เจ้าชายในฝัน
เจ้าชายคนรองแห่งอียิปต์ต้องปลอมตัวออกตามหา กาฬศิลา เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน ทว่า ใครจะรู้เล่า ระหว่างการเดินทางนั้น หัวใจของพระองค์ก็ถูกพิสูจน์ด้วยเช่นกัน
Tags: อียิปต์ ฟาโรห์ ย้อนยุค ทะเลทราย เจ้าชาย
ตอน: ตอนที่ 2(2)
บ้าน หรือ โรงเบียร์ นั้น มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า น่าจะเป็นบ้านที่ใหญ่ที่สุดในละแวกนี้แล้ว ราวสองในสามของพื้นที่ทั้งหมดจัดเป็นที่อยู่ของเจ้าของและโรงเบียร์ อีกส่วนหนึ่งซึ่งกั้นไว้ด้วยรั้วเตี้ย ๆ เป็นที่อยู่ของคนงานและสัตว์เลี้ยง
อินเนเฟอร์เดินนำผู้มาใหม่ไปยังริมบ่อน้ำเล็กๆ ที่ขุดไว้หน้าบ้าน หญิงสาวนั่งลงบนตั่งเตี้ยในขณะที่ชายหนุ่มนั่งลงกับพื้นในท่าขัดสมาธิ มิได้คุกเข่าอย่างบ่าวคนอื่นทำ
“เจ้าเคยร่วมรบกับพี่ชายข้าที่คาร์กา[1]ใช่ไหม”
นางเอ่ยถาม ท่าว่าจะอยากให้เขาเล่าเรื่องราวให้ฟังโดยละเอียด
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ก่อนเล่าเรื่องการรบที่คาร์กา โอเอซิสกลางทะเลทรายตะวันออกที่ใหญ่ที่สุดของอียิปต์ ซึ่งถูกพวกเมเวชหรือชาวลิเบียเข้าโจมตีอยู่เป็นประจำ ศึกใหญ่ที่คาร์กาครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อราวห้าปีที่แล้ว ในยามนั้นเจ้าชายเซติซึ่งมีพระชนม์เพียงสิบเจ็ดชันษาได้นำทัพไปช่วยทหารประจำป้อมที่คาร์กาจนขับไล่พวกเมชเวชได้อย่างเด็ดขาด จนเป็นที่มาของสมัญญา ‘กริชแห่งอียิปต์’ ที่ทำให้นามของพระองค์เป็นที่ขจรขจายในฐานะจอมทัพแห่งอียิปต์จนทุกวันนี้
ในครั้งนั้น ฮัตเนเฟอร์ แม้มีหน้าที่หลักคือต่อรถศึก แต่ก็ได้เข้าร่วมรบอย่างกล้าหาญ และเป็นหนึ่งในกองกำลังที่มาช่วยเจ้าชายไว้ในจังหวะหนึ่งซึ่งถูกข้าศึกลอบทำร้าย ซาทนำเอาจังหวะนี้มาเล่าให้อินเนเฟอร์ฟัง เพียงแต่สับเปลี่ยนตัวเอง จากเจ้าชายผู้เคยถูกช่วยเหลือเป็นหนึ่งในคนที่ให้ความช่วยเหลือแทน
หญิงสาวฟังแล้วมีสีหน้ายินดีและภาคภูมิใจยิ่ง ดวงตาของนางเป็นประกายราวเด็กน้อยได้ฟังนิทานถูกใจไม่รู้เบื่อ
“เจ้าเป็นทหารกล้าขนาดนั้น แล้วเหตุใดมาตกอับเช่นนี้ได้เล่า”
บ่าวคนเดิมที่เคยมองเขาอย่างขับไล่เอ่ยปากถาม แม้น้ำเสียงของนางจะฟังอ่อนลง แต่วาจายังโผงผางตรงไปตรงมาเช่นเคย
ซาทไม่ได้ตอบ ทำเพียงก้มหน้าให้ดูเหมือนกำลังกระอักกระอ่วนใจ
