ลิขิตรักเก็บตก (พิริตา) เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อมE-Book
‘หวาย’ หรือ ‘วาสุรีย์’ เจ้าของสวนกล้วยไม้วาสุรีย์ ได้ให้การช่วยเหลือชายหนุ่มต่างชาติที่ถูกทำร้ายปางตายคนหนึ่ง
เขาฟื้นขึ้นมาพร้อมกับอาการความจำเสื่อม ด้วยความเห็นใจเธอจึงตัดสินใจรับภาระดูแลเขาต่อจนกว่าจะรู้ว่าเขาเป็นใคร
และในที่สุดชายชาวต่างชาติหน้ารกที่มีชื่อใหม่หมาดว่า ‘บักสีดา’ ก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของสวนกล้วยไม้วาสุรีย์
ท่ามกลางความสงสัยในที่มาที่ไปของเขา ชายหนุ่มกลับเป็นขวัญใจของคนงานด้วยกันได้ไม่ยาก
ระหว่างนั้นสวนกล้วยไม้วาสุรีย์กลับมีภัยถาโถมรอบด้าน ‘บักสีดา’ จึงกลายเป็นเรี่ยวแรงกำลังสำคัญให้กับหญิงสาวและสวนวาสุรีย์โดยไม่รู้ตัว และก็เช่นกัน... ความเป็นมาของเขายังคงเต็มไปด้วยความมืดดำ อีกทั้งไม่รู้ว่า ‘ภัย’ ที่กำลังเกิดขึ้นกับสวนวาสุรีย์นั้นเกี่ยวข้องกับเขาหรือไม่อย่างไร? เขาเป็นใคร? มาจากไหน?
ปริศนาที่เป็นป้ายติดหน้าผากของเขาจะถูกปลดออกไปได้อย่างไร และที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือทั้งคู่จะฝ่าอันตรายจากผู้ไม่หวังดีไปได้หรือไม่? โปรดตามลุ้นเรื่องราวความรักซ่อนเงื่อน ที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ตื่นเต้น ได้ใน ‘ลิขิตรักเก็บตก’ เร็วๆ นี้!!!




Tags: หวาย แวนด้า กล้วยไม้ สายลับ ฝรั่ง ขี้นก บักสีดา FSB KGB รัสเซีย นครนายก เมมโมรี่การ์ด

ตอน: บทที่ 5 เงื่อนงำที่ไม่เคยรู้

##เปิดจองนิยายรัก 2 เรื่อง 2 รส##
‘ลิขิตรักเก็บตก’
มี 2 เล่มจบ ราคาเล่มละ 339 บ.
2 เล่มลดเหลือ 670 บ.
‘ฝากรักไว้ในสายหมอก’
ราคา 369 บ. ลดเหลือ 360 บ.
*พิเศษ!! สั่งซื้อ 3 เล่ม ในราคาเพียง 999 บ. เท่านั้น*
สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้
ทางอินบ็อกเฟส : pirita ametrine
หรือในเพจ ‘พิริตา อเมทริน นักเขียน’
Email: kanplu@windowslive.com
โทร.0626656247 หรือทางไลน์ ID: pirita-ametrine
วันนี้-20 สิงหาคม นี้ เท่านั้น!!


บทที่ 5 เงื่อนงำที่ไม่เคยรู้


วาสุรีย์พยุงร่างใหญ่เข้ามาในห้องหนึ่ง ตรงชั้นล่างของบ้าน ซึ่งเป็นห้องพักที่มีไว้สำหรับคนติดตามของแขก ตั้งแต่สมัยบิดาของเธอยังมีชีวิตอยู่ ในห้องแม้ไม่ใหญ่โตแต่ก็สะอาดสะอ้าน เพราะป้าแจ้มคอยดูแลบ้านหลังนี้ให้สะอาดทุกซอกทุกมุมและพร้อมใช้งานอยู่เสมอ หญิงสาวพยุงเขาไปนั่งลงที่เตียงติดฝาผนังด้านหนึ่ง

“ฉันว่าคุณจิบเกลือแร่หน่อยดีกว่านะคะ แล้วค่อยนอนพักผ่อน” เธอบอก แล้วจึงรีบออกไปจัดการชงเกลือแร่มาให้ และชายหนุ่มก็รับไปดื่มครึ่งหนึ่ง ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงอย่างอ่อนแรง

หญิงสาวทอดสายตามองร่างที่นอนเหยียดยาวนั้นอย่างกังวล ด้วยกลัวว่าเขาจะเป็นอะไรมากไปกว่านี้ แถมยังเจิดอีกคน เห็นทีคืนนี้เธอคงนอนไม่หลับอีกตามเคย เพราะต้องคอยดูอาการของคนตัวโต และรอฟังว่าลุงสมจะมาเรียกหรือเปล่า วาสุรีย์จึงปล่อยให้ชายหนุ่มพักผ่อน ก่อนจะพาตัวเองออกไปเอนหลังที่ชุดรับแขกซึ่งอยู่เยื้องกันไปในห้องโถงใหญ่ของบ้าน

แต่เพียงเวลาไม่นานเธอก็งีบหลับไป จนกระทั่งได้ยินเสียงแกรกกรากจึงสะดุ้งตื่น หญิงสาวดีดตัวลุกขึ้นจากโซฟาตัวยาวและรีบเข้าไปดูในห้อง ก็พบว่าเจ้าของร่างใหญ่กำลังลุกขึ้นจากเตียง

“คุณเป็นอะไรมากหรือเปล่า หรือจะเข้าห้องน้ำ” วาสุรีย์รีบเข้าไปประคอง

“เปล่า ผมค่อยยังชั่วแล้ว เพียงแต่หิวน้ำเท่านั้นเอง” เขามองไปรอบข้างอย่างไม่คุ้นชินกับสถานที่

