ในรอยกาล / เพิ่มตอนพิเศษ
“พี่พริษฐ์หยิบหีบใบนั้นให้ชมพู่หน่อย”
ชายหนุ่มขยับเข้ามาทันที พื้นที่แคบๆ ทำให้ต้องยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ในขณะแก้มแหม่มเขย่งก็แล้ว ยืดแขนจนแทบเป็นกระโดดก็แล้ว กลับยังเอาลงมาไม่ได้ แต่พริษฐ์สามารถทำให้หีบไม้ลอยมาอยู่ตรงหน้าเธอได้เพียงแค่ไม่กี่วินาที
หญิงสาวรับมาอย่างลิงโลด รีบก้มลงสำรวจทันใด ทว่าการหันหน้าเข้าหาชั้นวางของทำให้มีเงาพาดผ่าน ไม่สามารถมองลวดลายได้ถนัด แก้มแหม่มทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจจึงกลับหลังหันเข้าหาแสงไฟ แล้วก็ต้องตัวแข็งทื่อ แทนที่จะสว่างกลับมืดหนักเข้าไปอีก เมื่อมีกำแพงร่างกายบังเอาไว้
“พี่พริษฐ์” เธอครางเสียแผ่ว ความใกล้ชิดทำให้ไม่กล้าขยับตัว
เดินไปข้างหน้าก็ชนอกแกร่ง ครั้นจะถอยหลังก็ติดชั้นวางของ และถึงแม้แขนทั้งสองข้างของพริษฐ์ยังตกอยู่ข้างตัว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนโดนกอดกลายๆ
“ครับ”
เสียงขานรับดังอยู่ใกล้ๆ ราวกับเจ้าตัวโน้มหน้าลงมาคุยชิดกระหม่อมนี่เอง ความชิดใกล้ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แก้มแหม่มเริ่มทำอะไรไม่ถูก หูได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังมาก ราวกับวินาทีใดข้างหน้ามันจะหลุดออกมานอกอกประจานตัวเองให้ได้อาย
ใจจึงอยากผลักชายหนุ่มออกไปไกลๆ ให้พ้นตัวจะได้หายใจหายคอสะดวก แต่เสียงเล็กๆ อีกเสียงหนึ่งกลับสั่งห้ามไว้ แก้มแหม่มจึงยืนนิ่งก้มหน้างุดปล่อยให้ชายหนุ่ม ‘กอด’ อยู่อย่างนั้น
“มองพี่ได้ไหม”
นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม เพราะหลังจากนั้นคางมนก็ถูกช้อนขึ้นด้วยนิ้วมือแข็งแรง
ราวกับถูกร่ายมนตร์ ประกายบางอย่างซึ่งสะท้อนผ่านลูกแก้วสีดำคู่นั้นทำให้แก้มแหม่มอยากรู้ว่าคืออะไร จากที่ควรเบือนหลบก็จ้องนิ่งอยู่อย่างนั้น กระทั่งใบหน้าคมค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เธอก็ยังไม่ถอนสายตา
ตอนระยะห่างระหว่างกันเหลือไม่ถึงนิ้ว พริษฐ์ก็หยุดถามเสียงทุ้ม
“พี่จูบได้ไหม”
แก้มแหม่มน่าจะรู้ว่าคำถามของพริษฐ์ไม่เคยเป็นคำถามสักครั้ง สิ้นคำริมฝีปากอุ่นก็นาบลงมา คลอเคลีย หยอกเย้ากับริมฝีปากอิ่มราวภมรหนุ่มเลาะเล็มดื่มกินความหวานอย่างไม่รู้เบื่อ เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายสำลักลมหายใจ เขาก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย กระนั้นก็ยังไม่ยอมห่างไปไหน
เหมือนคนขาดอากาศหายใจมานาน พอได้รับอิสระแก้มแหม่มก็สูดลมเข้าปอดหนักๆ มือเล็กยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างเลื่อนลอย
ร่องรอยอ่อนหวานยังคงซ่านอยู่ตรงริมฝีปาก
เมื่อกี้เธอถูกจูบใช่ไหม
- * - * - เรื่องนี้รีอัปให้อ่านอีกรอบ และจะมีตอนพิเศษเพิ่มจากเดิม 3 ตอนค่ะ - * - * -
ชายหนุ่มขยับเข้ามาทันที พื้นที่แคบๆ ทำให้ต้องยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ในขณะแก้มแหม่มเขย่งก็แล้ว ยืดแขนจนแทบเป็นกระโดดก็แล้ว กลับยังเอาลงมาไม่ได้ แต่พริษฐ์สามารถทำให้หีบไม้ลอยมาอยู่ตรงหน้าเธอได้เพียงแค่ไม่กี่วินาที
หญิงสาวรับมาอย่างลิงโลด รีบก้มลงสำรวจทันใด ทว่าการหันหน้าเข้าหาชั้นวางของทำให้มีเงาพาดผ่าน ไม่สามารถมองลวดลายได้ถนัด แก้มแหม่มทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจจึงกลับหลังหันเข้าหาแสงไฟ แล้วก็ต้องตัวแข็งทื่อ แทนที่จะสว่างกลับมืดหนักเข้าไปอีก เมื่อมีกำแพงร่างกายบังเอาไว้
“พี่พริษฐ์” เธอครางเสียแผ่ว ความใกล้ชิดทำให้ไม่กล้าขยับตัว
เดินไปข้างหน้าก็ชนอกแกร่ง ครั้นจะถอยหลังก็ติดชั้นวางของ และถึงแม้แขนทั้งสองข้างของพริษฐ์ยังตกอยู่ข้างตัว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนโดนกอดกลายๆ
“ครับ”
เสียงขานรับดังอยู่ใกล้ๆ ราวกับเจ้าตัวโน้มหน้าลงมาคุยชิดกระหม่อมนี่เอง ความชิดใกล้ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แก้มแหม่มเริ่มทำอะไรไม่ถูก หูได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังมาก ราวกับวินาทีใดข้างหน้ามันจะหลุดออกมานอกอกประจานตัวเองให้ได้อาย
ใจจึงอยากผลักชายหนุ่มออกไปไกลๆ ให้พ้นตัวจะได้หายใจหายคอสะดวก แต่เสียงเล็กๆ อีกเสียงหนึ่งกลับสั่งห้ามไว้ แก้มแหม่มจึงยืนนิ่งก้มหน้างุดปล่อยให้ชายหนุ่ม ‘กอด’ อยู่อย่างนั้น
“มองพี่ได้ไหม”
นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม เพราะหลังจากนั้นคางมนก็ถูกช้อนขึ้นด้วยนิ้วมือแข็งแรง
ราวกับถูกร่ายมนตร์ ประกายบางอย่างซึ่งสะท้อนผ่านลูกแก้วสีดำคู่นั้นทำให้แก้มแหม่มอยากรู้ว่าคืออะไร จากที่ควรเบือนหลบก็จ้องนิ่งอยู่อย่างนั้น กระทั่งใบหน้าคมค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เธอก็ยังไม่ถอนสายตา
ตอนระยะห่างระหว่างกันเหลือไม่ถึงนิ้ว พริษฐ์ก็หยุดถามเสียงทุ้ม
“พี่จูบได้ไหม”
แก้มแหม่มน่าจะรู้ว่าคำถามของพริษฐ์ไม่เคยเป็นคำถามสักครั้ง สิ้นคำริมฝีปากอุ่นก็นาบลงมา คลอเคลีย หยอกเย้ากับริมฝีปากอิ่มราวภมรหนุ่มเลาะเล็มดื่มกินความหวานอย่างไม่รู้เบื่อ เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายสำลักลมหายใจ เขาก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย กระนั้นก็ยังไม่ยอมห่างไปไหน
เหมือนคนขาดอากาศหายใจมานาน พอได้รับอิสระแก้มแหม่มก็สูดลมเข้าปอดหนักๆ มือเล็กยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างเลื่อนลอย
ร่องรอยอ่อนหวานยังคงซ่านอยู่ตรงริมฝีปาก
เมื่อกี้เธอถูกจูบใช่ไหม
- * - * - เรื่องนี้รีอัปให้อ่านอีกรอบ และจะมีตอนพิเศษเพิ่มจากเดิม 3 ตอนค่ะ - * - * -
Tags: ในรอยกาล, เนตรนภัส, พริษฐ์, ชมพู่, แก้มแหม่ม,
ตอน: บทที่ 5
...๕...
