Crazy Love Song เพลงรักลวงใจ
เธอ ฝันอยากจะเป็นนักร้อง เลือกเดินหนีจากทุกสิ่งเพื่อไขว่คว้าหาอิสระ
เขา นักดนตรีผู้ไร้ความฝัน เลือกเดินหนีจากทุกอย่างเพื่อไขว่คว้าหาที่พักของหัวใจ


พวกเขาจะพากันหนีไปจนสุดขอบฟ้า... หรือว่าจะดิ่งลงเหวไปด้วยกัน


Tags: วัยรุ่น,ดราม่า,ดนตรี,วง,รัก,ดาร์ก

ตอน: บทเพลงที่ 4

บทเพลงที่ 4

Free my soul




บางทีพ่ออาจจะกำลังฝันอยู่ก็ได้ล่ะมั้ง ถึงได้พูดกรอกหูว่าจะให้ฉันเข้านิติให้ได้ไม่หยุด แต่มันทำให้ฉันต้องรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อยว่ามันอาจจะกลายเป็นความเป็นจริงขึ้นมา เพราะว่าทั้งพ่อและแม่ของฉันต่างก็เป็นผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งในสังคม คงจะสามารถใช้อำนาจและเงินเพื่อแลกกับสิ่งที่ตัวเองต้องการได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร แล้วในหลายวันที่ผ่านมานี้ ทั้งคู่ก็เอาแต่โทรศัพท์ติดต่อหาใครบางคนอยู่บ่อยๆ พร้อมกับพูดเสนอเรื่อง ‘ราคา’ ออกมาอีกด้วย



ฉันไม่สนใจว่าพ่อกับแม่กำลังวุ่นวายทำอะไรสักอย่างอยู่ เมื่อไหร่ที่ทั้งสองคนกำลังง่วนอยู่กับงานฉันก็จะแอบปีนรั้วบ้านออกไปที่เดอะมิราเคิลซึ่งเป็นที่ที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองมีตัวตนและเป็นอิสระได้อย่างแท้จริง



เพราะว่าที่นั่น ฉันไม่ใช่ ‘เงา’ ติดตามใครบางคนอยู่ แต่ฉันเป็นตัวของฉันเอง



“เดย์หมายถึงเรื่องยัดเงินใต้โต๊ะใช่มั้ยล่ะ” โจ้โพล่งออกมาทันทีที่ฉันเล่าเรื่องพ่อกับแม่ของตัวเองจบ “พ่อแม่ฉันก็ยัดเงินให้ฉันเข้าโรงเรียนม.ปลายดังๆ เหมือนกัน เรื่องปกติธรรมดาเลย เมื่อตอนนั้นนะ ฉันจำได้ว่าต้องไปสอบเข้าพร้อมกับคนอื่นๆ นี่แหละ แต่ผลออกมาปรากฏว่าฉันไม่ติด เฉียดไปสิบกว่าคนเอง แต่สุดท้ายพ่อแม่ก็ยัดเงินเอาฉันเข้าโรงเรียนจนได้”



“เรื่องยัดเงินใต้โต๊ะนี่ฉันไม่รู้แฮะ ไม่ได้มีเงินเยอะขนาดนั้น” บอยพูดต่อขณะเทไวน์แดงใส่แก้วทีละใบ จากนั้นก็ยื่นแก้วส่งให้แต่ละคน รวมทั้งฉันด้วย “แต่ตอนเข้าม.ปลายก็เคยได้ยินมาจากคนอื่นๆ เหมือนกัน ว่ามีพ่อเพื่อนใครสักคนเนี่ยแหละไปก้มหัวขอกู้เงินนอกระบบเพื่อเอามาให้กับทางโรงเรียน”



“แค่ข่าวลือรึเปล่าวะไอ้บอย” โน้ตหันมาแย้งเขา



“มึงก็อยู่โรงเรียนเดียวกับกู มึงไม่เคยได้ยินได้ไงวะ”



“กูสนแต่สาวๆ ว่ะ” โน้ตตอบพร้อมกับยักคิ้วกวนประสาทไปให้บอย เรียกเสียงหัวเราะจากคนอื่นๆ ที่นั่งล้อมวงกันอยู่ โดยที่เสียงผิวปากของโจ้นำโดดออกมาอยู่เสียงเดียว



