ในรอยกาล / เพิ่มตอนพิเศษ
“พี่พริษฐ์หยิบหีบใบนั้นให้ชมพู่หน่อย”

ชายหนุ่มขยับเข้ามาทันที พื้นที่แคบๆ ทำให้ต้องยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ในขณะแก้มแหม่มเขย่งก็แล้ว ยืดแขนจนแทบเป็นกระโดดก็แล้ว กลับยังเอาลงมาไม่ได้ แต่พริษฐ์สามารถทำให้หีบไม้ลอยมาอยู่ตรงหน้าเธอได้เพียงแค่ไม่กี่วินาที

หญิงสาวรับมาอย่างลิงโลด รีบก้มลงสำรวจทันใด ทว่าการหันหน้าเข้าหาชั้นวางของทำให้มีเงาพาดผ่าน ไม่สามารถมองลวดลายได้ถนัด แก้มแหม่มทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจจึงกลับหลังหันเข้าหาแสงไฟ แล้วก็ต้องตัวแข็งทื่อ แทนที่จะสว่างกลับมืดหนักเข้าไปอีก เมื่อมีกำแพงร่างกายบังเอาไว้

“พี่พริษฐ์” เธอครางเสียแผ่ว ความใกล้ชิดทำให้ไม่กล้าขยับตัว

เดินไปข้างหน้าก็ชนอกแกร่ง ครั้นจะถอยหลังก็ติดชั้นวางของ และถึงแม้แขนทั้งสองข้างของพริษฐ์ยังตกอยู่ข้างตัว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนโดนกอดกลายๆ

“ครับ”

เสียงขานรับดังอยู่ใกล้ๆ ราวกับเจ้าตัวโน้มหน้าลงมาคุยชิดกระหม่อมนี่เอง ความชิดใกล้ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แก้มแหม่มเริ่มทำอะไรไม่ถูก หูได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังมาก ราวกับวินาทีใดข้างหน้ามันจะหลุดออกมานอกอกประจานตัวเองให้ได้อาย

ใจจึงอยากผลักชายหนุ่มออกไปไกลๆ ให้พ้นตัวจะได้หายใจหายคอสะดวก แต่เสียงเล็กๆ อีกเสียงหนึ่งกลับสั่งห้ามไว้ แก้มแหม่มจึงยืนนิ่งก้มหน้างุดปล่อยให้ชายหนุ่ม ‘กอด’ อยู่อย่างนั้น

“มองพี่ได้ไหม”

นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม เพราะหลังจากนั้นคางมนก็ถูกช้อนขึ้นด้วยนิ้วมือแข็งแรง

ราวกับถูกร่ายมนตร์ ประกายบางอย่างซึ่งสะท้อนผ่านลูกแก้วสีดำคู่นั้นทำให้แก้มแหม่มอยากรู้ว่าคืออะไร จากที่ควรเบือนหลบก็จ้องนิ่งอยู่อย่างนั้น กระทั่งใบหน้าคมค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เธอก็ยังไม่ถอนสายตา

ตอนระยะห่างระหว่างกันเหลือไม่ถึงนิ้ว พริษฐ์ก็หยุดถามเสียงทุ้ม

“พี่จูบได้ไหม”

แก้มแหม่มน่าจะรู้ว่าคำถามของพริษฐ์ไม่เคยเป็นคำถามสักครั้ง สิ้นคำริมฝีปากอุ่นก็นาบลงมา คลอเคลีย หยอกเย้ากับริมฝีปากอิ่มราวภมรหนุ่มเลาะเล็มดื่มกินความหวานอย่างไม่รู้เบื่อ เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายสำลักลมหายใจ เขาก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย กระนั้นก็ยังไม่ยอมห่างไปไหน

เหมือนคนขาดอากาศหายใจมานาน พอได้รับอิสระแก้มแหม่มก็สูดลมเข้าปอดหนักๆ มือเล็กยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างเลื่อนลอย

ร่องรอยอ่อนหวานยังคงซ่านอยู่ตรงริมฝีปาก

เมื่อกี้เธอถูกจูบใช่ไหม


- * - * - เรื่องนี้รีอัปให้อ่านอีกรอบ และจะมีตอนพิเศษเพิ่มจากเดิม 3 ตอนค่ะ - * - * -

Tags: ในรอยกาล, เนตรนภัส, พริษฐ์, ชมพู่, แก้มแหม่ม,

ตอน: บทที่ 4

...๔...



ในวินาทีเดียวกับโทรศัพท์มือถือถูกเปิดขึ้น มันก็กรีดร้องเป็นสัญญาณว่ามีสายเข้ามาทันที พอพริษฐ์ก้มมองว่าใครต่อสายเข้ามาเท่านั้น ริมฝีปากได้รูปก็ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ มือข้างที่ว่างหยิบกระเป๋าเดินทางที่ไหลมาตามสายพานพร้อมออกเดิน

เขาเดาไว้แล้วว่ารูปการณ์ต้องออกมาแบบนี้ ถึงได้ชิงปิดโทรศัพท์หนีตั้งแต่ขนกระเป๋าออกจากบ้าน

