Crazy Love Song เพลงรักลวงใจ
เธอ ฝันอยากจะเป็นนักร้อง เลือกเดินหนีจากทุกสิ่งเพื่อไขว่คว้าหาอิสระ
เขา นักดนตรีผู้ไร้ความฝัน เลือกเดินหนีจากทุกอย่างเพื่อไขว่คว้าหาที่พักของหัวใจ


พวกเขาจะพากันหนีไปจนสุดขอบฟ้า... หรือว่าจะดิ่งลงเหวไปด้วยกัน


Tags: วัยรุ่น,ดราม่า,ดนตรี,วง,รัก,ดาร์ก

ตอน: บทเพลงที่ 5


บทเพลงที่ 5

Solitary



การกลับเข้าบ้านยามรุ่งสาง และการไม่ยอมกลับบ้านติดๆ กันอยู่สองสามอาทิตย์นั้นทำให้ฉันต้องถูกผู้คุมคอยจับตาดูอย่างเข้มงวด เป็นบทลงโทษที่ช่างน่ารำคาญที่สุด ไม่ว่าเมื่อใดที่ฉันก้าวขาออกจากบ้าน ผู้คุมก็จะเข้ามาคุมตัวฉันกลับเข้าบ้านในทันที



ไม่รู้ว่าพี่ชายของฉันว่างมากนักหรือไง ถึงได้มานั่งคุมฉันทั้งวันทั้งคืนอยู่แบบนี้



“ช่วงนี้ยังไม่ค่อยยุ่งเท่าไหร่ ไม่ต้องเป็นห่วง” พี่แดนตอบกลับมาเสียงใส ซึ่งทำให้ฉันแบะปากใส่เขาอย่างนึกหมั่นไส้ ใครเป็นห่วงใครกัน ฉันเป็นห่วงตัวฉันเองต่างหาก



“ถ้ายอมเชื่อฟัง แอดเข้านิติเสียตั้งแต่ทีแรก ก็ไม่ต้องมาทนนั่งเป็นนักโทษอยู่แบบนี้หรอก” พ่อพูดขึ้นขณะก้มหน้าอ่านบทความอะไรสักอย่างในไอแพด “แล้วพี่เขาก็จะได้ไปเรียนได้ด้วย”



ฉันกลอกตาด้วยความเบื่อหน่าย ไม่ว่าจะทางไหนฉันก็ต้องเป็นนักโทษอยู่ดีนั่นแหละ ต่างกันแค่ว่านักโทษในสถาบันการศึกษาหรือในบ้านเท่านั้นเอง และถ้าไม่อยากให้คุณลูกชายสุดที่รักเสียการเรียนนัก ก็สั่งให้เขาเลิกคุมฉันซะทีสิ



“กาแฟค่ะ” แม่เดินถือถ้วยกาแฟออกมาจากครัว แล้ววางถ้วยลงบนโต๊ะข้างๆ ไอแพดของพ่อ ก่อนจะเดินอ้อมมานั่งลงข้างๆ ฉัน



“คิดๆ แล้วก็น่าแค้นนัก ดื้อรั้นไม่ยอมสมัครแอดมิชชั่น สุดท้ายก็ต้องกลายเป็นเด็กไร้ค่าไม่มีที่เรียนอยู่แบบนี้” พ่อพูดขึ้นอีกด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวกว่าเดิม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาจ้องฉันเขม็ง “แล้วปีนี้ทั้งปีแกจะทำอะไร เที่ยวเล่นไปวันๆ งั้นเรอะ”



“ก็คงงั้นมั้งคะ” ฉันยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ



“เดย์!” พ่อกัดฟันกรอดขณะถลึงตาใส่ฉัน “ดูพี่เขาซิ ตั้งใจเรียน ได้คะแนนดี ทำไมทำแบบพี่เค้าไม่ได้! ฮะ!”



ฉันรู้สึกฉุนขาดขึ้นมาทันที พ่อเอาแต่พูดถึงพี่อยู่ได้ ฉันไม่ใช่ลูกชายสุดประเสริฐของพ่อสักหน่อย ฉันมันไร้สมอง หัวขี้เลื่อย แล้วจะมาบังคับให้ฉันเรียนกฎหมายเนี่ยนะ



“หนูไม่ได้อยากเรียนกฎหมาย หนูอยากเป็นนักร้อง!” ถึงจะพร่ำพูดบอกไปอีกกี่ล้านรอบพ่อก็คงไม่ฟัง ทั้งพ่อทั้งแม่ รวมทั้งพี่ด้วย ทุกคนเลย ไม่มีใครเคยฟังฉันเลยแม้แต่คนเดียว!



“นี่แกจะเถียงฉันใช่มั้ย! ฉันเป็นพ่อแก แกต้องทำตามที่ฉันสั่ง!”