เมื่อใกล้เวลานัด พริษฐ์ก็โทรศัพท์ไปหา ‘ตัวช่วย’ ของเขาอีกครั้งเพื่อความมั่นใจว่าไม่ต้องไปรอเก้อในขณะที่หญิงสาวยังไม่ตื่น เพราะเจ้าตัวออกปากไว้เองว่าเป็นคนไม่ชอบตื่นเช้า
สัญญาณโทรศัพท์ดังอยู่ไม่กี่ครั้งอีกฝ่ายก็กดรับ น้ำเสียงสดใสไม่งัวเงียทำให้เบาใจว่าเจ้าหล่อนตื่นแล้ว เขาไม่ได้โทร.ไปกวนเวลานอนของเธอแต่อย่างใด
แม้อีกฝ่ายเต็มใจช่วย แต่เขากับเธอก็ยังเรียกได้ว่าเป็นแค่คนแปลกหน้าอยู่ดี เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่อยากสร้างปัญหา
อีกฝ่ายนัดแนะให้ไปเจอที่ร้านขายต้นไม้ ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนสายหลัก ไม่ต้องเข้าตรอกซอกซอยเหมือนเรือนไทยหลังนั้น ดังนั้นไม่ต้องกลัวหลง และก็จริงดังว่า ออกจากโรงแรมแห่งเดียวในอำเภอ ใช้เวลาไม่เกินสิบนาทีเขาก็ขับรถมาจอดเลียบริมถนนหน้าร้านเรียบร้อยแล้ว
ร้านต้นไม้ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเรียกว่าเป็นร้านเล็กๆ คงไม่ได้ ด้วยอาณาบริเวณที่กว้างขวาง พรรณไม้นานาชนิดทั้งไม้ดอกและไม้ประดับวางเรียงรายเป็นหมวดหมู่ ไล่ระดับความสูงน่ามองน่าเลือกซื้อ ขยับไปหน่อยเป็นที่วางกระถางต้นไม้หลายขนาด ทั้งพลาสติกและกระถางดินเผา ติดๆ กันเป็นดินผสมสำเร็จ ส่วนอีกมุมมีของประดับและตกแต่งสวนให้เลือกซื้อ ทั้งหิน อิฐ ตอไม้ รวมทั้งตุ๊กตาดินปั้นหลายแบบวางเรียงราย เรียกได้ว่ามาร้านนี้ร้านเดียวก็ได้ของทุกอย่างตามต้องการเลย
พอเดินผ่านโซนต้นไม้ไปตามทางเดินโรยกรวดหยาบๆ ก็มีเด็กชายคนหนึ่งวิ่งออกมาต้อนรับ เขาเดาว่าคงเป็นคนเดียวกับที่ขับมอเตอร์ไซค์ไปรับหญิงสาวเมื่อคืน
“สวัสดีฮะ วันนี้พี่อยากได้ต้นอะไร”
“พี่ไม่ได้มาซื้อต้นไม้ แต่มาพบคุณชมพู่” เขาตอบ สายตาก็มองหาหญิงสาวไปด้วย
“หาพี่ชมพู่หรือฮะ ถ้าอย่างนั้นต้องรอแป๊บหนึ่งนะ ตอนนี้พี่ชมพู่ติดลูกค้าอยู่ เอ่อ...พี่ไปรอในร้านก่อนดีกว่าไหม ข้างนอกอากาศมันร้อน”
พริษฐ์มองตามท่าทางบุ้ยหน้าของเด็กชาย ‘ในร้าน’ คงเป็นห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ สีขาวตรงหน้า ขณะไม่มีลูกค้าหญิงสาวคงทำงานอยู่ตรงนี้ มองไปอีกทางก็เห็นเจ้าของร้านกำลังยืนคุยกับลูกค้าสูงวัย พอเธอหันมาเห็นเขาเข้าก็พยักหน้าให้ และชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปยังตัวห้องสีขาวนั้น คงให้ไปรอในร้านอย่างที่เด็กชายบอก
“ดีเหมือนกัน ว่าแต่เราชื่ออะไร”
“ยอดฮะ” เด็กชายตอบเสียงฉาดฉาน พร้อมกันนั้นก็ฉีกยิ้มจนเห็นฟันขาว ตัดกับสีผิวคล้ำแดด ดูไม่เหมือนคนเป็นพี่ที่ผิวออกสีน้ำผึ้งนวลเนียน
“คนเดียวกับที่ไปรับคุณชมพู่เมื่อคืนใช่ไหม” เขาถือโอกาสชวนคุยเพื่อฆ่าเวลา ในขณะเดินตามเด็กชายเข้าไปในร้าน “แล้วไม่ไปโรงเรียนหรือ”
“โรงเรียนปิดเทอมแล้วฮะ ผมเลยมาช่วยพี่ชมพู่เฝ้าร้าน เชิญฮะ” เด็กชายเปิดประตูให้แล้วเดินเลี่ยงไปเปิดตู้เย็นนำน้ำมาเสิร์ฟ
พริษฐ์มองไปรอบๆ ห้องนี้คงเป็นห้องทำงานกึ่งห้องพักผ่อน เพราะด้านหลังโต๊ะทำงานเขาเห็นเก้าอี้ผ้าใบแบบพับได้วางพิงผนังอยู่ เจ้าของห้องคงเอาไว้นอนเล่นเวลาไม่มีงาน เขานั่งลงตรงโซฟาตัวยาว ไม่นานยอดก็เอาน้ำเย็นมาเสิร์ฟ
“ขอบใจนะ”
“พี่รอตรงนี้ก่อนนะฮะ เดี๋ยวผมไปบอกพี่ชมพู่ให้อีกที แค่คุยเรื่องจัดสวน ไม่ต้องแพ็คต้นไม้ให้ลูกค้าใช้เวลาไม่มาก คงใกล้เสร็จแล้วละ”
“รับจัดสวนด้วยหรือ” พริษฐ์ถามอย่างแปลกใจ ร้านต้นไม้ของแก้มแหม่มใหญ่ก็จริง แต่เขาไม่เห็นคนงานสักคน ดูเหมือนเจ้าของร้านจะทำทุกอย่างเองโดยมียอดเป็นลูกมือ แล้วจะเอากำลังที่ไหนไปจัดสวน
“ครับ ทำทุกอย่าง”
“พี่สาวเราทำคนเดียว”
ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนั้นน่ะนะ พริษฐ์ตวัดสายตามองผ่านหน้าต่างไป หญิงสาวที่กำลังนึกถึงกำลังเดินมาทางนี้พอดี ท่าทางคล่องแคล่วผิดกับร่างกายบอบบางลิบลับ
“ฮะ ร้านนี้พี่ชมพู่ดูแลคนเดียว เวลาโรงเรียนปิดผมถึงได้มาช่วยบ้าง”
“ไม่น่าเชื่อว่าจะทำคนเดียวไหว” พริษฐ์ยังคงทึ่งไม่หาย
“เห็นอย่างนั้นพี่ชมพู่เก่งนะครับ แค่นี้ไหวแน่นอน อีกอย่างอะไรที่ได้ตังค์พี่ชมพู่ทำทั้งนั้นแหละ” เด็กชายตอบพลางหัวเราะ แล้วยอดก็ต้องอุทานเสียงดังเมื่อมีมะเหงกโขกลงมาบนศีรษะอย่างไม่ทันตั้งตัว
“นินทาอะไรพี่”
รอยยิ้มกว้างเห็นฟันเกือบทุกซี่ของเด็กชายหดลงเหลือเพียงรอยยิ้มแหย เมื่อจู่ๆ คนที่คิดว่ายังคุยกับลูกค้ามายืนอยู่ตรงหน้า
ยอดไม่ตอบอะไรนอกจากยืนลูบศีรษะตัวเองป้อยๆ แก้มแหม่มจึงขึงตาดุไปอีกที แล้วหันไปทางแขกคนเดียวในนั้น
“ขอโทษที่ให้รอนานค่ะ ไปกันเลยไหมคุณ” ขณะพูดเจ้าตัวก็ใช้สมุดในมือกระพือลมเข้าหาตัวเพื่อคลายร้อนไปด้วย
พริษฐ์เห็นเหงื่อเม็ดเล็กเกาะพราวอยู่ตรงปลายจมูกของหญิงสาวแล้วก็สงสาร ดังนั้นต่อให้รีบแค่ไหนก็ไม่อยากเร่ง เขาค่อนข้างเกรงใจเธออยู่มาก
“พักให้หายเหนื่อยก่อนเถอะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกคุณ ไปกันเลยดีกว่า” พูดจบเจ้าตัวก็ใช้แขนเสื้อปาดเหงื่อบนหน้าเสียทีหนึ่ง แล้วหันไปสั่งเด็กชาย “ยอด เฝ้าร้านดีๆ นะ จัดการอะไรไม่ได้ก็โทร.หาพี่ พี่จะไปธุระกับคุณพริษฐ์ที่บ้านน้าเขียว”
“ฮะ พี่ชมพู่ไม่ต้องห่วง ผมจะดูแลร้านอย่างดี”
แก้มแหม่มพยักหน้าเบาๆ แล้วหันไปชวนชายหนุ่ม
“ไปกันเถอะคุณ ก่อนแกจะดวดเหล้า เมาจนคุยไม่รู้เรื่องอีก”
