ในรอยกาล / เพิ่มตอนพิเศษ
“พี่พริษฐ์หยิบหีบใบนั้นให้ชมพู่หน่อย”

ชายหนุ่มขยับเข้ามาทันที พื้นที่แคบๆ ทำให้ต้องยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ในขณะแก้มแหม่มเขย่งก็แล้ว ยืดแขนจนแทบเป็นกระโดดก็แล้ว กลับยังเอาลงมาไม่ได้ แต่พริษฐ์สามารถทำให้หีบไม้ลอยมาอยู่ตรงหน้าเธอได้เพียงแค่ไม่กี่วินาที

หญิงสาวรับมาอย่างลิงโลด รีบก้มลงสำรวจทันใด ทว่าการหันหน้าเข้าหาชั้นวางของทำให้มีเงาพาดผ่าน ไม่สามารถมองลวดลายได้ถนัด แก้มแหม่มทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจจึงกลับหลังหันเข้าหาแสงไฟ แล้วก็ต้องตัวแข็งทื่อ แทนที่จะสว่างกลับมืดหนักเข้าไปอีก เมื่อมีกำแพงร่างกายบังเอาไว้

“พี่พริษฐ์” เธอครางเสียแผ่ว ความใกล้ชิดทำให้ไม่กล้าขยับตัว

เดินไปข้างหน้าก็ชนอกแกร่ง ครั้นจะถอยหลังก็ติดชั้นวางของ และถึงแม้แขนทั้งสองข้างของพริษฐ์ยังตกอยู่ข้างตัว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนโดนกอดกลายๆ

“ครับ”

เสียงขานรับดังอยู่ใกล้ๆ ราวกับเจ้าตัวโน้มหน้าลงมาคุยชิดกระหม่อมนี่เอง ความชิดใกล้ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แก้มแหม่มเริ่มทำอะไรไม่ถูก หูได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังมาก ราวกับวินาทีใดข้างหน้ามันจะหลุดออกมานอกอกประจานตัวเองให้ได้อาย

ใจจึงอยากผลักชายหนุ่มออกไปไกลๆ ให้พ้นตัวจะได้หายใจหายคอสะดวก แต่เสียงเล็กๆ อีกเสียงหนึ่งกลับสั่งห้ามไว้ แก้มแหม่มจึงยืนนิ่งก้มหน้างุดปล่อยให้ชายหนุ่ม ‘กอด’ อยู่อย่างนั้น

“มองพี่ได้ไหม”

นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม เพราะหลังจากนั้นคางมนก็ถูกช้อนขึ้นด้วยนิ้วมือแข็งแรง

ราวกับถูกร่ายมนตร์ ประกายบางอย่างซึ่งสะท้อนผ่านลูกแก้วสีดำคู่นั้นทำให้แก้มแหม่มอยากรู้ว่าคืออะไร จากที่ควรเบือนหลบก็จ้องนิ่งอยู่อย่างนั้น กระทั่งใบหน้าคมค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เธอก็ยังไม่ถอนสายตา

ตอนระยะห่างระหว่างกันเหลือไม่ถึงนิ้ว พริษฐ์ก็หยุดถามเสียงทุ้ม

“พี่จูบได้ไหม”

แก้มแหม่มน่าจะรู้ว่าคำถามของพริษฐ์ไม่เคยเป็นคำถามสักครั้ง สิ้นคำริมฝีปากอุ่นก็นาบลงมา คลอเคลีย หยอกเย้ากับริมฝีปากอิ่มราวภมรหนุ่มเลาะเล็มดื่มกินความหวานอย่างไม่รู้เบื่อ เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายสำลักลมหายใจ เขาก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย กระนั้นก็ยังไม่ยอมห่างไปไหน

เหมือนคนขาดอากาศหายใจมานาน พอได้รับอิสระแก้มแหม่มก็สูดลมเข้าปอดหนักๆ มือเล็กยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างเลื่อนลอย

ร่องรอยอ่อนหวานยังคงซ่านอยู่ตรงริมฝีปาก

เมื่อกี้เธอถูกจูบใช่ไหม


- * - * - เรื่องนี้รีอัปให้อ่านอีกรอบ และจะมีตอนพิเศษเพิ่มจากเดิม 3 ตอนค่ะ - * - * -

Tags: ในรอยกาล, เนตรนภัส, พริษฐ์, ชมพู่, แก้มแหม่ม,

ตอน: บทที่ 6

...๖...



