Honey Pie...สัญญา(รัก)ร้าย / เพิ่มตอนพิเศษ
เมื่อหนึ่งอยากสานสัมพันธ์
แต่อีกหนึ่งกลับพยายาม "ตัด"
ปฏิบัติการ "รัก" พาตัว จึงเริ่มต้นขึ้น!
-------------------------------------------
เจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันใย...ฉันทำอะไรให้เธอเคืองขุ่น
ปรักปรำฉันเป็นจำเลย? เชลย? ตัวประกัน?
จู่ๆ สติก็ดับวูบ ตื่นมาอีกครั้ง “พาริน” ก็พบว่านอนอยู่บนเตียงใหญ่ภายในห้องที่ไม่คุ้นเคย พร้อมๆ กับพบว่าตัวเองถูกลักพาตัว!!!
ราวกับฉากในละครที่เพิ่งย้อนดู เสียงเพลงประกอบดังกระหึ่มในหัว...
ไม่นะ นี่มันยุคไหนสมัยไหนแล้ว ยังจะมีการลักพาตัวอยู่อีก ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ หึ...แต่อย่าหวังว่าลูกพระพายอย่างเธอจะยอมให้ใครกดขี่ง่ายๆ ลองดูสิ ได้เห็นดีกันแน่!
ทว่าทุกอย่างกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด ดูเหมือน “ธารณ์” เตรียมตัวมาดี เขาสามารถแก้เกมของเธอได้ทุกกระบวน รู้ทันไปเสียทุกเรื่องราวกับเลี้ยงกุมารทองเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น
ถูกลักพาตัว ริบเงิน โทรศัพท์มือถือว่าร้ายแล้ว การอยู่ใกล้ธารณ์กลับร้ายยิ่งกว่า รับมือกับเขาไม่พอ ยังมีของแถมเป็นอริของเขาด้วยสิ โอ๊ยยยย เธออยากจะบ้า!
** เรื่องนี้มีตัวละครเกี่ยวเนื่องกับเรื่อง เลื่อมลายดอกรัก ที่วางแผงไปกับสนพ.แจ่มใสนะคะ
แต่สามารถอ่านแยกกันได้ค่ะ จะไม่ได้งงอะไรน้าาาา
แต่อีกหนึ่งกลับพยายาม "ตัด"
ปฏิบัติการ "รัก" พาตัว จึงเริ่มต้นขึ้น!
-------------------------------------------
เจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันใย...ฉันทำอะไรให้เธอเคืองขุ่น
ปรักปรำฉันเป็นจำเลย? เชลย? ตัวประกัน?
จู่ๆ สติก็ดับวูบ ตื่นมาอีกครั้ง “พาริน” ก็พบว่านอนอยู่บนเตียงใหญ่ภายในห้องที่ไม่คุ้นเคย พร้อมๆ กับพบว่าตัวเองถูกลักพาตัว!!!
ราวกับฉากในละครที่เพิ่งย้อนดู เสียงเพลงประกอบดังกระหึ่มในหัว...
ไม่นะ นี่มันยุคไหนสมัยไหนแล้ว ยังจะมีการลักพาตัวอยู่อีก ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ หึ...แต่อย่าหวังว่าลูกพระพายอย่างเธอจะยอมให้ใครกดขี่ง่ายๆ ลองดูสิ ได้เห็นดีกันแน่!
ทว่าทุกอย่างกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด ดูเหมือน “ธารณ์” เตรียมตัวมาดี เขาสามารถแก้เกมของเธอได้ทุกกระบวน รู้ทันไปเสียทุกเรื่องราวกับเลี้ยงกุมารทองเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น
ถูกลักพาตัว ริบเงิน โทรศัพท์มือถือว่าร้ายแล้ว การอยู่ใกล้ธารณ์กลับร้ายยิ่งกว่า รับมือกับเขาไม่พอ ยังมีของแถมเป็นอริของเขาด้วยสิ โอ๊ยยยย เธออยากจะบ้า!
** เรื่องนี้มีตัวละครเกี่ยวเนื่องกับเรื่อง เลื่อมลายดอกรัก ที่วางแผงไปกับสนพ.แจ่มใสนะคะ
แต่สามารถอ่านแยกกันได้ค่ะ จะไม่ได้งงอะไรน้าาาา
Tags: เนตรนภัส, ธารณ์, พาริน, พาย, รักโรแมนติก, Oh! My Honey
ตอน: บทที่ 1
๑
“ตื่นแล้วหรือคุณ” ผู้มาใหม่ถามยิ้มๆ ไม่สนใจอาการตกตะลึงจนตาเบิกโพลงทำให้ดวงตากลมโตอยู่แล้วใหญ่ขึ้นไปอีก
“นี่นายเป็นคนจับตัวฉันมาใช่ไหม” หญิงสาวกล่าวหานึกเดาได้ว่าใครเป็นคนลักพาตัวเธอมาเมื่อครู่ห้องถูกล็อกจากด้านนอก ถ้าเขาไม่ใช่คนร้ายจะเข้ามาในห้องได้อย่างไร ต้องเป็นเขาแน่
พอรู้ว่าใครเป็นโจรร้าย ความกลัวถูกฆ่าหมกป่าก็ลดลงกว่าครึ่ง ดวงตากลมของพารินวาววับพร้อมเอาเรื่องเต็มที่
“ก็ไม่เชิง” ชายหนุ่มไหวไหล่เบาๆ ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “แต่จะว่าอย่างนั้นก็ได้”เขาสาวเท้าเข้าไปหาหญิงสาวช้าๆ ด้วยท่วงท่าสบายๆ ต่างกับอีกคนที่ใบหน้าน่ารักออกอาการตกตื่น มองมาอย่างหวาดระแวง
ธารณ์ต้องกลั้นยิ้มอย่างเต็มความสามารถเมื่อการขยับเท้าของเขาแต่ละครั้ง หญิงสาวมักถอยหลังไปก้าวหนึ่งเสมอ ไม่บ่อยนักที่เขาได้เห็นใบหน้าของหญิงสาวออกอาการขวัญเสียทุกครั้งมีแต่มองมาอย่างไม่พอใจ คล้ายจะเอาเรื่องกันอยู่ตลอดเวลา
“หมายความว่ายังไง ถ้านายไม่ได้เป็นคนจับตัวฉันมาแล้วใคร แล้วจับฉันมาทำไม”
“นี่ไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้เนี่ย” ธารณ์ถามน้ำเสียงยียวน ทรุดนั่งลงตรงขอบเตียง แล้วต้องกลั้นหัวเราะอีกครั้งเมื่อหญิงสาวกระเด้งตัวหนีเหมือนกระต่ายไม่มีผิด
พารินมองคนที่นั่งไขว่ห้างสบายๆบนเตียงด้วยสายตากินเลือดกินเนื้อ แค่คิดตามคำพูดของเขาหน้าก็ร้อนผ่าว
ธารณ์เชื่อว่าถ้าหากสายตาของเธอเป็นมีดละก็ เขาคงถูกเฉือนเป็นชิ้นไปแล้ว
“ไม่จริงหรอก โกหกใช่ไหม”หญิงสาวถามอย่างมีความหวัง พยายามไม่จินตนาการไปไกลเกินกว่าแค่ถูกจับตัวมา ไม่มีอะไรมากกว่านั้นหรอก...มั้ง
แต่ไม่รู้ทำไมในหูเหมือนได้ยินเพลงละครหลังข่าวที่เพิ่งไล่ดูย้อนหลังจบไปไม่นานลอยเข้ามา
เจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันไย ฉันทำอะไรให้เธอเคืองขุ่น ปลักปลำฉันเป็นจำเลยของคุณ...