พริษฐ์ถอยออกมายืนอยู่ริมรถเก๋งคันใหญ่ที่เช่ามา เมื่อครู่ตอนแก้มแหม่มเห็นรถของเขาเธอก็บอกว่ารถคันนี้ไม่เหมาะกับการเดินทางไปบ้านน้าเขียวนัก เนื่องจากถนนเส้นนั้นยังเป็นถนนลูกรังและบางจุดก็เต็มไปด้วยหลุมบ่อคงไม่สะดวก ดังนั้นจึงตัดสินใจว่าควรนำรถของเธอไปแทน โดยต้องไปเอารถคันใหม่ที่บ้านซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านนัก พริษฐ์จึงขับรถพาหญิงสาวไปบ้านของเธอ
รถปิ๊กอัพที่เลื่อนออกมาจากโรงรถนำความแปลกใจมาให้ เขาไม่คิดว่าผู้หญิงบอบบางจะสามารถขับรถคันโตๆ แบบนี้ได้อย่างคล่องแคล่ว เหมือนหญิงสาวที่เลื่อนกระจกลงมาแล้วเรียกให้เขาขึ้นรถ
“คุณทำหน้าแปลกๆ” พอขึ้นรถได้หญิงสาวก็ถามทันที ขณะนั้นเธอก็ขับรถแล่นไปตามถนนอย่างชำนาญ
“ผมไม่ค่อยเห็นผู้หญิงขับปิ๊กอัพคันใหญ่เท่าไหร่”
“ผิดกับสาวๆ ในกรุงเทพฯเลยสิ” หญิงสาวตอบกลั้วหัวเราะ ไม่มีท่าทางอายเลยสักนิด
พริษฐ์พยักหน้ารับตรงๆ เลยได้รับรอยยิ้มอ่อนๆ จากหญิงสาว
“อยู่ต่างจังหวัดใช้รถเก๋งมันไม่สะดวก ไหนถนนที่ยังไม่เจริญเท่าไหร่ อย่างที่เราจะไปนี่ไงคุณ ยังเป็นดินแดงๆ อยู่เลย อีกอย่างมันขนของได้น้อย คุณก็เห็นว่าฉันเปิดร้านต้นไม้ ต้องเอากล้าไม้จากที่บ้านไปลงที่ร้านบ่อยๆ ใช้รถเก๋งกี่รอบล่ะถึงจะขนหมด ไหนจะหิน ดิน ทราย กระถาง โอ๊ย...สารพัดสิ่งของต้องขน ต้องเจ้านี่สิ” เธอตบพวงมาลัยรถแรงๆ หน้าตาเต็มไปด้วยความภูมิใจ “เจ้ายักษ์นี่ถึงจะขนหมด แถมทำความสะอาดง่าย เอาสายยางฉีดทีเดียวก็สะอาดเอี่ยมแล้ว”
พอรถยนต์คันใหญ่เลี้ยวเข้าไปในซอยเล็กๆ นั่นละพริษฐ์ถึงเข้าใจว่าทำไมคนต่างจังหวัดถึงนิยมขับรถปิ๊กอัพกัน ทั้งๆ ที่มันนั่งไม่สบายเอาเสียเลย
ซอยที่แก้มแหม่มพาเข้ามานอกจากแคบชนิดเวลารถสวนกันคันใดคันหนึ่งต้องหลบลงไปอยู่ข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้รกเรื้อ แถมถนนยังเป็นหลุมเป็นบ่อให้ต้องป่ายปีนกันบ่อยๆ กว่าจะไปถึงบ้านน้าเขียว เนื้อตัวเขาก็ยอกไปเหมือนกัน
“ถึงแล้วคุณ”
เขาลงจากรถเดินไปสมทบหญิงสาวที่หน้าประตูรั้ว ซึ่งเป็นเพียงแค่ไม้ไผ่สามลำคาดขวางเอาไว้กับเสา มองเข้าไปในตัวบ้านก็ปิดเงียบ มีเพียงหน้าต่างบานหนึ่งเปิดแง้มอยู่เท่านั้น
“น้าเขียว น้าเขียวอยู่ไหม” หญิงสาวตะโกน มือเลื่อนไม้ไผ่ออกจากตะขอที่เกี่ยวไว้แล้วเดินเข้าไปภายใน ปากก็ยังไม่หยุดเรียก “น้าเขียว อยู่บ้านหรือเปล่า”
สิ้นเสียงประตูบ้านก็เปิดผลัวะออก พร้อมกันนั้นผู้ชายตัวดำหน้าตาถมึงทึง นุ่งเพียงผ้าขาวม้าผืนเดียวก็ชะโงกหน้าออกมา
“ใครมาตะโกนเสียงดังวะ คนจะนอน”
กลิ่นเหล้าที่โชยมาเตะจมูก ทั้งยังเสียงก่นด่าและหน้าตาไม่เป็นมิตรทำให้พริษฐ์ขยับตัวมายืนบังหญิงสาวเจ้าถิ่นเอาไว้ทันทีอย่างระแวดระวัง
“ชมพู่เองน้าเขียว” สาวเจ้าถิ่นไม่มีท่าทางเกรงกลัวสักนิด หญิงสาวเบี่ยงตัวออกจากที่กำบังมายืนข้างๆ พริษฐ์ ตอบเสียงใส
“อ้าว ไอ้พู่ เอ็งมีอะไรกับข้าถึงมาแต่เช้า คนจะหลับจะนอน”
พอผู้ชายคนนั้นเห็นแก้มแหม่ม น้ำเสียงกระโชกโฮกฮากในตอนแรกจึงฟังดูเป็นมิตรมากขึ้น
“เช้าอะไรกันน้า นี่จะเที่ยงอยู่แล้ว” หญิงสาวตอบกลั้วเสียงหัวเราะ “ชมพู่ไม่มีอะไรกับน้าหรอก แต่คุณคนนี้เขามี”
ได้ยินดังนั้นเจ้าของบ้านก็ตวัดตาไปมองทาง ‘คุณคนนี้’ ทันทีด้วยท่าทางแข็งๆ น้ำเสียงห้วน
“เอ็งเป็นใคร มีอะไรกับข้า” คนพูดกวาดตามองชายหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
ท่าทางอย่างนั้นทำให้พริษฐ์ต้องสะกดใจอย่างหนัก ผู้ชายคนนี้นอกจากไร้ความรับผิดชอบแล้ว มารยาทยังทรามอีกด้วย
“ผมพริษฐ์ เศรษฐสิทธ์”
“ข้าไม่รู้จักเอ็ง” เจ้าของบ้านตอบเสียงห้วนแบบไม่ต้องคิดเมื่อได้ยินชื่ออันไม่คุ้นหู แล้วทำท่าจะปิดประตูใส่หน้าแขก เดือดร้อนแก้มแหม่มต้องขยับมาช่วยขยายความ เพราะอารมณ์ผู้ชายอีกคนเริ่มพุ่งสูงจนดวงตาสีดำนั้นทอประกายเรื่อเรือง
“เขาเป็นเจ้าของเรือนไทยที่น้าดูแลอยู่ไง”
คำพูดของแก้มแหม่มทำน้าเขียวชะงัก หยุดเท้าที่กำลังเดินเข้าบ้านไปนอนให้เต็มอิ่ม หันไปมองชายหนุ่มอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจ ประกายบางอย่างในตัวผู้ชายตรงหน้าทำให้รู้สึกหวั่นๆ จนแอบกลืนน้ำลายลงคอ กระนั้นก็บอกตัวเองว่าคนที่จ่ายเงินให้ทุกเดือนไม่ใช่คนนี้
“ไอ้พู่ เอ็งอย่ามาโกหกหน่อยเลย คนที่เขาจ้างข้าชื่อประเสริฐเว้ย”
“ประเสริฐเป็นทนายบริษัท ได้รับมอบหมายให้ดูแลจ่ายค่าจ้างคนดูแลเรือนไทย แต่ผมเป็นเจ้าของ”
คำตอบที่ได้ยินทำให้อาการเมาค้างหายเป็นปลิดทิ้ง ใบหน้าคล้ำเริ่มซีดเมื่อพอเดาได้เลาๆ ว่าชายหนุ่มมาพบตนด้วยเรื่องอะไร
“เอาเป็นว่าผมไม่พูดมากแล้วกัน ต่อไปนี้ลุงไม่ต้องไปดูแลบ้านแล้วนะ ผมจะหาคนใหม่มาดูแลแทน”
“เอ็งจะไล่ข้าออกแบบนี้ง่ายๆ เลยหรือวะ บ้านหลังนั้นข้าดูแลมาตั้งแต่รุ่นพ่อ ทำไมถึงมาปลดกันง่ายๆ แบบนี้”
แก้มแหม่มได้ยินเสียง “เฮอะ” ออกจากปากชายหนุ่ม เธอจึงหันไปมองหน้าน้าเขียว ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนเป็นหน้าดำหน้าแดงเพราะความโกรธแล้ว
แหล่งเงินทองของแกกำลังลอยหายไปต่อหน้าต่อตา ก็ต้องโกรธเป็นธรรมดา
ถ้ามองกันจริงๆ น้าเขียวผิดเต็มประตูเลยทีเดียว รับเงินค่าจ้างมา แต่ไม่ทำงานให้สมกับค่าเหนื่อยที่ได้รับ
“ผมไม่เห็นว่าบ้านจะได้รับการดูแลตรงไหน ตัวเรือนก็ทรุดโทรม บริเวณบ้านเหมือนกับป่ารก ลุงแน่ใจหรือว่าทำงานให้สมกับค่าจ้างจริงๆ”
ใบหน้าน้าเขียวเริ่มสลด แต่กระนั้นก็ยังดื้อดึง พยายามคิดหาทางรั้งบ่อเงินบ่อทองของตนเอาไว้ให้นานที่สุด แก้มแหม่มเห็นแล้วก็สงสาร แต่เธอทำอะไรไม่ได้มากไปกว่ายืนดูเฉยๆ ให้เจ้าของบ้านจัดการกันเอาเอง