“ตูตูยา” อินเนเฟอร์เรียกบ่าวเป็นเชิงปราม ก่อนทำท่านึกบางอย่างขึ้นได้ “จริงสินะ เจ้าชื่ออะไรรึ”
“ซาท”
อินเนเฟอร์ทวน “ซาท ...แล้วเจ้าทำอะไรได้บ้างเล่า”
“ข้าดูแลม้าเป็น”
“บ้านนี้มีม้าที่ไหนเล่า”
ตูตูยาแทรกอีกครั้ง ชายหนุ่มนึกรำคาญแต่ไม่ว่าอันใด
“เอาเถิด ประเดี๋ยวก็คงมีงานที่เหมาะกับเจ้า”
เจ้าของบ้านพูดเช่นนี้แปลว่าจะรับเขาไว้แน่แล้ว ตูตูยาหน้างอถอนหายใจดัง ๆ นางก็ไม่ผิดหรอก การระแวดระวังเป็นสิ่งดี อินเนเฟอร์ต่างหากที่ใจอ่อนและมองโลกในแง่ดีเกินไป ซาทอดคิดไม่ได้ว่าหากเขาเป็นคนร้าย อะไรจะเกิดขึ้นกับนางบ้างหนอ
“แต่ที่พักคนงานชายเต็มแล้วนะเจ้าคะ คุณหนู”
ตูตูยาคนเดิมแจ้ง ดูท่านางจะเป็นคนสนิทที่มีสิทธิ์มีเสียงพอสมควร
อินเนเฟอร์หยุดคิดสักพักก่อนเอ่ย
“ในห้องเก็บเครื่องดินเผายังมีที่ว่างอยู่มิใช่รึ เมื่อวันก่อนเราก็เพิ่งเข้าไปจัด สัตว์ร้ายก็คงยังไม่ทันมี ให้เขาไปพักที่นั่นก่อนก็แล้วกัน แต่คงไม่เป็นส่วนตัวบ้างเจ้าคงไม่ถือกระมัง”
ประโยคสุดท้ายหันมาพูดกับชายหนุ่ม ซึ่งเขาก็พยักหน้าเป็นอันไม่ว่ากระไร อินเนเฟอร์จึงบอกให้บ่าวคนสนิทจัดแจงพาผู้มาใหม่ไปยังที่พัก ซึ่งตูตูยาก้มหน้ารับคำอย่างเสียมิได้
“มาสิ”
นางกล่าวห้วน ๆ ก่อนลุกเดินนำไปอย่างเหมือนไม่อยากให้เขาตามทัน
ห้องเก็บเครื่องดินเผาที่ว่านั้นอยู่ในอาคารดินฉาบปูนขนาดเล็กข้างโรงหมักเบียร์ หลังคามุงด้วยหญ้าฟาง มีผ้าผืนใหญ่เก่า ๆ ผืนหนึ่งซึ่งบัดนี้ถูกมัดไว้หลวม ๆ แบบไม่ใส่ใจนักขึงห้อยจากหลังคาไว้แทนประตูกั้นทางเข้าออก
เมื่อเข้าไปข้างในก็พบว่าสองในสามของพื้นที่ด้านหนึ่งเป็นที่วางเครื่องดินเผา อย่างพวกไห เหยือกขนาดต่าง ๆ รวมทั้งจาน ชาม หรือขวดเล็ก ๆ ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นที่ว่างไม่กว้างนัก แค่พอวางของพักหรือนั่งได้ ชายหนุ่มเดาว่าที่ว่างนั้นแล คือที่นอนของเขา
“นี่แหละ” ตูตูยายืนยันความคิดของเขาด้วยการบอกพร้อมชี้มือไปยังที่ว่างนั่น “ประเดี๋ยวข้าจะเอาเสื่อกับพวกที่นอนมาให้ก็แล้วกัน”
ซาทเดินไปวางห่อผ้าของตนไว้ตรงที่ว่างราวกับจะประกาศความเป็นเจ้าของ ในห้องนี้ยามกลางวันร้อนนัก ยามกลางคืนก็คงหนาวจัดเช่นกัน
