พรานท่องพนา
นิยายเกี่ยวกับความรักของหนุ่มขี้เล่นกับสาวสวยหัวโบราณ ที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างเข้มงวด ทั้งคู่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายเพื่อพิสูจน์ความรัก การใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ การไม่เชื่อใจกันและกัน การที่รู้จักกันไม่มากพอ ส่งผลให้ต้องแยกทางร้างกันไป และเมื่อต่างก็มีทิฐิ ทำให้การจะกลับมาเดินร่วมทางกันใหม่ทำได้ไม่ง่ายนัก
Tags: พระเอกเป็นตำรวจตระเวนชายแดน นางเอกเป็นไฮโซหัวโบราณ

ตอน: ตอนที่ 6 พรหมบันดาล

หลังเรียนจบหมันหยาสอบผ่านได้เข้าไปทำงานในกรมการพัฒนาชุมชน ซึ่งเป็นหน่วยงานระดับกรมของกระทรวงมหาดไทย นโยบายหลักของกรมการพัฒนาชุมชนคือปรับปรุงความเป็นอยู่และมาตรฐานการครองชีพของประชาชนในชนบทให้ดียิ่งขึ้น ในระดับอำเภอมีนายอำเภอเป็นผู้ประสานงานระหว่างเจ้าหน้าที่วิชาการของกระทรวง ทบวงกรมต่างๆกับพัฒนากร ให้ปฏิบัติงานร่วมกันตามหลักการ ระเบียบและวิธีการ ในระดับจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบการบริหารงานพัฒนาชุมชน โดยอาศัยการประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างส่วนราชการต่างๆของจังหวัด เพื่อหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องจะได้มีโอกาสศึกษา ประชุม สัมมนาและร่วมกันปฏิบัติงานพัฒนาชุมชนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้


งานพัฒนาหลักๆของหน่วยงานนี้คือดำเนินโครงการพัฒนาผู้นำชุมชนเครือข่ายการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแผนชุมชนเพื่อสร้างความสามัคคีในชุมชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผู้นำชุมชนให้มีความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาหมู่บ้านหรือชุมชน โดยใช้แผนชุมชนและนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการเสริมสร้างความสามัคคีในชุมชน ลดปัญหาความขัดแย้งของชุมชน นำไปสู่การส่งเสริมให้ชุมชนเข้มแข็ง โดยจัดฝึกอบรมและการศึกษาดูงานของผู้นำชุมชน


หมันหยาทำงานในหน่วยงานนี้มาประมาณสองปีแล้ว งานหลักของเธอคือการฝึกอบรมให้แก่บุคลากรในหน่วยงานอื่นๆและชุมชนต่างๆ ในเรื่องเกี่ยวกับความเป็นอยู่ การประกอบอาชีพ การเรียนรู้เพื่อพัฒนาตัวเองของคนในชุมชน ฯลฯ หลักสูตรที่สำคัญคือหลักสูตรการสร้างและพัฒนาผู้นำชุมชน โดยยึดแนวความคิดที่ว่าชุมชนจะเข้มแข็งได้ ต้องมีผู้นำที่เข้มแข็งและมีความรู้ความสามารถ ที่จะนำชุมชนให้ก้าวไปข้างหน้าได้ ตอนแรกๆที่เริ่มเข้าทำงานในกรมการพัฒนาชุมชน หมันหยาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยวิทยากร หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่าพัฒนากรอยู่พักหนึ่ง แต่เมื่อมีประสบการณ์มากขึ้นเธอก็ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่วิทยากรในบางหลักสูตร ซึ่งทำให้หลายครั้งเธอต้องติดตามทีมงานไปทำงานตามอำเภอ ตำบล หรือแม้แต่หมู่บ้านที่ทุรกันดารในจังหวัดต่างๆ ครั้งละหลายวัน บางครั้งก็นานเป็นเดือน