“เออ กูมันเป็นคนจริงจัง แต่เรื่องจำนวนแฟนนี่ ทั้งมึงและกูคงไม่มีใครสู้ไอ้โจ้ได้แล้วล่ะ”



“อ้าวเฮ้ย ทำไมโยนมาที่กูได้วะเนี่ย” โจ้โวย ก่อนจะตามมาด้วยเสียงหัวเราะของทุกคนทันที



ฉันรู้มาจากบอยว่าโน้ตชอบจีบคนโน้นคนนี้ไปทั่ว แต่ก็ไม่เคยมีแฟนเป็นตัวเป็นตนกับเค้าซะที เพราะว่าจีบไม่ติด ได้แต่ปากหวานจนเลี่ยน เรียกได้ว่าหน้าหม้ออย่างเดียว ส่วนโจ้นั้นเนื้อหอมที่สุดแล้ว ไม่เคยจีบใครก่อน มีแต่พวกผู้หญิงที่เป็นฝ่ายมาขอคบด้วย แต่เขาก็เปลี่ยนแฟนทุกๆ สามเดือน ไม่เคยคบใครจริงจัง



แต่พอฉันถามถึงไนท์ บอยกลับบอกแค่ว่าเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะว่าไนท์ค่อนข้างเก็บตัว ไม่ค่อยสุงสิงกับใครสักเท่าไหร่ พวกเขาอยู่วงเดียวกันอยู่แล้วสามคน แล้วโจ้ก็ชวนไนท์เข้ามาเป็นคนสุดท้ายหลังจากที่เห็นไนท์โซโล่กีตาร์ประจำอยู่ที่นี่ แล้วพวกเขาติดใจฝีมือกับเพลงของไนท์ ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกผิดหวังน้อยๆ เพราะว่าฉันอยากจะรู้อะไรเกี่ยวกับเขามากกว่านี้



“แล้วเดย์คิดว่าไงบ้างล่ะ จะทำยังไงถ้าพ่อแม่เอาเธอเข้าคณะนิติได้จริงๆ” ไนท์หันมาทางฉัน เสียงเรียบของเขาเอ่ยถามขึ้นแทรกเสียงพูดคุยเฮฮาของคนอื่นๆ ทำให้ฉันกระพริบตาสองสามที มองเขาอย่างแปลกใจ ไม่คิดว่าจะมีใครย้อนกลับมาถามความเห็นของฉันเกี่ยวกับเรื่องนี้



“ไม่ว่ายังไงฉันก็จะไม่ยอมไปเรียนแน่” ฉันตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่นอย่างมั่นใจ “ฉันไม่ได้อยากเรียนกฎหมาย แล้วก็คงทะเลาะกับพ่อทุกวัน อาจจะโดนลากไปที่มหาลัยทุกเช้าเลยก็ได้”



รู้สึกไม่ชินเลยแฮะ แม้ว่าฉันจะเป็นฝ่ายเปิดประเด็นเล่าเรื่องของตัวเองก่อนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยมีใครย้อนกลับมาถามว่าฉันคิดยังไงมาก่อน ไม่มีใครเลยนอกจากพลอย



และไนท์



“มาร้องเพลงกันดีกว่า คืนนี้ไม่เละไม่กลับโว้ย” โจ้ลุกขึ้นยืนพร้อมกับประกาศเสียงดัง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเฮลั่นห้องของคนอื่นๆ ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันใด เพราะว่าฉันเองก็อยากจะร้องเพลงด้วยเช่นกัน



“วันนี้ฉันขอร้องสิบเพลง” ฉันวิ่งไปที่ไมค์ก่อนเป็นคนแรกด้วยยิ้มแป้น ส่งเสียงหัวเราะคิกคักไปด้วยอย่างนึกสนุก