“ถ้าคิดแบบนั้นแล้วสบายใจก็ตามสบาย”
ซ้ำร้าย ดูเหมือนคนจับตัวเธอมาไม่ปล่อยให้เธอสบายใจเลยแม้แต่วินาทีเดียว เพราะสายตาที่มองมาอย่างโลมเลีย ค่อยๆไล่จากศีรษะ ใบหน้า ไต่ลงมาเรื่อยตามลำคอระหง ลาดไหล่มน พานทำให้ภาพที่เธอไม่อยากคิดเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ จนต้องถลึงตาใส่ชายหนุ่มเพื่อให้เขาหยุดทำเช่นนั้น
นอกจากห้ามไม่ได้แล้ว ดูเหมือนสายตาร้อนแรงคู่นั้นยังอ้อยอิ่งอยู่จุดหนึ่งเป็นเวลานาน จนหญิงสาวชักเอะใจ ก้มมองตรงจุดที่คิดว่าเป็นเป้าหมายของดวงตาดำขลับคู่นั้น แล้วใบหน้านวลก็ร้อนผ่าวเมื่อพบว่าเสื้อคลุมลายพรางของเธออันตรธานหายไปเรียบร้อย
แขนทั้งสองข้างยกมือขึ้นกอดอกด้วยความตกใจ ถึงแม้ตอนนี้เธอไม่ได้เปลือยเปล่า ยังมีเสื้อกล้ามสีขาวปกปิดร่างกายอย่างมิดชิด แต่สายตาร้อนแรงที่มองมาก็ทำให้รู้สึกเหมือนไม่มีอะไรคลุมกาย
“นี่นายถอดเสื้อฉันเหรอ” หญิงสาวถามเสียงเขียว ตาก็มองหาว่าเสื้อคลุมลายพรางตัวเก่งถูกเอาไปซุกไว้ที่ไหน
“แล้วเธอคิดว่าใครล่ะ”
“กรี๊ดดดด ไอ้บ้า โรคจิต รังแกผู้หญิง ฉันจะฟ้องพ่อให้มาเอาเลือดหัวเลวๆของนายออก”
“ตามสบาย”นอกจากไม่กลัวแล้ว ประโยคยุส่งของธารณ์ยังทำให้พารินเดือดปุดๆ
“โอ๊ย...ไอ้หน้าหนา ฉันไม่เคยพบเคยเห็นใครหน้าด้านแบบนี้มาก่อนเลย”
“อ้าว ไม่ค้านก็ว่าหน้าหนาอีก ห้ามก็คงหาว่าเผด็จการ จะเอายังไงกันแน่จ๊ะ พี่เอาใจไม่ถูกแล้วนะน้องพาย” เสียงทุ้มที่ดัดจนหวานหยดในตอนท้ายทำเอาพารินแทบเต้น
“พี่บ้าบออะไร นายไม่ใช่พี่ฉัน ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าน้อง”
“ก็ไม่ได้อยากเป็นพี่นักหรอกนะ อยากเป็นอย่างอื่นมากกว่า...อย่างเช่น” ธารณ์แกล้งลากเสียงตอนท้ายอย่างอ้อยอิ่งแล้วก็หยุดไปเสียอย่างนั้น
“เช่นอะไร พูดให้มันดีๆนะ”
“ทำไมจ๊ะ ถ้าพูดไม่ดี น้องพายจะทำอะไรพี่”ชายหนุ่มยังคงยียวนไม่เลิกอาการข่มความกลัวเอาไว้ด้วยท่าทางเอาเรื่องเหมือนลูกแมวตัวจ้อยที่สู้ยิบตาแม้คู่ต่อสู้ตัวใหญ่กว่ามากของพาริน ทำให้เขามีความสุขจนไม่อยากหยุดแหย่คนตรงหน้าได้เลย
“ก็จะทำให้นายหัวแบะน่ะสิ”สิ้นคำ มือที่กอดอยู่ตรงอกก็คลายออก คว้าหนังสือสันหนาใกล้มือได้ขว้างออกไปสุดแรง แล้วไม่ดูผล พารินรีบกระโจนออกจากตรงนั้นทันที อาศัยจังหวะที่ชายหนุ่มหลบวืดวิ่งไปตรงประตูทางออก
ธารณ์ไม่ใช่คนประมาท เขารู้อยู่แล้วว่าพารินคงสู้ยิบตา ดังนั้นพอหนังสือหล่นตุ้บลงไปบนเตียง ร่างสูงใหญ่ก็เผ่นแผล็วไปอยู่ข้างหลังหญิงสาวเรียบร้อย คว้าข้อมือเล็กไว้ได้ก็ออกแรงกระชากเบาๆ ร่างจ้อยก็เซถลามาซบอกเขาอย่างพยุงตัวเองไม่ได้
“กรี๊ด”อารามตกใจทำให้พารินหลุดเสียงหวีดร้องออกมาเบาๆ แล้วตัวแข็งทื่อเมื่อพบว่าตอนนี้ถูกกอดเอาไว้ทั้งตัว
พลังของบุรุษเพศ กลิ่นหอมอ่อนๆที่เธอไม่รู้ว่ามาจากน้ำหอม กลิ่นกายหรืออะไร ทำให้รู้สึกใจสั่นอย่างประหลาด แทนที่จะดิ้นหนีก็ปล่อยให้เขากอดอยู่อย่างนั้นโดยไม่ขัดขืน
นานเท่าไรก็สุดรู้ กระทั่งลมหายใจอุ่นๆและเสียงแผ่วริมหูทำให้ได้สติ หญิงสาวดิ้นรนให้หลุดจากพันธนาการ แต่ดูเหมือนยิ่งดิ้นมากเท่าไร อ้อมแขนแข็งแรงก็รัดแน่นขึ้นเท่านั้น
“จะไปไหน”
“แล้วจะอยู่ให้โง่หรือไง”
“นั่นสินะ”
น้ำเสียงเหมือนเห็นด้วยเสียเต็มประดา ทำให้พารินอยากรู้ว่าคนพูดรู้สึกอย่างไรกันแน่ จึงใช้มือดันอกอีกฝ่ายเพื่อให้ถอยห่าง แต่ดูเหมือนเป็นเธอเสียมากกว่าที่ต้องเอนตัวไปด้านหลังเพื่อเพิ่มระยะห่างระหว่างกันให้มากขึ้น เพราะธารณ์ไม่ให้ความร่วมมือแม้แต่น้อย
เพียงเห็นดวงตาไหวระริก เต็มไปด้วยรอยยิ้มหัว ที่เธอคิดว่าเจือความเยาะหยันเอาไว้เต็มตา พารินก็นึกโกรธตัวเอง
เธอน่าจะรู้ว่าเขาคงไม่ใจดีกับเธอขนาดนั้น ไม่น่าโง่เลยพายเอ๊ย...บ้าสิ้นดี