หมันหยาเป็นลูกสาวคนสุดท้องในจำนวนลูกสาวสามคนของครอบครัวที่มีฐานะเข้าขั้นเศรษฐี คุณประกอบบิดาของหมันหยาเป็นนักธุรกิจเจ้าของกิจการขนาดกลาง มารดาเป็นแม่บ้านอย่างเดียว หมันหยามีพี่สาวสองคน สุขุมาลย์ซึ่งเป็นพี่สาวคนโตแต่งงานกับนักธุรกิจผู้มีฐานะร่ำรวยและแยกบ้านไปแล้ว พี่สาวคนรองที่ชื่อภาวิไลก็มีคู่หมั้นแล้ว และเนื่องจากหมันหยาเป็นลูกคนสุดท้อง เธอจึงได้รับการเลี้ยงดูแบบคุณหนูแตกต่างไปจากพี่สาวอีกสองคน หมันหยาเป็นลูกที่อยู่ในโอวาทของบิดามารดามาตลอดตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ เธอสนิทสนมใกล้ชิดกับคุณพลอยผู้มารดามากกว่าพี่น้องคนอื่นๆ


ตอนที่หมันหยาสอบผ่านเข้าไปทำงานในกรมการพัฒนาชุมชน มารดาของหมันหยาก็ค่อนข้างพอใจเพราะเธอมาจากครอบครัวข้าราชการ เห็นว่าการเป็นข้าราชการเป็นอาชีพที่มีเกียรติ ลูกสาวอีกสองคนของเธอไม่มีใครสนใจงานราชการเลย ทั้งสุขุมาลย์และภาวิไลต่างก็ทำงานบริษัทเอกชน ภาวิไลนั้นทำงานอยู่กับคุณประกอบผู้บิดา ต่อมาเมื่อหมันหยาต้องออกไปทำงานที่ต่างจังหวัดเป็นครั้งคราว ตามที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชา คุณพลอยก็เริ่มกังวลด้วยความเป็นห่วง ทั้งความปลอดภัยและความไม่เคยสมบุกสมบันของบุตรสาว ที่เธอเลี้ยงดูมาแบบทะนุถนอม แต่ต่อมาก็ยอมรับสภาพได้หลังจากรู้ว่าหมันหยาไม่ได้ไปทำงานเพียงคนเดียวตามลำพัง มีพัฒนากรคนอื่นๆร่วมเดินทางไปด้วย และพื้นที่ปฏิบัติงานรวมทั้งลักษณะงานของเธอ ก็ไม่ได้เข้าข่ายอันตรายหรือต้องสมบุกสมบันมากจนเกินไป



สามเดือนหลังกลับจากงานแต่งงานของเพื่อนสนิทที่ชื่อแสงดาว หมันหยาก็ต้องเดินทางไปทำงานที่จังหวัดศรีสะเกษ ร่วมกับทีมงานอีกสามคนมีกำหนดสามสัปดาห์ หนึ่งในจำนวนผู้ที่ร่วมเดินทางไปด้วยคือถนอมนวล ที่สอบเข้าทำงานได้รุ่นเดียวกับหมันหยา และกลายเป็นเพื่อนร่วมงานที่สนิทสนมกันมากที่สุด


คืนแรกที่มาถึงศรีสะเกษ คนทั้งหมดไปพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในตัวเมือง วันรุ่งขึ้นตอนเช้าก็เข้าไปที่สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด ซึ่งตั้งอยู่ในอาคารศาลากลางจังหวัด ที่ได้ประสานงานกันเอาไว้แล้วล่วงหน้า เพื่อประชุมสรุปงานตามโครงการ เพราะจะต้องทำงานร่วมกันในสองอำเภอเป้าหมาย คือกันทรลักษณ์และขุขันธ์ ตอนที่ลงจากรถเพื่อจะขึ้นไปบนศาลากลาง หมันหยาสังเกตเห็นว่าบริเวณสนามหญ้ากว้างใหญ่ หน้าอาคารศาลากลางมีบรรยากาศที่คึกคัก มีผู้คนจำนวนมากเดินกันขวักไขว่ บริเวณโดยรอบมีรถเข็นขายอาหารและร้านค้าชั่วคราวมากมาย เหมือนกับกำลังมีการจัดงานกันอยู่