คิดในมุมเจ้าของเรือนไทยซึ่งมีมูลค่ามหาศาล แต่ละเดือนต้องจ่ายเงินเป็นค่าบำรุงรักษาบ้านไม่ให้ทรุดโทรม หวังใจว่าสมบัติของตนจะอยู่ดีและตกทอดไปสู่ลูกหลาน แต่ต้องมาพบว่าความไว้วางใจทั้งหมดนั้นสูญเปล่า บ้านก็ทรุดโทรมต้องทุ่มเงินปรับปรุงอีกมากมาย
หากเธอเป็นเจ้าของบ้านก็คงไม่ปล่อยคนแบบนี้เอาไว้ สู้ให้ออกแล้วหาคนใหม่ที่ใส่ใจและรับผิดชอบในหน้าที่มาแทนดีกว่า
“ข้าก็ทำอยู่ทุกเดือน” เจ้าของบ้านตอบอย่างดื้อดึง จ้องหน้าชายหนุ่มด้วยท่าทางบอกชัดว่าไม่พอใจเอามากๆ
แก้มแหม่มเหลือบมองพริษฐ์แวบหนึ่งแล้วถอนใจเฮือก สีหน้าชายหนุ่มบอกชัดว่า ไม่ว่าอย่างไรวันนี้เขาต้องไล่น้าเขียวออก ต่างฝ่ายต่างแข็งเข้าหากันแบบนี้ ดูท่าไม่ดีแน่ มือบางจึงทาบลงบนท่อนแขนของชายหนุ่มเป็นการปรามกลายๆ ว่าอย่าเพิ่งพูดอะไร
“ชมพู่ว่าน้าเขียวก็รู้ตัวพอๆ กับที่คุณพริษฐ์เขารู้นะ อย่าให้มีเรื่องกันเลย” เธอพยายามใช้ไม้อ่อน ถึงไม่ได้สนิทสนมกับน้าเขียวมากมาย แต่พอได้ยินเรื่องราวมาบ้างว่าเป็นคนอย่างไร ขืนใช้ไม้แข็งทีเดียว เกิดน้าเขียวไม่พอใจมากๆ พริษฐ์จะมีปัญหาในภายหลัง ยิ่งเขาเป็นคนต่างถิ่นด้วยแล้วยิ่งอันตราย
“ถ้าน้าถูกไล่ออก แล้วน้าจะทำมาหากินอะไร”
“ปกติน้าก็ทำนาอยู่ด้วยไม่ใช่หรือไง” ถึงชมพู่จะรู้ว่ารายได้หลักของน้าเขียวที่ทำให้มีเงินใช้จ่ายมือเติบอย่างทุกวันนี้มาจากการดูแลบ้านก็ตาม แต่เธอต้องชี้ช่องให้เห็นว่าถึงถูกไล่ออกก็ไม่ได้จนตรอกเสียทีเดียว “แล้วอีกอย่างนะ คุณเขาก็ไม่ได้ให้น้าออกเปล่าๆ ยังมีเงินก้นถุงให้อีกนิดหน่อย”
ได้ยินคำว่า ‘เงินก้นถุง’ น้าเขียวก็ตาลุกวาว หันไปมองชายหนุ่มซึ่งบอกว่าเป็นเจ้านายตาเขม็ง ลูบไม้ลูบมืออย่างคาดหวัง แต่ชายหนุ่มยังนิ่ง ทำให้คนไกล่เกลี่ยอย่างแก้มแหม่มต้องออกโรงอีกครั้ง
“ใช่ไหมคุณ” แก้มแหม่มใช้ศอกกระทุ้งไปที่สีข้างของเขาเบาๆ เป็นการกระตุ้น พอถูกสายตาดุตวัดมามองอย่างเคืองๆ เธอก็ทำเป็นมองไม่เห็น ผินหน้าหนีไปอีกทางเสียอย่างนั้น
แล้วเขาจะทำอะไรได้
“ก็ว่ากันไปตามความเหมาะสม” ชายหนุ่มบอก พอน้าเขียวถลันมา เป้าหมายคงเป็นค่าตอบแทนที่ว่า พริษฐ์ก็รีบบอกทันที “แต่ตอนนี้ผมไม่มีเงินสดติดตัวมากขนาดนั้น จะให้ทนายประเสริฐจัดการให้ก็แล้วกัน”
ตอนแรกพอชายหนุ่มบอกไม่มีเงินสดน้าเขียวก็ทำหน้าไม่พอใจ ทว่าพอได้ยินชื่ออันคุ้นเคยท่าทีก็เปลี่ยนเป็นกระหยิ่มทันที
“ไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน จะให้คุณประเสริฐจัดการให้เร็วที่สุด...ผมกลับก่อนแล้วกัน” เสร็จเรื่องแล้วพริษฐ์จึงตัดบท
เจ้าของบ้านเองพอได้ทุกอย่างตามความต้องการก็ไม่สนใจอะไรอีก ส่วนแก้มแหม่มนั้นก็เบาใจไปเปลาะหนึ่งว่าหนุ่มชาวกรุงคงไม่โดนดักตีหัวเพราะความเคียดแค้นจากการโดนไล่ออกจากงาน จึงเดินนำไปขึ้นรถ โดยไม่ลืมดึงไม้ไผ่มากั้นประตูให้น้าเขียว เพราะมั่นใจว่าตอนนี้เจ้าของบ้านคงไม่สนใจอะไรอีกนอกจากนอนฝันหวานถึงเงินก้อนโตที่ตกลงมาตรงหน้า
“คุณพูดออกไปอย่างนั้นได้ยังไง”
“เรื่องไหนคะ” รู้อยู่เต็มอกว่าเรื่องไหน แต่แก้มแหม่มก็ตีสีหน้า แกล้งไขสือไม่รู้เรื่องได้สนิทนัก ชนิดที่พริษฐ์เห็นแล้วก็เริ่มไม่มั่นใจ ที่คิดว่าหญิงสาวแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องผิดหรือถูก
“ก็เรื่องเงินก้นถุงไง คนแบบนั้นไม่ควรได้อะไรอีกแม้แต่บาทเดียว”
“ถ้ามันทำให้เรื่องจบ แล้วคุณก็ไม่ได้ลำบากอะไร ก็จ่ายไปเถอะน่า อย่าคิดมากเลย”
“ไม่จ่ายเงินผมก็ทำให้ทุกอย่างจบได้” พริษฐ์พูดอย่างมั่นใจในตัวเอง เขาไม่เห็นว่าเรื่องมันจะไม่จบตรงไหน ในเมื่อน้าเขียวทำงานบกพร่อง เขาเป็นนายจ้าง เป็นคนจ่ายเงินก็ควรมีสิทธิ์เลือกสิ่งที่ดีให้กับตัวเองให้คุ้มกับค่าเงินที่เสียไป “ผมให้ออกไปเฉยๆ ไม่เอาเรื่องนี่ดีแค่ไหนแล้วคุณ”
แก้มแหม่มถอนหายใจเบาๆ
“คุณจะเอาวิธีที่ใช้ในกรุงเทพฯมาใช้ที่นี่ไม่ได้หรอกนะคุณพริษฐ์” หญิงสาวเตือน แล้วก็เห็นความไม่พอใจฉายชัดในดวงตาคู่นั้นทันที “ฉันไม่ได้หมายความว่ากฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่เคารพหรือเชื่อถือในกระบวนการยุติธรรมนะคุณ แต่ฉันกลัวว่ากว่าจะถึงวันนั้น หัวคุณจะแบะเสียก่อนมีโอกาสได้เรียกร้องขอความยุติธรรมให้ตัวเอง”
“คุณหมายความว่ายังไง”
“อย่าลืมสิว่าคุณเป็นคนต่างถิ่น ไม่รู้หรอกว่าพื้นฐานนิสัยของคนที่คุณเจอแต่ละคนเป็นยังไง คุณอาจไปทำอะไรกระทบกระทั่งใครเข้าโดยไม่รู้ตัวก็ได้ อย่างในกรณีน้าเขียว แกเคยได้เงินมาใช้อย่างสบายๆ ทุกเดือนโดยไม่ต้องทำอะไรเลย การที่คุณไล่แกออกก็ไม่ต่างจากทุบหม้อข้าวของแกทิ้ง เป็นธรรมดาที่แกจะแค้น เพราะฉะนั้นฉันเลยไม่อยากให้แตกหักกัน อะลุ้มอล่วยได้เพื่อซื้อใจ คุณจะได้อยู่ในเมืองนี้อย่างสงบๆ ไม่ต้องมาระวังตัวว่าจะโดนดักตีหัวเอาวันไหน”
เธออธิบายยืดยาว ไม่ได้คาดหวังให้พริษฐ์เข้าใจการยื่นมือเข้าไปยุ่งของตนนั้นเกิดจากอะไร แค่เห็นเขาหยุดคิดและไตร่ตรองตามคำพูดของเธอ เท่านี้ก็พอใจแล้ว
“ขอบคุณ”
คำพูดสั้นๆ ของชายหนุ่มแต่กินความหมายมากมาย ทำให้แก้มแหม่มฉีกยิ้มกว้างส่งไปให้ เลยได้รับรอยยิ้มจากชายหนุ่มคนข้างๆ กลับมาเช่นเดียวกัน
“แล้วคุณคิดว่าจะทำยังไงต่อไป”
“คงต้องไปดูอีกทีครับ เมื่อวานตอนเข้าไปก็เย็นมากแล้ว ยังไม่ได้สำรวจว่ามีอะไรเสียหายบ้าง แล้วค่อยคิดว่าจะทำยังไงต่อไป”
