ลิขิตรักเก็บตก (พิริตา) เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อมE-Book
‘หวาย’ หรือ ‘วาสุรีย์’ เจ้าของสวนกล้วยไม้วาสุรีย์ ได้ให้การช่วยเหลือชายหนุ่มต่างชาติที่ถูกทำร้ายปางตายคนหนึ่ง
เขาฟื้นขึ้นมาพร้อมกับอาการความจำเสื่อม ด้วยความเห็นใจเธอจึงตัดสินใจรับภาระดูแลเขาต่อจนกว่าจะรู้ว่าเขาเป็นใคร
และในที่สุดชายชาวต่างชาติหน้ารกที่มีชื่อใหม่หมาดว่า ‘บักสีดา’ ก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของสวนกล้วยไม้วาสุรีย์
ท่ามกลางความสงสัยในที่มาที่ไปของเขา ชายหนุ่มกลับเป็นขวัญใจของคนงานด้วยกันได้ไม่ยาก
ระหว่างนั้นสวนกล้วยไม้วาสุรีย์กลับมีภัยถาโถมรอบด้าน ‘บักสีดา’ จึงกลายเป็นเรี่ยวแรงกำลังสำคัญให้กับหญิงสาวและสวนวาสุรีย์โดยไม่รู้ตัว และก็เช่นกัน... ความเป็นมาของเขายังคงเต็มไปด้วยความมืดดำ อีกทั้งไม่รู้ว่า ‘ภัย’ ที่กำลังเกิดขึ้นกับสวนวาสุรีย์นั้นเกี่ยวข้องกับเขาหรือไม่อย่างไร? เขาเป็นใคร? มาจากไหน?
ปริศนาที่เป็นป้ายติดหน้าผากของเขาจะถูกปลดออกไปได้อย่างไร และที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือทั้งคู่จะฝ่าอันตรายจากผู้ไม่หวังดีไปได้หรือไม่? โปรดตามลุ้นเรื่องราวความรักซ่อนเงื่อน ที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ตื่นเต้น ได้ใน ‘ลิขิตรักเก็บตก’ เร็วๆ นี้!!!




Tags: หวาย แวนด้า กล้วยไม้ สายลับ ฝรั่ง ขี้นก บักสีดา FSB KGB รัสเซีย นครนายก เมมโมรี่การ์ด

ตอน: บทที่ 6 ผู้บุกรุก


##เปิดจองนิยายรัก 2 เรื่อง 2 รส##
‘ลิขิตรักเก็บตก’
มี 2 เล่มจบ ราคาเล่มละ 339 บ.
2 เล่มลดเหลือ 670 บ.
‘ฝากรักไว้ในสายหมอก’
ราคา 369 บ. ลดเหลือ 360 บ.
*พิเศษ!! สั่งซื้อ 3 เล่ม ในราคาเพียง 999 บ. เท่านั้น*
สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้
ทางอินบ็อกเฟส : pirita ametrine
หรือในเพจ ‘พิริตา อเมทริน นักเขียน’
Email: kanplu@windowslive.com
โทร.0626656247 หรือทางไลน์ ID: pirita-ametrine
วันนี้-20 สิงหาคม นี้ เท่านั้น!!



รถตู้คันหรู แล่นเข้ามาจอดยังบริเวณอรินทรารีสอร์ท ซึ่งเป็นรีสอร์ทขนาดใหญ่อยู่ติดกับถนนสายหลักของอำเภอแห่งนี้ เสี่ยทรงชัยลงจากรถด้วยอารมณ์ขุ่นมัว โดยมีสมุนอีกสอง-สามคนตามติด ซึ่งเป็นภาพชินตาสำหรับคนที่นี่ เขาก้าวเข้ามายังอาคารขนาดใหญ่สองชั้นด้านหน้า ซึ่งเป็นส่วนต้อนรับ ก่อนจะเลยไปยังออฟฟิศส่วนตัวบนชั้นสอง

“บอกให้ไอ้ชิตเข้าไปพบอั๊วะในห้องด้วย” เขาสั่งลูกน้องที่ตามมา ซึ่งก็รีบรับคำและจัดการตามที่เจ้านายต้องการในทันที