แก้มแหม่มติดสอยห้อยตามพริษฐ์มาถึงเรือนไทยอีกครั้ง โดยให้เหตุผลกับชายหนุ่มว่า ถ้าเขาติดขัดอะไรเธอจะได้ให้คำแนะนำ พอชายหนุ่มเห็นดีด้วย แก้มแหม่มก็ได้แต่กระหยิ่ม

เธออยากเห็นในบ้านหลังนี้มานานแล้วว่าจะเหมือนบ้านโสนน้อยอย่างในละครจักรๆ วงศ์ๆ หรือเปล่า เมื่อวานตอนแอบเข้ามาก็เดินยังไม่ถึงเรือนไทย ดันเผลอหลับฝันเป็นตุเป็นตะไปเสียได้ โอกาสลอยมาตกลงตรงหน้า ไม่คว้าไว้ก็บ้าแล้ว ดังนั้นตอนนี้ข้างๆ พริษฐ์ ตรงหน้าเรือนไทยตั้งตระหง่าน จึงมีหญิงสาวเจ้าถิ่นยืนเคียงอยู่ด้วย

ชายหนุ่มกวาดตาสำรวจตัวบ้านอีกครั้ง เมื่อวานตอนมาถึงเป็นเวลาพลบค่ำ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ชัดเจนนัก ประกอบกับเจอแก้มแหม่มนอนสลบอยู่ในบริเวณบ้านจึงเข้าไปช่วยเหลือ เสียเวลาไปมาก รู้ตัวอีกทีพระอาทิตย์ก็ราแสง ความมืดปกคลุมไปทั่วพื้นที่ จะสำรวจอะไรก็ไม่ได้ จึงเห็นเพียงผิวเผินว่าบ้านขาดการบำรุงรักษา

ยามแสงตะวันสาดไปทั่วบริเวณอย่างเวลานี้ ทำให้เขาเห็นอย่างชัดเจนว่าบ้านทรุดโทรมจนน่าใจหาย

แม้เขาไม่ได้โตมาในบ้านหลังนี้ ตอนยังเป็นเด็กครอบครัวก็มักมาพักที่นี่บ่อยๆ ความทรงจำดีๆ มากมายเกิดขึ้นที่นี่ เขาชอบเวลาได้กลิ้งเกลือกไปกับพื้นไม้ขัดมัน ฟังปู่โชติเล่าเรื่องเก่าๆ ยามเป็นหนุ่ม เป็นเรื่องที่เวลาอยู่เมืองหลวงปู่ไม่เคยเล่าให้ฟังเลยสักครั้ง คงเพราะปู่เกิดและเติบโตในบ้านหลังนี้ พอได้กลับมายังที่คุ้นเคยจึงคิดถึงและโหยหาความทรงจำเก่าๆ

ปู่รักบ้านหลังนี้มาก สั่งไว้นักหนาว่า ของในตระกูลเศรษฐสิทธ์ต้องเป็นของคนในตระกูลเท่านั้น

ถ้าก่อนหน้านี้เขายังไม่รู้ว่าจะรักษาบ้านหลังนี้เอาไว้เพื่ออะไร ตอนนี้เขารู้แล้วว่าจะรักษาเรือนไทยหลังนี้เอาไว้สุดความสามารถ เพื่อปู่โชติที่เขารัก

“คุณว่าด้านในจะมีอนาคอนด้าไหม”

ประโยคนั้นดึงพริษฐ์ออกจากภวังค์ เขาหันไปมองข้างกายก็พบกับดวงตาคู่โตมองสบอยู่ก่อนแล้ว ประกายตาและสีหน้าของหญิงสาวสวนทางกับคำพูดนั้นโดยสิ้นเชิง

เจ้าตัวประชดตามสภาพบ้านที่คล้ายเป็นแหล่งชุมนุมของอสรพิษมากกว่าที่อยู่อาศัยของคนจริงๆ

