พรานท่องพนา
นิยายเกี่ยวกับความรักของหนุ่มขี้เล่นกับสาวสวยหัวโบราณ ที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างเข้มงวด ทั้งคู่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายเพื่อพิสูจน์ความรัก การใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ การไม่เชื่อใจกันและกัน การที่รู้จักกันไม่มากพอ ส่งผลให้ต้องแยกทางร้างกันไป และเมื่อต่างก็มีทิฐิ ทำให้การจะกลับมาเดินร่วมทางกันใหม่ทำได้ไม่ง่ายนัก
Tags: พระเอกเป็นตำรวจตระเวนชายแดน นางเอกเป็นไฮโซหัวโบราณ

ตอน: ตอนที่ 4 แพรวโพยม

แพรวโพยมเงยหน้าขึ้นจากตารางสอนเด็กนักเรียนชั้นประถมสาม ที่เธอเป็นครูสอนวิชาภาษาไทย เมื่ออาจารย์ใหญ่วัยกลางคนที่ชื่อสุมิตรา เปิดประตูเข้ามาในห้องพักครูในตอนสายของวันหนึ่ง อาจารย์ใหญ่ผู้นี้เป็นเพื่อนสนิทกับคุณนวลจิตมารดาของเธอ ทันทีที่เรียนจบปริญญาตรีศึกษาศาสตร์เมื่อหลายปีที่แล้ว คุณสุมิตราก็ขอให้เธอมาทำงานที่นี่ในตำแหน่งที่ว่างลง ปีนี้แพรวโพยมอายุครบยี่สิบหกปี กำลังเป็นสาวสะพรั่งเต็มที่ เธอเป็นหญิงสาวที่สวยเรียบๆ กิริยามารยาทแช่มช้อยเหมือนกุลสตรีสมัยก่อน ผิวสองสีนวลละเอียด ตัดผมทรงบ็อบสั้นแค่คอ แต่ก่อนเธอเคยไว้ผมยาวประบ่า แต่เมื่อมาทำงานในตำแหน่งครู เธอก็จำเป็นต้องสละผมยาวทิ้งไป เพราะผมยาวสยายปรกหน้าปรกตาคงไม่เหมาะกับอาชีพแม่พิมพ์ของชาติ ความจริงแพรวโพยมมีทางเลือกที่จะไม่ต้องตัดผม นั่นคือปล่อยให้ยาวเช่นเดิมแต่เกล้าเป็นมวยเรียบร้อย แต่แพรวพรรณพี่สาวของเธอคัดค้านเรื่องเกล้ามวย โดยให้เหตุผลว่าเธอจะดูแก่เกินอายุและอาจจะดูสูงวัยกว่าสรคมณ์ซึ่งเกิดปีเดียวกัน

“หนูออกข้อสอบวิชาภาษาไทยเสร็จหรือยัง?” คุณสุมิตราถาม

“เสร็จเรียบร้อยแล้วละค่ะอาจารย์ น้อยกะว่าจะเอาไปให้อาจารย์ดูตอนบ่ายนี้แหละค่ะ”

เธอตอบอย่างเรียบร้อย มีรอยยิ้มนิดๆอยู่บนริมฝีปากบางยาวที่ทาลิปสติกสีอ่อน

“ดีแล้ว ครูจะได้เอาไปทบทวนที่บ้านเสาร์อาทิตย์นี้” แล้วเธอก็ทำหน้ายิ้มๆเมื่อถามต่อไปอย่างเป็นกันเองว่า “แฟนเป็นไงบ้าง เมื่อไหร่จะย้ายเข้ากรุงเทพฯเสียที เจอแม่หนูทีไรเห็นบ่นแต่เรื่องนี้ ไปอยู่ชายแดนหลายปีแล้วไม่ใช่หรือ”

แพรวโพยมยิ้มอายๆให้อาจารย์ใหญ่ที่เห็นเธอมาแต่เล็กแต่น้อย

“สามปีกว่าแล้วค่ะ”