“เธอเอาแต่ร้องเพลงของวงไอ้โจ้มันอย่างเดียวเลยนี่นา” เสียงแย้งดังมาจากเพื่อนสาวคนหนึ่งของโน้ต ซึ่งฉันจำชื่อของอีกฝ่ายไม่ได้ ในบรรดาคนจำนวนหลายสิบคนที่อยู่ในห้องนี้ ฉันจำชื่อได้แค่ไม่กี่คนเท่านั้น แต่พวกเรากลับพูดคุยกันอย่างเฮฮาราวกับว่าเป็นเพื่อนสนิทกันมาสิบปี เหมือนกับว่าที่นี่ทำให้ฉันรู้สึกว่าทุกคนเป็นมิตรแท้ ซึ่งอาจจะเป็นผลมาจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ด้วยส่วนหนึ่ง



...หรือบางทีอาจจะทั้งหมด



แต่ไม่ว่าจะยังไง ฉันก็ไม่สนใจอยู่ดี เพราะว่าตอนนี้ฉันจะร้องเพลง



“ก็ฉันชอบนี่ ฉันชอบเพลงของวง May-B ที่สุดเลย!” ฉันยิ้มกว้างอย่างมีความสุขที่จะร้องเพลงของวงสุดโปรดของตัวเอง แล้วเริ่มเปล่งเสียงร้องออกมาโดยไม่สนใจว่าจะมีเสียงดนตรีประกอบควบคู่ด้วยหรือไม่ ฉันมั่นใจในเสียงของตัวเอง และฉันอยากจะร้องเพลง ไม่ว่าใครหรือสิ่งใดก็มาห้ามฉันไม่ได้



เสียงผิวปากร้องวี้ดวิ้วดังมาจากกลุ่มพวกผู้ชาย ส่วนกลุ่มผู้หญิงนั้นก็พากันตบมือประกอบเป็นจังหวะควบคู่ไปพร้อมกับเสียงร้องของฉัน จากนั้นบางคนก็เริ่มส่งเสียงร้องไปพร้อมๆ กับฉันด้วย



ฉันเคลื่อนตัวไปรอบๆ ห้องขณะเปล่งเสียงเพลงออกมาจากลำคอ รู้สึกเบาตัวราวกับกำลังร่ายรำอยู่บนก้อนเมฆสีขาว ระหว่างนั้นก็ปรายตาไปยังผู้ประพันธ์บทเพลงแสนไพเราะนี้ขึ้นมา



ไนท์อมยิ้มน้อยๆ เหมือนอย่างทุกทีขณะนั่งมองฉันขับเสียงเพลงไปเรื่อยๆ เขาหัวเราะเบาๆ เมื่อฉันเริ่มร้องเพลงที่สองซึ่งเป็นเพลงของเขาอีกเช่นกัน แต่พอฉันเลิกคิ้วไปให้เป็นเชิงถามว่าเขาขำอะไร ไนท์กลับหลุดขำพรืดออกมาอีกพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ เหมือนต้องการจะบอกปัดว่าไม่มีอะไร



ฉันหรี่ตาลงเล็กน้อย คิดจะหนีงั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องจะแสดงพลังนักตื๊อของตัวเองออกมาเสียแล้ว ดังนั้นหลังจากที่ร้องท่อนบริดจ์จบ ฉันจึงเปลี่ยนเนื้อร้องใหม่ซะเลย



“เก็บมันเอาไว้ แอบซ่อนหัวใจ ถึงแม้จะพยายามสักเท่าไหร่ สุดท้ายมันก็เป็นไปไม่ได้



ช่วยบอกฉันที ว่าฉันนั้นคิดอะไร ถึงแม้จะพยายามสักเท่าไหร่ สุดท้ายก็ปิดต่อไปไม่ไหว คำตอบที่อยู่ในใจฉัน”



ไนท์ทำตาโตเมื่อได้ยินเนื้อร้องที่ฉันเพิ่งแต่งออกมาเดี๋ยวนั้น สายตาของเขาเหมือนกับว่ากำลังรู้สึกชื่นชมฉันอยู่น้อยๆ แล้วพวกเราก็ประสานสายตากันและกันอยู่อย่างนั้นท่ามกลางเสียงปรบมือและเสียงผิวปากของคนอื่นๆ