“ถ้ามีจริงๆ กินคุณคนเดียวก็อิ่มขยับไปไหนไม่ได้แล้วละ ทีนี้ผมก็เผ่นสบาย” พริษฐ์ตอบหน้าตาย

“ง่ะ” แก้มแหม่มค้อนตากลับ แต่ก็ไม่มีท่าทีจะโกรธเคืองแต่อย่างใด

พริษฐ์ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกถูกชะตากับหญิงสาวจนสามารถทำตัวสนิทสนมกับเธอได้ในเวลาอันรวดเร็ว ไม่ติดใจสักนิดว่าการพบกันครั้งแรกนั้นออกจะแปลกประหลาดอยู่สักหน่อย มั่นใจเพียงแค่ว่าเขาสนิทใจกับหญิงสาว

“ผมล้อเล่นน่ะ ถ้ามันจะกินคุณจริงๆ ผมจะสละแขนข้างหนึ่งให้มันกินเลย โอเคไหม” เขาหันมาหลิ่วตาให้ แล้วเดินนำขึ้นบันไดไปก่อน มั่นใจว่าแก้มแหม่มต้องตามมาแน่ๆ

เพียงประตูบานใหญ่ถูกเปิดออกเท่านั้น ฝุ่นตามผนังก็ฟุ้งกระจายจนต้องหลับตาปี๋เอามืออุดจมูก ส่วนอีกข้างก็ปัดทั้งฝุ่นทั้งหยากไย่ให้พ้นตัว

“ฉันว่าอย่างแรกที่คุณต้องทำคือหาคนทำความสะอาดนะ” หญิงสาวเสนอเสียงอู้อี้ ซึ่งพริษฐ์ก็เห็นดีด้วย

“คุณพอจะหาคนงานให้ผมได้หรือเปล่า”

“ไม่มีปัญหา” แก้มแหม่มพยักหน้าหงึกๆ กวาดตาไปภายในบ้าน ความตื่นเต้นในคราแรกเมื่อรู้ว่าจะได้เข้ามาเหยียบบ้านหลังนี้หายไปกว่าครึ่ง เมื่อพบว่าทั้งอึมครึม เหม็นอับ แม้เครื่องเรือนชิ้นใหญ่ๆ บางชิ้นที่ไม่ได้ขนย้ายไปเก็บไว้ที่อื่นจะถูกคลุมเอาไว้ด้วยผ้า แต่คงช่วยอะไรได้ไม่มาก เปิดออกมาในนั้นก็คงเต็มไปด้วยฝุ่นและหยากไย่ไม่ต่างจากบนผืนผ้า

แก้มแหม่มถึงกับส่ายหน้า สภาพตอนนี้สู้บ้านหลังเล็กๆ แต่น่าอยู่ของเธอก็ไม่ได้สักนิด

“คุณพริษฐ์ อยู่ไหนน่ะ” หญิงสาวเรียก เมื่อหันมาอีกทีก็พบว่าชายหนุ่มที่มาด้วยกันหายไปเสียแล้ว “คุณพริษฐ์ ไหนว่าจะไม่ปล่อยให้งูกินฉันไง อยู่ไหนแล้วเนี่ย”

“อยู่นี่ครับ” พร้อมๆ กับเสียงตอบกลับมา แสงไฟก็สว่างพรึบ

“ผมเดินหาคัตเอาท์ไฟน่ะ จำได้เลาๆ ว่าอยู่อีกห้องหนึ่ง”

“ไฟยังใช้ได้อยู่หรือเนี่ย” แก้มแหม่มรำพึงเบาๆ แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นหูของพริษฐ์ไปได้ เขาหัวเราะให้กับความคิดของหญิงสาว

“บ้านผมไฟฟ้าเข้าถึงนะคุณ”

“ฉันหมายถึงหม้อแปลงไม่โดนขโมยยกไปขายเสียแล้วหรือไง ในเมื่อน้าเขียวแกก็ไม่ค่อยมาดูดำดูดีเลย” หญิงสาวขยายความ ส่วนเรื่องโดนตัดไฟนั้นผ่านไปได้ เพราะลงแบบนี้คงใช้วิธีตัดค่าไฟผ่านทางบัญชีเงินฝาก

“ก็นับว่าโชคดี” ชายหนุ่มพยักหน้าเห็นแล้ว จึงกดสวิตช์ไฟใกล้มือที่สุด ปรากฏว่าไฟไม่ติด

“สงสัยหลอดขาดไปแล้วมั้ง” แก้มแหม่มออกความเห็น

จังหวะหนึ่งเธอรู้สึกว่าสิ่งมีชีวิตเล็กๆ วิ่งผ่านมาชนเท้าจนเผลอกระโดดโหยง

“เฮ้ย!”