ภายในห้องทำงานบนชั้นสองที่เย็นฉ่ำ เสี่ยทรงชัยมีสมุนมือขวา มือซ้าย คอยเฝ้าอารักขาและรับใช้อยู่ไม่ไกล ก่อนเสียงเคาะประตูจะดังขึ้น สมุนคนหนึ่งไปเปิด เพียงครู่ลูกน้องร่างใหญ่คนหนึ่งก็มายืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงาน

แม้คนที่มาใหม่จะไม่ใช่มือซ้าย มือขวาของเสี่ยทรงชัย แต่ลูกน้องคนนี้ก็มีความสำคัญไม่น้อยด้วยความชำนาญเฉพาะด้าน เขามักจะเรียกหาตอนที่มีงานสำคัญจริงๆ เท่านั้น

“เสี่ยเรียกผมเหรอครับ” นายชิตถาม ท่าทางพินอบพิเทา

“เออ... นั่งก่อนสิวะไอ้ชิต” เสียทรงชัยโบกมือให้ลูกน้องนั่ง

“เสี่ยมีอะไรให้ผมรับใช้ก็บอกมาได้เลยครับ”

“ก็เรื่องเก่านั่นแหล่ะ” คนเป็นเจ้านายสุ้มเสียงหงุดหงิด หน้าบึ้งตึงอย่างคนเก็บอารมณ์ไม่เป็น

“เรื่องเก่า? เสี่ยหมายถึงเรื่องเกี่ยวกับคนของสวนกล้วยไม้วาสุรีย์นั่นหรือครับ” นั่นทำให้ลูกน้องเฉพาะกิจเข้าใจในทันที

เพราะ ‘เรื่องเก่า’ ล่าสุดที่เขารับใช้เสี่ยทรงชัยเกี่ยวข้องกับสวนวาสุรีย์ พอเสร็จงานเขาก็ได้หอบค่าจ้างไปกบดานอยู่ประเทศเพื่อนบ้าน พึ่งได้รับคำสั่งจากเจ้านายให้กลับมาทำงานใหม่ไม่กี่เดือนนี่เอง

“เออ... สิวะ แต่คราวนี้เป็นอีตัวลูกสาวมัน วันนี้อั๊วพึ่งไปคุยกับมันมาเรื่องที่ดิน หน็อยแน่! อีเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนั่นกลับปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้าอั๊ว มันรู้จักอั๊วน้อยไปเสียแล้ว” เสี่ยทรงชัยยังคงเดือดดาลมากขึ้น เมื่อคิดถึงสิ่งที่เด็กเมื่อวานซืนคนนั้นทำกับตน

“เสี่ยจะให้ผมทำแบบที่ทำกับพ่อแม่มันเหรอครับ” คำถามของลูกน้องทำให้เสี่ยทรงชัยโบกมือให้ว่อน

“ยังโว้ย... ยัง เอาแค่เบาะๆ ข่มขู่มันให้สติแตกไปก่อน ถ้ามันยังดื้อดึงไม่ยอมค่อยจัดการกับมันอย่างแยบยล แต่อั๊วไม่เชื่อหรอกว่ามันจะทนได้ กะอีแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งมันจะแข็งข้อได้สักกี่น้ำ ดูอย่างพ่อแม่มันสิอั๊วยังจัดการได้เลย” แม้จะอารมณ์เสียสักแค่ไหน แต่เสี่ยผู้ทรงอิทธิพลในถิ่นนี้ก็ยังมั่นใจว่าจะสามารถจัดการเรื่องนี้ได้ เพราะคนอย่างเขาต้องการอะไรแล้วไม่เคยพลาด แต่อาจต้องใช้เวลาหน่อยเท่านั้น

“แล้วเสี่ยมีแผนยังไงครับ”

“อั๊วอยากให้พวกลื้อช่วยกันสร้างความปั่นป่วนแบบเบสิกๆ ให้มันก่อน เรื่องนี้พวกลื้อต้องช่วยกัน” เสี่ยทรงชัยหันไปทางสมุนซ้าย ขวาของตนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ทั้งสองต่างก็รับคำ ก่อนจะร่ายแผนการทั้งหมดให้ลูกน้องฟัง

*-*-*-*-*-*

“คุณหนูกลับมาแล้วเหรอคะ” ป้าแจ้มร้องทักในตอนเย็นที่หญิงสาวกลับมาถึงบ้าน

“ค่ะป้า มีอะไรทานคะวันนี้” เจ้านายสาวถามเมื่อเห็นป้าแจ้มกำลังลำเลียงอาหารเย็นมาขึ้นโต๊ะ