“คุณหนูยังอ่อนต่อโลกนัก เพิ่งได้ออกมาอยู่เพียงลำพังก็ช่วงนี้” อยู่ ๆ ตูตูยาก็เอ่ยลอย ๆ มองเขาแบบไม่เต็มตานัก “จริง ๆ เจ้าน่าจะได้ออกไปอยู่นอกรั้วกับคนอื่น ๆ ด้วยซ้ำ แต่บอกไว้ก่อนนะว่าคุณหนูไม่ได้อยู่บนเรือนคนเดียวหรอก ข้านอนอยู่กับนางด้วย”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองคนพูด ทำท่ารับรู้เหมือนไม่ใส่ใจนักแม้จะรู้ทันที่ว่านั่นเป็นทั้งคำปรามและคำขู่ของคนที่กำลังระแวดระวังเสมอ
“เจ้าเป็นนักรบมาก่อนแน่หรือ”
“ใช่”
หญิงสาวมองเขาหัวจรดเท้า ก่อนถามในสิ่งที่ยังคงสงสัยอยู่
“ทำไมมาเร่รอนเช่นนี้เล่า”
“ข้าไม่ได้สังกัดกองทัพใด”
เขาตอบสั้น ๆ ทหารที่สังกัดกองทัพจะถือว่าเป็นคนของหลวงที่จะได้รับการเลี้ยงดูอยู่เสมอแม้ไม่ออกศึก ทว่าหากไม่ได้สังกัด ก็อาจเป็นพวกราษฏรที่โดนเกณฑ์ไปทำศึก หรือไม่ก็ทหารรับจ้างที่จะต้องหาเลี้ยงชีพด้วยตนเอง
ตูตูยาพยักหน้ารับ “เสียดายนะ เจ้ามีวีรกรรม น่าจะได้สังกัด”
นางเชื่อเช่นนั้น ...ก็ดีแล้ว จะได้หมดคำถามเสียที
ครั้นแล้วบ่าวสาวก็แนะนำการใช้ชีวิตประจำวันสำหรับพวกบ่าวในบ้านอีกเล็กน้อย ก่อนหายออกไปแล้วกลับมาในเวลาไม่นานนักพร้อมกับบ่าวรุ่นสาวอีกคนที่ดูอ่อนเยาว์ อายุอานามไม่น่าเกินสิบห้าปีหอบเสื่อและผ้าห่มสีมอมาให้
บ่าวสาวน้อยวางของทั้งหมดลงตามที่ตูตูยาชี้สั่งพร้อมกับลอบมองเขาด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น ครั้นเรียบร้อยแล้วก็ยังไม่ยอมออกไป จนคนสนิทของนายใหญ่เอ็ด
“เอ้า ยืนทำไมอยู่เล่า”
“ท่านพี่ชื่ออะไรหรือเจ้าคะ”
นางเอ่ยเสียงหวาน ตูตูยาครางอย่างระอาก่อนตอบเสียงเอง
“ซาท”
“ข้าชื่อ...”
“พอ” ตูตูยาหยุดสาวน้อยไว้ “ประเดี๋ยวตอนเย็นก็ได้กินอาหารรวมกัน อยากพูดอยากคุยอะไรก็เอาไว้ตอนนั้นเถอะ ...หนอย แตกเนื้อสาวไม่ทันไรก็จะให้ท่าพ่อชายเลยนะเจ้า”
เด็กสาวยิ้มเขิน ๆ แต่ตายังมอง ‘พ่อชาย’ ไม่วาง
“พี่ชายท่านนี้รูปร่างแข็งแรงใหญ่โตล่ำสัน ถ้าไม่มีรอยบากบนใบหน้าคงงามน่าดูนะเจ้าคะ”
น้ำเสียงนางประจบและทอดไมตรีอย่างเห็นได้ชัด ซาทเพียงยิ้มน้อย ๆ นางผู้นี้ยังเด็กพอที่จะคิดว่าการพูดเช่นนี้กับเพศตรงข้ามเป็นเรื่องสนุก แต่ตูตูยาไม่คิดเช่นนั้น หญิงสาวผลักหลังคนอ่อนวัยกว่าออกไปทางช่องประตู ก่อนหันกลับมาบอกชายหนุ่ม
“ตอนเย็นไปรับอาหารที่โรงครัวหลังรั้วนะ”