“เดี๋ยวฉันไปเอาให้เองค่ะ ว่าแต่คุณยังอยากเข้าห้องน้ำอีกไหม”

หญิงสาวถาม

“ไม่แล้วล่ะครับ มีแต่อาการปั่นป่วนมวนท้อง แต่ก็คลายลงไปมากแล้ว” เขาว่าแม้ท่าทีจะติดอ่อนล้า แต่วาสุรีย์ก็เบาใจขึ้น

“ถ้าอย่างนั้นดื่มเกลือแร่ต่ออีกแก้วก็แล้วกันนะคะ” หญิงสาวออกไปจากห้อง ครู่หนึ่งจึงกลับมาพร้อมแก้วบรรจุน้ำสีส้มสวย

“ขอบคุณมากนะคุณหวาย คุณเลยต้องมาอดนอนเพราะผมเลย” เขาเรียกชื่อเธอได้ชัดเจนมาก แต่เจ้าของชื่อก็ไม่แปลกใจ เพราะเห็นชายหนุ่มพยายามหัดพูดภาษาไทยเพื่อใช้สื่อสารกับคนในสวนวาสุรีย์ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันไม่ได้อดนอนสักหน่อยก็นอนข้างนอกนี่ไง”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ คงไม่สบายเท่าไหร่ คุณขึ้นไปนอนเถอะครับ ผมไม่เป็นไรมากแล้ว” เขาบอก ก่อนจะชะงัก หน้านิ่ว

“คุณเป็นอะไรไปคะ” วาสุรีย์ถามขึ้นอย่างตกใจ ขณะที่ชายหนุ่มยกมือกุมศีรษะ “หรือว่าปวดหัวอีก” เจ้าตัวทำเสียงรับในลำคอ

“ยา ผมขอยาหน่อย” แล้วจึงบอกหญิงสาวต่อ

“รอเดี๋ยวนะคะ” วาสุรีย์รีบหยิบถุงยาที่เธอถือติดมือมาด้วย แล้วจัดให้เขาอย่างครั้งก่อน

แม้อาการของชายหนุ่มจะไม่หนักหนาเหมือนครั้งแรกที่เคยเห็น ซึ่งแทบจะไม่รู้สึกตัว แต่ก็มีริ้วรอยความเจ็บปวดให้เห็นอยู่บนใบหน้ารกๆ นั้นอยู่ดี พอกินยาแล้วเอนกายพิงฝาผนังไปได้สักครู่ เขาก็มีท่าทีผ่อนคลายลง

“ฉันว่าคุณนอนพักก่อนดีกว่านะคะ” วาสุรีย์ช่วยประคองร่างที่นั่งอยู่บนเตียงเพื่อจะให้นอนลง แต่ทว่าร่างใหญ่โตนั้นกลับโถมเข้าใส่ตัวเธอจนล้มหงายหลัง “ว้าย!! ทำบ้าอะไรของคุณเนี่ย” หญิงสาวร้องด้วยความตกใจสุดขีด

ขณะล้มลงนอนแผ่อยู่บนเตียง โดยมีร่างของเขาทาบทับอยู่ครึ่งซีก และแขนแข็งแกร่งนั้นก็โอบเอวบางเอาไว้เสียด้วย หัวใจของวาสุรีย์เต้นตึ๊กตั๊กกับความแนบชิดนี้จนตะลึงไปชั่วครู่

“นี่บักสีดาออกไปนะ ทำบ้าอะไรของคุณ” หญิงสาวแหวใส่ เมื่อได้สติ

แต่ร่างใหญ่นั้นกลับไม่ขยับเขยื้อนแต่อย่างใด เธอจึงเหลือบตาขึ้นมองใบหน้าขาวที่รกรื้นไปด้วยหนวดและไรเครานั้น ก็เห็นว่าดวงตาของเขาปิดสนิทเสียแล้ว

“คนบ้า! ” หญิงสาวบ่นอุบ หน้าร้อนวูบวาบ

นึกอายที่ตัวเองคิดไปไกลว่าเขาจะทำอะไร ขณะพยายามเบี่ยงกายออกจากอ้อมกอดของคนตัวโต ที่มาตอนนี้ยังคงหายใจสม่ำเสมอเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

วาสุรีย์นั่งมองใบหน้าขาวที่ตะแคงมาให้เห็น และก็อีกครั้งที่เธอนึกอยากจะเห็นนักว่าใบหน้าปราศจากหนวดเครารกรุงรังของเขาจะเป็นยังไง แต่ที่แน่ๆ ดวงตาคู่สีน้ำตาลเหลื่อมประกายเขียวของเขานั้นดูแปลกตา แต่ก็ดูคมสวยและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา อีกทั้งจมูกก็โด่งพอดี ริมฝีปากหยักได้รูปเวลายกยิ้มก็ดูสว่างไสว

ครั้งหนึ่งหญิงสาวกับเพื่อนพยาบาลอย่างเกศรา เคยคุยกันว่าเขาหน้าตาคล้ายพวกรัสเซีย และคนในแถบนั้นขึ้นชื่อเรื่องเป็นคนยิ้มยาก หากเป็นอย่างนั้นจริง กับอีตาบักสีดานี่เห็นทีจะเป็นข้อยกเว้น เพราะเขาพร้อมจะยิ้มอย่างซื่อๆ ยิ้มอย่างยินดีกับทุกสิ่งที่เห็น เพราะฉะนั้นตอนนี้หากตัดสินกันด้วยเหตุผลข้อนี้อย่างส่งๆ ละก็ วาสุรีย์คิดว่าเขาอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับรัสเซียเลยก็ได้