ในช่วงบ่ายหลังจากการประชุมสรุปแผนปฏิบัติงานจบลง หมันหยากับถนอมนวลก็ขออนุญาตหัวหน้าทีมของพวกเธอแยกตัวไปชมเมือง โดยจะเดินกลับไปโรงแรมที่พักเอง เพราะโรงแรมกับศาลากลางอยู่ไม่ห่างกันมาก เมื่อลงจากศาลากลางออกมาข้างล่าง สองสาวก็เห็นผู้คนจำนวนมากนั่งๆยืนๆอยู่รอบสนามหญ้ากว้างใหญ่หน้าศาลากลาง สายตาทุกคู่แหงนเงยขึ้นสู่ท้องฟ้ายามบ่าย ที่มีเครื่องบินซี-130 ลำหนึ่ง กำลังบินวนอยู่เหนือศีรษะในระดับความสูงประมาณ 9,000 ฟุต


"เขาดูอะไรกันน่ะ นวล" หมันหยาถามเพื่อน
"ไม่รู้สิ หรือเขากำลังจะกระโดดร่มกัน ออกไปดูกันไหม"
"ไปก็ไป ดูเสร็จแล้วเดินไปตลาดทางโน้นกันหน่อยนะ อยากไปหาผ้าถุงพื้นเมืองสวยๆไปฝากแม่สักผืน"


ตกลงกันได้แล้วหมันหยากับถนอมนวลก็เดินลัดเลาะขอบสนามกว้างใหญ่ เข้าไปยืนอยู่หลังคนกลุ่มหนึ่ง ถนอมนวลซึ่งมองไปเห็นวงกลมใหญ่สีขาวที่เกิดจากการโรยปูนขาวลงบนพื้นสนาม ร้องบอกเพื่อนอย่างตื่นเต้นว่า "โดดร่มแน่ๆ หยา เห็นเครื่องหมายวงกลมตรงโน้นไหม"

หนันหยามองออกไปกลางสนามตรงที่ถนอมนวลชี้บอก แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

"เห็นแค่วงกลมนั่นก็รู้แล้วเหรอว่าเขาจะกระโดดร่มกัน"
"รู้สิ ลืมไปแล้วหรือว่าพ่อเราเป็นครูฝึกพวกพลร่มที่ค่ายมฤคทายวันที่หัวหิน เราก็ต้องเคยเห็นพวกพลร่มเขากระโดดร่มกันเป็นประจำอยู่แล้ว"
"ไอ้วงกลมนั่นเขาทำไว้เพื่ออะไร"
อีกฝ่ายหัวเราะ "แสดงว่าหยาไม่เคยดูเขาโดดร่มกันล่ะสิ"
"ไม่เคยดูสดๆหรอก เคยเห็นผ่านๆแต่ในทีวีเท่านั้น"

"วงกลมขาวๆนั่นน่ะ เป็นเครื่องหมายจุดลงสำหรับพวกที่กระโดดร่มไง ปกติควรจะกระโดดลงในจุดนั่น แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยลงได้ตรงจุดหรอก ถ้าลมแรงหรือบังคับร่มไม่ดี ก็อาจจะลอยไปลงที่อื่นได้" แล้วทันทีที่เหลือบไปเห็นคนกลุ่มหนึ่งในสนาม ถนอมนวลก็บอกเพื่อนว่า "เขาคงกระโดดร่มกันได้พักใหญ่แล้วละ หยา ดูพวกโน้นสิ กำลังพับร่มเก็บกันใหญ่เลย”


พวกโน้นของถนอมนวลหมายถึงชายฉกรรจ์ประมาณสีบคน ที่กำลังพับร่มชูชีพหลากสีกันชุลมุนวุ่นวายอยู่ใกล้เต็นท์อำนวยการริมสนาม ด้านที่ใกล้กับตรงที่สองสาวยืนอยู่ หมันหยามองตามไปแล้วก็เห็นป้ายผ้าผืนใหญ่ ที่มีข้อความว่า ‘การแสดงการกระโดดร่มของทหารและตำรวจพลร่มเพื่อการกุศล’

"อ้าว นั่นเขาดิ่งพสุธากันนี่ ดูเร็ว หยา!"

หมันหยาแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เห็นคนหลายคนกำลังลอยละลิ่วตามกันลงมาจากเครื่องบินลำใหญ่ ทุกคนคว่ำหน้าลอยตัวอยู่ในอากาศในลักษณะนกเหินเวหา แขนสองข้างเหยียดกางออกไปข้างหน้า ขาสองข้างงอชันขึ้น แหวกว่ายอากาศลงมาเรื่อยๆโดยไม่มีร่มชูชีพ ซึ่งหมันหยารู้ว่าเป็นการกระโดดร่มแบบที่เรียกว่า 'ดิ่งพสุธา' ที่เคยเห็นจากโทรทัศน์ หญิงสาวรู้สึกหวาดเสียวแทนผู้ที่กำลังร่อนฉวัดเฉวียนอยู่กลางอากาศ ราวกับสนุกสนานเสียเต็มประดา เมื่อดิ่งลงมาจนถึงระดับความสูง 2500 ฟุตจากพื้นดิน นักดิ่งพสุธาแต่ละคนก็กระตุกร่มกางพรึ่บขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน แล้วค่อยๆบังคับร่มให้ลงสู่จุดหมาย บนสนามหญ้าหน้าศาลากลางจังหวัด


แต่แล้วเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นจากกลุ่มผู้คนที่เฝ้าดูอยู่ เมื่อปรากฏว่าพลร่มนายหนึ่งที่กระโดดออกจากเครื่องบินเป็นคนสุดท้าย ลอยดิ่งแหวกว่ายอากาศลงมาเรื่อยๆ แต่เมื่อมาถึงระดับ 2500 ฟุตจากพื้นดิน ซึ่งเป็นระดับความสูงสุดท้ายที่เป็นกฏกติกาของการกระโดดร่มประเภทนี้ ที่นักดิ่งพสุธาจะต้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด ที่จะต้องกระตุกร่มชูชีพเพื่อลงสู่พื้นได้อย่างปลอดภัย ร่มของนักดิ่งพสุธาคนนั้นก็ยังไม่ได้กางออกอย่างที่ควรจะเป็น ในความสูงที่ต่ำกว่าระดับ 2500ฟุต ถ้านักดิ่งพสุธาดึงร่มใหญ่แล้วเกิดขัดข้องทางเทคนิคที่ทำให้ร่มไม่กาง เขาจะต้องกระตุกร่มสำรองช่วย แต่ก็อาจจะสายเกินไปก็ได้ถ้าร่มสำรองเกิดขัดข้อง ในเวลาที่น้อยนิดเช่นนั้นย่อมยากหรือเป็นไปไม่ได้ที่จะแก้ไขได้ทันเวลา ซึ่งก็ย่อมจะหมายถึงความตาย จากการตกลงกระแทกกับพื้นข้างล่างจนร่างกายแหลกเหลว


“ไอ้เวรนั่นทำบ้าอะไรของมันวะ?” เป็นเสียงโหวกเหวกของหนุ่มใหญ่ร่างสันทัดในชุดลายพรางที่ยืนอยู่หน้าเต็นท์อำนวยการริมสนาม ไม่ห่างจากจุดที่หมันหยาและถนอมนวลยืนอยู่มากนัก “มันเมาหรือเปล่า”
“คงไม่เมาหรอก เฮีย ไอ้คมณ์มันชอบซ่าหาที่ตายแบบนี้เป็นประจำอยู่แล้ว”
“มันคิดจะกระตุกร่มตอนไหนวะ”

“เดี๋ยวก็คงกระตุกแล้วละ เฮีย เหลืออีกแค่ 1500 ฟุตเท่านั้น ขืนยังไม่กระตุกก็เตรียมลงโลงได้แล้ว”