“ปล่อย” หญิงสาวออกแรงดิ้นอีกครั้ง คราวนี้ทั้งเตะทั้งถีบเท่าที่ขาซึ่งเป็นอิสระอยู่จะเอื้ออำนวย
เพราะไม่คิดว่าพารินจะมาไม้นี้ ธารณ์เลยไม่ทันตั้งตัว แรงถีบไม่มากก็จริงแต่โดนหลายครั้งเข้า ชายหนุ่มก็อดสูดปากด้วยความเจ็บไม่ได้
เห็นท่าว่าปล่อยเอาไว้แบบนี้ต้องช้ำเป็นกระท้อนโดนทุบแน่ ชายหนุ่มจึงพลิกร่าง ดันคนตัวเล็กให้เข้าไปชิดกำแพง แล้วใช้ท่อนขาแข็งแรงทับขาของหญิงสาวเอาไว้ไม่ให้ออกฤทธิ์ได้อีก
“พูดดีๆไม่ได้หรือไง ทำไมต้องใช้กำลังอยู่เรื่อย”ชายหนุ่มกระซิบลอดไรฟัน แล้วก็ถูกแหวจนหน้าหงาย
“พูดดีแล้วเข้าหูนายหรือไง ถ้าฉันบอกให้ปล่อยแล้วนายปล่อยหรือเปล่าล่ะ”
“นั่นสินะ”
“รู้อยู่แล้วจะพูดดีให้ได้อะไรขึ้นมา พูดไปก็เหมือนพูดกับหนูท่อ ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง”
“ปากคอเราะราย มันน่าเอาสบู่ล้างปากเสียจริงๆ”
“ลองสิ ถ้าฉันไม่สู้ก็อย่ามาเรียกว่าพาริน” หญิงสาวจ้องชายหนุ่มอย่างข่มขู่ ทั้งที่ใจนั้นหวั่นอยู่ไม่น้อย เธอรู้...ไม่ว่าอย่างไรแรงผู้หญิงก็สู้ผู้ชายไม่ได้ แต่ให้ยอมตั้งแต่เริ่มก็ไม่ใช่เธอเหมือนกัน
“เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ ค่อยมาขู่กัน”
“แน่จริงนายก็ปล่อยฉันสิ แล้วมาสู้กันตัวต่อตัว”
ธารณ์มองคนที่เสนอแนวทางอย่างใจป้ำแล้วอดขำไม่ได้ เข้าตาจนขนาดนี้แล้ว พารินยังสู้ยิบตา น่านับถือจริงๆ
“แฟร์เสียด้วย”
“ถึงฉันเป็นผู้หญิงก็แมนพอ”พารินมองคนตรงหน้าอย่างท้าทายแกมเยาะ หวังว่าชายหนุ่มจะคิดได้แล้วปล่อยเธอกลับบ้าน
ธารณ์เห็นการปรายตามองของหญิงสาวแล้วนึกรู้ เธอกำลังด่าเขาอยู่ในใจว่ารังแกผู้หญิงไม่มีทางสู้
“บังเอิญก็อยากแมนนะ แต่นาทีนี้คงต้องปล่อยเลยตามเลย ก็กลายเป็นผู้ร้ายไปแล้วนี่ กลับใจตอนนี้คงไม่มีประโยชน์”
พารินแทบกรี๊ด นอกจากไม่ตกหลุมพรางแล้ว สายตาดุดันที่เขามองเธอยังทำให้อดร้อนๆหนาวๆกลัวขึ้นมาติดหมัด ธารณ์พูดเหมือนสามารถทำได้โดยไม่แคร์อะไรทั้งสิ้นยิ่งเมื่อสำนึกว่าตอนนี้เธอถูกเขากักเอาไว้ด้วยแล้ว อย่าว่าแต่หนีเลย สลัดตัวเองให้หลุดจากท่าทางหมิ่นเหม่ เปลืองเนื้อเปลืองตัวนี่ ยังทำไม่ได้
ใจเย็นๆพาริน ตอนนี้เธอใช้ไม้แข็งไม่ได้ เกิดทำให้เขาโกรธมากขึ้น เธอไม่ได้ออกไปจากที่นี่ในสภาพดีๆแน่ แต่สภาพไหนเธอไม่อยากนึกเลย
อาจจะกลายเป็นศพ...กลายเป็นศพก็ไม่เจ็บปวด แต่ก่อนกลายเป็นศพนี่สิ เธอไม่อยากจินตนาการเลยว่าธารณ์จะทำอะไรกับเธอแน่ขืนถ้าเป็นอย่างที่หวั่นจริงๆละก็ เธอขอเอาหัวโขกกำแพงตายก่อนให้เกิดเรื่องบ้าๆนั้นขึ้น แต่ให้ดีอย่าเกิดเลยดีกว่า ดังนั้นพารินจึงหันมาใช้น้ำเย็นเข้าลูบ แม้อุณหภูมิอารมณ์กำลังเดือดเหมือนปรอทแตกก็ตาม
“มีสิ ถ้านายปล่อยฉันไปตอนนี้ ฉันจะไม่เอาเรื่อง” หญิงสาวเสนออย่างใจป้ำ ปรับน้ำเสียงให้อยู่ในโทนเป็นมิตรมากกว่าเมื่อครู่ ทั้งๆที่ในหัวนั้นมีภาพเธอสับธารณ์เป็นชิ้นๆ แล้วโยนชิ้นส่วนให้หนูท่อแทะอย่างเมามันก็ตาม
“เมื่อกี้ยังจะฟ้องพ่ออยู่เลย”
“เมื่อกี้ก็เมื่อกี้สิ ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้วไง นะ...ปล่อยฉันไปเถอะ นายจับฉันมาขังไว้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก”
“รู้ได้ไงว่าไม่มีประโยชน์”
“อ้าว...นายก็ไม่ใช่คนจน สิ้นไร้ไม้ตอกขนาดต้องจับฉันมาเรียกค่าไถ่หรอกใช่ไหม”หญิงสาวถามอย่างมีความหวัง
เธอรู้จากบิดาว่าเขาเป็นถึงเจ้าของโรงไม้ที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดเลยทีเดียว แล้วเรื่องอะไรต้องจับเธอมาเรียกค่าไถ่เอาเงินกัน
“ใช่”พอเห็นว่าหญิงสาวมีท่าทีอ่อนลง ธารณ์จึงเลิกกดขาหันมาใช้แขนสองข้างกักหญิงสาวเอาไว้หลวมๆเพื่อไม่ให้หนีเท่านั้น ขณะเดียวกันดวงตาคมก็ไม่ละจากใบหน้านวลแม้แต่น้อย เขาอยากรู้เหมือนกันว่าเธอจะมาไม้ไหน“พี่ไม่อยากได้เงินหรอก แต่ถ้าเป็นอย่างอื่น...”