“ครับพ่อ” ชายหนุ่มกดรับทันทีอย่างไม่รอช้า แล้วเสียงที่แหวมาตามสายก็ยิ่งเพิ่มรอยยิ้มสนุกให้กับชายหนุ่ม

“นี่แกอยู่ไหนหา...ไอ้พริษฐ์”

เมื่อไรที่บิดาขึ้น ‘ไอ้’ กับลูก นั่นหมายความว่าไม่พอใจจริงๆ แต่ใช่ว่าเขาจะกลัว ยังคงรวนกลับไปหน้าตาย

“พ่อต้องคิดไม่ถึงแน่ว่าผมอยู่ที่ไหน”

“ไอ้พริษฐ์ ฉันเป็นพ่อแกนะ อย่าคิดว่าฉันจะรู้ไม่เท่าทันว่าแกคิดทำอะไร”

พริษฐ์ทำหน้าเมื่อย

“คุณประเสริฐก็รายงานพ่อไปหมดแล้วนี่ ไม่เห็นต้องเมื่อยนิ้วโทร.หาผมเลย”

“เออ รู้ก็ดีแล้วไอ้ลูกเวร กลับบ้านเดี๋ยวนี้ แล้วเอาโฉนดที่ดินมาคืนฉัน”

“โธ่ พ่อก็รู้ว่าผมอยู่ใต้ ไม่ใช่บางนา จะได้จับรถไฟฟ้ากลับบ้านภายในครึ่งชั่วโมง ที่สำคัญวันนี้เที่ยวบินหมดแล้วด้วย” นอกจากพริษฐ์ไม่ทำตามแล้วเขายังสนุกกับการยั่วอารมณ์บิดาให้พุ่งทะลุเพดาน ซึ่งก็ได้ผลเพราะปลายสายออกอาการฟึดฟัดมาให้ได้ยิน

“ถ้าวันพรุ่งนี้ฉันไม่เห็นหน้าแก ฉันจะให้คนไปลากคอกลับมา”

“เห็นจะไม่ได้ เพราะธุระของผมคงยังไม่เสร็จพรุ่งนี้แน่ๆ” ชายหนุ่มปฏิเสธทันที “เอาไว้ผมเสร็จธุระเมื่อไหร่พ่อก็ได้เห็นผมเอง ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”

“ฉันไม่ได้เป็นห่วงแก”

“อ๋อ...พ่อเป็นห่วงบ้านกับที่ดินผืนนั้น” ชายหนุ่มลากเสียงยียวน “ผมก็น่าจะรู้”

“เออ แกรู้ก็ดีแล้ว เพราะฉะนั้นเอาของที่ไม่ใช่ของแกมาคืนฉันซะ”

“ผมไม่เอามันไปทำอะไรหรอก แค่ขอเก็บไว้ดูเล่นสักพัก รับรองเมื่อถึงเวลาผมเอาไปคืนพ่อแน่ๆ เท่านี้ก่อนนะครับ ผมต้องขับรถต่อ” ไม่รอฟังว่าปลายสายพูดว่าอะไรอีก พริษฐ์ก็ตัดสายทิ้งแล้วชิงปิดโทรศัพท์ก่อนจะมีสายเรียกเข้ามาอีกรอบ

พริษฐ์ออกจากส่วนผู้โดยสายขาเข้า สิ่งแรกที่มองหาคือร้านสะดวกซื้อ เขาซื้อซิมการ์ดแบบพรีเพดมาอันหนึ่งเพื่อใช้ในพื้นที่ หลักๆ เลยไม่อยากถูกบิดาติดตามตัวจึงเลือกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ในขณะหาทางจัดการทำให้บิดาเปลี่ยนใจยกบ้านให้เขาแทน

สิ่งที่พริษฐ์ทำต่อมาคือติดต่อหาทิวไผ่เพื่อบอกเบอร์สำรอง ถ้าได้ความคืบหน้าเรื่องที่ให้สืบจะได้ไม่มีปัญหาติดต่อกันไม่ได้ ลำดับต่อมาชายหนุ่มมองหาเคาน์เตอร์เช่ารถซึ่งนลินติดต่อเอาไว้ให้แล้ว ได้กุญแจมาเขาก็ลากกระเป๋าปร๋อไปขึ้นรถทันที ด้วยความใจร้อนอยากเห็นเรือนไทยเจ้าปัญหาพอออกจากสนามบินได้ เขาจึงตัดสินใจเดินทางไปที่นั่นแทนที่จะเข้าโรงแรมก่อน

พริษฐ์ใช้แผนที่เป็นตัวช่วยในการกำหนดเส้นทาง แล้วพบว่าถนนต่างจังหวัดไม่เป็นปัญหาสำหรับเขา ด้วยเส้นทางหลักๆ มีแค่ไม่กี่เส้น เพียงขับตามป้ายบอกทางไปไม่นานก็ถึงอำเภอเป้าหมาย แล้วเขาก็เจอปัญหา

พอเข้าตัวอำเภอก็พบว่ามีตรอกซอกซอยมากมาย ซึ่งมันไม่ง่ายเลยสำหรับคนไม่คุ้นเคยพื้นที่ ถึงแม้ถามทางกับชาวบ้านแล้วเขาก็หลงจนได้ สุดท้ายหลังจากวนรถอยู่เป็นชั่วโมงจึงใช้วิธีจ้างชาวบ้านให้ขับจักรยานยนต์นำมา กว่าจะถึงจุดหมายก็เสียเวลาไปมากจนใกล้ค่ำเลยทีเดียว

