็ตีสีหน้าวิตกกังวลขึ้นอย่างแนบเนียน
“น่าเสียดาย ไม่ยักกะตายไปซะ” เพียงน้ำพลอยงึมงำอยู่คนเดียวจนคล้ายจะเป็นเสียงกระซิบ ทว่าข้างในกลับรู้สึกคล้ายกับตัวเองถูกผลักลงจากที่สูงยังไงยังงั้น ใจที่เดือดพล่านราวกับหม้อน้ำมันเมื่อครู่ดิ่งวูบลงจนพาลให้พูดอะไรไม่ออกไปในชั่วขณะ
“ใจคอแกไม่คิดจะไปดูดำดูดีเขาหน่อยรึไง” เมื่อเห็นว่าใจคนเริ่มสั่นไหว น้ำผึ้งพระจันทร์จึงรีบยื่นหน้าเข้าไปหยั่งเชิงใกล้ๆ
บอกตามตรง เธอรู้สึกยังไงๆ กับพ่อทหารหนุ่มรูปงามนั่นชอบกล หากเพื่อนเธอกับเขาคิดจะรักจะชอบกันเพราะหลงรูปมันก็อีกเรื่อง หรือถ้าจะคบกันเพราะหน้าที่การงานนั่นก็ยังเป็นอีกเรื่อง เท่าที่เธอรู้เขาคนนั้นแทบไม่มีข้อเสียอะไรเลยสักอย่าง ทั้งยศ ศักดิ์ รูป ทรัพย์ เรียกได้ว่าครบเครื่องเสียจนหาได้ยาก ยิ่งพอคิดว่าเขาเป็นคนที่อยู่เคียงข้างเพียงน้ำพลอยในวันที่อ่อนแอที่สุด เสมอต้นเสมอปลายมาจนถึงทุกวันนี้ เขายิ่งคู่ควรแก่การรักษาไว้เป็นคู่ชีวิตเข้าไปใหญ่ แต่ไม่รู้ทำไมเธอถึงได้รู้สึกว่า ภายใต้รูปทองแสนแข็งแกร่งที่ฉาบเคลือบอยู่นั้นข้างในจะกลวงโหวงเสียจนน่าสะพรึง แต่นอกจากความรู้สึกนึกคิดตามสัญชาตญาณแล้ว เธอกลับไม่มีหลักฐานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง ถึงได้ยังเงียบกริบไร้ท่าทีต่อต้านอยู่อย่างนี้ เพราะเหนือสิ่งอื่นใดแล้วนี่ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเพื่อน จะให้เธอทำให้คนสองคนเลิกกันเพียงเพราะความคิดของตัวเองก็คงไม่ใช่เรื่องสักเท่าไหร่
หากแม้ภายนอกจะไม่ต่อต้าน แต่ในใจมันก็ออกจะห้ามกันยากอยู่สักหน่อย เธอจึงมีอคติกับนายเสาร์อาทิตย์อะไรนั่นอยู่สามส่วนมาโดยตลอด พอสบโอกาสจึงอดไม่ได้ที่จะเสนอทางเลือกที่ดีกว่าให้เพื่อนรัก
เธอก็แค่เสนอเท่านั้น...ไม่ได้ยุให้ใครเขาเลิกกันสักหน่อย จะนับว่าทำบาปได้ยังไง...
“เขาก็คงอยากจะเจ็บเจียนตายล่ะมั้ง ตอนฉันคิดจะโทรให้แกไปช่วย เขายังโกหกหน้าตายบอกว่าโทรศัพท์ตัวเองแบตหมด เลยต้องหนีหัวซุกหัวซุนกันจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ตอนนี้ก็คงสมใจเขาแล้ว จะให้ฉันไปดูอะไรเขาอีก” เพียงน้ำพลอยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ซึ่งก็ไม่ใช่เย้ยหยันใครที่ไหน นอกจากตัวเธอเองนั่นแหละที่โง่งมให้เขาหลอก นี่ก็นับว่าเธอไว้หน้าตัวเองเท่าไหร่แล้ว ที่ไม่เอ่ยถึงเรื่องที่เธอทำตัวเป็นแมลงไร้หัว แบกไดโนเสาร์ทั้งตัววิ่งชนต้นไม้ทั่วทั้งสี่ทิศ
“เหลวไหล เขาจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร จริงมั้ยคะ” พอเรื่องมาถึงขั้นนี้น้ำผึ้งพระจันทร์กลับไม่ค่อยเข้าใจนัก จึงได้แต่ถามกลับไปอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แล้วหันกลับไปขอความเห็นจากสามีร่างสูง
“ผมคงบอกได้แค่ว่า ถ้าคนของมังกรมุกไปโผล่ที่นั่น มันคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่” หยางหลงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมปราศจากการเสแสร้ง ทำเอาน้ำผึ้งพระจันทร์ที่คาดหวังว่าจะได้รับการสนับสนุน แต่กลับได้รับรู้เรื่องแปลกใหม่ที่ตัวเองไม่เคยรู้มาก่อน เปลี่ยนสีหน้าจากอ่อนโยนเป็นแข็งขึงขึ้นมาในทันที เดี๋ยวนี้สามีเธอกล้าหาญชาญชัยขึ้นขนาดนี้เชียวเหรอ ถึงขนาดกล้ามีความลับกับเธอ ซ้ำจนตอนนี้ก็ยังทำเป็นน้ำท่วมปาก จะพูดอะไรก็ไม่ยอมพูดออกมาให้มันรู้เรื่อง
“ไม่ค่อยดียังไงคะ” เพียงน้ำพลอยถามต่อ แม้บนใบหน้าจะยังมีแววฉุนเฉียวอยู่เล็กน้อย ทว่าก็ถือว่าเบาบางลงกว่าเมื่อนาทีก่อนมาก
“เอาเป็นว่ามันไม่ดีกับฟราน และโดยเฉพาะกับคุณ...ผมบอกคุณได้เท่านี้จริงๆ” จบคำคนเป็นประมุขมาเฟียก็ส่งยิ้มบางๆ ให้เพื่อนสาวร่างบางของภรรยา แล้วเดินออกจากห้องไปเสียดื้อๆ โดยไม่สนใจเสียงร้องเรียกตามหลังของภรรยาแม้แต่น้อย
เพียงน้ำพลอยหลุบตาลงมองฝ่ามือตัวเองอย่างไม่ตั้งใจ แล้วพลันนึกไปถึงเจ้าของฝ่ามือหนาคู่นั้นที่รับมีดสั้นคมกริบแทนเธอไว้ด้วยมือเดียวขึ้นมา หากบอกว่าตัวเองไม่อยากรู้อยากเห็นเหตุผลที่คนเป็นมาเฟียทิ้งเอาไว้เลยสักนิดก็คงโกหก เธอยอมรับว่าตัวเองอยากรู้อยู่บ้างว่าเขามีเหตุผลอะไรใหญ่หลวงนักหนาถึงได้ยอมตายแต่ไม่ยอมให้เพื่อนมาช่วย คนหน้าไม่อายพรรค์นั้นคงไม่น่ามีเหตุผลเรื่องรักษาหน้าตัวเองอยู่ในหัว แต่ครั้นจะคิดว่าจ่าฝูงมังกรนั่นขวัญกล้าถึงขนาดรวมหัวกับเพื่อนคู่หูหลอกปั่นหัวเธออีกครั้ง ก็ดูไม่น่าเป็นไปได้เข้าไปใหญ่ เพราะครั้งนี้มียัยแม่มดน้ำผึ้งพิษรู้เห็นด้วย ซึ่งดูจากสีหน้าท่าทางเพื่อนแล้ว เธอก็พอจะมั่นใจได้แปดเก้าส่วนว่าเจ้าตัวไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยจริงๆ
“เอาล่ะๆ ไม่ว่ามันจะเป็นเหตุผลพรรค์ไหน เขาก็คงถือเป็นผู้มีพระคุณของแกได้ล่ะมั้ง ใจคอจะไม่ไปดูเขาจริงๆ รึไง” น้ำผึ้งพระจันทร์คร้านจะไขปริศนาชวนปวดหัวเต็มทน จึงตั้งใจว่าจะไปเค้นเหตุผลลึกลับที่สามีเธอเอาแต่อึกอักพูดครึ่งไม่พูดครึ่งนั้นทีหลัง ตอนนี้คงต้องอาศัยความเชื่อใจที่ชักจะสั่นคลอนต่อฟรานมาต่อรองกับเพื่อนหัวรั้นของตัวเองไปก่อน