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[1] โอเอซิสคาร์กา เป็นโอเอซิสที่ใหญ่ที่สุดทางตะวันออกของอียิปต์ เป็นที่พักหลักของชาวทะเลทราย ในอดีตมักจะถูกบุกปล้นและโจมตีโดยชาวลิเบีย หรือที่ชาวอียิปต์โบราณเรียกว่า พวกเมชเวช
อินเนเฟอร์เดินนำผู้มาใหม่ไปยังริมบ่อน้ำเล็กๆ ที่ขุดไว้หน้าบ้าน หญิงสาวนั่งลงบนตั่งเตี้ยในขณะที่ชายหนุ่มนั่งลงกับพื้นในท่าขัดสมาธิ มิได้คุกเข่าอย่างบ่าวคนอื่นทำ
“เจ้าเคยร่วมรบกับพี่ชายข้าที่คาร์กา[1]ใช่ไหม”
นางเอ่ยถาม ท่าว่าจะอยากให้เขาเล่าเรื่องราวให้ฟังโดยละเอียด
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ก่อนเล่าเรื่องการรบที่คาร์กา โอเอซิสกลางทะเลทรายตะวันออกที่ใหญ่ที่สุดของอียิปต์ ซึ่งถูกพวกเมเวชหรือชาวลิเบียเข้าโจมตีอยู่เป็นประจำ ศึกใหญ่ที่คาร์กาครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อราวห้าปีที่แล้ว ในยามนั้นเจ้าชายเซติซึ่งมีพระชนม์เพียงสิบเจ็ดชันษาได้นำทัพไปช่วยทหารประจำป้อมที่คาร์กาจนขับไล่พวกเมชเวชได้อย่างเด็ดขาด จนเป็นที่มาของสมัญญา ‘กริชแห่งอียิปต์’ ที่ทำให้นามของพระองค์เป็นที่ขจรขจายในฐานะจอมทัพแห่งอียิปต์จนทุกวันนี้
ในครั้งนั้น ฮัตเนเฟอร์ แม้มีหน้าที่หลักคือต่อรถศึก แต่ก็ได้เข้าร่วมรบอย่างกล้าหาญ และเป็นหนึ่งในกองกำลังที่มาช่วยเจ้าชายไว้ในจังหวะหนึ่งซึ่งถูกข้าศึกลอบทำร้าย ซาทนำเอาจังหวะนี้มาเล่าให้อินเนเฟอร์ฟัง เพียงแต่สับเปลี่ยนตัวเอง จากเจ้าชายผู้เคยถูกช่วยเหลือเป็นหนึ่งในคนที่ให้ความช่วยเหลือแทน
หญิงสาวฟังแล้วมีสีหน้ายินดีและภาคภูมิใจยิ่ง ดวงตาของนางเป็นประกายราวเด็กน้อยได้ฟังนิทานถูกใจไม่รู้เบื่อ
“เจ้าเป็นทหารกล้าขนาดนั้น แล้วเหตุใดมาตกอับเช่นนี้ได้เล่า”
บ่าวคนเดิมที่เคยมองเขาอย่างขับไล่เอ่ยปากถาม แม้น้ำเสียงของนางจะฟังอ่อนลง แต่วาจายังโผงผางตรงไปตรงมาเช่นเคย
ซาทไม่ได้ตอบ ทำเพียงก้มหน้าให้ดูเหมือนกำลังกระอักกระอ่วนใจ
“ตูตูยา” อินเนเฟอร์เรียกบ่าวเป็นเชิงปราม ก่อนทำท่านึกบางอย่างขึ้นได้ “จริงสินะ เจ้าชื่ออะไรรึ”
“ซาท”
อินเนเฟอร์ทวน “ซาท ...แล้วเจ้าทำอะไรได้บ้างเล่า”
“ข้าดูแลม้าเป็น”
“บ้านนี้มีม้าที่ไหนเล่า”
ตูตูยาแทรกอีกครั้ง ชายหนุ่มนึกรำคาญแต่ไม่ว่าอันใด
“เอาเถิด ประเดี๋ยวก็คงมีงานที่เหมาะกับเจ้า”