แม้จะได้ยินคำว่า ‘ไอ้คมณ์’ หมันหยาก็ไม่ได้เฉลียวใจว่าอาจจะเป็นสรคมณ์ เพราะเธอคิดว่าเขาทำงานอยู่ที่อุบลฯ ไม่ใช่ที่นี่ ในขณะที่ผู้ที่เฝ้าดูเกือบทุกคนกำลังใจเต้นตูมตาม หวาดเสียวกับพลร่มผู้นั้นอยู่ ในที่สุดร่มชูชีพก็กระตุกกางขึ้นในระดับ 1000 ฟุตกว่าๆ แล้วร่างของพลร่มคนนั้นก็ลอยละลิ่วอย่างงดงามลงในวงกลมสีขาวบนสนาม ทันทีที่ปลายเท้าแตะพื้นเขาก็ม้วนตัวเป็นวงกลมกลับมาอยู่ในท่ายืน พร้อมๆกับเสียงปรบมือจากผู้คนรอบสนามดังกึกก้องขึ้น ทันทีที่ร่มถูกปลดออกจากตัวและเขาผู้นั้นถอดหมวกกันน็อคออกจากศีรษะ แม้จะเห็นในระยะไกล หมันหยาก็จำได้จากหนวดกวนประสาทเหนือริมฝีปาก ว่าชายหนุ่มในชุดกระโดดร่มสีขาวคนนั้นคือผู้ชายที่ชื่อสรคมณ์ เธอเห็นเขายิ้มกว้างให้ผู้ชายสองสามคนในชุดลายพรางที่เดินเข้าไปหาเขา เธอไม่ได้ยินว่าคนพวกนั้นพูดอะไรกับสรคมณ์


หมันหยายืนฟังคนใกล้ๆหลายคนวิพากษ์วิจารณ์กัน เรื่องการกระโดดร่มของสรคมณ์ ในทำนองใจกล้าบ้าบิ่นเล่นกับความตาย ฟังแล้วหญิงสาวก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าชายหนุ่มผู้นั้นใช้ชีวิตสุรุ่ยสุร่ายไม่คิดหน้าคิดหลังเกินไป เธอมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง รู้ว่าเขาไม่เห็นเธอและเธอเองก็ไม่สนใจที่จะพาตัวเข้าไปทักทายเขา หลังจากนั้นอีกไม่นานสองสาวก็ออกจากสนามกว้างแห่งนั้น ผ่านออกไปสู่ถนนใหญ่ เดินเลี้ยวไปเลี้ยวมาอีกสี่ห้านาที ก็ถึงตลาดที่ขายสินค้าพื้นเมือง เพื่อเลือกซื้อของไปฝากมารดาและพี่สาว ที่ต้องรีบซื้อเพราะไม่แน่ใจว่าต่อไปจะมีเวลาได้ซื้อหรือไม่ ก็เลยซื้อให้เสร็จๆไป จะได้ไม่ต้องกังวล แม้ถนอมนวลจะแย้งว่าอาจจะไปหาซื้อผ้าถุงสวยๆฝีมือชาวบ้านได้ในราคาถูกกว่าแถวนี้ ตอนที่ไปทำงานที่อำเภอกันทรลักษณ์และขุขันธ์


แม้ไม่คิดจะเข้าไปทักทายหรือพบเจอสรคมณ์ แต่คืนนั้นหมันหยาก็ต้องเผชิญหน้ากับชายหนุ่มผู้นั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซื้อของที่ตลาดเสร็จถนอมนวลกับหมันหยาก็เดินกลับไปโรงแรมที่พัก แล้วในตอนหัวค่ำเมื่อทีมงานอีกสองคน ขอตัวไปสังสรรค์กับเพื่อนจากสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด สองสาวก็ขอปลีกตัวไปหาอาหารเย็นรับประทานกันเอง เพราะโรงแรมกับลานหน้าศาลากลางจังหวัดอยู่ใกล้ กัน เมื่อรู้ว่าคืนนี้มีการจัดงานโดยมีอาหารขายมากมายหลายจุด หมันหยาจึงชวนเพื่อนไปเดินเที่ยวงานและหาอาหารใส่ปากใส่ท้องกันตามสบาย