ตอนรถจอดสนิทตรงประตูทางเข้านั้น เขาชักไม่แน่ใจว่าชาวบ้านพามาถูกหรือเปล่า พื้นที่ตรงหน้าไม่มีเค้าว่าควรเป็นสถานที่ตั้งของบ้านคนสักนิด มันเหมือนที่ดินว่างเปล่าซึ่งเจ้าของไม่ได้ใช้สอยอะไรจึงปล่อยทิ้งร้าง เพื่อความแน่ใจเขาจึงหันไปถามย้ำอีกครั้ง แล้วก็ได้รับคำตอบว่าทั้งอำเภอมีเรือนไทยอยู่แค่หลังเดียวเท่านั้น ถ้าไม่ใช่ที่นี่ก็ไม่มีอีกแล้ว

เขาจึงเอ่ยขอบคุณ พอควักเงินให้เป็นสินน้ำใจ ชายนำทางคนนั้นก็ปฏิเสธไม่รับ แล้วขับจักรยานยนต์จากไป ปล่อยเขายืนอยู่ริมถนนด้วยความลังเลว่าควรเข้าไปดูบ้านตอนนี้เลยหรือควรไปค้างโรงแรมสักคืน รุ่งเช้าค่อยกลับมาดู ซึ่งเขาใช้เวลาไตร่ตรองไม่นานก็ตัดสินใจได้

ไหนๆ มาถึงนี่แล้ว เข้าไปดูสักหน่อยคงไม่เสียหายอะไร

ก่อนเข้าไปในบริเวณบ้านเขาไม่ลืมหยิบปืนพกซึ่งมักติดตัวเอาไว้เวลาเดินทางไปยังสถานที่ซึ่งไม่คุ้นเคย เผื่อไปเหยียบตาปลาใครเข้าจะได้มีอาวุธป้องกันตัว ส่วนในกรณีนี้เขากลัวว่าในบ้านอาจมีแขกไม่ได้รับเชิญอาศัยอยู่ บรรยากาศแบบนี้เหมาะดีนักในการใช้เป็นพื้นที่มั่วสุม

ระหว่างทางจากถนนจนถึงตัวบ้านไม่มีอะไรผิดปกติอย่างที่กลัว นั่นทำให้พริษฐ์เบาใจไปเปลาะหนึ่งว่าคงไม่ต้องใช้ปืนที่พกมา

สิ่งปลูกสร้างที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าไม่ต่างจากภาพในความทรงจำของเขานัก เพียงแต่ที่คุ้นเคยนั้นเป็นเรือนไทยหลังสวย พื้นขัดเป็นมัน ไม่มีพื้นที่ส่วนไหนมีฝุ่นเกาะ ไม่ใช่ทรุดโทรมเต็มไปด้วยฝุ่นและหยากไย่เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าบ้านขาดการดูแลรักษาที่ดี

ดูท่าคนดูแลบ้านของคุณประเสริฐแค่เงินแล้วนอนตีพุงสบายๆ กินเงินเดือนฟรีทุกเดือน แต่ไม่ได้ทำอะไรเพราะเห็นว่าไม่เคยมีใครลงมาดูสินะ

พริษฐ์นิ่วหน้าแล้วกวาดตาไปรอบๆ นอกจากบ้านไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่แล้ว อาณาบริเวณบ้านก็ไม่ต่างกัน

คงต้องปรับปรุงกันขนานใหญ่ถ้ายังอยากรักษาบ้านหลังนี้เอาไว้

ขณะกำลังประเมินว่าต้องทำอะไรบ้างนั้น สายตาของพริษฐ์ก็สะดุดเข้ากับกองอะไรสักอย่างตรงร่มไม้ ไม่ไกลจากตัวบ้านนัก สีขาวลอยเด่นแปลกแยกจากเศษใบไม้แห้งทำให้เขาเพ่งไปตรงจุดนั้นเขม็ง ขาที่โผล่พ้นชายเสื้อออกมาทำให้พริษฐ์แน่ใจว่าไม่ใช่เศษผ้าเก่าๆ ที่ใครเอามาทิ้งไว้

แต่เป็นมนุษย์!

มือแข็งแรงจึงขยับไปจับด้ามปืนที่เหน็บไว้ตรงเอวโดยอัตโนมัติ เขาค่อยๆ ก้าวเท้าเข้าไปใกล้ช้าๆ สายตาจับจ้องร่างนั้นอย่างระมัดระวัง พอจับภาพตรงหน้าได้ชัดเจนเท่านั้น มือที่ประทับอยู่ตรงด้ามปืนก็คลายออก พริษฐ์กระโดดจนเป็นกระโจนไปตรงนั้นทันทีเมื่อเห็นชัดเจนว่าร่างที่สงสัยว่าอาจเป็นคนร้ายเมื่อครู่จริงๆ แล้วเป็นผู้หญิง!

