พรานท่องพนา
นิยายเกี่ยวกับความรักของหนุ่มขี้เล่นกับสาวสวยหัวโบราณ ที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างเข้มงวด ทั้งคู่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายเพื่อพิสูจน์ความรัก การใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ การไม่เชื่อใจกันและกัน การที่รู้จักกันไม่มากพอ ส่งผลให้ต้องแยกทางร้างกันไป และเมื่อต่างก็มีทิฐิ ทำให้การจะกลับมาเดินร่วมทางกันใหม่ทำได้ไม่ง่ายนัก
Tags: พระเอกเป็นตำรวจตระเวนชายแดน นางเอกเป็นไฮโซหัวโบราณ

ตอน: ตอนที่ 5 สรคมณ์

สรคมณ์เป็นลูกคนสุดท้องในจำนวนพี่น้องสี่คน บิดาเป็นคนกรุงเทพฯ ส่วนมารดาเป็นคนนครสวรรค์ บิดาของเขารับราชการในกระทรวงมหาดไทย ทำให้ต้องโยกย้ายไปมาหลายจังหวัด สรคมณ์เกิดที่จังหวัดนครสวรรค์ตอนที่บิดาย้ายมารับราชการในตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด เขาจึงกลายเป็นชาวนครสวรรค์ไปโดยปริยาย หลังจากบิดาเกษียณจากราชการ ครอบครัวของสรคมณ์ก็ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นครสวรรค์ คุณสมถวิลมารดาของเขาสร้างโรงเรียนขนาดกลางซึ่งเปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงประถมสี่ และต่อมาได้ขยายการเรียนการสอนขึ้นไปถึงชั้นมัธยมหก โรงเรียนแห่งนี้ปลูกอยู่ในที่ดินแปลงเดียวกับบ้าน แต่เนื่องจากที่ดินมีเนื้อที่หลายสิบไร่ โรงเรียนกับบ้านจึงอยู่ห่างกันพอสมควร ส่วนบิดานั้นหลังเกษียณอายุก็เข้าไปเริ่มกิจการปลูกพืชไร่และเลี้ยงวัวในที่ดินพันกว่าไร่ในอำเภอใกล้เคียง ที่ดินแปลงนี้เป็นมรดกตกทอดจากบิดาของคุณสมถวิล


แม้จะไม่จัดอยู่ในระดับเศรษฐี แต่ครอบครัวของสรคมณ์ก็จัดว่าเป็นผู้มีอันจะกินครอบครัวหนึ่งในจังหวัด บิดามารดาของเขาได้รับการยกย่องนับถือจากคนทั่วไป บิดาในฐานะอดีตข้าราชการปกครองระดับสูงที่ได้ชื่อว่าปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความโปร่งใส ตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์สุจริต ส่วนมารดาก็มาจากตระกูลเก่าแก่เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปในจังหวัด


การเป็นลูกคนสุดท้องที่อายุห่างจากพี่สาวคนโตเกือบยี่สิบปี และห่างจากพี่ชายอีกสองคนไม่ต่ำกว่าสิบปี ไม่ได้ทำให้สรคมณ์ได้รับการเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมเป็นกรณีพิเศษ แม้จะยังเล็กเขาก็มีหน้าที่ช่วยงานบ้านและงานในสวนเล็กๆน้อยๆเท่าที่สามารถจะทำได้ เพราะคุณสมถวิลต้องการฝึกเขาให้พึ่งตัวเองได้และไม่เกี่ยงงาน บิดามารดาไม่ได้ตามใจหรือเอาใจเขา เมื่อทำผิดเขาก็จะถูกลงโทษเหมือนเด็กอื่นๆทั่วไป และเนื่องจากเขามีอายุห่างจากพี่สามคนมาก ไม่มีใครจะเล่นด้วย เขาจึงมักจะแอบออกไปเล่นกับเด็กแถวนั้น บางวันก็จะหาเรื่องหนีโรงเรียนเดินท่อมๆไปตามที่ต่างๆ หาเรื่องเจ็บตัวไปเรื่อยๆ โดยที่มารดาของเขาไม่รู้ เพราะส่วนใหญ่ถ้าไม่อยู่บนเรือนใหญ่ คุณสมถวิลก็มักจะไปวัดซึ่งอยู่ไม่ไกลบ้าน