ทุกอย่างในตัวผู้ชายคนนี้ยังเป็นปริศนา ราวกับตัวเขาเดินไปเดินมาแล้วแบกเครื่องหมายคำถามไปด้วย ไม่ใช่แค่ตัวเขาที่พยายามรื้อฟื้นความทรงจำของตัวเอง แต่เขาต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่นด้วยเช่นกัน

สำหรับเรื่องนี้ทางด้านสารวัตรทวิพันธุ์เองก็ยังไม่มีความคืบหน้าอะไร หรือว่าเธอกับทุกคนจะต้องจริงจังกับการค้นหาตัวตนของเขามากกว่านี้นะ

วาสุรีย์ถามตัวเอง ก่อนจะหยิบผ้าห่มตรงปลายเตียงมาห่มให้คนตัวโต แล้วออกไปจากห้อง

*-*-*-*-*-*

วันต่อมา หลังตื่นนอนหญิงสาวก็รีบอาบน้ำแต่งตัวลงมาจากห้องทันที เมื่อคืนหลังออกมาจากห้องที่บักสีดาพักแล้ว เธอกลับขึ้นมานอนบนห้องแบบหลับๆ ตื่นๆ ด้วยความกังวลทั้งกับตัวชายหนุ่มเองแล้วก็เจิด

แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เธอก็อยากไปดูว่าเช้านี้คนทั้งคู่ดีขึ้นหรือยัง พอลงมาถึงชั้นล่างหญิงสาวเห็นป้าแจ้มกำลังง่วนอยู่กับการทำอาหารในห้องครัวพอดี

“ลงมาแล้วเหรอคะคุณหนู” ป้าแจ้มทักทายเมื่อเห็นหน้าเจ้านาย ที่อยู่ในชุดพร้อมจะออกไปทำงาน

“ค่ะ ป้าแจ้ม นี่เจิดเป็นยังไงบ้างคะ หวายว่าจะไปดูอยู่พอดี” หญิงสาวรีบถามอาการลูกน้องคนสนิททันที

“ไม่ต้องหรอกค่ะคุณหนู ไอ้เจิดมันหายแล้วล่ะค่ะ เพียงแต่อ่อนเพลียไปหน่อยเท่านั้นเอง พูดแล้วก็สมน้ำหน้านะคะ เพราะมันนั่นแหล่ะที่พาบักสีดาไปกินส้มตำกับนางหวีมา ก็เลยพากันท้องเสียอย่างนี้”

“เหรอคะ บักสีดาก็กินกับเจิดด้วยเหรอคะ” นั่นเป็นเรื่องน่าประหลาดใจอยู่ไม่น้อยสำหรับคนฟัง

“เห็นว่ากินไปคำเดียวเอง ก็ไอ้เจิดมันบังคับนั่นแหล่ะค่ะ กรรมตามทัน มันเลยเป็นมากกว่าบักสีดาเลย ว่าแต่เมื่อคืนบักสีดาเป็นยังไงบ้างคะคุณหนู” ป้าแจ้มถามไถ่ถึงอาการคนฝั่งนี้บ้าง

“อาการท้องเสียไม่มีแล้วค่ะ แต่เขาปวดหัวเหมือนคราวที่แล้ว หวายก็เลยให้กินยา คงดีขึ้นแล้วล่ะคะ หวายว่าจะแวะไปดูเขาอยู่เหมือนกันค่ะป้าแจ้ม”

“โชคดีนะคะที่คุณหนูพามันมาพักที่นี่ ไม่อย่างนั้นป้ากับลุงก็ต้องมาตามคุณหนูให้วุ่น เพราะไม่รู้จะเอายาอะไรให้มันกิน พูดไปก็น่าสงสารเจ้านี่มันนะคะ จำอะไรก็ไม่ได้หนำซ้ำยังได้โรคปวดหัวแปลกๆ ติดตัวมาอีก ป้าว่าโชคดีนะคะที่มันมาอยู่ที่สวนของเรา ไม่อย่างงั้นไม่รู้ว่ามันจะไปตกระกำลำบากกว่านี้หรือเปล่านะคะ” ป้าแจ้มว่าอย่างนึกเห็นใจคนความจำเสื่อม ซึ่งคนเป็นเจ้านายก็ได้แต่รับฟังและทำเสียงอืออออย่างเห็นด้วย “คุณหนูจะไปดูบักสีดามันก็ไปเถอะค่ะ เดี๋ยวป้าทำข้าวต้มเสร็จแล้วจะให้เจ้าพวกนี้มันกิน เผื่อจะได้กินยากัน”

วาสุรีย์สาวเท้าไปยังห้องที่บักสีดาพักอยู่ แล้วจึงเปิดประตูเข้าไปข้างใน เพราะเห็นเงียบเชียบคิดว่าเขาคงกำลังนอนอยู่ แต่ทว่าบนเตียงนั้นกลับไม่มีแม้แต่เงาของร่างใหญ่ที่คุ้นตา นั่นทำให้วาสุรีย์แปลกใจเป็นอย่างยิ่ง

“คุณ... บักสีดาคะ คุณอยู่ไหน” หญิงสาวเรียกออกไป

ไม่มีเสียงตอบรับ ได้ยินเพียงเสียงแกรกกรากดังอยู่ในห้องน้ำที่เปิดแง้ม หญิงสาวรู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อคิดว่าเขาอาจจะท้องเสียจนไม่มีแรง ความคิดนั้นส่งผลให้หญิงสาวรีบปราดเข้าไปในห้องน้ำทันที

“บักสีดา คุณเป็นยังไงบ้างคะ ....” แต่ทว่า... เข้าไปได้ไม่กี่ก้าวกลับชะงักเพียงแค่นั้น ดวงตาคู่สดใสเบิกค้างกับภาพที่ปรากฏตรงหน้า

