ปิ่นใจกะรัตพลอย (ชุด ลูกไม้ลายหงส์)
แม้จะต้องปะทะลมฝนรุนแรงขนาดไหน เธอก็ยังนับเป็นหงส์เหินที่งามสง่า แต่ใครจะคิดว่าสักวันนึง...ลมปากคนจะหักปีกหงส์ได้จริงๆ...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: Chapter 10 : เคว้ง



'ชั่ววินาทีที่คุณบอกลานั้น ดูเหมือนเสียงคุณจะดังยิ่งกว่าเสียงลมหายใจฉันเสียอีก...’


กลิ่นธูปคละคลุ้งลอยหวิวผ่านหน้าเพียงน้ำพลอยไปอย่างเอื่อยเฉื่อย บ้างลอยหยักเป็นเกลียวคลื่น บ้างลากยาวเป็นสายคล้ายรอยมีด ทว่าดวงตากลมโตกลับนิ่งงันค้างไม่ยี่หระต่อสิ่งเร้าตรงหน้า ไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้นหลุดรอดออกมา มีเพียงหยาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มอยู่ไม่ขาดสายเท่านั้นที่บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวยังมีชีวิตอยู่ ร่างอรชรในชุดเดรสแต่งลูกไม้สีดำสนิทนั่งทับขาอยู่กับพื้น ด้านข้างเป็นรูปหน้าศพของบุคคลอันเป็นที่รักทั้งสอง เบื้องหน้าเป็นโลงศพสองโลง เธอนั่งนิ่งไม่ไหวติง เอาแต่มองมันอยู่อย่างนั้น ราวกับกำลังรอคอยให้ร่างไร้ลมหายใจทั้งสองตื่นขึ้นจากการหลับไหล



แม้จะเป็นวันที่สามแล้วที่นั่งนิ่งอยู่อย่างนี้ แต่เธอก็ยังหวังว่าวินาทีข้างหน้าต่อจากนี้เธอจะตื่นขึ้นบนเตียง แล้วพบว่าตัวเองแค่ฝันไปเท่านั้น...



เธอจำได้รางๆ ว่าหลังจากกลับมาจากฮ่องกงแล้ว ตัวเองถูกลุงประวิทย์พาฝ่าฝูงนักข่าวออกไปจากสนามบิน สื่อมวลชนฝูงใหญ่เข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังเธอจนเป็นกำแพงมนุษย์สูงมิดศีรษะ แต่พวกเขาถามอะไรเธอบ้างนั้นเธอจำได้ไม่ถนัดนัก มีเพียงความทรงจำหลังจากนี้บางช่วงบางตอนเท่านั้น ที่ยังแจ่มชัดเสียอย่างกับมีคนมาประทับภาพฝังเอาไว้ในหัว เช่นภาพเธอเปิดผ้าคลุมออกแล้วพบว่าร่างไร้ลมหายใจใต้ผ้าห่มผืนนั้นเป็นพ่อกับแม่บังเกิดเกล้าของตัวเอง พวกท่านคล้ายกับกำลังหลับฝันแล้วส่งยิ้มให้เธอบางๆ อย่างใจดี ทว่ารอยยุบบริเวณกะโหลกศีรษะของพ่อ กับแผลบาดลึกเป็นทางยาวกว่าครึ่งใบหน้าของแม่ กลับตรงข้ามกับรอยยิ้มอ่อนโยนของพวกท่านโดยสิ้นเชิง



ชั่วเวลานั้น เสียงอ่อนโยนของแม่คล้ายกับดังแว่วขึ้นที่หูของเธอ



‘น้ำพลอยของแม่เก่งที่สุดเลยลูก รางวัลคราวนี้เป็นอะไรดีนะ วันอาทิตย์นี้เราไปปิกนิกกันดีมั้ยคะ’ ท่านเคยเอ่ยด้วยใบหน้าอ่อนโยน ก่อนจะดึงเธอไปกอดไว้แน่น ตอนที่เธออยู่ชั้นประถมหนึ่งแล้วสอบได้ที่หนึ่งเป็นครั้งแรก



‘แม่ภูมิใจในตัวหนูเสมอนะลูก และวันนี้ก็ภูมิใจที่สุด รักลูกจ้ะ’ ท่านเคยยิ้มกว้างที่สุดยามที่เอ่ยประโยคนี้ เมื่อครั้งเธอรับปริญญาใบแรก



‘ไม่รู้แม่ทำบุญด้วยอะไรนะ ถึงได้มีลูกสาวทั้งสวยทั้งเก่งแบบนี้ สงสัยคงต้องให้อยู่แต่บ้านซะละมั้งถึงจะแต่งออก พวกผู้ชายน่ะชอบผู้หญิงเก่งซะที่ไหน ไม่สิ...ไม่ต้องแต่งมันเลยดีกว่า ใครจะรักลูกแม่ได้เท่าที่แม่รัก’ ท่านเคยหยอกเย้าเธออย่างอารมณ์ขัน ว่าไปพลางอมยิ้มไปพลาง ขณะที่มือก็ปอกผลไม้ให้เธอที่นอนหนุนตักอยู่หยิบกินไปเรื่อย



แม้แต่เสียงทุ้มนุ้มแต่เจือแหบพร่าเป็นบางคราวของพ่อก็ยังดังแทรกขึ้นมาด้วย



‘ลูกพ่อเก่งจังเลย ปล่อยพลุออกมาได้ตั้งหลายสี ดูโน่นๆๆ’ ท่านเคยประคองมือน้อยๆ ของเธอถือพลุ ปล่อยดวงไฟลอยละล่องขึ้นแตกกระจายบนท้องฟ้า



‘ลูกสาวฉันเองเว้ย คนเล็ก นี่คนเล็ก ยังโสด...แต่ฉันไม่ดองกับพวกแก ไม่ต้องมาขอ’ ท่านเคยดึงเธอไปโอ้อวดในกลุ่มเพื่อนอย่างภาคภูมิตอนไปออกรอบตีกอล์ฟด้วยกัน ใบหน้าอ่อนโยนของท่านมีความสุขสุดแสน พาให้เธออมยิ้มอย่างมีความสุขตามไปด้วย



เธอไม่เคยคิดถึงโลกที่ไม่มีพ่อกับแม่อยู่... แต่วันนี้กลับต้องมานั่งมองควันธูปเซ่นสังเวยวิญญาณท่าน...



เมื่อเกือบสองปีที่แล้ว เธอสูญเสียกวินทร์...คนที่เคยคิดว่าจะอยู่ร่วมกันชั่วชีวิต...