“แกงเผ็ด ผัดผักรวม แล้วก็ต้มจืดค่ะ คุณหนูไปอาบน้ำอาบท่าก่อนเถอะค่ะ แล้วค่อยมาทานอาหารเย็น” ป้าแจ้มว่า ก่อนที่วาสุรีย์จะเห็นคนตัวโตประคองจานอาหารออกมาจากด้านในครัว

และเขาก็ยิ้มเผล่ให้เธอเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ผิดกับวาสุรีย์ที่ยังรู้สึกประดักประเดิดในใจยังไงชอบกลกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเช้า ภาพชีเปลือยตัวโตในห้องน้ำยังติดอยู่ในหัว ทำให้เธอแอบหน้าร้อนเห่อ แต่พอเห็นว่าเขาไม่ได้มีท่าทีอะไรก็เบาใจขึ้นและบอกตัวเองให้เลิกฟุ้งซ่าน แล้วทำตัวให้เป็นปกติอย่างรวดเร็ว

“คุณหายดีแล้วเหรอคะ” ก่อนจะถาม ในใจคิดว่า พอกระดิกตัวได้เขาก็หาอะไรทำจนได้สิน่า คนบ้าพลังชัดๆ*!*

“ผมโอเค.แล้ว ไม่อยากอยู่เฉยๆ ก็เลยมาช่วยป้าแจ้มแกทำงาน”

บักสีดาวางจานผัดผักรวมลงบนโต๊ะอาหาร

“เออ... จริงสิคะป้า แล้วเจิดล่ะคะ วันนี้เป็นยังไงบ้าง” วาสุรีย์คิดไปถึงลูกน้องจอมทะเล้นของตน

“หายดีแล้วค่ะ พรุ่งนี้ก็ทำงานได้ตามปกติแล้วค่ะคุณหนู” ป้าแจ้มว่า

“ดีแล้วล่ะค่ะ หวายใจไม่ดีเลยที่เห็นป่วยกันแบบนี้” ป้าแจ้มพยักหน้าอือออ ก่อนจะเข้าไปในครัวต่อ หญิงสาวจึงหันมาทางคนตัวโต “คุณหายแล้วก็กลับบ้านพักคนงานได้แล้วสิคะ”

“เอ่อ... ไอ้ท้องเสียน่ะหาย แต่อาการปวดหัวของผมไม่รู้จะกำเริบขึ้นเมื่อไหร่ แม้ตอนนี้มันจะไม่ค่อยเป็น แต่ก็ไว้ใจไม่ได้เพราะร่างกายผมอ่อนแอ อีกอย่างพอมันกำเริบทีไรผมก็แทบทำอะไรไม่ได้แม้แต่จะสื่อสารคุณก็เห็น แล้วถ้าผมเกิดกำเริบขึ้นมาแบบหนักๆ อีกล่ะ ไม่เดือดร้อนลุงกับป้าต้องมาตามคุณอีกเหรอครับ” เขาทำหน้าตาใสซื่อพร้อมกับยกแม่น้ำทั้งห้ามาอ้าง เจ้าของดวงหน้างามหรี่ตามอง

“ตกลงคุณอยากอยู่ที่นี่ต่อ ว่างั้นเถอะ” ก่อนแค่นเสียงดักคอ แต่เจ้าของใบหน้ารกกลับยิ้มกว้างขวางในแบบของเขาประจบ หญิงสาวคิดว่านี่ถ้ามีหางเขาคงกระดิกดุ๊กดิ๊กไปแล้ว

“แล้วคุณอนุญาตหรือเปล่าล่ะครับ” ดวงตาคู่คมตอนนี้มีแววละห้อย เว้าวอน และนั่นก็ทำให้วาสุรีย์ใจอ่อนจนได้สิน่า

“เฮ้อ... ก็ได้ๆ แต่แค่คืนนี้คืนเดียวนะคะ คุณเป็นผู้ชาย ฉันเป็นผู้หญิงมาอยู่ร่วมกันแบบนี้มันดูไม่เหมาะ นี่เพราะฉันเกรงใจลุงกับป้าที่อาจต้องดูแลเจิดต่อหรอกนะถึงยอม” หญิงสาวทำหน้าเมื่อย แต่คนตัวโตแทบจะตีปีกพั่บๆ ด้วยความดีใจ