เมื่อวานเขาได้แต่ยืนมองตัวบ้านอยู่ห่างๆ ประเมินจากสายตาว่าทรุดโทรมลงไปมาก แต่ยังไม่ได้สำรวจอย่างจริงจังว่าจุดไหนต้องซ่อมแซมบ้าง แล้วยังจุดที่มองไม่เห็นอีกล่ะ และที่เขาหนักใจอีกอย่างคือบริเวณบ้าน ท่าทางต้องจัดสวนใหม่กันยกใหญ่ กว่าบ้านหลังนั้นจะกลับกลายมาเป็น ‘บ้าน’ เหมือนเดิม
“มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะคุณ”
เธอมองเห็นว่าบ้านหลังนั้นคงต้องซ่อมแซมกันขนานใหญ่ เขามาจากที่อื่นจะติดต่ออะไรคงขลุกขลักไม่น้อย มีคนช่วยคงเบาแรงไปได้เยอะ
“ครับ ขอบคุณมาก คงต้องรบกวนคุณชมพู่อีกเยอะ”
“ไม่รบกวนอะไรหรอกค่ะ ในฐานะเจ้าถิ่น ฉันช่วยอะไรได้ก็เต็มใจ”
และก่อนบทสนทนาจะดำเนินไป โทรศัพท์มือถือของพริษฐ์ก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน ชายหนุ่มพยักพเยิดหน้าเป็นทำนองขอตัว ซึ่งหญิงสาวก็พยักหน้าเบาๆ แล้วหันไปสนใจมองถนนข้างหน้าเพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ชายหนุ่มคุยโทรศัพท์อย่างสะดวก
“ได้เรื่องว่าไงบ้างวะทิว”
“ทักกันอย่างนี้เลยหรือวะ ใจร้อนจริงๆ เลยเพื่อน”
“เออ...นายได้ความว่ายังไงก็พูดมา อย่ามามัวโยกโย้” พริษฐ์สวนกลับทันใด รู้ว่าเพื่อนไม่มีเวลาว่างต่อโทรศัพท์คุยกับใครเล่นๆ ถ้าเมื่อไรที่ทิวไผ่โทร.มา นั่นหมายความว่าได้เรื่อง
“เรื่องที่นายให้สืบนั่นแหละ”
“ได้ความว่ายังไงบ้าง” พริษฐ์ถามทันที น้ำเสียงตื่นเต้น นี่นับเป็นเบาะแสแรกที่ทำให้เขารู้ว่าควรจัดการเรื่องพินัยกรรมอย่างไรต่อไป
“เฮ้ย...อย่าเพิ่งทำเสียงคาดหวังขนาดนั้น ผ่านไปแค่วันเดียวได้มาเท่านี้ก็บุญโขแล้ว”
“เออๆ บอกมาสักทีสิวะ”
“ฉันได้ที่อยู่คนที่นายให้สืบมาแล้ว จดเลยนะเว้ย”
“เดี๋ยว หากระดาษก่อน” เขาหันซ้ายหันขวาแล้วก็นึกได้ว่าไม่ได้อยู่ในรถตัวเอง พอเหลือบไปทางแก้มแหม่ม หญิงสาวก็บุ้ยหน้าบอกใบ้ไปทางเก๊ะตรงหน้า เขาพยักหน้าขอบคุณแล้วเปิดเก๊ะออก หยิบกระดาษและปากกาในนั้น “เออ ว่ามา”
“เป็นที่อยู่ตามทะเบียนราษฎร์นะ รู้ว่านายอยากรู้ก็เลยรีบโทร.มาบอกก่อน ให้เวลาฉันอีกหน่อยแล้วจะพยายามสืบหาข้อมูลให้มากกว่านี้”
“ขอบใจนะทิว” พริษฐ์เข้าใจ ปกติงานของทิวไผ่ก็ล้นมืออยู่แล้ว มาช่วยเขาในฐานะเพื่อน ได้เท่านี้ก็ถือว่ามีน้ำใจสุดๆ
“ไม่เป็นไร ไว้ฉันได้อะไรคืบหน้าจะโทร.ไปบอกอีกทีแล้วกัน เท่านี้ก่อนนะ ตอนนี้ฉันตามคดีผัวมีอีหนูอยู่ เดี๋ยวเหยื่อจะคลาดสายตาเสียก่อน” พูดจบปลายสายก็ตัดไป
พริษฐ์มองตัวอักษรเรียงรายบนกระดาษแผ่นเล็กนั้นอย่างครุ่นคิด ที่อยู่ซึ่งทิวไผ่หามาได้อยู่ในจังหวัดนี้นี่เอง นั่นทำให้ความสงสัยในตัวผู้หญิงปริศนาเพิ่มมากขึ้นทุกที
อัญชัน หิรัญรัตน...คุณเป็นใครกันแน่
เมื่อใกล้เวลานัด พริษฐ์ก็โทรศัพท์ไปหา ‘ตัวช่วย’ ของเขาอีกครั้งเพื่อความมั่นใจว่าไม่ต้องไปรอเก้อในขณะที่หญิงสาวยังไม่ตื่น เพราะเจ้าตัวออกปากไว้เองว่าเป็นคนไม่ชอบตื่นเช้า
สัญญาณโทรศัพท์ดังอยู่ไม่กี่ครั้งอีกฝ่ายก็กดรับ น้ำเสียงสดใสไม่งัวเงียทำให้เบาใจว่าเจ้าหล่อนตื่นแล้ว เขาไม่ได้โทร.ไปกวนเวลานอนของเธอแต่อย่างใด
แม้อีกฝ่ายเต็มใจช่วย แต่เขากับเธอก็ยังเรียกได้ว่าเป็นแค่คนแปลกหน้าอยู่ดี เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่อยากสร้างปัญหา
อีกฝ่ายนัดแนะให้ไปเจอที่ร้านขายต้นไม้ ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนสายหลัก ไม่ต้องเข้าตรอกซอกซอยเหมือนเรือนไทยหลังนั้น ดังนั้นไม่ต้องกลัวหลง และก็จริงดังว่า ออกจากโรงแรมแห่งเดียวในอำเภอ ใช้เวลาไม่เกินสิบนาทีเขาก็ขับรถมาจอดเลียบริมถนนหน้าร้านเรียบร้อยแล้ว
ร้านต้นไม้ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเรียกว่าเป็นร้านเล็กๆ คงไม่ได้ ด้วยอาณาบริเวณที่กว้างขวาง พรรณไม้นานาชนิดทั้งไม้ดอกและไม้ประดับวางเรียงรายเป็นหมวดหมู่ ไล่ระดับความสูงน่ามองน่าเลือกซื้อ ขยับไปหน่อยเป็นที่วางกระถางต้นไม้หลายขนาด ทั้งพลาสติกและกระถางดินเผา ติดๆ กันเป็นดินผสมสำเร็จ ส่วนอีกมุมมีของประดับและตกแต่งสวนให้เลือกซื้อ ทั้งหิน อิฐ ตอไม้ รวมทั้งตุ๊กตาดินปั้นหลายแบบวางเรียงราย เรียกได้ว่ามาร้านนี้ร้านเดียวก็ได้ของทุกอย่างตามต้องการเลย
พอเดินผ่านโซนต้นไม้ไปตามทางเดินโรยกรวดหยาบๆ ก็มีเด็กชายคนหนึ่งวิ่งออกมาต้อนรับ เขาเดาว่าคงเป็นคนเดียวกับที่ขับมอเตอร์ไซค์ไปรับหญิงสาวเมื่อคืน
“สวัสดีฮะ วันนี้พี่อยากได้ต้นอะไร”
“พี่ไม่ได้มาซื้อต้นไม้ แต่มาพบคุณชมพู่” เขาตอบ สายตาก็มองหาหญิงสาวไปด้วย
“หาพี่ชมพู่หรือฮะ ถ้าอย่างนั้นต้องรอแป๊บหนึ่งนะ ตอนนี้พี่ชมพู่ติดลูกค้าอยู่ เอ่อ...พี่ไปรอในร้านก่อนดีกว่าไหม ข้างนอกอากาศมันร้อน”
พริษฐ์มองตามท่าทางบุ้ยหน้าของเด็กชาย ‘ในร้าน’ คงเป็นห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ สีขาวตรงหน้า ขณะไม่มีลูกค้าหญิงสาวคงทำงานอยู่ตรงนี้ มองไปอีกทางก็เห็นเจ้าของร้านกำลังยืนคุยกับลูกค้าสูงวัย พอเธอหันมาเห็นเขาเข้าก็พยักหน้าให้ และชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปยังตัวห้องสีขาวนั้น คงให้ไปรอในร้านอย่างที่เด็กชายบอก
“ดีเหมือนกัน ว่าแต่เราชื่ออะไร”
“ยอดฮะ” เด็กชายตอบเสียงฉาดฉาน พร้อมกันนั้นก็ฉีกยิ้มจนเห็นฟันขาว ตัดกับสีผิวคล้ำแดด ดูไม่เหมือนคนเป็นพี่ที่ผิวออกสีน้ำผึ้งนวลเนียน
“คนเดียวกับที่ไปรับคุณชมพู่เมื่อคืนใช่ไหม” เขาถือโอกาสชวนคุยเพื่อฆ่าเวลา ในขณะเดินตามเด็กชายเข้าไปในร้าน “แล้วไม่ไปโรงเรียนหรือ”
“โรงเรียนปิดเทอมแล้วฮะ ผมเลยมาช่วยพี่ชมพู่เฝ้าร้าน เชิญฮะ” เด็กชายเปิดประตูให้แล้วเดินเลี่ยงไปเปิดตู้เย็นนำน้ำมาเสิร์ฟ