แม้จะซนอย่างฉกาจฉกรรจ์ แต่เวลาอยู่บ้านสรคมณ์จะเป็นเด็กเรียบร้อยที่มีระเบียบวินัย ปฏิบัติตามกฎกติกาที่บิดาผู้เข้มงวดกวดขันของเขากำหนดเอาไว้ สรคมณ์เป็นเด็กที่อยู่ไม่สุข ไม่สามารถจะอยู่นิ่งๆกับที่โดยไม่ทำอะไรไม่ได้ หาเรื่องซนได้ตลอดเวลายามลับหลังบิดามารดา เขาว่ายน้ำเป็นตั้งแต่สี่ห้าขวบ เขาชอบแม่น้ำ มีหลายครั้งที่เขาจะแอบไปว่ายน้ำในแม่น้ำที่กว้างใหญ่ตรงจุดที่ห่างไกลจากบ้าน


ตอนอายุได้สิบขวบสรคมณ์เกือบจะจมน้ำตาย เพราะอุตริว่ายเข้าไปใต้แพซึ่งเป็นท่อนซุงขนาดใหญ่ร้อยติดกันไว้แน่นหนาด้วยโซ่เส้นโต แพพวกนี้ล่องจากต้นน้ำทางเหนือสุดของประเทศลงมาตามแม่น้ำปิง เด็กชายดำน้ำลงไปใต้แพซุงดังกล่าวด้วยความซุกซนปนกับความอยากรู้อยากเห็น แล้วหาทางออกไม่ได้ แต่ก่อนที่จะขาดใจตายเพราะขาดอากาศหายใจ เขาบังเอิญหลุดออกมาได้ในวินาทีสุดท้าย แม้จะเกือบตาย แต่เด็กชายผู้ซุกซนก็ยังไม่เข็ด ยังชอบเล่นอะไรที่แผลงๆและผาดโผนอยู่เหมือนเดิม


คุณสมบัติที่สำคัญของสรคมณ์ คือการเป็นคนที่ไม่ค่อยจะยอมแพ้อะไรง่ายๆ เรื่องแพซุงนี้ก็เหมือนกัน เด็กชายวัยสิบขวบไม่ลดละความพยายามที่จะเอาชนะให้ได้ อีกไม่กี่วันต่อมาเขาก็หนีโรงเรียนไปที่แม่น้ำบริเวณนั้นอีก หมายมั่นปั้นมือที่จะพิสูจน์ให้รู้แจ้งเห็นจริงให้ได้ ว่าจะสามารถเอาตัวรอดหลุดออกมาจากใต้แพซุงพวกนั้นได้หรือไม่ แต่คราวนี้เขาทำอย่างรอบคอบ ก่อนจะดำลงไปใต้แพซุงเด็กชายว่ายน้ำไปเกาะตรงหัวซุง ดำลงไปนอกแพในระดับตื้นๆ มือก็ระไล่นับจำนวนท่อนซุงไปจนสุดแพ นับแล้วนับเล่าหลายครั้งเพื่อความไม่ประมาท เพราะถ้านับผิดก็หมายถึงชีวิตของเขา


ในที่สุดเมื่อรู้แน่แล้วว่าแพนั้นมีซุงกี่ท่อน เขาก็กลับมาที่ซุงท่อนแรก ดำเข้าไปใต้แพซุง ขณะที่ดำไปก็ใช้มือระซุงแต่ละท่อนไปเรื่อยๆ พร้อมกับนับจำนวนไปด้วย พอถึงซุงท่อนสุดท้ายที่มั่นใจว่าสุดท้ายแน่ๆ เด็กชายก็ถีบตัวเต็มแรง กะให้พ้นแพหลังนั้นออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้ แล้วพุ่งตัวขึ้นเหนือน้ำ ทะลึ่งพรวดขึ้นมารับอากาศบริสุทธิ์บนผิวน้ำ หลังจากพิสูจน์จนสิ้นสงสัยแล้วว่าสามารถทำได้อย่างปลอดภัย เด็กชายก็เลิกสนใจการดำน้ำลอดแพซุง หันไปสนใจกิจกรรมโลดโผนอื่นๆต่อไป