ท่านอาจารย์ใหญ่ถือเอาความสนิทสนมส่วนตัวถามต่อไป “เมื่อไรจะแต่งงาน หนูก็อายุไม่น้อยแล้ว แม่หนูก็อยากให้แต่งไม่ใช่หรือ เจอกันทีไรพูดเรื่องนี้ทุกที”

คราวนี้หญิงสาวยิ้มเจื่อนๆ อ้อมแอ้มตอบว่า “ตอนนี้คมณ์เขายังไม่พร้อมค่ะ คงต้องอีกสักพักนึง“

“อย่าปล่อยไว้นานเกินไปล่ะ หนูกับเขาก็คบหากันมาหลายปีแล้วไม่ใช่หรือ อยู่ห่างกันคนละทิศละทางแบบนี้ระวังจะมีปัญหา”

คุณสุมิตราพุดอย่างผู้ใหญ่ที่ผ่านโลกมานาน รู้ซึ้งถึงความผันแปรที่สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหนักแน่นไม่พอ หรือรักอีกฝ่ายหนึ่งไม่มากพอ หลังจากพูดคุยกับผู้ใต้บังคับบัญชาเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปอีกสองสามประโยค เธอก็เดินออกจากห้องนั้นไปพร้อมด้วยแฟ้มข้อสอบในมือ

เย็นนั้นหลังเลิกงาน แพรวโพยมขับรถโฟค์กเต่าคันเล็กๆสีเหลืองอ่อนของเธอออกจากโรงเรียน มุ่งหน้าไปศูนย์การค้าแห่งหนึ่งที่นัดไว้กับพี่สาว เพื่อไปรับประทานอาหารเย็นนอกบ้านด้วยกัน หลังจากนั้นก็จะแวะซื้อของใช้ส่วนตัวตามประสาผู้หญิงระหว่างที่ขับรถไปเรื่อยๆหญิงสาวก็อดนึกถึงคำพูดของอาจารย์ใหญ่ ที่เธอรักเคารพเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งไม่ได้

สรคมณ์กับเธอคบกันมาหลายปีแล้ว เธอกับเขารู้จักกันตั้งแต่ตอนที่ไปเรียนกวดวิชาเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย หลังจากรู้จักกันได้ไม่นานแพรวโพยมก็เริ่มชอบเขา สรคมณ์ในตอนนั้นเป็นหนุ่มน้อยอารมณ์ดี หน้าตาคมสัน เขาทำให้คนที่อยู่ใกล้เขาหัวเราะสนุกสนานได้เสมอ เธอชอบทุกอย่างที่ประกอบขึ้นเป็นตัวเขา รูปร่างที่สูงใหญ่ ท่าเดินตัวตรง หน้าตาคมคายแบบชายแท้ ดวงตาสีเข้มที่มีประกายระยิบระยับ แต่แฝงไว้ด้วยการมองโลกในแง่ดี ทักษะด้านกีฬาที่โดดเด่น ฯลฯ

ความสัมพันธ์ของเธอและสรคมณ์กระชับแน่นขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่เขาสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจได้ เธอและเขาก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้พบกันบ่อยนัก อย่างมากที่สุดก็ประมาณสัปดาห์ละครั้งตอนที่เขาถูกปล่อยกลับบ้าน เว้นแต่ว่าเขาจะต้องเข้าเวรยาม หรือไม่ก็ถูกกักบริเวณไม่ให้กลับบ้านเนื่องจากประพฤติผิดระเบียบวินัยของโรงเรียน แพรวโพยมยอมรับกับตัวเองว่าเธอรักเขา แต่เธอไม่ค่อยแน่ใจนักกับควมรู้สึกของเขาต่อเธอ เพราะแม้จะคบกันมาหลายปีคล้ายๆคู่รักทั่วไป แต่สรคมณ์ก็ยังไม่เคยเอ่ยปากเป็นเรื่องเป็นราวว่ารักเธอ แต่หญิงสาวก็เชื่อว่าเขาก็คงรักเธอด้วยเช่นเดียวกัน ถ้าไม่ได้คิดอะไรกับเธอเกินเพื่อน เขาคงจะไม่มาหาเธอเกือบทุกครั้งที่ออกจากโรงเรียน และคงไม่ยอมให้เธอพาเขาไปรู้จักกับบิดามารดาและพี่ๆน้องๆของเธอ

