ในรอยกาล / เพิ่มตอนพิเศษ
“พี่พริษฐ์หยิบหีบใบนั้นให้ชมพู่หน่อย”
ชายหนุ่มขยับเข้ามาทันที พื้นที่แคบๆ ทำให้ต้องยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ในขณะแก้มแหม่มเขย่งก็แล้ว ยืดแขนจนแทบเป็นกระโดดก็แล้ว กลับยังเอาลงมาไม่ได้ แต่พริษฐ์สามารถทำให้หีบไม้ลอยมาอยู่ตรงหน้าเธอได้เพียงแค่ไม่กี่วินาที
หญิงสาวรับมาอย่างลิงโลด รีบก้มลงสำรวจทันใด ทว่าการหันหน้าเข้าหาชั้นวางของทำให้มีเงาพาดผ่าน ไม่สามารถมองลวดลายได้ถนัด แก้มแหม่มทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจจึงกลับหลังหันเข้าหาแสงไฟ แล้วก็ต้องตัวแข็งทื่อ แทนที่จะสว่างกลับมืดหนักเข้าไปอีก เมื่อมีกำแพงร่างกายบังเอาไว้
“พี่พริษฐ์” เธอครางเสียแผ่ว ความใกล้ชิดทำให้ไม่กล้าขยับตัว
เดินไปข้างหน้าก็ชนอกแกร่ง ครั้นจะถอยหลังก็ติดชั้นวางของ และถึงแม้แขนทั้งสองข้างของพริษฐ์ยังตกอยู่ข้างตัว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนโดนกอดกลายๆ
“ครับ”
เสียงขานรับดังอยู่ใกล้ๆ ราวกับเจ้าตัวโน้มหน้าลงมาคุยชิดกระหม่อมนี่เอง ความชิดใกล้ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แก้มแหม่มเริ่มทำอะไรไม่ถูก หูได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังมาก ราวกับวินาทีใดข้างหน้ามันจะหลุดออกมานอกอกประจานตัวเองให้ได้อาย
ใจจึงอยากผลักชายหนุ่มออกไปไกลๆ ให้พ้นตัวจะได้หายใจหายคอสะดวก แต่เสียงเล็กๆ อีกเสียงหนึ่งกลับสั่งห้ามไว้ แก้มแหม่มจึงยืนนิ่งก้มหน้างุดปล่อยให้ชายหนุ่ม ‘กอด’ อยู่อย่างนั้น
“มองพี่ได้ไหม”
นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม เพราะหลังจากนั้นคางมนก็ถูกช้อนขึ้นด้วยนิ้วมือแข็งแรง
ราวกับถูกร่ายมนตร์ ประกายบางอย่างซึ่งสะท้อนผ่านลูกแก้วสีดำคู่นั้นทำให้แก้มแหม่มอยากรู้ว่าคืออะไร จากที่ควรเบือนหลบก็จ้องนิ่งอยู่อย่างนั้น กระทั่งใบหน้าคมค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เธอก็ยังไม่ถอนสายตา
ตอนระยะห่างระหว่างกันเหลือไม่ถึงนิ้ว พริษฐ์ก็หยุดถามเสียงทุ้ม
“พี่จูบได้ไหม”
แก้มแหม่มน่าจะรู้ว่าคำถามของพริษฐ์ไม่เคยเป็นคำถามสักครั้ง สิ้นคำริมฝีปากอุ่นก็นาบลงมา คลอเคลีย หยอกเย้ากับริมฝีปากอิ่มราวภมรหนุ่มเลาะเล็มดื่มกินความหวานอย่างไม่รู้เบื่อ เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายสำลักลมหายใจ เขาก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย กระนั้นก็ยังไม่ยอมห่างไปไหน
เหมือนคนขาดอากาศหายใจมานาน พอได้รับอิสระแก้มแหม่มก็สูดลมเข้าปอดหนักๆ มือเล็กยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างเลื่อนลอย
ร่องรอยอ่อนหวานยังคงซ่านอยู่ตรงริมฝีปาก
เมื่อกี้เธอถูกจูบใช่ไหม
- * - * - เรื่องนี้รีอัปให้อ่านอีกรอบ และจะมีตอนพิเศษเพิ่มจากเดิม 3 ตอนค่ะ - * - * -
ชายหนุ่มขยับเข้ามาทันที พื้นที่แคบๆ ทำให้ต้องยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ในขณะแก้มแหม่มเขย่งก็แล้ว ยืดแขนจนแทบเป็นกระโดดก็แล้ว กลับยังเอาลงมาไม่ได้ แต่พริษฐ์สามารถทำให้หีบไม้ลอยมาอยู่ตรงหน้าเธอได้เพียงแค่ไม่กี่วินาที
หญิงสาวรับมาอย่างลิงโลด รีบก้มลงสำรวจทันใด ทว่าการหันหน้าเข้าหาชั้นวางของทำให้มีเงาพาดผ่าน ไม่สามารถมองลวดลายได้ถนัด แก้มแหม่มทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจจึงกลับหลังหันเข้าหาแสงไฟ แล้วก็ต้องตัวแข็งทื่อ แทนที่จะสว่างกลับมืดหนักเข้าไปอีก เมื่อมีกำแพงร่างกายบังเอาไว้
“พี่พริษฐ์” เธอครางเสียแผ่ว ความใกล้ชิดทำให้ไม่กล้าขยับตัว
เดินไปข้างหน้าก็ชนอกแกร่ง ครั้นจะถอยหลังก็ติดชั้นวางของ และถึงแม้แขนทั้งสองข้างของพริษฐ์ยังตกอยู่ข้างตัว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนโดนกอดกลายๆ
“ครับ”
เสียงขานรับดังอยู่ใกล้ๆ ราวกับเจ้าตัวโน้มหน้าลงมาคุยชิดกระหม่อมนี่เอง ความชิดใกล้ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แก้มแหม่มเริ่มทำอะไรไม่ถูก หูได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังมาก ราวกับวินาทีใดข้างหน้ามันจะหลุดออกมานอกอกประจานตัวเองให้ได้อาย
ใจจึงอยากผลักชายหนุ่มออกไปไกลๆ ให้พ้นตัวจะได้หายใจหายคอสะดวก แต่เสียงเล็กๆ อีกเสียงหนึ่งกลับสั่งห้ามไว้ แก้มแหม่มจึงยืนนิ่งก้มหน้างุดปล่อยให้ชายหนุ่ม ‘กอด’ อยู่อย่างนั้น
“มองพี่ได้ไหม”
นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม เพราะหลังจากนั้นคางมนก็ถูกช้อนขึ้นด้วยนิ้วมือแข็งแรง
ราวกับถูกร่ายมนตร์ ประกายบางอย่างซึ่งสะท้อนผ่านลูกแก้วสีดำคู่นั้นทำให้แก้มแหม่มอยากรู้ว่าคืออะไร จากที่ควรเบือนหลบก็จ้องนิ่งอยู่อย่างนั้น กระทั่งใบหน้าคมค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เธอก็ยังไม่ถอนสายตา
ตอนระยะห่างระหว่างกันเหลือไม่ถึงนิ้ว พริษฐ์ก็หยุดถามเสียงทุ้ม
“พี่จูบได้ไหม”
แก้มแหม่มน่าจะรู้ว่าคำถามของพริษฐ์ไม่เคยเป็นคำถามสักครั้ง สิ้นคำริมฝีปากอุ่นก็นาบลงมา คลอเคลีย หยอกเย้ากับริมฝีปากอิ่มราวภมรหนุ่มเลาะเล็มดื่มกินความหวานอย่างไม่รู้เบื่อ เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายสำลักลมหายใจ เขาก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย กระนั้นก็ยังไม่ยอมห่างไปไหน
เหมือนคนขาดอากาศหายใจมานาน พอได้รับอิสระแก้มแหม่มก็สูดลมเข้าปอดหนักๆ มือเล็กยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างเลื่อนลอย
ร่องรอยอ่อนหวานยังคงซ่านอยู่ตรงริมฝีปาก
เมื่อกี้เธอถูกจูบใช่ไหม
- * - * - เรื่องนี้รีอัปให้อ่านอีกรอบ และจะมีตอนพิเศษเพิ่มจากเดิม 3 ตอนค่ะ - * - * -
Tags: ในรอยกาล, เนตรนภัส, พริษฐ์, ชมพู่, แก้มแหม่ม,
ตอน: บทที่ 3
...๓...