“เป็นอะไรหรือเปล่าคุณ”

แก้มแหม่มส่ายหน้าเบาๆ แล้วหันไปมองตรงจุดเกิดเหตุ ก็เห็นหนูบ้านตัวเขื่องวิ่งผ่านไป

“หนูมันวิ่งผ่านน่ะคุณ” บอกชายหนุ่มออกไปอย่างนั้น แต่ในใจแอบคิดว่า ถ้าบ้านหลังงามของโสนน้อยเป็นอย่างนี้ เธอคงต้องขอบาย

“อืม...คุณไปรอข้างนอกดีกว่า ผมยังต้องเดินสำรวจอีกหลายจุดว่ามีอะไรต้องซ่อมแซมบ้าง กว่าจะเสร็จคงอีกสักพัก บ้านหลังนี้คงต้องปรับปรุงกันอีกขนานใหญ่”

ท่าทีลังเลของหญิงสาวทำให้พริษฐ์ต้องเสริม

“ไปเถอะคุณ ในนี้ทั้งอับทั้งฝุ่น เดี๋ยวจะไม่สบาย อีกอย่างผมก็ไม่รู้ว่านาทีต่อไปจะมีตัวอะไรโผล่ออกมาอีกหรือเปล่า ที่สำคัญกลัวว่าตอนผมเผลอ อนาคอนด้าจะลากคุณไปกินเสียก่อน”

“บ้านมีหนูตัวเท่าแมวแบบนั้น งูมันคงไม่อยู่หรอก” แก้มแหม่มค้อนตากลับ กระนั้นก็ยอมออกไปรอข้างนอกแต่โดยดี

มั่นใจว่าหญิงสาวออกไปเรียบร้อยแล้วนั่นละ พริษฐ์ถึงวางใจเดินสำรวจห้องหับต่างๆ





ออกมาจากบ้านแก้มแหม่มก็เดินสำรวจไปรอบๆ ประเมินด้วยสายตาแล้วนอกจากบ้านที่ต้องซ่อม เธอยังเห็นว่าส่วนอื่นๆ ก็ควรได้รับการปรับปรุงขนานใหญ่เช่นเดียวกัน

แถวข้างบ้านและหน้าบ้านคงเคยเป็นสวนสวย ตอนนี้ไม้ประดับยืนต้นตาย มีพืชเถาบางชนิดเลื้อยปกคลุม บางจุดเธอเห็นแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า

ขนาดหญ้าคาที่ว่าตายยากนักหนายังแห้งตาย นี่ถ้าใครโยนขี้บุหรี่ลงไป ไฟคงลุกพรึบลามไปจนติดตัวบ้านแน่ๆ

โอกาสเกิดเรื่องอย่างที่เธอกลัวมีมาก นับว่าโชคดีที่วัยรุ่นไม่เข้ามามั่วสุม มิเช่นนั้นแล้วบ้านหลังนี้คงเหลือเพียงแค่ซาก

สมแล้วที่พริษฐ์ไล่น้าเขียวออก หาคนใหม่ไว้ใจได้ยังดีเสียกว่า

เดินไปอีกนิด บริเวณนั้นร่มรื่นจากเงาไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ดีหน่อยว่าเป็นพันธุ์ไม้ตายยากจึงสามารถยืนหยัดมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ก็นั่นแหละ ทั้งพุ่มใบไม่ได้รับการตัดแต่งเป็นเวลานาน บริเวณนั้นจึงทึบทึม แสงแดดส่องไม่ค่อยถึง พื้นเบื้องล่างก็เต็มไปด้วยใบไม้แห้ง พื้นที่แบบนี้พวกงูเงี้ยวเขี้ยวขอชอบนักแล