ตอนนั้น เธอคิดว่าตัวเองเข้าใจคำสูญเสียได้อย่างถ่องแท้เหลือเกิน ทว่ามาตอนนี้ที่บาดแผลช้ำเลือดช้ำหนองถูกแทงซ้ำกระหน่ำอีกครั้ง กระทั่งลมหายใจรวยรินก็ยังคล้ายว่าจะหมดลงดื้อๆ เธอถึงได้เข้าใจว่าคำว่าถ่องแท้ในตอนนั้น...ยังเทียบไม่ได้แม้แต่ครึ่งของตอนนี้...



ที่แท้คำว่า ‘ไม่มีอีกแล้ว’ มันเป็นเช่นนี้นี่เอง...



เธอจำได้ไม่ชัดเจนนักว่าตัวเองกลับจากโรงพยาบาลแล้วมาอยู่ที่วัดได้ยังไง ความทรงจำช่วงนั้นคล้ายกับถูกชะล้างจนเหลือเพียงรอยเปื้อนจางๆ รู้ตัวอีกทีก็มานั่งคุกเข่าอยู่หน้าโลงศพแล้ว เธอรู้สึกคล้ายกับได้ยินลุงประวิทย์พูดด้วยหลายประโยค ได้ยินพี่สาวที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศตวาดเสียงดังใส่หลายคำ แต่กลับจำไม่ได้สักคำว่าพวกเขาพูดอะไรบ้าง และคิดว่าตัวเองไม่ได้ตอบอะไรออกไปเช่นกัน จำได้เพียงว่าตอนเย็นๆ วันนี้ถามลุงประวิทย์ออกไปไม่กี่คำว่า ‘วันนี้วันที่เท่าไหร่แล้ว’ ลุงประวิทย์ตอบเธอพลางเช็ดน้ำหูน้ำตาไปพลาง จากนั้นก็ปล่อยให้เธอนั่งอยู่กับรูปหน้าศพสองรูปต่อไป



เนื่องจากเรื่องทุกอย่างค่อนข้างกะทันหัน เรื่องที่ต้องทำแทบทุกเรื่องจึงยังไม่เสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์สักเรื่อง ลูกสาวคนเล็กที่เคยเป็นการเป็นงานที่สุด ควบคุมสติได้ดีที่สุด รับมือกับทุกสถานการณ์ได้มากที่สุด ก็สติเลื่อนลอยไปช่วยขณะ สีหน้าซีดเผือดเสียจนน่ากลัว ไม่ว่าใครก็ไม่อาจทำใจกล้าเข้าไปถามความเห็นใดๆ ได้ ลูกสาวคนโตที่เหลืออยู่ก็วิ่งพล่านไปทั่ว ประเดี๋ยวขับรถออกไปโน่น ประเดี๋ยวบอกว่าต้องรีบไปจัดการเรื่องด่วนนี่ หยิบจับอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง การมาของน้ำผึ้งพระจันทร์กับทิพย์น้ำปรุงในเย็นวันเดียวกันนั้นจึงเรียกได้ว่าเป็นประโยชน์ต่อครอบครัวโรจน์รวีเตชานนท์เหลือคณานับทีเดียว



น้ำผึ้งพระจันทร์ช่วยดูแลเรื่องกำลังคนรักษาความปลอดภัยในงานกับเรื่องของชำร่วย ส่วนเรื่องจัดพื้นที่ในงานว่าตรงไหนวางอะไร ตลอดจนพวงหรีดทั้งหลายแหล่ที่ถูกส่งมาจนแทบไร้ที่วาง ทิพย์น้ำปรุงเป็นคนจัดการดูแลทั้งหมด ทั้งเพื่อนทั้งสองยังร่วมกันดูแลเรื่องข้าวปลาอาหารให้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทว่าก็จนใจที่เรื่องอื่นๆ นอกเหนือจากนี้เป็นเรื่องในครอบครัว ไม่อาจก้าวก่ายได้



จวบจนวันนี้ก็ตั้งสวดศพที่วัดได้เป็นวันที่สามแล้ว เพียงน้ำพลอยได้แต่กลืนหยาดน้ำตาลงไป แล้วเบือนหน้าไปมองแขกที่มาร่วมงานเบื้องหลังซึ่งยังคงโหวงเหวงอยู่เหมือนเดิม ผิดกับภาพงานศพผู้ทรงอิทธิพลทางเศรษฐกิจอันดับต้นๆ ของประเทศที่ควรเป็นโดยสิ้นเชิง มีเพียงพวงหรีดกับซองเงินช่วยงานเท่านั้นที่ส่งมาอย่างท่วมท้น ซึ่งนั่นก็ยิ่งเป็นการแสดงว่าพวกเขารับรู้ถึงการเชื้อเชิญ แต่พร้อมใจกันไม่มาร่วมงาน แม้จะมีผู้ถือหุ้นกับญาติสนิทบางคนที่หน้าบางเกินกว่าจะทำเมินเฉย จำใจมาร่วมงานอย่างเสียไม่ได้ แต่ก็เพียงแค่เข้ามากราบศพ กล่าวคำเสียใจกับเจ้าภาพอย่างเธอที่นั่งอยู่หน้าศพสองสามคำ จากนั้นก็รีบบึ่งรถกลับไปทันที พื้นที่กว้างขวางกับอาหารที่ตระเตรียมไว้สำหรับรองรับแขกเหรื่อ จึงกลายเป็นเครื่องเซ่นสำหรับคนตาย และมีดอาบยาพิษสำหรับคนยังอยู่ไปในเวลาเดียวกัน



เพียงน้ำพลอยที่เริ่มได้สติขึ้นเล็กน้อยคิดอยากจะดึงตัวใครสักคนมาถามอยู่เหมือนกันว่าทำไมแขกถึงมากันน้อยนัก ไม่มีคนส่งบัตรเชิญไปหรือยังไง พ่อกับแม่ของเธอถือเป็นคนสำคัญในสังคม ทั้งพวกพ่อค้า นักการเมือง ผู้ดีมีตระกูลทั้งหลายต่างนับหน้าถือตา แต่ทำไมจำนวนคนที่มาร่วมงานถึงได้ผิดกันนัก หากไม่นับคนที่รีบมารีบกลับก็เห็นจะมีแต่ครอบครัวน้ำผึ้งพระจันทร์ ครอบครัวทิพย์น้ำปรุง กับคนในบ้านเธอเองเท่านั้น ทว่าพอใช้สมองไม่สมประกอบนึกไปนึกมา ก็พอจะเข้าใจเหตุผลของคนพวกนั้นขึ้นมาบ้าง จึงไม่คิดกล่าวโทษพวกเขาอีก