พริษฐ์มองไปรอบๆ ห้องนี้คงเป็นห้องทำงานกึ่งห้องพักผ่อน เพราะด้านหลังโต๊ะทำงานเขาเห็นเก้าอี้ผ้าใบแบบพับได้วางพิงผนังอยู่ เจ้าของห้องคงเอาไว้นอนเล่นเวลาไม่มีงาน เขานั่งลงตรงโซฟาตัวยาว ไม่นานยอดก็เอาน้ำเย็นมาเสิร์ฟ
“ขอบใจนะ”
“พี่รอตรงนี้ก่อนนะฮะ เดี๋ยวผมไปบอกพี่ชมพู่ให้อีกที แค่คุยเรื่องจัดสวน ไม่ต้องแพ็คต้นไม้ให้ลูกค้าใช้เวลาไม่มาก คงใกล้เสร็จแล้วละ”
“รับจัดสวนด้วยหรือ” พริษฐ์ถามอย่างแปลกใจ ร้านต้นไม้ของแก้มแหม่มใหญ่ก็จริง แต่เขาไม่เห็นคนงานสักคน ดูเหมือนเจ้าของร้านจะทำทุกอย่างเองโดยมียอดเป็นลูกมือ แล้วจะเอากำลังที่ไหนไปจัดสวน
“ครับ ทำทุกอย่าง”
“พี่สาวเราทำคนเดียว”
ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนั้นน่ะนะ พริษฐ์ตวัดสายตามองผ่านหน้าต่างไป หญิงสาวที่กำลังนึกถึงกำลังเดินมาทางนี้พอดี ท่าทางคล่องแคล่วผิดกับร่างกายบอบบางลิบลับ
“ฮะ ร้านนี้พี่ชมพู่ดูแลคนเดียว เวลาโรงเรียนปิดผมถึงได้มาช่วยบ้าง”
“ไม่น่าเชื่อว่าจะทำคนเดียวไหว” พริษฐ์ยังคงทึ่งไม่หาย
“เห็นอย่างนั้นพี่ชมพู่เก่งนะครับ แค่นี้ไหวแน่นอน อีกอย่างอะไรที่ได้ตังค์พี่ชมพู่ทำทั้งนั้นแหละ” เด็กชายตอบพลางหัวเราะ แล้วยอดก็ต้องอุทานเสียงดังเมื่อมีมะเหงกโขกลงมาบนศีรษะอย่างไม่ทันตั้งตัว
“นินทาอะไรพี่”
รอยยิ้มกว้างเห็นฟันเกือบทุกซี่ของเด็กชายหดลงเหลือเพียงรอยยิ้มแหย เมื่อจู่ๆ คนที่คิดว่ายังคุยกับลูกค้ามายืนอยู่ตรงหน้า
ยอดไม่ตอบอะไรนอกจากยืนลูบศีรษะตัวเองป้อยๆ แก้มแหม่มจึงขึงตาดุไปอีกที แล้วหันไปทางแขกคนเดียวในนั้น
“ขอโทษที่ให้รอนานค่ะ ไปกันเลยไหมคุณ” ขณะพูดเจ้าตัวก็ใช้สมุดในมือกระพือลมเข้าหาตัวเพื่อคลายร้อนไปด้วย
พริษฐ์เห็นเหงื่อเม็ดเล็กเกาะพราวอยู่ตรงปลายจมูกของหญิงสาวแล้วก็สงสาร ดังนั้นต่อให้รีบแค่ไหนก็ไม่อยากเร่ง เขาค่อนข้างเกรงใจเธออยู่มาก
“พักให้หายเหนื่อยก่อนเถอะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกคุณ ไปกันเลยดีกว่า” พูดจบเจ้าตัวก็ใช้แขนเสื้อปาดเหงื่อบนหน้าเสียทีหนึ่ง แล้วหันไปสั่งเด็กชาย “ยอด เฝ้าร้านดีๆ นะ จัดการอะไรไม่ได้ก็โทร.หาพี่ พี่จะไปธุระกับคุณพริษฐ์ที่บ้านน้าเขียว”
“ฮะ พี่ชมพู่ไม่ต้องห่วง ผมจะดูแลร้านอย่างดี”
แก้มแหม่มพยักหน้าเบาๆ แล้วหันไปชวนชายหนุ่ม
“ไปกันเถอะคุณ ก่อนแกจะดวดเหล้า เมาจนคุยไม่รู้เรื่องอีก”
พริษฐ์ถอยออกมายืนอยู่ริมรถเก๋งคันใหญ่ที่เช่ามา เมื่อครู่ตอนแก้มแหม่มเห็นรถของเขาเธอก็บอกว่ารถคันนี้ไม่เหมาะกับการเดินทางไปบ้านน้าเขียวนัก เนื่องจากถนนเส้นนั้นยังเป็นถนนลูกรังและบางจุดก็เต็มไปด้วยหลุมบ่อคงไม่สะดวก ดังนั้นจึงตัดสินใจว่าควรนำรถของเธอไปแทน โดยต้องไปเอารถคันใหม่ที่บ้านซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านนัก พริษฐ์จึงขับรถพาหญิงสาวไปบ้านของเธอ
รถปิ๊กอัพที่เลื่อนออกมาจากโรงรถนำความแปลกใจมาให้ เขาไม่คิดว่าผู้หญิงบอบบางจะสามารถขับรถคันโตๆ แบบนี้ได้อย่างคล่องแคล่ว เหมือนหญิงสาวที่เลื่อนกระจกลงมาแล้วเรียกให้เขาขึ้นรถ
“คุณทำหน้าแปลกๆ” พอขึ้นรถได้หญิงสาวก็ถามทันที ขณะนั้นเธอก็ขับรถแล่นไปตามถนนอย่างชำนาญ
“ผมไม่ค่อยเห็นผู้หญิงขับปิ๊กอัพคันใหญ่เท่าไหร่”
“ผิดกับสาวๆ ในกรุงเทพฯเลยสิ” หญิงสาวตอบกลั้วหัวเราะ ไม่มีท่าทางอายเลยสักนิด
พริษฐ์พยักหน้ารับตรงๆ เลยได้รับรอยยิ้มอ่อนๆ จากหญิงสาว
“อยู่ต่างจังหวัดใช้รถเก๋งมันไม่สะดวก ไหนถนนที่ยังไม่เจริญเท่าไหร่ อย่างที่เราจะไปนี่ไงคุณ ยังเป็นดินแดงๆ อยู่เลย อีกอย่างมันขนของได้น้อย คุณก็เห็นว่าฉันเปิดร้านต้นไม้ ต้องเอากล้าไม้จากที่บ้านไปลงที่ร้านบ่อยๆ ใช้รถเก๋งกี่รอบล่ะถึงจะขนหมด ไหนจะหิน ดิน ทราย กระถาง โอ๊ย...สารพัดสิ่งของต้องขน ต้องเจ้านี่สิ” เธอตบพวงมาลัยรถแรงๆ หน้าตาเต็มไปด้วยความภูมิใจ “เจ้ายักษ์นี่ถึงจะขนหมด แถมทำความสะอาดง่าย เอาสายยางฉีดทีเดียวก็สะอาดเอี่ยมแล้ว”
พอรถยนต์คันใหญ่เลี้ยวเข้าไปในซอยเล็กๆ นั่นละพริษฐ์ถึงเข้าใจว่าทำไมคนต่างจังหวัดถึงนิยมขับรถปิ๊กอัพกัน ทั้งๆ ที่มันนั่งไม่สบายเอาเสียเลย
ซอยที่แก้มแหม่มพาเข้ามานอกจากแคบชนิดเวลารถสวนกันคันใดคันหนึ่งต้องหลบลงไปอยู่ข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้รกเรื้อ แถมถนนยังเป็นหลุมเป็นบ่อให้ต้องป่ายปีนกันบ่อยๆ กว่าจะไปถึงบ้านน้าเขียว เนื้อตัวเขาก็ยอกไปเหมือนกัน
“ถึงแล้วคุณ”
เขาลงจากรถเดินไปสมทบหญิงสาวที่หน้าประตูรั้ว ซึ่งเป็นเพียงแค่ไม้ไผ่สามลำคาดขวางเอาไว้กับเสา มองเข้าไปในตัวบ้านก็ปิดเงียบ มีเพียงหน้าต่างบานหนึ่งเปิดแง้มอยู่เท่านั้น
“น้าเขียว น้าเขียวอยู่ไหม” หญิงสาวตะโกน มือเลื่อนไม้ไผ่ออกจากตะขอที่เกี่ยวไว้แล้วเดินเข้าไปภายใน ปากก็ยังไม่หยุดเรียก “น้าเขียว อยู่บ้านหรือเปล่า”
สิ้นเสียงประตูบ้านก็เปิดผลัวะออก พร้อมกันนั้นผู้ชายตัวดำหน้าตาถมึงทึง นุ่งเพียงผ้าขาวม้าผืนเดียวก็ชะโงกหน้าออกมา
“ใครมาตะโกนเสียงดังวะ คนจะนอน”
กลิ่นเหล้าที่โชยมาเตะจมูก ทั้งยังเสียงก่นด่าและหน้าตาไม่เป็นมิตรทำให้พริษฐ์ขยับตัวมายืนบังหญิงสาวเจ้าถิ่นเอาไว้ทันทีอย่างระแวดระวัง
“ชมพู่เองน้าเขียว” สาวเจ้าถิ่นไม่มีท่าทางเกรงกลัวสักนิด หญิงสาวเบี่ยงตัวออกจากที่กำบังมายืนข้างๆ พริษฐ์ ตอบเสียงใส
“อ้าว ไอ้พู่ เอ็งมีอะไรกับข้าถึงมาแต่เช้า คนจะหลับจะนอน”