นอกจากนี้หญิงสาวก็เชื่อว่าสรคมณ์ไม่ได้คบผู้หญิงคนอื่นนอกเหนือไปจากเธอ แม้ใครหลายคนจะมองว่าเขาเป็นคนเจ้าชู้ เนื่องจากลักษณะประจำตัวของเขาที่ดูแพรวพราวและขี้เล่น แต่แพรวโพยมก็รู้ดีกว่าคนอื่นว่าทีท่าของเขาเป็นอย่างนั้นเอง แม้แต่เพื่อนของเขาหลายคนที่เธอรู้จัก ก็เคยบอกเธอว่าสรคมณ์ไม่เคยจีบผู้หญิง เขาอาจจะพูดเล่นพูดล้อด้วยบ้าง แต่ก็เพียงแค่นั้น เวลาส่วนใหญ่นอกโรงเรียนของเขามักจะหมดไปกับเพื่อนฝูง ซึ่งก็มักจะชวนกันกินเหล้า บางครั้งก็อาจจะไปเที่ยวกันตามประสาผู้ชาย ส่วนเวลาที่อยู่ในโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เขาก็ต้องเรียนหนัก ทั้งภาคทฤษฏีในห้องเรียนและการฝึกภาคสนาม เมื่อจบการเรียนการฝึกเขายังต้องลงสนามซ้อมรักบี้ทุกเย็นด้วย

ระหว่างที่สรคมณ์กำลังเรียนอยู่ในโรงเรียนนายร้อยตำรวจ แพรวโพยมถือเป็นหน้าที่ในฐานะคนรู้ใจ ที่จะต้องไปดูการแข่งขันกีฬาระหว่างมหาวิทยาลัยทุกประเภท ทุกครั้งที่สรคมณ์ลงเล่น เธอสนับสนุนให้กำลังใจเขาด้วยการเขียนจดหมายถึงเขาอย่างน้อยสัปดาห์ละฉบับ ส่งการ์ดและของขวัญวันเกิดและวันปีใหม่ให้เขาทุกปี จนเป็นที่ล้อเลียนของเพื่อนร่วมรุ่นของสรคมณ์ แต่สิ่งที่แพรวโพยมไม่รู้ก็คือบางครั้งจดหมายที่เธอเขียนถึงเขาและส่งไปที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ จะมีมือดีมาฉกเอาไปอ่านก่อนเจ้าของ แล้วเอาไปแปะไว้บนบอร์ด ทำให้ใครต่อใครแห่กันมาอ่านและวิจารณ์กันอย่างครื้นเครง กว่าสรคมณ์จะเห็นจดหมายฉบับนั้นบนบอร์ดและยึดคืนมาได้ เพื่อนทุกคนของเขาก็ได้อ่านกันหมดแล้วโดยถ้วนหน้า เพื่อนๆพากันเข้าใจว่าแฟนของเขาชื่อ “น้อย” ตามที่ปรากฏอยู่ในจดหมายที่มีมาถึงเขาบ่อยที่สุด แม้ว่าชายหนุ่มจะไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ

หลังจากซื้อสิ่งของเครื่องใช้และเดินดูเสื้อผ้าสวยๆกันพักใหญ่ พี่น้องสองสาวก็ชวนกันเข้าไปหาอาหารมื้อเย็นรับประทาน ในร้านเล็กๆแห่งหนึ่งแถวศูนย์การค้า ระหว่างนั้นก็พูดคุยกันไปเรื่อยๆถึงเรื่องในที่ทำงานของแต่ละฝ่ายบ้าง เรื่องอื่นๆตามประสาผู้หญิงบ้าง