“นั่นจะไปไหนคะคุณชมพู่ เย็นมากแล้วนะคะ”
เสียงเรียกกึ่งปรามไม่อาจทำให้หญิงสาวเจ้าของนามชมพู่ หรือแก้มแหม่ม สนใจแม้แต่น้อย เจ้าตัวไม่เหลียวหลังกลับมาด้วยซ้ำตอนตะโกนตอบเสียงแจ๋ว
“เอาต้นมะลิไปให้ยายแก้วแป๊บเดียวค่ะป้าตาบ แล้วชมพู่จะรีบกลับนะ ไม่ต้องเป็นห่วง”
แรกทีเดียวป้าตาบนั้นเป็นแค่พี่เลี้ยงของแก้มแหม่ม เลี้ยงหญิงสาวมาตั้งแต่เล็ก ตัวแก้มแหม่มติดป้าตาบมากถึงขนาดโตแล้วก็ไม่อนุญาตให้ไปไหน ทางบิดาและมารดาของหญิงสาวจึงขอให้ทำงานอยู่ด้วยกันต่อไป ป้าตาบจึงอยู่ในฐานะเหมือนญาติ ครั้นพอบิดาและมารดาของแก้มแหม่มเสียชีวิต ป้าตาบสงสารหญิงสาวที่เลี้ยงมาเหมือนลูก จึงไม่อาจทอดทิ้งให้อยู่เพียงลำพัง ปัจจุบันป้าตาบจึงเป็นทั้งป้า แม่ และทุกๆ อย่างที่แก้มแหม่มอยากให้เป็นในเวลาเดียวกัน
“แล้วจะไปยังไงกันล่ะคะนั่น เจ้ายอดก็เอามอเตอร์ไซค์ไปซื้อไข่ให้ป้าที่ตลาดด้วยสิ” ป้าตาบหมายถึงหลานชายกำพร้าของตน
“เดินลัดป่าพรุด้านหลังไปจ้ะป้า”
“รอยอดกลับมาก่อนไม่ดีกว่าหรือคะ จะได้ไม่ต้องเดินให้เหนื่อย”
“โอ๊ย...แค่นี้เองค่ะป้า เดินไปแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เผลอๆ อาจเร็วกว่าขับรถไปเสียอีก” เจ้าตัวตอบกลั้วเสียงหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี “แล้วชมพู่จะรีบกลับมาค่ะ”
พูดจบเจ้าตัวก็ดึงถุงกล้ามะลิซ้อนขึ้นมากอดเอาไว้หลวมๆ แล้วรีบจ้ำออกไปทันที ด้วยรู้ว่าหากยังยืนอยู่ตรงนี้ ป้าตาบต้องมีคำถามตามมาอีกแน่
ดังนั้นพอป้าตาบหันมามองอีกทีก็เห็นเพียงหลังบอบบางลับทิวไม้ไปไวๆ ปฏิกิริยาต่อมาคือท่าทางส่ายหน้าเบาๆ กึ่งระอากึ่งอ่อนใจกับพฤติกรรมทำอะไรปรูดปราดของหญิงสาว
แก้มแหม่มเดินลัดป่าพรุ เลาะหลบแอ่งน้ำขังอย่างชำนาญ เธอมักใช้เส้นทางนี้เดินทางไปหาเพื่อนบ้านคนอื่นๆ แทนการขับรถหรือขี่มอเตอร์ไซค์ เนื่องจากถนนนั้นตัดอ้อมไปมา การเดินลัดป่าใช้เวลาน้อยกว่า ผ่านดงต้นหว้าไปหน่อยเดียวเธอก็ถึงบ้านยายแก้ว
“ยายแก้วจ๊ะ ยายแก้ว” เธอส่งเสียงไปก่อน ไม่แน่ใจว่าเจ้าของบ้านอยู่หรือเปล่า ขณะเดียวกันดวงตาสีน้ำตาลเข้มก็กวาดไปรอบๆ
บ้านยายแก้วเป็นบ้านไม้ชั้นเดียว ยกพื้นสูงมีใต้ถุนอย่างบ้านไทยสมัยก่อน ด้านล่างวางแคร่ไม้ไผ่เอาไว้นั่งเล่น แล้วเธอก็พบว่าหญิงชรานั่งอยู่บนแคร่นั่นเอง แก้มแหม่มจึงเดินแกมกระโดดเข้าไปหาอย่างร่าเริง
“หวัดดีจ้ายาย” หญิงสาวทักเสียงสดใส พลางทิ้งตัวลงนั่งบนแคร่อย่างง่ายๆ “ทำอะไรอยู่จ๊ะ ให้ชมพู่ช่วยไหม แล้ววันนี้น้าขวดไปไหนเสียล่ะจ๊ะ”
“เจียนหมากลูก เสร็จแล้วละ เจ้าขวดยังไม่กลับ เห็นว่าพรุ่งนี้ที่อำเภอมีงาน วันนี้เลยต้องเตรียมงานให้เสร็จ”
ยายแก้วเป็นหญิงชราอายุกว่าหกสิบปี แต่แก้มแหม่มมองว่าท่านไม่เหมือนคนอายุหกสิบกว่าเลย บางคนอายุขนาดนี้ก็เริ่มเลอะเลือน หลงลืม หูตาฟ่าฟางแล้ว แต่ยายแก้วยังมีแรงยกจอบขุดดินปลูกต้นไม้อย่างที่ท่านชอบได้ แถมความจำก็ยังดีเป็นเลิศอีกด้วย
“ชมพู่เดินลัดป่าพรุด้านหลังมาจ้ะ เจ้ายอดเอามอเตอร์ไซค์ไปตลาดเลยขี้เกียจรอ ชมพู่กลัวค่ำก็เลยเดินมา จะได้ออกกำลังกายไปในตัว”
“ออกกำลังกายกลางแดดมาทั้งวัน ไม่ได้ออกกำลังอีกหรือลูก”
“แหม ยาย ชมพู่ไม่ได้จัดสวนทุกวันนี่จ๊ะ บางวันก็นั่งๆ นอนๆ อยู่ในร้าน ไม่ได้ออกไปไหนเหมือนกัน” หญิงสาวตอบ
นอกจากแก้มแหม่มเปิดร้านขายต้นไม้และอุปกรณ์ตกแต่งสวนแล้ว ยังรับจัดสวน ดูแลสวนอีกด้วย แต่งานจัดสวนนั้นไม่ได้มีเข้ามาทุกวัน นานๆ ถึงมีมาว่าจ้างที ดังนั้นเวลาไม่มีงานจัดสวน เธอก็ได้แต่นั่งๆ นอนๆ เฝ้าร้านเท่านั้นเอง
“นี่ชมพู่เอาต้นมะลิซ้อนที่ยายสั่งมาให้จ้ะ” เธอดันถุงต้นกล้ามะลิไปให้หญิงชราพลางถาม “น้าขวดก็ไม่อยู่ ยายจะให้ชมพู่เอาลงดินให้เลยไหมจ๊ะ”
“ไม่ต้องหรอกลูก ขอบใจมาก เดี๋ยวยายจัดการเอง”
“จะดีหรือจ๊ะ เดี๋ยวน้าขวดแกก็ดุเอาอีก” แก้มแหม่มเคยได้ยินบุตรชายของยายแก้วบ่นๆ ว่าไม่อยากให้มารดาลุกขึ้นมาขุดดินทำสวน เพราะกลัวเป็นลมล้มพับไปแล้วไม่มีใครเห็น ช่วยไม่ทันจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่ดูเหมือนยายแก้วจะไม่ค่อยสนใจ
“ไม่ต้องห่วงหรอกลูก ขวดก็ดุไปงั้นเอง ยายจะทำ ใครก็ห้ามไม่ได้” หญิงชราตอบกลั้วหัวเราะ จนแก้มแหม่มหัวเราะตาม
“งั้นชมพู่กลับเลยแล้วกันจ้ะ เดี๋ยวน้าขวดกลับมาเห็นเข้า ชมพู่จะพลอยโดนดุ โทษฐานเอาต้นไม้มาให้ยายปลูก”
“แล้วนี่จะกลับยังไงล่ะลูก” เจ้าของบ้านควักเงินค่าต้นไม้ส่งให้พลางถาม
“เดินกลับทางเดิมจ้ะ”
“ยายว่าโทร.ให้ยอดมารับไม่ดีกว่าหรือ นี่ก็ใกล้ค่ำแล้ว เดินคนเดียวมันอันตราย” หญิงชราปรามด้วยความเป็นห่วง อย่างไรเสียแก้มแหม่มก็เป็นผู้หญิง ถึงจะมีนิสัยห้าวหาญเพียงใดก็อันตรายอยู่ดี
“ใครจะมาทำอะไรชมพู่กันจ๊ะ คนแถวนี้ก็รู้จักกันทั้งนั้น แต่ละคนเห็นชมพู่มาตั้งแต่เด็กๆ เขาไม่ทำอะไรชมพู่หรอกจ้ะ” หญิงสาวยังคงยืนกรานคำเดิม
“ยายไม่ได้หมายถึงอันตรายแบบนั้นหรอกลูก แต่มันใกล้ค่ำแล้ว งูเงี้ยวเขี้ยวขอมันเยอะ เดินเลาะป่าไปแบบนั้นอันตราย”
แก้มแหม่มมีสีหน้าลำบากใจ เธอไม่มั่นใจว่ายอดกลับจากตลาดหรือยัง ถ้ากลับแล้ว เวลาแบบนี้ยอดคงกำลังช่วยป้าตาบหยิบฉวยสิ่งของอยู่ในครัว หรือถ้าโรงเรียนยังไม่ปิดก็เป็นเวลาทำการบ้าน หากเป็นอย่างหลังก็ไม่อยากกวน แก้มแหม่มอยากให้ยอดมีเวลาวิ่งเล่นอย่างเด็กชายวัยเดียวกันบ้าง
“หรือถ้าไม่อยากโทร.ตามยอด รออีกเดี๋ยวนะ รอขวดกลับมา เดี๋ยวยายให้ขวดไปส่ง”
ประโยคหลังนี่ยิ่งแล้วใหญ่ ขืนป้าตาบเห็นเธอตะลอนเที่ยวจนต้องรบกวนคนอื่นไปส่ง คงนบ่นยืดยาว ร้ายเข้าจะไม่ใช่แค่บ่น แต่เป็นสั่งห้ามเที่ยว ถ้าเป็นแบบนั้นเธอแย่แน่
“ไม่เป็นไรจ้ะ” แก้มแหม่มรีบปฏิเสธด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“กลัวอะไรน่ะลูก” ยายแก้วส่งสายตารู้ทันไปให้ นั่นทำให้แก้มแหม่มสารภาพเสียงอ่อย
“แหะๆ เดี๋ยวป้าตาบจะไม่ให้ชมพู่เที่ยว ชมพู่กลับเองดีกว่าจ้ะ” หญิงสาวยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมอง “นี่ก็ยังไม่ห้าโมงเลย คงถึงบ้านก่อนค่ำแน่ๆ”
“เออเนาะ เรานี่แปลกจริงๆ งูเอย สัตว์สารพัดพิษไม่ยักกลัว แต่กลัวอดเที่ยว” ยายแก้วรำพึงด้วยความเอ็นดู เห็นว่าคงห้ามหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้ จึงเอ่ยเตือนเบาๆ “งั้นกลับระวังๆ นะลูก โดยเฉพาะแถวๆ เรือนไทยน่ะ หลบๆ ออกมา อย่าเดินใกล้ริมรั้วมาก หาไม้สักอันตีๆ ไปตามทางบ้างนะลูก พวกงูพวกตะขาบจะได้หนีไปก่อน ยายได้ยินว่าไอ้เขียวมันไม่ไปถางหญ้ารานกิ่งต้นไม้นาน ป่านนี้ไม่รู้กลายเป็นรังงูไปหรือเปล่า”
“เอ๋...เรือนไทยที่ใหญ่ๆ แต่ไม่มีคนอยู่น่ะหรือยาย เมื่อกี้ชมพู่เดินผ่านก็ไม่ทันสังเกต”
เรือนไทยหลังที่ว่าอยู่ระหว่างทางมาบ้านยายแก้ว เธอได้ยินมาว่าเจ้าของเดิมเป็นคนพื้นเพที่นี่ แต่ครอบครัวย้ายไปอยู่เมืองหลวงหลายสิบปีแล้ว มีมาพักบ้างนานๆ ครั้ง แต่ระยะหลังไม่เคยมาอีกเลย ปัจจุบันบ้านหลังนั้นไม่มีคนอาศัยอยู่ ก่อนหน้านี้เธอได้ยินจากป้าตาบว่าเขาจ้างนายใบให้ดูแลทำความสะอาดบ้านและสวน ทว่าตั้งแต่นายใบเสียชีวิต ก็ได้นายเขียวบุตรนายใบมารับช่วงดูแลต่อ
“ไอ้เขียวมันก็เกกมะเหรกเกเร กินแต่เหล้า งานการไม่ทำ ประสาอะไรกับบ้านคนอื่น ยิ่งเจ้าของเขาไม่เคยลงมาดู ได้ทีมันละ เดือนๆ รับเงินมากินเหล้าสบายไป”
แก้มแหม่มไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน วันๆ เธอทำแต่งานของตัวเอง ไม่ค่อยได้ใส่ใจเรื่องราวของชาวบ้านสักเท่าไร พอรู้อย่างนี้เข้าก็เสียดายแทนเจ้าของ