พอฉันเริ่มร้องเพลงที่สามซึ่งเป็นเพลงของไนท์อีกเช่นเคย เขาก็หลุดขำพรืดออกมาอีก มันจึงยิ่งทำให้ฉันอยากรู้เข้าไปใหญ่ว่าเขาขำอะไรกันแน่



แต่ทันใดนั้นเอง อยู่ๆ โจ้ก็วิ่งเข้ามาแย่งไมค์ไปจากฉัน พร้อมกับขยิบตามาให้หนึ่งที



“หมดโควตาสำหรับวันนี้ ฉันขอต่อละนะเดย์”



ฉันหัวเราะเบาๆ ออกมา ขณะยืนมองเขาพุ่งตัวเข้าไปหากลุ่มของกลุ่มบอยกับโน้ตและคนอื่นๆ ที่กำลังปรบมือต้อนรับนักร้องคนใหม่



เมื่อโดนแย่งไมค์ไปแล้ว ฉันจึงหันขวับกลับไปที่ไนท์เหมือนเดิม พร้อมกับเดิมยิ้มแฉ่งเข้าไปหาเขาอย่างผู้ชนะ เพราะเขาคงจะหาทางเลี่ยงไม่ยอมตอบคำถามของฉันไม่ได้แล้ว



“นายขำอะไร ตอบมาซะดีๆ” ฉันนั่งลงข้างๆ ไนท์ หรี่ตามองเขา พลางอมยิ้มน้อยๆ ไปด้วย



“เปล่า ไม่มีอะไร” ชายหนุ่มยังคงบ่ายเบี่ยงพร้อมด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอ



“ตอบมาเลยนะ”



“ก็แค่...สมแล้วที่เธอเรียกตัวเองว่าเป็นคนบ้าเพลง” เสียงนุ่มยอมเอ่ยตอบกลับมาในที่สุด “ฉันไม่เคยเห็นใครร้องเพลงดูท่าทางมีความสุขแบบนั้นมาก่อนเลย”



คำตอบของเขาทำให้ฉันยิ้มกว้าง พร้อมกับหัวเราะคิกคักอย่างพึงพอใจ แล้วก็รู้สึกเขินไม่น้อยเพราะมันฟังดูเหมือนคำชม ดังนั้นฉันจึงเริ่มฮัมเพลงอีกเพลงหนึ่งของเขาออกมาอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะค่อยๆ เปล่งเสียงร้องออกมาเบาๆ ต่อจากนั้น โดยที่นอกจากไนท์แล้วคงไม่มีใครได้ยินเพราะว่าเสียงของฉันถูกกลบด้วยเสียงของโจ้จนหมด



“เธอเสียงดีนะ เหมาะที่จะเป็นนักร้องเลยล่ะ” ไนท์กล่าวชมพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นเหลือเกินในสายตาของฉัน พอได้ฟังคำชมจากไนท์แล้วฉันก็ต้องหลับตาปี๋ ฉีกยิ้มกว้างมากขึ้นอีกด้วยความเขินจัดจนแทบจะหุบยิ้มไม่ได้แล้ว แม้ว่าคนอื่นๆ จะชมว่าฉันเสียงดีด้วยเช่นกัน แต่ก็ไม่มีคำชมจากใครที่จะทำให้ฉันรู้สึกมีความสุขเท่านี้มาก่อนเลย



“เดย์เสียงเพราะจริงๆ นั่นแหละ” โจ้พูดขึ้นขณะเดินกลับมาหาพวกเราพร้อมกับบอย “น่าจะลองไปสมัครพวกรายการเรียลลิตี้ดูนะ”



หลังจากที่เขาร้องเพลงเสร็จ โน้ตก็รับหน้าที่เป็นมือเบสต่อ ไมค์จึงตกไปอยู่ในมือของสาวผมสีฟ้าซึ่งเป็นหนึ่งในเพื่อนของโน้ตแทน



“ไม่เอา” ฉันส่ายหน้าปฏิเสธ



“ทำไมล่ะ” บอยถามต่อแล้วนั่งลงพร้อมกับโจ้ที่พื้นว่างๆ ตรงหน้าฉันและไนท์



คำถามของเขาทำให้ฉันเงยหน้าขึ้น เหลือบสายตาไปยังเพดานสีครีมพร้อมกับพยายามนึกหาเหตุผลไปด้วย