“ขอบคุณครับที่กรุณา รับรองว่าผมจะทำตัวดี เชื่อฟังคุณทุกอย่าง และไม่ต้องกลัว... ผมไม่มีวันทำอะไรคุณเด็ดขาด” ตอนท้ายเขายกมือสาบานสัญญา คงเพราะกลัวหญิงสาวจะหวาดระแวง

ภาพเหตุการณ์ในตอนเช้าแว่บเข้ามาในหัววาสุรีย์อีกครั้ง แต่หญิงสาวก็รีบสลัดมันออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะรู้สึกอะไรมากกว่านี้เธอกลับตีหน้าเหี้ยมเกรียมใส่เขา

“ก็ลองดูสิ ฉันมีทั้งปืน ทั้งสเปย์พริกไทย และที่ช็อตไฟฟ้าด้วยนะจะบอกให้” ก่อนจะขู่ตาวาวท่าทางเอาจริง คนความจำเสื่อมรีบยกมือยอมแพ้

“กลัวแล้วครับคุณผู้หญิง ก็บอกแล้วไงว่าผมไม่เคยคิดทำอะไรคุณเลย พระเจ้าเป็นพยานสิ” พลางร้องลั่น วาสุรีย์หัวเราะกิ๊ก

“โอเค.ฉันขอตัวไปอาบน้ำก่อนดีกว่า คุณก็ไปช่วยป้าแจ้มต่อได้แล้ว” หญิงสาวว่า ก่อนจะเดินขึ้นไปชั้นสอง ทิ้งให้คนตัวโตมองตามหลังด้วยรอยยิ้มบางๆ

*-*-*-*-*-*

ในกลางดึกของค่ำคืน วาสุรีย์สะดุ้งตื่นเพราะเสียงแปลกๆ ที่ดังอยู่ตรงชั้นล่าง เธอคิดว่าคงเป็นบักสีดา หรือว่าเขาจะปวดหัวอีก ความคิดนั้นเป็นเหตุให้หญิงสาวรีบลุกจากเตียงนุ่ม และลงมาชั้นล่างอย่างรวดเร็ว

ทว่าไม่ใช่เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดแต่อย่างใด แต่เป็นเสียงความเคลื่อนไหว และเสียงคล้ายคนกระซิบกระซาบ แต่กลับฟังไม่ได้ศัพท์แยกแยะไม่ได้ว่าเป็นเสียงอะไรกันแน่

“ใครน่ะ บักสีดา คุณหรือเปล่า” หญิงสาวถามออกไป มือก็ควานหาสวิตซ์ไฟตรงข้างบันได ทันทีที่ไฟสว่างจ้าเธอทันเห็นร่างหนึ่งกำลังจะวิ่งไปทางประตูที่เปิดแง้ม “หยุดนะ! แกเป็นใคร” วาสุรีย์ร้องพลางรีบถลันไปขวางทางเอาไว้ ร่างใหญ่ในชุดดำ ปิดหน้าด้วยหมวกสีเดียวกันชะงัก

“แกเป็นใคร ต้องการอะไร” หญิงสาวถามพลางยืนจังก้าไม่มีถอย

ขณะที่ผู้บุกรุกเองก็เผชิญหน้ากับเธออย่างประชิด วาสุรีย์นึกโมโหตัวเองที่เป็นห่วงคนข้างล่างจนลืมหยิบปืนพกติดมือมา ไม่มีแม้แต่สเปย์พริกไทยด้วยซ้ำ ไม่มีคำตอบจากอีกฝ่าย แต่มันกลับย่างสามขุมเข้ามาหาเธออย่างช้าๆ

“อย่าเข้ามานะ ช่วยด้วยๆ ๆ ” เมื่อไร้อาวุธจะต่อสู้ป้องกันตัวหญิงสาวจึงตัดสินใจตะโกนขอความช่วยเหลือสุดเสียง

มันโถมตัวเข้ามาหา วาสุรีย์คว้าแจกันจากตู้มุมห้องฟาดร่างนั้นอย่างไม่เล็ง พลางร้องตะโกนไม่หยุด ขณะที่มันทั้งพยายามปัดป้องและรับมือเธออย่างคล่องแคล่ว

“หยุดนะ!! ” เสียงทุ้มห้าวนั้นดังขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ ทำให้วาสุรีย์ชะงัก