ทำตามคำสั่งงั้นเรอะ หึ อยากจะขำ ถ้าจะถือว่าเป็นคนให้ชีวิต แล้วควบคุมให้ฉันยอมทำตามทุกอย่างแบบนี้ล่ะก็ อย่าให้ฉันเกิดมาเลยจะดีกว่า!



“พ่อใจเย็นก่อนเถอะครับ” พี่แดนห้ามปรามด้วยน้ำเสียงหวั่นๆ



เมื่อได้เห็นภาพตรงหน้าแล้วฉันก็ต้องยิ้มเหยียดออกมาอย่างหงุดหงิด แหมๆ คุณลูกสุดโปรดของพ่อก็คอยประจบประแจงใหญ่เชียว จากนั้นก็หันไปมองคนข้างๆ แล้ว ซึ่งทำให้ฉันต้องถอนหายใจแรงออกมาอีกรอบ เพราะว่าแม่เอาแต่นั่งร้องไห้มาตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว เป็นแบบนี้ทุกที พอฉันทะเลาะกับพ่อทีไร แม่ก็จะคอยบีบน้ำตา เล่นบทโศกอยู่เสมอ



“ฉันเลี้ยงลูกผิดตรงไหน ทำไมถึงไม่เอาพี่เป็นแบบอย่างกันนะ คงเป็นความผิดของฉันเองที่เลี้ยงลูกไม่ดี”



โอย อยากจะบ้าตาย นี่คิดว่าเล่นบทโศกแล้วจะทำให้ฉันรู้สึกผิดขึ้นมารึไง รู้สึกผิดน่ะรู้สึกผิดอยู่ แต่มันกลับทำให้ฉันยิ่งโกรธจัดเลยต่างหากที่แม่ไม่ยอมเข้าใจฉันเลย แล้วเอาน้ำตามาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อให้ฉันยอมทำตามสั่งของพ่อ



“นักร้องมันไม่ใช่อาชีพมั่นคงนะเดย์ ความเสี่ยงเยอะมาก” เมื่อฉันมีทีท่าว่าจะไม่ยอมง่ายๆ พี่จึงเริ่มหันมาเทศนาฉันด้วยอีกคน “วงการบันเทิงนี่คือนรกของจริงเลยล่ะ พี่มีเพื่อนที่เป็นดารา ต้องทนอยู่กับความเครียดความกดดันตลอดเวลาเลย และถึงแม้ว่าเดย์จะได้เป็นนักร้องสมใจ แต่มันก็ไม่ได้มีอะไรมารับประกันว่าเราจะประสบความสำเร็จ เพราะเส้นทางอาชีพนี้มันแขวนอยู่กับเส้นด้าย ต้องอาศัยสังคม ค่านิยม ความนิยมของผู้บริโภค”



“แต่ฉันก็ยังไม่ได้ลองเลย แล้วจะรู้ได้ยังไง ถ้าไม่ลองก็ไม่มีทางรู้ได้หรอก” ฉันสวนกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้



“นักร้องมันมีเพิ่มขึ้นทุกปีจนเกลื่อนเลยเดย์ การแข่งขันสูงมาก เรามีอะไรดีไปกว่าพวกเขางั้นเหรอ ถึงจะทำให้เด่นดัง และมีคนยอมรับจนสามารถใช้ชีวิตอยู่ในวงการนี้ได้น่ะ”



“แต่ฉัน...”



“คิดเยอะๆ หน่อยเดย์ มีความฝันมันก็ดี แต่ต้องดูปัจจัยอื่นๆ ด้วยว่ามันเป็นไปได้หรือเปล่า”



ฉันกัดปากแน่นด้วยความเจ็บใจที่เถียงพี่ต่อไม่ออก ไม่แน่ว่าบางทีลึกลงไปในใจแล้ว ฉันอาจจะเห็นด้วยกับพี่อยู่ก็ได้ แต่ก็กลัวเหลือเกินว่ามันจะเป็นความจริง



ไม่หรอก...พี่ไม่รู้อะไร พี่ไม่รู้อะไร อย่างพวกไนท์เขาก็มีความสุขกันจะตาย พี่ก็แค่มีอคติแบบพ่อเท่านั้นแหละ ฉันไม่เชื่อพี่หรอก ถ้าฉันพยายามเต็มที่แล้วล่ะก็ ความฝันของฉันก็อาจจะเป็นจริงขึ้นมาได้สักวัน ยังไงทุกอย่างก็จะต้องออกมาดีแน่นอน



ทุกคนก็แค่มีอคติกับฉันเท่านั้น ถ้าหากว่านี่เป็นความฝันของพี่แดนแล้วล่ะก็ ฉันมั่นใจเลยว่าพ่อกับแม่จะต้องคอยสนับสนุน รวมทั้งให้กำลังใจพี่แน่ๆ



แต่ว่าฉันไม่ใช่พี่...