“เมื่อกี้เห็นเธอซื้อไหมพรม จะถักเสื้อใส่หรือ? อากาศไม่เห็นหนาวสักหน่อย” แพรวพรรณถามน้องสาว

“อ๋อ ไหมพรมนั่นหรือคะ น้อยจะถักเสื้อหนาวส่งไปให้คมณ์น่ะค่ะ น้อยดูข่าว เห็นเขาว่าปีนี้อีสานจะหนาวจัด หมวดของคมณ์อยู่ในป่าใกล้ภูเขา คงจะยิ่งหนาวใหญ่”

“เธอถักให้เขาหลายตัวแล้วไม่ใช่หรือ เขาเคยใส่มั่งหรือเปล่าก็ไม่รู้ ทำไมไม่เปลี่ยนเป็นของอื่นบ้างล่ะ เช่นพวกอาหารกระป๋อง หรืออาหารแห้ง”

แพรวโพยมหัวเราะ “ของพวกนั้นน้อยส่งประจำอยู่แล้วละค่ะ แต่คมณ์เขาเคยบอกว่าไม่ต้องส่ง ไม่อยากให้น้อยลำบาก หลังๆนี่ก็เลยส่งมั่งไม่ส่งมั่ง แต่เสื้อที่จะถักเนี่ย น้อยกะว่าจะให้เขาเป็นของขวัญปีใหม่ด้วยน่ะค่ะ”

พี่สาวพยักพเยิดเห็นด้วย “ความจริงเสื้อหนาวก็โอเค แต่ก่อนที่เธอเคยส่งพวกเสื้อกล้าม กางเกงในไปให้เขาน่ะ พี่ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่”

“ทำไมล่ะคะ พี่นิด ของพวกนั้นถึงยังไงคมณ์เขาก็ต้องใช้อยู่แล้วนี่คะ” อีกฝ่ายทำหน้าสงสัย

เห็นสีหน้าไม่เข้าใจกึ่งไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเธอ แพรวพรรณก็เลยจำเป็นต้องบอกน้องสาวไปตรงๆ ทั้งๆ ที่ความจริงก็ไม่อยากพูดเท่าไหร่

“ก็ของพวกนั้นน่ะ ผู้หญิงส่วนใหญ่เขาไม่ซื้อให้ผู้ชายหรอก ถ้ายังเป็นแค่แฟนกัน ถ้าแต่งงานกันแล้วก็อีกเรื่องนึง”

“ทำไมล่ะคะ” แพรวโพยมยังตั้งคำถามเดิม

“แหม ก็ของพวกนั้นมันค่อนข้างเป็นส่วนตัว เหมาะสำหรับคนที่รู้จักกันจนถึงแก่นแล้วน่ะสิ เอายังงี้” พี่สาวจำเป็นต้องพูดลึกลงไปอีก “ ถ้าคมณ์เขาเกิดซื้อบราเซียร์หรือกางเกงในให้เธอ เธอไม่อายหรือ คนที่เขาเห็นเขาจะเข้าใจว่ายังไงล่ะจ๊ะ ถ้าไม่เข้าใจว่าแต่งงานกันแล้ว หรือไม่ก็มีอะไรกันแล้ว ทีนี้เข้าใจหรือยัง”

พอเข้าใจความหมายของพี่สาว หน้าของแพรวโพยมก็แดงขึ้นมาทันทีด้วยความตกใจและความอาย เพราะเธอเคยซื้อของดังกล่าวให้สรคมณ์หลายครั้งแล้ว โดยที่คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนที่เป็นแฟนกัน มิน่าเล่าสรคมณ์ถึงได้บอกเธอว่าไม่ต้องซื้อให้เขา เขาซื้อเองได้ เมื่อเธอยังยืนยันที่จะดูแลเรื่องนี้ให้เขา เขาก็ทำหน้ายิ้มๆมองเธอด้วยแววตาขำๆ ทุกครั้ง เขาเคยถามด้วยซ้ำว่าเธอรู้หรือว่าเขาใส่กางเกงในยี่ห้ออะไร เบอร์อะไร