ประกายวิบวับสลับมองมาอย่างสื่อความหมายในแง่ติดเรตทำเอาพารินต้องหักห้ามใจอย่างหนักไม่ให้กรี๊ดออกมาดังๆ เธอสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อสะกดอารมณ์ ทำไม่รู้ไม่ชี้เหมือนไม่เข้าใจว่าเขาต้องการสื่ออะไร
“นั่นไง เงินก็ไม่อยากได้ เพราะงั้นก็ปล่อยฉันกลับบ้านเถอะนะ ป่านนี้พ่อเป็นห่วงแย่แล้ว”
“แน่ใจหรือว่าที่บ้านจะเป็นห่วง”
ประโยคและสายตาที่มองมาอย่างรู้ทันของชายหนุ่มทำให้พารินย่นคิ้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพูดเหมือนรู้ว่าเธอกำลังหนีออกจากบ้าน
“นี่นายไปรู้อะไรมา”
“รู้อะไร”
พารินพยายามจับสังเกต จ้องมองชายหนุ่มอย่างอยากรู้ว่าเขาพูดอย่างนี้เพราะอะไร เขารู้ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่จึงถามหรือจริงๆแล้วเขาไม่รู้อะไรเลย ก็แค่ถามไปอย่างนั้น ไม่มีอะไรพิเศษ
“พี่ควรรู้อะไร”ธารณ์ถามย้ำอีกครั้ง
“ก็...ไม่เกี่ยวกับนายสักหน่อย”
“จริงน่ะ แน่ใจนะว่าที่ทำอยู่ถึงวันนี้ไม่เกี่ยวกับพี่จริงๆ”
เป็นอีกครั้งที่พารินรู้สึกเหมือนถูกรู้ทันว่าที่เธอหนีออกจากบ้านจนถูกลักพาตัวมานี่เพราะไม่อยากรับข้อเสนอหมั้นหมายกับเขานั่นแหละ แต่เรื่องอะไรจะยอมรับให้เสียหน้า ยิ่งเห็นดวงตาดำขลับไหวระริกเต็มไปด้วยความขบขัน เธอก็แน่ใจเขารู้แน่ๆ
“นายรู้เรื่องนี้ได้ไง”
ชายหนุ่มไหวไหล่กวนๆ ทำให้อารมณ์ที่ถูกสะกดให้เย็นลงของพารินเดือดขึ้นมาอีก
“บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่านายรู้ได้ยังไง ใครบอกนาย” ถามออกไปแล้วพารินก็ชักไม่แน่ใจว่าแผนการหนีออกจากบ้านของเธอมีใครรู้บ้าง เพราะนอกจากแวนด้าและแป้งร่ำเพื่อนสนิทซึ่งไม่เล่าให้บิดาของเธอฟังแน่ เธอก็ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง “หรือว่าพ่อ”
อีกอย่างคือเธอถูกลักพาตัวในคืนที่ออกจากบ้าน ตอนดึกค่อนเข้าสู่วันใหม่ ถ้าไม่รู้ล่วงหน้าเป็นวันเขาไม่มีทางบึ่งรถไปดักจับเธอมาได้แน่นอน แล้วไหนยังแผนการทำให้เธอลงจากรถนั่นอีก ทุกอย่างถูกวางแผนมาเป็นอย่างดี ไม่ใช่การกระทำอย่างฉุกละหุก เขารู้ได้อย่างไรว่าเธอจะหนีเมื่อคืน
“พี่รู้จักพายดีต่างหาก”
“รู้จักดี” หญิงสาวทวนคำอย่างไม่เชื่อหู “นายจะมารู้จักฉันดีได้ยังไง เราเจอกันกี่ครั้งเชียว” เธอแทบยกมือขึ้นมานับนิ้วได้เลยเชียวละ
“พายอาจไม่เชื่อ แต่พี่รู้จักพายดีกว่าที่พายคิดก็แล้วกัน ไม่งั้นพี่จะรู้ได้ไงว่าพายจะหนี ทำไม...กลัวหรือไง”
“กลัวอะไร คนอย่างฉันไม่มีอะไรให้กลัว”
“พี่ก็คิดว่าพายปอดแหก หนีออกจากบ้านเพราะกลัวถูกบังคับให้หมั้นกับพี่”
“ก็บอกแล้วไง ไม่ได้หนีๆ นายนี่ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง หรือต้องให้พูดภาษาหนูท่อ ถึงจะเข้าใจ หา!”