เพราะว่าฉันไม่ใช่พี่ยังไงล่ะ ถึงได้ไม่มีใครสนใจความต้องการของฉันเลย



ฉันลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้อย่างหมดความอดทนที่จะต้องนั่งเป็นหุ่นเชิดไร้ชีวิตต่อไป ฉันอยากมีชีวิต อยากใช้ชีวิตของฉันเอง



ฉันต้องการอิสระ



“เดย์! กลับเข้ามาเดี๋ยวนี้นะ!” เสียงโวยลั่นของพ่อดังออกมาจนถึงสนามหน้าบ้าน แต่มันกลับยิ่งเป็นเชื้อไฟให้ฉันเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นอีก



ไม่อยากฟังอะไรอีกต่อไปแล้ว ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ที่นี่ไม่ใช่ที่ของฉัน ฉันเป็นเพียงแค่เงาของพี่เท่านั้น



...เป็นแค่เงาไร้ค่าที่ไม่มีใครสนใจ



อุปสรรคของฉันมีแค่เรื่องเงินเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าตัดปัญหาเรื่องนี้ออกไปได้ ฉันก็จะได้เป็นอิสระเหมือนพวกโจ้ ซึ่งทางเดียวที่จะกำจัดปัญหานี้ออกไปได้ก็คือ ฉันจะต้องหาเงิน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปของเงินจากพ่อแม่อีกต่อไป แล้วพวกเขาก็จะได้เลิกยุ่งกับฉันเสียที



หลังจากวิ่งมาได้สักพักฉันก็รู้สึกเหนื่อยจนวิ่งต่อไม่ไหว ดังนั้นฉันจึงเปลี่ยนมาเป็นเดินช้าๆ ไปจนถึงหน้าหมู่บ้านแทน จากนั้นก็ไปยืนรอรถตรงป้ายรถเมล์แล้วขึ้นรถเมล์คันแรกที่มาจอด ซึ่งเป็นสายอะไรก็ไม่รู้เพราะว่าฉันไม่ได้สนใจ จากนั้นก็นั่งรถเมล์ไปเรื่อยๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ แต่แล้วก็ต้องรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีกจนได้ เนื่องจากเวลาตอนเช้านั้นเป็นช่วงเวลาเร่งรีบที่รถติดมาก ดังนั้นฉันจึงต้องตัดสินใจลงจากรถ เพราะทนสูดควันจากท่อไอเสียและอากาศร้อนอบอ้าวต่อไปไม่ไหว



เมื่อลงจากรถเมล์แล้ว ฉันก็เรียกรถแท็กซี่ให้ขับวนไปเรื่อยๆ เพื่อฆ่าเวลารอจนถึงสิบโมงเช้า ซึ่งเป็นเวลาห้างเปิด แล้วฉันก็บอกให้แท็กซี่ไปยังห้างใกล้ที่สุด โดยที่ไม่ต้องไปสนใจว่ามันจะเป็นห้างอะไรก็ตาม



เวลาสิบโมงกับอีกสินาที ฉันก็มาถึงห้างหนึ่งในตัวเมือง หลังจากที่ต้องเผชิญกับการจราจรแสนคับคั่งยามสาย ฉันลงบันไดเลื่อนไปยังชั้นล่างสุดซึ่งเป็นโซนอาหารและเครื่องดื่ม พลางด้อมๆ มองๆ หาป้ายประกาศรับสมัครพนักงานจากร้านอาหารและคาเฟ่ต่างๆ แต่สุดท้ายแล้วฉันก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกท้อแท้ เนื่องจากไม่มีร้านไหนติดประกาศรับสมัครพนักงานใหม่เลย



ยังหรอก ฉันยังไม่อยากยอมแพ้อะไรง่ายๆ ในเมื่อเป็นแบบนี้ ฉันก็คงต้องเดินเข้าไปถามเอาเอง



แต่หลังจากไล่เดินถามมาสิบกว่าร้านจนเกือบเที่ยง โชคก็ยังไม่เข้าข้างฉันอยู่ดี เพราะว่าไม่มีร้านไหนต้องการพนักงานใหม่เลยสักร้าน



ดังนั้นฉันจึงเริ่มรู้สึกหมดหวัง อีกทั้งยังหิวข้าวจนตาลายจากการเดินวนเวียนอยู่ข้างล่างนี่มาเป็นชั่วโมง แต่ก็น่าแปลกไม่น้อยที่ฉันไม่รู้สึกอยากจะกินอะไรเลย ไม่ความอยากอาหารเลยแม้แต่นิดเดียว



ทันใดนั้นเอง ขณะที่กำลังเดินอยู่หน้าซูเปอร์มาร์เก็ต ฉันก็สังเกตเห็นว่าตรงเสาต้นหนึ่งหน้าทางเข้ามีป้ายประกาศรับสมัครพนักงานแคชเชียร์ติดอยู่ วุฒิขั้นต่ำคือตั้งแต่ม.สามขึ้นไป ทำงานเฉพาะเสาร์อาทิตย์ ตั้งแต่สิบโมงเช้าจนถึงสองทุ่ม พออ่านรายละเอียดคร่าวๆ ดูแล้ว ฉันก็ต้องยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจ แล้วรีบวิ่งเข้าไปข้างในทันทีเพื่อติดต่อสมัครงาน พร้อมกับลืมไปเสียสนิทเลยว่าตัวเองกำลังหิวอยู่