จำได้ว่าสมัยเด็กๆ เธอชอบเรือนไทยหลังนั้นมาก ทุกครั้งที่ปั่นจักรยานไปโรงเรียนผ่านตรงนั้น เธอต้องหันมองด้วยความชื่นชม มันสวยแปลกตากว่าบ้านทุกหลังที่เคยเห็นรวมถึงบ้านของเธอด้วย ที่สำคัญมันเหมือนบ้านในละครจักรๆ วงศ์ๆ ที่ชอบดู จนเคยคิดแอบเข้าไปวิ่งเล่น เผื่อว่าจะเจอเจ้าชายซ่อนอยู่ หรือไม่ก็ได้พบกับโสนน้อยเจ้าของเรือนหลังงาม
แต่ก็นั่นแหละ เธอได้แค่คิด เพราะมักถูกบิดาจับได้เสียก่อน นานวันเข้าบ้านหลังแปลกตาก็กลายเป็นความคุ้นเคย เหลือเพียงความเสียดาย ถ้าเธอเป็นเจ้าของบ้านหลังนั้นจะไม่ปล่อยให้รกเรื้อไร้คนดูแลแบบนี้แน่ เธอจะปรับปรุงให้ดี ให้สมกับคุณค่าของมัน
“เสียดายนะยาย เป็นชมพู่หน่อยไม่ได้ จะดูแลให้ดีที่สุดเลย ของโบราณแบบนี้ควรรักษาไว้ให้เด็กรุ่นหลังได้เห็นกัน”
“ใช่ เสียดาย มันควรได้รับการดูแลอย่างดีเหมือนเมื่อก่อน”
น้ำเสียงของยายแก้วสะดุดหูแก้มแหม่มจนอดเหลือบไปมองอย่างสงสัยไม่ได้ ใบหน้าของหญิงชราออกอาการเสียดายอย่างพูด แวบหนึ่งที่เธอรู้สึกว่ายายแก้วคิดมากเกินไปหรือเปล่า เพราะบ้านหลังนั้นก็เป็นของคนอื่น ไม่ได้เกี่ยวพันอะไรกันเลยแม้แต่น้อย ผ่านไปครู่หนึ่ง แก้มแหม่มก็ไหวไหล่เบาๆ
แล้วทำไมจะไม่ได้ ในเมื่อบ้านหลังนั้นเป็นของมีค่าควรรักษาไว้ให้คนรุ่นหลังๆ ได้ดู แปลกอะไรหากหญิงชราจะรู้สึกเสียดาย อยากให้มันได้รับการบำรุงรักษาอย่างดี
ขนาดเธอเองไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วย ยังอดรู้สึกเสียดายแทนลูกหลานเจ้าของบ้านไม่ได้เลย
“ลูกหลานเจ้าของก็กระไรเนอะยาย มีของดีอยู่ในมือไม่รักษาให้ดี ปล่อยให้รกร้างแบบนี้ เป็นชมพู่หน่อยไม่ได้” หญิงสาวมีท่าทีหมายหมาด เมื่อคิดถึงเรือนโสนน้อยหลังนั้น
“เราจะทำไม”
“ชมพู่ก็จะปรับปรุงให้ดี แล้วเปิดบ้านให้คนเข้าเยี่ยมชมบ้านเก่า ของเก่า เก็บค่าเข้าสบายไป” เจ้าตัวบอกกลั้วเสียงหัวเราะ พอพูดเรื่องเงินทอง ตาก็เป็นประกาย
“งกน่ะสิเรา”
“เขาเรียกรู้ค่าของเงินต่างหากล่ะยาย” เจ้าตัวบอกเสียงใส ไม่ได้มีท่าทางสลดกับคำเหน็บแนมของยายแก้วแม้แต่น้อย “ไม่เอาแล้ว ชมพู่ไม่คุยกับยายแล้ว มัวแต่โอ้เอ้ กว่าจะถึงบ้านค่ำพอดี กลับก่อนนะจ๊ะยาย”
พูดจบแก้มแหม่มก็ยกมือไหว้ด้วยอาการผลุบผลับเหมือนม้าดีดกะโหลก ซึ่งยายแก้วก็ได้แต่ส่ายหน้าขำๆ ไม่ได้ถือสาอะไร ก่อนเสียงแจ้วๆ จะลอยมาตามลมอีกครั้ง ทั้งที่ตัวคนพูดยืนอยู่ริมรั้วเรียบร้อยแล้ว
“ยายจ๋า ชมพู่ขอกุหลาบหนูของยายสองดอกนะ จะเอาไปทับทำดอกไม้แห้ง”
ถึงเจ้าของดอกกุหลาบอยากปฏิเสธก็ไม่ทันแล้ว เพราะในขณะเอ่ยขออนุญาตนั้น ยายแก้วเห็นว่ากุหลาบหนูสีขาวถูกเด็ดออกจากต้นและคนขอก็เดินตัวปลิวหายไปเรียบร้อย
ไปไวเหมือนตอนขามาไม่มีผิด...
ระหว่างทางที่เดินกลับ พอถึงบริเวณรั้วของเรือนไทยหลังใหญ่หญิงสาวก็อดหันไปมองไม่ได้ จากจุดที่ยืนอยู่ มองตรงไปยังบริเวณริมสุดของที่ดิน ต้นไม้ซึ่งคงเคยเป็นไม้พุ่มตัดแต่งเอาไว้เป็นแนวรั้วอย่างสวยงาม บางต้นแห้งเหี่ยวเหลือใบเกาะอยู่หร็อมแหร็มน่าใจหาย
มองลึกเข้าไปหน่อย ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่มีต้นไม้เล็กอย่างกระถิน พลับพลาขึ้นอยู่ ระยะเวลายาวนานที่ร้างจากการดูแลทำให้ไม้เหล่านี้เจริญเติบโตจนเริ่มสูง ไหนจะเถาวัลย์ เรียกได้ว่ากลายเป็นป่ารกเรื้อไปแล้ว ตอนนี้เลยมองไม่เห็นตัวบ้านที่ตั้งอยู่ภายใน ไม่ต่างจากส่วนที่ติดกับถนน
เธอจำได้ว่าตัวเรือนไทยนั้นปลูกค่อนอยู่ด้านหลังของที่ดินผืนยาว เมื่อก่อนก็มองเห็นไม่ชัดนักอยู่แล้ว นานวันเข้าต้นไม้โตขึ้นเรื่อยๆ ก็บดบังตัวบ้านจากสายตาคนภายนอกไปหมด เผลอๆ คนแถวนี้อาจลืมไปแล้วก็ได้ว่าบนที่ดินผืนใหญ่และยาวนับสิบไร่แห่งนี้มีเรือนไทยซ่อนอยู่
ความอยากรู้อยากเห็นทำให้แก้มแหม่มหยิบไม้ขนาดเหมาะมือขึ้นมา แล้วดุ่มเดินตรงไปยังพุ่มไม้จุดที่สังเกตเห็นว่ามีรอยแหวกอยู่
แล้วเธอก็พบว่ามันไม่ยากเลยในการฝ่าดงต้นไม้รกเรื้อเข้าไปยังภายใน เพราะดูเหมือนเคยมีคนเข้าออกบ้านหลังนี้อยู่บ่อยๆ เห็นได้จากร่องรอยการย่ำเท้าจนกลายเป็นทางเดินเล็กๆ
สงสัยจะเป็นพวกลักเล็กขโมยน้อยเห็นบ้านไม่มีคนอาศัยอยู่ เลยมางัดแงะหาของมีค่าไปขายเสียกระมัง
หญิงสาวใช้ไม้ที่ติดมาตีเปะป่ายเพื่อไล่สัตว์มีพิษให้ตกใจหนีไปก่อนเดินผ่าน บางครั้งต้องหักกิ่งไม้ที่ขวางอยู่เพื่อเปิดทาง จะได้เดินผ่านอย่างสะดวก บ่อยครั้งก็ต้องใช้ไม้ที่ติดมือมาเขี่ยทำลายรังแมงไหมให้พ้นทางแล้วเดินผ่านจุดนั้นไปได้
สุดท้ายแก้มแหม่มก็ทิ้งตัวพิงต้นไม้ ยืนหอบแฮก มือกระพือปกเสื้อไล่ไอร้อน เท้ายกขึ้นถูหน้าแข้งตัวเองที่รู้สึกแสบๆ คันๆ จากการถูกใบหญ้าและกิ่งไม้แห้งบาด เธอทำอยู่อย่างนั้นเป็นครู่กว่าระดับการหายใจจะเข้าสู่ภาวะปกติ เมื่อนั้นแหละจึงมีแก่ใจมองสำรวจรอบกาย
จุดที่ยืนอยู่นั้นไม่ค่อยมีต้นไม้เล็กๆ ขึ้นอยู่เท่าไร อาจเป็นเพราะไม้ใหญ่ยืนต้นตระหง่านสองต้นแผ่กิ่งก้านทิ้งร่มเงาปกคลุมเป็นบริเวณกว้างทำให้แสงแดดเล็ดลอดผ่านลงมาสู่พื้นดินได้น้อย นี่คงเป็นสาเหตุว่าทำไมบริเวณนี้จึงไม่มีต้นไม้อื่นๆ ขึ้นอยู่เลย
บรรยากาศร่มรื่น ลมพัดแผ่วๆ อากาศกำลังเย็นสบายแบบนี้ ทำให้เธอเผลอคิดขำๆ ว่า หากมีเปลญวนสักปากเอามาผูกไว้ระหว่างต้นไม้สองต้นนี้แล้วทิ้งตัวลงนอนคงสบายพิลึก
ทว่าก็ได้แต่คิด เอาเข้าจริงก็ไม่กล้าทำหรอก นี่ไม่ใช่บ้านของเธอ จะได้มายึดพื้นที่นอนเขลงสบายอารมณ์ เกิดนอนอยู่ดีๆ แล้ว ‘เจ้าของที่’ มาทวงบ้านคืน เธอมิแย่หรือ
บรื๋อ-อ-อ-อ
แค่คิดก็ขนลุกแล้ว มือบางยกขึ้นลูบต้นแขนตนเองเบาๆ เมื่อจู่ๆ ขนอ่อนก็ลุกชันขึ้นมาทั้งตัว ความหวาดระแวงทำให้ดวงตาสีน้ำตาลกวาดไปรอบกายเลิ่กลั่ก ไม่รู้อุปาทานไปเองหรือเปล่าเมื่อรู้สึกว่าจู่ๆ อากาศรอบกายก็เย็นลงผิดปกติ แต่เธอก็ปัดความคิดนั้นออกไป บอกตัวเองว่าเย็นแล้ว แถมจุดที่ยืนอยู่ยังเป็นพื้นที่ที่แดดส่องลงมาไม่ค่อยถึง อากาศเย็นกว่าตรงอื่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
แก้มแหม่มเผลอกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ เขาบอกว่าเข้าป่าอย่าพูดถึงเสือ นี่เธอแค่รุกล้ำที่ทางของคนอื่นแล้วเผลอคิดถึงเจ้าที่หน่อยเดียวเท่านั้นเอง
อย่าถึงขนาดออกมาให้เห็นเลยนะเจ้าคะ
มือบางยกขึ้นไว้ปลกๆ เหนือศีรษะ ตั้งจิตอธิษฐานขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทาง
ท่านเจ้าขา หนูมาดีไม่ได้มีจิตคิดร้ายหรือตั้งใจมาขโมยของ ยังไงหนูขออนุญาตเข้าไปหน่อยนะคะ หนูแค่อยากดูบ้านโสนน้อยนิดๆ หน่อยๆ ท่านไม่ตอบอะไร หนูถือว่าอนุญาตนะคะ สาธุ
อธิษฐานจบแก้มแหม่มก็รออยู่สามวินาที หรี่ตามองรอบๆ ไม่เห็นอะไรผิดปกติก็ตัดสินใจเอาเองว่าเจ้าของที่อนุญาตตามคำขอแล้ว มือที่ยกจรดหน้าผากลูบมาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายผม สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ มองตรงไปยังเรือนไทยหลังใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนัก เป้าหมายต่อไปก็คือ ‘บ้านโสนน้อย’
เพียงแก้มแหม่มก้าวพ้นแนวไม้ใหญ่ทั้งสองต้นนั้นออกไป ลมจากไหนไม่รู้ จู่ๆ ก็พัดกระโชกแรง พาเอาทั้งใบไม้แห้งและเศษไม้เล็กๆ ปลิวให้ว่อน สัญชาตญาณป้องกันตัวทำให้หญิงสาวยกแขนขึ้นบังตาตนเองโดยอัตโนมัติ นานเท่าไรก็สุดรู้กว่าลมปริศนานั้นจะหายไป...