การเล่นพิเรนทร์จนเจ็บเนื้อเจ็บตัวของสรคมณ์ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น เนื่องจากบ้านที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ มีลักษณะเป็นบ้านกึ่งสวนที่มีเนื้อที่กว้างขวาง รอบบ้านทรงไทยโบราณหลังใหญ่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยที่มีทั้งดอกทั้งผลมากมาย ที่เจ้าของบ้านปลูกไว้ตั้งแต่มาซื้อที่ใหม่ๆ สรคมณ์ชอบปีนป่ายต้นไม้พวกนี้เล่นลับหลังมารดา ซึ่งมักจะอยู่บนเรือนเป็น่ส่วนใหญ่
ครั้งหนึ่งเขาแอบปีนต้นตาลสูงชะลูดในสวนเพื่อขึ้นไปเก็บลูกตาล ทั้งๆที่ไม่เคยขึ้นมาก่อนเลยและโดยไม่มีอุปกรณ์ช่วยในการป่ายปีน ซึ่งเสี่ยงต่อการตกลงมาคอหักตาย แต่เขาก็ใจกล้าไม่กลัวตก เมื่อขึ้นไปจนถึงคอตาลได้ก็ใช้มีดปาดตาลที่เหน็บติดตัวไปด้วย ปาดตาลลงมาทั้งยวง โดยปล่อยให้ตกลงบนพื้นดิน โยนมีดตามลงไปก่อนจะรูดตัวลงมาตามลำต้น ผลก็คือหน้าอกของเขาครูดกับลำต้นลงมาตลอดทาง มีแผลเลือดไหลซิบๆทั้งแผ่นอก ต้องใส่ยารักษากันนานเป็นเดือน คุณสมถวิล ซึ่งกลับจากวัดมาพอดี เห็นเข้าก็แทบเป็นลมด้วยความตกใจ เขาถูกมารดาตีเป็นครั้งแรก เพราะปกติคนที่ตีเมื่อเขาทำผิดคือบิดาของเขา แต่คราวนี้คุณสมถวิลคงเหลืออดกับความซุกซนที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตของลูกชายคนสุดท้อง จนต้องลงไม้ลงมือเอง


นอกจากจะซนโลดโผนแล้วสรคมณ์ยังเป็นคนดื้อเงียบและทิฐิสูง ครั้งหนึ่งรองเท้ากีฬาที่เขาใช้อยู่คับมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะวัยที่กำลังโตวันโตคืน เด็กชายก็ไปหาบิดาที่บ้านพักในไร่ บอกจุดประสงค์ที่มาว่ามาขอเงินซื้อรองเท้าใหม่ บิดาของเขาซึ่งกำลังอารมณ์ไม่ดียังไม่หยิบเงินส่งให้ แต่กลับบ่นว่าเรื่องอะไรต่ออะไรเกี่ยวกับเขา ที่ไม่สบอารมณ์อีกหลายเรื่อง สรคมณ์ซึ่งตอนนั้นอายุแค่สิบขวบนั่งฟังอยู่เงียบๆโดยไม่โต้เถียงหรือแก้ตัว เมื่อบ่นว่าจนพอใจแล้วบิดาของเขาก็ลุกออกจากที่นั่งพูดกันอยู่เพื่อไปหยิบเงินมาให้ แต่เมื่อกลับลงมาอีกครั้งหนึ่งพร้อมเงินในมือ ก็พบว่าบุตรชายไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาจนถึงเติบใหญ่ สรคมณ์ไม่เคยออกปากขอเงินบิดาอีกเลย มันเป็นทิฐิลึกๆที่ฝังแน่นอยู่ในใจตั้งแต่วันนั้น ที่จะไม่พึ่งใครนอกจากตัวเอง ถ้าไม่จำเป็นอย่างถึงที่สุด