“ถ้าเขามีเหตุผลที่ฟังขึ้นจริง ฉันก็ไม่ถือสาหรอก แต่ถึงยังไงมันก็คนละเรื่องกับที่เขาปั่นหัวฉัน” เพียงน้ำพลอยเริ่มต้นชำระความอย่างใจกว้าง ก่อนจะเอ่ยสรุปประเด็นอย่างรวบรัด ทว่าได้ใจความถึงที่สุด
“แต่ที่เขาช่วยแกไว้ก็ถือเป็นคนละเรื่อง...หรือมันไม่จริง...” น้ำผึ้งพระจันทร์สวนกลับไปในทันที
“...” เพียงน้ำพลอยยอมรับว่าเธอจนต่อเหตุผลในที่สุด เดิมทีเธอตั้งใจว่าจะไปขอบคุณเขาดีๆ สักครั้ง ส่วนเรื่องที่เขาปั่นหัวเธอจนทำให้เธอพลอยซวยไปด้วยนั้น เธอจะถือว่าหักลบกับเขาได้ช่วยชีวิตเธอไว้ ก็ขอให้จบสิ้นกันที่ตรงนี้ ต่อไปก็ต่างคนต่างอยู่ จะได้ไม่มีเรื่องมีราวจนเกิดฆ่ากันตายขึ้นมาอีก หากพอคิดถึงใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด น้ำเสียงแหบพร่าคล้ายคนหมดแรงยืน ริมฝีปากเขียวคล้ำ กับเปลือกตาหนาที่ใกล้จะปิดลงบดบังนัยน์ตาสีเขม่าควันคู่นั้น เธอก็เริ่มไม่แน่ใจนักว่าที่ตัวเองยอมจนแต้มกระทั่งโอนอ่อนตามยัยแม่มด เป็นเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายพูดจามีเหตุผลพอใช้ หรือเป็นเพราะแรกเริ่มเดิมทีเธอก็คิดแบบนั้นอยู่แล้วกันแน่
หลังจากทานอาหารเช้าในตอนเกือบเที่ยงเสร็จ เพียงน้ำพลอยก็จัดการพาตัวเองไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ก่อนจะลงไปทำอาหารอ่อนๆ กับกับข้าวง่ายอีกสองสามอย่างให้คนป่วยเพื่อแสดงน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่พึงมี หากก็จนใจที่เรื่องของความรู้สึก เธอมักจะไม่ค่อยมีเหตุผลตามสมองมาแต่ไหนแต่ไร แม้บางส่วนในใจจะยอมรับเขาเป็นผู้มีพระคุณคนหนึ่ง ทว่าอีกส่วนกลับคัดค้านหัวชนฝา ตีอกชกหัวอยู่กับข้อขัดแย้งที่ว่าเขาหลอกปั่นหัวเธอสารพัดสารเพ แต่เธอกลับต้องค้อมศีรษะเข้าไปขอบคุณเขา เธอจึงอดคิดไม่ได้ว่า แล้วอย่างนี้มันจะต่างอะไรกับการที่เธอเข้าไปขอบคุณเขาที่เขาหลอกเธอกันล่ะ
ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย...
ร่างบางระหงในชุดเดรสแขนกุดสีพีชอ่อนยาวระเข่าค่อยๆ ประคองถาดอาหารในมือมาหยุดอยู่ที่หน้าพักรับรองแขกของคฤหาสน์มังกรมุก ซึ่งทั้งปีทั้งชาติก็มีแค่เขาคนเดียวที่ยึดครองจนกลายเป็นสมบัติส่วนตัวไปแล้ว มือบางอีกข้างหนึ่งยกขึ้นเคาะประตูพอเป็นมารยาทสองสามครั้ง เมื่อไม่ได้ยินเสียงขานรับจึงถือวิสาสะบิดเปิดประตูเข้าไปเสียเอง เพราะคิดว่าคนป่วยคงจะหลับอยู่ หรือไม่ก็คงไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะร้องตอบเธอได้ และทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้อง ดวงตากลมโตก็สบเข้ากับร่างสูงบนเตียงซึ่งยังนอนหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียงตามที่คาดจริงๆ หากสิ่งที่ผิดคาดอยู่สักหน่อยก็คือ ช่วงลาดไหล่หนาที่โผล่พ้นผ้าห่มนวมสีขาวนั้นเปล่าเปลือย มีเพียงกล้ามเนื้อไหล่แน่นๆ เท่านั้นปกปิดร่างกาย เพียงน้ำพลอยจึงรีบกลืนน้ำลายลงคอหลายอึกติดกัน เพื่อเตรียมใจรับสภาพที่จะต้องนั่งคุยกับเขาในสภาพเปลือยท่อนบน จะได้ไม่หน้าแดงหูแดงให้เขาล้ออีก
เพียงน้ำพลอยเดินเข้าไปในห้องอย่างเบาฝีเท้าที่สุด เพราะกลัวว่าการมาของตัวเองจะรบกวนเวลาพักผ่อนของคนป่วยเข้า ดวงตาคู่สวยค่อยๆ ช้อนขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาดุจหยกสลักที่ซีดเซียวลงไปกว่าครึ่ง เปลือกตาหนาหลับพริ้มลงบดบังนัยน์ตาดำสนิทแสนลึกล้ำคู่นั้น รูปร่างสูงโปร่งกับกล้ามเนื้อแน่นภายใต้ผ้าห่มนวมผืนหนาสีขาวสะอาดตา นอนตะแคงอยู่บนเตียงนิ่งราวกับรูปปั้น ทว่าหากเพ่งพิศองค์ประกอบบนใบหน้านั้นรวมกันแล้ว กลับดูมีชีวิตชีวาราวกับเด็กชายตัวแสบวัยกำลังซนกำลังหลับไหลไม่มีผิด
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ก้าวเข้าไปใกล้เตียงหลังใหญ่อีกก้าว ร่างสูงโปร่งไร้อาภรณ์ปกปิดก็พลันผุดลุกขึ้นยกปืนจ่อหน้าเธอทันที นัยน์ตาดำสนิทแสนดุดันดุจหมาป่าหนุ่มกระหายเลือด กับอายสังหารที่พวยพุ่งออกมาจากกระบอกปืน ทำเอาร่างทั้งร่างสะดุ้งเฮือกจนสุดตัว เท้าบางชะงักค้างไปในทันที ดวงตากลมเบิกโพลงอย่างตื่นตระหนก ใบหน้าสวยหวานซีดเผือดจนคล้ายกระดาษขาวขึ้นทุกที ไม่มีแม้แต่ถ้อยคำจะเอื้อนเอ่ยออกไป
เมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่ไม่ใช่ใครที่ไหน ใบหน้าหล่อเหลาจึงแข็งค้างไปชั่วขณะ รีบดึงปืนในมือกลับมาวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียงพลางรีบเอ่ยขอโทษหญิงสาวตรงหน้า แม้น้ำเสียงที่เอ่ยออกไปจะยังเย็นชืดผิดวิสัยเจ้าตัวไปสักหน่อยก็เถอะ
“โทษที...ไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณตกใจ”
เมื่อเห็นว่าคนร่างบางยังคงตื่นตระหนกเสียจนหายใจไม่ทั่วท้อง ฟรานจึงรีบเบี่ยงประเด็นไปหาประเด็นอื่นทันที แต่บังเอิญที่ประเด็นนั้นชวนให้เขาอมยิ้มออกมาได้โดยไม่ต้องครุ่นคิดเลยแม้แต่น้อย
“คุณ...ทำมาให้ผมเหรอ...”