เจ้าของบ้านพูดเช่นนี้แปลว่าจะรับเขาไว้แน่แล้ว ตูตูยาหน้างอถอนหายใจดัง ๆ นางก็ไม่ผิดหรอก การระแวดระวังเป็นสิ่งดี อินเนเฟอร์ต่างหากที่ใจอ่อนและมองโลกในแง่ดีเกินไป ซาทอดคิดไม่ได้ว่าหากเขาเป็นคนร้าย อะไรจะเกิดขึ้นกับนางบ้างหนอ
“แต่ที่พักคนงานชายเต็มแล้วนะเจ้าคะ คุณหนู”
ตูตูยาคนเดิมแจ้ง ดูท่านางจะเป็นคนสนิทที่มีสิทธิ์มีเสียงพอสมควร
อินเนเฟอร์หยุดคิดสักพักก่อนเอ่ย
“ในห้องเก็บเครื่องดินเผายังมีที่ว่างอยู่มิใช่รึ เมื่อวันก่อนเราก็เพิ่งเข้าไปจัด สัตว์ร้ายก็คงยังไม่ทันมี ให้เขาไปพักที่นั่นก่อนก็แล้วกัน แต่คงไม่เป็นส่วนตัวบ้างเจ้าคงไม่ถือกระมัง”
ประโยคสุดท้ายหันมาพูดกับชายหนุ่ม ซึ่งเขาก็พยักหน้าเป็นอันไม่ว่ากระไร อินเนเฟอร์จึงบอกให้บ่าวคนสนิทจัดแจงพาผู้มาใหม่ไปยังที่พัก ซึ่งตูตูยาก้มหน้ารับคำอย่างเสียมิได้
“มาสิ”
นางกล่าวห้วน ๆ ก่อนลุกเดินนำไปอย่างเหมือนไม่อยากให้เขาตามทัน
ห้องเก็บเครื่องดินเผาที่ว่านั้นอยู่ในอาคารดินฉาบปูนขนาดเล็กข้างโรงหมักเบียร์ หลังคามุงด้วยหญ้าฟาง มีผ้าผืนใหญ่เก่า ๆ ผืนหนึ่งซึ่งบัดนี้ถูกมัดไว้หลวม ๆ แบบไม่ใส่ใจนักขึงห้อยจากหลังคาไว้แทนประตูกั้นทางเข้าออก
เมื่อเข้าไปข้างในก็พบว่าสองในสามของพื้นที่ด้านหนึ่งเป็นที่วางเครื่องดินเผา อย่างพวกไห เหยือกขนาดต่าง ๆ รวมทั้งจาน ชาม หรือขวดเล็ก ๆ ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นที่ว่างไม่กว้างนัก แค่พอวางของพักหรือนั่งได้ ชายหนุ่มเดาว่าที่ว่างนั้นแล คือที่นอนของเขา
“นี่แหละ” ตูตูยายืนยันความคิดของเขาด้วยการบอกพร้อมชี้มือไปยังที่ว่างนั่น “ประเดี๋ยวข้าจะเอาเสื่อกับพวกที่นอนมาให้ก็แล้วกัน”
ซาทเดินไปวางห่อผ้าของตนไว้ตรงที่ว่างราวกับจะประกาศความเป็นเจ้าของ ในห้องนี้ยามกลางวันร้อนนัก ยามกลางคืนก็คงหนาวจัดเช่นกัน
“คุณหนูยังอ่อนต่อโลกนัก เพิ่งได้ออกมาอยู่เพียงลำพังก็ช่วงนี้” อยู่ ๆ ตูตูยาก็เอ่ยลอย ๆ มองเขาแบบไม่เต็มตานัก “จริง ๆ เจ้าน่าจะได้ออกไปอยู่นอกรั้วกับคนอื่น ๆ ด้วยซ้ำ แต่บอกไว้ก่อนนะว่าคุณหนูไม่ได้อยู่บนเรือนคนเดียวหรอก ข้านอนอยู่กับนางด้วย”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองคนพูด ทำท่ารับรู้เหมือนไม่ใส่ใจนักแม้จะรู้ทันที่ว่านั่นเป็นทั้งคำปรามและคำขู่ของคนที่กำลังระแวดระวังเสมอ
“เจ้าเป็นนักรบมาก่อนแน่หรือ”
“ใช่”