สรคมณ์ถูกส่งไปเข้าโรงเรียนประจำที่กรุงเทพฯเมื่ออายุได้สิบสองปี โรงเรียนประจำชั้นดีที่เข้มงวดกวดขัน ที่เน้นฝึกทั้งระเบียบวินัยและการออกกำลังกาย ด้วยการวิ่งและเล่นกีฬาอย่างหนักหน่วงและสม่ำเสมอ ราวกับโรงเรียนทหาร ไม่เพียงแต่จะทำให้สรคมณ์หาเรื่องซุกซนที่อาจนำอันตรายมาให้ไม่ได้เท่านั้น แต่ยังได้เปลี่ยนพลังงานและแรงขับดันที่มีมากมายในตัวเขา ให้เขากลายเป็นนักกีฬาชั้นเยี่ยม ที่ต่อมานำชื่อเสียงมากมายมาสู่สถาบันการศึกษาของเขาทุกแห่งและตัวเขาเอง เด็กชายสรคมณ์ที่ร่างกายเคยผ่ายผอม เอาแต่สูงชะลูดเหมือนต้นตาลอยู่อย่างเดียว เติบโตเป็นชายหนุ่มที่สมบูรณ์แข็งแรง รูปร่างสูงใหญ่ของเขาอุดมด้วยมัดกล้ามที่สวยงาม


พร้อมๆกับความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย บุคลิกภาพที่เงียบขรึมไม่ค่อยพูดค่อยจาสมัยเด็กๆ ก็กลับเปลี่ยนเป็นสนุกสนานเฮฮา มองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน ลูกเล่นและวาจาแหลมคม ประเภทเข้าที่ไหนฮาที่นั่น สรคมณ์มีเพื่อนฝูงมากมาย เขาใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับเพื่อน พร้อมจะลุยเคียงข้างเพื่อนได้ในทุกสถานการณ์ เขาไม่ทำใครก่อน แต่ก็ไม่ยอมให้ใครท้า เนื่องจากอยู่โรงเรียนประจำชายล้วนมาตั้งแต่สิบสองขวบ เมื่อรวมกับชีวิตในรั้วโรงเรียนนายร้อยตำรวจอีกสี่ปีเต็ม การใช้ชีวิตร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานานหลายปีกับผองเพื่อน ทำให้คำว่าเพื่อนมีความสำคัญต่อสรคมณ์มาก ถ้าให้เลือกระหว่างเพื่อนกับผู้หญิง เขาเลือกเพื่อน


สรคมณ์เป็นคนที่มีทักษะด้านกีฬาสูง เป็นนักกีฬาที่ได้รับเสื้อสามารถหลายตัวและถ้วยเกียรติยศมากมาย เขาเล่นกีฬาได้เกือบทุกประเภท ทั้งลู่และลาน แต่กีฬาที่นำชื่อเสียงมาให้เขามากที่สุดคือกีฬารักบี้ ซึ่งเขาเป็นประธานรักบี้อยู่หลายปี ทั้งที่โรงเรียนชายล้วนแห่งนั้นและโรงเรียนนายร้อยตำรวจ และมีส่วนที่ทำให้เขาสอบผ่านเข้าไปศึกษาต่อในโรงเรียนายร้อยตำรวจได้อย่างง่ายดาย


แต่การเล่นกีฬาหลากหลายที่ต้องฝึกหนัก รวมทั้งการฝึกหลักสูตรภาคสนามอย่างเข้มข้น ระหว่างการศึกษาในโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ทำให้การเรียนของสรคมณ์ไม่ดีเท่าที่ควร ทั้งๆที่เป็นคนมีสติปัญญาดี ทั้งนี้เพราะความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าที่ทำให้เขามักจะนั่งหลับในห้องเรียนอยู่เป็นประจำ แต่ในที่สุดชายหนุ่มก็เรียนสำเร็จจนได้ ด้วยคะแนนในระดับปานกลาง เข้ารับพระราชทานกระบี่ติดยศว่าที่ร้อยตำรวจตรีจากพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมกับเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นๆอีกร้อยกว่าคน