เพียงน้ำพลอยไม่ตอบคำ แต่ทำใจกล้าก้าวเข้าไปหาคนร่างสูงบนเตียงช้าๆ ดวงตากลมหลุบต่ำลงไม่กล้าเงยขึ้นสบนัยน์ตายิ้มโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยวของเขา มือบางค่อยๆ วางถาดอาหารลงบนโต๊ะเล็ก ข้างเตียงราวกับไม่รู้มาก่อนว่าบนโต๊ะตัวนั้นมีปืนสีดำทะมึนวางอยู่ ใช้ขอบถาดอาหารดันมันไกลจนติดผนัง ในใจเริ่มใคร่ครวญถึงสิ่งที่ตัวเองควรทำเป็นลำดับต่อไป
หากเธอหันหลังเดินออกจากห้องไปตอนนี้มันจะดูเสียมารยาทเกินไปรึเปล่านะ... อันที่จริงแล้วเธอก็ไม่ได้กลัวปืนผาหน้าไม้เหมือนพวกผู้หญิงเปราะบางนักหรอก เพียงแต่เธอออกจะไม่ค่อยชินที่มันมาจ่ออยู่บนหน้าตัวเองเท่านั้น
แต่เธอดันมาที่นี่เพื่อขอบคุณเขาดีๆ สักคำนี่สิ...จะกลับออกไปทั้งที่ยังไม่พูดได้ยังไง...
ชั่วขณะที่ริมฝีปากบางกำลังจะเอ่ยคำสองคำให้จบสิ้นกันไปนั้นเอง ร่างสูงเปลือยท่อนบนก็ขยับท่าทางกึ่งนั่งกึ่งนอนของตัวเองให้เข้าที่ ชายผ้าห่มนวมที่เดิมก็ปกคลุมร่างทั้งร่างได้ไม่มิดอยู่แล้วจึงเลิกขึ้นตามแรงขยับตัว เผยให้เห็นต้นขาแน่นขาวโพลนชวนให้หายใจติดขัดโผล่ลอดผ้านวมออกมา ซ้ำร้ายผ้าห่มผืนใหญ่แต่ไร้ประโยชน์ก็ยังทำท่าจะเลิกสูงขึ้นไปกว่าเดิมอีกด้วย!
ในวินาทีนั้นเธอถึงได้รู้ว่า ที่เห็นว่าเปลือยท่อนบนนั้นเป็นแค่ความจริงบางส่วน ความจริงทั้งหมดก็คือ คนหน้าไม่อายนี่ไม่ใส่เสื้อผ้าเลยสักชิ้นต่างหาก!
“นี่คุณ!! ถ้าคุณไม่สะดวก ไว้ค่อยคุยกันก็ได้” เพียงน้ำพลอยเอ่ยเสียงดังกลบเกลื่อนอาการอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีของตัวเอง พลางยกฝ่ามือบังใบหน้าเพื่อปิดกั้นทัศนียภาพอุจาดตาบนเตียง จากนั้นก็ตั้งท่าจะเดินออกจากห้องไป เพื่อให้เขาได้จัดการธุระของตัวเองให้เสร็จก่อน
คนพรรค์ไหนกันถึงได้นอนแก้ผ้าอยู่ในบ้านคนอื่นหน้าตาเฉยแบบนี้! ซ้ำยังไม่ล็อกประตูอีก!
เมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะเดินหนีไปอย่างปากว่าจริงๆ คนร่างสูงจึงรีบเอื้อมมือไปคว้าข้อมือบางๆ นั้นไว้จนคนไม่ทันตั้งตัวเซถลากลับลงมานั่งประจันหน้ากับเขาบนเตียง
“ตอนเด็กๆ ไม่ตั้งใจเรียนหรือไง ถึงได้ไม่รู้ว่าคนเราใช้ฝ่ามือปิดแผ่นฟ้าไม่ได้หรอก” ฟรานเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่าชวนเลือดลมสูบฉีด ดวงตาที่เคยโค้งลงเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวฉายแววเจ้าเล่ห์กรุ้มกริ่มไปทั่วทั้งตา ทำเอาเพียงน้ำพลอยแทบอยากจะกระทืบเท้าเร่าๆ ระบายโทสะ ที่เขาถือโอกาสทำรุ่มร่ามกับเธอ ทั้งยังพูดจาทะลึ่งตึงตังไม่อายฟ้าดินอีก
“ปิดแผ่นฟ้าคงไม่ได้หรอก แต่บีบคอคนคงพอได้” เพียงน้ำพลอยทำใจกล้าเชิดหน้าขึ้นตอกกลับคนยั่วโทสะด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ เพราะรู้ดีว่าหากเธอยิ่งลนลาน เขาก็จะยิ่งฉวยโอกาสแกล้งเธออย่างนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งไม่รู้ว่าการกลั่นแกล้งที่ว่านั้นจะไปสิ้นสุดที่ขั้นไหน แต่ที่รู้แน่ก็คือ คนเสียหายย่อมเป็นเธออย่างไม่ต้องสงสัย
“อำมหิตเหมือนกันนะคุณเนี่ย” ฟรานแสร้งตีสีหน้าหวาดกลัวหญิงสาวตรงหน้า ทว่ามือหนากลับไม่ยักขลาดกลัวตามเจ้าของ ยังคงพันธนาการข้อมือขาวบางของคนอำมหิตอยู่อย่างนั้น จนเธอต้องสะบัดแรงๆ อีกครั้ง เขาถึงได้รู้ตัวว่าควรปล่อยให้เธอเป็นอิสระได้แล้ว
“ก็คุณบอกว่าผมสะดวกเมื่อไหร่ค่อยคุยกันอีกที ผมเลยจะบอกคุณว่าผมสะดวกตอนนี้...ก็เท่านั้น...” ฟรานรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน เมื่อเห็นว่าเธอยังทำตาขวางอยู่
เธออยากจะรู้นักว่าสภาพแบบไหนกันที่เขาบอกว่าสะดวก หรือเธอสมควรอยู่คุยกับผู้ชายเปลือยกายล่อนจ้อนบนเตียงสองต่อสองโดยสะดวกใจงั้นเหรอ!