พอผู้ชายคนนั้นเห็นแก้มแหม่ม น้ำเสียงกระโชกโฮกฮากในตอนแรกจึงฟังดูเป็นมิตรมากขึ้น
“เช้าอะไรกันน้า นี่จะเที่ยงอยู่แล้ว” หญิงสาวตอบกลั้วเสียงหัวเราะ “ชมพู่ไม่มีอะไรกับน้าหรอก แต่คุณคนนี้เขามี”
ได้ยินดังนั้นเจ้าของบ้านก็ตวัดตาไปมองทาง ‘คุณคนนี้’ ทันทีด้วยท่าทางแข็งๆ น้ำเสียงห้วน
“เอ็งเป็นใคร มีอะไรกับข้า” คนพูดกวาดตามองชายหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
ท่าทางอย่างนั้นทำให้พริษฐ์ต้องสะกดใจอย่างหนัก ผู้ชายคนนี้นอกจากไร้ความรับผิดชอบแล้ว มารยาทยังทรามอีกด้วย
“ผมพริษฐ์ เศรษฐสิทธ์”
“ข้าไม่รู้จักเอ็ง” เจ้าของบ้านตอบเสียงห้วนแบบไม่ต้องคิดเมื่อได้ยินชื่ออันไม่คุ้นหู แล้วทำท่าจะปิดประตูใส่หน้าแขก เดือดร้อนแก้มแหม่มต้องขยับมาช่วยขยายความ เพราะอารมณ์ผู้ชายอีกคนเริ่มพุ่งสูงจนดวงตาสีดำนั้นทอประกายเรื่อเรือง
“เขาเป็นเจ้าของเรือนไทยที่น้าดูแลอยู่ไง”
คำพูดของแก้มแหม่มทำน้าเขียวชะงัก หยุดเท้าที่กำลังเดินเข้าบ้านไปนอนให้เต็มอิ่ม หันไปมองชายหนุ่มอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจ ประกายบางอย่างในตัวผู้ชายตรงหน้าทำให้รู้สึกหวั่นๆ จนแอบกลืนน้ำลายลงคอ กระนั้นก็บอกตัวเองว่าคนที่จ่ายเงินให้ทุกเดือนไม่ใช่คนนี้
“ไอ้พู่ เอ็งอย่ามาโกหกหน่อยเลย คนที่เขาจ้างข้าชื่อประเสริฐเว้ย”
“ประเสริฐเป็นทนายบริษัท ได้รับมอบหมายให้ดูแลจ่ายค่าจ้างคนดูแลเรือนไทย แต่ผมเป็นเจ้าของ”
คำตอบที่ได้ยินทำให้อาการเมาค้างหายเป็นปลิดทิ้ง ใบหน้าคล้ำเริ่มซีดเมื่อพอเดาได้เลาๆ ว่าชายหนุ่มมาพบตนด้วยเรื่องอะไร
“เอาเป็นว่าผมไม่พูดมากแล้วกัน ต่อไปนี้ลุงไม่ต้องไปดูแลบ้านแล้วนะ ผมจะหาคนใหม่มาดูแลแทน”
“เอ็งจะไล่ข้าออกแบบนี้ง่ายๆ เลยหรือวะ บ้านหลังนั้นข้าดูแลมาตั้งแต่รุ่นพ่อ ทำไมถึงมาปลดกันง่ายๆ แบบนี้”
แก้มแหม่มได้ยินเสียง “เฮอะ” ออกจากปากชายหนุ่ม เธอจึงหันไปมองหน้าน้าเขียว ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนเป็นหน้าดำหน้าแดงเพราะความโกรธแล้ว
แหล่งเงินทองของแกกำลังลอยหายไปต่อหน้าต่อตา ก็ต้องโกรธเป็นธรรมดา
ถ้ามองกันจริงๆ น้าเขียวผิดเต็มประตูเลยทีเดียว รับเงินค่าจ้างมา แต่ไม่ทำงานให้สมกับค่าเหนื่อยที่ได้รับ
“ผมไม่เห็นว่าบ้านจะได้รับการดูแลตรงไหน ตัวเรือนก็ทรุดโทรม บริเวณบ้านเหมือนกับป่ารก ลุงแน่ใจหรือว่าทำงานให้สมกับค่าจ้างจริงๆ”
ใบหน้าน้าเขียวเริ่มสลด แต่กระนั้นก็ยังดื้อดึง พยายามคิดหาทางรั้งบ่อเงินบ่อทองของตนเอาไว้ให้นานที่สุด แก้มแหม่มเห็นแล้วก็สงสาร แต่เธอทำอะไรไม่ได้มากไปกว่ายืนดูเฉยๆ ให้เจ้าของบ้านจัดการกันเอาเอง
คิดในมุมเจ้าของเรือนไทยซึ่งมีมูลค่ามหาศาล แต่ละเดือนต้องจ่ายเงินเป็นค่าบำรุงรักษาบ้านไม่ให้ทรุดโทรม หวังใจว่าสมบัติของตนจะอยู่ดีและตกทอดไปสู่ลูกหลาน แต่ต้องมาพบว่าความไว้วางใจทั้งหมดนั้นสูญเปล่า บ้านก็ทรุดโทรมต้องทุ่มเงินปรับปรุงอีกมากมาย
หากเธอเป็นเจ้าของบ้านก็คงไม่ปล่อยคนแบบนี้เอาไว้ สู้ให้ออกแล้วหาคนใหม่ที่ใส่ใจและรับผิดชอบในหน้าที่มาแทนดีกว่า
“ข้าก็ทำอยู่ทุกเดือน” เจ้าของบ้านตอบอย่างดื้อดึง จ้องหน้าชายหนุ่มด้วยท่าทางบอกชัดว่าไม่พอใจเอามากๆ
แก้มแหม่มเหลือบมองพริษฐ์แวบหนึ่งแล้วถอนใจเฮือก สีหน้าชายหนุ่มบอกชัดว่า ไม่ว่าอย่างไรวันนี้เขาต้องไล่น้าเขียวออก ต่างฝ่ายต่างแข็งเข้าหากันแบบนี้ ดูท่าไม่ดีแน่ มือบางจึงทาบลงบนท่อนแขนของชายหนุ่มเป็นการปรามกลายๆ ว่าอย่าเพิ่งพูดอะไร
“ชมพู่ว่าน้าเขียวก็รู้ตัวพอๆ กับที่คุณพริษฐ์เขารู้นะ อย่าให้มีเรื่องกันเลย” เธอพยายามใช้ไม้อ่อน ถึงไม่ได้สนิทสนมกับน้าเขียวมากมาย แต่พอได้ยินเรื่องราวมาบ้างว่าเป็นคนอย่างไร ขืนใช้ไม้แข็งทีเดียว เกิดน้าเขียวไม่พอใจมากๆ พริษฐ์จะมีปัญหาในภายหลัง ยิ่งเขาเป็นคนต่างถิ่นด้วยแล้วยิ่งอันตราย
“ถ้าน้าถูกไล่ออก แล้วน้าจะทำมาหากินอะไร”
“ปกติน้าก็ทำนาอยู่ด้วยไม่ใช่หรือไง” ถึงชมพู่จะรู้ว่ารายได้หลักของน้าเขียวที่ทำให้มีเงินใช้จ่ายมือเติบอย่างทุกวันนี้มาจากการดูแลบ้านก็ตาม แต่เธอต้องชี้ช่องให้เห็นว่าถึงถูกไล่ออกก็ไม่ได้จนตรอกเสียทีเดียว “แล้วอีกอย่างนะ คุณเขาก็ไม่ได้ให้น้าออกเปล่าๆ ยังมีเงินก้นถุงให้อีกนิดหน่อย”
ได้ยินคำว่า ‘เงินก้นถุง’ น้าเขียวก็ตาลุกวาว หันไปมองชายหนุ่มซึ่งบอกว่าเป็นเจ้านายตาเขม็ง ลูบไม้ลูบมืออย่างคาดหวัง แต่ชายหนุ่มยังนิ่ง ทำให้คนไกล่เกลี่ยอย่างแก้มแหม่มต้องออกโรงอีกครั้ง
“ใช่ไหมคุณ” แก้มแหม่มใช้ศอกกระทุ้งไปที่สีข้างของเขาเบาๆ เป็นการกระตุ้น พอถูกสายตาดุตวัดมามองอย่างเคืองๆ เธอก็ทำเป็นมองไม่เห็น ผินหน้าหนีไปอีกทางเสียอย่างนั้น
แล้วเขาจะทำอะไรได้
“ก็ว่ากันไปตามความเหมาะสม” ชายหนุ่มบอก พอน้าเขียวถลันมา เป้าหมายคงเป็นค่าตอบแทนที่ว่า พริษฐ์ก็รีบบอกทันที “แต่ตอนนี้ผมไม่มีเงินสดติดตัวมากขนาดนั้น จะให้ทนายประเสริฐจัดการให้ก็แล้วกัน”
ตอนแรกพอชายหนุ่มบอกไม่มีเงินสดน้าเขียวก็ทำหน้าไม่พอใจ ทว่าพอได้ยินชื่ออันคุ้นเคยท่าทีก็เปลี่ยนเป็นกระหยิ่มทันที
“ไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน จะให้คุณประเสริฐจัดการให้เร็วที่สุด...ผมกลับก่อนแล้วกัน” เสร็จเรื่องแล้วพริษฐ์จึงตัดบท
เจ้าของบ้านเองพอได้ทุกอย่างตามความต้องการก็ไม่สนใจอะไรอีก ส่วนแก้มแหม่มนั้นก็เบาใจไปเปลาะหนึ่งว่าหนุ่มชาวกรุงคงไม่โดนดักตีหัวเพราะความเคียดแค้นจากการโดนไล่ออกจากงาน จึงเดินนำไปขึ้นรถ โดยไม่ลืมดึงไม้ไผ่มากั้นประตูให้น้าเขียว เพราะมั่นใจว่าตอนนี้เจ้าของบ้านคงไม่สนใจอะไรอีกนอกจากนอนฝันหวานถึงเงินก้อนโตที่ตกลงมาตรงหน้า