เขาคุกเข่าลงข้างๆ ร่างบอบบางที่นอนไม่ได้สติพลางคิด บางทีผู้หญิงคนนี้อาจถูกทำร้ายมา พริษฐ์สำรวจหารอยแผลหรือรอยเลือดเป็นอันดับแรก แต่ก็ไม่พบ เขายื่นนิ้วไปอังใต้จมูก ลมหายใจอุ่นที่รินรดนิ้วทำให้รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ยังไม่เสียชีวิต

อาจจะแค่สลบ...

“คุณ...คุณ...ตื่น มานอนทำอะไรอยู่ตรงนี้” มือใหญ่ตบแก้มเนียนนั้นเบาๆ เพื่อเรียกสติแล้วรอดูปฏิกิริยา แต่ร่างตรงหน้าก็ไม่กระดุกกระดิก นั่นทำให้พริษฐ์ต้องออกแรงอีกนิด

“คุณ...คุณ...เป็นอะไรหรือเปล่า คุณ” ยังเหมือนเดิม ร่างบอบบางยังไม่ไหวติง นั่นทำให้พริษฐ์ใจหาย เริ่มไม่แน่ใจว่าผู้หญิงคนนี้แค่กำลังสลบจริงหรือเปล่า

เขาหันรีหันขวางก่อนล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อแจ้งตำรวจ แต่แล้วเสียงร้องเบาๆ ก็ทำให้ชะงัก พริษฐ์หันมามองร่างที่นอนอิงต้นไม้หมิ่นๆอีกครั้ง แล้วก็พบว่าดวงตาที่ปิดสนิทเมื่อครู่เริ่มกะพริบปริบๆ แล้วจึงเปิดกว้าง

“ตื่นแล้วหรือคุณ” พริษฐ์ชะโงกไปมอง ดูเหมือนหญิงสาวจะยังไม่ได้สตินัก ดวงตาคู่นั้นดูเลื่อนลอย เขาจึงตัดสินใจค่อยๆ ประคองเธอให้ลุกขึ้นนั่ง เจ้าตัวเองก็ไม่แข็งขืน สายตาตื่นๆ ตวัดมามองเขาหวาดๆ น้ำเสียงที่ถามสั่นระริก

“คุณเป็นใคร”

ประโยคแรกที่หลุดออกมาจากริมฝีปากบางนั่นทำให้พริษฐ์อึ้งไปเสี้ยววินาที

“ผมต่างหากต้องถามว่าคุณเป็นใคร แล้วมาอยู่ในบ้านผมได้ยังไง”

“บ้านคุณ?”

“ใช่” พริษฐ์พยักหน้า มองท่าทางกวาดตามองไปรอบๆ อย่างสงสัยว่ามองทำไม แต่ก็ไม่เอ่ยปากทัก “แล้วคุณมาอยู่ในบ้านผมได้ยังไง”

“คุณเป็นพี่ชายคุณเดือนหรือคะ”

นอกจากไม่ตอบแล้ว คำถามแปลกๆ ของผู้หญิงตรงหน้ายังทำให้พริษฐ์นิ่วหน้า

เดือน...เดือนไหน

“คุณไม่ใช่คนแถวนี้หรือ ถึงไม่รู้ว่าบ้านหลังนี้ไม่มีคนอยู่มาเป็นสิบปีแล้ว”

“แล้วคุณ?” แววตาที่ส่งมาพร้อมคำถามนั้นมีแววกล่าวหาและไม่เชื่อถือ ราวกับเขาเป็นผู้บุกรุกเสียเองไม่ใช่คนที่นั่งทำหน้างงอยู่ตอนนี้

พริษฐ์ถอนหายใจออกมาเบาๆ หรือจะเป็นคนบ้า!

“ผมเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้” เขาชี้ไปยังเรือนไทยด้านหลัง “มาจากกรุงเทพฯ เพิ่งมาถึงที่นี่ได้ไม่นาน ก็พบคุณนอนกองอยู่ตรงนี้ ว่าแต่เป็นยังไงมายังไงถึงมานอนอยู่นี่ได้ล่ะคุณ”

“คุณเพิ่งมาถึง?”

“ใช่”

“ฉันขอโทษแล้วกันที่บุกรุกเข้ามาในบ้านคุณ” พร้อมๆ กันนั้นร่างบอกบางก็ลุกขึ้น ปัดเศษดินเศษขยะที่ติดอยู่ตามตัวแล้วทำท่าจะออกเดิน ไม่มีเค้าของคนถูกทำร้ายจนหมดสติเลยสักนิด

“เดี๋ยวสิคุณ นั่นจะไปไหน” พริษฐ์ฉวยแขนเอาไว้เมื่อเห็นว่าทิศทางที่หญิงปริศนาทำท่าจะเดินไปนั้นเป็นดงไม้รกเรื้อ ไม่ใช่ประตูทางเข้าบ้าน

“ฉันจะกลับบ้าน”

“บ้าน...งั้นคุณก็เป็นคนแถวนี้น่ะสิ”

“อือ” หญิงสาวพยักหน้าเบาๆ

“ผมไม่รู้ว่าคุณเจออะไรมานะ แต่ท่าทางจะยังไม่หายเบลอ เพราะทางที่คุณจะไปน่ะมันไม่ใช่ทางออก ทางออกอยู่ตรงโน้น” พริษฐ์ชี้ไปยังพื้นที่ส่วนติดถนนซึ่งเขาจอดรถเอาไว้ หญิงสาวจึงมองตาม