ขณะเดียวกันนั้น เพียงน้ำพลอยก็กวาดตามองเขาทั้งร่างพลางลอบพิจารณาถึงความสาหัสของอาการเขาอยู่ในใจ แม้บนแผงอกแกร่งเปล่าเปลือยกับหน้าท้องแข็งเต็มไปด้วยลอนกล้ามเนื้อนั้นจะมีผ้าพันแผลซึมเลือดอยู่หลายจุด จนเรียกได้ว่าหากนำมาต่อกันคงพอจะพันรอบตัวเธอได้ทั้งร่างหนึ่งรอบพอดี แต่เขาก็ยังนับว่ามีเรี่ยวมีแรงดีไม่น้อย ถึงสามารถดึงเธอลงมานั่งบนเตียงด้วยมือข้างเดียวอย่างสบายๆ ฉะนั้นที่ยัยแม่มดพูด คงไม่พ้นคูณร้อยคูณพันอย่างไม่ต้องสงสัย
“งั้นก็ช่างเถอะ ถ้าแม้แต่คนป่วยคุณก็ยังคิดอกุศลได้ลง” ฟรานแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงน่าสงสารเสียเต็มประดา ก่อนจะล้มตัวลงนอนตะแคง หันหน้าหนีหญิงสาวร่างบางที่ยังนั่งอยู่ข้างกาย
เพียงน้ำพลอยนึกขอบคุณในโชคชะตาที่เธอไม่ได้เกิดเป็นมังกรหรืออะไรเทือกนั้น ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้พ่นไฟเผาตายทั้งเป็นได้แน่ ตั้งแต่เธอก้าวเข้ามาในห้องนี้ เขาต่างหากที่เป็นฝ่ายไร้มารยาทกับเธอ แต่ตอนนี้เพื่อให้เธออยู่ต่อให้เขาได้ปั่นหัวเล่น เขาถึงกับใส่ความว่าเธอเป็นผู้หญิงมักมาก ฝักใฝ่ในกามารมณ์ได้กระทั่งคนเจ็บออดๆ แอดๆ
เรื่องเก่ายังไม่ทันชำระความ...ก็สร้างเรื่องใหม่ขึ้นมาให้เธอจดบัญชีแค้นแทบไม่ทัน
ช่างขยันจุดไฟแค้นเสียจริงๆ...
“ฉันมาคิดบัญชีเรื่องเก่า ไม่ได้มาให้คุณปั่นหัวใหม่อีกรอบ” น้ำเสียงเย็นเยียบเสียดกระดูกเอ่ยขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ คนเสแสร้งแกล้งน้อยใจจึงหมดทางหนี ทำได้แค่ค่อยๆ พลิกตัวกลับมาหาโจทก์เก่าเจ้าของดวงหน้าสวยหวานช้าๆ แล้วยันตัวลุกขึ้นนั่งดังเดิม
กล่าวโดยสัตย์จริงแล้ว เขาเองก็กำลังไม่สบายใจเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ไม่ว่าจะมองมุมไหนเขาก็ดูจะเป็นฝ่ายที่ทำเกินไปจริงๆ ยังไม่นับเรื่องก่อนหน้านี้ที่เธอถูกสังคมครหาว่าใช้อำนาจบาตรใหญ่รังแกคนอื่น ซึ่งเขาเองก็นับว่ามีเอี่ยว และออกจะมีเอี่ยวเป็นส่วนใหญ่เสียด้วย ถ้าวันนั้นเขาใจเย็นกว่านี้สักหน่อย ไม่ใช้วิธีพิเรนทร์แกล้งแม่พิธีกรปากเปราะเพื่อให้เธอหลุดพ้นจากการสัมภาษณ์ไร้มารยาท เธอก็อาจไม่โดนคนกล่าวหาอย่างรุนแรงจนลามไปขุดเรื่องส่วนตัวอื่นๆ ด้วยอย่างนี้ ยิ่งคิดไปถึงว่าเรื่องที่ถูกขุดขึ้นมานั้นมีผลกับเธอมากแค่ไหน ใจทั้งดวงของเขาก็ราวถูกบีบรัดด้วยความรู้สึกผิดเสียจนหายใจไม่ออก
ถึงแม้ที่ทำไปทั้งหมด ทั้งปลอมเป็นช่างแต่งหน้าในห้องสัมภาษณ์วันนั้น ทั้งลากเธอออกไปปั้นเครื่องเคลือบข้างนอก จะเป็นเจตนาดีอยากให้เธอสบายใจล้วนๆ แต่ผลที่ตามมากลับสร้างความเสียหายให้เธออย่างมหาศาล หลังจากฟื้นขึ้นมาแล้วฟังหยางหลงสวดไปสามรอบติดกัน เขาจึงคิดว่าอยากจะทำอะไรสักอย่างให้เธอเป็นการไถ่โทษ เพียงแต่ยังคิดไม่ออกว่าเธอต้องการความช่วยเหลืออะไรเท่านั้น ไอ้ครั้นจะจัดการทำลายข่าวลือหาความจริงไม่ได้พวกนั้นให้เธอ คนพวกนั้นก็คงไม่วายจะหาว่าเป็นฝีมือเธออีก ไปๆ มาๆ ก็จะกลายเป็นสร้างความเดือดร้อนให้เธออีกจนได้
พอได้ยินเธอเอ่ยชำระบุญคุณทวงคืนความแค้นขึ้นมา เขาจึงเริ่มคิดไปถึงหลักการลูกผู้ชายกล้าทำกล้ารับที่ตัวเองได้ประกาศกร้าวออกมาก่อนหน้านี้
จะไถ่โทษยังไง ก็คงต้องยอมรับผิดก่อนสินะ...
“ขอโทษ” นัยน์ตาคมสีเขม่าควันหลุบต่ำลงไม่ต่างจากเด็กชายตัวเล็กเพิ่งทำแจกันแตก พร้อมกันนั้นก็เอ่ยคำขอโทษออกมาอย่างไม่ถือตัว ฟังรวมกับสีหน้าท่าทางแล้วดูจริงใจไม่น้อย ซึ่งนั่นออกจะผิดจากที่เพียงน้ำพลอยคาดอยู่สักหน่อย เดิมทีเธอคิดว่าเขาจะไม่ยอมรับผิด เฉไฉไปเรื่อย หรือไม่ก็คงขอโทษอย่างขอไปทีเสียอีก
“ไม่ง่ายไปหน่อยหรือไง” เพียงน้ำพลอยเชิดคางกล่าวอย่างเอาเรื่อง เพราะรู้ดีถึงฤทธิ์มารยาสาไถยของเขาดี เขาหน้าด้านหน้าทนถึงกับหลอกให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนึงแบกตัวเองขึ้นหลัง ไหนจะเรื่องอื่นๆ ที่ไม่รู้อันไหนจริงอันไหนเท็จอีก คนที่ทำได้ถึงขนาดนั้น...ยังจะมีอะไรทำไม่ได้อีกกัน...
“แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ” ร่างสูงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็กชายสำนึกผิดเช่นเดิม แววตาเจ้าเล่ห์คู่นั้นหายวับไปชั่วขณะ เหลือเพียงแต่การยอมจำนนให้อีกฝ่ายเป็นผู้ถือไพ่เหนือกว่าแต่โดยดี
ชั่วชีวิตนี้ใช่ว่าเขาไม่เคยขอโทษใคร...แต่ขอโทษแล้วยอมจำนนอยู่ใต้อำนาจคนอื่นจริงๆ แบบนี้ ถึงขนาดให้ชี้นกบอกนกชี้ไม้บอกไม้ ตั้งแต่เกิดมาเขาก็เพิ่งจะเคยทำเป็นครั้งแรก...
ไม่อาจพูดได้ว่าอยากทำหรือไม่อยากทำ... รู้เพียงแต่ว่าตัวเองคงไม่อาจยอมให้เธอโกรธอยู่อย่างนี้ได้...