พอรู้สึกว่าลมสงบลงแล้ว แก้มแหม่มก็ค่อยๆ ลดแขนที่ปิดตาลง ลืมตาช้าๆ มือก็สาละวนอยู่กับการปัดเศษขยะที่ปลิวมาจากแรงลมออกจากตัว เพื่อไม่ให้เสียเวลาเธอจึงออกเดิน พลางตระหนักว่าตอนนี้ก็เริ่มค่ำแล้ว
ขอดูบ้านโสนน้อยแวบเดียวแล้วจะเผ่นกลับบ้าน ก่อนโดนป้าตาบดุและสั่งห้ามออกเที่ยวอีก
อารามไม่ได้มองทางเพราะมัวแต่ปัดเศษดินเศษหญ้าตามตัวไปด้วย ก้าวออกไปได้ก้าวเดียวแก้มแหม่มก็ต้องเบรกจนตัวโก่ง เมื่อเห็นว่ามีอะไรขวางทางอยู่ เธอชะงักตัวชาเมื่อเรือนไทยที่เห็นอยู่ไกลๆ นั้นกลับตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า
ที่สำคัญตอนนี้เธอกำลังยืนอยู่หน้าบันไดบ้าน!
“เอ๊ะ เมื่อกี้บ้านอยู่ห่างอีกตั้งไกลไม่ใช่หรือ” เธอค่อนข้างมั่นใจว่าตนมองไม่ผิด ระยะทางระหว่างต้นไม้ใหญ่คู่นั้นและตัวเรือนไทยห่างกันอยู่พอสมควร ไม่น่าใกล้ขนาดก้าวเพียงก้าวเดียวก็ชนบันไดแบบนี้
“มันเกิดขึ้นได้ยังไง หรือเมื่อกี้เธอเผลอวิ่งมา” คิ้วเรียวย่นเข้าหากันอย่างงงๆ ชักไม่แน่ใจว่าตอนลมแรงเมื่อครู่เธอยืนอยู่กับที่หรือวิ่งมาเพื่ออาศัยชายคาบ้านเป็นที่หลบภัยเพราะกลัวกิ่งไม้แห้งหล่นใส่หัวกันแน่
ขณะแก้มแหม่มยังคงยืนงงอยู่ที่เดิม เสียงหนึ่งก็ดังแหวกความเงียบออกมาจนสะดุ้ง เธอหันไปมองทางต้นเสียง แล้วดวงตาสีน้ำตาลก็เบิกกว้างอย่างน่ากลัว
“เดินช้าๆ ก็ได้น่าพี่เดือน ไม่เห็นต้องลากกันแบบนี้เลย เบาๆ หน่อย เดี๋ยวผ้าถุงหลุด”
ไหนยายแก้วบอกว่าบ้านไม่มีคนอยู่ไง แล้วสองคนที่กำลังคุยกันอยู่ตอนนี้เป็นใคร
เป็นคำถามที่แก้มแหม่มไม่รู้จะถามใครเหมือนกัน ตอนนี้นอกจากเจ้าของเสียงที่กำลังก้าวพ้นประตูมา รอบๆ ตัวเธอก็ไม่มีใครเลย
ทำยังไงดี ถ้าสองคนนี้เห็นเราเข้าละก็ ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ!
หญิงสาวหันรีหันขวางมองหาทางหนีทีไล่ แล้วริมฝีปากอิ่มก็ยิ้มออกเมื่อเห็นพุ่มแก้วอยู่ไม่ไกลนัก แก้มแหม่มไม่รอช้า กระโจนออกไปจากตรงนั้นทันที ทว่ากลับไม่เป็นอย่างคิด เพราะขาของเธอไม่ขยับ ราวใครเอาหมุดมาตอกตรึงให้อยู่กับที่
ทำไมเราขยับขาไม่ได้
ความหวาดกลัวแล่นปราดจับหัวใจ ใบหน้างามตอนนี้เริ่มเหยเก แต่ก็ยังไม่ละความพยายาม สั่งตัวเองให้ขยับขาอีก
เร็วเข้าสิ ขยับ
พร้อมกันนั้นเธอก็มองไปทางบันได ตอนนี้ผู้หญิงสองคนกำลังเดินลงมาช้าๆ ทว่าความพยายามของเธอไม่เป็นผล นอกจากไม่ขยับแล้ว ยังรู้สึกว่ายิ่งดิ้นรนมากเท่าไร แรงปริศนาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
หาสาเหตุไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ ความกลัวยิ่งเพิ่มขึ้น ใบหน้างามเริ่มเหยเก ริมฝีปากอิ่มบิดเบ้เกือบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
เพราะความใจกล้าบ้าบิ่น อยากรู้อยากเห็นไม่เข้าเรื่องของตัวเองแท้ๆ อยู่ดีไม่ว่าดีริอ่านแอบเข้าบ้านคนอื่น เลยทำให้ติดแหง็กอยู่ตรงนี้
ขณะขายังแข็งเป็นหิน แก้มแหม่มรู้สึกว่าตอนนี้แรงปริศนาที่ตรึงเธอเอาไว้กับที่กำลังบังคับให้หันหน้าไปทางบันได เธอพยายามฝืนใบหน้าอย่างหนัก แต่เหมือนตัวเองกลายเป็นหุ่นกระบอกถูกชักเชิดไปแล้ว ดังนั้นแก้มแหม่มจึงเห็นภาพตรงหน้าเต็มสองตาทีเดียว
“พี่ใจร้อน รีบหน่อยเถอะแก้ว เดี๋ยวไปถึงวัดช้า”
แก้มแหม่มรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังดูภาพแฟชั่นย้อนยุคในนิตยสาร เจ้าของเสียงพูดที่กำลังเดินคุยกันลงมานั้น คนหนึ่งเป็นเด็กผู้หญิงอายุราวสิบขวบ สวมเสื้อคอกระเช้าสีชมพูกับผ้าถุงผืนเล็ก นี่คงเป็นคนชื่อแก้วเจ้าของประโยคกลัวผ้าถุงหลุด ส่วนอีกคนซึ่งจูงมือเด็กแก้วลงมาเป็นหญิงสาวแรกรุ่นอายุไม่น่าเกินยี่สิบปี คนนี้แหละที่มองปราดแรกเธอคิดว่าเหมือนหลุดออกมาจากสมัยคุณยายยังสาว ทั้งเสื้อแขนยาว กระโปรงยาวคลุมเข่าดูเรียบร้อย ผมดัดเป็นลอน และขาดไม่ได้คือหมวกที่เจ้าตัวกำลังยกขึ้นสวมเหมือนในละครเรื่องปริศนาที่เคยดูเป๊ะ
“จะรีบไปไหนกันเล่าพี่เดือน วัดไม่หนีไปไหนหรอก”
นั่นทำให้เธอรู้ว่าผู้หญิงสวยๆ แต่งตัวดีคนนี้ชื่อเดือน
“วัดน่ะไม่หนี แต่เรามัวช้าอาจไปไม่ทันพิธีก็ได้นะแก้ว รีบหน่อยเถอะ”
เด็กแก้วทำหน้ามุ่ย ริมฝีปากยื่นแบบที่เห็นแล้วรู้ทันทีว่าเจ้าตัวกำลังไม่สบอารมณ์ แต่กระนั้นก็ยังยอมให้ผู้หญิงชื่อเดือนจูงลงบันไดมา
“โธ่ พี่เดือน นี่ยังเช้าอยู่เลย พระฉันเช้าเสร็จหรือยังก็ไม่รู้”
หือ? ประโยคนั้นสะดุดหูแก้มแหม่มเป็นอย่างมาก ยังเช้า ฉันเช้า...จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อตอนนี้เป็นเวลาเย็นใกล้พลบแล้ว
แก้มแหม่มเอะใจจึงหันไปสำรวจรอบกายอีกครั้ง แล้วตาก็เบิกโพลงเมื่อเห็นตะวันดวงโตส่องสว่าง ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสดใส มองอย่างไรบรรยากาศแบบนี้ไม่น่าใช่เวลาใกล้พลบสักนิด
ที่นี่มันที่ไหนกันแน่
ความไม่เข้าใจว่าสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่คืออะไร ทำให้ความกลัวแล่นพล่าน เย็นวาบตลอดสันหลัง ขนอ่อนลุกชันทั้งตัว แก้มแหม่มหน้าตื่นมองไปทางบันไดอีกครั้ง แล้วก็หลบวูบตามสัญชาตญาณเมื่อผู้หญิงสองคนนั้นลงบันไดมาและกำลังจะชนเธอราวกับมองไม่เห็นว่าตรงนี้มีคนอื่นยืนอยู่ด้วย
แต่ร่างกายเธอก็ยังขยับไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือหลับตาปี๋ เตรียมพร้อมรับความเจ็บจากแรงกระแทก ผ่านไปครู่หนึ่งเมื่อไม่รู้สึกอะไรเลย แก้มแหม่มจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วพบว่าสองคนนั้นเดินผ่านไปโดยที่ร่างกายไม่ได้สัมผัสกันสักนิด
ที่สำคัญสองคนนั้นทำราวกับไม่เห็นว่ามีคนแปลกหน้ายืนอยู่ตรงนี้
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน
และก่อนจะได้รับคำตอบ แก้มแหม่มก็รู้สึกว่าขาที่เคยถูกตอกตรึงไว้กับพื้นเริ่มขยับได้ แต่ดีใจได้ไม่นาน สายเชือกจากตัวบังคับหุ่นกระบอกก็พยายามชักเชิดให้ออกเดิน เป้าหมายคงไม่พ้นตามหลังสองสาวที่เพิ่งเข็นจักรยานออกมา