รวมทั้งต้นไม้เล็กๆ ที่งอกขึ้นเองตามเมล็ดพันธุ์ที่ลอยลมมาหรือไม่ก็จากมูลของนก นี่เป็นอีกจุดที่ควรได้รับการปรับปรุง รวมๆ แล้วเรียกได้ว่างานภายนอกก็เยอะไม่ต่างจากการงานภายใน

แก้มแหม่มเดินสำรวจไปเรื่อยๆ สมองก็บันทึกสิ่งที่ควรปรับปรุงเอาไว้ไปบอกให้พริษฐ์ทราบ พอเห็นว่าในขั้นต้นคงไม่มีอะไรมากไปกว่าการหักล้างถางพง ตัดแต่งกิ่งไม้ จัดการพวกใบไม้แห้งและเศษขยะให้หมด หลังจากนั้นคงต้องจัดสวน ปูหญ้ากันใหม่ เธอก็เดินกลับ หวังไปรอชายหนุ่มที่รถหรือไม่ก็ตรงไหนสักแห่งซึ่งเขาสามารถมองเห็นได้ง่ายๆ

เดินมาได้สักพักแก้มแหม่มก็เริ่มเหนื่อย ดูเหมือนอาณาบริเวณอันกว้างขวางของที่นี่ บวกกับแสงแดดกล้าจะทำให้เธอสูญเสียพลังงานไปอย่างรวดเร็ว ชนิดที่ปาท่องโก๋กับโจ๊กหมูของป้าตาบเอาไม่อยู่ ดังนั้นพอเห็นว่าอยู่ในระยะพริษฐ์มองเห็น เธอก็นั่งปุลงตรงโคนไม้ ทิ้งหลัง เหยียดขาอิงลำต้นไว้อย่างง่ายๆ หวังพักเหนื่อยสักครู่

คงเพราะเมื่อคืนเธอนอนไม่ค่อยหลับ กว่าจะข่มตาลงได้ก็ใกล้รุ่ง แถมยังสะดุ้งตื่นขึ้นในตอนเช้าอีก พอมาเจอลมเย็นๆ ภายใต้บรรยากาศร่มรื่นเข้า เปลือกตาก็เริ่มหนักอึ้ง พร้อมจะปรือปิดตลอดเวลา...



‘มาแล้วหรือจ๊ะเดือน พี่คิดว่าจะถูกปล่อยให้รอเก้อเสียแล้ว’

“ต้องมาสิคะ พี่เทิดก็รู้ว่าเดือนไม่เคยผิดนัดพี่” คำตัดพ้อทำให้หญิงสาวที่เพิ่งมาถึงแก้ตัวน้ำเสียงร้อนรน ด้วยกลัวชายหนุ่มไม่พอใจ แล้วหันไปตำหนิเด็กหญิงที่มาด้วยกัน “เห็นไหมล่ะแก้ว พี่บอกแล้วรีบๆ พี่เทิดรอนานเลยเห็นไหม”

เด็กหญิงแก้วเบ้ปาก หันหน้าหนีไปอีกทางทันทีเมื่อโดนดุ ดูท่าคงกำลังไม่พอใจ เห็นดังนั้นเทิดจึงเป็นฝ่ายไกล่เกลี่ย

“เดือนอย่าไปว่าแก้วเลยจ้ะ น้องแก้วก็ไม่โกรธพี่เดือนนะครับ พี่เดือนแค่กลัวพี่เทิดเสียใจ” นั่นละใบหน้าของเด็กหญิงจึงชื่นขึ้น

“ค่ะ งั้นแก้วขอไปวิ่งเล่นตรงโน้นนะคะ”

เดือนพยักหน้าเมื่อเห็นว่าตรงลานวัดที่แก้วชี้ไป มีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานอยู่ก่อนแล้ว

“ใช่ไหมจ๊ะ”

“ใช่ไหมอะไรคะ” หญิงสาวถามกลับ

“เดือนกลัวพี่เสียใจเลยต้องดุแก้ว พี่คิดถูกหรือเปล่าจ๊ะ”