“จะให้ตัวผมคุณก็คงไม่เอา” ฟรานพูดพลางแสร้งก้มหน้าก้มตาอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว
“ใช่ ไม่เอา” เพียงน้ำพลอยย้ำชัดทีละคำจนไม่ต่างจากการกระแทกเสียงนัก ในใจนึกชังลมหายใจตัวเองที่ถอนพรืดออกมาใส่เขาไม่กลายเป็นไฟบรรลัยกัลป์ไปเสีย
“แล้วคุณอยากได้อะไรล่ะ” เด็กชายฟรานถามต่อพลางส่งสายตาคล้ายอ้อนวอนกึ่งหนึ่งคล้ายเจียมตัวกึ่งหนึ่งให้คนถือไพ่เหนือกว่าไว้ในมือ
“ก็ไม่อยากได้อะไรมากหรอก แค่ต่อจากนี้ไปไม่ต้องเอาหน้าคุณมาให้ฉันเห็นอีกก็พอ ถ้าคุณทำได้ ที่ฉันเสี่ยงตายเมื่อวานก็เกินคุ้มละ” เสียงเย็นเยียบจับขั้วหัวใจกับสีหน้าว่างเปล่าไร้อารมณ์ความรู้สึก ทำเอาฟรานรู้สึกคล้ายกับใบหน้าถูกน้ำเย็นจัดสาดเข้าใส่อย่างจัง จะว่าเจ็บก็ไม่เชิง ออกจะคล้ายชาเสียมากกว่า พอผ่านไปได้สักสองวินาทีถึงเริ่มรู้สึกปวดหนึบๆ ขึ้นมา
“ที่ช่วยฉันไว้ ขอบคุณมาก แต่หวังว่าจะไม่ได้รับการช่วยเหลือจากคุณอีก” ไม่รอให้อีกฝ่ายมีโอกาสโต้แย้ง เพียงน้ำพลอยก็สาดน้ำเย็นอีกระลอกใส่ใบหน้าชาๆ ของคนร่างสูงด้วยสีหน้าท่าทางเช่นเดิม จบคำก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปทันที ทิ้งให้คนป่วยบนเตียงได้แต่มองตามแผ่นหลังบางห่างออกไปโดยปราศจากคำเหนี่ยวรั้ง
สิ้นเสียงปิดประตูห้องที่ดังเกินพอดี เสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้นเบาๆ กับตัวเองจนคล้ายเสียงพึมพำอยู่ในลำคอ
“ทำไมต้องพูดแรงขนาดนี้ด้วย...ใครจะไปรับได้...”
1 สัปดาห์ต่อมา...
อากาศช่วงบ่ายของฮ่องกงไม่ร้อนหรือเย็นจนเกินไปนัก ร่างบางระหงในเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งสีขาวบริสุทธิ์ กับกางเกงยีนส์สีเข้มจึงเดินทอดน่องเรื่อยเฉื่อยมาจนถึงสระว่ายน้ำด้านหลังคฤหาสน์ ตลอดทางที่เดินมา นอกจากบอดี้การ์ดในชุดสูทสีดำสนิทที่ไม่รู้จักมักคุ้นกัน กับ ‘คุณนโปเลียน’ แมวดำร่างอ้วนฉุสายพันธุ์ทิฟฟานี่ของยัยแม่มด เธอก็ไม่เจอใครเดินผ่านมาอีกเลย จึงนับว่าเธอได้อยู่บ้านคนเดียวอย่างสมบูรณ์แบบ เพราะครอบครัวมาเฟียพาเสี่ยวเวยหลงไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้า ส่วนใครอีกคนที่ควรจะเหลือติดบ้านนั้น ตั้งแต่เอาอาหารไปเยี่ยมไข้เขาที่ห้องคราวนั้น เธอก็ไม่ได้เห็นหน้ากวนโทสะของเขาอีกเลยแม้แต่เงา เธอจึงอนุมานว่าเขาคงจะกลับไปอยู่บ้านตัวเองแล้ว หรือไม่ก็คงไปเถลไถลที่อื่นอีกตามเคย ซึ่งก็นับว่าเขารักษาคำมั่นได้อย่างดีเยี่ยม
แม้มันจะให้ความรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าเงียบสงบดีไม่น้อย...
บางทีเธออาจจะแค่ไม่ชินเท่านั้น...
ร่างบางเดินฉิวไปยังเก้าอี้นอนริมสระว่ายน้ำ โดยมีคุณนโปเลียนที่เดินมาเป็นเพื่อนพักใหญ่ตามมาด้วย มือบางเอื้อมไปวางโทรศัพท์มือถือกับหนังสือเล่มหนึ่งไว้บนโต๊ะข้างเก้าอี้ แล้วตั้งท่าขยับตัวเอนลงนอนอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะเห็นว่าเพื่อนร่วมทางของเธอรีบเลียนแบบท่าทางของเธอ เตรียมตัวจะนอนบนเก้าอี้เช่นกัน รีบกระโดดพาร่างนุ่มนิ่มหนักเกือบเจ็ดกิโลของตัวเองขึ้นไปบนเก้าอี้นอนอีกตัวใกล้ๆ กันจนเกิดเสียงดังตุบ จากนั้นก็ยอบตัวลงนอนขดเท้าทั้งสี่ไว้ใต้ร่าง เหลือเพียงแค่ไม่มีโทรศัพท์ให้วางและไม่มีหนังสือให้อ่านอย่างเธอเท่านั้น
ริมฝีปากบางอมยิ้มบางๆ ให้กับท่าทางเฉลียวฉลาดไม่ต่างกับเจ้าของของเจ้าขนฟูข้างกาย ก่อนจะเอื้อมมือไปไปลูบหัวเกาคางให้อย่างคุ้นเคย อันที่จริงเธอกับคุณนโปเลียนก็ไม่ได้จัดว่าเป็นคนอื่นคนไกลกัน เธอเห็นมันมาตั้งแต่ตัวเท่าฝ่ามือ ทั้งยังเคยให้ของกินมันไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ จะดีจะชั่วมันก็ควรจะต้องสำนึกบุญคุณเธอบ้าง
ทว่าจนใจที่คนเลี้ยงเป็นอย่างไรสัตว์เลี้ยงก็ย่อมเป็นอย่างนั้น แมวดำตัวนี้จึงนิสัยเหมือนน้ำผึ้งพระจันทร์ไม่มีผิด ทั้งเย่อหยิ่ง ทั้งดื้อรั้น ยิ่งตอนนี้มีเหวินหยางหลงเป็นเจ้านายด้วยอีกคน ถึงเธอจะเห็นอยู่ชัดๆ ว่ามันไม่ได้เห็นประมุขมาเฟียคนนั้นเป็นเจ้านายเลยก็เถอะ แต่ออกจากคล้ายเพื่อนเล่นอีกคนเสียมากกว่า แต่นานวันเข้ามันกลับยิ่งซึมซับนิสัยเหวินหยางหลงเข้าไปทุกที กล่าวคือ ทุกวันนี้นอกจากกินกับนอนแล้วก็กวนประสาทคนอื่นไปเรื่อยๆ มันก็ไม่ทำประโยชน์ใดๆ เลยทั้งสิ้น แม้แต่เดินเข้าไปออดอ้อนฉอเลาะกับเจ้าของตามวิสัยแมวก็ยังไม่ทำเลยด้วยซ้ำ เธอจึงแปลกใจอยู่บ้าง ที่เห็นนายใหญ่อย่างคุณนโปเลียนลดตัวลงมาเดินเล่นเป็นเพื่อนในวันนี้
“วันนี้ไม่ไปตรวจงานเหรอคะนายใหญ่”
เมื่อเห็นท่าทางหยิ่งทะนงเกินสัตว์เลี้ยง เพียงน้ำพลอยจึงอดนึกสนุกพูดเหน็บมันขึ้นมาอย่างอารมณ์ดีไม่ได้ ซึ่งนายใหญ่ขนนุ่มก็วางมาดตอบเสียใหญ่โต เชิดคางหนีไม่ยอมร้องตอบเธอสักคำ