“ยังมีหน้ามานั่งอยู่นี่อีกรึไง! ไม่เห็นเหรอว่าคนเขากลัวตายจนไม่กล้ามางานคุณพ่อคุณแม่แล้ว!” ดุจน้ำเพชรพุ่งเข้ามากระชากแขนผู้เป็นน้องสาวให้ลุกขึ้นอย่างแรง พร้อมกับออกแรงตวาดจนลั่นวัด



“...” เพียงน้ำพลอยไม่ตอบ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรวางสายตาตัวเองไว้ตรงไหนดี มีเพียงน้ำตาใสๆ เอ่อล้นออกมาอาบพวงแก้มซีดขาวจนชุ่มอีกครั้ง ตอนนี้แม้แต่อาจเอื้อมไปมองสิ่งมีชีวิตสักอย่างเธอยังทำใจมองไม่ลงด้วยซ้ำ ด้วยกลัวว่ามันจะล้มหายตายจากไปอีก



พี่สาวเธอพูดถูก...พูดถูกทุกอย่าง...



เพียงแต่เธอเองไม่รู้ว่าจะตอบอะไรออกไป...



“ทำไม! หรือจะอยู่ฆ่าฉันด้วยอีกคน!!” ดุจน้ำเพชรตวาดซ้ำ ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำด้วยไฟโทสะ



“ใจเย็นก่อนเถอะค่ะพี่เพชร มีอะไรค่อยกลับไปคุยกันที่บ้านดีมั้ยคะ ที่นี่คนเยอะนะคะ” น้ำผึ้งพระจันทร์ที่เดินไปเดินมาแถวนั้นเห็นท่าไม่ดีจึงรีบมาคว้าแขนดุจน้ำเพชรเอาไว้ พร้อมกับเอ่ยห้ามทัพอย่างใจเย็น



“คนเหรอ! ไหนคน! เขาก็กลัวตายกันทั้งนั้นแหละ ใครจะบ้ามางาน!!” หญิงสาวเดือดด้วยโทสะหันกลับมาถามกลับเสียงดัง พลางชี้มือชี้ไม้ไปทั่ววัด



“แล้วจะให้น้ำพลอยไปไหน...” เสียงสั่นเครืออย่างกลั้นไม่อยู่ดังขึ้นพร้อมกับแรงสั่นเทาบนไหล่บางๆ



นี่นับเป็นประโยคที่สองที่เธอเอ่ยออกมาในสามวันที่ผ่านมา ในขณะเดียวก็เป็นประโยคที่ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยคิดว่าจะได้เอ่ย แม้กระทั่งตัวเธอเองก็ยังรู้สึกว่ามันน่าเวทนาจนน่าใจหายเหลือเกิน คนที่ใครต่อใครต่างเรียกขานว่าเป็นเจ้าหญิงผู้สูงสง่า ทรัพย์สินมากมายเกินกว่าจะคาดคะเนได้ถี่ถ้วน ตอนนี้กลับไม่มีแม้แต่ที่จะไป...



“ก็ไปที่ที่ไม่มีคนอยู่ซะสิจะได้ไม่มีใครตายอีก” ดุจน้ำเพชรยื่นหน้าไปเอ่ยกับน้องสาวใกล้ๆ ด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ



“พี่เพชรคะ ยังไงนี่เป็นงานศพคุณอาทั้งสอง ท่านคงอยากให้น้ำพลอยอยู่ด้วยนะคะ” น้ำผึ้งพระจันทร์เห็นทิพย์น้ำปรุงเริ่มเดือดแทนเพื่อนเต็มที่ จึงรีบชิงโพล่งขึ้นไกล่เกลี่ยแทนทันที



“ถ้าหวังดีมากนักก็ให้มันไปอยู่บ้านแกสิ ดูซิว่าจะมีใครตายอีกมั้ย อ่อ...ฉันลืมไป บ้านแกก็มีคนตายทุกวันอยู่แล้วนี่” เมื่อเห็นว่าคนเหนี่ยวรั้งแขนตัวเองไว้จุ้นจ้านไม่เข้าเรื่อง ดุจน้ำเพชรจึงหันมาแว้งกัดอีกฝ่ายจนจมเขี้ยวแทน



“พี่เพชร...” เพียงน้ำพลอยเอ่ยเรียกพี่สาวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพราะนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะไร้มารยาทถึงขึ้นพูดจาดูถูกน้ำผึ้งพระจันทร์ขนาดนี้ เธอพอรู้ว่าพี่สาวดูแคลนน้ำผึ้งพระจันทร์อยู่หลายส่วน ด้วยคิดว่าอีกฝ่ายแต่งเข้าบ้านพวกนักเลงหัวไม้ ทำธุรกิจผิดกฎหมาย ฆ่าคนเป็นว่าเล่น เอาเปรียบคนอื่นเพื่อเลี้ยงชีพ ไม่ว่าเธอจะพยายามอธิบายสักเท่าไหร่ก็ลบล้างอคติในใจพี่สาวไม่ได้สักที แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่นึกว่าพี่จะไร้มารยาทได้ถึงขั้นนี้ จะดีร้ายอย่างไรน้ำผึ้งพระจันทร์ก็เป็นเพื่อนรักของเธอ ซ้ำวันนี้ยังมาช่วยงานมากมายอีกด้วย



“ทำไม ฉันพูดอะไรผิด” ดุจน้ำเพชรถามกลับพลางเชิดคางอย่างไม่กริ่งเกรง



“ไม่เป็นไร” น้ำผึ้งพระจันทร์เอ่ยพลางส่งยิ้มบางๆ ให้เพื่อน เธอไม่คิดโทษอีกฝ่ายนัก เพราะเข้าใจว่าพี่สาวของเพื่อนคงอยู่ในห้วงอารมณ์ไม่ปกตินัก อีกทั้งเธอก็ไม่สมควรยุ่งเรื่องในครอบครัวของเพื่อนจริงๆ ถึงแม้พวกเธอทั้งสามคนจะรักใคร่กันประหนึ่งพี่น้อง แต่คนอื่นๆ ในครอบครัวย่อมไม่ได้นับเป็นพี่น้องด้วย ฉะนั้นเธอเองก็จัดว่ามีความผิดเช่นกัน จะเอาความที่อีกฝ่ายต่อว่าได้ยังไง



“แกยังอกตัญญูไม่พอรึไง หรือแกอยากให้คุณพ่อคุณแม่ขายหน้า...แม้แต่ตอนอยู่ในโลง” ดุจน้ำเพชรหันกลับสะสางความกับน้องสาวต่อด้วยอารมณ์เดือดพล่านจนสติหลุด ไม่อาจแบ่งใจมากลั้นน้ำตาจากความเศร้าโศกไว้ได้อีก จึงเอ่ยประโยคสุดท้ายออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ ก่อนจะเบือนหน้าหนีคนในวงสนทนาเพื่อซ่อนน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มไม่ต่างจากผู้เป็นน้อง