เจ้าของร่างสูงใหญ่ยืนอยู่หน้ากระจก ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราอาจดูอิดโรยไปบ้างแต่ก็ดูดีกว่าเมื่อคืน แต่สิ่งที่ตรึงสายตาหญิงสาวเอาไว้ในตอนนี้กลับเป็นสภาพของเขาที่ท่อนบนเปล่าเปลือยไร้สิ่งปกปิด

บนอกแกร่งเต็มไปด้วยมัดกล้าม ต่ำลงมาอีกนิดลอนซิกแพคเด่นชัดสวยงามบ่งบอกว่าเจ้าตัวใส่ใจสุขภาพเป็นอย่างดี ร่างกำยำที่มีรอยแผลเป็นให้เห็นอยู่ประปรายนั้นมีหยาดน้ำเกาะพราว

อีกทั้งแม้ท่อนล่างของเขาจะมีผ้าเช็ดตัวสีขาวพันเอาไว้ แต่ไม่รู้ว่าผ้าผืนนั้นมันเล็กหรือตัวเขาใหญ่เกินไปกันแน่ มันจึงดูทั้งสั้นเต่อ ปกปิดไม่มิด เขาจึงเลือกที่จะปกปิดเพียงด้านหน้าและหลัง

แต่ด้านข้างด้านหนึ่งกลับแหวกจนท่อนขากำยำแพลมมาให้เห็น มันดูหมิ่นเหม่เสียจนหญิงสาวหน้าร้อนผ่าวอย่างห้ามไม่ได้ วาสุรีย์ไม่อยากจะพูดเลยว่าร่างที่อยู่ตรงหน้าเซ็กซี่ขยี้ใจสาวแค่ไหน แต่...ให้ตายเถอะ! มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

“คุณหวาย” เสียงเรียกอย่างตกใจไม่แพ้กันนั้น ทำให้หญิงสาวรู้สึกตัว

“อย่าบอกนะว่าคุณยังไม่หาย คุณพึ่งเข้าห้องน้ำ หรือคุณปวดหัวอีก” เธอถามขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้จะไม่ลืมว่าเขาอยู่ในสภาพไหนในตอนนี้ แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี

“ไม่ๆ ทุกอย่างโอเค. แล้ว เพียงแต่ผมยังรู้สึกเพลียๆ ก็เลยมาอาบน้ำ หวังว่ามันจะทำให้สดชื่นขึ้นแค่นั้นเอง ผมคิดว่าถ้ามันโอเค. ผมจะได้ไปทำงานตามปกติไงครับ”

“ไม่ได้เด็ดขาด คุณยังไม่หายดี ฉันว่าคุณกับเจิดพักสักวันก็แล้วกัน ไว้หายจริงๆ แล้วค่อยไปทำดีกว่า” เขาทำเสียงรับในลำคอ

ขณะเดียวกันนั้นเอง ความรู้สึกตะขิดตะขวงใจของหญิงสาวยิ่งมีมากขึ้น แม้ระยะห่างระหว่างเขากับเธอจะห่างเป็นเมตร แต่วาสุรีย์รู้สึกหน้าเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาอีกรอบ

ใจก็สั่นหวิวไหว เมื่อสายเตาเจ้ากรรมคอยแต่จะจ้องอกกว้างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามนั้น เธอไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสาวๆ บางคนถึงมีอาการเลือดกำเดาพุ่งเมื่อเห็นซิกแพ็คหนุ่มหล่อซักคน ไม่ได้การเธอจะต้องออกจากสถานการณ์อันตรายนี้

“เอ่อ... ถ้าอย่างนั้นฉันออกไปก่อนก็แล้วกัน” เอ่ยออกไปด้วยเสียงที่พยายามบังคับไม่ให้สั่นไหว ขณะที่ใจไม่อยู่กับเนื้อตัว

แต่ทว่าเมื่อหมุนตัวจะออกจากห้องน้ำร่างโปร่งบางกลับลื่นไถล และโดยไม่ทันตั้งตัวเธอเสียหลักพุ่งคะมำไปข้างหน้า

“วะ...ว้าย!!!”

“คุณหวายระวัง!! ” เสียงร้องด้วยความตกใจดังประสานขึ้น

พร้อมกับร่างสูงใหญ่ถลันเข้ามาเพื่อรับร่างของหญิงสาว แต่ทันคว้าเอาไว้ได้เพียงแค่มือข้างหนึ่งของเธอ ในห้วงเวลาที่เคว้งคว้างมืออีกข้างของ

วาสุรีย์กลับไขว่คว้าไปทั่ว และแล้ว...

“เฮ้ย! ” ชายหนุ่มร้องเสียงหลงยิ่งกว่าเดิม

เมื่อสิ่งปกปิดร่างกายเพียงชิ้นเดียวของตนหลุดติดมือของหญิงสาวไป โชคดีที่เขามีสติมากพอจึงรั้งร่างที่กำลังเหวี่ยงไปทางฝาผนังเข้ามาสู่อ้อมกอดของตนอย่างรวดเร็ว

วาสุรีย์ตกใจสุดขีด ด้วยนึกว่าหัวของตนจะฟาดเข้ากับฝาผนังห้องน้ำเสียแล้ว แต่เมื่อรู้สึกได้ว่าไม่ได้เจ็บปวดตรงไหนก็ถอนหายใจโล่งอก หัวใจที่เต้นรัวแรงเริ่มผ่อนคลายลง ก่อนจะลืมตาขึ้นมองว่าตัวเองอยู่ไหนยังไงกันแน่ และก็พบว่าดวงตาคู่คมจ้องมองเธออยู่ก่อนแล้ว

พร้อมๆ กับที่เริ่มมีสติรับรู้ว่ากำลังอยู่ในวงล้อมของอะไรบางอย่างที่มีกลิ่นหอมจางๆ ของสบู่ หัวใจดวงน้อยที่พึ่งคลายจากอาการเต้นแรงไปก่อนหน้าหมาดๆ เริ่มเต้นระรัวเร็วขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อรู้ว่ากำลังตกอยู่ในอ้อมกอดของชีเปลือยตัวโต ความแน่นหนั่น ระอุอุ่นมีเลือดเนื้อ ไปทุกสัดส่วน ไม่เว้นแม้แต่...