หญิงสาวมองเขาหัวจรดเท้า ก่อนถามในสิ่งที่ยังคงสงสัยอยู่
“ทำไมมาเร่รอนเช่นนี้เล่า”
“ข้าไม่ได้สังกัดกองทัพใด”
เขาตอบสั้น ๆ ทหารที่สังกัดกองทัพจะถือว่าเป็นคนของหลวงที่จะได้รับการเลี้ยงดูอยู่เสมอแม้ไม่ออกศึก ทว่าหากไม่ได้สังกัด ก็อาจเป็นพวกราษฏรที่โดนเกณฑ์ไปทำศึก หรือไม่ก็ทหารรับจ้างที่จะต้องหาเลี้ยงชีพด้วยตนเอง
ตูตูยาพยักหน้ารับ “เสียดายนะ เจ้ามีวีรกรรม น่าจะได้สังกัด”
นางเชื่อเช่นนั้น ...ก็ดีแล้ว จะได้หมดคำถามเสียที
ครั้นแล้วบ่าวสาวก็แนะนำการใช้ชีวิตประจำวันสำหรับพวกบ่าวในบ้านอีกเล็กน้อย ก่อนหายออกไปแล้วกลับมาในเวลาไม่นานนักพร้อมกับบ่าวรุ่นสาวอีกคนที่ดูอ่อนเยาว์ อายุอานามไม่น่าเกินสิบห้าปีหอบเสื่อและผ้าห่มสีมอมาให้
บ่าวสาวน้อยวางของทั้งหมดลงตามที่ตูตูยาชี้สั่งพร้อมกับลอบมองเขาด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น ครั้นเรียบร้อยแล้วก็ยังไม่ยอมออกไป จนคนสนิทของนายใหญ่เอ็ด
“เอ้า ยืนทำไมอยู่เล่า”
“ท่านพี่ชื่ออะไรหรือเจ้าคะ”
นางเอ่ยเสียงหวาน ตูตูยาครางอย่างระอาก่อนตอบเสียงเอง
“ซาท”
“ข้าชื่อ...”
“พอ” ตูตูยาหยุดสาวน้อยไว้ “ประเดี๋ยวตอนเย็นก็ได้กินอาหารรวมกัน อยากพูดอยากคุยอะไรก็เอาไว้ตอนนั้นเถอะ ...หนอย แตกเนื้อสาวไม่ทันไรก็จะให้ท่าพ่อชายเลยนะเจ้า”
เด็กสาวยิ้มเขิน ๆ แต่ตายังมอง ‘พ่อชาย’ ไม่วาง
“พี่ชายท่านนี้รูปร่างแข็งแรงใหญ่โตล่ำสัน ถ้าไม่มีรอยบากบนใบหน้าคงงามน่าดูนะเจ้าคะ”
น้ำเสียงนางประจบและทอดไมตรีอย่างเห็นได้ชัด ซาทเพียงยิ้มน้อย ๆ นางผู้นี้ยังเด็กพอที่จะคิดว่าการพูดเช่นนี้กับเพศตรงข้ามเป็นเรื่องสนุก แต่ตูตูยาไม่คิดเช่นนั้น หญิงสาวผลักหลังคนอ่อนวัยกว่าออกไปทางช่องประตู ก่อนหันกลับมาบอกชายหนุ่ม
“ตอนเย็นไปรับอาหารที่โรงครัวหลังรั้วนะ”
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[1] โอเอซิสคาร์กา เป็นโอเอซิสที่ใหญ่ที่สุดทางตะวันออกของอียิปต์ เป็นที่พักหลักของชาวทะเลทราย ในอดีตมักจะถูกบุกปล้นและโจมตีโดยชาวลิเบีย หรือที่ชาวอียิปต์โบราณเรียกว่า พวกเมชเวช
วินตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ก.ค. 2560, 14:06:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ก.ค. 2560, 14:06:33 น.
จำนวนการเข้าชม : 724
<< ตอนที่ 2 (1) | ตอนที่ 2 (3 - จบตอน) >> |