ฉันเริ่มทำงานวันเสาร์เป็นวันแรกทันทีหลังจากที่สมัครงานไป ผู้จัดการแผนกมาช่วยอธิบายงาน และให้ฉันลองทำเองโดยที่มีเขายืนคุมอยู่ ซึ่งงานแคชเชียร์นั้นยากกว่าที่ฉันคิดเอาไว้มาก นอกจากจะต้องปวดหัวเรื่องเงินแล้ว ฉันยังจะต้องมาปวดหัวเรื่องลูกค้างี่เง่าบางรายด้วยอีกต่างหาก อย่างเช่นมาโวยวายหาว่าฉันทอนเงินผิดทั้งที่ตัวเองเป็นคนนับผิดเองบ้างล่ะ ราคาในใบเสร็จไม่ตรงกับราคาที่ชั้นวางสินค้าบ้างล่ะ ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นเพราะลูกค้าไม่ยอมดูป้ายให้ดีก่อนที่หยิบมาจากชั้นเองต่างหาก แต่กลับมาด่าฉัน ดังนั้นการทำงานในวันแรกของฉันจึงมีแต่ความกดดัน ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นหุ่นตั้งโชว์ที่มีสายตาคนอื่นคอยจับผิดอยู่ตลอดเวลา



การทำงานวันแรกผ่านไปอย่างน่าหงุดหงิด แต่เมื่อเข้าสู่วันที่สอง ฉันก็เริ่มปรับตัวได้มากขึ้น แม้ว่าจะยังคงมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าน้อยลงกว่าวันแรกไปมากทีเดียว



“นี่ๆๆ เธอชื่อเดย์ใช่มั้ย” เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนกะ เสียงทักจากสาวผมหยิกซึ่งประจำอยู่ที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ข้างๆ ฉันก็ดังขึ้น เรียกให้ฉันเหลือบสายตาไปมอง จึงเห็นว่านอกจากสาวผมหยิกแล้วยังมีเพื่อนๆ พนักงานหญิงอีกสามคนยืนอยู่ด้วย

ฉันยืนมองเพื่อนร่วมงานทั้งสี่คนด้วยสายตาเรียบๆ โดยไม่พูดอะไร รอฟังว่าพวกเขามีเรื่องอะไรอยากจะพูดกับฉัน บางทีฉันอาจจะทำงานผิดพลาดไปบางจุดก็ได้



“ไปกินข้าวด้วยกันมั้ย” สาวผมหยิกกล่าวชวนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ดูท่าทางเป็นมิตร “ฉันชื่อเจนนะ”



“...ไม่เป็นไร ฉันไปกินคนเดียวได้น่ะ” ฉันตอบกลับไปเสียงเรียบ ซึ่งฉันหมายความตามนั้นจริงๆ ฉันไม่อยากรู้สึกกดดันจากการที่ต้องไปนั่งเงียบเป็นรูปปั้น เอาแต่ฟังคนอื่นๆ พูดคุยกัน เนื่องจากฉันไม่รู้ว่าจะพูดคุยกับพวกเขาเรื่องอะไร



“อ้อ...ถ้างั้น...พวกเราไปล่ะ...” เจนยิ้มเจื่อนๆ มาให้ฉันทีหนึ่ง จากนั้นก็เดินจากไปพร้อมกับเพื่อนอีกสามคน



ฉันก้มลงไปหยิบเสื้อคลุมสีดำจากลิ้นชักใต้โต๊ะออกมาสวม และในขณะที่กำลังจะเดินออกจากเคาน์เตอร์นั่นเอง เสียงเรียกชื่อของฉันก็ดังขึ้นอีก แต่คราวนี้เป็นเสียงผู้ชาย



“เมื่อวานเราได้แค่แนะนำตัวกันไป ก็เลยไม่ได้คุยอะไรกันมาก” ฉันเหลือบสายตาไปมองเขา แล้วฉันก็เริ่มรู้สึกคุ้นๆ ว่าหนุ่มคางบุ๋มคนนี้เคยแนะนำตัวว่าอยู่แผนกบรรจุสินค้าหรือไงเนี่ยแหละ



เมื่อวานมีคนแนะนำตัวกับฉันอยู่หลายคน โดยเฉพาะพวกผู้ชายที่อยู่แผนกบรรจุสินค้า แต่ฉันก็ยังจำชื่อใครไม่ได้อยู่ดี



“พวกเราเห็นเธออยู่คนเดียวก็เลยจะมาชวนไปกินข้าวด้วยกันน่ะ” เขายิ้มน้อยๆ เหมือนกำลังเขินอยู่ พลางพเยิดหน้าไปทางกลุ่มเพื่อนพนักงานอีกสองคนที่อยู่ด้านหลัง