“คุณ... บักสีดา” หญิงสาวร้อง ใจชื้นขึ้นเป็นกอง

คนร้ายถือโอกาสนั้นผลักร่างของเธอเซไปปะทะกับผนังก่อนล้มลง ขณะที่บักสีดากระโดดเข้าใส่ชายชุดดำ แล้วทั้งคู่ก็ล้มกลิ้งไปกับพื้น เจ้าของร่างใหญ่สะบัดชายชุดดำที่เกาะตัวเขาออกไปได้ ก็สวนหมัดเข้าใส่ร่างนั้นไม่ยั้ง

ก่อนจะกระโดดถีบจนคนร้ายกระเด็นออกไปนอกประตู หญิงสาวที่มึนงงไปชั่วครู่ค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้น พอดีลุงสม เจิด กับคนงานอีกห้า-หกคนกำลังพากันวิ่งหน้าตื่นตรงมา

“คุณหนูหวาย เกิดอะไรขึ้นครับ” พร้อมเสียงตะโกนดังเซ่งแซ่ ทำให้คนร้ายที่พยายามประคองตัวลุกขึ้น รีบอาศัยความมืดหลบหนีไป บักสีดาเองก็วิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว

“คนร้ายค่ะลุง ป้า คนร้ายบุกเข้าบ้าน มันหนีไปทางโน้น บักสีดากำลังตามไปค่ะ” แล้วกลุ่มผู้ชายก็เฮโลกันไปตามทิศทางที่หญิงสาวบอก

“คุณหนูเป็นยังไงบ้างคะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า มันทำอะไรคุณหนูคะ” ป้าแจ้มรีบเข้ามาแตะแขนเจ้านายสาวเพื่อดูว่าบาดเจ็บตรงไหน วาสุรีย์ส่ายหน้าจนผมกระจาย

“หวายไม่เป็นไรหรอกค่ะป้า แค่เคล็ดขัดยอกนิดหน่อย นี่ดีนะคะที่

บักสีดามาช่วยไว้ทัน”

“มานี่เถอะค่ะ ให้ป้าดูก่อนว่าเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ป้าแจ้มกับคนงานหญิงอีกสามครอบครัวต่างก็พากันเข้ามาในบ้าน “มันเป็นพวกไหนกัน คุณหนูพอจะรู้ไหมคะ” ป้าแจ้มยังซักต่ออย่างไม่หายสงสัย

“หวายก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ อย่าพึ่งแตะต้องอะไรนะคะ หวายจะต้องแจ้งความค่ะ” หญิงสาวว่าพลางปราดไปยังโทรศัพท์ตั้งโต๊ะที่อยู่มุมหนึ่งของบ้าน เพื่อโทร.แจ้งตำรวจ

*-*-*-*-*-*

“ได้ตัวมันไหมคะ” เจ้าของร่างโปร่งบางผุดลุกจากที่นั่งทันที เมื่อเห็นชายหนุ่มกับลุงสมนำพวกคนงานชายกลับมา

“ตามไม่ทันครับ มันเร็วมาก แล้วนี่คุณแจ้งความหรือยัง” คนตัวโตหน้ารกบอก พร้อมถามในคราวเดียวกัน

“แจ้งแล้วค่ะ ตำรวจกำลังมา”

“แล้วคุณบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เขาถามพลางมองสำรวจร่างโปร่งบางนั้นอย่างเป็นห่วง หญิงสาวส่ายหน้า

“ไม่เป็นไร ฟกช้ำนิดหน่อย ป้าแจ้มใส่ยาให้แล้ว แล้วคุณล่ะ ฝีมือคนร้ายไม่ธรรมดาเลยนะคะ” วาสุรีย์เห็นการต่อสู้ของคนร้ายที่ดูคล่องแคล่วว่องไวราวกับถูกฝึกฝนมาอย่างดี ก็นึกเป็นห่วงเขาไม่น้อย

“ผมไม่เป็นไรเหมือนกัน ไม่ต้องห่วงครับ” บักสีดายิ้มกว้างขวางอวดฟันสวยตามเคย

แต่ในใจของหญิงสาวนึกแปลกใจในฝีมือการต่อสู้ของเขาขึ้นมา เพราะมันไม่ได้ด้อยไปกว่าคนร้ายเลย เธอได้แต่เก็บความสงสัยนี้เอาไว้ในใจ