“ใคร ใครกล้าทำแบบนี้กับฉัน” เธอตะโกนออกไปอย่างเหลืออด ความหวาดกลัวเมื่อครู่เริ่มหายไป เมื่อความโกรธเข้ามาแทนที่
วินาทีนี้แก้มแหม่มเริ่มเห็นช้างตัวเท่ามด ไม่ว่า ‘อะไร’ หรือ ‘ใคร’ ก็ตามที่กำลังพยายามชักเชิดเธออยู่จะยิ่งใหญ่มาจากไหน เธอก็ไม่สนแล้ว ตอนนี้เธออยากหลุดออกไปจากสถานที่บ้าๆ นี่เสียที
พ่อจ๋า แม่จ๋า ป้าตาบ ช่วยชมพู่ด้วย
“ไม่!” เธอตะโกนออกมาเมื่อรู้สึกว่าขาโดนบังคับ “ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น ฉันจะกลับบ้าน ได้ยินไหม ฉันจะกลับบ้าน”
แก้มแหม่มยืนหอบฮัก กวาดตาไปรอบกายอย่างพร้อมเอาเรื่องหากใครหรืออะไรที่ว่าโผล่หน้าออกมาในตอนนี้ แต่ไม่มี นอกจากจู่ๆ เธอก็รู้สึกวูบวาบแปลกๆ หูได้ยินเสียงทุ้มกังวานแว่วๆ
“คุณ...คุณ...ตื่น มานอนทำอะไรอยู่ตรงนี้”
พร้อมๆ กับเสียงนั้น แก้มแหม่มรู้สึกเหมือนถูกตบหน้า ความเจ็บทำให้นิ่วหน้า ก่อนจะรู้สึกว่าภาพต่างๆเริ่มพร่าเลือน เรือนไทยเริ่มไม่ชัด เกิดแสงสว่างวาบขึ้นกะทันหัน แสงนั้นจัดจ้ามากจนหญิงสาวต้องเบือนหน้าหนี รู้สึกเหมือนสูญเสียการมองเห็นไปชั่วขณะ เธอยังไม่ทันคิดว่าควรทำอย่างไรดีก็รู้สึกเหมือนถูกกระชากออกจากจุดที่ยืนอยู่ด้วยแรงมหาศาล ความกลัวทำให้ร่างบางสั่นเทาไปทั้งตัว ยังไม่ทันตั้งตัวด้วยซ้ำ เธอก็รู้สึกเหมือนถูกผลักซ้ำอีกครั้ง
“กรี๊ด-ด-ด-ด-ด”
“นั่นจะไปไหนคะคุณชมพู่ เย็นมากแล้วนะคะ”
เสียงเรียกกึ่งปรามไม่อาจทำให้หญิงสาวเจ้าของนามชมพู่ หรือแก้มแหม่ม สนใจแม้แต่น้อย เจ้าตัวไม่เหลียวหลังกลับมาด้วยซ้ำตอนตะโกนตอบเสียงแจ๋ว
“เอาต้นมะลิไปให้ยายแก้วแป๊บเดียวค่ะป้าตาบ แล้วชมพู่จะรีบกลับนะ ไม่ต้องเป็นห่วง”
แรกทีเดียวป้าตาบนั้นเป็นแค่พี่เลี้ยงของแก้มแหม่ม เลี้ยงหญิงสาวมาตั้งแต่เล็ก ตัวแก้มแหม่มติดป้าตาบมากถึงขนาดโตแล้วก็ไม่อนุญาตให้ไปไหน ทางบิดาและมารดาของหญิงสาวจึงขอให้ทำงานอยู่ด้วยกันต่อไป ป้าตาบจึงอยู่ในฐานะเหมือนญาติ ครั้นพอบิดาและมารดาของแก้มแหม่มเสียชีวิต ป้าตาบสงสารหญิงสาวที่เลี้ยงมาเหมือนลูก จึงไม่อาจทอดทิ้งให้อยู่เพียงลำพัง ปัจจุบันป้าตาบจึงเป็นทั้งป้า แม่ และทุกๆ อย่างที่แก้มแหม่มอยากให้เป็นในเวลาเดียวกัน
“แล้วจะไปยังไงกันล่ะคะนั่น เจ้ายอดก็เอามอเตอร์ไซค์ไปซื้อไข่ให้ป้าที่ตลาดด้วยสิ” ป้าตาบหมายถึงหลานชายกำพร้าของตน
“เดินลัดป่าพรุด้านหลังไปจ้ะป้า”
“รอยอดกลับมาก่อนไม่ดีกว่าหรือคะ จะได้ไม่ต้องเดินให้เหนื่อย”
“โอ๊ย...แค่นี้เองค่ะป้า เดินไปแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เผลอๆ อาจเร็วกว่าขับรถไปเสียอีก” เจ้าตัวตอบกลั้วเสียงหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี “แล้วชมพู่จะรีบกลับมาค่ะ”
พูดจบเจ้าตัวก็ดึงถุงกล้ามะลิซ้อนขึ้นมากอดเอาไว้หลวมๆ แล้วรีบจ้ำออกไปทันที ด้วยรู้ว่าหากยังยืนอยู่ตรงนี้ ป้าตาบต้องมีคำถามตามมาอีกแน่
ดังนั้นพอป้าตาบหันมามองอีกทีก็เห็นเพียงหลังบอบบางลับทิวไม้ไปไวๆ ปฏิกิริยาต่อมาคือท่าทางส่ายหน้าเบาๆ กึ่งระอากึ่งอ่อนใจกับพฤติกรรมทำอะไรปรูดปราดของหญิงสาว
แก้มแหม่มเดินลัดป่าพรุ เลาะหลบแอ่งน้ำขังอย่างชำนาญ เธอมักใช้เส้นทางนี้เดินทางไปหาเพื่อนบ้านคนอื่นๆ แทนการขับรถหรือขี่มอเตอร์ไซค์ เนื่องจากถนนนั้นตัดอ้อมไปมา การเดินลัดป่าใช้เวลาน้อยกว่า ผ่านดงต้นหว้าไปหน่อยเดียวเธอก็ถึงบ้านยายแก้ว
“ยายแก้วจ๊ะ ยายแก้ว” เธอส่งเสียงไปก่อน ไม่แน่ใจว่าเจ้าของบ้านอยู่หรือเปล่า ขณะเดียวกันดวงตาสีน้ำตาลเข้มก็กวาดไปรอบๆ
บ้านยายแก้วเป็นบ้านไม้ชั้นเดียว ยกพื้นสูงมีใต้ถุนอย่างบ้านไทยสมัยก่อน ด้านล่างวางแคร่ไม้ไผ่เอาไว้นั่งเล่น แล้วเธอก็พบว่าหญิงชรานั่งอยู่บนแคร่นั่นเอง แก้มแหม่มจึงเดินแกมกระโดดเข้าไปหาอย่างร่าเริง
“หวัดดีจ้ายาย” หญิงสาวทักเสียงสดใส พลางทิ้งตัวลงนั่งบนแคร่อย่างง่ายๆ “ทำอะไรอยู่จ๊ะ ให้ชมพู่ช่วยไหม แล้ววันนี้น้าขวดไปไหนเสียล่ะจ๊ะ”
“เจียนหมากลูก เสร็จแล้วละ เจ้าขวดยังไม่กลับ เห็นว่าพรุ่งนี้ที่อำเภอมีงาน วันนี้เลยต้องเตรียมงานให้เสร็จ”
ยายแก้วเป็นหญิงชราอายุกว่าหกสิบปี แต่แก้มแหม่มมองว่าท่านไม่เหมือนคนอายุหกสิบกว่าเลย บางคนอายุขนาดนี้ก็เริ่มเลอะเลือน หลงลืม หูตาฟ่าฟางแล้ว แต่ยายแก้วยังมีแรงยกจอบขุดดินปลูกต้นไม้อย่างที่ท่านชอบได้ แถมความจำก็ยังดีเป็นเลิศอีกด้วย
“ชมพู่เดินลัดป่าพรุด้านหลังมาจ้ะ เจ้ายอดเอามอเตอร์ไซค์ไปตลาดเลยขี้เกียจรอ ชมพู่กลัวค่ำก็เลยเดินมา จะได้ออกกำลังกายไปในตัว”
“ออกกำลังกายกลางแดดมาทั้งวัน ไม่ได้ออกกำลังอีกหรือลูก”
“แหม ยาย ชมพู่ไม่ได้จัดสวนทุกวันนี่จ๊ะ บางวันก็นั่งๆ นอนๆ อยู่ในร้าน ไม่ได้ออกไปไหนเหมือนกัน” หญิงสาวตอบ
นอกจากแก้มแหม่มเปิดร้านขายต้นไม้และอุปกรณ์ตกแต่งสวนแล้ว ยังรับจัดสวน ดูแลสวนอีกด้วย แต่งานจัดสวนนั้นไม่ได้มีเข้ามาทุกวัน นานๆ ถึงมีมาว่าจ้างที ดังนั้นเวลาไม่มีงานจัดสวน เธอก็ได้แต่นั่งๆ นอนๆ เฝ้าร้านเท่านั้นเอง
“นี่ชมพู่เอาต้นมะลิซ้อนที่ยายสั่งมาให้จ้ะ” เธอดันถุงต้นกล้ามะลิไปให้หญิงชราพลางถาม “น้าขวดก็ไม่อยู่ ยายจะให้ชมพู่เอาลงดินให้เลยไหมจ๊ะ”
“ไม่ต้องหรอกลูก ขอบใจมาก เดี๋ยวยายจัดการเอง”
“จะดีหรือจ๊ะ เดี๋ยวน้าขวดแกก็ดุเอาอีก” แก้มแหม่มเคยได้ยินบุตรชายของยายแก้วบ่นๆ ว่าไม่อยากให้มารดาลุกขึ้นมาขุดดินทำสวน เพราะกลัวเป็นลมล้มพับไปแล้วไม่มีใครเห็น ช่วยไม่ทันจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่ดูเหมือนยายแก้วจะไม่ค่อยสนใจ
“ไม่ต้องห่วงหรอกลูก ขวดก็ดุไปงั้นเอง ยายจะทำ ใครก็ห้ามไม่ได้” หญิงชราตอบกลั้วหัวเราะ จนแก้มแหม่มหัวเราะตาม
“งั้นชมพู่กลับเลยแล้วกันจ้ะ เดี๋ยวน้าขวดกลับมาเห็นเข้า ชมพู่จะพลอยโดนดุ โทษฐานเอาต้นไม้มาให้ยายปลูก”