“ถ้าพูดได้ ก็อยากฟังเหมือนกัน อยากรู้มานานแล้วว่าภาษาหนูท่อเป็นยังไง ไหนๆก็ไหนๆแล้ว พูดให้ฟังเป็นบุญหูหน่อยสิ”
พารินกัดฟันกรอดด้วยความแค้นใจ นี่เขาไม่รู้เลยหรือไงว่าเธอประชด ฮึ่ย...โกรธ
หญิงสาวทำอะไรไม่ได้มากกว่าการเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เพราะอย่างที่รู้ๆกัน ตอนนี้เธอเปรียบเหมือนลูกไก่ในกำมือ จะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด...ถ้าเขาจะคลายน่ะนะ แต่ดูเหมือนตอนนี้เขาคงกำลังสนุกกับการยั่วเธอมากกว่า
“ฮึ่ย” สุดท้ายพารินก็ทำได้เพียงแยกเขี้ยวใส่ แล้วหุบปากเงียบเท่านั้น
“อ๋อ...สรุปหนูท่อเขาคุยกันแบบนี้นี่เอง ฮึ่ยๆ”
พารินกำลังจะอ้าปากด่าคนที่กล้าล้อเลียนตัวเอง แต่เห็นแววตาที่จ้องมาอย่างปรามอยู่ในทีนั้นแล้ว ก็ได้แต่กลืนทุกอย่างลงคอ
“จะปล่อยได้หรือยัง”
“ก็จะหนีอีกหรือเปล่าล่ะ”
ทำอย่างกับเปิดโอกาสให้เธอได้หนีอย่างนั้นแหละ
พารินไม่กล้าหลุดความคิดออกมาเป็นคำพูด เมื่อเห็นชายหนุ่มส่งสายตาข่มขู่อยู่ใกล้ๆ แต่ให้ยอมเสียทีเดียวก็ไม่ใช่พารินสิ หญิงสาวจึงส่งค้อนไปให้อย่างหมั่นไส้
“ปล่อยได้แล้ว กดลงมาได้ เจ็บจะตาย” หญิงสาวผลักแขนที่กักเธอเอาไว้เป็นสัญญาณ แต่แขนแข็งแรงก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย
“ตอบมาก่อนว่าจะหนีอีกหรือเปล่า”
“เรื่องเยอะจริง”หญิงสาวแหวอย่างหงุดหงิดเต็มที
“ตอบมาก่อน”ชายหนุ่มคาดคั้นเสียงเข้ม
“ก็ได้ๆ ไม่หนีก็ได้ พอใจหรือยัง”
“ครับ”
“ครับก็หลีก” ไม่ใช่แค่เสียงแหวแว้ด แต่มือเล็กยังซัดเพียะไปบนท่อนแขนแข็งแรง จนคนยกแขนหลบได้ไม่ทันใจถึงกับร้องโอดโอย
“มือหนักชะมัด”
“รู้ไว้ก็ดี จะได้ไม่คิดรังแกกันอีก” คนที่เดินกลับเข้าไปด้านในห้องหมุนมายกกำปั้นขู่
กลัวตายละ...ตัวเท่าเมี่ยง แค่เขาจับกดนิดเดียวก็ไปไหนไม่รอด ที่ปล่อยให้เดินลอยชายเข้าไปในห้องได้อีกรอบก็เพราะสงสารหรอก
ทางด้านคนที่เกือบได้รับอิสรภาพ เห็นชายหนุ่มลงให้ก็กระหยิ่มใจ ริมฝีปากบางคลี่เป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แบบคนเดินอยู่ด้านหลังไม่มีทางได้เห็น
ไม่หนี...ซะเมื่อไร ให้หลังนาย ฉันหนีแน่!
“ตื่นแล้วหรือคุณ” ผู้มาใหม่ถามยิ้มๆ ไม่สนใจอาการตกตะลึงจนตาเบิกโพลงทำให้ดวงตากลมโตอยู่แล้วใหญ่ขึ้นไปอีก
“นี่นายเป็นคนจับตัวฉันมาใช่ไหม” หญิงสาวกล่าวหานึกเดาได้ว่าใครเป็นคนลักพาตัวเธอมาเมื่อครู่ห้องถูกล็อกจากด้านนอก ถ้าเขาไม่ใช่คนร้ายจะเข้ามาในห้องได้อย่างไร ต้องเป็นเขาแน่
พอรู้ว่าใครเป็นโจรร้าย ความกลัวถูกฆ่าหมกป่าก็ลดลงกว่าครึ่ง ดวงตากลมของพารินวาววับพร้อมเอาเรื่องเต็มที่
“ก็ไม่เชิง” ชายหนุ่มไหวไหล่เบาๆ ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “แต่จะว่าอย่างนั้นก็ได้”เขาสาวเท้าเข้าไปหาหญิงสาวช้าๆ ด้วยท่วงท่าสบายๆ ต่างกับอีกคนที่ใบหน้าน่ารักออกอาการตกตื่น มองมาอย่างหวาดระแวง
ธารณ์ต้องกลั้นยิ้มอย่างเต็มความสามารถเมื่อการขยับเท้าของเขาแต่ละครั้ง หญิงสาวมักถอยหลังไปก้าวหนึ่งเสมอ ไม่บ่อยนักที่เขาได้เห็นใบหน้าของหญิงสาวออกอาการขวัญเสียทุกครั้งมีแต่มองมาอย่างไม่พอใจ คล้ายจะเอาเรื่องกันอยู่ตลอดเวลา
“หมายความว่ายังไง ถ้านายไม่ได้เป็นคนจับตัวฉันมาแล้วใคร แล้วจับฉันมาทำไม”
“นี่ไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้เนี่ย” ธารณ์ถามน้ำเสียงยียวน ทรุดนั่งลงตรงขอบเตียง แล้วต้องกลั้นหัวเราะอีกครั้งเมื่อหญิงสาวกระเด้งตัวหนีเหมือนกระต่ายไม่มีผิด
พารินมองคนที่นั่งไขว่ห้างสบายๆบนเตียงด้วยสายตากินเลือดกินเนื้อ แค่คิดตามคำพูดของเขาหน้าก็ร้อนผ่าว
ธารณ์เชื่อว่าถ้าหากสายตาของเธอเป็นมีดละก็ เขาคงถูกเฉือนเป็นชิ้นไปแล้ว
“ไม่จริงหรอก โกหกใช่ไหม”หญิงสาวถามอย่างมีความหวัง พยายามไม่จินตนาการไปไกลเกินกว่าแค่ถูกจับตัวมา ไม่มีอะไรมากกว่านั้นหรอก...มั้ง
แต่ไม่รู้ทำไมในหูเหมือนได้ยินเพลงละครหลังข่าวที่เพิ่งไล่ดูย้อนหลังจบไปไม่นานลอยเข้ามา
เจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันไย ฉันทำอะไรให้เธอเคืองขุ่น ปลักปลำฉันเป็นจำเลยของคุณ...