ฉันเหลือบสายตาไปที่พวกเขาซึ่งกำลังยืนส่งยิ้มมาให้ ก่อนจะละสายตาจากทั้งคู่กลับมายังหนุ่มคางบุ๋มตรงหน้าเหมือนเดิม ฉันจำชื่อเขาไม่ได้และขี้เกียจถาม จึงตัดสินใจจะเรียกเขาตามจุดเด่นที่เห็นต่อไป



“ฉันไปกินคนเดียวได้ค่ะ ขอบคุณที่มาชวน” เสียงเรียบเอ่ยตอบกลับไป แล้วกลับหันหลังเดินจากมาโดยที่ไม่สนใจว่าพวกเขาจะคิดยังไง ฉันไม่รู้ว่าจะคุยเรื่องอะไรดีตอนที่ไปนั่งกินข้าวด้วยกัน ฉันไม่ใช่คนคุยเก่ง ไม่รู้จะพูดเรื่องอะไร ถ้าให้ไปนั่งอยู่ด้วยเงียบๆ ก็จะยิ่งทำให้ฉันรู้สึกอึดอัด เพราะฉะนั้นขออยู่คนเดียวดีกว่า



เวลาพักเที่ยงดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่เวลาของการทำงานช่วงบ่ายในที่สุด พนักงานบางส่วน รวมทั้งฉันด้วยกลับเข้าทำงานต่อตามปกติ เพื่อให้คนที่เหลือได้ไปพัก



ยามบ่ายวันอาทิตย์เป็นช่วงเวลาที่คนมาซื้อของเยอะมากทีเดียว ฉันเกือบเผลอทอนเงินผิดให้กับลูกค้าไปสามคน เพราะว่ามัวแต่คิดถึงเรื่องที่พี่พูดเมื่อวาน ถึงจะมั่นใจว่าพี่ก็แค่มีอติไปเท่านั้นเอง แต่ฉันก็ไม่สามารถห้ามความรู้สึกหวาดกลัวซึ่งอยู่ลึกข้างในใจว่ามันจะเป็นความจริงได้ เพราะว่าอย่างน้อยพี่ก็พูดถูกอยู่เรื่องหนึ่ง...ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะเป็นนักร้องได้ยังไง



ต่อจากนั้น ช่วงเวลาความวุ่นวายของการทำงานก็ผ่านพ้นไปได้อย่างไม่ค่อยราบรื่นสักเท่าไหร่ เนื่องจากฉันมัวแต่เหม่อ คิดเรื่องโน้นเรื่องนี้จนทำให้ไม่มีสมาธิอยู่กับการทำงาน แม้ว่าจะสามารถประคับประคองไม่ให้ทำงานผิดพลาดไปได้จนถึงเวลาเลิกงาน แต่ฉันก็ถูกลูกค้าหลายรายบ่นเรื่องที่ฉันช้าและเอาแต่ใจลอย



ฉันปลีกตัวออกมาเข้าห้องน้ำ ก่อนที่จะเริ่มตรวจนับเงินเพื่อทำสรุปยอดขายรายวัน พอเดินกลับมาอีกครั้ง ฉันก็เห็นว่าพนักงานหญิงสามสี่คนกำลังยืนจับกลุ่มคุยอะไรบางอย่างกันอยู่ตรงแคชเชียร์ข้างๆ แต่ฉันก็เดินผ่านพวกเขาไปประจำที่ของตัวเองอย่างไม่สนใจ



“...หยิ่ง คิดว่าตัวเองสวยตายล่ะ” เสียงซุบซิบดังมาจากหนึ่งในกลุ่มพนักงานหญิงพวกนั้น แล้วเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับจงใจอยากจะให้ฉันได้ยินด้วยอย่างนั้นแหละ “แต่งตาเข้มซะดูทุเรศ หวังจะจับผู้ชายแน่ๆ”



“ฉันเห็นพวกผู้ชายมองยัยนี่กันตาค้างเลย”



“พี่ดิวเข้าไปคุยกับมันด้วยล่ะเมื่อตอนกลางวัน แต่มันก็ทำหยิ่งใส่พวกพี่เค้า”



“ทุเรศว่ะ”



อีกแล้ว



เป็นแบบนี้ทุกที



ไม่ว่าจะเป็นที่โรงเรียนหรือที่ไหนๆ ฉันก็มักจะถูกนินทาอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นฉันจึงไม่รู้สึกอะไรเลยในตอนนี้ อยากจะว่า สร้างข่าวลือ นินทาลับหลังหรืออะไรก็เชิญทำกันได้ตามสบาย ฉันจะไม่โวยวายหรือแสดงอาการไม่พอใจใดๆ ทั้งสิ้น เพราะว่าฉันเคยเจอมาทุกรูปแบบจนรู้สึกชินชาเสียแล้ว



นอกจากพลอยแล้ว ชีวิตนี้ฉันอาจจะไม่มีเพื่อนไปจนตายเลยก็ได้ แต่พลอยก็ไม่ใช่เพื่อนของฉันอีกต่อไปแล้ว เพราะฉะนั้นในตอนนี้ฉันจึงไม่เหลือใครเลยแม้แต่คนเดียว



มันเหงาเหมือนกันนะ...