“แล้วนี่จะกลับยังไงล่ะลูก” เจ้าของบ้านควักเงินค่าต้นไม้ส่งให้พลางถาม
“เดินกลับทางเดิมจ้ะ”
“ยายว่าโทร.ให้ยอดมารับไม่ดีกว่าหรือ นี่ก็ใกล้ค่ำแล้ว เดินคนเดียวมันอันตราย” หญิงชราปรามด้วยความเป็นห่วง อย่างไรเสียแก้มแหม่มก็เป็นผู้หญิง ถึงจะมีนิสัยห้าวหาญเพียงใดก็อันตรายอยู่ดี
“ใครจะมาทำอะไรชมพู่กันจ๊ะ คนแถวนี้ก็รู้จักกันทั้งนั้น แต่ละคนเห็นชมพู่มาตั้งแต่เด็กๆ เขาไม่ทำอะไรชมพู่หรอกจ้ะ” หญิงสาวยังคงยืนกรานคำเดิม
“ยายไม่ได้หมายถึงอันตรายแบบนั้นหรอกลูก แต่มันใกล้ค่ำแล้ว งูเงี้ยวเขี้ยวขอมันเยอะ เดินเลาะป่าไปแบบนั้นอันตราย”
แก้มแหม่มมีสีหน้าลำบากใจ เธอไม่มั่นใจว่ายอดกลับจากตลาดหรือยัง ถ้ากลับแล้ว เวลาแบบนี้ยอดคงกำลังช่วยป้าตาบหยิบฉวยสิ่งของอยู่ในครัว หรือถ้าโรงเรียนยังไม่ปิดก็เป็นเวลาทำการบ้าน หากเป็นอย่างหลังก็ไม่อยากกวน แก้มแหม่มอยากให้ยอดมีเวลาวิ่งเล่นอย่างเด็กชายวัยเดียวกันบ้าง
“หรือถ้าไม่อยากโทร.ตามยอด รออีกเดี๋ยวนะ รอขวดกลับมา เดี๋ยวยายให้ขวดไปส่ง”
ประโยคหลังนี่ยิ่งแล้วใหญ่ ขืนป้าตาบเห็นเธอตะลอนเที่ยวจนต้องรบกวนคนอื่นไปส่ง คงนบ่นยืดยาว ร้ายเข้าจะไม่ใช่แค่บ่น แต่เป็นสั่งห้ามเที่ยว ถ้าเป็นแบบนั้นเธอแย่แน่
“ไม่เป็นไรจ้ะ” แก้มแหม่มรีบปฏิเสธด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“กลัวอะไรน่ะลูก” ยายแก้วส่งสายตารู้ทันไปให้ นั่นทำให้แก้มแหม่มสารภาพเสียงอ่อย
“แหะๆ เดี๋ยวป้าตาบจะไม่ให้ชมพู่เที่ยว ชมพู่กลับเองดีกว่าจ้ะ” หญิงสาวยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมอง “นี่ก็ยังไม่ห้าโมงเลย คงถึงบ้านก่อนค่ำแน่ๆ”
“เออเนาะ เรานี่แปลกจริงๆ งูเอย สัตว์สารพัดพิษไม่ยักกลัว แต่กลัวอดเที่ยว” ยายแก้วรำพึงด้วยความเอ็นดู เห็นว่าคงห้ามหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้ จึงเอ่ยเตือนเบาๆ “งั้นกลับระวังๆ นะลูก โดยเฉพาะแถวๆ เรือนไทยน่ะ หลบๆ ออกมา อย่าเดินใกล้ริมรั้วมาก หาไม้สักอันตีๆ ไปตามทางบ้างนะลูก พวกงูพวกตะขาบจะได้หนีไปก่อน ยายได้ยินว่าไอ้เขียวมันไม่ไปถางหญ้ารานกิ่งต้นไม้นาน ป่านนี้ไม่รู้กลายเป็นรังงูไปหรือเปล่า”
“เอ๋...เรือนไทยที่ใหญ่ๆ แต่ไม่มีคนอยู่น่ะหรือยาย เมื่อกี้ชมพู่เดินผ่านก็ไม่ทันสังเกต”
เรือนไทยหลังที่ว่าอยู่ระหว่างทางมาบ้านยายแก้ว เธอได้ยินมาว่าเจ้าของเดิมเป็นคนพื้นเพที่นี่ แต่ครอบครัวย้ายไปอยู่เมืองหลวงหลายสิบปีแล้ว มีมาพักบ้างนานๆ ครั้ง แต่ระยะหลังไม่เคยมาอีกเลย ปัจจุบันบ้านหลังนั้นไม่มีคนอาศัยอยู่ ก่อนหน้านี้เธอได้ยินจากป้าตาบว่าเขาจ้างนายใบให้ดูแลทำความสะอาดบ้านและสวน ทว่าตั้งแต่นายใบเสียชีวิต ก็ได้นายเขียวบุตรนายใบมารับช่วงดูแลต่อ
“ไอ้เขียวมันก็เกกมะเหรกเกเร กินแต่เหล้า งานการไม่ทำ ประสาอะไรกับบ้านคนอื่น ยิ่งเจ้าของเขาไม่เคยลงมาดู ได้ทีมันละ เดือนๆ รับเงินมากินเหล้าสบายไป”
แก้มแหม่มไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน วันๆ เธอทำแต่งานของตัวเอง ไม่ค่อยได้ใส่ใจเรื่องราวของชาวบ้านสักเท่าไร พอรู้อย่างนี้เข้าก็เสียดายแทนเจ้าของ
จำได้ว่าสมัยเด็กๆ เธอชอบเรือนไทยหลังนั้นมาก ทุกครั้งที่ปั่นจักรยานไปโรงเรียนผ่านตรงนั้น เธอต้องหันมองด้วยความชื่นชม มันสวยแปลกตากว่าบ้านทุกหลังที่เคยเห็นรวมถึงบ้านของเธอด้วย ที่สำคัญมันเหมือนบ้านในละครจักรๆ วงศ์ๆ ที่ชอบดู จนเคยคิดแอบเข้าไปวิ่งเล่น เผื่อว่าจะเจอเจ้าชายซ่อนอยู่ หรือไม่ก็ได้พบกับโสนน้อยเจ้าของเรือนหลังงาม
แต่ก็นั่นแหละ เธอได้แค่คิด เพราะมักถูกบิดาจับได้เสียก่อน นานวันเข้าบ้านหลังแปลกตาก็กลายเป็นความคุ้นเคย เหลือเพียงความเสียดาย ถ้าเธอเป็นเจ้าของบ้านหลังนั้นจะไม่ปล่อยให้รกเรื้อไร้คนดูแลแบบนี้แน่ เธอจะปรับปรุงให้ดี ให้สมกับคุณค่าของมัน
“เสียดายนะยาย เป็นชมพู่หน่อยไม่ได้ จะดูแลให้ดีที่สุดเลย ของโบราณแบบนี้ควรรักษาไว้ให้เด็กรุ่นหลังได้เห็นกัน”
“ใช่ เสียดาย มันควรได้รับการดูแลอย่างดีเหมือนเมื่อก่อน”
น้ำเสียงของยายแก้วสะดุดหูแก้มแหม่มจนอดเหลือบไปมองอย่างสงสัยไม่ได้ ใบหน้าของหญิงชราออกอาการเสียดายอย่างพูด แวบหนึ่งที่เธอรู้สึกว่ายายแก้วคิดมากเกินไปหรือเปล่า เพราะบ้านหลังนั้นก็เป็นของคนอื่น ไม่ได้เกี่ยวพันอะไรกันเลยแม้แต่น้อย ผ่านไปครู่หนึ่ง แก้มแหม่มก็ไหวไหล่เบาๆ
แล้วทำไมจะไม่ได้ ในเมื่อบ้านหลังนั้นเป็นของมีค่าควรรักษาไว้ให้คนรุ่นหลังๆ ได้ดู แปลกอะไรหากหญิงชราจะรู้สึกเสียดาย อยากให้มันได้รับการบำรุงรักษาอย่างดี
ขนาดเธอเองไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วย ยังอดรู้สึกเสียดายแทนลูกหลานเจ้าของบ้านไม่ได้เลย
“ลูกหลานเจ้าของก็กระไรเนอะยาย มีของดีอยู่ในมือไม่รักษาให้ดี ปล่อยให้รกร้างแบบนี้ เป็นชมพู่หน่อยไม่ได้” หญิงสาวมีท่าทีหมายหมาด เมื่อคิดถึงเรือนโสนน้อยหลังนั้น
“เราจะทำไม”
“ชมพู่ก็จะปรับปรุงให้ดี แล้วเปิดบ้านให้คนเข้าเยี่ยมชมบ้านเก่า ของเก่า เก็บค่าเข้าสบายไป” เจ้าตัวบอกกลั้วเสียงหัวเราะ พอพูดเรื่องเงินทอง ตาก็เป็นประกาย
“งกน่ะสิเรา”
“เขาเรียกรู้ค่าของเงินต่างหากล่ะยาย” เจ้าตัวบอกเสียงใส ไม่ได้มีท่าทางสลดกับคำเหน็บแนมของยายแก้วแม้แต่น้อย “ไม่เอาแล้ว ชมพู่ไม่คุยกับยายแล้ว มัวแต่โอ้เอ้ กว่าจะถึงบ้านค่ำพอดี กลับก่อนนะจ๊ะยาย”
พูดจบแก้มแหม่มก็ยกมือไหว้ด้วยอาการผลุบผลับเหมือนม้าดีดกะโหลก ซึ่งยายแก้วก็ได้แต่ส่ายหน้าขำๆ ไม่ได้ถือสาอะไร ก่อนเสียงแจ้วๆ จะลอยมาตามลมอีกครั้ง ทั้งที่ตัวคนพูดยืนอยู่ริมรั้วเรียบร้อยแล้ว
“ยายจ๋า ชมพู่ขอกุหลาบหนูของยายสองดอกนะ จะเอาไปทับทำดอกไม้แห้ง”
ถึงเจ้าของดอกกุหลาบอยากปฏิเสธก็ไม่ทันแล้ว เพราะในขณะเอ่ยขออนุญาตนั้น ยายแก้วเห็นว่ากุหลาบหนูสีขาวถูกเด็ดออกจากต้นและคนขอก็เดินตัวปลิวหายไปเรียบร้อย
ไปไวเหมือนตอนขามาไม่มีผิด...