“ถือว่าฉันขอ...แกช่วยหายไปทีได้มั้ย...” ดุจน้ำเพชรพูดออกมาทีละคำอย่างยากเย็น ทว่าในขณะเดียวกันก็เกือบจะกลายเป็นการเน้นย้ำอย่างชัดถ้อยชัดคำ



เพียงน้ำพลอยที่ถูกฉีกทึ้งหัวใจอย่างไม่มีชิ้นดีรู้สึกชาวาบไปทั่วทั้งร่าง เปลือกตาบางค่อยๆ หลับพริ้มลงปิดกั้นแววตาเกลียดชังเข้ากระดูกดำของพี่สาวที่กำลังพุ่งเข้ามาจ้วงแทงใจเธอช้าๆ



ดวงตาคู่นั้นบ่งบอกว่าอีกฝ่ายรังเกียจเธอเกินกว่าจะจับต้อง แต่ด้วยความกตัญญูที่มีอยู่ จึงจำใจหลับตาบีบจมูกใช้ทิชชู่หยิบเธอออกไปทิ้งที่อื่น...



แต่สำหรับตัวกาลากิณีอย่างเธอ...นั่นอาจนับเป็นการให้เกียรติอย่างที่สุดแล้ว...



เธอไม่อาจปฏิเสธได้ว่าพี่สาวพูดได้ถูกต้องแค่ไหน พ่อกับแม่ของเธอประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ระหว่างทางจากสนามบินมาที่บ้าน เพราะต้องการมาเซอร์ไพรส์วันเกิดเธอก่อนกำหนด รถยนต์ทั้งคันชนกับรถสิบล้อขนเหล็กจนตกร่วงลงมาจากทางด่วน พ่อ แม่ และคนขับรถ รวมทั้งสิ้นสามชีวิตเสียชีวิตคาที่...นั่นก็นับว่าเป็นเพราะเธอ แม้กระทั่งท่านไร้ลมหายใจไปแล้ว ก็ยังต้องถูกคนรังเกียจเดียดฉันท์ไม่กล้ามาร่วมงาน...นั่นก็เป็นเพราะเธออีกเหมือนกัน



เรื่องที่คนโจษจันกันว่าดวงเธอข่มคนอื่นไปทั่วจนต้องตายตกไปตามๆ กันนั้นไม่ผิดเลยสักนิด เธอยังมีหน้าหลอกตัวเองมาได้ตั้งนานว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น เฝ้าคิดว่าอย่างน้อยพ่อกับแม่ก็ยังอยู่กับเธอ อธิษฐ์ก็ยังอยู่กับเธอ เพื่อนรักทั้งสองก็ยังอยู่ดี มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน



แต่เมื่อสองปีก่อนกวินทร์ที่เธอเคยปักใจก็จากไปแล้ว และตอนนี้แม้แต่พ่อแม่เธอก็ยังไม่อยู่แล้ว สุดจะรู้ว่ารายต่อไปจะเป็นใครอีก



บางทีเธออาจสมควรเป็นฝ่ายหายไปจากโลกนี้เสียเอง...



ไม่รอให้อีกฝ่ายได้เอ่ยไล่อีกครั้ง มือบางก็ยกขึ้นปาดน้ำตาบนหน้าอีกครั้ง ราวกับว่าหากมันแห้งเหือดไปจากใบหน้าแล้ว เสียงร่ำไห้ในใจเธอจะเงียบลงตามไปด้วย เธอกัดฟันกลืนเสียงสะอื้นลงคอแล้วใช้แรงเฮือกสุดท้ายพาตัวเองออกไปจากศาลาวัดทันที ชั่วขณะนั้น ห้วงสมองเธอขาวโพลนแต่หนักอึ้ง หัวใจคล้ายกับจะหยุดเต้น ทว่ากลับรู้สึกว่ามันบีบรัดอัดแน่นเหลือเกิน เธอออกวิ่งอย่างสุดฝีเท้าเท่าที่คนอ่อนแรงคนนึงจะทำได้ทั้งที่ยังไม่รู้แน่ชัดว่าจะไปไหน ความคิดที่ไม่ควรคิดทั้งหลายแหล่ลามเลียสมองอ่อนเปลี้ยราวกับไฟไหม้ฟาง...ทั้งรวดเร็วและสุดจะควบคุม ...



และชั่วนาทีต่อมา ขาทั้งสองข้างของเธอก็พาเธอมาถึงศาลาริมน้ำหลังวัด ศาลาหลังเล็กสร้างด้วยไม้ผุๆ คล้ายจะทลายลงมาทับคนได้ทุกเมื่อ มุงด้วยสังกะสีสนิมเขรอะ ทั้งทางเดินและภายในศาลามืดมิดจนน่ากลัว มีเพียงแสงไฟจากหลอดไฟตะเกียบสลัวๆ ดวงเดียวพอให้เห็นว่าเบื้องหน้าถัดจากศาลาเป็นแม่น้ำสายเล็กๆ ที่ตัดผ่านวัด



ร่างบางค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้า ฝีเท้าเตาะแตะราวกับเด็กเพิ่งหัดเดิน ก่อนจะหยุดฝีเท้าอยู่ที่ปลายท่าศาลา หลับตาพริ้มลงปล่อยให้หยาดน้ำตาระเหยไปกับลมแม่น้ำ ขณะหลับตาเธอปรารถนาจะมองเห็นความมืดมิดและว่างเปล่า ทว่าสิ่งที่เห็นกลับเป็นภาพความทรงจำของคนที่จากไปฉายวนซ้ำกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น สายลมหนาวเหน็บพัดหวีดหวิวอยู่ข้างหูราวกับเสียงหวนไห้แสนโหยหวน



เมื่อครั้งกวินทร์จากไป เธอคิดโทษตัวเองเสียจนอยากจะหลับตามเขาไป แต่เพราะคิดได้ในชั่ววินาทีสุดท้ายจึงได้อยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ บวกกับเธอมีพ่อกับแม่คอยให้กำลังใจ มีเพื่อนที่คอยอยู่เคียงข้าง และมีอธิษฐ์คอยปลอบโยนอยู่ไม่ห่าง หลังจากนั้นเป็นต้นมาจึงไม่คิดทำเรื่องพรรค์นั้นอีก ทว่าพอมาตอนนี้ เธอกลับรู้สึกว่าการตัดสินใจในครั้งนั้นเป็นเรื่องผิดบาปเหลือเกิน



ตอนนั้นไม่น่าเลย...เพราะความเห็นแก่ตัวของเธอถึงต้องมีคนตายเพิ่มขึ้นมาอีก ซ้ำคนที่ว่านั้นยังเป็นดั่งชีวิตดั่งดวงใจของเธอ...