เกือบหนึ่งชั่วโมงถัดมาหลังจากนั้น ฉันก็เดินกลับออกมาจากห้างที่ฉันทำงานอยู่ รู้สึกเครียดและหงุดหงิดเกินกว่าจะกลับบ้านไปให้พ่อด่าต่ออีก ฉันไม่ได้บอกใครเรื่องทำงานที่นี่ เพราะฉะนั้นที่บ้านจึงยังคงคิดว่าฉันออกมาเที่ยวเตร็ดเตร่เหมือนทุกๆ วัน ซึ่งฉันก็ไม่ได้คิดอยากจะบอกพวกเขา เพราะถึงแม้ว่าจะบอกไปก็คงไม่มีใครสนับสนุน แล้วพ่อก็คงจะด่าฉันอีกอยู่ดี



แล้วจะบอกทำไมให้เปลืองน้ำลาย เสียอารมณ์ และต้องถูกด่าเรื่องอื่นเพิ่มขึ้นมาด้วยล่ะ



ดังนั้นฉันจึงเรียกรถแท็กซี่ให้ไปที่เดอะมิราเคิล เพื่อไปปลดปล่อยอารมณ์ ฉันไม่ได้ไปที่นั่นมาเกือบสองอาทิตย์เพราะกลัวว่าไนท์จะรำคาญ แต่ฉันก็คิดถึงเขา รวมทั้งพวกโจ้และคนอื่นๆ ด้วยตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมา ฉันคิดถึงความรู้สึกสบายใจจากการที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองได้รับการยอมรับจากพวกเขา และบางทีไนท์อาจจะหายรำคาญฉันแล้วก็ได้



บัตรผ่านวีไอพีที่โจ้ให้มานั้นทำให้ฉันเดินผ่านการ์ดเข้ามาข้างในได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเป็นวิธีที่ฉันใช้เข้าผับตลอดหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา



ฉันเดินผ่านเวที ซึ่งมีวงดนตรีหน้าใหม่กำลังเล่นอยู่ไปยังบันไดที่อยู่ด้านหลัง จากนั้นก็เดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสาม ไปที่ห้องซ้อมดนตรีของพวกไนท์



“อ้าวเดย์ หายหน้าไปเลย คิดถึงนะเนี่ย” พิมซึ่งเคยเป็นมือกีตาร์ให้ฉันร้องเพลงอยู่บ่อยๆ เปิดประตูออกมาต้อนรับ พร้อมกับดึงแขนฉันให้เข้าไปข้างใน



“เดย์!” เสียงสดใสของไนท์ดังขึ้นทันทีที่เขาหันมาเห็นฉัน ก่อนจะวิ่งเข้ามายืนตรงหน้าพร้อมด้วยยิ้มกว้าง มือขวาถอดหมวกไหมพรมสีดำบนศีรษะออกพร้อมกับยกมือซ้ายขึ้นมาทาบหน้าอก แล้วโค้งตัวคำนับฉันแบบพวกขุนนางยุโรปสมัยก่อน



ฉันกะพริบตาปริบๆ ด้วยความประหลาดใจอยู่ชั่วครู่ ขณะยืนมองเขายืดตัวยืนตามปกติ ใส่หมวกกลับลงบนศีรษะเหมือนเดิม



“ยินดีต้อนรับครับคุณผู้หญิง” ไนท์คว้ามือซ้ายของฉันไปประทับรอยจูบเบาๆ ลงบนหลังมือ ซึ่งทำให้ฉันยืนตัวเกร็งขึ้นมาทันทีด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าเขาจะทำอะไรแบบนี้ด้วย



หลังจากนั้นไนท์ก็พาฉันไปนั่งที่โซฟา ก่อนจะวิ่งไปคว้าไมค์มาถือไว้



“เอาล่ะครับ ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่รายการบันเทิงวาไรตี้ มีดีแต่ไร้ดวงครับผม” เขาพูดเสียงดังพร้อมกับยิ้มร่าอย่างสดใส พร้อมกับที่คนอื่นๆ ได้พากันส่งเสียงร้องลั่น พลางปรบมือต้อนรับพิธีกรหนุ่มด้วยความยินดี



“งั้นฉันขอเริ่มก่อนเลยละกัน” พิมโพล่งขึ้นมาขณะยืนอยู่ข้างๆ โต๊ะ ก้มตัวรินเหล้าใส่ในแก้วของตัวเอง “ฉันไปสมัครงานมาสามที่ แต่ไม่มีที่ไหนรับเลย ดวงกุดโคตรๆ”