เธอเห็นเองกับตาว่ามันชอบเดินไปดูโน่นดูนี่จนทั่วคฤหาสน์ บางทีก็หาเจอได้ตามโรงรถที่มีรถราคาแพงหูฉี่จอดเรียงรายกันอยู่ บางทีก็เห็นขึ้นไปหลับอยู่บนบัลลังก์มังกรของเหวินหยางหลงโน่นล่ะ ไม่ว่าจะเจ้าของจะดุเสียงดังหรือจะลากมันลงมายังไง วันต่อมาก็ยังเห็นมันขึ้นไปนอนเล่นอยู่อย่างนั้น บัลลังก์มังกรของประมุขมาเฟียจึงแปรสถานะภาพไปไม่ต่างจากลังกระดาษไว้ให้แมวนอนเล่นไปเสียแล้ว ตามความเห็นเธอแล้ว มันอาจจะคิดว่าตัวเองนั่นแหละเป็นเจ้าของบ้าน ส่วนคนอื่นก็แค่ผู้อาศัย
“ได้ดิบได้ดีก็จะลืมกันแล้วรึไง” จบคำเพียงน้ำพลอยก็กดกำปั้นน้อยๆ ลงบนหัวมันสองสามทีอย่างหมั่นเขี้ยว แล้วหันไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตรวจดูกล่องอีเมลขาเข้าอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน เพื่อดูว่ามีใครติดต่อเรื่องงานกับเธอในช่วงที่เธอลาหยุดอยู่นี้บ้างรึเปล่า
หลายวันที่ผ่านมานี้เธอถูกยัยแม่มดสั่งกักบริเวณให้ชีวิตอยู่ในโลกความจริงอย่างเดียว ห้ามย่างกรายเข้าสู่โลกโซเชี่ยลแม้แต่ก้าวเดียวเด็ดขาด ยกเว้นติดต่อตามข่าวเรื่องงานทางอีเมลเท่านั้น แม้มันจะทำได้ยากในทางปฏิบัติอยู่บ้างแต่เธอก็ตั้งอกตั้งใจทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย เพราะคิดว่าในนั้นคงไม่มีอะไรน่าดูนัก ไม่แน่ว่าป่านนี้เรื่องราวอาจร้ายแรงขึ้นกว่าเดิมจนเธอเดินตลาดในเมืองไทยไม่ได้แล้วก็ได้ ซึ่งเธอเองก็จนใจจะไปแก้ไขความคิดคนทุกคนบนโลกนี้
เธอยังต้องหายใจต่อไป...ซึ่งอากาศที่ใช้ก็ใช่ว่าจะเป็นลมปากคน ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า ในเมื่อตอนนี้เธอยังทำใจรับฟังมันไม่ได้ ก็ไม่ต้องฟังมันไปเสียเลยจะดีกว่า เอาไว้สักวันที่เธอฟังเรื่องพวกนั้นด้วยความรู้สึกที่เรียบง่ายกว่านี้ได้แล้ว ค่อยเปิดหูให้เสียงพวกนั้นไหลบ่าเข้ามาอีกที เธอยังแอบคิดขบขันปลอบใจตัวเองว่า บางทีพอถึงวันนั้นอาจไม่มีเสียงอะไรดังขึ้นเลยสักเสียงก็ได้
และทันทีที่นิ้วเรียวสวยสัมผัสไปยังเมนูกล่องข้อความทางด้านซ้ายมือของหน้าจอ ริมฝีปากบางก็ฉีกยิ้มกว้างเสียจนแก้มแทบปริ ซึ่งนับเป็นรอยยิ้มที่กว้างที่สุดในรอบหลายวันที่ผ่านมาเลยทีเดียว
“พ่อกับแม่เดาว่าหนูคงเช็คอีเมลก่อนอ่านไลน์แน่ๆ เลยส่งมาทางนี้แทน วันมะรืนเจอกันที่บ้านนะจ๊ะ อย่าเป่าเทียนก่อนแม่ล่ะ รักลูกจ้ะ”
ตั้งแต่เธอจำความได้ พ่อกับแม่ก็ไม่เคยลืมวันเกิดเธอเลยสักครั้ง อาจเป็นเพราะวันนั้นพวกท่านมีความทรงจำเลวร้ายจากการสูญเสียลูกสาวไปอีกคนก็เป็นได้ ทว่าทั้งที่เป็นอย่างนั้น พวกท่านกลับไม่เคยโยนความรู้สึกผิดบาปมาให้เธอเลยสักครั้ง เธอจำได้ว่าพวกท่านพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เพื่อรักษาความรู้สึกของเธอ หากก็จนใจที่เธอได้รู้เรื่องนี้จากพี่สาวของตัวเองเข้าจนได้
เธอในตอนนั้นยังเป็นแค่เด็กเก้าขวบ ทันทีที่ถูกพี่สาวตวาดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้น้องต้องตาย ก็ร้องไห้เสียงดัง วิ่งตึงตังจะไปถามพ่อกับแม่ให้รู้เรื่อง พวกท่านที่เพิ่งกลับมาจากบริษัทเห็นเธอร้องไห้จนพูดจาแทบฟังไม่ได้ศัพท์ก็รีบกอดเธอเอาไว้แน่นแล้วพูดปลอบเธอว่า เป็นเพราะท่านไม่ดีเอง ไม่มีอะไรเกี่ยวกับเธอทั้งนั้น อย่าได้ไปฟังคนอื่นพูดเหลวไหล คนอื่นจะพูดยังไง จะเข้าใจยังไงก็ได้ เพราะพวกเขาไม่รู้ แต่เธอจะต้องไม่เข้าใจผิด เพราะเธอเป็นคนในครอบครัว น้องไม่อยู่แล้วคือความจริงที่ต้องยอมรับ และสิ่งที่ต้องทำให้ได้ก็คือใช้ชีวิตต่อไปให้ดีที่สุดในฐานะของคนที่ยังอยู่
ในตอนนั้นเธอไม่ได้เข้าใจอะไรมากนัก รู้เพียงแค่พวกท่านบอกว่ามันไม่เกี่ยวกับเธอ ไม่ต้องไปฟังคนอื่นให้มากความ แต่พอโตมาถึงได้รู้ว่าช่วงเวลาเก้าปีก่อนที่ท่านจะได้พูดกับเธอในวันนั้น ท่านคงต้องทนทุกข์ทรมานอย่างสุดแสน และต้องผ่านการทำใจมาเป็นร้อยเป็นพันครั้ง ถึงได้พูดกับเธอด้วยสีหน้าท่าทางที่เยือกเย็นปานนั้น
เพื่อตอบแทนความพยายามของพวกท่าน เธอจึงตั้งใจเป็นลูกสาวที่สมบูรณ์พร้อมของพ่อกับแม่ ไม่เคยทำให้ท่านต้องหนักใจไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม ซึ่งเธอก็สัมผัสได้ว่าพวกท่านภูมิใจในตัวเธอไม่น้อย หากบางทีก็สัมผัสได้ว่าพวกท่านอยากจะชดเชยให้ลูกสาวที่จากไปตั้งแต่ยังไม่ลืมตาดูโลกอีกคน ไม่ว่าสิ่งใดที่ดีที่สุดย่อมต้องสรรหามาให้เธอกับพี่สาวได้ใช้กัน ใครต่อใครจึงพากันเรียกขานเธอเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยของอาณาจักรโรจน์รวีเตชานนท์ เธอเองก็ไม่ได้คิดว่ามันผิดไปจากความจริงนัก เพราะชั่วชีวิตที่เกิดมาเธอก็ไม่เคยต้องลำบากลำบนอะไรจริงๆ ซ้ำยังถูกประคบประหงมอยู่พอสมควรอีกด้วย ถ้าไม่ติดว่าตัวเธอเป็นคนดื้อเงียบ สรรหาอะไรนอกกรอบมาเล่นเพิ่มสีสันให้กับชีวิตบ้าง เธอก็คงได้กลายเป็นคุณหนูเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อตามสูตรเข้าจริงๆ