“ลุงว่าคุณหนูไม่ปลอดภัยแล้วล่ะครับ” แต่ทว่าจู่ๆ ลุงสมก็เอ่ยขึ้น นั่นทำให้ทุกคนหันมาทางคนงานเก่าแก่ที่สุดของสวนวาสุรีย์

“หมายความว่ายังไงตาสม” ป้าแจ้มผู้เป็นภรรยารีบถามด้วยความฉงน

“เอาไว้ฉันจะเล่าให้แกฟังทีหลังนะยายแจ้ม แต่ตอนนี้คุณหนูกำลังตกอยู่ในอันตราย” คำบอกเล่านั้นทำให้คนที่อยู่ตรงนั้นอึ้ง และหน้าเสียไปตามๆ กัน

ส่วนคนที่ฟังภาษาไทยรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างอย่างบักสีดาก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติในบรรยากาศนั้น อีกทั้งสัมผัสได้ว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นกับเจ้าของร่างโปร่งบางตรงหน้าอย่างแน่นอน

“มีอะไรที่ผมไม่รู้หรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มความจำเสื่อมถาม ดวงตาคู่คมหรี่มองลุงสมสลับกับวาสุรีย์อย่างจับสังเกต

“ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ” แต่หญิงสาวปฏิเสธอย่างรวดเร็ว

“แต่ผมรู้สึกได้นะคุณหวาย” บักสีดาสวนขึ้นทันควันเช่นกัน

“แล้วคุณจะทำอะไรได้ล่ะคะ” น้ำเสียงของวาสุรีย์ติดหงุดหงิดนิดๆ

เนื่องจากอาการเครียดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แน่นอนว่ามันบั่นทอนขวัญและกำลังใจของเธอไม่น้อย แม้โดยปกติจะไม่ใช่คนกลัวอะไรง่ายๆ ก็ตาม แต่นั่นกลับทำให้คนตัวโตถอนหายใจหนักหน่วง

“นั่นสินะ คนอย่างผมจะทำอะไรได้ แม้แต่ตัวเองยังไม่รู้เลยว่าเป็นใคร แล้วจะมีปัญญาช่วยอะไรคุณได้” แล้วจึงตามมาด้วยถ้อยคำตัดพ้อ น้อยใจตัวเองไปโน่น

“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น ฉันแค่ไม่อยากให้คุณมาเดือดร้อน เพราะเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณเลย” วาสุรีย์เองก็เริ่มรู้สึกตัวเช่นกัน จึงรีบปฏิเสธ เพราะไม่อยากให้เขารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ

“ทำไมจะไม่เกี่ยว ในเมื่อคุณช่วยเหลือผมมาตลอด แต่ตอนนี้มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับคุณ แล้วจะให้ผมนิ่งดูดายได้ยังไง”

แม้จะฟังภาษาที่สองหนุ่มสาวสื่อสารกันไม่ออก แต่น้ำเสียงและหน้าตาจริงจังอย่างที่ไม่เคยเห็นในตัวบักสีดานั้น เป็นเหตุให้คนรอบข้างที่กำลังส่งเสียงเซ่งแซ่หันกลับมามองสองหนุ่มสาวด้วยความสงสัย ทำให้คนตัวโตเริ่มรู้สึกตัว เขาจึงยิ้มแก้เก้อให้ทุกคนรอบข้าง

“เอ่อ... คือ ผมหมายความว่าผมอาจจะทำอะไรไม่ได้มาก เอาเป็นว่าขอผมมีส่วนช่วยเหลือพวกคุณบ้าง แม้จะเล็กๆ น้อยๆ ก็ตามที”

“ถ้าคุณต้องการอย่างนั้นก็ได้ค่ะ ส่วนรายละเอียดเอาไว้ฉันจะเล่าให้คุณฟังทีหลังนะคะ ตอนนี้คนของฉันขวัญเสียกันไปหมดแล้ว ฉันขอคุยกับพวกเขาก่อน” หญิงสาวว่าพลางหันไปทางคนงานชายหญิงประมาณสิบกว่าคนที่อยู่ตรงนั้น “ทุกคนอย่าพึ่งตื่นตระหนกเลยนะคะ ตอนนี้เรายังแค่สงสัยเท่านั้นเอง เอาเป็นว่ารอให้ตำรวจมาก่อนเถอะค่ะ”