หลังจากเดินชมงานกันได้ครู่ใหญ่ หมันหยาก็ชวนเพื่อนแวะร้านอาหารกลางแจ้งแห่งหนึ่ง ตามโต๊ะที่ตั้งกระจายกันอยู่เป็นหย่อมๆมีผู้นั่งรับประทานกันอยู่หลายโต๊ะ ระหว่างรับประทานอาหาร หมันหยาไม่ได้เหลือบแลไปทางไหนเลยจึงไม่เห็นสรคมณ์ แต่ถนอมนวลแอบสะกิดเพื่อน


“หยา อย่าเพิ่งหันไปนะ ผู้ชายที่โต๊ะด้านขวาของหยามองหยาตาไม่กระพริบเลย สงสัยจะไม่เคยเห็นคนสวย”
“ใครหรือ?” หมันหยาไม่กล้าหันไปมอง
“ไม่รู้สิ อีตานี่หนวดเฟิ้มเลยละ”


หมันหยารู้ทันทีว่าจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากสรคมณ์ เมื่อรู้เช่นนั้นเธอก็เลยเหลียวไปมองเขา สรคมณ์นั่งอยู่กับผู้ชายสองคนและผู้หญิงสาวหน้าตาดีอีกสองคน เขามองเธอเขม็ง เมื่อตาสบตากันเขาก็ส่งยิ้มกว้างให้เธอ ก่อนจะลุกจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่เดินเข้ามาหา


“สวัสดีครับ คุณหยา ไม่นึกว่าจะเจอคุณหยาที่นี่ มาเที่ยวหรือครับ?”
“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวทักตอบแล้วยิ้มให้เขา โดยไม่ตอบคำถาม
“คุณหยามาเที่ยวหรือมาทำอะไรที่นี่ครับ” ชายหนุ่มยังตั้งคำถามเดิม
หมันหยาแอบสะกิดเพื่อนก่อนจะบอกเขาหน้าตาเฉยว่า “มาเที่ยวค่ะ”
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”
“เอ้อ..เมื่อวานค่ะ”
“จะอยู่อีกหลายวันไหมครับ ผมจะได้พาเที่ยว”
“พรุ่งนี้ก็ไปจากที่นี่แล้วละค่ะ” แล้วเธอก็รีบเปลี่ยนเรื่อง “คุณสรคมณ์ล่ะคะ มาเที่ยวที่นี่เหมือนกันหรือคะ?”
อีกฝ่ายยิ้มกว้าง ตาระยิบระยับ “ผมมาธุระครับ มีภารกิจนิดหน่อย”
“หรือคะ?” หญิงสาวหันไปสบตาเพื่อน “ฉันคงต้องขอตัวแล้วละค่ะ อิ่มพอดี”
“คุณหยาพักที่ไหนครับ?”
“โรงแรมแถวๆนี้แหละค่ะ”

แม้จะรู้ว่าหมันหยาตอบแบบเลี่ยง เพราะคงไม่อยากให้เขาตามไปตอแย แต่ชายหนุ่มก็ไม่ยอมแพ้

“คุณหยาจะไม่แนะนำเพื่อนคุณหยาหน่อยหรือครับ”

หมันหยามองหน้าเพื่อน แต่ก่อนที่จะทันแนะนำคนทั้งสองให้รู้จักกัน ถนอมนวลก็ยิ้มให้สรคมณ์อย่างมีไมตรี แล้วแนะนำตัวเองทันทีโดยไม่รอเพื่อน

“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อถนอมนวล คุณล่ะคะ”
“สรคมณ์ครับ ยินดีที่ได้รู้จักคุณถนอมนวล เพื่อนที่คุณหยาคงจะหวง เลยไม่ยอมแนะนำ เรารู้จักกันเองก็ได้นะครับคุณนวล”

ชายหนุ่มอมยิ้มมื่อเห็นสีหน้าเจื่อนๆของหมันหยา

ถนอมนวลหันขวับไปมองหน้าเพื่อนทันทีที่ได้ยินชื่อเขา แล้วเพ่งพิศชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความสนใจที่เพิ่มมากขึ้น หมันหยาเล่าเรื่องสรคมณ์ให้เธอฟังแล้วตอนที่กลับจากอุบลฯใหม่ๆ