“กะ กรี๊ด!!! ” วาสุรีย์กรีดร้องและดิ้นรนทันที

“คุณหวาย อย่าร้องสิครับ” บักสีดาบอกเสียงเบา

แต่หญิงสาวไม่ฟังเสียง พยายามจะร้องอีก เขาจึงใช้มือปิดปากของเธอเอาไว้ด้วยกลัวเสียงนั้นจะดังก้องบ้าน จนทำให้คนอื่นตื่นตกใจ

“ปล่อยนะ อีตาบ้า จะทำอะไรฉัน ปล่อยๆ ” วาสุรีย์พยายามตะเบ็งเสียง แต่มันกลับฟังดูอู้อี้ไม่เป็นภาษาด้วยถูกปิดแน่น

ร่างกำยำก็ยิ่งเบียดชิดยิ่งกว่าเดิม แม้จะมีเสื้อผ้าของเธอกั้นกลาง แต่ความรู้สึกร้อนวูบวาบราวกับลาวาร้อนๆ ที่ลามเลียไปทั่วร่าง ทำให้ใจหวาดหวั่นสั่นหวิว

วาสุรีย์ยิ่งดิ้นรนก็ยิ่งสัมผัสเสียดสีกับความแน่นตึงของมัดกล้ามและสัดส่วนอื่นๆ อย่างไม่น่าให้อภัย สถานการณ์ตอนนี้อาจไม่ถึงขั้นวิกฤติ แต่ก็เรียกได้ว่าอันตรายอย่างร้ายกาจ!!

“คุณหวายได้โปรดหยุดร้อง หยุดดิ้นก่อนได้ไหม คุณกำลังจะทำให้อะไรๆ มันแย่ลงนะ” แต่เพียงไม่นาน เสียงที่ฟังดูหอบและอ่อนที่ดังอยู่ข้างหูก็ทำให้เธอหยุดดิ้นรน

แล้วเงยขึ้นมองใบหน้ารกรื้นนั้นอีกครั้ง มาตอนนี้แม้จะเห็นความ

อิดโรยอยู่บ้าง แต่กลับมีสีเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด วาสุรีย์อ้าปากค้างเมื่อเข้าใจความหมายที่เขาพยายามบอก

ชายหนุ่มเบนสายตาไปทางอื่นอย่างพยายามซ่อนความรู้สึก แต่ทว่าขณะที่ต่างฝ่ายต่างทำอะไรไม่ถูกอยู่นั่นเอง เสียงของป้าแจ้มก็ดังแว่วเข้ามา

“เกิดอะไรขึ้นคะคุณหนู” หญิงสาวดันตัวออกมาจากอกคนตัวโต

ก่อนรีบวิ่งออกจากห้องน้ำแล้วปิดประตูในทันที ป้าแจ้มยืนอยู่กลางห้องมองมาทางเจ้านายสาวอย่างตื่นตระหนก

“บักสีดามันเป็นอะไรไปคะ คุณหนูถึงร้องอย่างนั้น”

“เอ้อ... เปล่าค่ะ ไม่ได้เป็นอะไร ดีขึ้นมากแล้วด้วยค่ะ หวายแค่... เอ่อ แค่เห็นตุ๊กแกน่ะค่ะ ก็เลยเผลอร้องออกมา” หญิงสาวยังรู้สึกถึงความร้อนที่แล่นปรู๊ดตั้งแต่ใบหน้า ไปถึงหู และลามไปทั่วร่างกายไม่หาย

“เฮ้อ!! โล่งใจ ป้าก็นึกว่าบักสีดามันช็อกเสียอีกสิคะ แต่ว่าตุ๊กแกอย่างนั้นเหรอคะ ปกติคุณหนูไม่กลัวมันนี่คะ” ป้าแจ้มมีท่าทีแปลกใจในตอนท้าย

วาสุรีย์จึงเก้อไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบทำท่าทางให้เป็นปกติ

“เอ่อ... หวายก็ไม่กลัวหรอกค่ะ แต่แค่ตกใจ คือมันตัวใหญ่มากน่ะค่ะป้าแจ้ม อย่าสนใจเลยค่ะ เราออกไปเถอะค่ะ” คนเป็นเจ้านายรีบดึงแขนแม่บ้านเก่าแก่ออกมาจากห้องนั้นทันที

ป้าแจ้มนึกสงสัยในใจว่าตุ๊กแกตัวนี้คงจะใหญ่มากจริงๆ ถึงทำให้คุณหนูผู้ไม่เคยรู้สึกอะไรกับสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยพวกนี้ ต้องกรีดร้องด้วยความตกใจเช่นนี้ได้ เห็นทีว่างๆ ต้องให้ตาสมมาไล่มันออกไปจากบ้านเสียแล้ว

“คุณหนูทานข้าวต้มก่อนไหมคะเช้านี้” เมื่อพากันออกมาข้างนอก ป้าแจ้มจึงถามขึ้น

“หวายขอแค่กาแฟแก้วเดียวก็พอค่ะป้าแจ้ม ตอนสายค่อยว่ากันอีกที ยังไงหวายฝากป้าช่วยดูเขาด้วยนะคะ” หญิงสาวทำปากบุ้ยใบ้ไปยังห้องที่พึ่งพากันออกมาหมาดๆ แม้จะยังประดักประเดิดใจแต่ก็อดฝากฝังไม่ได้ ป้าแจ้มรับคำ ก่อนวาสุรีย์จะออกไปทำงานตามปกติ