คำพูดหวานหูไม่ร้ายกาจเท่าเจ้าตัวโน้มหน้ามาถามกันใกล้ๆ จนต้องเสเบือนหน้าหลบ ซ่อนรอยยิ้มอายๆ เอาไว้

“พี่เทิดน่ะ พูดอะไรก็ไม่รู้ นี่ในวัดนะจ๊ะ”

“พี่พูดความจริง ไม่ได้โกหกพกลม พระท่านไม่ว่าอะไรหรอกจ้ะ”

“เดือนว่าเราไปช่วยเขาขนทรายกันเถอะจ้ะ” หญิงสาวชักชวน รู้ดีว่าขืนนั่งอยู่ตรงนี้อีกนิดเธอต้องละลายกลายเป็นน้ำเพราะสายตาร้อนแรงของเทิดที่มองมาเป็นแน่

“จ้ะ พี่เตรียมกระป๋องมาเผื่อเดือนด้วยนะ”

“ขอบคุณจ้ะพี่เทิด” เดือนส่งยิ้มหวานให้ เดินเคียงคู่กับเทิดไปยังทรายกองใหญ่ท้ายวัด ทรายกองนี้มีผู้ใจบุญซื้อมาบริจาค โดยเทรวมกันไว้เป็นกองใหญ่เพื่อใช้ในงานขนทรายเข้าวัดโดยเฉพาะ ต่างจากปีก่อนที่ชาวบ้านต้องเดินไปตักทรายมาจากริมคลอง

ท่ามกลางชาวบ้านมากมายที่ร่วมแรงร่วมใจกันทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หนุ่มสาวใช้กระป๋องที่เตรียมมาค่อยๆ ขนทรายกองรวมกันไว้ข้างอุโบสถ จนเป็นที่พอใจแล้วก็เริ่มโกยทรายที่ขนมาก่อเป็นกอง

“เดือนรู้ไหมจ๊ะทำไมต้องมีประเพณีขนทรายเข้าวัด”

หญิงสาวส่ายหน้าทันที เธอรู้แค่ว่าเป็นพิธีบุญเท่านั้น

“เป็นกุศโลบายของคนโบราณน่ะจ้ะ เหมือนที่คนแก่ๆ เคยขู่เด็กว่าอย่าเล่นข้าวสารเพราะมือจะเปื่อยเป็นถ้ำ เดือนก็รู้ใช่ไหมจ๊ะว่าผู้ใหญ่เขากลัวข้าวสารหก ก็เลยหลอกเราแบบนั้น ขนทรายเข้าวัดก็เหมือนกัน”

“จ้ะ” ใบหน้างามพยักหงึกๆ มือเป็นถ้ำเป็นอย่างไรไม่เคยเห็น แต่ถ้าเมื่อใดเผลอหยิบข้าวสารเล่นเป็นถูกตีทุกครั้ง

“การโรยทรายรอบโบสถ์เป็นสัญลักษณ์แทนมหาสมุทรและน้ำตามคติจักรวาลพุทธศาสนา แต่ถ้าให้พี่มอง พี่คิดว่าการโรยทรายทำให้หญ้ามันไม่งอก หรือถ้ามีงอกมาบ้างก็ถอนง่ายกว่าหญ้าที่ขึ้นบนดิน การโรยทรายไว้รอบโบสถ์ทำให้พระสงฆ์ทำความสะอาดวัดได้ง่ายขึ้น แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุของงานขนทรายเข้าวัดหรอกจ้ะ”

“อ้าว”

“อย่าเพิ่งอารมณ์เสียไปสิ พี่กำลังจะเล่าอยู่นี่แล้วไง ถึงไม่ใช่เหตุผล แต่มันก็เกี่ยวกันนะจ๊ะ”

เสียงหัวเราะแผ่วๆ และประกายเอ็นดูจากดวงตาของเทิด หยุดคำต่อว่าจากปากเดือนได้เป็นอย่างดี หญิงสาวจึงตั้งใจฟังต่อ ขณะเดียวกันมือก็คอยกอบทรายบนพื้นขึ้นมาโปะไว้ให้เป็นกองสูง