“ไม่รู้สิ” สุดท้ายแล้วก็ต้องยิ้มจางๆ ออกมาอย่างยอมแพ้ เพราะว่าฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร รู้แค่ว่าฉันไม่ได้อยากโฆษณาตัวเอง ไม่ได้อยากเด่นดังเพราะออกทีวีหรือเป็นส่วนหนึ่งของรายการบันเทิง ฉันชื่นชมพวกไนท์ เพราะว่าพวกเขามีแฟนเพลงจากเพลงของเขาจริงๆ ไม่ได้ติดตามหรือชื่มชอบจากรายการทีวี หรือจากการเป็นกระแสในช่วงระยะเวลาหนึ่ง



เมื่อเห็นว่าฉันเงียบไปโจ้ก็ยักไหล่น้อยๆ เหมือนไม่ใส่ใจ แล้วเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นต่อ เขาพูดถึงเรื่องที่เขาเคยซื้อบัตรคอนเสิร์ตของนักร้องดังคนหนึ่งมาหลายสิบใบ เพื่อเอามาขายต่อในราคาสองเท่าตัวหลังจากที่บัตรขายหมดแล้ว จนถึงกับทำให้เขาได้เงินเพียบ จากนั้นบอยก็หันไปด่าเขาพร้อมกับส่ายหน้าไปมาเหมือนจะเอือมระอาในพฤติกรรมที่แสนจะเห็นแก่ตัวนั่น แต่โจ้กลับหัวเราะร่วนออกมา แล้วแก้ตัวว่าเขาเคยทำอยู่แค่หนเดียวเท่านั้นเอง



พวกเราคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ต่อไปเรื่อยๆ พลางฟังเพลงที่เพื่อนๆ ร้องกันเองไปด้วยอย่างสนุกสนาน ฉันกับโจ้ร้องเพลงกันอีกคนละเพลง โดยที่ฉันก็ยังคงร้องเพลงของไนท์อีกเช่นเคย ก่อนที่จะพากันหันไปรบเร้าให้บอยกับไนท์เลือกเพลงมาลองร้องเล่นดูบ้าง ไนท์ตอบปฏิเสธเสียงเรียบด้วยรอยยิ้มน้อยๆ แล้วไม่พูดอะไรอีก ส่วนบอยก็โวยวายออกมาว่ารำคาญ แต่ท่าทางหงุดหงิดของเขากลับยิ่งทำฉันรู้สึกว่าเขาน่าแกล้งมากกว่าเก่า ดังนั้นฉันกับโจ้จึงช่วยกันลากเขาออกมายืนกลางห้อง แล้วโจ้ก็วิ่งไปรอบๆ ห้องพร้อมกับตะโกนปลุกเร้าให้ทุกคนช่วยกันเปล่งเสียงตะโกน รบเร้าบอยให้ร้องเพลงให้จงได้ ในที่สุดบอยก็ต้องยอมแพ้จึงทำให้ฉันได้รู้ว่าเขาเสียงแย่มาก สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องกลับไปประจำที่เป็นมือกลองให้กับนักร้องคนถัดไปแทน



ช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีเวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบจะตีสี่ ดังนั้นหลายๆ คนจึงตัดสินใจว่าจะแยกย้ายกันกลับ แม้ว่าจะมีบางคนที่คิดจะนอนค้างที่นี่ต่อก็ตาม



“อ้าว ซึมเชียว เป็นอะไรไปเนี่ย” โจ้ร้องทักหลังจากที่เงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นว่าฉันนั่งก้มหน้าอยู่ เขากำลังนั่งยองๆ อยู่ที่พื้น คอยเก็บพวกกระป๋องเบียร์และถุงขนมที่ระเกะระกะจนดูเกลื่อนกลาดไปทั่วใส่ถุงขยะ