แม้อะไรหลายอย่างจะเปลี่ยนแปลงไป แม้เขาจะรักเพื่อน ไม่ขัดใจใครโดยไม่จำเป็น ว่าอะไรว่าตามกันกับเพื่อน แต่น้อยคนจะรู้ว่าทิฐิที่แรงกล้า ความทรนงและเชื่อมั่นในตัวเอง รวมทั้งความเป็นคนดื้อเงียบ ที่เป็นตัวตนจริงๆของสรคมณ์ไม่ได้หายไปไหน ยังคงแอบซ่อนอยู่ลึกๆภายใต้จิตสำนึกของเขา และมันคงจะสงบนิ่งอยู่อย่างนั้น ถ้าไม่มีอะไรมากระตุ้นให้ต้องปรากฏตัวออกมา


สรคมณ์กับแพรวโพยมคบหากันกึ่งเพื่อนกึ่งคนรู้ใจมานานหลายปี แต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า ชายหนุ่มบอกตัวเองโดยไม่ต้องหยุดคิด ว่าเขาไม่เคยรักแพรวโพยมแบบหนุ่มสาว เขาผูกพันกับเธอเพราะเธอเป็นเพื่อนผู้หญิงคนแรกที่เขามี เธอเป็นเพื่อนที่เข้าใจและใส่ใจต่อทุกข์สุขของเขาเสมอ ในวัยหนุ่มที่ผ่านมาสรคมณ์ไม่เคยมีแฟน ชายหนุ่มหลีกเลี่ยงที่จะมีความสัมพันธ์แบบคู่รักกับผู้หญิงดีดีที่เขาไม่คิดจะจริงจังด้วย เพราะรู้จักตัวเองดีว่าถ้าเกิดพลาดพลั้งมีอะไรกันขึ้นมา เขาก็จะต้องรับผิดชอบผู้หญิงคนนั้น ไม่ว่าจะรักหรือไม่ก็ตาม เขาจึงเลือกที่จะเสียเงินเป็นครั้งคราวกับผู้หญิงที่มีอาชีพขายบริการ มากกว่าจะไปหลอกลวงผู้หญิงดีดีให้ต้องเสียหายหรือเสียใจ


ตลอดเวลาที่คบหากันเขาก็ไม่เคยให้ความหวังใดใดกับแพรวโพยม แต่ก็พูดไม่ออก มีหลายครั้งที่สรคมณ์นึกสงสารหญิงสาวคนนั้นจนพยายามที่จะรักตอบเธอ แต่ก็ไม่สำเร็จ ความรู้สึกมันหยุดอยู่แค่ความเป็นเพื่อนเท่านั้น ความเป็นคนขี้เกรงใจให้เกียรติคนอื่นเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนหญิงที่แสนดีคนนี้ ทำให้เขาไม่อาจจะหักหาญน้ำใจบอกแพรวโพยมออกไปตรงๆ ถึงความรู้สึกของเขาต่อเธอ เขารู้ว่าถ้าเขาบอกเธอ แม้แต่ความเป็นเพื่อนที่มีค่าสำหรับเขา ก็จะขาดสะบั้นลงไปทันที เพราะแพรวโพยมคงรู้สึกอับอายและรับไม่ได้ ที่ผ่านมาเขาไม่เคยพาหญิงสาวคนนั้นไปแนะนำกับใครว่าเป็นคู่รัก มีแต่เธอที่แสดงตัวเป็นคนรู้ใจเขากับเพื่อนฝูงของเขา รวมทั้งพ่อแม่พี่น้องเพื่อนฝูงของเธอ