“คุณพูดออกไปอย่างนั้นได้ยังไง”
“เรื่องไหนคะ” รู้อยู่เต็มอกว่าเรื่องไหน แต่แก้มแหม่มก็ตีสีหน้า แกล้งไขสือไม่รู้เรื่องได้สนิทนัก ชนิดที่พริษฐ์เห็นแล้วก็เริ่มไม่มั่นใจ ที่คิดว่าหญิงสาวแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องผิดหรือถูก
“ก็เรื่องเงินก้นถุงไง คนแบบนั้นไม่ควรได้อะไรอีกแม้แต่บาทเดียว”
“ถ้ามันทำให้เรื่องจบ แล้วคุณก็ไม่ได้ลำบากอะไร ก็จ่ายไปเถอะน่า อย่าคิดมากเลย”
“ไม่จ่ายเงินผมก็ทำให้ทุกอย่างจบได้” พริษฐ์พูดอย่างมั่นใจในตัวเอง เขาไม่เห็นว่าเรื่องมันจะไม่จบตรงไหน ในเมื่อน้าเขียวทำงานบกพร่อง เขาเป็นนายจ้าง เป็นคนจ่ายเงินก็ควรมีสิทธิ์เลือกสิ่งที่ดีให้กับตัวเองให้คุ้มกับค่าเงินที่เสียไป “ผมให้ออกไปเฉยๆ ไม่เอาเรื่องนี่ดีแค่ไหนแล้วคุณ”
แก้มแหม่มถอนหายใจเบาๆ
“คุณจะเอาวิธีที่ใช้ในกรุงเทพฯมาใช้ที่นี่ไม่ได้หรอกนะคุณพริษฐ์” หญิงสาวเตือน แล้วก็เห็นความไม่พอใจฉายชัดในดวงตาคู่นั้นทันที “ฉันไม่ได้หมายความว่ากฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่เคารพหรือเชื่อถือในกระบวนการยุติธรรมนะคุณ แต่ฉันกลัวว่ากว่าจะถึงวันนั้น หัวคุณจะแบะเสียก่อนมีโอกาสได้เรียกร้องขอความยุติธรรมให้ตัวเอง”
“คุณหมายความว่ายังไง”
“อย่าลืมสิว่าคุณเป็นคนต่างถิ่น ไม่รู้หรอกว่าพื้นฐานนิสัยของคนที่คุณเจอแต่ละคนเป็นยังไง คุณอาจไปทำอะไรกระทบกระทั่งใครเข้าโดยไม่รู้ตัวก็ได้ อย่างในกรณีน้าเขียว แกเคยได้เงินมาใช้อย่างสบายๆ ทุกเดือนโดยไม่ต้องทำอะไรเลย การที่คุณไล่แกออกก็ไม่ต่างจากทุบหม้อข้าวของแกทิ้ง เป็นธรรมดาที่แกจะแค้น เพราะฉะนั้นฉันเลยไม่อยากให้แตกหักกัน อะลุ้มอล่วยได้เพื่อซื้อใจ คุณจะได้อยู่ในเมืองนี้อย่างสงบๆ ไม่ต้องมาระวังตัวว่าจะโดนดักตีหัวเอาวันไหน”
เธออธิบายยืดยาว ไม่ได้คาดหวังให้พริษฐ์เข้าใจการยื่นมือเข้าไปยุ่งของตนนั้นเกิดจากอะไร แค่เห็นเขาหยุดคิดและไตร่ตรองตามคำพูดของเธอ เท่านี้ก็พอใจแล้ว
“ขอบคุณ”
คำพูดสั้นๆ ของชายหนุ่มแต่กินความหมายมากมาย ทำให้แก้มแหม่มฉีกยิ้มกว้างส่งไปให้ เลยได้รับรอยยิ้มจากชายหนุ่มคนข้างๆ กลับมาเช่นเดียวกัน
“แล้วคุณคิดว่าจะทำยังไงต่อไป”
“คงต้องไปดูอีกทีครับ เมื่อวานตอนเข้าไปก็เย็นมากแล้ว ยังไม่ได้สำรวจว่ามีอะไรเสียหายบ้าง แล้วค่อยคิดว่าจะทำยังไงต่อไป”
เมื่อวานเขาได้แต่ยืนมองตัวบ้านอยู่ห่างๆ ประเมินจากสายตาว่าทรุดโทรมลงไปมาก แต่ยังไม่ได้สำรวจอย่างจริงจังว่าจุดไหนต้องซ่อมแซมบ้าง แล้วยังจุดที่มองไม่เห็นอีกล่ะ และที่เขาหนักใจอีกอย่างคือบริเวณบ้าน ท่าทางต้องจัดสวนใหม่กันยกใหญ่ กว่าบ้านหลังนั้นจะกลับกลายมาเป็น ‘บ้าน’ เหมือนเดิม
“มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะคุณ”
เธอมองเห็นว่าบ้านหลังนั้นคงต้องซ่อมแซมกันขนานใหญ่ เขามาจากที่อื่นจะติดต่ออะไรคงขลุกขลักไม่น้อย มีคนช่วยคงเบาแรงไปได้เยอะ
“ครับ ขอบคุณมาก คงต้องรบกวนคุณชมพู่อีกเยอะ”
“ไม่รบกวนอะไรหรอกค่ะ ในฐานะเจ้าถิ่น ฉันช่วยอะไรได้ก็เต็มใจ”
และก่อนบทสนทนาจะดำเนินไป โทรศัพท์มือถือของพริษฐ์ก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน ชายหนุ่มพยักพเยิดหน้าเป็นทำนองขอตัว ซึ่งหญิงสาวก็พยักหน้าเบาๆ แล้วหันไปสนใจมองถนนข้างหน้าเพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ชายหนุ่มคุยโทรศัพท์อย่างสะดวก
“ได้เรื่องว่าไงบ้างวะทิว”
“ทักกันอย่างนี้เลยหรือวะ ใจร้อนจริงๆ เลยเพื่อน”
“เออ...นายได้ความว่ายังไงก็พูดมา อย่ามามัวโยกโย้” พริษฐ์สวนกลับทันใด รู้ว่าเพื่อนไม่มีเวลาว่างต่อโทรศัพท์คุยกับใครเล่นๆ ถ้าเมื่อไรที่ทิวไผ่โทร.มา นั่นหมายความว่าได้เรื่อง
“เรื่องที่นายให้สืบนั่นแหละ”
“ได้ความว่ายังไงบ้าง” พริษฐ์ถามทันที น้ำเสียงตื่นเต้น นี่นับเป็นเบาะแสแรกที่ทำให้เขารู้ว่าควรจัดการเรื่องพินัยกรรมอย่างไรต่อไป
“เฮ้ย...อย่าเพิ่งทำเสียงคาดหวังขนาดนั้น ผ่านไปแค่วันเดียวได้มาเท่านี้ก็บุญโขแล้ว”
“เออๆ บอกมาสักทีสิวะ”
“ฉันได้ที่อยู่คนที่นายให้สืบมาแล้ว จดเลยนะเว้ย”
“เดี๋ยว หากระดาษก่อน” เขาหันซ้ายหันขวาแล้วก็นึกได้ว่าไม่ได้อยู่ในรถตัวเอง พอเหลือบไปทางแก้มแหม่ม หญิงสาวก็บุ้ยหน้าบอกใบ้ไปทางเก๊ะตรงหน้า เขาพยักหน้าขอบคุณแล้วเปิดเก๊ะออก หยิบกระดาษและปากกาในนั้น “เออ ว่ามา”
“เป็นที่อยู่ตามทะเบียนราษฎร์นะ รู้ว่านายอยากรู้ก็เลยรีบโทร.มาบอกก่อน ให้เวลาฉันอีกหน่อยแล้วจะพยายามสืบหาข้อมูลให้มากกว่านี้”
“ขอบใจนะทิว” พริษฐ์เข้าใจ ปกติงานของทิวไผ่ก็ล้นมืออยู่แล้ว มาช่วยเขาในฐานะเพื่อน ได้เท่านี้ก็ถือว่ามีน้ำใจสุดๆ
“ไม่เป็นไร ไว้ฉันได้อะไรคืบหน้าจะโทร.ไปบอกอีกทีแล้วกัน เท่านี้ก่อนนะ ตอนนี้ฉันตามคดีผัวมีอีหนูอยู่ เดี๋ยวเหยื่อจะคลาดสายตาเสียก่อน” พูดจบปลายสายก็ตัดไป
พริษฐ์มองตัวอักษรเรียงรายบนกระดาษแผ่นเล็กนั้นอย่างครุ่นคิด ที่อยู่ซึ่งทิวไผ่หามาได้อยู่ในจังหวัดนี้นี่เอง นั่นทำให้ความสงสัยในตัวผู้หญิงปริศนาเพิ่มมากขึ้นทุกที
อัญชัน หิรัญรัตน...คุณเป็นใครกันแน่
เนตรนภัส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ก.ค. 2560, 15:53:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ก.ค. 2560, 15:53:56 น.
จำนวนการเข้าชม : 938
<< บทที่ 4 | บทที่ 6 >> |