ทว่าชั่ววินาทีที่เสียงสายลมหวีดหวิวดังกว่าเสียงหัวใจนั้นเอง...



“เราเคยสัญญาว่าจะไม่ทำเรื่องโง่ๆ อีก” เสียงทุ้มนุ่มแสนคุ้นเคยดังขึ้นเรียกเพียงน้ำพลอยให้หันหน้ากลับมามองผู้มาใหม่อย่างแทบไม่เชื่อสายตา



ร่างสูงใหญ่ในเสื้อเชิ้ตกับกางเกงสแล็คสีดำสนิทยืนกางร่มสีเดียวกันอยู่ตรงทางเข้าศาลา ชั่ววินาทีนั้นเองเธอถึงได้รู้ว่าฝนกำลังเทกระหน่ำลงมาราวกับฟ้ารั่ว ตัวเธอที่ยืนอยู่ริมศาลาเปียกโชกไปตลอดทั้งตัวแต่กลับไม่รู้ตัวเลยสักนิด นัยน์ตากลมสีดำสนิทอับแสงสั่นไหวอย่างรุนแรง เมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ห่างไปไม่กี่ก้าวนี้เป็นใคร



“พี่อิฐ...”



ตอนอยู่ฮ่องกงเขาต้องรีบไปทำงานด่วน ไม่มีโอกาสได้ร่ำลา เรื่องนั้นเธอเข้าใจดีและไม่คิดกล่าวโทษเขา คิดว่าหลังจากกลับมาแล้วจะติดต่อเขาอีกที แต่เพราะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นและเธอเองก็ไร้สติเกินกว่าจะติดต่อใคร จึงได้วางเรื่องเขาเอาไว้ก่อน พอเห็นเขาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า ถึงนึกขึ้นมาได้ว่าเขาเองก็ไม่ติดต่อเธอกลับมาเช่นกันจนกระทั่งวันนี้



แต่ถึงยังไงเขากลับมาหาเธอแล้ว... ไม่ว่าเขาจะไปไหน หรือไปนานเท่าไหร่ แต่ทุกครั้งที่เธอโดดเดี่ยวและอ่อนแอที่สุด ก็ยังคงเป็นเขาที่อยู่กับเธอเสมอ



เพียงน้ำพลอยโผเข้าไปกอดร่างสูงใหญ่ของแฟนหนุ่มเอาไว้แน่น ซบใบหน้าเปื้อนน้ำตาลงกับไหล่กว้างของเขา ปล่อยให้เสียงสะอื้นเล็กๆ ที่เก็บกลั้นไว้ดังขึ้นเป็นระยะ ทว่าก็ยังไม่อยากปลดปล่อยมันออกมาทั้งหมด เพราะกลัวว่าถึงตอนนั้นตัวเองจะคลุ้มคลั่งเสียจนไม่เป็นผู้เป็นคน และสูญเสียการควบคุมไปโดยสิ้นเชิง



แม้จะรู้ดีมาตลอดว่าตัวเองปรารถนาอ้อมกอดของเขา ฝ่ามือหนาอุ่นซ่านของเขา เสียงปลอบโยนของเขา ทว่าพอได้สัมผัสเขาเข้าจริงๆ ถึงได้รู้ว่าตัวเองโหยหาเขามากกว่าที่คิดมากนัก



“น้ำพลอย...น้ำพลอย...ทำให้คุณพ่อ...คุณพ่อคุณแม่...” เสียงสะอื้นที่เก็บกักไว้ตลอดสามวันชักคุมไม่อยู่ขึ้นเรื่อยๆ ออกฤทธิ์ต่อต้านถ้อยคำที่คิดจะเอื้อนเอ่ยเสียจนฟังไม่ได้ศัพท์ ทว่าชายหนุ่มร่างสูงผู้ถูกโอบกอดกลับไม่เปิดโอกาสให้แฟนสาวได้พูดจนจบ รีบพาหญิงสาวในอ้อมกอดเข้ามายืนในศาลาดีๆ แล้วเอ่ยถึงประเด็นสำคัญของตนขึ้นทันที



“พี่ว่าเราสองคนกลับไปเป็นพี่น้องกันอย่างเดิมดีกว่า”



หัวสมองขาวโพลนค่อยๆ ไล่เรียงคำพูดแสนง่ายดายของเขาอยู่ในหัวซ้ำไปซ้ำมาช้าๆ เพราะคิดว่าอารามสติหลุดลอย เธออาจจะเข้าใจอะไรผิดไปก็ได้ แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไร เธอก็ยังมองไม่เห็นความหมายอื่นที่ซ่อนอยู่เลยสักนิด



ประโยคนั้นมันยังจะตีความไปในทิศทางไหนได้อีกกัน...



“...” เพียงน้ำพลอยไม่กล้าพอจะเอ่ยสิ่งที่ตนเข้าใจออกมา จึงได้แต่เงยหน้ามองเขาเงียบๆ เท่านั้น



“เราเลิกกันเถอะ” เสียงทุ้มนุ่มคล้ายกับจะเอ่ยออกมาอย่างยากเย็น แต่พอได้ตัดใจเอ่ยออกมาแล้วสีหน้ากลับไม่แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย



เพียงน้ำพลอยผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ ขณะเดียวกันก็หลับตาลงปล่อยให้น้ำตาร้อนผ่าวไหลออกมากัดเซาะใจจนแหลกละเอียด



หลังจากกวินทร์จากไปได้หนึ่งเดือนเธอก็ได้เจอกับอธิษฐ์ ตอนนั้นเธอบอบช้ำเกินกว่าจะสนใจใคร ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตชนิดไหนล้วนไม่แยแสทั้งสิ้น แต่เขากลับไม่ละความพยายาม ไล่ตามเธอเป็นเงาไม่ห่างหาย จนกระทั่งผ่านไปได้ประมาณหนึ่งปีสามเดือนเธอถึงได้แพ้ใจในความสม่ำเสมอของเขา ตกลงคบหาดูใจกับเขาอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนที่ผ่านมานี้ นับรวมเวลาทั้งหมดที่เขาแสดงเจตนารมณ์ว่าต้องการอยู่กับเธอก็เห็นจะได้หนึ่งปีสี่เดือน



แต่ช่วงเวลาหนึ่งปีสี่เดือนนี้ กลับไม่มีค่าจะทำให้เขาลังเลเลยแม้แต่น้อย...