*-*-*-*-*-*

วันนั้นทั้งเจิดและลูกน้องตัวโคร่งของเขา ต้องหยุดงานเพื่อพักผ่อนเอาแรง โดยมีพยาบาลอย่างป้าแจ้มคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ตอนกลางวันขณะที่วาสุรีย์อยู่ในห้องทำงานส่วนตัว

“คุณหนูหวายครับ มีคนมาหาครับ” เสียงลุงสมที่ดังมาจากหน้าประตู ทำให้หญิงสาวต้องเบนสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้ามามอง

“ใครคะลุงสม” คนเป็นเจ้านายถามอย่างแปลกใจ ลุงสมมีสีหน้าลำบากใจขณะอ้ำอึ้ง แต่ยังไม่ทันได้ตอบออกมาร่างหนึ่งก็ก้าวเข้ามา

“ฉันเองหนู” เจ้าของเสียงเป็นชายร่างสูงผอม ผิวขาว ตาชั้นเดียว หวีผมเรียบแปล้ เครื่องแต่งกายบ่งบอกว่าเป็นของติดแบรนด์เนม และใบหน้านั้นก็ฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มใจดี

“เสี่ยทรงชัย” วาสุรีย์จำชายคนนี้ได้ดี

แม้ว่าก่อนหน้านี้ทั้งเธอและเสี่ยคนนี้จะไม่เคยมีอะไรข้องเกี่ยวกันมาก่อน แต่เขาเป็นคนในพื้นที่ที่พบเจอกับครอบครัวของวาสุรีย์มาตั้งแต่เธอยังไม่เกิดก็ว่าได้ แต่ไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้เสี่ยทรงชัยได้ส่งคนมาพบเธอหลายครั้งเพื่อเจรจาซื้อขายที่ดินของสวนวาสุรีย์ทั้งหมด ทว่าหญิงสาวได้ปฏิเสธมาโดยตลอด

แต่ละคนที่เสี่ยทรงชัยส่งมาก็มีทั้งที่เธอรู้จักและไม่รู้จัก บางคนก็พูดจาข่มขู่กรายๆ แม้จะไม่ได้ขู่เรื่องร้ายแรง แต่ก็ชอบเอาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาพูดให้เธอจิตตก นั่นทำให้วาสุรีย์ตะเพิดกลับไปอย่างไม่ออมน้ำใจ อีกทั้งสิ่งเหล่านั้นสร้างความเบื่อหน่าย เอือมระอา และไม่ชอบขี้หน้าเสี่ยคนนี้ขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ แม้จะไม่เคยเผชิญหน้ากับเขาจังๆ แบบนี้มาก่อนเลยก็ตาม

“เรียกเสียเต็มยศเชียวนะหนู เรียกฉันว่าเสี่ยซ้งก็ได้นะ ใจคอหนูจะไม่เชิญแขกนั่งสักหน่อยหรือ” เขาว่าด้วยท่าทางทีเล่นทีจริงและเป็นกันเอง วาสุรีย์ไม่มีทางหลีกเลี่ยง จึงต้องผายมือเชื้อเชิญ

“เชิญนั่งค่ะ ไม่ทราบว่าเสี่ยมีธุระอะไรกับฉันหรือคะ” พร้อมถามในท้ายประโยค

“ธุระก็ไม่มากไม่มาย อย่างที่ฉันเคยให้คนมาคุยกับหนูครั้งก่อนๆ นั่นแหล่ะ เห็นว่าหนูยังไม่รับข้อเสนอจากคนพวกนั้น คราวนี้ฉันก็เลยมาด้วยตัวเอง เผื่อมีอะไรที่หนูข้องใจจะได้คุยกันให้เข้าใจเสียทีเดียวเลย” เสี่ยทรงชัยพูดราวกับว่าหากเป็นตัวเขามาเจรจาด้วยตัวเอง วาสุรีย์จะยอมง่ายๆ อย่างนั้น แต่ทว่า...

“ถึงยังไงฉันก็ขอยืนยันคำเดิมค่ะ ว่าไม่เคยมีความคิดที่จะขายสวน

วาสุรีย์ ไม่ว่าจะเป็นสวนกล้วยไม้หรือที่ดินว่างเปล่า” หญิงสาวกลับตอบในทันทีโดยไม่ต้องหยุดคิด เพราะนี่เป็นคำตอบที่เธอให้กับทุกคนที่มาเจรจาเรื่องนี้ แม้แต่เจ้าตัวอย่างเสี่ยผู้มากอิทธิพลคนนี้ก็ตาม

“หนูจะไม่ลองคิดไตร่ตรองให้ดีๆ ก่อนเหรอ หนูต้องการเท่าไหร่ก็บอกมาได้เลย ฉันเห็นว่าเคยตกลงกันกับคุณรังสี พ่อของหนูมาก่อน ก็เลยอยากจะมาทวงถามอีกครั้ง” เสี่ยทรงชัยหรี่ตามองพลางว่า

“แต่เท่าที่รู้มา คุณพ่อของฉันท่านไม่เคยมีความคิดที่จะขายที่แห่งนี้นะคะ” หญิงสาวบอกไปอย่างมั่นใจ

เพราะเธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าบิดาต้องการขายสวนวาสุรีย์ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นที่ทางดั้งเดิมของตากับยายมาก่อนที่พ่อของเธอจะแต่งงานกับแม่ แล้วช่วยกันบริหารสวนกล้วยไม้เล็กๆ แห่งนี้จนเจริญรุ่งเรือง