ระหว่างทางที่เดินกลับ พอถึงบริเวณรั้วของเรือนไทยหลังใหญ่หญิงสาวก็อดหันไปมองไม่ได้ จากจุดที่ยืนอยู่ มองตรงไปยังบริเวณริมสุดของที่ดิน ต้นไม้ซึ่งคงเคยเป็นไม้พุ่มตัดแต่งเอาไว้เป็นแนวรั้วอย่างสวยงาม บางต้นแห้งเหี่ยวเหลือใบเกาะอยู่หร็อมแหร็มน่าใจหาย
มองลึกเข้าไปหน่อย ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่มีต้นไม้เล็กอย่างกระถิน พลับพลาขึ้นอยู่ ระยะเวลายาวนานที่ร้างจากการดูแลทำให้ไม้เหล่านี้เจริญเติบโตจนเริ่มสูง ไหนจะเถาวัลย์ เรียกได้ว่ากลายเป็นป่ารกเรื้อไปแล้ว ตอนนี้เลยมองไม่เห็นตัวบ้านที่ตั้งอยู่ภายใน ไม่ต่างจากส่วนที่ติดกับถนน
เธอจำได้ว่าตัวเรือนไทยนั้นปลูกค่อนอยู่ด้านหลังของที่ดินผืนยาว เมื่อก่อนก็มองเห็นไม่ชัดนักอยู่แล้ว นานวันเข้าต้นไม้โตขึ้นเรื่อยๆ ก็บดบังตัวบ้านจากสายตาคนภายนอกไปหมด เผลอๆ คนแถวนี้อาจลืมไปแล้วก็ได้ว่าบนที่ดินผืนใหญ่และยาวนับสิบไร่แห่งนี้มีเรือนไทยซ่อนอยู่
ความอยากรู้อยากเห็นทำให้แก้มแหม่มหยิบไม้ขนาดเหมาะมือขึ้นมา แล้วดุ่มเดินตรงไปยังพุ่มไม้จุดที่สังเกตเห็นว่ามีรอยแหวกอยู่
แล้วเธอก็พบว่ามันไม่ยากเลยในการฝ่าดงต้นไม้รกเรื้อเข้าไปยังภายใน เพราะดูเหมือนเคยมีคนเข้าออกบ้านหลังนี้อยู่บ่อยๆ เห็นได้จากร่องรอยการย่ำเท้าจนกลายเป็นทางเดินเล็กๆ
สงสัยจะเป็นพวกลักเล็กขโมยน้อยเห็นบ้านไม่มีคนอาศัยอยู่ เลยมางัดแงะหาของมีค่าไปขายเสียกระมัง
หญิงสาวใช้ไม้ที่ติดมาตีเปะป่ายเพื่อไล่สัตว์มีพิษให้ตกใจหนีไปก่อนเดินผ่าน บางครั้งต้องหักกิ่งไม้ที่ขวางอยู่เพื่อเปิดทาง จะได้เดินผ่านอย่างสะดวก บ่อยครั้งก็ต้องใช้ไม้ที่ติดมือมาเขี่ยทำลายรังแมงไหมให้พ้นทางแล้วเดินผ่านจุดนั้นไปได้
สุดท้ายแก้มแหม่มก็ทิ้งตัวพิงต้นไม้ ยืนหอบแฮก มือกระพือปกเสื้อไล่ไอร้อน เท้ายกขึ้นถูหน้าแข้งตัวเองที่รู้สึกแสบๆ คันๆ จากการถูกใบหญ้าและกิ่งไม้แห้งบาด เธอทำอยู่อย่างนั้นเป็นครู่กว่าระดับการหายใจจะเข้าสู่ภาวะปกติ เมื่อนั้นแหละจึงมีแก่ใจมองสำรวจรอบกาย
จุดที่ยืนอยู่นั้นไม่ค่อยมีต้นไม้เล็กๆ ขึ้นอยู่เท่าไร อาจเป็นเพราะไม้ใหญ่ยืนต้นตระหง่านสองต้นแผ่กิ่งก้านทิ้งร่มเงาปกคลุมเป็นบริเวณกว้างทำให้แสงแดดเล็ดลอดผ่านลงมาสู่พื้นดินได้น้อย นี่คงเป็นสาเหตุว่าทำไมบริเวณนี้จึงไม่มีต้นไม้อื่นๆ ขึ้นอยู่เลย
บรรยากาศร่มรื่น ลมพัดแผ่วๆ อากาศกำลังเย็นสบายแบบนี้ ทำให้เธอเผลอคิดขำๆ ว่า หากมีเปลญวนสักปากเอามาผูกไว้ระหว่างต้นไม้สองต้นนี้แล้วทิ้งตัวลงนอนคงสบายพิลึก
ทว่าก็ได้แต่คิด เอาเข้าจริงก็ไม่กล้าทำหรอก นี่ไม่ใช่บ้านของเธอ จะได้มายึดพื้นที่นอนเขลงสบายอารมณ์ เกิดนอนอยู่ดีๆ แล้ว ‘เจ้าของที่’ มาทวงบ้านคืน เธอมิแย่หรือ
บรื๋อ-อ-อ-อ
แค่คิดก็ขนลุกแล้ว มือบางยกขึ้นลูบต้นแขนตนเองเบาๆ เมื่อจู่ๆ ขนอ่อนก็ลุกชันขึ้นมาทั้งตัว ความหวาดระแวงทำให้ดวงตาสีน้ำตาลกวาดไปรอบกายเลิ่กลั่ก ไม่รู้อุปาทานไปเองหรือเปล่าเมื่อรู้สึกว่าจู่ๆ อากาศรอบกายก็เย็นลงผิดปกติ แต่เธอก็ปัดความคิดนั้นออกไป บอกตัวเองว่าเย็นแล้ว แถมจุดที่ยืนอยู่ยังเป็นพื้นที่ที่แดดส่องลงมาไม่ค่อยถึง อากาศเย็นกว่าตรงอื่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
แก้มแหม่มเผลอกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ เขาบอกว่าเข้าป่าอย่าพูดถึงเสือ นี่เธอแค่รุกล้ำที่ทางของคนอื่นแล้วเผลอคิดถึงเจ้าที่หน่อยเดียวเท่านั้นเอง
อย่าถึงขนาดออกมาให้เห็นเลยนะเจ้าคะ
มือบางยกขึ้นไว้ปลกๆ เหนือศีรษะ ตั้งจิตอธิษฐานขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทาง
ท่านเจ้าขา หนูมาดีไม่ได้มีจิตคิดร้ายหรือตั้งใจมาขโมยของ ยังไงหนูขออนุญาตเข้าไปหน่อยนะคะ หนูแค่อยากดูบ้านโสนน้อยนิดๆ หน่อยๆ ท่านไม่ตอบอะไร หนูถือว่าอนุญาตนะคะ สาธุ
อธิษฐานจบแก้มแหม่มก็รออยู่สามวินาที หรี่ตามองรอบๆ ไม่เห็นอะไรผิดปกติก็ตัดสินใจเอาเองว่าเจ้าของที่อนุญาตตามคำขอแล้ว มือที่ยกจรดหน้าผากลูบมาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายผม สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ มองตรงไปยังเรือนไทยหลังใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนัก เป้าหมายต่อไปก็คือ ‘บ้านโสนน้อย’
เพียงแก้มแหม่มก้าวพ้นแนวไม้ใหญ่ทั้งสองต้นนั้นออกไป ลมจากไหนไม่รู้ จู่ๆ ก็พัดกระโชกแรง พาเอาทั้งใบไม้แห้งและเศษไม้เล็กๆ ปลิวให้ว่อน สัญชาตญาณป้องกันตัวทำให้หญิงสาวยกแขนขึ้นบังตาตนเองโดยอัตโนมัติ นานเท่าไรก็สุดรู้กว่าลมปริศนานั้นจะหายไป...
พอรู้สึกว่าลมสงบลงแล้ว แก้มแหม่มก็ค่อยๆ ลดแขนที่ปิดตาลง ลืมตาช้าๆ มือก็สาละวนอยู่กับการปัดเศษขยะที่ปลิวมาจากแรงลมออกจากตัว เพื่อไม่ให้เสียเวลาเธอจึงออกเดิน พลางตระหนักว่าตอนนี้ก็เริ่มค่ำแล้ว
ขอดูบ้านโสนน้อยแวบเดียวแล้วจะเผ่นกลับบ้าน ก่อนโดนป้าตาบดุและสั่งห้ามออกเที่ยวอีก
อารามไม่ได้มองทางเพราะมัวแต่ปัดเศษดินเศษหญ้าตามตัวไปด้วย ก้าวออกไปได้ก้าวเดียวแก้มแหม่มก็ต้องเบรกจนตัวโก่ง เมื่อเห็นว่ามีอะไรขวางทางอยู่ เธอชะงักตัวชาเมื่อเรือนไทยที่เห็นอยู่ไกลๆ นั้นกลับตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า
ที่สำคัญตอนนี้เธอกำลังยืนอยู่หน้าบันไดบ้าน!