แม้แต่ความสงสารเห็นใจเขาก็ยังไม่มีให้เธอด้วยซ้ำ ทำร้ายเธออย่างทารุณได้แม้กระทั่งวันที่เธอสูญเสียพ่อกับแม่ไปพร้อมกัน...



ที่แท้คำบอกลาของเขา มันง่ายดายถึงเพียงนี้เอง...



“พี่อิฐเคยบอกว่า เรื่องพวกนั้นไร้สาระทั้งเพ” การที่เขามาบอกลาเธอในวันนี้ จุดประสงค์ย่อมไม่ใช่อื่นใดมากไปกว่าเขาเริ่มจะกลัวตายขึ้นมา มันเข้าใจได้ง่ายๆ อยู่แล้ว เธอจึงไม่คิดถามให้มากความอีก มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่เธออยากถามและไม่อยากฟังคำตอบในเวลาเดียวกันก็คือ



แม้แต่เขาเองก็ยังมองเธอเป็นตัวอัปมงคลไปแล้วใช่มั้ย...



ตอนนั้นเธอเฝ้าฝันหาความตายอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน เพราะคิดว่าตัวเองเป็นสาเหตุให้คนใกล้ตัวต้องตาย แต่เขากลับเป็นคนเข้ามาบอกว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหลที่สุดเท่าที่เคยมี และเป็นเพราะเขาให้ความเชื่อมั่นอย่างหนักแน่น จากที่ไม่เชื่อจึงเริ่มกลายเป็นโอนอ่อน จากโอนอ่อนจึงกลายเป็นมีกำลังใจจะอยู่อย่างคนปกติทั่วไปในที่สุด



จากวันนั้นจวบจนวันนี้ เธอไม่อาจพูดได้อย่างชัดเจนว่าตัวเองไม่เชื่อโดยสิ้นเชิง กับข้อกล่าวหาที่ว่าตัวเองมีดวงข่มคนอื่นจนต้องตายตกไปตามๆ กัน เพียงแต่ทุกครั้งที่เกิดความคิดว่าตัวเองช่างอัปมงคลนัก อยากจะหายไปจากโลกใบนี้เสีย เธอยังมีอธิษฐ์อยู่ข้างๆ คอยบอกว่าเธอเพียงแต่โชคร้ายต้องสูญเสียคนที่รักเท่านั้น เธอไม่ใช่ผู้กระทำแต่ผู้ถูกกระทำต่างหาก และนับแต่นี้ไปเขาจะเป็นคนปกป้องเธอเอง เพราะคำพูดเหล่านั้นเธอถึงได้ยังอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ แม้กระทั่งวินาทีก่อนหน้าที่เขาจะปรากฏตัวขึ้นเมื่อครู่ก็เช่นเดียว หากไม่เห็นเขามา เธอก็ยากจะบอกได้ว่าตัวเองจะทำอะไรลงไป



เพราะเขาเป็นสิ่งเดียวที่เหนี่ยวรั้งเธอเอาไว้...



ตอนนี้หากแม้แต่เขา...ซึ่งเป็นคนที่เธอเหลืออยู่เพียงคนเดียวยังบอกว่าเธอเป็นตัวซวย กระทั่งสิ่งสุดท้ายเอายึดเหนี่ยวก่อนสิ้นใจ เธอก็คงไม่เหลืออีกแล้ว...



“แล้วมันไร้สาระที่ไหนล่ะ!!!” อธิษฐ์ตวาดขึ้นเสียงดังคล้ายกับคนสุดจะเก็บกลั้นอารมณ์ ก่อนจะระบายลมหายใจออกมาแรงๆ ครั้งหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นกับหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเย็นลง



“เราเป็นคนมีเหตุผล เข้าใจพี่มาตลอด ครั้งนี้ก็คงเหมือนกันใช่มั้ย พี่ยังมีคุณแม่ต้องดูแล มีหน้าที่การงานต้องสานต่อแทนคุณพ่อ ความเป็นความตายของพี่เกี่ยวกับประเทศชาติ พี่เป็นลูกชายคนเดียว เป็นนายทหาร ย่อมต้องเห็นครอบครัวกับประเทศสำคัญกว่าความสุขของตัวเอง เราเคยบอกว่าภูมิใจมากที่พี่เป็นแบบนี้...ไม่ใช่หรือไง” เขาอธิบายเสียยาวเหยียดอย่างมีน้ำอดน้ำทน ทำราวกับเธอเป็นผู้ร้ายที่กอดเก็บตัวประกันไม่ยอมปล่อย ทั้งคำพูดของเธอเอง หรือแม้แต่ความมั่นคงประเทศก็ยังถูกยกมาเป็นเหตุผลด้วย



แล้วเธอยังจะเหลืออะไรต้องพูดอีกกัน...



“เข้าใจแล้วค่ะ” เพียงน้ำพลอยเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ทว่าหนาวเหน็บจนสุดขั้วหัวใจ แม้แต่เสียงสะอื้นที่เคยดังขึ้นก่อนหน้าก็ยังเงียบหายไปไม่เหลือแม้แต่กลิ่น แววตาที่เคยสั่นระริกว่างเปล่านิ่งสนิทจนยากจะหยั่งรู้ถึงความรู้สึกใดๆ



“เราเข้าใจก็ดีแล้ว เรื่องงานศพพี่จะให้ลูกน้องมาช่วยดูแลให้ ถ้าเราต้องการอะไรมากกว่านี้ก็บอก” นายทหารหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงปลอดโปร่งขึ้น ไม่ได้มีแก่ใจจะสนใจคนที่แทบไร้แรงยืนตรงหน้าแม้แต่น้อย



เขาฆ่าเธอแล้วแท้ๆ ยังจะแสร้งยื่นมือมาช่วยอีกทำไม



“เจ้าจันทร์กับน้ำปรุงจัดการให้หมดแล้วค่ะ ไม่รบกวนดีกว่า” เพียงน้ำพลอยยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงว่างเปล่าเช่นเดิม



“งั้นก็ดี เราก็ดูแลตัวเองดีๆ แล้วกัน พี่ไปนะ” สิ้นคำนายทหารหนุ่มร่างสูงก็หันหลังเดินจากไป ไม่มีแม้แต่ฝีเท้าที่ช้าลง หรือท่าทีลังเลใดๆ



เขาพูดมันออกมาง่ายดายเหลือเกิน...ราวกับไม่รู้ว่ามันทำร้ายเธอได้สาหัสแค่ไหน ในวันที่เธอไม่เหลือใครสักคน ถูกกำแพงดาบล้อมรอบจนไม่อาจก้าวไปข้างหน้าหรือถอยหลังแม้สักก้าว เขากลับเดินเข้ามาแทงเธอให้ดับดิ้นในดาบเดียว แม้แต่วินาทีที่เลือดเธอสาดกระเซ็นเข้าใส่ดวงตาทั้งสองข้างของเขา เขาก็ยังไม่กระพริบแม้สักนิด



เขาเลือดเย็นได้ปานนี้จริงๆ...