และกว้านซื้อที่ดินรอบๆ มาไว้เพื่อขยับขยายกิจการ แม้ว่าที่สุดแล้วจะกลายเป็นหนี้ก้อนใหญ่ให้เธอต้องมารับภาระในตอนนี้ แต่หญิงสาวก็ไม่คิดว่าทั้งบิดาและตัวเองจะอับจนหนทางจนต้องขายสวนกล้วยไม้อันเป็นที่รักนี้ไป

“หนูจะรู้อะไร ตอนนั้นหนูไม่ได้อยู่เมืองไทยสักหน่อย เอาอย่างนี้ดีกว่าฉันจะให้เวลาหนูตัดสินใจสักสอง-สามเดือน” เสี่ยทรงชัยยังคงพยายามใช้ไม้นิ่ม ทั้งน้ำเสียง หน้าตาท่าทางเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจและเมตตา แต่ทว่า...

“ไม่ต้องค่ะ ถึงยังไงฉันก็ขอยืนยันคำเดิม ถ้าธุระที่เสี่ยจะพูดมีเพียงแค่นี้ก็คงได้รับคำตอบที่ชัดเจนแล้วนะคะ” วาสุรีย์ตอบไปอย่างไม่ถนอมน้ำใจ

นั่นทำให้อีกฝ่ายถึงกับหน้าแดงในฉับพลัน ดวงตาฉายแววโกรธจัด และไม่มีร่องรอยความใจดีมีเมตตาหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย

“นี่... ลื้อ อีเด็กเมื่อวานซืน ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ทำอวดดี! ” เสี่ยทรงชัยสำรอกออกมาด้วยสรรพนามที่เปลี่ยนไป และถ้อยคำน้ำเสียงก็ตรงกันข้ามกับเมื่อครู่ลิบลับ นั่นทำให้หญิงสาวไม่อยากเสวนาด้วยอีกต่อไป

“ลุงสมคะ ส่งแขกด้วยค่ะ” เธอจึงบอกลุงสมที่ยืนอยู่ไม่ไกล เสี่ยทรงชัยผุดลุกขึ้นทันที

“คอยดู แล้วลื้อจะเสียใจที่ปฏิเสธอั๊วะ!! ” ถ้อยคำเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นก่อนจากไปนั้น ไม่ได้ทำให้วาสุรีย์รู้สึกหวาดหวั่นแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับรู้สึกรังเกียจอีกฝ่ายอย่างรุนแรงมากกว่า

“คุณหนูไม่น่าพูดแรงแบบนั้นเลยนะครับ” ลุงสมเอ่ยขึ้นเมื่อคล้อยหลังเสี่ยทรงชัยไป

“ทำไมคะลุง คนแบบนี้มีอะไรให้เราต้องกลัวคะ” หญิงสาวที่ยัง

คุกรุ่นด้วยแรงอารมณ์ถามอย่างไม่พอใจ ไม่ใช่ไม่พอใจลุงสม แต่ไม่พอใจเสี่ยคนนี้ต่างหาก เพราะความเป็นคนตรงไปตรงมา เธอจึงไม่สามารถเสแสร้งแกล้งปั้นหน้าเป็นมิตรกับคนๆ นี้ได้

“แต่เสี่ยซ้งเป็นคนใจดำอำมหิต เขาทำได้ทุกอย่างนะครับคุณหนู คราวคุณท่านก็ทีหนึ่งแล้วที่เสี่ยซ้งเดินทางมาติดต่อเจรจาซื้อสวนวาสุรีย์ด้วยตัวเอง แต่พอคุณท่านยืนกรานไม่ขายก็โกรธ แล้วก็เคยอาฆาตเอาไว้” คำบอกเล่านั้นทำให้คนเป็นเจ้านายหันขวับมามองคนงานเก่าแก่ ที่เธอนับถือเสมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง

“นี่หมายความว่า... อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับคุณพ่อคุณแม่อาจจะไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดาหรือคะ แล้วทำไมลุงสมไม่บอกหวายตั้งแต่แรกคะ” หญิงสาวถามและตัดพ้อในตอนท้าย ลุงสมถอนหายใจหนักหน่วงก่อนว่า

“ลุงก็แค่สงสัย แต่ที่ไม่พูดก็เพราะอิทธิพลของเสี่ยซ้งมีมากเหลือเกิน แล้วคุณหนูกับคุณแวนเองก็คงสู้ไม่ได้ ลุงไม่อยากให้คุณหนูกับคุณแวนมีอันตราย มีคดีความมากมายที่เกี่ยวกับเสี่ยซ้งแล้วไม่มีความคืบหน้า แถมบางรายโจทย์เองก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยด้วย” ลุงสมพูดไปตามความจริง

ความที่เห็นเจ้านายอย่างวาสุรีย์และน้องชายมาตั้งแต่เกิด ไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติ ไม่ใช่ลูกหลานก็เหมือนลูกหลาน ลุงสมจึงเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของทั้งสองมากจนต้องปิดบังเรื่องราวเกี่ยวกับเสี่ยทรงชัยเอาไว้

“อีกอย่างลุงก็คิดว่าหากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับคุณท่านทั้งสองเป็นฝีมือเสี่ยซ้งจริงๆ เขาก็คงไม่กล้ามาวุ่นวายกับสวนวาสุรีย์อีก เพราะกลัวเรื่องแดง”

“แต่มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น” วาสุรีย์ต่อคำด้วยความเคียดแค้น ชายวัย

ห้าสิบกว่าปีพยักหน้า เพิ่งเข้าใจว่าหากคนเราเพิกเฉยกับความชั่ว ก็ไม่ต่างอะไรกับยิ่งส่งเสริมให้คนชั่วเหิมเกริม