“ฉันไม่อยากกลับบ้านน่ะ กลับไปก็ต้องโดนพ่อด่าอีก” ฉันยักไหล่ก่อนจะถอนหายใจยาวออกมาอย่างเซ็งๆ พลางคิดไปถึงวันก่อนๆ ที่ฉันกลับจากเดอะมิราเคิลแล้วถูกพ่อด่าลั่นบ้านอยู่นานเป็นชั่วโมง เป็นแบบนี้ทุกเช้าเลย ไม่รู้จะด่าอะไรกันนักกันหนา ฉันก็ไม่ได้อยากจะกลับไปบ้านนักหรอก แค่ใช้ซุกหัวนอนและโผล่หน้าไปให้พ่อเห็นเพื่อที่จะได้ไม่ถูกระงับบัตรเท่านั้นนั่นแหละ ถ้าพ่อไม่ขู่ว่าจะระงับบัตรนะ ฉันเผ่นไปไกลแล้ว น่าเจ็บใจจริงๆ ที่ต้องมาง้อพ่อ อีกทั้งยังต้องทนฟังคำด่ากราดอยู่ทุกวี่ทุกวันอยู่แบบนี้



“ถ้างั้นเดย์ไปกับพวกเราต่อมั้ยล่ะ” โจ้เอ่ยคำชวนเสียงใส เรียกให้ฉันหันไปมองเขาด้วยความสนใจทันที



“อ้าวเฮ้ย พวกกูบอกว่าจะไปค้างบ้านมึงไง พรุ่งนี้ต้องรีบไปแต่เช้า” บอยแย้งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง พร้อมกับพะเยิดหน้าไปทางโน้ตที่นอนสลบอยู่บนโซฟาหลังจากวิ่งเข้าไปอาเจียนในห้องน้ำเป็นสิบรอบ ฉันเห็นเขาดื่มออนเดอะร็อกเข้าไปหลายช็อตเหมือนกัน ซึ่งฉันเองก็อยากลองชิมวิสกี้เพียวๆ ดูบ้าง แต่เป็นเพราะว่าฉันมัวแต่ร้องเพลงแล้วก็คุยอยู่กับพวกโจ้ จึงไม่ได้มีโอกาสได้ลิ้มรสเครื่องดื่มต่างๆ สักเท่าไหร่



“พรุ่งนี้จะไปไหนกันเหรอ” ฉันเอ่ยถามอย่างสนใจ ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นโน้ตค่อยๆ ไหลลงจากโซฟามากองอยู่ที่พื้น



“อยุธยาน่ะ แต่ฉันไม่ได้ไปนะ มีแค่ไอ้บอยกับไอ้โน้ต สองคนนั้นมันเป็นไกด์นำเที่ยว”



“แล้วโน้ตเมาเละขนาดนั้นจะไหวเหรอ” พอเห็นผู้เป็นเจ้าของชื่อพยายามตะเกียกตะกายจะกลับขึ้นไปบนโซฟาแล้ว ฉันก็ต้องหัวเราะคิกคักออกมาอีกรอบหนึ่ง



“ถึงจะเป็นตัวถ่วง แต่เดี๋ยวไอ้บอยมันก็คงจัดการทุกอย่างได้เองเหมือนที่ผ่านมานั่นแหละ ไม่ใช่ครั้งแรกซะหน่อย”



“อย่าว่าแต่พวกกูเลย มึงก็ด้วยนั่นแหละไอ้โจ้ วันนี้แฟนมาไม่ใช่รึไง” บอยสวนขึ้นมาเสียงแข็ง



“อ้าว วันนี้แล้วเหรอ” โจ้ทำเสียงเนือยอย่างไม่มีปฏิกิริยาทุกข์ร้อนหรือดีใจใดๆ ทั้งสิ้น “งั้นก็ยิ่งดีสิ ไปกันหลายๆ คนสนุกดี เดียร์เค้าไม่ว่าอะไรหรอก”



“ไอ้โจ้!” บอยตะโกนลั่นเหมือนหมดความอดทนเต็มที ซึ่งทำให้ฉันหลุดขำพรืดออกมาอีกให้กับการทะเลาะเบาะแว้งเหมือนเด็กๆ ของทั้งคู่