แผ่นหลังกว้างแสนคุ้นเคยนั้นห่างออกไปจนลับตา พร้อมกับที่เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายของเธอหมดลง ร่างบางทั้งร่างทรุดฮวบลงกับพื้น ทว่าสวรรค์ก็ยังใจร้ายไม่ให้เธอหมดสติไปเสีย ยังคงมีสติรับรู้ดีทุกอย่าง รู้ว่าเขาจากไป รู้ว่าเธอไม่เหลือใคร และไม่เหลือแม้แต่คำพูดสักคำไว้เหนี่ยวรั้งเขากลับมา... สายฝนจากฟากฟ้าก็ราวกับต้องการซ้ำเติมคนจนตรอกไร้ทางเดิน เทกระหน่ำลงมาหนักกว่ายิ่งกว่าเดิม เสียงฟ้าผ่าดังกระหึ่มตามหลังแสงวูบวาบที่อาบไล้ร่างบางเปียกโชกในศาลา ทว่าในสมองเธอกลับเงียบสงัดและหนาวเหน็บจนสุดใจ แววตาที่เคยเปล่งประกายวิบวับว่างเปล่าไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ยิ่งเวลาผ่านไป เธอก็ยิ่งดูห่างไกลกับสิ่งมีชีวิตที่ยังหายใจอยู่ขึ้นทุกที



จนกระทั่งเวลาผ่านไป ซึ่งไม่เธอเองก็ไม่ทราบแน่ชัดว่ามันผ่านไปนานแค่ไหน มือหนานิรนามคู่หนึ่งก็ค่อยๆ ประคองเธอลุกขึ้นยืน หากก็จนใจที่เธอไม่มีแก่ใจจะลุกนั่งยืนเดินใดๆ ทั้งสิ้น อยากกองอยู่ตรงนี้จนกว่าฟ้าจะผ่าตายไปข้างตายหนึ่ง เจ้าของมือหนานั้นจึงจำต้องเอ่ยขึ้นอย่างเสียไม่ได้



“คุณอยากให้ผมทำยังไงกันแน่”



เสียงทุ้มเจือแหบพร่าเล็กน้อยนั้น บ่งบอกว่าเจ้าตัวทรมานเจียนคลั่งไม่ต่างจากร่างบางที่กองอยู่กับพื้นตรงหน้านี้นัก ไม่รู้เธอไปเรียนรู้นิสัยพรรค์นี้มาจากไหน ว่าการนั่งกองอยู่กับพื้น จะร้องไห้ออกมาก็ไม่ร้อง จะปล่อยเสียงสะอื้นออกมาก็ไม่ทำ แต่นั่งนิ่งราวกับร่างไร้วิญญาณปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเรื่อยๆ แบบนี้เป็นการแสดงความเข้มแข็งอย่างหนึ่ง ไม่รู้หรือไงว่า ท่าทางแบบนี้มันชวนให้คนทรมานจนแทบขาดใจอยู่แล้ว



“มาตั้งแต่เมื่อไหร่” แววตาว่างเปล่าค่อยๆ ช้อนขึ้นมองคนร่างสูงเบื้องหน้า ก่อนจะเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชืด



“เพิ่งมา” ฟรานหยุดคิดเพียงเสี้ยวนาทีแล้วรีบตอบออกไปอย่างเป็นปกติที่สุด



“โกหก” เพียงน้ำพลอยสวนกลับในทันทีด้วยสีหน้าว่างเปล่า ในน้ำเสียงนั้น แม้จะราบเรียบทว่ากลับคมกริบในเวลาเดียวกัน



ถ้าเขาเพิ่งมาถึงจริง ไม่รู้ไม่เห็นอะไรจริง มีหรือจะถามเธอด้วยน้ำเสียงเวทนาแบบนั้น...



แต่ก็จริงอย่างที่ว่า เธอมันน่าเวทนาจริงๆ...



“ไปให้พ้นหน้าฉัน” เธอจ้องหน้าคนโกหกตาขวาง ก่อนจะเอ่ยออกไปทีละคำราวกับต้องการให้มันเชือดเฉือนเขาอย่างร้ายกาจ



“ลุกขึ้นดีๆ” ฟรานกล้ำกลืนคำผลักไสโหดร้ายลงไป แล้วตั้งท่าจะพยุงเธอขึ้นยืนอีกครั้ง ทว่าคราวนี้เธอกลับไม่ได้ผลักเขาแค่พูด ใช้มือทั้งสองข้างผลักเขาอย่างสุดแรงจนร่างสูงทั้งร่างกระเด็นไปกระแทกกับเสาไม้ผุๆ ของศาลา



“บอกว่าไปให้พ้น!!! อยากตายอีกคนหรือไง” ดวงตากลมโตทั้งแดงฉาน ทั้งสั่นไหวรุนแรง ซ้ำยังฉาบเคลือบด้วยม่านน้ำตาใสๆ จึงยิ่งชวนให้คนมองปวดใจยิ่งกว่าเดิมเป็นเท่าทวี



ในที่สุดฟรานก็เข้าใจคำว่า ‘อยู่ไม่สู้ตาย’ แล้ว การได้เห็นเธอเป็นแบบนี้ มันช่างทรมานกว่าตายหลายขุมนัก...