“ถ้าคิดแบบนั้นแล้วสบายใจก็ตามสบาย”
ซ้ำร้าย ดูเหมือนคนจับตัวเธอมาไม่ปล่อยให้เธอสบายใจเลยแม้แต่วินาทีเดียว เพราะสายตาที่มองมาอย่างโลมเลีย ค่อยๆไล่จากศีรษะ ใบหน้า ไต่ลงมาเรื่อยตามลำคอระหง ลาดไหล่มน พานทำให้ภาพที่เธอไม่อยากคิดเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ จนต้องถลึงตาใส่ชายหนุ่มเพื่อให้เขาหยุดทำเช่นนั้น
นอกจากห้ามไม่ได้แล้ว ดูเหมือนสายตาร้อนแรงคู่นั้นยังอ้อยอิ่งอยู่จุดหนึ่งเป็นเวลานาน จนหญิงสาวชักเอะใจ ก้มมองตรงจุดที่คิดว่าเป็นเป้าหมายของดวงตาดำขลับคู่นั้น แล้วใบหน้านวลก็ร้อนผ่าวเมื่อพบว่าเสื้อคลุมลายพรางของเธออันตรธานหายไปเรียบร้อย
แขนทั้งสองข้างยกมือขึ้นกอดอกด้วยความตกใจ ถึงแม้ตอนนี้เธอไม่ได้เปลือยเปล่า ยังมีเสื้อกล้ามสีขาวปกปิดร่างกายอย่างมิดชิด แต่สายตาร้อนแรงที่มองมาก็ทำให้รู้สึกเหมือนไม่มีอะไรคลุมกาย
“นี่นายถอดเสื้อฉันเหรอ” หญิงสาวถามเสียงเขียว ตาก็มองหาว่าเสื้อคลุมลายพรางตัวเก่งถูกเอาไปซุกไว้ที่ไหน
“แล้วเธอคิดว่าใครล่ะ”
“กรี๊ดดดด ไอ้บ้า โรคจิต รังแกผู้หญิง ฉันจะฟ้องพ่อให้มาเอาเลือดหัวเลวๆของนายออก”
“ตามสบาย”นอกจากไม่กลัวแล้ว ประโยคยุส่งของธารณ์ยังทำให้พารินเดือดปุดๆ
“โอ๊ย...ไอ้หน้าหนา ฉันไม่เคยพบเคยเห็นใครหน้าด้านแบบนี้มาก่อนเลย”
“อ้าว ไม่ค้านก็ว่าหน้าหนาอีก ห้ามก็คงหาว่าเผด็จการ จะเอายังไงกันแน่จ๊ะ พี่เอาใจไม่ถูกแล้วนะน้องพาย” เสียงทุ้มที่ดัดจนหวานหยดในตอนท้ายทำเอาพารินแทบเต้น
“พี่บ้าบออะไร นายไม่ใช่พี่ฉัน ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าน้อง”
“ก็ไม่ได้อยากเป็นพี่นักหรอกนะ อยากเป็นอย่างอื่นมากกว่า...อย่างเช่น” ธารณ์แกล้งลากเสียงตอนท้ายอย่างอ้อยอิ่งแล้วก็หยุดไปเสียอย่างนั้น
“เช่นอะไร พูดให้มันดีๆนะ”
“ทำไมจ๊ะ ถ้าพูดไม่ดี น้องพายจะทำอะไรพี่”ชายหนุ่มยังคงยียวนไม่เลิกอาการข่มความกลัวเอาไว้ด้วยท่าทางเอาเรื่องเหมือนลูกแมวตัวจ้อยที่สู้ยิบตาแม้คู่ต่อสู้ตัวใหญ่กว่ามากของพาริน ทำให้เขามีความสุขจนไม่อยากหยุดแหย่คนตรงหน้าได้เลย
“ก็จะทำให้นายหัวแบะน่ะสิ”สิ้นคำ มือที่กอดอยู่ตรงอกก็คลายออก คว้าหนังสือสันหนาใกล้มือได้ขว้างออกไปสุดแรง แล้วไม่ดูผล พารินรีบกระโจนออกจากตรงนั้นทันที อาศัยจังหวะที่ชายหนุ่มหลบวืดวิ่งไปตรงประตูทางออก
ธารณ์ไม่ใช่คนประมาท เขารู้อยู่แล้วว่าพารินคงสู้ยิบตา ดังนั้นพอหนังสือหล่นตุ้บลงไปบนเตียง ร่างสูงใหญ่ก็เผ่นแผล็วไปอยู่ข้างหลังหญิงสาวเรียบร้อย คว้าข้อมือเล็กไว้ได้ก็ออกแรงกระชากเบาๆ ร่างจ้อยก็เซถลามาซบอกเขาอย่างพยุงตัวเองไม่ได้
“กรี๊ด”อารามตกใจทำให้พารินหลุดเสียงหวีดร้องออกมาเบาๆ แล้วตัวแข็งทื่อเมื่อพบว่าตอนนี้ถูกกอดเอาไว้ทั้งตัว
พลังของบุรุษเพศ กลิ่นหอมอ่อนๆที่เธอไม่รู้ว่ามาจากน้ำหอม กลิ่นกายหรืออะไร ทำให้รู้สึกใจสั่นอย่างประหลาด แทนที่จะดิ้นหนีก็ปล่อยให้เขากอดอยู่อย่างนั้นโดยไม่ขัดขืน
นานเท่าไรก็สุดรู้ กระทั่งลมหายใจอุ่นๆและเสียงแผ่วริมหูทำให้ได้สติ หญิงสาวดิ้นรนให้หลุดจากพันธนาการ แต่ดูเหมือนยิ่งดิ้นมากเท่าไร อ้อมแขนแข็งแรงก็รัดแน่นขึ้นเท่านั้น
“จะไปไหน”
“แล้วจะอยู่ให้โง่หรือไง”
“นั่นสินะ”
น้ำเสียงเหมือนเห็นด้วยเสียเต็มประดา ทำให้พารินอยากรู้ว่าคนพูดรู้สึกอย่างไรกันแน่ จึงใช้มือดันอกอีกฝ่ายเพื่อให้ถอยห่าง แต่ดูเหมือนเป็นเธอเสียมากกว่าที่ต้องเอนตัวไปด้านหลังเพื่อเพิ่มระยะห่างระหว่างกันให้มากขึ้น เพราะธารณ์ไม่ให้ความร่วมมือแม้แต่น้อย
เพียงเห็นดวงตาไหวระริก เต็มไปด้วยรอยยิ้มหัว ที่เธอคิดว่าเจือความเยาะหยันเอาไว้เต็มตา พารินก็นึกโกรธตัวเอง
เธอน่าจะรู้ว่าเขาคงไม่ใจดีกับเธอขนาดนั้น ไม่น่าโง่เลยพายเอ๊ย...บ้าสิ้นดี