“สาเหตุที่เราต้องขนทรายเข้าวัดก็เพราะว่า เวลาเรามาวัด ขากลับทรายในวัดมักติดเท้าหรือรองเท้าของเรากลับไปด้วย ถึงใจไม่ได้เจตนา แต่ก็เหมือนเราเอาของวัดไป ดังนั้นจึงเกิดประเพณีขนทรายเข้าวัดขึ้น ถือเป็นการเอาทรายมาทำบุญเพื่อเป็นการชดใช้ที่เราเอาไปไงจ๊ะ”

เดือนกวาดตาไปรอบๆ ทั่วทั้งบริเวณวัดขณะนี้แน่นขนัดไปด้วยชาวบ้านที่ต่างร่วมแรงร่วมใจกันขนทรายเข้ามา

“ไม่เท่านั้น ยังสร้างความสามัคคีอีกด้วย งานอะไรก็รวมใจคนไม่ได้มากเท่างานบุญหรอกจ้ะ”

“พี่เทิดเก่งจังเลย” เธอชื่นชมจากใจจริง

“แล้วแบบนี้เดือนมีรางวัลอะไรให้พี่หรือเปล่าจ๊ะ” ชายหนุ่มโน้มตัวมาพูดใกล้ๆ หู ลมหายใจอุ่นๆ ที่รินรดเล่นเอาเดือนถึงกับสะท้าน ก้มหน้าหลบสายตาร้อนแรงอย่างเอียงอาย

“เดือนไม่มีอะไรให้พี่เทิดหรอกจ้ะ”

“เดือนรู้ไหม...เมื่อกี้ตอนพี่รอเดือน ถึงเพิ่งมาไม่นานก็จริง แต่พอไม่มีเดือนอยู่ข้างๆ เวลามันช่างเดินช้าเสียเหลือเกิน จนพี่กลัวว่าเดือนอาจจะไม่มา ปล่อยให้พี่รอเก้อเสียแล้ว เดือนมีอะไรปลอบขวัญพี่บ้างไหม”

อะไรไม่ร้ายกาจเท่าสายตาร้อนแรงเหมือนแสงแดดยามนี้ ที่ทำให้ดรุณีน้อยทำหน้าไม่ถูก ใจเต้นไม่เป็นส่ำ แต่ทั้งหมดทั้งมวลไม่ได้เกิดจากความไม่พอใจ ลึกๆ นั้นเดือนพึงใจคำพูดหวานหูของเทิดเป็นอย่างมาก แต่คำสอนของผู้ใหญ่ทำให้ต้องสงวนท่าที

“พี่เทิดคิดมากไปเองหรือเปล่าจ๊ะ เวลาก็เดินเท่าเดิมทุกวัน”

“จริงๆ นะ อย่างตอนนี้พอมีเดือนอยู่ข้างๆ เวลาก็เริ่มเดินเร็วอีกแล้ว พี่ไม่อยากให้วันนี้หมดไปเลย” ไม่พูดเปล่า มือแข็งแรงยังเอื้อมมาทาบทับมือเล็กซึ่งโกยทรายเป็นกองอยู่ด้วย

“พี่เทิด!” หญิงสาวอุทานอย่างตกใจ หันไปมองรอบกายเนื่องจากกลัวคนอื่นเห็น ทว่าก็ไม่มีใครสนใจใคร นอกจากกองทรายตรงหน้าเท่านั้น

“ไม่มีใครสนใจเราหรอกจ้ะ”

“แต่...”

“เดือนจะอนุญาตให้พี่ไปขอเดือนกับคุณๆ ได้ไหมจ๊ะ”

หญิงสาวนิ่งขึงไปนิด ไม่แน่ใจว่าที่ได้ยินนั้นถูกต้องหรือเปล่า

“พี่เทิดหมายความว่า...”

“จ้ะ พี่อยากได้เดือนไปเป็นแม่ศรีเรือน เดือนจะตกลงให้พี่ไปขอเดือนกับคุณๆ ได้ไหม”

“เดือน...เอ่อ...เดือน...”

โครม!






เนตรนภัส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ก.ค. 2560, 14:43:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ก.ค. 2560, 14:43:12 น.

จำนวนการเข้าชม : 793





<< บทที่ 5   บทที่ 7 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account