“ได้ไงวะ แกเกียรตินิยมอันดับสองเลยนี่หว่า” เพื่อนสาวอีกคนของโน้ตแย้งกลับด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนจะกำลังรู้สึกแปลกใจอยู่มากเลยทีเดียว ฉันหันไปมองผู้เป็นเจ้าของเสียง พร้อมกับพยายามนึกชื่อของอีกฝ่ายไปด้วย แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก



“พวกเขาบอกว่าฉันไม่ทำกิจกรรมอะไรเลยน่ะ”



“กิจกรรม? แค่เกรดดียังไม่พออีกเหรอวะ” ชายหนุ่มนิรนามอีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นฝ่ายแย้งขึ้นมาบ้าง



พิมถอนหายใจออกมาเบาๆ โดยที่ไม่พูดอะไรอีก แล้วยกแก้วขึ้นจิบทีละนิด



“ฟังดูดวงกุดจริงๆ นั่นแหละ” ไนท์ยังคงยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา เขาหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับคว้าแก้วช็อตขึ้นมาใบหนึ่ง ก่อนจะเดินไปขอชนแก้วกับพิม “แด่ความดวงซวย”



ทั้งคู่ชนแก้วกัน แล้วดื่มรวดเดียวจนหมด ต่อจากนั้นไนท์ก็รินวอดกาใส่แก้วช็อตของตัวเองอีกครั้ง แล้วยกแก้วขึ้นสูงพร้อมกับตะโกนเสียงดังลั่น “แด่ความดวงซวย!”



คนอื่นๆ รวมทั้งฉันด้วยพากันคว้าแก้วเหล้าของตัวเองขึ้นมาบ้าง แล้วตะโกนเสียงลั่นตามไนท์กันอย่างพร้อมเพรียง



ฉันหัวเราะคิกคักออกมา ขณะมองไนท์สวมบทบาทเป็นพิธีกรรายการประหลาดต่อ พลางคิดอย่างอารมณ์ดีว่าตอนเขาเมานั้นน่ารักมากเลยทีเดียว



“เดย์ เดย์” ฉันละสายตาจากไนท์หันไปยังที่มาของเสียง จึงเห็นโจ้กับบอยเดินผ่านประตูเข้ามาข้างใน และกำลังมองตรงมาทางนี้พอดี



“มาได้จังหวะพอดีเลย พวกเรามีข่าวใหญ่จะบอก” โจ้วิ่งตรงเข้ามาหา สีหน้ายิ้มร่าอย่างตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด “เดี๋ยวจะมีการแข่งขันประกวดดนตรีทางออนไลน์ล่ะฉัน ตัดสินกันที่ยอดวิวกับยอดไลค์ และคะแนนของกรรมการ ผู้ชนะจะได้เซ็นสัญญากับสังกัดค่ายเพลงเนอร์วานาเป็นเวลาห้าปีด้วยล่ะ!”



“จริงเหรอ!” ฉันลุกพรวดทันที ฉีกยิ้มกว้างด้วยความตื่นเต้นสุดขีดจนอยากจะกรี๊ดแทนพวกเขาออกมาดังๆ “ลุยเลยโจ้ ฉันจะกดโหวตให้วง May-B ทั้งวันทั้งคืนเลย!”



สมาชิกของวงคนอื่นเดินเข้ามาสมทบกับโจ้ โดยที่ไนท์เดินมายืนข้างๆ ฉันเป็นคนสุดท้าย โน้ตเอาแขนคล้องคอโจ้ แล้วหันไปกระตุ้นให้คนอื่นๆ ช่วยกันส่งเสียงโห่ร้องยินดีให้กับพวกเขา ส่วนบอยกลับทำหน้าเครียด มองไปที่ไนท์เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรสักอย่าง ซึ่งฉันมั่นใจว่าคนจริงจังอย่างบอยคงจะกำลังเครียดเรื่องการประกวดอยู่แน่นอน



“แบบนี้ต้องฉลอง” ฉันหันไปแย่งไมค์มาจากมือของไนท์ แล้วเปล่งเสียงร้องเพลงของเขาออกมาด้วยยิ้มสดใสอย่างรู้สึกดีใจสุดๆ



ทันใดนั้นเอง ฉันก็ต้องสะดุ้งน้อยๆ และเผลอหยุดร้องเพลงไปเองโดยอัตโนมัติเมื่อรู้สึกได้ถึงสัมผัสเบานุ่มตรงแก้มข้างซ้ายของตัวเอง



“จุ๊บเล่น” ไนท์หัวเราะออกมาเบาๆ พลางอมยิ้มตรงมุมปากนิดๆ เหมือนอย่างเคย เขาเอียงคอน้อยๆ พร้อมกับทำตาปรือมองตรงมายังฉันที่กำลังยืนตัวแข็งเป็นก้อนหินอยู่