“ปล่อย” หญิงสาวออกแรงดิ้นอีกครั้ง คราวนี้ทั้งเตะทั้งถีบเท่าที่ขาซึ่งเป็นอิสระอยู่จะเอื้ออำนวย
เพราะไม่คิดว่าพารินจะมาไม้นี้ ธารณ์เลยไม่ทันตั้งตัว แรงถีบไม่มากก็จริงแต่โดนหลายครั้งเข้า ชายหนุ่มก็อดสูดปากด้วยความเจ็บไม่ได้
เห็นท่าว่าปล่อยเอาไว้แบบนี้ต้องช้ำเป็นกระท้อนโดนทุบแน่ ชายหนุ่มจึงพลิกร่าง ดันคนตัวเล็กให้เข้าไปชิดกำแพง แล้วใช้ท่อนขาแข็งแรงทับขาของหญิงสาวเอาไว้ไม่ให้ออกฤทธิ์ได้อีก
“พูดดีๆไม่ได้หรือไง ทำไมต้องใช้กำลังอยู่เรื่อย”ชายหนุ่มกระซิบลอดไรฟัน แล้วก็ถูกแหวจนหน้าหงาย
“พูดดีแล้วเข้าหูนายหรือไง ถ้าฉันบอกให้ปล่อยแล้วนายปล่อยหรือเปล่าล่ะ”
“นั่นสินะ”
“รู้อยู่แล้วจะพูดดีให้ได้อะไรขึ้นมา พูดไปก็เหมือนพูดกับหนูท่อ ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง”
“ปากคอเราะราย มันน่าเอาสบู่ล้างปากเสียจริงๆ”
“ลองสิ ถ้าฉันไม่สู้ก็อย่ามาเรียกว่าพาริน” หญิงสาวจ้องชายหนุ่มอย่างข่มขู่ ทั้งที่ใจนั้นหวั่นอยู่ไม่น้อย เธอรู้...ไม่ว่าอย่างไรแรงผู้หญิงก็สู้ผู้ชายไม่ได้ แต่ให้ยอมตั้งแต่เริ่มก็ไม่ใช่เธอเหมือนกัน
“เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ ค่อยมาขู่กัน”
“แน่จริงนายก็ปล่อยฉันสิ แล้วมาสู้กันตัวต่อตัว”
ธารณ์มองคนที่เสนอแนวทางอย่างใจป้ำแล้วอดขำไม่ได้ เข้าตาจนขนาดนี้แล้ว พารินยังสู้ยิบตา น่านับถือจริงๆ
“แฟร์เสียด้วย”
“ถึงฉันเป็นผู้หญิงก็แมนพอ”พารินมองคนตรงหน้าอย่างท้าทายแกมเยาะ หวังว่าชายหนุ่มจะคิดได้แล้วปล่อยเธอกลับบ้าน
ธารณ์เห็นการปรายตามองของหญิงสาวแล้วนึกรู้ เธอกำลังด่าเขาอยู่ในใจว่ารังแกผู้หญิงไม่มีทางสู้
“บังเอิญก็อยากแมนนะ แต่นาทีนี้คงต้องปล่อยเลยตามเลย ก็กลายเป็นผู้ร้ายไปแล้วนี่ กลับใจตอนนี้คงไม่มีประโยชน์”
พารินแทบกรี๊ด นอกจากไม่ตกหลุมพรางแล้ว สายตาดุดันที่เขามองเธอยังทำให้อดร้อนๆหนาวๆกลัวขึ้นมาติดหมัด ธารณ์พูดเหมือนสามารถทำได้โดยไม่แคร์อะไรทั้งสิ้นยิ่งเมื่อสำนึกว่าตอนนี้เธอถูกเขากักเอาไว้ด้วยแล้ว อย่าว่าแต่หนีเลย สลัดตัวเองให้หลุดจากท่าทางหมิ่นเหม่ เปลืองเนื้อเปลืองตัวนี่ ยังทำไม่ได้
ใจเย็นๆพาริน ตอนนี้เธอใช้ไม้แข็งไม่ได้ เกิดทำให้เขาโกรธมากขึ้น เธอไม่ได้ออกไปจากที่นี่ในสภาพดีๆแน่ แต่สภาพไหนเธอไม่อยากนึกเลย
อาจจะกลายเป็นศพ...กลายเป็นศพก็ไม่เจ็บปวด แต่ก่อนกลายเป็นศพนี่สิ เธอไม่อยากจินตนาการเลยว่าธารณ์จะทำอะไรกับเธอแน่ขืนถ้าเป็นอย่างที่หวั่นจริงๆละก็ เธอขอเอาหัวโขกกำแพงตายก่อนให้เกิดเรื่องบ้าๆนั้นขึ้น แต่ให้ดีอย่าเกิดเลยดีกว่า ดังนั้นพารินจึงหันมาใช้น้ำเย็นเข้าลูบ แม้อุณหภูมิอารมณ์กำลังเดือดเหมือนปรอทแตกก็ตาม
“มีสิ ถ้านายปล่อยฉันไปตอนนี้ ฉันจะไม่เอาเรื่อง” หญิงสาวเสนออย่างใจป้ำ ปรับน้ำเสียงให้อยู่ในโทนเป็นมิตรมากกว่าเมื่อครู่ ทั้งๆที่ในหัวนั้นมีภาพเธอสับธารณ์เป็นชิ้นๆ แล้วโยนชิ้นส่วนให้หนูท่อแทะอย่างเมามันก็ตาม
“เมื่อกี้ยังจะฟ้องพ่ออยู่เลย”
“เมื่อกี้ก็เมื่อกี้สิ ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้วไง นะ...ปล่อยฉันไปเถอะ นายจับฉันมาขังไว้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก”
“รู้ได้ไงว่าไม่มีประโยชน์”
“อ้าว...นายก็ไม่ใช่คนจน สิ้นไร้ไม้ตอกขนาดต้องจับฉันมาเรียกค่าไถ่หรอกใช่ไหม”หญิงสาวถามอย่างมีความหวัง
เธอรู้จากบิดาว่าเขาเป็นถึงเจ้าของโรงไม้ที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดเลยทีเดียว แล้วเรื่องอะไรต้องจับเธอมาเรียกค่าไถ่เอาเงินกัน
“ใช่”พอเห็นว่าหญิงสาวมีท่าทีอ่อนลง ธารณ์จึงเลิกกดขาหันมาใช้แขนสองข้างกักหญิงสาวเอาไว้หลวมๆเพื่อไม่ให้หนีเท่านั้น ขณะเดียวกันดวงตาคมก็ไม่ละจากใบหน้านวลแม้แต่น้อย เขาอยากรู้เหมือนกันว่าเธอจะมาไม้ไหน“พี่ไม่อยากได้เงินหรอก แต่ถ้าเป็นอย่างอื่น...”