“ทางนี้ก็กลับได้เหมือนกัน”

“หมายความว่าไม่ว่าทางไหนก็กลับได้เหมือนกันใช่ไหม แต่เวลานี้ผมว่าคุณกลับทางที่ผมบอกดีกว่านะ ค่ำขนาดนี้แล้ว คุณจะกลับยังไงทางนั้น รถก็รก อันตรายนะคุณ”

เพราะความห่วงใยที่เจือมาในคำพูดนั้นแท้ๆ ทำให้แก้มแหม่มไม่ดื้อแพ่ง หญิงสาวหมุนตัวเดินไปอีกทาง โดยมีชายหนุ่มตามมาติดๆ

“คุณบอกว่าเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้?”

“ใช่ เป็นบ้านของครอบครัวผม”

“ที่ผ่านมาฉันไม่เคยเห็นว่าใครเคยมาอยู่นี่”

“มันเคยเป็นบ้านของทวดผม แต่พอย้ายไปอยู่กรุงเทพฯก็ไม่มีคนอยู่ เลยปิดบ้านเอาไว้ แต่เราก็จ้างให้คนดูแลนะ”

“น้าเขียวน่ะนะ”

น้ำเสียงที่หลุดออกจากปากหญิงสาวมีเค้าดูถูกนิดๆ ซึ่งพริษฐ์ก็พอเดาได้ว่าเกิดจากอะไร ถ้าไม่ใช่เรื่องรับค่าจ้างทุกเดือนแต่ไม่ได้ดูแลบ้านให้ดีอย่างที่รับปากไว้

“คุณรู้จักเขาด้วยหรือครับ ผมอยากเจอเขาอยู่พอดี”

“รู้จักสิ คนละแวกบ้านเดียวกันก็รู้จักทั้งนั้นแหละ ว่าแต่คุณอยากเจอน้าเขียวทำไม อ๋อ...เรื่องบ้านนี่สินะ”

“ครับ” พริษฐ์ไม่ปฏิเสธ ถึงยังไม่รู้ว่าหญิงปริศนาที่เข้ามาอยู่ในบ้านของเขาด้วยท่าทางแปลกๆ เป็นใคร แต่สัญชาตญาณบอกว่าผู้หญิงคนนี้ไม่มีอันตราย และเขาก็เชื่อเช่นนั้น

อีกอย่างเขาหวัง...ว่าผู้หญิงคนนี้จะช่วยเขาได้ในเมืองที่ไม่รู้จักเลยเช่นนี้

“คุณจะให้ฉันพาไปบ้านแกหรือ ตอนนี้แกคงอยู่บ้านแหละ”

“เอ่อ ไว้เป็นพรุ่งนี้ดีกว่าครับ ผมว่าวันนี้มันค่ำแล้ว”

“อือ จริง” ศีรษะทุยพยักหงึกๆ เห็นด้วย “ฉันก็ต้องกลับบ้านแล้วเหมือนกัน เอาไว้พรุ่งนี้ก็ได้”

“คุณจะช่วยผมหรือ” พริษฐ์หยั่งเชิง

“หรือคุณไม่อยากให้ช่วย”

ถ้าคิดว่าผู้หญิงคนนี้ไร้ประโยชน์ พริษฐ์คงตอกกลับไปแรงๆ แต่นี่คงต้องพึ่งพาเธออีกเยอะ ผูกมิตรไว้น่าจะดีกว่า เขาจึงส่งยิ้มอ่อนๆ ไปให้

“ไว้ค่อยไปหาแกพรุ่งนี้แล้วกัน ปกติแกก็ไม่ออกไปไหนหรอก อยู่แต่บ้านนั่นแหละ ไปเวลาไหนก็เจอ ไม่ต้องห่วง”

พริษฐ์เผลอคิดในใจว่าผู้หญิงแปลกๆ คนนี้ก็น่าเอ็นดูเหมือนกัน เออเนาะ พูดเอง เออเอง นัดเองเสร็จสรรพ

“แล้วจะให้ผมไปพบคุณที่ไหนครับ” เขาถาม ตอนนี้ทั้งคู่เดินมาถึงริมรั้วตรงที่พริษฐ์จอดรถเอาไว้ “ให้ผมรอคุณที่บ้านนี้ดีหรือเปล่า”

“สภาพบ้านคุณตอนนี้เข้าไปนั่งได้ด้วยหรือไง” น้ำเสียงเธอไม่ค่อยเชื่อถือนักว่าบ้านโสนน้อยจะอาศัยอยู่ได้จริง ให้จับประตูตอนนี้เธอยังคิดหนักเลย

“ถ้าอย่างนั้นผมขอเบอร์คุณไว้ได้หรือเปล่า จะได้นัดแนะว่าไปเจอกันที่ไหนดี”

หญิงสาวหยุดคิดแวบเดียวก็ตอบ

“ไปเจอฉันที่ร้านก็ได้ ร้านขายต้นไม้แถวนี้มีร้านฉันร้านเดียว ถามใครเขาก็รู้ คุณไม่หลงหรอก”