เขาไม่คิดฝืนใจจะฉุดเธอลุกขึ้นอีก แต่เดินมาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เธอ แล้วเอื้อมไปดึงเธอเข้ามากอดไว้แนบอก แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นท่าทีขัดขืนแสนอ่อนแรงนั้น ลูบศีรษะปลอบโยนเธออย่างแผ่วเบา ใช้ฝ่ามือหนาอุ่นซ่านข้างหนึ่งกดศีรษะเล็กๆ ให้ฟังเสียงหัวใจในอกที่กำลังคร่ำครวญหวนไห้ไม่ต่างจากเธอ ส่วนมืออีกข้างก็โอบกอดร่างของเธอไว้อย่างทะนุถนอม



เมื่อสิ้นแรงจะขัดขืน พ่ายแพ้ซึ่งความอ่อนแอของตัวเอง ปราการด่านสุดท้ายจึงพังลงไม่มีชิ้นดี เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นจนสุดเสียงดังขึ้นอย่างไม่อาจเก็บกลั้น ซบหน้าลงกับแผ่นอกกว้างของเขา ปล่อยให้เขาลูบเรือนผมตัวเองราวกับเด็กตัวเล็กๆ บางคราวยกมือลูบศีรษะ บางคราวลูบหลังไล่เสียงสะอื้น



ผ่านไปนานแค่ไหนก็สุดรู้ เพียงน้ำพลอยเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาดุจหยกสลักนั้นอย่างไม่ตั้งใจ เห็นว่าขอบตาคมกริบแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย แม้แต่ปลายจมูกโด่งได้รูปก็ยังขึ้นสีชมพูจางๆ เช่นกัน



นัยน์ตาสีเขม่าควันเคลื่อนเข้ามาใกล้เธอขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะหลับพริ้มลงแล้วประทับริมฝีปากได้รูปเข้ากับริมฝีปากของเธออย่างแผ่วเบา จากนั้นจึงค่อยใช้เรียวลิ้นอุ่นจัดแทรกผ่านกลีบปากนุ่มไปคลอเคลียกับเรียวลิ้นเล็กของเธออย่างเอื่อยเฉื่อย เนิบช้า ทว่าอ่อนหวานเหลือเกิน เสียงสะอื้นในลำคอเธอค่อยๆ จางหายไปราวกับถูกเขาดูดกลืนไปจนหมดสิ้น รับรู้เพียงรสชาติอ่อนหวานที่เข้ามาแทนที่รสเค็มปร่าของน้ำตาทีละนิด มือหนาข้างหนึ่งประคองท้ายทอยบางเอาไว้เบาๆ ไม่ให้เธอหลีกหนีสัมผัสของเขาไปไหน



รสสัมผัสที่ทั้งแผ่วเบา อ่อนหวาน เศร้าสร้อย อ้อยอิ่ง และหวามไหวในเวลาเดียวกัน ทำให้ความเจ็บปวดท่วมท้นในใจคล้ายกับชาจนไม่รู้สึกไปชั่วขณะ และทั้งที่เธอถูกจู่โจมโดยไม่ได้เอ่ยยินยอม เธอกลับไม่รู้สึกว่าเขาจาบจ้วงแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับรู้สึกว่า เขากำลังร้องไห้ไปพร้อมกับเธอ...



ริมฝีปากร้อนระอุตัดใจถอนริมฝีปากออกกลีบปากนุ่มอย่างอ้อยอิ่ง ด้วยไม่คิดจะรุกรานเธอไปมากกว่านี้ จากนั้นก็ลากไล้รอยจูบผ่านคราบน้ำตาจากสองพวงแก้มซีดขาว ขึ้นไปประทับจูบสุดท้ายลงบนหน้าผากมนนั้นอย่างแผ่วเบา



เปลือกตาบางค่อยๆ ช้อนขึ้นช้าๆ ดวงตากลมโตดุจไข่มุกดำมองลึกลงไปในดวงเนตรคมทว่าเศร้าสร้อยไม่ต่างจากเธอ คล้ายกับอยากจะเอ่ยถามอะไรเขาออกไปสักคำ ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้หลีกหนีไปไหน ยังคงอยู่ห่างจากใบหน้าเธอไม่ถึงครึ่งคืบเท่านั้น ทว่าสุดท้ายเธอก็ตัดใจถามออกไปไม่ลง ได้แต่เอ่ยอีกคำขึ้นมาแทน



“ไปซะ” สิ้นเสียงแผ่วเบาของเธอ กลับกลายเป็นเขาที่คล้ายจะเอ่ยถามอะไรออกมาบ้าง แต่ผ่านไปเนิ่นนานก็เลือกจะไม่ถามออกมาเช่นกัน ลุกขึ้นเดินจากไปท่ามกลางลมฝนบ้าคลั่งที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ปล่อยให้เธอนั่งอยู่ในศาลาตามลำพังอย่างที่ใจต้องการ



เพียงน้ำพลอยซบหน้าลงกับหัวเข่าทั้งสองข้างด้วยความรู้สึกอัดแน่นจวนจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ทั้งเศร้าโศก อาลัย อาวรณ์ และกล่าวโทษตัวเองอย่างร้ายกาจ ผ่านไปประเดี๋ยวก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างสุดกลั้น อีกประเดี๋ยวก็นั่งมองสายฝนเทกระหน่ำลงใส่แม่น้ำสีดำด้วยแววตาเหม่อลอย แล้วก็ร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง สลับสับเปลี่ยนวนไปวนมาอยู่อย่างนั้น



กระทั่งแสงสลัวของวันใหม่เริ่มทอแสงแทรกสายฝนขึ้นมา เธอถึงได้รู้ว่าค่ำคืนอันยาวนานผ่านพ้นไปอีกคืนแล้ว ถึงแม้ฝนจะซาลงบ้าง หากก็ยังไม่หยุดตกดีนัก เช่นเดียวกับเสียงสะอื้นของเธอที่แม้จะเบาลงบ้างแต่จนป่านนี้ก็ยังไม่หยุดดี



ชั่วเวลานั้นเธอไม่รู้ตัวเลยว่า...ด้านข้างศาลาในจุดที่สังกะสีผุๆ ยื่นไปไม่ถึง มีร่างสูงร่างหนึ่งนั่งพิงเสาอยู่รับลมฝนอยู่ตลอดทั้งคืน เพียงเพราะต้องการอยู่เป็นเพื่อนเธอ...



ต่อให้เธอไม่รู้เลยก็ตาม...





#ฮืออออออ เขียนไปน้ำตาซึมไปTT อย่าลืมมาเอาใจช่วยน้ำพลอยกันต่อน้าา

#ตอนนี้มาช้าไปหน่อย เนื่องจากไรต์ติดสอบวัดระดับภาษา แต่ตอนนี้สอบเสร็จแล้ว เร็วๆ นี้พาร์ทที่เหลือจะตามมาจ้าาาา

#อย่าลืมเม้นท์+จิ้มโหวตเป็นกำลังใจให้กันด้วยน้าาา

#เรื่องนี้ยังเม้นท์น้อยอยู่เลย ขอเม้นท์เป็นกำลังใจให้กันหน่อยน้าา #ออดอ้อนด้วยตาปริบๆ






พริมสิตางศุ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ก.ค. 2560, 23:39:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ก.ค. 2560, 03:25:55 น.

จำนวนการเข้าชม : 821





<< Chapter 9 : คำพิพากษา    Chapter 11 : คว้ามือ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account