ประกายวิบวับสลับมองมาอย่างสื่อความหมายในแง่ติดเรตทำเอาพารินต้องหักห้ามใจอย่างหนักไม่ให้กรี๊ดออกมาดังๆ เธอสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อสะกดอารมณ์ ทำไม่รู้ไม่ชี้เหมือนไม่เข้าใจว่าเขาต้องการสื่ออะไร
“นั่นไง เงินก็ไม่อยากได้ เพราะงั้นก็ปล่อยฉันกลับบ้านเถอะนะ ป่านนี้พ่อเป็นห่วงแย่แล้ว”
“แน่ใจหรือว่าที่บ้านจะเป็นห่วง”
ประโยคและสายตาที่มองมาอย่างรู้ทันของชายหนุ่มทำให้พารินย่นคิ้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพูดเหมือนรู้ว่าเธอกำลังหนีออกจากบ้าน
“นี่นายไปรู้อะไรมา”
“รู้อะไร”
พารินพยายามจับสังเกต จ้องมองชายหนุ่มอย่างอยากรู้ว่าเขาพูดอย่างนี้เพราะอะไร เขารู้ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่จึงถามหรือจริงๆแล้วเขาไม่รู้อะไรเลย ก็แค่ถามไปอย่างนั้น ไม่มีอะไรพิเศษ
“พี่ควรรู้อะไร”ธารณ์ถามย้ำอีกครั้ง
“ก็...ไม่เกี่ยวกับนายสักหน่อย”
“จริงน่ะ แน่ใจนะว่าที่ทำอยู่ถึงวันนี้ไม่เกี่ยวกับพี่จริงๆ”
เป็นอีกครั้งที่พารินรู้สึกเหมือนถูกรู้ทันว่าที่เธอหนีออกจากบ้านจนถูกลักพาตัวมานี่เพราะไม่อยากรับข้อเสนอหมั้นหมายกับเขานั่นแหละ แต่เรื่องอะไรจะยอมรับให้เสียหน้า ยิ่งเห็นดวงตาดำขลับไหวระริกเต็มไปด้วยความขบขัน เธอก็แน่ใจเขารู้แน่ๆ
“นายรู้เรื่องนี้ได้ไง”
ชายหนุ่มไหวไหล่กวนๆ ทำให้อารมณ์ที่ถูกสะกดให้เย็นลงของพารินเดือดขึ้นมาอีก
“บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่านายรู้ได้ยังไง ใครบอกนาย” ถามออกไปแล้วพารินก็ชักไม่แน่ใจว่าแผนการหนีออกจากบ้านของเธอมีใครรู้บ้าง เพราะนอกจากแวนด้าและแป้งร่ำเพื่อนสนิทซึ่งไม่เล่าให้บิดาของเธอฟังแน่ เธอก็ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง “หรือว่าพ่อ”
อีกอย่างคือเธอถูกลักพาตัวในคืนที่ออกจากบ้าน ตอนดึกค่อนเข้าสู่วันใหม่ ถ้าไม่รู้ล่วงหน้าเป็นวันเขาไม่มีทางบึ่งรถไปดักจับเธอมาได้แน่นอน แล้วไหนยังแผนการทำให้เธอลงจากรถนั่นอีก ทุกอย่างถูกวางแผนมาเป็นอย่างดี ไม่ใช่การกระทำอย่างฉุกละหุก เขารู้ได้อย่างไรว่าเธอจะหนีเมื่อคืน
“พี่รู้จักพายดีต่างหาก”
“รู้จักดี” หญิงสาวทวนคำอย่างไม่เชื่อหู “นายจะมารู้จักฉันดีได้ยังไง เราเจอกันกี่ครั้งเชียว” เธอแทบยกมือขึ้นมานับนิ้วได้เลยเชียวละ
“พายอาจไม่เชื่อ แต่พี่รู้จักพายดีกว่าที่พายคิดก็แล้วกัน ไม่งั้นพี่จะรู้ได้ไงว่าพายจะหนี ทำไม...กลัวหรือไง”
“กลัวอะไร คนอย่างฉันไม่มีอะไรให้กลัว”
“พี่ก็คิดว่าพายปอดแหก หนีออกจากบ้านเพราะกลัวถูกบังคับให้หมั้นกับพี่”
“ก็บอกแล้วไง ไม่ได้หนีๆ นายนี่ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง หรือต้องให้พูดภาษาหนูท่อ ถึงจะเข้าใจ หา!”
“ถ้าพูดได้ ก็อยากฟังเหมือนกัน อยากรู้มานานแล้วว่าภาษาหนูท่อเป็นยังไง ไหนๆก็ไหนๆแล้ว พูดให้ฟังเป็นบุญหูหน่อยสิ”
พารินกัดฟันกรอดด้วยความแค้นใจ นี่เขาไม่รู้เลยหรือไงว่าเธอประชด ฮึ่ย...โกรธ
หญิงสาวทำอะไรไม่ได้มากกว่าการเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เพราะอย่างที่รู้ๆกัน ตอนนี้เธอเปรียบเหมือนลูกไก่ในกำมือ จะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด...ถ้าเขาจะคลายน่ะนะ แต่ดูเหมือนตอนนี้เขาคงกำลังสนุกกับการยั่วเธอมากกว่า
“ฮึ่ย” สุดท้ายพารินก็ทำได้เพียงแยกเขี้ยวใส่ แล้วหุบปากเงียบเท่านั้น
“อ๋อ...สรุปหนูท่อเขาคุยกันแบบนี้นี่เอง ฮึ่ยๆ”
พารินกำลังจะอ้าปากด่าคนที่กล้าล้อเลียนตัวเอง แต่เห็นแววตาที่จ้องมาอย่างปรามอยู่ในทีนั้นแล้ว ก็ได้แต่กลืนทุกอย่างลงคอ
“จะปล่อยได้หรือยัง”
“ก็จะหนีอีกหรือเปล่าล่ะ”
ทำอย่างกับเปิดโอกาสให้เธอได้หนีอย่างนั้นแหละ
พารินไม่กล้าหลุดความคิดออกมาเป็นคำพูด เมื่อเห็นชายหนุ่มส่งสายตาข่มขู่อยู่ใกล้ๆ แต่ให้ยอมเสียทีเดียวก็ไม่ใช่พารินสิ หญิงสาวจึงส่งค้อนไปให้อย่างหมั่นไส้
“ปล่อยได้แล้ว กดลงมาได้ เจ็บจะตาย” หญิงสาวผลักแขนที่กักเธอเอาไว้เป็นสัญญาณ แต่แขนแข็งแรงก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย
“ตอบมาก่อนว่าจะหนีอีกหรือเปล่า”
“เรื่องเยอะจริง”หญิงสาวแหวอย่างหงุดหงิดเต็มที
“ตอบมาก่อน”ชายหนุ่มคาดคั้นเสียงเข้ม
“ก็ได้ๆ ไม่หนีก็ได้ พอใจหรือยัง”
“ครับ”
“ครับก็หลีก” ไม่ใช่แค่เสียงแหวแว้ด แต่มือเล็กยังซัดเพียะไปบนท่อนแขนแข็งแรง จนคนยกแขนหลบได้ไม่ทันใจถึงกับร้องโอดโอย
“มือหนักชะมัด”
“รู้ไว้ก็ดี จะได้ไม่คิดรังแกกันอีก” คนที่เดินกลับเข้าไปด้านในห้องหมุนมายกกำปั้นขู่
กลัวตายละ...ตัวเท่าเมี่ยง แค่เขาจับกดนิดเดียวก็ไปไหนไม่รอด ที่ปล่อยให้เดินลอยชายเข้าไปในห้องได้อีกรอบก็เพราะสงสารหรอก
ทางด้านคนที่เกือบได้รับอิสรภาพ เห็นชายหนุ่มลงให้ก็กระหยิ่มใจ ริมฝีปากบางคลี่เป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แบบคนเดินอยู่ด้านหลังไม่มีทางได้เห็น
ไม่หนี...ซะเมื่อไร ให้หลังนาย ฉันหนีแน่!
เนตรนภัส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ก.ค. 2560, 17:54:35 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ก.ค. 2560, 17:54:35 น.
จำนวนการเข้าชม : 878
<< บทนำ | บทที่ 2 [1/2] >> |