“เรื่องเยอะจริง” โจ้ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะหันไปทางไนท์ซึ่งกำลังช่วยคนอื่นๆ กวาดเศษอาหารออกจากโต๊ะใส่ถุงขยะอยู่ "ไอ้ไนท์ แกว่างสุดแล้ว รับเดย์ไปดูแลเลย”



“มะ...ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้มั้ง ฉันไปค้างที่โรงแรมก็ได้” ฉันรีบบอกปัดด้วยความรู้สึกเกรงใจ แม้ว่าอีกใจหนึ่งฉันก็อยากอยู่กับไนท์ต่อก็ตาม แต่เขาอาจจะรู้สึกรำคาญฉันหรือเปล่า



ไนท์หันมามองพวกเราด้วยสีหน้าแปลกใจนิดๆ แล้วยิ้มน้อยๆ เช่นเคย



“ได้สิ”



พอได้ยินเขาตอบตกลงกลับมา ฉันก็ไม่สามารถห้ามความรู้สึกโลดแล่นที่อยู่ภายในใจเอาไว้ได้ ฉันพยายามเม้มปากแน่นเพื่อห้ามรอยยิ้มของตัวเองเอาไว้ แต่แล้วก็ต้องยอมแพ้ ยิ้มกว้างออกมาด้วยความรู้สึกดีใจสุดขีด



เมื่อตกลงกันได้แล้ว พวกโจ้ก็ขอแยกตัวกลับกันก่อนเป็นกลุ่มแรก โดยที่บอยและโจ้ต้องคอยหิ้วปีกพาโน้ตออกไปข้างนอกเพราะว่าเขาเดินไม่ไหว ส่วนฉันกับไนท์ก็ช่วยคนอื่นๆ เก็บห้องต่อกันอีกสักพัก แล้วขอแยกตัวกลับบ้าง ฉันเดินตามไนท์ไปที่รถซึ่งจอดอยู่ตรงลานจอดรถด้านหลัง เขาบอกกับฉันว่ารถเป็นของบอย วันไหนที่บอยไปค้างบ้านโจ้ก็จะให้เขาเอารถกลับไปบ้านเขาก่อน แล้วค่อยเอามาคืนที่นี่วันหลัง



ฉันขึ้นไปนั่งฝั่งที่นั่งด้านข้างคนขับ และไม่คิดจะคาดเข็มขัดนิรภัยเพราะว่ามันทำให้รู้สึกรำคาญ



“เธอไปกับฉันแบบนี้ ไม่กลัวฉันเหรอ” ไนท์ขึ้นมานั่งประจำที่คนขับ พร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ เหมือนกับว่าเป็นการถามเล่นๆ



“ไม่กลัว” คนถูกถามตอบกลับไปอย่างมั่นใจพร้อมด้วยรอยยิ้มแป้น “เพราะฉันเชื่อใจนายไง”



และฉันรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ เขาเป็นคนที่ฉันชื่นชมมากที่สุดเลย



แต่แทนที่ไนท์จะยิ้มหรือหัวเราะออกมาตามที่ฉันคิดเอาไว้ เขากลับดูอึ้งๆ ไปเมื่อได้ยินคำตอบจากฉัน ซึ่งทำให้ฉันหุบยิ้มลงด้วยความงุนงงว่าเขาเป็นอะไร และพอเขาเห็นท่าทีแปลกใจของฉัน เขาก็กลับมายิ้มน้อยๆ เหมือนเดิม ฉันจึงหลุดขำพรืดออกมาเพราะปฏิกิริยาของเขาช้ามาก



หลังจากนั้นฉันก็ชวนไนท์คุยเรื่องเพลงต่อ ซึ่งเขาไม่ค่อยแสดงความคิดเห็นออกมาสักเท่าไหร่ แค่นั่งฟังฉันพูดและขับรถไปเรื่อยๆ ด้วยความเร็วปกติ



แต่พอขับไปได้สักพัก อยู่ๆ เขาหักพวงมาลัยเลี้ยวรถกลับไปทางเดิมอย่างกะทันหัน จนฉันตกใจเพราะว่าไม่ทันได้ตั้งตัว