“เอ๊ะ เมื่อกี้บ้านอยู่ห่างอีกตั้งไกลไม่ใช่หรือ” เธอค่อนข้างมั่นใจว่าตนมองไม่ผิด ระยะทางระหว่างต้นไม้ใหญ่คู่นั้นและตัวเรือนไทยห่างกันอยู่พอสมควร ไม่น่าใกล้ขนาดก้าวเพียงก้าวเดียวก็ชนบันไดแบบนี้
“มันเกิดขึ้นได้ยังไง หรือเมื่อกี้เธอเผลอวิ่งมา” คิ้วเรียวย่นเข้าหากันอย่างงงๆ ชักไม่แน่ใจว่าตอนลมแรงเมื่อครู่เธอยืนอยู่กับที่หรือวิ่งมาเพื่ออาศัยชายคาบ้านเป็นที่หลบภัยเพราะกลัวกิ่งไม้แห้งหล่นใส่หัวกันแน่
ขณะแก้มแหม่มยังคงยืนงงอยู่ที่เดิม เสียงหนึ่งก็ดังแหวกความเงียบออกมาจนสะดุ้ง เธอหันไปมองทางต้นเสียง แล้วดวงตาสีน้ำตาลก็เบิกกว้างอย่างน่ากลัว
“เดินช้าๆ ก็ได้น่าพี่เดือน ไม่เห็นต้องลากกันแบบนี้เลย เบาๆ หน่อย เดี๋ยวผ้าถุงหลุด”
ไหนยายแก้วบอกว่าบ้านไม่มีคนอยู่ไง แล้วสองคนที่กำลังคุยกันอยู่ตอนนี้เป็นใคร
เป็นคำถามที่แก้มแหม่มไม่รู้จะถามใครเหมือนกัน ตอนนี้นอกจากเจ้าของเสียงที่กำลังก้าวพ้นประตูมา รอบๆ ตัวเธอก็ไม่มีใครเลย
ทำยังไงดี ถ้าสองคนนี้เห็นเราเข้าละก็ ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ!
หญิงสาวหันรีหันขวางมองหาทางหนีทีไล่ แล้วริมฝีปากอิ่มก็ยิ้มออกเมื่อเห็นพุ่มแก้วอยู่ไม่ไกลนัก แก้มแหม่มไม่รอช้า กระโจนออกไปจากตรงนั้นทันที ทว่ากลับไม่เป็นอย่างคิด เพราะขาของเธอไม่ขยับ ราวใครเอาหมุดมาตอกตรึงให้อยู่กับที่
ทำไมเราขยับขาไม่ได้
ความหวาดกลัวแล่นปราดจับหัวใจ ใบหน้างามตอนนี้เริ่มเหยเก แต่ก็ยังไม่ละความพยายาม สั่งตัวเองให้ขยับขาอีก
เร็วเข้าสิ ขยับ
พร้อมกันนั้นเธอก็มองไปทางบันได ตอนนี้ผู้หญิงสองคนกำลังเดินลงมาช้าๆ ทว่าความพยายามของเธอไม่เป็นผล นอกจากไม่ขยับแล้ว ยังรู้สึกว่ายิ่งดิ้นรนมากเท่าไร แรงปริศนาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
หาสาเหตุไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ ความกลัวยิ่งเพิ่มขึ้น ใบหน้างามเริ่มเหยเก ริมฝีปากอิ่มบิดเบ้เกือบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
เพราะความใจกล้าบ้าบิ่น อยากรู้อยากเห็นไม่เข้าเรื่องของตัวเองแท้ๆ อยู่ดีไม่ว่าดีริอ่านแอบเข้าบ้านคนอื่น เลยทำให้ติดแหง็กอยู่ตรงนี้
ขณะขายังแข็งเป็นหิน แก้มแหม่มรู้สึกว่าตอนนี้แรงปริศนาที่ตรึงเธอเอาไว้กับที่กำลังบังคับให้หันหน้าไปทางบันได เธอพยายามฝืนใบหน้าอย่างหนัก แต่เหมือนตัวเองกลายเป็นหุ่นกระบอกถูกชักเชิดไปแล้ว ดังนั้นแก้มแหม่มจึงเห็นภาพตรงหน้าเต็มสองตาทีเดียว
“พี่ใจร้อน รีบหน่อยเถอะแก้ว เดี๋ยวไปถึงวัดช้า”
แก้มแหม่มรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังดูภาพแฟชั่นย้อนยุคในนิตยสาร เจ้าของเสียงพูดที่กำลังเดินคุยกันลงมานั้น คนหนึ่งเป็นเด็กผู้หญิงอายุราวสิบขวบ สวมเสื้อคอกระเช้าสีชมพูกับผ้าถุงผืนเล็ก นี่คงเป็นคนชื่อแก้วเจ้าของประโยคกลัวผ้าถุงหลุด ส่วนอีกคนซึ่งจูงมือเด็กแก้วลงมาเป็นหญิงสาวแรกรุ่นอายุไม่น่าเกินยี่สิบปี คนนี้แหละที่มองปราดแรกเธอคิดว่าเหมือนหลุดออกมาจากสมัยคุณยายยังสาว ทั้งเสื้อแขนยาว กระโปรงยาวคลุมเข่าดูเรียบร้อย ผมดัดเป็นลอน และขาดไม่ได้คือหมวกที่เจ้าตัวกำลังยกขึ้นสวมเหมือนในละครเรื่องปริศนาที่เคยดูเป๊ะ
“จะรีบไปไหนกันเล่าพี่เดือน วัดไม่หนีไปไหนหรอก”
นั่นทำให้เธอรู้ว่าผู้หญิงสวยๆ แต่งตัวดีคนนี้ชื่อเดือน
“วัดน่ะไม่หนี แต่เรามัวช้าอาจไปไม่ทันพิธีก็ได้นะแก้ว รีบหน่อยเถอะ”
เด็กแก้วทำหน้ามุ่ย ริมฝีปากยื่นแบบที่เห็นแล้วรู้ทันทีว่าเจ้าตัวกำลังไม่สบอารมณ์ แต่กระนั้นก็ยังยอมให้ผู้หญิงชื่อเดือนจูงลงบันไดมา
“โธ่ พี่เดือน นี่ยังเช้าอยู่เลย พระฉันเช้าเสร็จหรือยังก็ไม่รู้”
หือ? ประโยคนั้นสะดุดหูแก้มแหม่มเป็นอย่างมาก ยังเช้า ฉันเช้า...จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อตอนนี้เป็นเวลาเย็นใกล้พลบแล้ว
แก้มแหม่มเอะใจจึงหันไปสำรวจรอบกายอีกครั้ง แล้วตาก็เบิกโพลงเมื่อเห็นตะวันดวงโตส่องสว่าง ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสดใส มองอย่างไรบรรยากาศแบบนี้ไม่น่าใช่เวลาใกล้พลบสักนิด
ที่นี่มันที่ไหนกันแน่
ความไม่เข้าใจว่าสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่คืออะไร ทำให้ความกลัวแล่นพล่าน เย็นวาบตลอดสันหลัง ขนอ่อนลุกชันทั้งตัว แก้มแหม่มหน้าตื่นมองไปทางบันไดอีกครั้ง แล้วก็หลบวูบตามสัญชาตญาณเมื่อผู้หญิงสองคนนั้นลงบันไดมาและกำลังจะชนเธอราวกับมองไม่เห็นว่าตรงนี้มีคนอื่นยืนอยู่ด้วย
แต่ร่างกายเธอก็ยังขยับไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือหลับตาปี๋ เตรียมพร้อมรับความเจ็บจากแรงกระแทก ผ่านไปครู่หนึ่งเมื่อไม่รู้สึกอะไรเลย แก้มแหม่มจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วพบว่าสองคนนั้นเดินผ่านไปโดยที่ร่างกายไม่ได้สัมผัสกันสักนิด
ที่สำคัญสองคนนั้นทำราวกับไม่เห็นว่ามีคนแปลกหน้ายืนอยู่ตรงนี้
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน
และก่อนจะได้รับคำตอบ แก้มแหม่มก็รู้สึกว่าขาที่เคยถูกตอกตรึงไว้กับพื้นเริ่มขยับได้ แต่ดีใจได้ไม่นาน สายเชือกจากตัวบังคับหุ่นกระบอกก็พยายามชักเชิดให้ออกเดิน เป้าหมายคงไม่พ้นตามหลังสองสาวที่เพิ่งเข็นจักรยานออกมา
“ใคร ใครกล้าทำแบบนี้กับฉัน” เธอตะโกนออกไปอย่างเหลืออด ความหวาดกลัวเมื่อครู่เริ่มหายไป เมื่อความโกรธเข้ามาแทนที่
วินาทีนี้แก้มแหม่มเริ่มเห็นช้างตัวเท่ามด ไม่ว่า ‘อะไร’ หรือ ‘ใคร’ ก็ตามที่กำลังพยายามชักเชิดเธออยู่จะยิ่งใหญ่มาจากไหน เธอก็ไม่สนแล้ว ตอนนี้เธออยากหลุดออกไปจากสถานที่บ้าๆ นี่เสียที
พ่อจ๋า แม่จ๋า ป้าตาบ ช่วยชมพู่ด้วย
“ไม่!” เธอตะโกนออกมาเมื่อรู้สึกว่าขาโดนบังคับ “ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น ฉันจะกลับบ้าน ได้ยินไหม ฉันจะกลับบ้าน”
แก้มแหม่มยืนหอบฮัก กวาดตาไปรอบกายอย่างพร้อมเอาเรื่องหากใครหรืออะไรที่ว่าโผล่หน้าออกมาในตอนนี้ แต่ไม่มี นอกจากจู่ๆ เธอก็รู้สึกวูบวาบแปลกๆ หูได้ยินเสียงทุ้มกังวานแว่วๆ
“คุณ...คุณ...ตื่น มานอนทำอะไรอยู่ตรงนี้”
พร้อมๆ กับเสียงนั้น แก้มแหม่มรู้สึกเหมือนถูกตบหน้า ความเจ็บทำให้นิ่วหน้า ก่อนจะรู้สึกว่าภาพต่างๆเริ่มพร่าเลือน เรือนไทยเริ่มไม่ชัด เกิดแสงสว่างวาบขึ้นกะทันหัน แสงนั้นจัดจ้ามากจนหญิงสาวต้องเบือนหน้าหนี รู้สึกเหมือนสูญเสียการมองเห็นไปชั่วขณะ เธอยังไม่ทันคิดว่าควรทำอย่างไรดีก็รู้สึกเหมือนถูกกระชากออกจากจุดที่ยืนอยู่ด้วยแรงมหาศาล ความกลัวทำให้ร่างบางสั่นเทาไปทั้งตัว ยังไม่ทันตั้งตัวด้วยซ้ำ เธอก็รู้สึกเหมือนถูกผลักซ้ำอีกครั้ง
“กรี๊ด-ด-ด-ด-ด”
เนตรนภัส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ก.ค. 2560, 12:58:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ก.ค. 2560, 12:58:15 น.
จำนวนการเข้าชม : 1054
<< บทที่ 2 | บทที่ 4 >> |