วันมะรืนพวกท่านจะกลับไปฉลองวันเกิดกับเธอที่บ้านเหมือนอย่างทุกปี ครอบครัวเธอจะได้อยู่กันพร้อมหน้า จะยังมีอะไรน่ายินดีกว่านี้อีกกัน ถ้าไม่เรื่องที่เธอติดต่อธิษฐ์ไม่ได้มาตั้งแต่วันที่ข่าวเสียหายของเธอหลุดออกมา เธอก็คงนับเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกได้แล้ว
ตั้งแต่ที่เธอหนีตายรอดกลับมาได้วันนั้น เธอก็โทรหาเขาทุกวันเพราะอยากจะรู้ว่าเขาเป็นยังไงบ้าง เดือดร้อนเพราะข่าวลือเสียๆ หายๆ ของเธอบ้างรึเปล่า แต่นอกจากเสียงตอบรับอัตโนมัติแล้ว เธอก็ไม่ได้ยินเสียงพูดคุยอื่นตอบกลับมาเลยสักครั้ง เธอโทรไปถามโรงแรมที่เขาพัก พนักงานที่นั่นก็บอกว่าเขาเช็คเอ้าท์ออกไปแล้ว
หากเป็นคนอื่นเธอคงสรุปได้แทบจะในทันทีว่า เขาก็แค่ผู้ชายคนนึงที่อยากจะตีตัวออกห่างจากผู้หญิงคนนึง เพราะทนกลิ่นฉาวโฉ่ของเธอไม่ไหว แต่กับอธิษฐ์เธอไม่เคยคิด...และยิ่งไม่วันจะคิดว่าเขาเป็นผู้ชายแบบนั้น เขาจับมือเธอผ่านเรื่องราวร้ายๆ มามากมาย ยอมอดทนรอจนกระทั่งเธอก้าวออกมาจากความโศกเศร้าในครั้งนั้น แล้วคบหากับเขาโดยปราศจากความรู้สึกผิด เขาไม่เคยแม้แต่จะเร่งรัด บีบคั้น หรือหายไปจากชีวิตเธอ ครั้งนี้เองก็เหมือนกัน เขาจะต้องมีเหตุด่วนอะไรสักอย่างแน่ถึงได้รับโทรศัพท์เธอไม่ได้ หรือบางทีเขาอาจจะติดราชการสำคัญก็ได้ วันมะรืนก็จะเป็นวันเกิดเธอแล้ว จะดีจะร้ายยังไงเขาจะต้องติดต่อกลับมาภายในสองสามวันนี้แน่
เพราะเขาคือพี่อธิษฐ์ของเธอ...เขาไม่มีวันทิ้งเธอไปเพราะคำครหาไร้สาระพวกนั้นแน่...
เมื่อคิดถึงขั้นนี้ เพียงน้ำพลอยจึงนึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้ยังไม่ทันได้ลองโทรเขาอีกครั้ง มือบางจึงเอื้อมไปกดเลือกรายชื่อผู้ติดต่อที่บันทึกเอาไว้ว่า ‘พี่อิฐ’ แล้วโทรออกทันที
“หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถ...”
เพียงไม่น้ำพลอยไม่รอให้เสียงตอบรับอัตโนมัติได้ทำหน้าที่ของมันจนจบก็กดวางสายทันที ในใจเริ่มรู้สึกเย็นเยียบยังไงชอบกล อดสังหรณ์ใจไม่ได้ว่าบางทีอาจจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นกับเขาก็ได้ กับคำครหาบนหน้าหนังสือพิมพ์พวกนั้น เธอเองก็ใช่ว่าจะมั่นใจไปเสียทั้งหมดว่ามันไม่จริง อย่างเรื่องที่ดวงเธอข่มคนอื่นจนเป็นอันต้องเดือดร้อนกันทุกรายนั้น แม้มันจะเหลือเชื่ออยู่สักหน่อย แต่หลักฐานก็มีให้เห็นมาไม่น้อยแล้ว จะให้เธอห้ามใจไม่ให้กลัวยังไงไหว แต่ที่ทำได้ตอนนี้ก็คงมีแค่หลับตาปลอบประโลมตัวเองอยู่ในใจเงียบๆ
กวินทร์ก็ทิ้งเธอไปแล้ว...สวรรค์คงไม่ใจร้ายถึงขั้นเอาพี่อธิษฐ์ของเธอไปด้วยอีกคนหรอก...
เย็นวันเดียวกันนั้น เพียงน้ำพลอยตัดสินใจปรึกษาน้ำผึ้งพระจันทร์ผู้มีอำนาจกว้างขวางพอสมควร ว่าจะพอมีหนทางไหนบ้างที่สามารถตามสืบได้ว่าเขาทำอะไรอยู่ที่ไหน ตอนนี้เธออยู่ฮ่องกงตัวคนเดียว แม้อำนาจเรื่องเงินจะพอทำให้อะไรต่อมิอะไรสะดวกสบายเสียจนไม่ต่างจากอยู่ที่เมืองไทย แต่กับเรื่องหาคนๆ นึงซึ่งไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหนของประเทศนี้ หรือประเทศอื่น นอกจากน้ำผึ้งพระจันทร์แล้วเธอก็มองไม่เห็นใครที่เหมาะสมอีก ซึ่งเพื่อนรักของเธอก็ให้ความช่วยเหลืออย่างว่าง่าย ไม่มีท่าทีลำบากใจแต่อย่างใด ทำให้เธอเบาใจได้ส่วนหนึ่งว่าตัวเองคงไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้เพื่อนเท่าไรนัก
หนึ่งชั่วโมงต่อมา...เธอกำลังเก็บข้าวของสำหรับกลับเมืองไทยในวันพรุ่งนี้อยู่ในห้อง น้ำผึ้งพระจันทร์ก็เดินเข้ามาบอกเธอว่า เขาเจ้านายถูกเรียกตัวด่วนให้ไปทำธุระทางราชการ ส่วนรายละเอียดต่างๆ ยังไม่ทราบแน่ชัด หากเธออยากรู้จริงๆ น้ำผึ้งพระจันทร์รับปากว่าจะให้คนช่วยสืบต่อไปให้ คิดว่าไม่เกินสองสามชั่วโมงคงรู้เรื่อง ทำเอาเธอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก ยิ้มกว้างออกมาอย่างปลอดโปร่งสบายใจ แล้วปฏิเสธการช่วยเหลือของเพื่อนไป เพราะไม่อยากรบกวนกำลังคนของเพื่อนโดยใช่เหตุอีก เธอขอบคุณน้ำผึ้งพระจันทร์อย่างจริงใจสั้นๆ แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายไปใช้เวลาส่วนตัวกับครอบครัว ส่วนตัวเองก็เก็บข้าวของลงกระเป๋าต่อ แล้วตั้งใจว่าจะเข้านอนไวกว่าปกติสักหน่อย ตอนเช้าจะได้ตื่นไปสนามบินอย่างสดใส
ก่อนนอนคิดคำนวนไปถึงว่าอธิษฐ์จะกลับจากราชการทันงานวันเกิดของเธอหรือเปล่า... พ่อกับแม่เธอรู้ว่าอธิษฐ์ตามจีบเธอมาแรมปี แต่ไม่รู้ว่าเธอตกลงคบหาดูใจกับเขาอย่างเป็นทางการมาได้เดือนนึงแล้ว ฉะนั้นเธอควรจะเอ่ยปากกับพ่อแม่ว่ายังไงดีนะ...คิดทบทวนกลับไปกลับมาหลายตลบ เปลือกตาบางก็ทนความอ่อนล้าของร่างกายไม่ไหว ผล็อยหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน ปล่อยให้ความฝันในนิทราช่วยขบคิดทางออกแทน