ระหว่างที่พี่น้องสองสาวนั่งกินกันไปคุยกันไป แพรวโพยมก็เหลือบไปเห็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของสรคมณ์ ซึ่งกำลังเดินเข้ามาในร้านอาหารที่เธอกับพี่สาวนั่งอยู่และมองมาที่เธอพอดี

“อ้าว คุณอัสดา” หญิงสาวร้องทักอย่างดีใจ เธอรู้ว่าเขาทำงานอยู่ในอุบลฯเช่นเดียวกับสรคมณ์ คิดว่าเขาอาจจะมาด้วยกัน ถ้าไม่ได้มาเธอก็ยังอาจจะถามข่าวคราวของชายหนุ่มผู้นั้นได้ เพราะพักนี้เขาเงียบหายไป จดหมายที่เธอเขียนถึงเขาหลายฉบับก็ไม่มีการตอบจากสรคมณ์

“สวัสดีครับ คุณน้อย สวัสดีครับ พี่นิด”

แพรวพรรณรับไหว้แล้วเชิญให้เขานั่งร่วมโต๊ะ แต่ชายหนุ่มผู้นั้นปฏิเสธด้วยการบอกว่านัดเพื่อนไว้ แต่เพื่อนยังไม่มา

“งั้นนั่งคุยกันสักประเดี๋ยวนะคะ”

พี่สาวของแพรวโพยมเป็นคนเชิญชวน เพราะรู้ใจน้องสาวว่าคงอยากถามข่าวคราวของสรคมณ์

“สรคมณ์ไม่มาด้วยหรือคะ” แพรวพรรณถามต่อไปเมื่ออัสดานั่งลงตามคำเชิญ “แล้วนี่คุณอัสดาลงมาธุระที่กรุงเทพฯ หรือไง ปกติต้องอยู่ที่โน่นตลอดไม่ใช่หรือ”

“ครับ” เขามองเลยไปที่แพรวโพยมอย่างสงสัย “คมณ์ไม่ได้บอกคุณน้อยหรอกหรือ ว่าเราจะไปฝึกทบทวนกระโดดร่มประจำปีกันที่หัวหิน มาด้วยกันทุกคนแหละครับ มาสองวันแล้ว เข้ากรุงเทพฯ มาซื้อของใช้กัน พรุ่งนี้ก็ต้องออกเดินทางไปเข้าค่ายที่โน่น”

วาบแรกหญิงสาวรู้สึกดีใจที่ได้ยินว่าสรคมณ์ก็มากรุงเทพฯด้วย แต่แล้ววาบต่อมาเธอก็รู้สึกผิดหวัง เขามาสองวันแล้ว! เขาไปทำอะไรอยู่ที่ไหนถึงไม่มาหาเธอที่บ้าน ไม่มีแม้แต่โทรศัพท์ส่งข่าวเช่นคนที่รักกัน แต่แล้วต่อมาหญิงสาวก็พยายามปลอบใจตัวเองว่าทำไมเธอจะต้องคิดมากให้เกินเหตุ ที่ผ่านมาเขาก็ทำอย่างนี้อยู่เป็นประจำ แต่ถึงจะพยายามหาเหตุผลมาปลอบใจตัวเองอย่างไร แพรวโพยมก็อดน้อยใจไม่ได้ ดูเหมือนว่าเธอต้องเป็นฝ่ายขวนขวาย หาทางติดต่อหรือนัดหมายกับเขาอยู่เป็นประจำ มีน้อยครั้งที่เขาจะเป็นฝ่ายเริ่มต้น

ระหว่างนั่งรถกลับบ้านด้วยกัน แพรวพรรณเห็นสีหน้าครุ่นคิดของน้องสาวก็เข้าใจว่ารู้สึกอย่างไร

“คมณ์ไม่ได้ส่งข่าวมาล่วงหน้าเลยหรือว่าจะไปฝึก”