พ.ต.ต ทวิพันธุ์ นำทีมตำรวจมาถึงก็ได้ตรวจสอบที่เกิดเหตุในเวลาต่อมา ภายในบ้านไม่มีข้าวของอะไรหาย นอกจากแจกันที่แตกกระจายจากการต่อสู้ สารวัตรหนุ่มสอบปากคำผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ประเด็นการข่มขู่เรื่องที่ดินชัดเจนที่สุด เพราะวาสุรีย์ไม่มีศัตรูที่ไหน ด้วยความที่ไว้ใจกันเป็นการส่วนตัว

หญิงสาวจึงไม่ปิดบังข้อสงสัยเรื่องที่บิดา มารดาเสียชีวิตกับสารวัตรหนุ่ม

“หวายกับลุงสมกำลังสงสัยว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับคุณพ่อ คุณแม่ของหวาย มีเสี่ยทรงชัยอยู่เบื้องหลังอย่างนั้นใช่ไหม” สารวัตรทวิพันธุ์มีสีหน้าครุ่นคิด ขณะถามเพื่อความแน่ใจ

“ค่ะ แรกๆ หวายก็รู้สึกตงิดในใจเหมือนกันกับการเสียชีวิตของท่านทั้งคู่ แต่ก็ไม่มีเงื่อนงำอะไรน่าสงสัย ก็เลยคิดว่าหวายอาจจะคิดมากไปเอง แต่วันนี้เสี่ยทรงชัยมาพูดเรื่องที่ดิน ท่าทางเขาไม่ธรรมดาเลย และลุงสมก็เล่าถึงเรื่องที่เขาเคยเอ่ยอาฆาตคุณพ่อให้หวายฟัง หวายรู้สึกได้ว่าเรื่องทั้งหมดไม่ปกติ” หญิงสาวบอกถึงความสงสัย

สารวัตรหนุ่มรับฟังเป็นอย่างดี โดยไม่ได้แสดงความคิดเห็น ราวกับเขากำลังเก็บข้อมูลต่างๆ อยู่กระนั้น ก่อนจะหันไปสอบปากคำเรื่องนี้กับลุงสมเพิ่มเติมอีกครู่หนึ่ง ขณะที่วาสุรีย์ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้

“จริงสิคะ ตอนเกิดเรื่องเมื่อกี้หวายได้ยินคล้ายเสียงคนคุยกัน แต่ทำไมคนร้ายถึงมีคนเดียวก็ไม่รู้สิคะ คุณได้ยินเหมือนฉันไหมคะ” หญิงสาวหันไปทางคนตัวโตหน้ารก ที่นั่งอยู่นอกวงสนทนา

“เออ... ใช่ ผมก็ได้ยินคล้ายๆ เหมือนกัน แต่พอออกมาก็เจอมันคนเดียว เป็นไปได้ไหมว่ามันจะคุยโทรศัพท์” บักสีดาหน้ารกตั้งข้อสังเกต

“ก็อาจจะเป็นไปได้เหมือนกันครับ” สารวัตรทวิพันธุ์ไม่อยากตัดประเด็นใดทิ้ง

“น่าเสียดายที่ฟังไม่ชัด จึงไม่แน่ใจว่าเป็นเสียงคุยกัน หรือเสียงอะไรกันแน่” เจ้าของดวงหน้างามบ่นอุบ

“อย่าเครียดไปเลยหวาย เอาเป็นว่าเรื่องนี้พี่จะรับไปจัดการเอง อย่ากังวลเลยนะ ก็อย่างที่รู้ๆ เสี่ยซ้งมีอิทธิพลมากจนสามารถทำให้ดำกลายเป็นขาวได้ เพราะฉะนั้นจะทำอะไรต้องรอบคอบ” สารวัตรหนุ่มสรุปในที่สุด

“ขอบคุณมากนะคะพี่พันธ์ หวายก็อยากขอความช่วยเหลือจากพี่นั่นแหล่ะค่ะ แต่ตอนนี้หวายไม่มีหลักฐานอะไรเลย หวายไม่อยากให้พ่อกับแม่ตายฟรี หวายอยากให้ทางพี่พันธุ์ช่วยสืบหาหลักฐานมาเล่นงานเสี่ยทรงชัยให้ได้ หวังว่าคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงตำรวจอย่างพี่พันธุ์หรอกนะคะ”