ตอนที่เขาย้ายออกไปชายแดนใหม่ๆ และรู้ว่าเธอไปหาคุณนงนุชพี่สาวของเขาที่บ้านในกรุงเทพฯ ไปแนะนำตัวว่าเป็นคนรู้ใจของเขาที่คบกันมาหลายปี ช่วงนั้นบังเอิญมารดาของเขาเข้ามากรุงเทพฯ พอดี ทำให้แพรวโพยมมีโอกาสได้พบคุณสมถวิลด้วย หน้าตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใส กิริยามารยาทที่แช่มช้อยอ่อนโยน รวมทั้งอาชีพในฐานะแม่พิมพ์ของชาติของแพรวโพยม ทำให้มารดาและพี่สาวของเขาชื่นชมยินดี ที่จะรับเธอเข้ามาเกี่ยวดองเป็นสะใภ้เล็กของบ้านในอนาคต แม้จะไม่สบายใจกับการกระทำของแพรวโพยม ที่อาจจะทำให้มารดาและพี่สาวคนโตของเขาเข้าใจผิด แต่สรคมณ์ก็ไม่อยากจะพูดอะไรให้เธอเสียน้ำใจ เขารู้ว่าเธอทำไปเพราะคิดว่ามีสิทธิที่จะได้รู้จักกับพ่อแม่พี่น้องของเขาบ้างในฐานะคนรัก ชายหนุ่มรู้ว่ามันผิดที่เขาเองที่ไม่พูดกับแพรวโพยมเสียให้รู้เรื่อง ที่ผ่านมาเขาทำได้แค่พยายามเลี่ยงเธอเท่าที่จะทำได้ โดยไม่เป็นการหักหาญน้ำใจจนเกินไป


ในระหว่างการคบหากึ่งๆเพื่อนกึ่งๆแฟน แพรวโพยมจะเป็นฝ่ายติดต่อเขาเป็นส่วนใหญ่ ด้วยการชวนไปดูหนังบ้าง มาหาเขาที่ห้องพักนายตำรวจหนุ่มโสดที่อยู่หลังโรงพักบ้าง ตอนที่เขาทำงานอยู่นครบาล ซึ่งปกติเธอจะมาในช่วงเสาร์อาทิตย์ตอนที่รู้ว่าเขาออกเวรแล้ว ซึ่งเขาก็มักจะนอนหลับหัวซุกหัวซุนเพราะอ่อนเพลียจากการอยู่เวร และการท่องราตรีตามประสาหนุ่มโสด เนื่องจากเขาพักอยู่ตามลำพัง สรคมณ์จึงค่อนข้างระวังตัว ที่จะไม่ปล่อยให้สภาพแวดล้อม สถานการณ์หรืออารมณ์ชั่ววูบจากความใกล้ชิดทำให้เธอเสียหาย


นอกจากนี้เขาก็ไม่อยากให้แพรวโพยมต้องถูกนินทาจนเสื่อมเสียชื่อเสียง ที่มาปิดห้องขลุกอยู่กับเขาสองต่อสองถึงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม มีหลายครั้งที่เขาไม่อาจนอนหลับได้อย่างที่ตั้งใจ ต้องลุกขึ้นแต่งตัวพาเธอออกจากห้องไปที่อื่น เช่นศูนย์การค้าบ้าง ไปดูหนังบ้าง และเมื่อพาเธอไปส่งบ้าน เขาก็ต้องติดอยู่ที่บ้านของเธอจนดึกแทบทุกครั้ง เพราะมารดาของแพรวโพยมจะไม่ยอมปล่อยเขากลับบ้าน โดยไม่ได้ร่วมรับประทานอาหารเย็นกับครอบครัวของเธอเสียก่อน


ถึงจะไม่ได้รักแพรวโพยมแบบคนรัก แต่การคบหากันมายาวนานหลายปีตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ความสงสารที่รู้ว่าเธอรักเขามีเขาอยู่เพียงคนเดียว ทั้งๆที่มีชายหนุ่มหลายคนติดเนื้อพึงใจเธอ รวมทั้งตระหนักว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ดีและมาจากครอบครัวที่ดี ทำให้ในระยะหลังๆ เมื่อย้ายไปทำงานชายแดน สรคมณ์ก็เริ่มคิดว่าเขาอาจจะแต่งงานกับแพรวโพยมได้สักวันหนึ่งโดยไม่จำเป็นต้องรัก ถ้าระหว่างนั้นเขาจะไม่เกิดไปพบผู้หญิงสักคน ที่เขารักอย่างซาบซึ้งจนอยากแต่งงานด้วยเสียก่อน