“เอ้อ..” แพรวโพยมอึกอัก ไม่รู้จะแก้ตัวแทนเขาว่าอย่างไร “อาจจะกะทันหันมั้งคะ”

“เหรอ” แพรวพรรณพูดได้แค่นั้น นิ่งไปอึดใจหนึ่งก็ถามต่อ “แล้วนี่เธอจะได้เจอเขาเมื่อไหร่ล่ะ พรุ่งนี้เขาก็จะไปหัวหินแล้ว ฝึกกันทีก็หลายเดือนไม่ใช่หรือ”

น้องสาวของเธออ้อมแอ้มว่า “เดือนเดียวเท่านั้นค่ะ ช่วงวันหยุดที่ไม่มีการฝึกเขาคงจะมากรุงเทพฯบ้าง ถ้าเขามาไม่ได้จริงๆ น้อยอาจจะชวนเพื่อนไปหาเขาที่ค่าย ถือโอกาสไปพักผ่อนชายทะเลกันเลย"

หญิงสาวตอบแกนๆ ไม่อยากจะพูดเรื่องนี้อีกแล้ว อยากให้ถึงบ้านเร็วที่สุด จะได้อยู่ลำพังกับตัวเอง ส่วนแพรวพรรณนั้นก็กำลังคิดเหมือนกัน เธอรู้สึกมานานแล้วว่าชายหนุ่มผู้นั้นไม่ค่อยสนใจน้องสาวของเธอเท่าที่ควร เขาไม่ค่อยแสดงอะไรออกมา มีแต่แพรวโพยมเท่านั้นที่แสดงทุกอย่างๆชัดเจน คอยอนาทรร้อนใจกับทุกข์สุขของเขาตลอดมา อีกคนคือคุณนวลจิตผู้มารดา ที่เมื่อไหร่ก็ตามที่สรคมณ์มาที่บ้าน จะคอยเอาอกเอาใจเขาจนออกนอกหน้า บางครั้งถึงกับยกเหล้าของสามีออกมาเลี้ยง ตามมาด้วยการลงมือเข้าครัวทำอาหาร ที่รู้จากลูกสาวว่าเขาชอบมาปรนเปรอเขา เพราะลูกสาวสองคนของเธอทำกับข้าวไม่เป็น


ทันทีที่ถึงบ้านและพูดคุยกับมารดาอยู่ครู่หนึ่ง แพรวโพยมก็ปลีกตัวเข้าห้องนอน สิ่งแรกที่เธอทำหลังล้อกประตูห้อง ก็คือคว้าโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ามาต่อหาสรคมณ์ เธอไม่กล้าโทรหาเขาตอนที่อยู่ในรถเพราะไม่อยากให้พี่สาวได้ยิน หญิงสาวพยายามโทรหลายครั้งแต่ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับ คิ้วของเธอเริ่มขมวดเข้าหากัน ตอนนี้เขาอยู่กรุงเทพฯ ซึ่งมีสัญญาณโทรศัพท์เหลือเฟือ ไม่เหมือนในหมวดฯ ที่เขาเคยบอกว่าเขามักจะไม่เปิดมือถือ เพราะสัญญาณมีน้อยมากและบางวันก็ไม่มีเลย ในที่สุดเมื่อแน่ใจว่าสรคมณ์ปิดมือถือ แพรวโพยมก็ต้องยอมแพ้ ลุกจากริมเตียงที่นั่งอยู่เข้าไปอาบน้ำ คืนนั้นเธอนอนไม่หลับ นึกทบทวนถึงเรื่องต่างๆระหว่างเธอกับสรคมณ์แล้วก็เกิดความน้อยใจ แม้จะพยายามบอกตัวเองไม่ให้คิดมาก แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรเธอก็เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ที่ต้องการความรักความมั่นใจจากผู้ชายที่เธอรัก





greengrass
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ก.ค. 2560, 12:20:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ก.ค. 2560, 12:21:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 1193





<< ตอนที่ 3 โจรสลัดหรือสุภาพบุรุษ   ตอนที่ 5 สรคมณ์ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account