วันต่อมา...น้ำผึ้งพระจันทร์กับเหวินหยางหลงมาส่งเธอด้วยตัวเองที่สนามบิน เธอเอ่ยขอบคุณเหวินหยางหลงสำหรับความช่วยเหลือและการดูแลของเขาตลอดช่วงเวลาที่เธออยู่ที่นี่ จากนั้นก็กอดร่ำลากับเพื่อนรักพอเป็นพิธี แต่ไม่ใคร่อาลัยอาวรณ์กันมากนัก เพียงมองหน้ายิ้มให้กันอย่างรู้ใจแล้วปล่อยมือจากกันแต่โดยดี เพราะรู้ดีมาแต่ไหนแต่ไรว่าระหว่างเธอกับเพื่อนคนนี้ ไม่เคยมีคำว่าจากกันชั่วนิรันดร์อยู่แล้ว จากกันวันนี้ก็ไม่แน่ว่าสักสองสามอาทิตย์ถัดมา ยัยแม่มดก็ต้องกลับไปดูร้านขนมที่เป็นหุ้นส่วนกันอยู่ ทั้งยังต้องพาเสี่ยวเวยหลงไปเยี่ยมคุณตาอีก เรียกได้ว่าต่อให้กอดกันให้มากกว่านี้ อีกไม่กี่อาทิตย์ก็คงต้องกอดกันอีกอยู่ดี
เพียงเวลาสองชั่วโมงนิดๆ เครื่องบินส่วนตัวของตระกูลโรจน์รวีเตชานนท์ก็พาคุณหนูคนเล็กร่อนลงยังพื้นสนามบินของเมืองไทย ร่างบางระหงใส่เดรสสั้นแขนกุดสีดำทับด้วยเสื้อโค้ทยาวสีกากี ใบหน้าขาวละเอียดดุจเครื่องแก้วถูกบดบังด้วยแว่นตากันแดดสำดำราคาแพงระยับ ผมยาวสลวยดุจน้ำหมึกช่วงปลายระกลางหลังหยักเป็นลอนใหญ่พริ้วเป็นคลื่นบางๆ ยามที่เจ้าตัวเคลื่อนไหว พร้อมกันนั้นรองเท้าส้นสูงราวสามนิ้วที่ยกร่างบางระหงให้ดูสูงสง่ายิ่งกว่าเดิมก็ส่งเสียงดังกริกๆ ยามที่เดินเหินบนพื้นแกรนิต
ใจหนึ่งเธออยากจะเดินออกจากประตูสนามบินให้เร็วที่สุดจะได้กลับบ้านตัวเองสักที ทว่าอีกใจหนึ่งกลับไม่อยากก้าวไปข้างหน้าแม้แต่ก้าวเดียว เพราะรู้ดีว่าทันทีที่พ้นประตูไปแล้วแสงแฟลชจากกล้องถ่ายภาพ ไมค์จากนักข่าว เสียงดังอึงอลชวนปวดหัวจะประเดประดังเข้ามาหาเธอขนาดไหน ต่อให้ระยะทางจากประตูสนามบินถึงประตูรถจะมีแค่ก้าวเดียว เธอก็ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตัวเองจะทนอาการแสบตาจนวิงเวียนศีรษะได้รึเปล่า
‘คุณลุงประวิทย์’ ผู้อาวุโสที่สุดของบ้าน ทั้งยังเป็นมือขวาคอยจัดการเรื่องที่บ้านให้กับคุณพ่อของเธอ ใช้อภิสิทธิ์พิเศษมารอรับเธอถึงด้านในอาคารผู้โดยสาร เธอยิ้มละไมพลางยกมือขึ้นไหว้ผู้อาวุโสตรงหน้าอย่างนอบน้อม หากชายสูงวัยกลับโค้งทำความเคารพเธอจนเกือบเก้าสิบองศา ซึ่งออกจะดูมากเกินกว่าปกติอยู่สักหน่อย เพียงน้ำพลอยจึงรีบเข้าไปพยุงเขาให้เงยหน้าขึ้นคุยกันดีๆ ทว่าทันทีที่เห็นหน้าเธอชัดๆ ดวงตาไร้ความมันวาวอย่างคนสูงวัยกลับรื้นไปด้วยน้ำตาคลอหน่วย เสียงสะอื้นในอกที่ใกล้จะเก็บกลั้นไม่อยู่ค่อยๆ ดังขึ้นทีละนิดจนคนกลั้นตัวโยนไปตามแรงสะอื้นฮั่ก
“อะไรกันคะ น้ำพลอยไปฮ่องกงแค่ไม่กี่วันเอง” เพียงน้ำพลอยแสร้งเอ่ยสัพยอกผู้อาวุโสตรงหน้า ราวกับคิดว่าท่านคิดถึงเธอจนน้ำหูน้ำตาไหล ทว่าน้ำเสียงที่เอ่ยออกมากลับสั่นเครือคล้ายกำลังเก็บกลั้นอารมณ์บางอย่างที่พุ่งปะทุขึ้นมากะทันหัน
นัยน์ตากลมโตดุจไข่มุกดำสั่นไหวขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกคล้ายกับตัวเองถูกคว้านท้องออกไปจนอวัยวะภายในกลวงโหวง หัวใจที่เคยสูบฉีดเลือดได้อย่างดีพลันบีบรัดแน่นจนเธอเริ่มหายใจไม่ออก ทั่วทุกสรรพางค์กายเย็นเยียบขึ้นมาจนเสียดกระดูก รู้สึกได้ด้วยลางสังหรณ์บางประการว่า คำพูดในวินาทีต่อไปของชายสูงวัยตรงหน้าจะเป็นถ้อยคำที่กำลังจะทำให้เธอล้มทั้งยืน
“คุณท่านกับคุณผู้หญิง...เสียแล้วครับคุณหนู...”
#นัดเอาไว้ผิดนัด เลื่อนนัดอีกทีก็ยังผิดนัดอีกTT #กราบเบญจางคประดิษฐ์ค่ะ เนื่องด้วยตั้งใจจะให้เรื่องมาถึงขอบเขตที่วางไว้เลยตัดใจยอมเลท เขียนให้ได้เท่าที่วางแพลนไว้ ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
#อีเฮียฟรานจะไปแล้วไปลับรึเปล่า จะเกิดอะไรขึ้นกับน้ำพลอยต่อไป อย่าลืมมาติดตามกันน้าาา
(ใบ้ให้ว่าตอนหน้าจะเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ฝากติดตามลุ้นกันด้วยน้า)
#เรื่องนี้ยังเม้นท์น้อยอยู่เลยย เห็นทีไรใจห่อเหี่ยวทุกทีเลยย
อย่าลืมเม้นท์+จิ้มโหวตเป็นกำลังใจให้เค้าด้วยน้าาา
พริมสิตางศุ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ก.ค. 2560, 03:11:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ก.ค. 2560, 03:25:44 น.
จำนวนการเข้าชม : 837
<< Chapter 8 : กรรมสนอง | Chapter 10 : เคว้ง >> |
greengrass 5 ก.ค. 2560, 18:24:41 น.
สนุกค่ะ
สนุกค่ะ
พริมสิตางศุ์ 5 ก.ค. 2560, 20:28:29 น.
ดีใจมากๆ เลยค่ะที่คนอ่านชอบ หายเหนื่อยเลยยย
ยังไงก็ฝากติดตามเป็นกำลังใจให้กันในตอนต่อๆ ไปด้วยน้าา^^
ดีใจมากๆ เลยค่ะที่คนอ่านชอบ หายเหนื่อยเลยยย
ยังไงก็ฝากติดตามเป็นกำลังใจให้กันในตอนต่อๆ ไปด้วยน้าา^^