“พี่ยินดีเสมอ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพี่กับตำรวจเถอะ หวายใจเย็นๆ นะ ที่สำคัญพี่ก็ไม่แน่ใจว่าเสี่ยซ้งมันคิดจะทำอะไรต่อไปในตอนนี้ พี่จะขอกำลังบางส่วนมาดูแลสวนวาสุรีย์ดีกว่านะ” ทวิพันธุ์เสนอ ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความห่วงใยในตัวหญิงสาวอย่างไม่มีปิดบัง

“ไม่ต้องหรอกค่ะพี่พันธุ์ มันดูเอิกเกริกเกินไป เรื่องที่สวนวาสุรีย์หวายดูแลได้ค่ะพี่ไม่ต้องห่วง” วาสุรีย์เกรงว่าจะทำให้ทุกคนแตกตื่นมากกว่าที่เป็นอยู่ และคิดว่าด้วยกำลังคนที่มีอยู่คงพอดูแลตัวเองได้

“แต่พี่ว่า... ”

“อย่ากังวลเลยค่ะ ที่หวายต้องการก็คือความกระจ่างเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดกับพ่อและแม่มากกว่า พี่พันธุ์ช่วยหวายเรื่องนี้ก่อนเถอะนะคะ ต่อไปหวายกับทุกคนที่นี่จะระวังตัวให้ดีที่สุด จะไม่ให้คนของมันเข้าถึงตัวอีกแล้วค่ะ”

หญิงสาวยืนกรานถึงความต้องการจริงจัง

“เอาอย่างคุณหนูว่าเถอะครับสารวัตร ผมกับพวกผู้ชายจะดูแลจัดการที่นี่เอง ถ้ามีอะไรจะโทร.หาสารวัตรทันทีเลยครับ” ลุงสมเสริม

เพราะคิดว่าตอนนี้สถานการณ์ในสวนวาสุรีย์ยังสามารถ ‘เอาอยู่’ จึงยังไม่ต้องพึ่งพาการรักษาความปลอดภัยจากตำรวจ นั่นเป็นสิ่งที่ทางสวนวาสุรีย์ทำมาตั้งแต่ตอนบิดา มารดาของวาสุรีย์ยังอยู่

“เอาเถอะ ถ้าหวายกับลุงสมยืนยันอย่างนั้นก็ได้ แต่อย่าลืมนะมีอะไรไม่ว่าจะเล็กน้อยก็ต้องบอกพี่ พี่เป็นห่วงหวายมากนะ” แม้ท้ายประโยคจะพยายามออมเสียง แต่ดวงตาคู่นั้นของสารวัตรหนุ่มก็เต็มไปด้วยความอาทรห่วงใย ซึ่งอาการทั้งหมดไม่ได้เล็ดลอดสายตาทุกคนที่อยู่ตรงนั้นไปได้เลย

“ค่ะ ขอบคุณพี่พันธุ์กับทุกคนมากนะคะ” หญิงสาวได้แต่กล่าวขอบคุณไปอีกครั้ง


**ลิงค์ E-Book 'ลิขิตรักเก็บตก' ค่าาา**
#Meb
เล่ม 1
https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&
data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M
6NjoiNzEyOTE2IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M
เล่ม 2
https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&
data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M
6NjoiNzEyOTE2IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiNTg2MjUiO30

#ookbee
เล่ม 1
http://www.ookbee.com/shop/BookInfo?pid=274409f7-13d0-4632-811d-bf78ed5a4645&affiliateCode=1168c15837084f8bbb5cf6fde0ca707d
เล่ม2
http://www.ookbee.com/shop/BookInfo?pid=897b2657-9548-401d-bb1b-76bf11bd35ef&affiliateCode=1168c15837084f8bbb5cf6fde0ca707d

#hytexts
https://www.hytexts.com/ebook/B012230-ลิขิตรักเก็บตก (เล่ม 1)
https://www.hytexts.com/ebook/B012231-ลิขิตรักเก็บตก (เล่ม 2)

#นายอินทร์ปัณณ์
เล่ม 1
https://naiin.com/product/detail/215446/
เล่ม 2
https://naiin.com/product/detail/215447/




กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ก.ค. 2560, 11:13:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ก.ค. 2560, 11:13:27 น.

จำนวนการเข้าชม : 642





<< บทที่ 5 เงื่อนงำที่ไม่เคยรู้   บทที่ 7 ทีมอารักขาจำเป็น? >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account