แพรวโพยมเป็นคนไม่เรื่องมาก ไม่จู้จี้จุกจิก เขาไม่ชอบผู้หญิงเรื่องมาก จึงคิดว่าคงจะอยู่ด้วยกันได้ราบรื่นพอสมควร ผู้หญิงที่จะเป็นเมียตำรวจและอยู่กันได้อย่างราบรื่นต้องอดทนและเสียสละอย่างมาก รวมทั้งต้องใจเย็น หนักแน่นไม่หูเบา เพราะชีวิตการทำงานของตำรวจโดยเฉพาะอย่างยิ่งตำรวจที่ประจำอยู่ในโรงพัก ไม่ว่าจะภูธรหรือนครบาล ไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอนตายตัวเหมือนอาชีพอื่น ไม่มีวันหยุดราชการหรือวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ไม่มีโอกาสได้หยุดพักในช่วงเทศกาล เพราะช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่ตำรวจต้องทำงานอย่างหนักเพื่อให้บริการประชาชน


นอกจากการเข้าเวรที่สถานีตำรวจแล้ว เมื่อออกเวรก็ใช่ว่าตำรวจจะหมดงานกลับบ้านได้ ยังมีสำนวนคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบ ที่จะต้องสะสางให้เรียบร้อย ตำรวจทุกคนรู้ดีว่าสำนวนค้างจะมีผลร้ายอย่างไรตามมา นอกจากนี้ก็มีงานด้านการสืบสวนสอบสวนและงานจุกจิกอื่นๆอีกมากมาย ที่จะเอาเวลาไปหมด จนแทบไม่มีโอกาสได้อยู่กับครอบครัวเหมือนอาชีพอื่น ถ้าหญิงที่เป็นภรรยาไม่ยอมเข้าใจในเรื่องเหล่านี้หรือรับไม่ได้ การใช้ชีวิตคู่ก็จะมีปัญหา


ในด้านชีวิตส่วนตัว อาชีพตำรวจมีโอกาสที่จะได้พบผู้หญิงมากหน้าหลายตา ทั้งผู้หญิงในระดับดีและผู้หญิงที่มีอาชีพล่อแหลม ที่ขึ้นโรงพักเพื่อแจ้งความบ้าง มาติดต่อเรื่องอื่นๆบ้าง บางครั้งก็ช่วยไม่ได้ที่นายตำรวจหนุ่มๆมากมาย ทั้งที่แต่งงานแล้วหรือยังโสด มีโอกาสที่จะหวั่นไหววอกแวกไปได้ตลอดเวลา แม้จะมีจิตใจที่มั่นคงเพียงใดก็ตาม ซึ่งบางครั้งมีผลทำให้ครอบครัวต้องแตกแยกหรือล่มสลายลง





greengrass
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ก.ค. 2560, 11:16:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ก.ค. 2560, 11:16:50 น.

จำนวนการเข้าชม : 896





<< ตอนที่ 4 แพรวโพยม   ตอนที่ 6 พรหมบันดาล >>
ใบบัวน่ารัก 9 ก.ค. 2560, 07:02:38 น.
ถ้าเป็นลูกคนสุดท้อง อายุห่างจากพี่คนโตตั้ง20 ปี
จะไม่มีลูกของพี่สาวพี่ชาย มาเล่นด้วยเลยหรือ
หรืออยู่กันคนละบ้าน จึงไม่มีเพื่อนเล่น จึงเป็นคนแบบนี้
สงสารฝ่ายที่รอ ไม่รักก็บอกไปเถอะ


greengrass 9 ก.ค. 2560, 09:04:14 น.
ขอบคุณคุณใบบัวน่ารักมากค่ะสำหรับคำถาม
พี่สาวคนโตที่อายุห่างกัน 20 ปี ไม่มีลูกค่ะ ส่วนพี่น้องคนอื่นๆ
ซึ่งเป็นชายล้วนแต่งงานแล้วก็แยกครอบครัวไปอยู่กรุงเทพฯและ
จังหวัดอ่ื่นตามอาชีพการงานค่ะ (จะพูดถึงพี่น้องคนอื่นๆในบทต่อๆไปนะคะ)
หวังว่าคุณใบบัวฯจะติดตามอ่านต่อไปเรื่อยๆนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account