ชายหนุ่มอยากรับข้อเสนอนั้น หากก่อนหน้านี้เขาไม่เคยหลงทางมาก่อน ทั้งๆ ที่คนบอกทางก็พูดประมาณไปง่ายไม่หลงหรอกเช่นเดียวกัน

“ถ้าเป็นคนในพื้นที่คงไม่หลงหรอกคุณ แต่วันนี้กว่าผมจะหาทางเข้าบ้านเจอก็หลงไปรอบหนึ่งแล้ว ผมไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนั้นอีก มันเสียเวลา”

หญิงสาวนิ่งไปนิด เริ่มเห็นด้วยกับชายหนุ่ม

“งั้นคุณมีปากกาไหมล่ะ เดี๋ยวฉันจดเบอร์ให้”

“มีอยู่ในประเป๋าเดินทางท้ายรถน่ะ คุณรอแป๊บนึงนะ” ชายหนุ่มว่า แล้วขยับตัวหมายเปิดกระโปรงท้ายรถ หญิงสาวเห็นแบบนั้นก็รีบตัดบท

“งั้นเอาโทรศัพท์คุณมาก็ได้ ฉันจะกดเบอร์ให้ หวังว่าคงไม่ได้เก็บไว้ในรถอีกนะ” ถ้าขืนเก็บไว้ในรถอีก คราวนี้เธอหนีกลับบ้านไม่ช่วยจริงๆ เท่านี้ก็นึกคำบ่นต่างๆ นานาของป้าตาบออกแล้ว

ชายหนุ่มไม่ถือสากับคำแขวะนั้น เขาล้วงโทรศัพท์มือถือส่งไปให้แต่โดยดี หญิงสาวรับมันมาแล้วจัดการกดหมายเลขสิบหลัก

“ฉันยิงเข้าเครื่องตัวเองด้วยนะ จะได้มีเบอร์คุณด้วย”

พริษฐ์มั่นใจว่าเจ้าตัวทำก่อนขออนุญาตเขาด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงทำเพียงแค่ยืนเฉย ลอบพิจารณาคนตรงหน้าไปพลางๆ

หญิงปริศนาเป็นผู้หญิงสมส่วนสูงพอๆ กับมาตรฐานหญิงไทย ผิวสีน้ำผึ้งดูสุขภาพดี ใบหน้ารูปไข่ ปากนิด จมูกโด่งปลายเชิดน้อยๆ อย่างคนรั้นและเอาแต่ใจ อะไรก็ไม่สะดุดตาเท่ากับดวงตากลมโตสีน้ำตาลภายใต้แผงขนตางอน ที่แม้เขายืนอยู่ห่างๆ ยังเห็นมันชัดเจน มองโดยรวมไม่สวยสะดุดตา ทว่าชวนมอง

“เสร็จแล้วละ”

จู่ๆ คนที่ถูกลอบมองก็เงยหน้าขึ้นมา เล่นเอาพริษฐ์เกือบสะดุ้ง พอเห็นหญิงสาวไม่มีท่าทีเอะใจก็โล่งอก

“ฉันเมมไว้ชื่อชมพู่นะ อ้อ...คุณยังไม่รู้จักชื่อฉันนี่ ฉันชื่อแก้มแหม่ม ชื่อเล่นชมพู่ จะเรียกชมพู่ ชม หรือพู่เฉยๆ ก็ตามสะดวก”

“ผมพริษฐ์ครับ”

“ค่ะ ถ้ายังไงฉันยืมโทรศัพท์อีกครั้งหนึ่งได้ไหม” หญิงสาวขออนุญาตทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ส่งโทรศัพท์คืนเจ้าของ “พอดีฉันคิดว่าจะออกมาแถวๆ นี้แป๊บเดียว เลยไม่ได้หยิบโทรศัพท์มือถือติดตัวมา ยืมของคุณโทร.บอกที่บ้านให้มารับหน่อยได้หรือเปล่า”

“เชิญตามสบายครับ หรือถ้าคุณไม่รังเกียจ ผมไปส่งบ้านให้ได้นะ” ชายหนุ่มเสนอตัว แต่หญิงสาวปฏิเสธทันที

“อย่าดีกว่า กวนแค่ค่าโทรศัพท์พอ”

พริษฐ์พยักหน้าเข้าใจ เพิ่งเจอกันแค่ไม่กี่นาที แถมยังในสถานการณ์แปลกๆ อีกด้วย ดีแล้วที่เธอไม่ไว้ใจให้เขาไปส่งง่ายๆ เขายืนรออยู่เพียงครู่เดียวหญิงสาวก็กลับมา พลางยื่นโทรศัพท์มือถือคืนให้

“ขอบคุณนะคะ คุณกลับไปก่อนได้เลย อีกเดี๋ยวน้องฉันก็มาแล้วละ”

“ผมรอเป็นเพื่อนคุณก่อนดีกว่าครับ นี่ก็ค่ำแล้ว คุณจะยืนรออยู่ตรงนี้คนเดียวได้ยังไง มันอันตราย”

แก้มแหม่มเกือบปฏิเสธออกไปแล้ว แต่พอเห็นประกายห่วงใยอย่างจริงใจ เธอจึงเพียงยิ้มอ่อนๆ และชวนคุยฆ่าเวลา