“กลับโรงแรมกันหรือยัง นวล ชักง่วงแล้ว” หมันหยาตัดบท
“ดีเหมือนกัน จะได้อาบน้ำนอนหลับให้สบาย พรุ่งนี้ก็ต้องออกเดินทางแต่เช้า”
“ผมขออนุญาตเดินไปส่งนะครับ คุณหยาคงไม่ว่า”
“เชิญตามสบายค่ะ ถนนหลวงไม่ใช่หรือคะ ใครๆก็มีสิทธิเดินได้ทั้งนั้น”
“คุณหยายังยวนเก่งเหมือนเดิม”

หมันหยาเหลือบตาค้อนเขาแต่ไม่ตอบโต้ สองสาวลุกจากโต๊ะ เตรียมจะเดินกลับที่พัก สรคมณ์เดินเข้าไปบอกกล่าวคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะของเขา ก่อนจะเดินตามหมันหยาและถนอมนวลไป

คืนนั้นถนอมนวลกล่าวกับเพื่อนว่า “คุณสรคมณ์คนนี้ท่าทางไม่เลวนะ หยา”
“นวลไม่คิดว่าเขากวนประสาทหรอกหรือ”
ถนอมนวลส่ายหน้าปฎิเสธ “ไม่เห็นมีอะไรนี่ เราว่าเขาน่ารักดีออก ท่าทางเป็นคนอารมณ์ดี ช่างแหย่ช่างยั่ว สงสัยจะมาจีบหยา”
“คงไม่หรอก อีกอย่างท่าทางเขาเจ้าชู้จะตาย นวลก็รู้ว่าเราเกลียดผู้ชายเจ้าชู้”
“หยารู้ได้ไงว่าเขาเจ้าชู้?”
“แหม นวลไม่เห็นเหรอว่าท่าทางเขากรุ้มกริ่มจะตาย หูตาก็ระยิบระยับ”

“ผู้ชายบางคนมีลักษณะเหมือนคนเจ้าชู้ แต่เอาเข้าจริงอาจจะไม่เจ้าชู้ก็ได้นะ หยา” ถนอมนวลทำหน้ายิ้มๆก่อนจะพูดทีเล่นทีจริงว่า “ถ้าอยากรู้ว่าเขาเจ้าชู้หรือเปล่า ก็คงต้องลองคบกับเขาดูสักพัก แบบเพื่อนก็ได้”

หมันหยาหัวเราะ “ไม่เอาหรอก กลัว”

“มิน่า หยาบอกคุณสรคมณ์ว่ามาเที่ยว กลัวเขาจะมาตามจีบใช่ไหมล่ะ ถ้ารู้ว่าเรามาทำงานที่เมืองนี้ตั้งสามอาทิตย์”

อีกฝ่ายไม่ตอบ ฉวยผ้าเช็ดตัวกับชุดนอนเดินหลีกเพื่อนหายเข้าไปในห้องน้ำทำให้การพูดคุยกันเรื่องผู้ชายคนนั้นจบลงโดยปริยาย



greengrass
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ก.ค. 2560, 08:54:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ก.ค. 2560, 09:17:49 น.

จำนวนการเข้าชม : 1005





<< ตอนที่ 5 สรคมณ์   ตอนที่ 7 รุกคืบ >>
ใบบัวน่ารัก 9 ก.ค. 2560, 13:16:43 น.
ยังไม่บอกใช่ปะ ว่าสาวไฮโซ หัวโบราณผู้ใชคร้าย
คนนั้นเป็นใคร
หรือว่า คนนั้น


greengrass 9 ก.ค. 2560, 19:05:34 น.
ค่ะ หมันหยาคือสาวไฮโซหัวโบราณคนนั้น


lookpud 9 ก.ค. 2560, 21:30:58 น.
เรื่องน่าติดตามอ่านคะ


greengrass 9 ก.ค. 2560, 22:28:52 น.
สวัสดีค่ะคุณ lookpud ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ รับรองว่านิยายเรื่องนี้สนุกค่ะ
หวังว่าจะติดตามอ่านต่อไปเรื่อยๆนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account