คนอื่นๆ พากันส่งเสียงผิวปากและเสียงร้องวี้ดวิ้วล้อเลียนพวกเราทั้งคู่ ฉันรีบหันไปทางอื่นด้วยความเขินจัด พร้อมกับร้องกรี๊ดลั่นอยู่ในใจ รู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองนั้นร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างฉับพลันจากการสูบฉีดเลือดอย่างรุนแรง โดยเฉพาะตรงรอยสัมผัสอ่อนโยนเมื่อครู่นี้



แต่พอเหลือบสายตาไปทางบอยแล้ว ฉันก็ต้องขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างสงสัยที่เห็นเขาทำหน้าบึ้งตึง ดูเคร่งเครียดกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก อีกทั้งยังดูกังวล ล่อกแล่กแปลกๆ ไม่น้อย พร้อมกับจ้องเขม็งไปที่ไนท์ราวกับว่ามีเรื่องอะไรบางอย่างระหว่างพวกเขาทั้งสองคนอย่างนั้นแหละ



“เฮ้ยพวกมึง...” บอยหันไปทางโจ้กับโน้ต แล้วพะเยิดหน้าไปทางไนท์ “ปล่อยไอ้ไนท์ไว้แบบนี้ไม่ดีนะเว่ย ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ไปได้วะ”



“มันดื่มไปนิดเดียวเองนะ ยังไม่ถึงหนึ่งในสี่ของปกติเลยเหอะ” โน้ตแย้งด้วยเสียงเรียบๆ เหมือนไม่ค่อยใส่ใจสักเท่าไหร่



“ช่วงนี้ไอ้ไนท์มันคออ่อนไปรึเปล่าวะ” ใครคนหนึ่งในกลุ่มของพวกนักดนตรีวงอื่นตะโกนออกความเห็นด้วยเช่นกัน ก่อนจะตามมาด้วยเสียงหัวเราะร่วนอย่างขำขันของคนอื่นๆ พร้อมด้วยเสียงพูดจากหลายๆ คนว่าเห็นด้วยตามนั้น



ฉันเองก็ร่วมหัวเราะไปพร้อมๆ กับทุกคน แล้วหันกลับไปมองที่ไนท์ ซึ่งกำลังเดินไปจนสุดมุมโต๊ะอีกฟากหนึ่ง เขาก้มหยิบชามขนาดยักษ์ใบหนึ่งมาวางไว้ตรงหน้า แล้วหันมายิ้มกว้างให้กับพวกเรา จากนั้นก็คว้าหยิบแก้วช็อตบนโต๊ะซึ่งมีเครื่องดื่มอยู่เต็มเปี่ยมมาเทใส่ลงไปในชามท่ามกลางเสียงโห่ร้องจากพวกผู้ชายทั้งหลาย



สองใบ สี่ใบ แปดใบ สิบหกใบ และอีกหลายๆ ใบจนเกือบหมดทั้งโต๊ะ รวมทั้งอาหารอย่างอื่นและขนมที่เป็นกับแกล้มทั้งหลายด้วย



“กูจะท้า...ให้พวกมึงทุกคนท้ากูกลับ” ไนท์ยกชามขึ้นมาพร้อมกับยิ้มร่าอย่างกวนประสาท “...ว่าให้กูซดชามนี้ให้หมด”



สิ้นเสียงของเขา คนอื่นๆ ก็พากันร้องเฮลั่น ก่อนจะช่วยกันประสานเสียงตะโกนท้าเขาตามคำขอ



“ซดเลย! ซดเลย! ซดเลย!”



ไนท์ยกชามขึ้นแตะริมฝีปาก ทีแรกฉันนึกว่าเขาแค่ล้อเล่นแต่ชั่วพริบตาเดียวถัดมาเขากลับดื่มสิ่งที่ผสมกันอยู่ในชามเข้าไปจริงๆ ตามเสียงเร้าของทุกคน



ฉันอ้าปากค้างมองไนท์ด้วยความรู้สึกทึ่ง ลุ้นระทึกระหว่างรอผลลัพธ์ของเกมท้าระห่ำเกมนี้



จนกระทั่งในที่สุดฉันก็ร่วมร้องเฮลั่นไปพร้อมๆ กับทุกคนทันทีที่เขากระแทกชามลงบนโต๊ะ เผยให้เห็นว่าข้างในว่างเปล่าไม่มีอะไรเหลืออยู่



ไนท์หันมาทางฉันพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิใจในความสำเร็จของตัวเอง ก่อนจะยกมือขึ้นไปถอดหมวกไหมพรมบนศีรษะออก แล้วโค้งตัวคำนับมาให้ ท่ามกลางเสียงโห่ร้องและเสียงปรบมือที่ดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้อง



#######

//โปรดติดตามต่อไป//




LazyMe
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ก.ค. 2560, 00:21:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ก.ค. 2560, 00:21:12 น.

จำนวนการเข้าชม : 726





<< บทเพลงที่ 4   บทเพลงที่ 6 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account