“นอกจากพลอยแล้วเธอมีเพื่อนคนอื่นอีกมั้ย ไปบ้านเพื่อนอาจจะดีกว่านะ เดี๋ยวฉันจะขับไปส่ง”



ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองถูกกระชากอารมณ์จากความสบายใจมาเป็นประหลาดใจอย่างฉับพลัน พร้อมด้วยความกังวลที่ไหลพรั่งพรูเข้ามาไม่หยุด ทำไมอยู่ๆ เขาถึงเปลี่ยนใจจะพาฉันไปที่บ้านเพื่อนแทนล่ะ ฉันทำอะไรผิดไปหรือเปล่า หรือว่าเขาจะรำคาญที่ฉันพูดมาก



“ฉันมีแค่พลอยคนเดียวเท่านั้นแหละ แต่พลอยหักหลังฉัน เพราะฉะนั้นฉันจะไม่กลับไปง้อพลอยเด็ดขาด” ฉันตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แล้วนั่งเงียบไม่พูดอะไรต่ออยู่พักหนึ่ง ซึ่งไนท์ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเช่นกัน เมื่อทั้งรถตกอยู่ในความเงียบงันฉันจึงเริ่มรู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก



หลายนาทีต่อมาฉันก็ทนความรู้สึกกดดันและบรรยากาศอึมครึมภายในรถต่อไปไม่ไหว ฉันดูออกว่าไนท์ลำบากใจที่จะต้องพาฉันไปด้วย บางทีเขาอาจจะรำคาญฉันแล้วก็ได้



“...งั้นฉันไปค้างที่โรงแรมคงจะดีกว่า” ฉันโพล่งขึ้นมาทำลายความเงียบระหว่างพวกเราทั้งคู่ พร้อมกับเหลือบสายตาไปมองเขา “แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันไม่เชื่อใจนายนะ”



ไนท์ยังคงใช้ความเงียบสื่อสารกับฉัน เขาไม่พูดอะไรแล้วขับรถต่อไปเรื่อยๆ จนฉันชักจะสงสัยว่าเขาโกรธอะไรฉันหรือเปล่า



หลังจากนั่งเงียบกันไปได้พักใหญ่ ไนท์ก็เลี้ยวรถเข้าไปในโรงแรมแห่งหนึ่งซึ่งคงเป็นโรงแรมที่อยู่ใกล้ที่สุด เขาจอดรถตรงหน้าโรงแรมแล้วลงจากรถมาพร้อมกับฉัน ต่อจากนั้นพวกเราเดินไปที่เคาน์เตอร์ต้อนรับของโรงแรมเพื่อเปิดห้องพักหนึ่งคืน



“ขอบคุณที่พาฉันมาส่งนะ” ฉันกระซิบบอกคนข้างกายขณะยืนรอพนักงานทำรายการข้อมูล “นายกลับเลยก็ได้นะ เหลือแค่จ่ายเงินเท่านั้นเอง”



“เดี๋ยวฉันออกค่าห้องให้”



“ไม่ต้องหรอก ฉันออกเองได้”



แม้ว่าฉันจะบอกปัดไปอย่างชัดเจนแล้ว แต่ไนท์ก็ยังคงมีท่าทีลังเลอยู่ดี เขาควักกระเป๋าเงินของตัวเองออกมา ทำท่าเหมือนจะหยิบเงินออกจากกระเป๋า แต่แล้วก็ชะงักไป เหมือนกำลังลังเลอยู่ว่าจะออกค่าห้องให้ฉันดีมั้ย



จนในที่สุดเขาก็เก็บกระเป๋าเงินไป แล้วหันหลังเดินจากฉันไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ฉันยืนมองเขาเดินห่างออกไปด้วยความงุนงง รวมทั้งยังกลุ้มใจด้วย เพราะไม่รู้ว่าเขาโกรธฉันเรื่องอะไร



########

//โปรดติดตามตอนต่อไป//




LazyMe
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ก.ค. 2560, 00:00:11 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ก.ค. 2560, 00:00:11 น.

จำนวนการเข้าชม : 708





<< บทเพลงที่ 3    บทเพลงที่ 5 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account