“คุณคิดไว้หรือยังว่าจะไปเจอน้าเขียวแกสักกี่โมง”

“คงสายๆ น่ะครับ คุณชมพู่ว่ายังไง”

“ก็ดีเหมือนกัน” หญิงสาวไม่มีท่าหยุดคิดเลยตอนตอบ “ฉันไม่ค่อยชอบตื่นเช้าสักเท่าไหร่”

พริษฐ์พยักหน้าหงึกๆ เมื่อครู่ได้ยินว่าหญิงสาวเปิดร้านขายต้นไม้ น่าจะเป็นเจ้าของเองถึงได้ตื่นสายไปทำงานเมื่อไรก็ได้

“สักสิบโมงแล้วกันครับ คุณจะได้ไม่ต้องตื่นเช้ามาก”

“ตกลง ตามนั้นแล้วกันค่ะ” หญิงสาวยิ้ม ได้ยินจักรยานยนต์ดังเข้ามาใกล้ก็ยืดคอมอง “น้องฉันมาแล้ว ฉันกลับก่อนแล้วกัน ขอบคุณที่ยืนเป็นเพื่อนตั้งนาน และก็ขอบคุณที่ช่วยฉันเอาไว้ด้วย”

พริษฐ์อยากบอกว่าเขาไม่ได้ช่วยอะไรเลย เธอเสียอีกกำลังเป็นฝ่ายช่วยเขา แต่ก็ไม่ทันเพราะหันไปอีกทีร่างบอบบางก็ขึ้นคร่อมจักรยานยจ์ที่จอดเทียบ แล้วคนมารับก็นำรถออกไปทันที เห็นดังนั้นพริษฐ์ก็ไม่รู้จะยืนอยู่อีกทำไม กลับโรงแรมไปอาบน้ำพักผ่อนให้สบายดีกว่า

เขาแค่เปิดประตูออกยังไม่ทันได้ก้าวขึ้นรถ อะไรบางอย่างที่ร่วงสู่พื้นดึงสายตาให้ก้มลงมอง แสงไฟจากในรถทำให้พริษฐ์เห็นว่าเป็นดอกไม้ เขาก้มลงหยิบขึ้นมามองชัดๆ แล้วก็พบว่าเป็นกุหลาบหนู จำได้ว่าเห็นตกอยู่ใกล้ๆ ร่างของแก้มแหม่มตอนพบเธอนอนสลบอยู่ หนามมันคงเกี่ยวติดเสื้อเขามาตอนเข้าไปช่วยเธอกระมัง

มือใหญ่หมุนก้านกุหลาบเล่นช้าๆ

สาวปริศนาที่มาพร้อมกุหลาบหนู

“กุหลาบหนู พิกมี่โรส แก้มแหม่ม ชมพู่ โรสแอ๊ปเปิ้ล...โรส”




พอใกล้ถึงบ้านแก้มแหม่มก็สั่งให้ยอดจอดรถ ดับเครื่องแล้วค่อยๆ เข็นรถเข้าไปแทนที่จะขับเข้าไปอย่างเคย ขณะยอดเลี่ยงไปเก็บจักรยานยนต์ในโรงจอดรถหญิงสาวก็ค่อยๆ ย่องกริบขึ้นบันไดไปก่อนอย่างระมัดระวัง

“คุณชมพู่!”

เสียงเข้มๆ นั้นทำเอาร่างบอบบางถึงกับสะดุ้งโหยง ใบหน้าเนียนหลับตาปี๋ เริ่มเห็นชะตากรรมของตัวเองรางๆ

อุตส่าห์ให้ยอดเข็นรถเข้ามาแล้ว ป้าตาบยังรู้อีก โดนดุแน่ๆ ไอ้ชมพู่เอ๊ย...

“นี่มันกี่โมงกี่ยามกันแล้วคะ ไหนคุณบอกป้าว่าไปแป๊บเดียวไง”

นั่นไง ป้าตาบเริ่มแล้ว

หญิงสาวกลืนน้ำลายเหนียวลงคอแล้วทำใจดีสู้เสือ ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ส่งยิ้มประจบไปให้ พร้อมกันนั้นก็เดินเข้าไปสวมกอดหญิงสูงวัยที่เคารพดั่งญาติผู้ใหญ่เอาไว้หลวมๆ ชิงพูดขึ้นก่อนถูกดุ

“ชมพู่ไม่ได้เถลไถลนะคะ เอาต้นมะลิไปให้ยายแก้วจริงๆ” เธอเล่าหน้าซื่อ แต่ป้าตาบก็ยังทำหน้าเคร่ง ไม่ค่อยเชื่อถือนัก หญิงสาวเลยขยายความต่อ

“พอดีตอนขากลับบังเอิญเจอเจ้าของเรือนไทย...” ขอโทษนะคุณ ขออ้างชื่อหน่อยแล้วกัน “ป้าจำได้ใช่ไหมคะ ที่ชมพู่เคยบอกว่าเหมือนในละครจักรๆ วงศ์ๆ น่ะ เขามีเรื่องให้ช่วยนิดหน่อย ชมพู่เห็นว่าเป็นคนต่างถิ่น ถนนหนทางก็ไม่รู้จัก”