“ลุงขอโทษนะครับคุณหนู แต่เราเองก็เพียงแต่สงสัย ไม่มีหลักฐานอะไรเลย”

นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผล ที่ลุงสมต้องเก็บงำความสงสัยเอาไว้กับตัวเองจนถึงตอนนี้ ถึงแม้สิ่งที่สงสัยจะเป็นเรื่องจริง แต่การงัดข้อกับเสี่ยผู้มีอิทธิพลล้นหลาม แถมยังมีฉายาว่า ‘เสือร้าย’ ในอำเภอแห่งนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องดีเลยแม้แต่น้อย

“ช่างเถอะค่ะลุง เรื่องมันผ่านไปแล้ว สำคัญตอนนี้ก็คือมันไม่ยอมรามือ และหวายก็จะไม่ยอมแพ้มันเด็ดขาด” น้ำเสียงและแววตาของหญิงสาวมีทั้งความโกรธแค้น เอาเรื่อง นั่นทำให้ลุงสมรู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก

ด้วยตระหนักดีว่าแม้ยามปกติคุณหนูหวาย จะเป็นคนน่ารัก มีน้ำใจล้นเหลือ รักพวกพ้อง แต่หากมีใครมารุกราน หาเรื่อง คุณหนูผู้น่ารักก็สามารถกลายร่างเป็นหญิงไทยใจนักเลงอย่างที่ลูกชายตนตั้งฉายาให้ไม่ผิดเพี้ยน เพราะอีกด้านหนึ่งวาสุรีย์เป็นคนไม่ยอมคน ใจเด็ด บางครั้งก็กลายเป็นมุทะลุดุดัน กล้าได้กล้าเสีย ญาติผู้ใหญ่บางคนยังลงความเห็นว่าเธอหัวแข็งเสียด้วยซ้ำ

ตอนเด็กมีหลายครั้งที่วาสุรีย์เป็นฝ่ายออกโรงปกป้องทั้งน้องชาย และเจิด ลูกชายของลุงสมจากเด็กเกเร บางครั้งกลับเป็นฝ่ายเจ็บตัวเสียเองก็มี ด้วยนิสัยแบบนี้จึงทำให้หญิงสาวตัดสินใจยืนหยัดเป็นเสาหลักให้สวนวาสุรีย์ แทนที่จะกลับไปเรียนต่อ แล้วขายสวนวาสุรีย์ทิ้งไปตามคำแนะนำของญาติ และในทางกลับกัน ด้วยนิสัยแบบนี้ลุงสมจึงกลัวนักว่าจะทำให้เกิดเรื่องราวบานปลายใหญ่โต

“ลุงมีอะไรก็ไปทำเถอะค่ะ หวายอยากคิดอะไรเงียบๆ ” หญิงสาวออกปากไป คนเก่าแก่ของสวนวาสุรีย์จึงได้ออกไปข้างนอก

เจ้าของร่างโปร่งบางครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับบิดามารดา แม้จะเป็นอุบัติเหตุอย่างเห็นได้ชัด และทางตำรวจก็มีผลพิสูจน์ออกมาแล้วว่าเป็นเพราะเบรกแตก

ตอนนั้นวาสุรีย์ก็รู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน เพราะปกติบิดาของเธอเป็นคนรอบคอบ การจะเดินทางไปที่ไหนสักแห่งในแต่ละวัน ยานพาหนะจะต้องได้รับการตรวจตราอย่างถี่ถ้วนมาตลอด เป็นไปได้ยากมากที่จะเกิดอุบัติเหตุอย่างนี้

แต่มาตอนนี้พอได้รู้เรื่องเสี่ยทรงชัยจากลุงสม และพฤติกรรมที่ส่อเค้าของเสี่ยผู้มากอิทธิพลคนนี้ อีกทั้งความต้องการที่ดินของสวนวาสุรีย์จนออกนอกหน้า ก็ทำให้หญิงสาวค่อนข้างมั่นใจว่าการเสียชีวิตของบุพการีทั้งคู่ต้องมีเงื่อนงำเป็นแน่ เธอตัดสินใจแล้วว่าจะพยายามหาหลักฐานมาพิสูจน์เรื่องนี้ให้ได้ คนผิดจะต้องได้รับโทษที่ทำ วาสุรีย์ตั้งใจไว้เช่นนั้น



**ลิงค์ E-Book 'ลิขิตรักเก็บตก' ค่าาา**
#Meb
เล่ม 1
https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDe
tails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6N
joiNzEyOTE2IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M
เล่ม 2
https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=
YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M
6NjoiNzEyOTE2IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiNTg2MjUiO30

#ookbee
เล่ม 1
http://www.ookbee.com/shop/BookInfo?pid=274409f7-13d0-4632-811d-bf78ed5a4645&affiliateCode=1168c15837084f8bbb5cf6fde0ca707d
เล่ม2
http://www.ookbee.com/shop/BookInfo?pid=897b2657-9548-401d-bb1b-76bf11bd35ef&affiliateCode=1168c15837084f8bbb5cf6fde0ca707d

#hytexts
https://www.hytexts.com/ebook/B012230-ลิขิตรักเก็บตก (เล่ม 1)
https://www.hytexts.com/ebook/B012231-ลิขิตรักเก็บตก (เล่ม 2)

#นายอินทร์ปัณณ์
เล่ม 1
https://naiin.com/product/detail/215446/
เล่ม 2
https://naiin.com/product/detail/215447/





กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ก.ค. 2560, 12:14:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ก.ค. 2560, 12:14:27 น.

จำนวนการเข้าชม : 691





<< บทที่ 4 บักสีดาขี้นก   บทที่ 6 ผู้บุกรุก >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account