เธอไม่ได้โกหก แค่เล่าไม่หมดเท่านั้นว่าก่อนหน้าเธอแอบเข้าไปในบริเวณบ้านคนอื่นแล้วเผลอไปสลบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ถ้าเจ้าของบ้านไม่มาเห็นเข้า ก็ไม่รู้ว่าจะนอนอยู่ตรงนั้นไปถึงเมื่อไร

นึกแล้วก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ ต่อให้เป็นคนหลับง่ายแค่ไหน แต่สถานที่แบบนั้นใครจะกล้าไปนอนเล่น เผลอๆ จะกลายเป็นอาหารงูโดยไม่รู้ตัว

ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่เคยมีสัมผัสที่หก เพราะฉะนั้นจึงเหมาเอาว่าเรื่องแปลกๆ เมื่อครู่เป็นเพียงความฝันเป็นตุเป็นตะ ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้มีอาการง่วงนอนจนสามารถผล็อยหลับไปแบบไม่รู้ตัวได้ ไม่หลับเปล่า ยังฝันเป็นตุเป็นตะอีกต่างหาก แถมยังเป็นฝันที่สั่นประสาทของตนอีกด้วย

จะว่าไปก็แปลกดี...

“คุณชมพู่เลยทำตัวเป็นเจ้าถิ่นที่ดี”

เพราะมัวแต่คิดอะไรเพลินๆ จึงไม่รู้ตัวว่าถูกป้าตาบประชด เธอพยักหน้ารับเบาๆ

“ค่ะ แล้วพอคุยกันเสร็จชมพู่ก็โทร.ให้ยอดไปรับนี่แหละ ชมพู่รู้ว่าป้าเป็นห่วง แต่อย่างที่บอก เจอคนเดือดร้อนก็ช่วยกันไป ชมพู่ไม่ได้ไปเถลไถลที่ไหนจริงๆ นะคะ ป้าไม่ดุนะ”

หญิงสาวช้อนตาขึ้นมองอ้อนๆ พอเห็นป้าตาบส่ายหน้าเบาๆ ก็ยิ้มออก ลูกอ้อนของเธอใช้ได้ผลเสมอ

“ค่ะ ป้าไม่ว่าอะไรคุณแล้ว”

“ขอบคุณนะคะ ป้าตาบน่ารักที่สุดในโลกเลย” พร้อมกับพูด เจ้าตัวก็หอมแก้มป้าตาบเสียฟอดใหญ่ เรียกเสียงหัวเราะเอ็นดูได้เป็นอย่างดี

“พอแล้วค่ะ เหม็นเหงื่อจะแย่ ไปอาบน้ำเถอะค่ะ จะได้มากินข้าวกัน”

พอป้าตาบทัก แก้มแหม่มถึงได้รู้สึกจึงก้มลงสำรวจเนื้อตัว สภาพของเธอตอนนี้ดูไม่จืดเลย ทั้งเศษดินเศษหญ้าติดตัวเต็มไปหมด

“งั้นชมพู่ไปอาบน้ำก่อนนะคะ เราจะได้กินข้าวกัน รับรองไม่นานหรอกค่ะ” พูดจบเจ้าตัวก็ผลุบเข้าห้องนอนของตนไป แล้วเหมือนจะนึกอะไรได้ ใบหน้ารูปไข่ก็โผล่ออกมาอีกครั้ง

“ป้าตาบคะ แถวบ้านเรามีผู้หญิงชื่อเดือนหรือเปล่า”

“เดือนหรือคะ”

“ค่ะ” แก้มแหม่มพยักหน้าหงึกๆ “ชื่อเดือน สวยๆ หน่อย”

“เอ...ถ้าชื่อเดือน แถวบ้านเราก็มีอยู่คนเดียวนะ ลูกยายสุขไงคะคุณชมพู่”

แก้มแหม่มส่ายหน้าทันที เดือนลูกยายสุขเธอรู้จัก ไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้นแน่ๆ

“ไม่มีคนอื่นแล้วหรือคะ”

ป้าตาบคิดอยู่ครู่เดียวเท่านั้นก็ปฏิเสธทันที

“หรือคะ” แก้มแหม่มกัดริมฝีปากอย่างครุ่นคิด และท่าทางอย่างนั้นก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของคนที่เลี้ยงกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกไปได้

“มีอะไรหรือเปล่าคะ”

“ไม่ค่ะ ไม่มี” หญิงสาวปฏิเสธเร็วรี่ แล้วผลุบหายเข้าไปในห้องนอนของตน เป็นการตัดบทกลายๆ

แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร...คิ้วเรียวกดเข้าหากันอย่างครุ่นคิด แต่ทั้งภาพและความรู้สึกทำไมเหมือนจริงจนเธอไม่อาจคิดว่าเป็นแบบนั้นได้

เราแค่ฝันไปจริงๆ ละหรือ

คงเป็นอย่างนั้นละ บางทีการนอนในยามที่คนโบราณห้ามเพราะตะวันจะทับตา คงทำให้เธอฝันเป็นตุเป็นตะไปจริงๆ








เนตรนภัส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ก.ค. 2560, 14:13:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ก.ค. 2560, 14:13:04 น.

จำนวนการเข้าชม : 930





<< บทที่ 3   บทที่ 5 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account